๕๙

ฝ่ายกิมงึดตุดแตกหนีพ้นที่จูเซียนติ้นมาทางได้ประมาณยี่สิบลี้ ทหารที่เดินหน้าร้องบอกมาว่าต้นไม้ล้มขวางทางแน่นหนานักเดินไปไม่ได้ กิมงึดตุดได้ฟังก็เป็นอันจนใจไม่รู้ที่จะทำประการใด ให้ทหารเที่ยวหาทางอื่น พอได้ยินเสียงประทัดสัญญากองทัพเล่าขีซึ่งซุ่มอยู่นั้น ก็ยกออกมาตีสกัดฆ่าฟันทหารฮวนล้มตายลงอีก กิมงึดตุดขับม้าหนีไปข้างขวามือ ทหารนำหน้าร้องบอกมาว่า ทางที่มานี้ติดเขาสูงกั้นทางอยู่ เขานั้นชื่อกิมงูเนีย ถ้าจะเดินไปก็ต้องเหนี่ยวเถาวัลย์โหนตัวขึ้นไปบนหน้าผาจึงจะไปได้ กิมงึดตุดได้ฟังก็เสียใจ แลไปดูข้างหลังกองทัพบูเชียงก๋งก็ติดตามมา จึงพูดกับคับมิชีว่าเรายกกองทัพมาครั้งนี้ทหารถึงเจ็ดสิบแปดสิบหมื่นล้มตายเสียเกือบสิ้น เราจะเอาหน้าไปหาบิดากระไรได้ ตายเสียที่นี่ดีกว่า พูดแล้วก็ร้องไห้เดินตรงเข้าไปเอาศีรษะโดนภูเขาก็ล้มลง เขากิมงูเนียนั้นบันดาลดังลั่นสนั่นแล้วแยกออกเป็นทางไป คับมิชีเห็นก็วิ่งพยุงกิมงึดตุดร้องว่า ท่านอย่าเพิ่งฆ่าตัวตายเสียก่อน เขาแยกออกเป็นทางไปได้แล้ว และเมื่อกิมงึดตุดเอาศีรษะโดนภูเขานั้นก็หมายจะให้แตกตาย แต่ยังไม่ถึงที่จึงเผอิญไม่สู้เจ็บป่วยกระไรนัก ลืมตาขึ้นดูเห็นเขาแยกเป็นทางไปก็มีความยินดี พาทหารหนีไปตามทางนั้น พอกองทัพบูเชียงก๋งยกมากระชั้นเข้า ทหารกิมงึดตุดหนีไปตามทางเขาแยกยังไม่ทันหมด เขานั้นก็ลั่นติดกันเข้าตามเดิม ทหารฮวนที่ค้างอยู่มาไม่ได้นั้น ทหารบูเชียงก๋งก็ฆ่าตายเสียสิ้นกิมงึดตุดหนีพ้นกองทัพบูเชียงก๋งออกมาได้แล้ว ตรวจดูทหารเหลือติดมาด้วยห้าพ้นคนก็เสียใจร้องไห้พูดกับคับมิชีว่า เดิมเรายกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียงก็ได้ชัยชนะโดยง่าย ตั้งแต่บูเชียงก๋งมาเป็นแม่ทัพ เรายกกองทัพมาสู้รบถึงสองคราวเสียทีทหารล้มตายกว่าร้อยหมื่น ครั้งนี้ทหารก็เหลือมาสี่ห้าพัน ครั้นจะกลับไปบ้านเมือง ลังจู๊ผู้บิดาก็คงจะโกรธแค้นทั้งจะได้ความอัปยศแก่ไพร่บ้านพลเมืองซึ่งเอาญาติพี่น้องของเขามาตายเสีย เราไม่ขอกลับไปจะสู้ตายอยู่ที่นี่ พูดแล้วก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย คับมิชีกับนายทหารเข้าแย่งชิงเอากระบี่ไว้ แล้วพูดปลอบโยนเอาใจว่า ท่านอย่าเพิ่งฆ่าตัวตายเสียเลย ธรรมดาการศึกสงครามไม่ชนะก็แพ้ เกิดมาเป็นชายชาติทหารคิดการแก้แค้นไปกว่าจะสิ้นกำลัง ขณะนั้นยังมีชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากเขากิมงูเนียเข้าไปหากิมงึดตุดแล้วพูดว่า ท่านยกกองทัพมาเอาแผ่นดินซ้องไม่สมความปรารถนา เปรียบเหมือนตั้งกระทะน้ำใส่ไฟเคี่ยว น้ำก็แห้งลงไปทุกที จะชักไฟออกหรือจะเติมน้ำต้องคิดดูให้ดี ซึ่งในเมืองหลวงแผ่นดินซ้องครั้งนี้มีขุนนางกังฉินเป็นผู้สำเร็จราชการ ซึ่งผู้มีสติปัญญาฝีมือเข้มแข็งเป็นแม่ทัพปราบข้าศึกได้มีความชอบมากก็จริง แต่ขุนนางกังฉินนั้นคอยล้างผลาญอยู่เห็นจะยืดยาวไปไม่ได้ กิมงึดตุดได้ฟังคำเปรียบเทียบอธิบายก็เข้าใจ ลุกขึ้นคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านมาชี้แจงข้อความให้ทราบนั้นบุญคุณนักหนา ตัวท่านแซ่ใดชื่อไร ชายผู้นั้นจึงว่าข้าพเจ้ามาบอกท่านตามการที่จะเป็นต่อไป อย่าได้รู้จักชื่อและแซ่เลย พูดแล้วก็ลาออกเดินหายไป กิมงึดตุดหยุดพักทหารอยู่ที่นั้น คับมิชีจึงพูดว่าเทพยดามาชี้แจงแนะนำให้แล้วท่านต้องคลายวิตกลงเสียบ้าง จงคุมทหารไปพักอยู่ที่ด่านในเขตแดนของเรา ข้าพเจ้าจะแปลงตัวลอบเข้าไปหาชีนไคว่ ณ เมืองนิ่มอัน ให้ชีนไคว่คิดกำจัดบูเชียงก๋งเสียก่อน การเราจึงจะสำเร็จ กิมงึดตุดได้ฟังก็ยินดียกกองทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่ด่านในเขตแดนเมืองไตกิมก๊กแล้วเขียนหนังสือไปถึงชีนไคว่ฉบับหนึ่ง เอาขี้ผึ้งห่อหุ้มให้ดีทำนองเหมือนลูกยาอี๋ส่งให้คับมิชีแล้วว่า ท่านจะไปจงระวังตัวให้ดี ตัวท่านกับเราเปรียบเหมือนชีวิตเดียวกัน คับมิชีรับหนังสือคำนับลาแปลงตัวเป็นพ่อค้าออกจากด่านเมืองไตกิมก๊ก เดินทางตรงไปเมืองนิ่มอัน

