๕๖

ฝ่ายเชาเหลงซึ่งเจ้าเมืองไตกิมก๊กให้คุมกองทัพมาช่วยกิมงึดตุด ครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับกิมงึดตุด กิมงึดตุดเล่าความซึ่งได้สู้รบกับบูเชียงก๋งให้เชาเหลงฟัง เชาเหลงจึงว่าข้าพเจ้าจะขอยกทหารออกไปสู้รบ ดูฝีมือกำลังทหารบูเชียงก๋งสักครั้งหนึ่ง กิมงึดตุดก็ยอมให้ไป เชาเหลงคำนับลาออกมาจัดทหารพร้อมแล้วยกไปตั้งอยู่ตรงหน้าค่ายบูเชียงก๋ง ทหารม้าใช้เห็นก็เอาความไปแจ้งแก่บูเชียงก๋งว่ามีทหารฝ่ายข้างกิมงึดตุดยกมา บูเชียงก๋งสั่งให้ซือเคง กิมบิวสองนายคุมทหารออกไป ซือเคง กิมบิว มาจัดทหารพร้อมแล้วก็ยกออกไป ขับม้าเข้ารบกับเชาเหลงเป็นสามารถ นายทหารทั้งสองทานกำลังเชาเหลงไม่ได้เสียที เชาเหลงฆ่าตายเสียทั้งสองคน ทหารกองทัพซือเคง กิมบิวก็แตกร่นหนีกลับเข้าไปในค่าย บูเชียงก๋งสั่งให้เตียเหียนคุมทหารออกไปรบกับเชาเหลงอีก เตียเหียน เชาเหลงรบกันได้ประมาณแปดสิบเพลง พอเวลาจวนค่ำต่างคนก็เลิกทัพกลับเข้าค่าย ครั้นเวลารุ่งเช้าเชาเหลงคุมทหารยกออกมารบกับเตียเหียนอีกหลายพักก็ไม่แพ้ชนะกัน บูเชียงก๋งเขียนหนังสือเมียนเจียนป้ายไปปักไว้หน้าค่ายของดการรบ เชาเหลงเห็นหนังสือเมียนเจียนป้ายก็เลิกทัพกลับไปค่ายแจ้งความกับกิมงึดตุดทุกประการ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง อวงจอไปหาเล็กบุนเหลง ณ ค่ายที่อยู่ เล็กบุนเหลงเห็นก็ดีใจออกมารับพูดว่าท่านมาก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะฟังเรื่องราวต่าง ๆ ให้เป็นที่สบาย อวงจอว่าเวลาวันนี้ข้าพเจ้ามีความสำคัญจะมาสนทนาด้วยท่านสักข้อหนึ่ง ขอให้คนซึ่งอยู่เหล่านี้ออกไปเสียข้างนอกจึงจะพูดได้ เล็กบุนเหลงก็ขับคนใช้ออกไป อวงจอเอาฉากออกแขวนให้เล็กบุนเหลงดู เล็กบุนเหลงพิจารณาเห็นฉากนั้นมีรูปทหารคนหนึ่งนั่งอยู่ มีทหารรูปร่างคมสันยืนตายอยู่ฝ่ายขวามีรูปหญิงสองคน คนหนึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่งนอนตายอยู่ เล็กบุนเหลงพิจารณาดูอยู่ช้านานก็ไม่เข้าใจจึงถามอวงจอว่า ฉากนี้มีเรื่องราวอย่างไรจึงได้เขียนไว้ อวงจอว่า คนซึ่งนั่งอยู่นั้นคือกิมงึดตุด คนซึ่งยืนตายอยู่นั้นคือเล็กเตง หญิงซึ่งนอนตายนั้นชื่อนางเจียสีเป็นภรรยาของเล็กเตง หญิงซึ่งอุ้มเด็กนั้นคือแม่นม ตัวเด็กนั้นชื่อเล็กบุนเหลง เป็นบุตรของเล็กเตงกับนางเจียสี เป็นศัตรูแผ่นดินซ้องตีเมืองลูอันจิวได้เล็กเตงบู๊รักษาเมืองต้องเชือดคอยืนตายอยู่ นางเจียสีผู้ภรรยาก็ผูกคอตาย