ฝ่ายบูเชียงก๋งยกกองทัพมาถึงเขากิมงูเนีย แจ้งว่ากิมงึดตุดข้ามเขาหนีไปได้ ก็สั่งให้ทหารตั้งค่ายลงอยู่ที่เขานั้น เล่าขีกับฮั่นซีตงก็พร้อมกันอยู่ที่นั้น บูเชียงก๋งจึงทำหนังสือบอกข้อราชการซึ่งได้สู้รบมีชัยชนะแก่กิมงึดตุด ขอเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม จะยกกองทัพล่วงเข้าไปปราบปรามเมืองไตกิมก๊กรับสองกษัตริย์กลับมา ครั้นทำหนังสือแล้วก็มอบให้ขุนนางถือเข้าไปเมืองนิ่มอัน

ฝ่ายคับมิชีมาถึงเมืองนิ่มอัน แจ้งว่าชีนไคว่กับภรรยาลงเรือไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบไทโอ๋วฝ่ายทิศตะวันตก คับมิชีก็จ้างเรือเข้าตามไปถึงไทโอ๋ว เห็นชีนไคว่กับภรรยานั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ในเรือ คับมิชีก็ทำเป็นร้องขายยาพายเรืออยู่ริม ๆ นั้นหลายเที่ยวหลายกลับ นางเฮงสีภรรยาชีนไคว่ได้ยินเสียงคนร้องขายยาก็แลไปดูเห็นจำได้ถนัดว่าคับมิชี จึงบอกกับชีนไคว่สามีว่าที่ร้องขายยาอี๋นั้นรูปพรรณน้ำเสียงเหมือนคับมิชี ชีนไคว่แลไปดูก็จำได้ ให้คนไปเรียกผู้ขายยาเข้ามา ชีนไคว่กับภรรยาทำเป็นไม่รู้จักเพราะกลัวคนทั้งหลายจะรู้ ชีนไคว่จึงถามคับมิชีเป็นอุบายว่า ท่านหมอเรามีความเจ็บอยู่ในใจท่านจะรักษาได้หรือไม่ คับมิชีว่ายาของข้าพเจ้านี้รักษาได้ ในห่อยาอี๋มีตำราบอกอธิบายวิธีกระบวนยาทุกประการ ถ้าท่านจะรักษาแล้วก็จงเอาตำรานี้ไปดูเร่งรักษาเสียโดยเร็วจึงจะหาย ถ้าทิ้งช้าไปโรคจะกำเริบมากขึ้น ชีนไคว่ว่าท่านจงส่งตำรายามาเราจะดูเอง คับมิชีก็ส่งขึ้ผึ้งห่อหนังสือเหมือนลูกยาอี๋ให้ชีนไคว่ ชีนไคว่รับแล้วสั่งคนใช้เอาเงินสิบตำลึงมาให้ค่ายาหมอ คับมิชีรับเงินแล้วพูดเป็นนัยว่า ตำรายานี้เป็นของสำคัญนักท่านจงสังวัธยายไว้อย่าลืมเสีย คับมิชีก็ลาชีนไคว่กลับมา ชีนไคว่เข้าไปในเก๋งเรือกับภรรยา แกะขี้ผึ้งคลี่หนังสือออกอ่านมีความว่า เรากับท่านและนางเฮงสีภรรยามีความรักใคร่ได้พูดสัญญากระทำสัตย์กันไว้มั่นคงนักหนา ท่านกับภรรยากลับมาเมืองหลวงมีความสุขแล้วลืมคำที่พูดจานัดแนะกันเสีย เราได้ยกกองทัพมาสู้กับบูเชียงก๋งไพร่พลล้มตายเสียนักหนา ถ้าท่านทั้งสองยังนึกถึงความรักใคร่ซึ่งได้พูดจากันแต่ก่อนอยู่แล้ว ก็จงคิดกำจัดบูเชียงก๋งเสียให้ได้ การของเราจึงจะสำเร็จความปรารถนา ยศศักดิ์และสมบัติซึ่งท่านได้อยู่เดี๋ยวนี้สักเท่าใด เมื่อการสำเร็จแล้วเราจะเพิ่มขึ้นให้อีกหลายเท่าหลายส่วน ให้ท่านคิดกำจัดบูเชียงก๋งเสียให้ได้เถิด ชีนไคว่แจ้งความในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษากับภรรยาว่ากิมงึดตุดมีหนังสือมาดังนี้เจ้าจะคิดประการใด นางเฮงสีว่าเมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าก็ได้เอายาพิษเจือลงในสุราของพระราชทานไปให้บูเชียงก๋งครั้งหนึ่งแล้ว ก็คิดว่าจะได้การ เผอิญงูเการู้ ทุบต่อยไหสุรานั้นเสีย ครั้งนี้บูเชียงก๋งตีกองทัพกิมงึดตุดแตกไป บอกข้อราชการมาขอเสบียงอาหารจะยกไปตีเมืองไตกิมก๊ก ท่านจงเอาหนังสือบอกเข้าไปทูลพระเจ้าซ้องเกาจง ขู่ให้พระเจ้าซ้องเกาจงตกพระทัย แล้วการซึ่งจะคิดไปข้างหน้าก็คงจะสะดวกสำเร็จ ชีนไคว่ได้ฟังภรรยาพูดแนะนำความดังนั้นก็ยินดี จึงพากันกลับเข้ามาเมืองนิ่มอัน แล้วจึงนำเอาหนังสือบอกเข้าไปเฝ้าถึงที่ข้างใน กราบทูลถวายพระเจ้าซ้องเกาจง พระเจ้าซ้องเกาจงรับหนังสือมาทรงอ่านทราบความแล้วก็ดีพระทัยตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไปบ้านเมืองเราจะเป็นสุขสบายแล้ว ชีนไคว่กราบทูลว่าซึ่งพระองค์ตรัสดังนี้ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย ถ้าส่งเสบียงไปให้บูเชียงก๋งแล้วก็คงจะยกไปตีเมืองไตกิมก๊กรับสองกษัตริย์กลับมา ถ้าสองกษัตริย์กลับมาแล้ว พระองค์จะได้คงอยู่ในราชอิสริยยศอย่างนี้หรือ ข้าพเจ้าเห็นว่าภัยอันตรายคงจะมีแก่พระองค์ต่าง ๆ ด้วยแผ่นดินซ้องนี้เป็นของพระเจ้าซ้องคิมจง นี่หากว่าพระเจ้าซ้องคิมจงตกไปอยู่เมืองฮวน พระองค์จึงได้เป็นใหญ่อยู่ในสิริราชสมบัติ ธรรมดาเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วต้องถอดต้องเนรเทศออกจากยศเมื่อใดความตายก็ถึงเมื่อนั้น พระเจ้าซ้องเกาจงได้ทรงฟังก็ตกพระทัยกลัว ตรัสว่าการซึ่งท่านพูดนี้จริงทุกข้อ เราจะคิดประการใดจึงจะรักษาตัวอยู่ได้ ชีนไคว่กราบทูลว่าจะต้องคิดตัดกำลังบูเชียงก๋งเสีย ด้วยบูเชียงก๋งเป็นต้นเหตุสำคัญซึ่งจะไปรับสองกษัตริย์มา พระเจ้าซ้องเกาจงตรัสว่าการอันนี้สุดแต่ปัญญาท่านจะคิดเถิด ขอแต่ให้มีความสุขอยู่ในยศไปจนหาชีวิตไม่ไปด้วยกันเถิด อย่าต้องบอกกล่าวปรึกษาเราเลย ชีนไคว่ได้ฟังรับสั่งโปรดพระราชทานให้โอกาสดังนั้นก็มีความยินดี กราบถวายบังคมลากลับมา จึงทำหนังสือรับสั่งประทับตราแผ่นดินไปถึงบูเชียงก๋ง มีความว่าซึ่งบูเชียงก๋งและนายทัพนายกองทำศึกมีชัยชนะแก่กิมงึดตุดแตกหนีไปนั้น บูเชียงก๋งและนายทัพนายกองก็มีความชอบเป็นอันมาก แต่ซึ่งจะยกเลยไปตีเมืองไตกิมก๊กนั้นหนทางก็ไกล ทแกล้วทหารก็อิดโรยบอบช้ำหลายเดือนช้านานมาแล้ว ให้บูเชียงก๋งถอยทัพกลับมาตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้นคอยฟังข่าวราชการไปดูก่อน เมื่อควรจะเป็นไมตรีหรือควรจะทำศึกกันนั้นจึงค่อยคิดต่อภายหลัง ซึ่งเสบียงอาหารนั้นเราจะจัดส่งไปให้ ทำหนังสือปลอมรับสั่งแล้วก็จัดขุนนางคนสนิทในพวกพ้องของตัวถือไปให้บูเชียงก๋ง

ฝ่ายคับมิชีกลับมาเข้าแดนถึงด่านเมืองไตกิมก๊กแล้ว ก็บอกความกับกิมงึดตุดตามซึ่งได้พบชีนไคว่ทุกประการ แล้วพูดว่าท่านจงยับยั้งอยู่ที่นี่ จัดทหารให้ไปสืบราชการในเมืองหลวงอยู่เนือง ๆ

ฝ่ายบูเชียงก๋งตั้งพักกองทัพคอยเสบียงอาหารอยู่ที่เขากิมงูเนียซ้อมหัดทแกล้วทหารอยู่ทุกเวลา พอนายประตูเข้าไปแจ้งว่ามีข้าหลวงถือหนังสือรับสั่งมา ก็พาขุนนางนายทัพนายกองพร้อมกันออกไปเชิญหนังสือรับสั่งเข้ามาในค่าย เปิดผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วก็เสียใจ พูดกับฮั่นซีตง เล่าขีและนายทหารทั้งปวงว่ามีรับสั่งให้เราเลิกกองทัพกลับไปตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้น ก็จะต้องกลับไปตามรับสั่ง แต่เสียดายการนัก ด้วยคราวพร้อมมูลจะได้ชัยชนะแก่พวกฮวนแล้วก็เผอิญมาถูกขัดขวางเสียดังนี้ ฮั่นซีตงจึงว่าเดิมท่านมีทหารมาแต่ยี่สิบหมื่นก็คิดรวบรวมทหารหัวเมืองทำศึกได้ชัยชนะแก่กิมงึดตุด ฆ่าทหารฮวนตายกว่าร้อยหมื่น ครั้งนี้กิมงึดตุดก็สิ้นกำลังลงแล้ว ควรจะยกไปซ้ำเดิมเอาให้สิ้นเสี้ยนศัตรูแผ่นดินซ้องจึงจะมีความสุขสบาย ซึ่งจะยกทัพกลับไปอยู่ตำบลจูเซียนติ้นนั้นข้าพเจ้าเสียดายการพากเพียรและความชอบของนายทหารที่ทำมา เหมือนหนึ่งเอาไปเททิ้งน้ำเสีย ข้อความในหนังสือรับสั่งนี้ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าจะเป็นสติปัญญาชีนไคว่ กลัวว่าเราจะมีบำเหน็จความชอบดีกว่าตัวไป ขอท่านจงยับยั้งตรึกตรองก่อน เล่าขีจึงพูดขึ้นว่าตัวท่านเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์เด็ดขาด การควรจะขัดก็ต้องขัดการควรจะตามก็ต้องตาม เมื่อไพร่พลทหารก็พร้อมมูลขัดอยู่แต่เสบียง ถ้าแม้นแบ่งทหารเสียบ้างให้ไปเกณฑ์เสบียงหัวเมืองผ่อนส่งไปก็จะทัน