ยังแต่เล็กบุนเหลงผู้บุตรกับแม่นมตกไปอยู่กับกิมงึดตุด อาสามาทำศึกจะแย่งชิงเอาแผ่นดินซ้องซึ่งเป็นเจ้านายของเล็กเตงบู๊บิดา คนทั้งปวงจึงได้เขียนฉากไว้ว่า ผู้ใดไม่มีกตัญญูนับถือบิดามารดาเดิมของตัว ก็จัดเอาเป็นคนอกตัญญู เล็กบุนเหลงได้ฟังก็สะดุ้งใจหน้าเศร้าสลดลงทันที จึงถามว่าฉากอันนี้ผู้ใดเขียนไว้ อวงจอว่าเขาทำเป็นแบบอย่างสำหรับให้คนทั้งปวงดูต่อ ๆ กันมา ซึ่งข้าพเจ้าจะแกล้งทำลำเลิกว่ากล่าวท่านนั้นหามิได้ ขณะนั้นหญิงแม่นมออกมาเห็นก็จำได้ทุกอย่าง นึกถึงความหลังขึ้นมาก็ร้องไห้คุกเข่าลงคำนับรูปเล็กเตง เล็กบุนเหลงเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับด้วย แล้วชักกระบี่ออกพูดเป็นคำสาบานว่าตัวเราจะตัดศีรษะกิมงึดตุด แก้แค้นแทน บิดามารดาให้จงได้อวงจอจึงห้ามว่าท่านอย่าเพิ่งทำใจเร็ววู่วามจะเสียการ ค่อยคิดอ่านให้รอบคอบก่อนจึงจะดี เล็กบุนเหลงว่าข้าพเจ้าอยากฆ่ามันเสียให้ทันความแค้น เมื่อท่านห้ามแล้วก็จะต้องสงบใจไว้ อวงจอจึงพูดว่าข้าพเจ้าเห็นเชาเหลงนั้นท่วงทีเป็นคนสัตย์ซื่ออยู่ ขอท่านไปเชิญมาสนทนากันเล่นจะได้ฟังถ้อยคำพูดบ้าง เล็กบุนเหลงก็สั่งให้คนใช้ไปเชิญเชาเหลงมาคำนับกันตามธรรมเนียม เล็กบุนเหลงจึงบอกว่าอวงจอผู้นี้รู้เรื่องราวโบราณลึกซึ้ง ท่านจะอยากฟังบ้างหรือ ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง เชาเหลงว่าข้าพเจ้าก็อยากจะฟังอยู่ อวงจอจึงเอาความนกความม้าสองเรื่องซึ่งเล่าให้เล็กบุนเหลงฟังแต่ก่อนนั้นมาเล่าให้เชาเหลงฟัง เชาเหลงได้ฟังจึงพูดว่าเป็นสัตว์เดียรัจฉานเหมือนหนึ่งนกหนึ่งม้านี้ก็ยังรักถิ่นฐานบ้านเมืองของตัว เล็กบุนเหลงได้ฟังก็ตบมือหัวเราะแล้วว่าตัวท่านก็อยู่เมืองเปียนเหลียง บัดนี้ตกมาอยู่เมืองไตกิมก๊กไม่คิดถึงบ้านเมืองเดิมเหมือนหนึ่งนกหนึ่งม้าบ้างหรือ เชาเหลงว่าข้าพเจ้าก็คิดอยู่ทุกเวลาแต่ไม่มีที่ปรึกษาก็ต้องจนใจอยู่ เล็กบุนเหลงก็เล่าความซึ่งจะคิดเอาใจออกจากกิมงึดตุด แก้แค้นแทนบิดามารดาให้เชาเหลงฟัง เชาเหลงว่าถ้าท่านคิดดังนั้นข้าพเจ้าก็จะไปสามิภักดิ์อยู่กับบูเชียงก๋งเสียก่อน แต่มีความวิตกอยู่ว่าบูเชียงก๋งจะสงสัยไม่ยอมรับ อวงจอว่าความข้อนั้นไม่เป็นไรข้าพเจ้าจะให้หนังสือไปฉบับหนึ่ง พูดกันแล้วต่างคนก็กลับไปที่อยู่ อวงจอเขียนหนังสือเป็นสำคัญลอบไปส่งให้เชาเหลง เชาเหลงได้รับหนังสือแล้วก็หนีออกจากกิมงึดตุดไปค่ายบูเชียงก๋ง บอกแก่นายประตู