ถ้าไปตีเมืองไตกิมก๊กได้รับสองกษัตริย์กลับมา ความชอบอันนั้นก็จะลบล้างความผิดรับสั่งได้ ซึ่งท่านจะกลับไปตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้นนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย บูเชียงก๋งว่าข้าพเจ้าจะเล่าถึงความโบราณให้ท่านฟัง ครั้งแผ่นดินเลียดก๊กให้แปะขีเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเตียวฆ่าทหารเมืองเตียวตายคราวเดียวถึงสี่สิบหมื่นเกือบจะตีได้เมือง เจ้าเมืองเตียวให้ลอบเอาสินบนไปติดสอยฮ้วนซุยผู้เป็นไจเสี่ยง ให้คิดอุบายพูดกับจีนเจียวเซียงอ๋องให้หาแปะขีกลับไปเสีย แปะขีไม่ยอม จีนเจียวเซียงอ๋องขัดเคืองให้ชักทหารไปเสีย แปะขีก็ต้องกลับไปตายด้วยกระพี้จิ้มหล ความอันนี้ท่านทั้งปวงก็ย่อมทราบอยู่แล้ว ประการหนึ่งธรรมดาผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ความตายความฉิบหายเยี่ยมเยือนอยู่เป็นนิจ เหมือนหนึ่งฮั่นสินครั้งแผ่นดินไซ่ฮั่นชนะศึกฌ้อปาอ๋องปราบปรามแผ่นดินราบคาบได้มียศเป็นสุขอยู่ไม่ได้กี่วัน ก็ต้องความอิจฉาตายที่ปิยังเก๋ง ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพตลอดมาจนชั่วลูกหลานนั้นก็เพราะคิดเอาแผ่นดินเหมือนหนึ่งเล่าอยู่และเซียวเต้าเสงครั้งแผ่นดินน่ำซ้อง แต่ตัวเรานี้ไม่ได้คิดมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้น ด้วยเมื่อครั้งเข้ามาซ้อมหัดฝีมือชิงที่จอหงวนในเมืองหลวง ฆ่าชาเลียงอ๋องตายกลับไปอยู่บ้านกับมารดา เมื่อพระเจ้าซ้องเกาจงได้เป็นกษัตริย์ให้จงเล่าซิวมาหาตัว จะให้ไปปราบโจรที่ทะเลสาบทองเทงโอ๋ว มารดาเราจึงเอาหมึกมาสักลงไว้ที่หลังเป็นอักษรสี่ตัวว่า จินตงโปก๊ก แปลว่าทำราชการสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ซึ่งเราจะไม่เลิกทัพกลับไปตามหนังสือรับสั่งนั้น ก็จะเป็นคนอกตัญญูไม่ถือตามคำมารดาสักจารึกไว้ที่หลัง ถึงจะเป็นตายประการใดก็ตามแต่บุญแต่ไม่ให้เสียความสัตย์กตัญญู พูดแล้วก็สั่งนายทหารให้แยกกองทัพเป็นห้ากองยกกลับมาอยู่ตำบลจูเซียนติ้น บูเชียงก๋งจึงเรียกงักฮุน เตียเหียนเข้ามาพูดว่าในเมืองหลวงทุกวันนี้ ก็มีขุนนางกังฉินคอยอิจฉาเพ็ดทูล พระเจ้าซ้องเกาจงก็เชื่อถือตามถ้อยคำ เราจึงไม่ได้ยกกองทัพไปปราบเมืองไตกิมก๊ก เดี๋ยวนี้ธุระการงานสิ่งไรก็ไม่มี เจ้าทั้งสองจงกลับไปบ้านอยู่ด้วยมารดาของเจ้า อุตส่าห์ฝึกสอนหนังสือและหัดเพลงอาวุธให้น้องเถิด ถ้าบิดามีธุระสิ่งใดจึงจะให้คนไปเรียกมา งักฮุน เตียเหียนก็คำนับลามาจัดแจงข้าวของจะกลับไป งักฮุนจึงเอาม้าตัวที่ดีสำหรับขี่ออกศึกนั้นให้ไว้แก่กวนเหลง แล้วพูดว่า พี่จะลาเจ้ากลับไปบ้าน ม้าตัวนี้เจ้าจงเอาไว้ขี่เถิด พี่ไปไม่ช้าก็จะกลับมา พูดแล้วงักฮุนเตียเหียนก็พาบ่าวไพร่ออกจากค่ายไปถึงเมืองทึงอิมกุ้ย เข้าไปคำนับมารดาเล่าความซึ่งได้ทำศึกสงครามให้ฟังทุกประการ ครั้นเวลาว่างก็ฝึกหัดเพลงอาวุธให้น้องอยู่ทุกวันมิได้ขาด

ฝ่ายบูเชียงก๋งตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้นไม่มีธุระสิ่งใด ฮั่นซีตง เล่าขี แม่ทัพทั้งสองและขุนนางนายทหารก็อยู่พร้อมกัน บูเชียงก๋งจึงพูดว่า เดิมลีกังขุนนางผู้ใหญ่ได้ฝากเตียเปามาทำราชการอยู่ด้วยช้านานแล้ว เตียเปามีความชอบมาก เมื่อพระเจ้าซ้องเกาจงโปรดพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์มาให้ข้าพเจ้ากับพระราชทานตราตั้งที่เจ้าเมืองโทตรีจัตวามาด้วยหลายฉบับว่า ถ้าผู้ใดมีความชอบก็ให้ตั้งแต่งไปตามควรไม่ต้องไปกราบทูล ครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเตียเปามีความชอบ จะตั้งให้เป็นขุนนางนายทหารที่จงเปียะสำเร็จราชการเมืองฮอเหลียง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ฮั่นซีตงกับเล่าขีและขุนนางนายทหารทั้งปวงก็พากันว่า เตียเปาทำราชการมาช้านานมีความชอบสมควรอยู่ บูเชียงก๋งก็เอาตราตั้งมาลงชื่อเตียเปา ให้เป็นที่จงเปียะขุนนางนายทหารสำเร็จราชการเมืองฮอเหลียงแล้ว เรียกเตียเปามาบอกว่าเราตั้งแต่งให้มียศศักดิ์ เจ้าจงพาบุตรภรรยาไปเป็นเจ้าเมืองฮอเหลียงเถิด เตียเปาว่าใจข้าพเจ้าสมัครทำราชการอยู่กับท่านไม่อยากจะห่างไกล บูเชียงก๋งว่าธรรมดาเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ต้องให้มีชื่อเสียงยศฐาศักดิ์ปรากฏ ซึ่งเจ้าจะไม่ยอมนั้นไม่ได้ จงไปรับราชการอยู่ตามตำแหน่งเถิด บูเชียงก๋งก็มอบตราตั้งให้ เตียเปาครั้นจะขัดไม่รับก็กลัวบูเชียงก๋งจะโกรธ จึงพูดว่าถ้าข้าพเจ้าไปอยู่เมืองฮอเหลียงว่าราชการไปไม่ตลอดแล้วก็จะขอกลับมาให้ท่านใช้อยู่ตามเดิม เตียเปาก็คำนับลาออกจากค่ายกลับไปบ้านพาบุตรภรรยาครอบครัวไปอยู่เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองฮอเหลียงตามตำแหน่ง บูเชียงก๋งจึงเรียกเฮงหวยมา พูดว่าเราจะตั้งให้เป็นขุนนางที่จงเปียะสำเร็จราชการเมืองเจ้าจะยอมหรือไม่ เฮงหวยว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักอย่างธรรมเนียมเจ้าเมืองกรมการที่จะบังคับบัญชาตัดสินถ้อยความของราษฎร รู้แต่การทหาร จะขออยู่ให้ท่านใช้ไปอย่างนี้และเป็นที่สบายแล้ว ถ้าท่านจะขืนให้ไปเป็นเจ้าเมืองเหมือนกับเตียเปาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาตายไม่ยอมไปจากท่าน บูเชียงก๋งก็เป็นอันจนใจอยู่ ขุนนางนายทหารทั้งปวงก็พากันสรรเสริญบูเชียงก๋งว่าทหารของท่านมีใจรักใคร่จริง ๆ ยกกองทัพไปครั้งใดจึงได้ชัยชนะ เพราะนายทหารเต็มใจทำราชการทุกตัวคน

ฝ่ายชีนไคว่คิดการแต่งหนังสือแอบอ้างรับสั่งให้บูเชียงก๋งเลิกทัพกลับมาอยู่ที่จูเซียนติ้นได้สมใจแล้ว ก็ยังคิดหาช่องที่จะกำจัดบูเชียงก๋งต่อไป จึงทำหนังสือปลอมรับสั่งอีกฉบับหนึ่งไปถึงบูเชียงก๋งและแม่ทัพนายกองหัวเมืองซึ่งยกมาประชุมอยู่ที่จูเซียนติ้นว่า ให้แม่ทัพนายกองเหล่านั้นพาทหารเลิกกลับไปอยู่บ้านเมืองตามเดิมเถิด แต่บูเชียงก๋งนั้นให้รักษาอยู่ที่จูเซียนติ้นก่อน ถ้ามีการศึกสงครามมาอีกจึงจะบอกไปให้รู้ทั่วกัน เขียนหนังสือแล้วก็ประทับตราแผ่นดินเข้าผนึกมอบให้ขุนนางพวกของตัวถือไปให้บูเชียงก๋ง ณ ค่ายจูเซียนติ้น บูเชียงก๋งกับฮั่นซีตง เล่าขีแจ้งว่าข้าหลวงถือหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวง ก็พร้อมกันออกไปคำนับรับหนังสือเชิญเข้าไปในค่าย ฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วฮั่นซีตง เล่าขีและขุนนางนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวงได้รับแจ้งสั่งโปรดให้เลิกกองทัพกลับไปแล้วก็คำนับลาบูเชียงก๋ง พาทหารพวกพ้องยกแยกกันไปอยู่รักษาบ้านเมืองตามเดิม บูเชียงก๋งกับนายทหารพวกพ้องซึ่งติดตามกันมาแต่ก่อนนั้น เห็นว่าไม่มีการสิ่งใดแล้วก็ปล่อยทหารเลวให้กลับไปบ้านทำมาหากินตามภูมิลำเนา ยังเหลืออยู่แต่นายทหารที่รักใคร่สนิทกัน ครั้นอยู่มาประมาณปีเศษได้ข่าวว่าชีนไคว่ใช้คนไปมาพูดจากับกิมงึดตุดเนือง ๆ บูเชียงก๋งคิดไม่สบายคอยฟังข่าวดีและร้ายอยู่ทุกเวลา