ว่าเราชื่อเชาเหลงอยู่ในกองทัพกิมงึดตุดจะมาสามิภักดิ์อยู่ด้วยบูเชียงก๋ง ทหารผู้รักษาประตูก็เอาความเข้าไปแจ้งแก่บูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งให้มาพาตัวเชาเหลงเข้าไปในค่าย เชาเหลงคุกเข่าลงคำนับแล้วส่งหนังสือให้ บูเชียงก๋งเปิดผนึกออกอ่านมีความว่า ข้าพเจ้าอวงจอขอคำนับมาให้ทราบด้วยข้าพเจ้าอาสาท่านมาคิดการอยู่ในกองทัพกิมงึดตุด บัดนี้เชาเหลงยอมสามิภักดิ์เข้าอยู่ด้วยท่านโดยสุจริตขอจงได้รับไว้เถิด บูเชียงก๋งแจ้งความแล้วก็ยินดีจัดที่ให้เชาเหลงอยู่ตามสมควร

ฝ่ายกิมงึดตุดแจ้งว่าเชาเหลงเอาใจออกหากหนีไปอยู่ด้วยบูเชียงก๋งแล้วก็มีความโกรธเป็นอันมาก พอเชาหยงบิดาเชาเหลงคุมเสบียงมาส่งเข้าไปคำนับกิมงึดตุด กิมงึดตุดเห็นก็ยิ่งโกรธหนักขึ้น สั่งให้ทหารเอาตัวเชาหยงไปฆ่าเสีย เชาหยงตกใจร้องว่าข้าพเจ้าไม่มีความผิดสิ่งใดเลย กิมงึดตุดว่าตัวแกล้งให้เชาเหลงบุตรไปเข้าสามิภักดิ์อยู่กับบูเชียงก๋งแล้ว ตัวจะคิดเป็นไส้ศึกอยู่ในกองทัพเราหรือ เชาหยงว่าความอันนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยจะขอคุมทหารไปจับตัวเชาเหลงมาให้ท่านเห็นความจริง กิมงึดตุดได้ฟังก็ค่อยคลายโทโส สั่งให้เชาหยงคุมทหารไปเอาตัวเชาเหลงมาให้ได้ เชาหยงคำนับลาคุมทหารไปถึงหน้าค่ายบูเชียงก๋ง ก็ร้องเรียกให้เชาเหลงออกมาหา เชาเหลงแจ้งว่าบิดามาก็ขึ้นม้าถืออาวุธออกไปหน้าค่าย เชาหยงเห็นเชาเหลงออกมาก็โกรธเอาแซ่ม้าชี้หน้าแล้วว่ามึงไม่มีกตัญญู กิมงึดตุดชุบเลี้ยงก็ถึงขนาดแล้วยังกลับคิดประทุษร้ายไปได้ จงมาไปด้วยเราเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าขัดขืนอยู่ก็จะตัดศีรษะเสีย เชาเหลงว่าเดิมบิดากับข้าพเจ้าเกิดในแผ่นดินซ้องเป็นข้าราชการอยู่ในพระเจ้าเมืองเปียนเหลียง เหตุใดจึงไม่มีกตัญญูต่อเจ้านายของตัวเล่า กิมงึดตุดนี้เป็นศัตรูราชสมบัติของเจ้านายเราไม่ใช่หรือ ทำไมจึงจะให้ข้าพเจ้าไปยอมอยู่กับศัตรูแผ่นดินซ้องเล่า เชาหยงได้ฟังก็โกรธขับม้าเข้าไปจะฟัน เชาเหลง เอาอาวุธขึ้นรับไว้รบกับเชาหยงผู้บิดา เชาหยงเป็นคนแก่กำลังน้อย เสียทีเชาเหลงผู้บุตรฆ่าตายตัดเอาศีรษะเชาหยงผู้บิดาเข้าไปให้บูเชียงก๋ง เล่าความให้ฟังทุกประการ บูเชียงก๋งได้ฟังก็โกรธว่าตัวเจ้านี้ไม่มีกตัญญูฆ่าบิดาของตัวที่ให้เกิดมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้อื่นใครจะเลี้ยงเจ้าไว้ได้ จงไปเสียให้พ้นกองทัพเราในเวลานี้เถิด เชาเหลงได้ฟังก็ตกใจมีความละอายแก่คนทั้งหลายยิ่งนัก คิดว่าถ้าจะอยู่ในที่ใด ๆ คนทั้งปวงที่ไหนเขาจะนับถือ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นชักกระบี่ออกเชือดคอตายในทันใดนั้น บูเชียงก๋งให้ตัดเอาศีรษะเชาเหลงไปเสียบไว้หน้าค่าย