ฝ่ายชีนไคว่ ครั้นมีหนังสือไปให้กองทัพหัวเมืองกลับไปสิ้นแล้ว ยังเหลือแต่บูเชียงก๋งตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้น กิมงึดตุดก็มีหนังสือเร่งมาเนืองๆ ให้คิดกำจัดบูเชียงก๋งเสียให้ได้โดยเร็ว ชีนไคว่จึงทำหนังสือแอบรับสั่งไปถึงบูเชียงก๋งมีความว่า เมืองไตกิมก๊กกับเมืองหลวงนั้นเป็นไมตรีกันแล้ว ให้บูเชียงก๋งเข้ามาเฝ้าจะทรงตั้งแต่งให้มียศยิ่งใหญ่ขึ้นไป เขียนแล้วก็ประทับตราแผ่นดินให้ม้าใช้ถือไป บูเชียงก๋งได้แจ้งในหนังสือรับสั่งแล้วก็คิดสงสัยว่า ความอันนี้เห็นจะเป็นสติปัญญาชีนไคว่ทูลยุยงพระเจ้าซ้องเกาจงให้หาตัวเราเข้าไป เห็นจะคิดทำร้ายเราเหมือนครั้งเตียปังเชียงมีหนังสือแอบรับสั่งมาล่อลวงให้หาเราครั้งนั้น บูเชียงก๋งคิดสงสัยก็รั้งรออยู่ยังไม่เข้าไป ชีนไคว่ก็มีหนังสือซ้ำไปให้หามาอีกหลายฉบับก็ยังไม่เห็นบูเชียงก๋งมา จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซ้องเกาจงว่ามีผู้มากล่าวโทษบูเชียงก๋งแม่ทัพว่า เมื่อตีทัพกิมงึดตุดแตกไปแล้ว แกล้งรั้งรอบอกขาดเสบียงเสียไม่ยกซ้ำเติมติดตามไป ข้อหนึ่งว่าบูเชียงก๋งใช้คนไปมาพูดจากับกิมงึดตุดเนือง ๆ ข้อหนึ่งกองทัพหัวเมืองซึ่งมาเข้ากองทัพอยู่ด้วยบูเชียงก๋งนั้น บูเชียงก๋งแกล้งจ่ายเสบียงให้แต่น้อย จนไพร่พลทหารได้ความอดอยากเลิกกลับไปสิ้น ซึ่งการเป็นดังนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าบูเชียงก๋งคบค้ากับกิมงึดตุดเป็นไส้ศึกศัตรูแผ่นดินขึ้นอีกเป็นแน่ พระเจ้าซ้องเกาจงได้ทรงฟังจึงตรัสว่าแต่ก่อนเราก็ได้อนุญาตให้แล้วว่าจะคิดทำประการใดสุดแต่ปัญญาท่าน ขอแต่ให้มีความสุขสบายด้วยกันจนตลอดชีวิต เมื่อมีผู้มากล่าวโทษบูเชียงก๋งดังนั้น จงหาตัวเข้ามาแต่งตุลาการชำระเอาความจริงตามปัญญาท่านเถิด ชีนไคว่ก็กราบถวายบังคมลากลับออกมาทำหนังสือเป็นความรับสั่งของพระเจ้าซ้องเกาจงไปถึงบูเชียงก๋งอีกมีความว่า เราได้มีหนังสือให้หาบูเชียงก๋งเข้ามาจะตั้งแต่งให้มียศศักดิ์ยิ่งใหญ่ขึ้นไปสมควรแก่ความชอบหลายฉบับแล้ว บูเชียงก๋งก็ไม่เข้ามา หรือบูเชียงก๋งจะคิดเป็นขบถจึงได้ขัดขวางบิดพลิ้วอยู่ดังนี้ ทำหนังสือแล้วก็ประทับตรามอบให้ขุนนางในพวกพ้องของตัวถือไปถึงบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งแจ้งว่าข้าหลวงถือหนังสือรับสั่งมาอีกก็ออกไปต้อนรับตามธรรมเนียม เชิญเข้ามาในค่ายเปิดผนึกหนังสือรับสั่งออกดูแจ้งความแล้วก็ตกใจ จึงพูดกับผู้ถือหนังสือว่าท่านจงกลับไปก่อนเถิด แล้วเราจะตามเข้าไป ผู้ถือหนังสือคำนับลาไปแล้ว บูเชียงก๋งเรียกงูเกา ซีฉวนสองนายเข้ามามอบตราแม่ทัพกับธงอาญาสิทธิ์ให้ ว่าเจ้าทั้งสองจงอยู่รักษาค่ายระวังการงานให้ดี อย่าปล่อยให้ไพร่พลทหารไปเที่ยวคุมเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ตัวพี่จะรีบเข้าไปเมืองหลวง ด้วยมีหนังสือรับสั่งให้หาถึงสิบสองฉบับแล้ว งูเกา ซีฉวนกับนายทหารทั้งปวงจึงว่าซึ่งท่านจะเข้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าคงจะมีเหตุแก่ตัวท่านเป็นแน่ ด้วยพระเจ้าซ้องเกาจงโง่เขลาไม่เอาใจใส่ในราชการ ถือแต่ปัญญาชีนไคว่ไปฝ่ายเดียว ชีนไคว่จะเพ็ดทูลอย่างไรก็พยักเพยิดเห็นไปด้วยทุกอย่าง ประการหนึ่งข่าวคราวผู้คนก็เล่าลือมากว่าชีนไคว่กับกิมงึดตุดให้หนังสือสารไปมาถึงกันไม่ได้ขาด เดี๋ยวนี้อำนาจชีนไคว่ก็เด็ดขาดเหมือนเตียวโก๋ครั้งแผ่นดินไซ่ฮั่น จะทำสิ่งใดก็ทำได้ตามอำเภอใจท่านจงตรึกตรองรั้งรอดูก่อน บูเชียงก๋งตอบว่าเราถือความสัตย์กตัญญูเป็นที่ตั้ง หนังสือให้มาหาถึงสิบสองฉบับก็ล้วนแต่ประทับตราแผ่นดินมาเป็นสำคัญทุกฉบับ ที่จะบิดพลิ้วเสียไม่เชื่อถือนั้นไม่ได้ จะยากเย็นเป็นตายอย่างไรเราจะเข้าไป ท่านจงปกป้องรักษากันให้ดีเถิด ถ้าแม้นเราไปเป็นอันตรายเสียไม่ได้กลับมาแล้ว ท่านทั้งปวงจงแยกย้ายกันไปทำมาหากินอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ปัญญา ขอแต่อย่าคิดประทุษร้ายต่อเจ้าแผ่นดินให้ชื่อเสียงเสียเจือติดเนื่องมาถึงเราซึ่งได้ทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันทั้งนั้นเลย นายทหารเหล่านั้นได้ฟังถ้อยคำบูเชียงก๋งก็มีความสงสารน้ำตาตกทุกตัวคน บูเชียงก๋งจึงเรียกเฮงหวยกับทหารทั้งสี่คนที่เคยใช้สอยสนิทขึ้นม้าคนละตัวออกจากค่ายพากันไป นายทหารที่อยู่รักษาค่ายก็ตามไปส่ง แต่บรรดาราษฎรที่อยู่ตำบลจูเซียนติ้นนั้น แจ้งว่ารับสั่งให้หาบูเชียงก๋งเข้าไปเมืองหลวง นายทหารและทหารเลวของบูเชียงก๋งโศกเศร้าร้องไห้ทุกตัวคน ราษฎรชาวบ้านเหล่านั้นไม่รู้ว่าถ้อยความเหตุผลประการใด ก็ร้องไห้สงสารบูเชียงก๋งอื้ออึงไปทุกบ้านทุกเรือน จุดธูปเทียนออกมาคำนับส่งบูเชียงก๋งตลอดเรียดทางไป นายทหารซึ่งอยู่รักษาค่ายมาส่งแล้วจะลากลับไปมีความเศร้าโศกถึงบูเชียงก๋งเป็นอันมาก บูเชียงก๋งครั้งนั้นเผอิญให้ใจเศร้าหมองอาลัยถึงพี่น้องยิ่งนัก ดูเหมือนจะรู้ว่าไม่ได้กลับมาเห็นหน้ากันอีกแล้ว มีน้ำตาอันเต็มไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วก็ลาจากกันไป บูเชียงก๋ง เฮงหวยกับนายทหารทั้งสี่เดินทางมาถึงเมืองกุยจิวผู้รักษาเมืองออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปจัดที่ให้อยู่โดยสมควร แล้วพูดกับบูเชียงก๋งว่า ที่แม่น้ำเอียงจือกังเกิดลมพายุคลื่นใหญ่มาหลายวันแล้ว เรือออกเข้าไม่ได้ ขอท่านหยุดพักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าก่อน พอลมสงบแล้วข้าพเจ้าจึงจะข้ามส่งให้ท่านไป ผู้รักษาเมืองจัดโต๊ะมาเลี้ยงบูเชียงก๋งกับนายทหารแล้ว บูเชียงก๋งหยุดนอนอยู่ที่บ้านผู้รักษาเมืองนั้น บูเชียงก๋งนอนหลับฝันเห็นว่าเปิดประตูออกมาข้างนอก เห็นเป็นหมอกมืดมัวเดือนหงายไม่แจ่ม ก็เดินไปเห็นสุนัขดำคู่หนึ่ง มีคนยืนอยู่ข้างหลังสุนัขสองคนไม่ได้นุ่งผ้า สุนัขนั้นพูดจาได้เหมือนคน ก็คิดอัศจรรย์ใจว่าสุนัขพูดได้ แล้วก็เดินไปที่แม่น้ำเอียงจือกังเห็นแม่น้ำเกิดลมพายุคลื่นใหญ่ มีสัตว์ตัวหนึ่งรูปเหมือนมังกรขึ้นเล่นน้ำอยู่ พอเห็นบูเชียงก๋งมังกรก็ตรงเข้ามาจะขบกัด บูเชียงก๋งตกใจล้มลงก็พอตื่นขึ้นแจ้งว่าความฝัน จึงว่าฝันนี้จะดีร้ายประการใดก็ยังไม่รู้ แต่ก่อนฮั่นซีตงบอกไว้ว่ามีผู้วิเศษคนหนึ่งชื่อเตายวดอยู่ที่เขากิมซัวอาจล่วงรู้การงานทั้งปวง เวลาพรุ่งนี้เราจะไปหาไต่ถามดูก็คงจะรู้ความคิดแล้วก็นอนนิ่งอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าบูเชียงก๋งสั่งให้เฮงหวยจัดธูปเทียนแล้วบูเชียงก๋งก็ลาผู้รักษาเมืองลงเรือกับทหารทั้งห้า ให้คนใช้ของผู้รักษาเมืองนำทางไปถึงฝั่งท่าขึ้นจะไปเขากิมซัว บูเชียงก๋งกับเฮงหวยก็ขึ้นบกเดินตรงไปเขากิมซัว

ฝ่ายเตายวดผู้วิเศษรู้ว่าบูเชียงก๋งจะมาหาก็สอนโคลงสี่คำให้ศิษย์ออกมานั่งคอยท่าอยู่หน้าประตูวัด พอบูเชียงก๋งมาถึงศิษย์นั่นก็ว่าคำโคลงขึ้นแปลว่าท่านอย่าคิดทำราชการเลย จงมาบวชเสียเถิดถึงจะพ้นภัยอันตราย บูเชียงก๋งฟังคำโคลงก็เข้าใจ จึงคิดว่าเตายวดผู้วิเศษนี้ดีจริงรู้ล่วงหน้าว่าเราจะมาหา จึงได้สอนให้ศิษย์มาอ่านคำโคลงเปรียบความให้เราบวชเสียจึงจะพ้นภัยอันตราย บูเชียงก๋งถามศิษย์นั้นว่าอาจารย์เจ้าอยู่หรือไม่ ศิษย์บอกว่าอาจารย์ให้ข้าพเจ้านั่งคอยท่าท่านอยู่ บูเชียงก๋งก็เดินเข้าไปในวัดจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วก็ไปหาเตายวดผู้วิเศษพูดว่า เดิมท่านอยู่ที่เขาและจัวซัวทายไว้ว่าอีกสี่สิบปีเศษ ข้าพเจ้ากับท่านจะได้พบกันที่เขากิมซัว ก็สมจริงเหมือนอย่างทำนายไว้ ข้าพเจ้าได้พบท่านนี้เป็นบุญนักหนา เมื่อเวลาคืนนี้ข้าพเจ้านอนหลับบังเกิดนิมิตรฝันไป จะร้ายดีประการใดขอท่านได้โปรดอธิบายทำนายความให้ฟังให้ทราบด้วย บูเชียงก๋งก็เล่าความฝันตั้งแต่ต้นจนปลายให้เตายวดฟังทุกประการ เตายวดจึงว่า ซึ่งฝันว่าสุนัขคู่หนึ่งยืนอยู่พูดภาษาคนได้ในตัวหนังสือจีนเรียกว่าเง็กแปลว่าคุก ซึ่งคนทั้งสองไม่นุ่งผ้ายืนอยู่ข้างหลังนั้น คือว่าจะมีผู้พาลพาโลคนทั้งสองติดคุกด้วย