ฝ่ายกิมงึดตุดแจ้งว่าเชาหยงยกไปเอาตัวเชาเหลงผู้บุตรและถูกเชาเหลงฆ่าเสียแล้ว บูเชียงก๋งโกรธให้ตัดศีรษะเชาเหลงผู้ฆ่าบิดาตายมาเสียบประจานไว้หน้าค่าย มิได้ยินดีเข้าด้วยคนผิด กิมงึดตุดพูดสรรเสริญว่าบูเชียงก๋งคนนี้เขาดีจริง ตั้งอยู่ในสัจธรรม อย่างนี้หรือทหารทั้งปวงจะมิมีใจรักใคร่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การซึ่งเราจะดีเอาเมืองนิ่มอันครั้งนี้เห็นจะขัดสนอยู่ พอทหารรักษาประตูเข้ามาบอกว่า อ้วนมกถอเจ็ก อ้วนมกถอเชียะคุมม้าเลียงฮวนกะเบ๊มาถึงแล้ว กิมงึดตุดมีความยินดีให้หานายทหารทั้งสองเข้ามาแล้วพูดว่า ตั้งแต่เรามาสู้รบกับบูเชียงก๋งก็หลายครั้งยังไม่มีชนะ บัดนี้ท่านทั้งสองคุมม้าเลียงฮวนกะเบ๊มาถึงแล้ว จงพักปรนปรือให้มีกำลังพร้อมมูลออกไปรบก็คงจะได้ชัยชนะแก่ทหารบูเชียงก๋งเป็นแน่ อ้วนมกถอเจ็ก อ้วนมกกอเชียะก็คำนับลาออกมาจัดการให้ทหารปรนปรือม้า หายอิดโรยแล้วก็ยกไปหน้าค่ายบูเชียงก๋ง

ฝ่ายทหารม้าใช้กองสอดแนมเห็นกองทัพยกมาก็เอาความไปแจ้งแก่บูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งให้นายทหารมาประชุมพร้อมกัน แล้วว่ากองทัพม้าพวกฮวนยกมาคราวนี้ประหลาดกว่าทุกที ผู้ใดจะอาสาออกไปรบเอาชัยชนะได้บ้าง ขณะนั้นตังเชียน เอียวจิ้น เกียจุน เฮงซิน เฮงหงี นายทหารทั้งห้ารับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะคุมทหารคนละพันออกไปรบเอาชัยชนะข้าศึกให้จงได้ บูเชียงก๋งก็ยอมให้ไป นายทหารทั้งห้าคำนับลาออกมาจัดกองทัพพร้อมแล้วก็ยกออกไปหน้าค่ายตรงเข้ารบกับอ้วนมกถอเจ็ก อ้วนมกถอเชียะ อ้วนมกถอเจ็ก อ้วนมกกอเชียะทนฝีมือนายทหารทั้งห้าไม่ได้ ก็ถอยล่อกลับไปเข้ากระบวนม้า และกระบวนม้านั้นกิมงึดตุดให้อ้วนมกถอเจิก อ้วนมกกอเชียะเป็นนายฝึกหัดมานานแล้ว ชื่อว่าเลียงฮวนกะเบ๊ ม้านั้นมีสายโซ่ร้อยติดกันตับละยี่สิบตัว คนขี่ใส่เสื้อหนังอูฐ ถือทวนสะพายเกาทัณฑ์ทีหนีทีไล่ไปซ้ายไปขวาหัดได้คล่องแคล่ว ม้ายี่สิบตัวเหมือนตัวเดียว อ้วนมกถอเจ็ก อ้วนมกกอเชียะตั้งกระบวนไว้เสร็จแล้วจึงได้คุมทหารเข้ามายั่วให้ทหารบูเชียงก๋งออกรบแล้วก็ทำถอยหนี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