ซึ่งในแม่น้ำเอียงจือกังเกิดลมพายุคลื่นใหญ่ร้ายจะทำอันตรายท่าน ทายว่าถ้าไปถึงตำบลฮองโปจะมีขุนนางกังฉินคิดทำอันตรายท่าน จงระวังตัวให้มาก บูเชียงก๋งว่า ข้าพเจ้าถือสัตย์กตัญญู ได้ยกกองทัพไปปราบศัตรูทั้งสี่ทิศมีความชอบต่อแผ่นดินมาก ความผิดสิ่งใดก็ไม่มี เจ้าแผ่นดินและคนทั้งหลายก็รู้เห็นอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุไฉนจะมีโทษเล่า เตายวดว่าท่านพูดดังนี้ก็ชอบอยู่ แต่การแผ่นดินมักแปรปรวนเป็นคราวดีคราวร้าย เมื่อถึงคราวดีคนดีก็มีความจำเริญ เมื่อถึงคราวร้ายคนดีก็กลับเป็นร้าย ธรรมดาลูกเกาทัณฑ์อันคมกล้าอาบไปด้วยยาพิษเมื่อคราวจะยิงเนื้อและนกฝูงสัตว์ต่าง ๆ เจ้าของก็อุตส่าห์ลับอาบขัดสีทำนุบำรุงไว้ เมื่อสิ้นนกที่จะยิงแล้ว เจ้าของก็กลัวลูกเกาทัณฑ์จะบาดตัวเข้าหรือบาดลูกลูกหลานต่อไป ก็ต้องทุบทิ้งเสียด้วยเป็นของอาบยาพิษ ธรรมดาผู้มียศใหญ่เมื่อคราวทุกข์ก็ชอบคนมีสติปัญญาฝีมือแกล้วกล้า เมื่อเวลามีสุขก็ชอบคนประจบประแจงเป็นที่สบายใจ ครั้งนี้ท่านเป็นคราวชะตาร้ายจงบวชอยู่เสียที่นี้ด้วยกันเถิด บูเชียงก๋งว่าข้าพเจ้าได้มอบตัวเป็นข้าแผ่นดินอาสาศึกนับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่พ่ายแพ้แก่ผู้ใด คนทั้งปวงสรรเสริญว่ามีฝีมือแกล้วกล้า ครั้งนี้เห็นว่าภัยจะมาถึงตัวแล้วจะหลบหลีกหนีบวชเสียนั้น ความซึ่งแกล้วกล้าองอาจมาแต่ก่อนก็จะเป็นที่ลบล้างเสื่อมสูญเสียไปหมด เมื่อเข้าไปถึงเมืองหลวงจะต้องทุกข์ภัยได้ความเจ็บปวดประการใด ก็จะสู้อดกลั้นทนเอาชัยชนะแก่ความเวทนาต่าง ๆ ให้ตลอดไปจนถึงชีวิตดับสูญ ท่านอย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย เตายวดเห็นว่าห้ามบูเชียงก๋งไม่ฟังแล้วก็เดินตามออกมากล่าวคำโคลงสี่บทมีความว่า ถ้าไปถึงฮองโปเตงให้ระวังตัว คลื่นลมโตใหญ่นักเปรียบเหมือนลงเรือไปรวมกับศัตรูจะจมน้ำตาย บูเชียงก๋งได้ฟังก็ก้มหน้านิ่งเดินไป เตายวดว่าซึ่งท่านจะจากเราไปครั้งนี้เป็นอันช่วยกันไม่ได้แล้ว ท่านจงเอาคำโคลงแปดคำที่เราเขียนไว้นี้ไปดูเถิด บูเชียงก๋งก็รับเอามาอ่านดูตีความไม่ออก จึงพูดกับเตายวดว่า ขอท่านจงชี้แจงถ้อยคำในโคลงนี้ให้ข้าพเจ้าทราบ เตายวดว่าบอกไม่ได้ ท่านเอาติดตัวไปไว้ดูก็คงจะรู้ความ บูเชียงก๋งเดินมาถึงท่าก็ลงเรือถอยออกจากฝั่งจะข้ามแม่น้ำขึ้นไป เดินไปเมืองนิ่มอัน ครั้นมาถึงกลางน้ำก็บังเกิดลมพายุคลื่นใหญ่ มีมังกรผุดขึ้นลอยอยู่บนหลังน้ำสำแดงฤทธิ์ตรงเข้ามาใกล้เรือบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งเรียกให้เฮงหวยส่งทวนมาถือไว้ มังกรใกล้เข้ามาอ้าปากจะกัด บูเชียงก๋งเอาทวนแทงไป มังกรเอาปากคาบทวนกระชากหลุดจากมือบูเชียงก๋ง ก็พาทวนดำน้ำหนีหายไป ลมพายุและคลื่นก็เงียบสงบลงทันที บูเชียงก๋งมีความเสียดายทวนของวิเศษนัก จึงคิดว่าเมื่อฮองเฉาครั้งแผ่นดินหงอโตได้กระบี่วิเศษของเทวดา ครั้นฮองเฉาจะสิ้นอายุก็เผอิญให้มีหลวงจีนมาแย่งชิงเอาไปเสีย และทวนจัวเชียเล่มนี้เดิมเป็นสัตว์ร้าย พ่นพิษอยู่ที่ถ้ำเขาจัวซัวเราไปตักน้ำในถ้ำนั้น งูร้ายกลายเป็นทวนจึงได้เอามาถือสำหรับมือสู้รบกับข้าศึกมีชัยชนะทุกครั้ง ซึ่งมังกรมาคาบแย่งเอาทวนของเราไปเสียนี้ก็เห็นเป็นการจะสิ้นอายุเหมือนฮองเฉาแน่ดังนี้แล้ว บูเชียงก๋งก็ทอดอาลัยในชีวิตร่างกายของตัว รีบแจวเรือข้ามมาถึงฝั่ง พาทหารทั้งห้าคนขึ้นเดินบกไปตามทางเมืองซึ่งฮั่นซีตงเป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น บูเชียงก๋งพูดกับทหารทั้งห้าว่าเร่งรีบเดินอย่าอื้ออึงให้ฮั่นซีตงรู้ จะออกมาหน่วงเหนี่ยวขัดขวางห้ามปรามไว้ ก็พากันรีบเดินไปตามทางตันเอี๋ยงจะตรงไปเมืองนิ่มอัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