เรื่องของผู้เที่ยวใน ๖๑ ประเทศ

เรื่องที่กล่าวต่อไปนี้เปนเป็นเรื่องของเคอแนลเอเธอตัน เป็นเลขานุการจัดการบินข้ามยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งได้กล่าวถึงในประมวญมารคฉบับที่ ๑๒ ครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องเหล่านี้บางแห่งก็ไม่น่าเชื่อแต่ขนบธรรมเนียมของชนในประเทศต่างๆ ซึ่งมิได้อยู่ติดต่อกับประชุมชน ซึ่งเราเรียกกันว่าศิวิลัยเลยนั้น ย่อมจะแปลกประหลาดเกินความนึกความฝันของเราผู้ไม่เคยไปเห็น และสมุดซึ่งเคอแนลเอเธอตันแต่งขึ้นนั้น ก็ปรากฏตามรีวิวว่าเป็นหนังสือตื่นเต้นกันมาก.

เขาว่ากันว่าเดี๋ยวนี้โลกเล็กลงทุกที จะไปที่ไหนในประเทศใดก็เห็นเหมือน ๆ กันไปหมด คำที่กล่าวเช่นนี้ท่านอย่าเชื่อ การเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ นั้นยังจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นอยู่เสมอๆ ถึงแม้คนเที่ยวจะมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สิ่งใหม่ ๆ ที่เห็นก็ยังมากอยู่นั่นเอง.

ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่ได้เที่ยวไปในประเทศต่าง ๆ ถึง ๖๑ ประเทศ ได้เห็นสิ่งแปลกต่าง ๆ ซึ่งทำให้ประหลาดใจจนแทบจะล้มลงกับที่ ได้เห็นที่ต่าง ๆ แลคนต่าง ๆ ซึ่งผู้เที่ยวโดยมากไม่เคยเห็น ไม่ว่าผู้เที่ยวจะเป็นซินแบดหรือเราท่านนี้เอง

ในโลกซึ่งถือกันว่าเป็นโลกสมัยใหม่นี้มีคนชาติแปลกๆ อยู่ในที่ไกล ๆ ซึ่งไม่เคยได้ยินข่าวศิวิลัยเซชั่นเลย เมื่อเห็นสิ่งที่เดินด้วยเครื่องจักรก็นึกว่าเป็นของเวทมนต์ หรือเป็นสิ่งซึ่งเจ้านรกทำขึ้น ข้าพเจ้าเคยไปในที่อยู่ของชนชาวทะเลทราย ซึ่งร้อนจนแทบจะเผาผิวหนังรองเท้าให้ไหม้ คนเหล่านั้นเกิดมาไม่เคยเห็นต้นไม้เลย.

ในแถบเหนือของโลกซึ่งเต็มไปด้วยน้ำแข็งนั้น มีคน าติต่าง ๆ ซึ่งไม่มีใครรู้จัก คนพวกนั้นใช้เวลาตลอดฤดูหนาวในการกัดหนังเพื่อจะให้อ่อน ในชีวิตคน ๆ หนึ่งล้างกายเพียง ๒ ครั้ง บีบคอพ่อแม่ตัวเองให้ตายในเวลาแก่ แลถือว่าการผิวปากเป็นความชั่วร้ายที่สุด.

ไม่ว่าทางเหนือหรือทางใต้ ผู้ชอบเที่ยวยังจะได้เห็นของแปลก ๆ อยู่เสมอ .

เมื่อ ๒-๓ ปีมาแล้วข้าพเจ้าได้ขึ้นรถยนต์เลยเมืองตูนิส เลยเข้าไปในทเลสาปสะหะรา ทเลสาปนั้นในฤดูร้อนก็ไม่มีอะไร นอกจากทรายซึ่งแดดเผาร้อนที่สุด เป็นเนื้อที่กว้างใหญ่กว่าทวีปยุโรปประมาณ ๘ เท่า ในทเลสาปนั้นมีทางไปหลาย ๆ ร้อยไมล์ แต่มักจะไปตันอยู่กลางทราย ถ้าไปตามทางนั้นก็ไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลกไปเลยตลอด ๆ วัน แม้จะนั่งไปในรถซึ่งเดินเร็วที่สุดก็จะเห็นเหมือนหนึ่งอยู่ที่เดียว

วันหนึ่งใกล้จะค่ำอยู่แล้ว ดูไปในโลกดูเหมือนไม่มีอะไรนอกจากที่ว่าง แต่ไม่มีอะไรเขยื้อนนอกจากทรายที่อยู่ใต้ล้อรถ ข้าพเจ้ากำลังนั่งนึกว่าในที่แบนใหญ่ซึ่งไม่มีมุมแลไม่มีปลายเช่นนี้หรือ ที่คนเราจะไปหาให้พบความตื่นเต้นหรือตระหนกตกใจอันใดได้ ทันใดนั้นข้าพเจ้าเห็นฝุ่นกลบมาในทราย ทราบได้ว่าเป็นคนขี่ม้าหมู่หนึ่งห้อตรงเข้ามาหาเรา

คนขี่ม้าพวกนั้นปรากฏเหมือนว่าโผล่ขึ้นมาจากดิน ข้าพเจ้านึกหวังในใจว่าเป็นความฝัน แต่ประเดี๋ยวเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นความจริงแท้ ๆ คนพวกนั้นถือดาบเงื้อง่า ถือปืนแกว่งอยู่ในมือ แต่ไม่มีเสียงอะไรเลย ห้อม้าตรงเข้ามาใส่เรา ครั้นเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าพวกนั้นมีผ้าคลุมหน้าทุกคน แต่ละคนเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ขี่อูฐ (ไม่ใช่ม้า) มีผ้าคลุมเบื้องล่างเหมือนหญิง ดูท่าทางน่ากลัวจนข้าพเจ้าคงจะไม่ลืมเลย

คนขับรถของข้าพเจ้าหยุดรถแล้วหันหน้ามาทำตาตื่นตกใจ เสียงสั่นบอกว่า “พวกตอเรคมาพบเราเข้าแล้ว มันเป็นพวกหยาบช้าทารุณไม่เชื่อถือคำพระเจ้า เราจะสิ้นชีวิตกันครั้งนี้ ขอพระอาหล่าจงโปรดช่วยเราด้วยเถิด” ข้าพเจ้าถามว่า “จะต้องกลัวอะไร เรานั่งนิ่งอยู่ดี ๆ มันจะยิงเราทำไม”

คนขับรถตอบว่า “อ้ายพวกนี้มันชอบเป้าแปลก ๆ เคราะห์ดีที่เราหยุดรถทัน ไม่เช่นนั้นมันคงอดยิงไม่ได้ อ้ายพวกนี้เป็นโจรทั้งนั้น มันสนุกในการรบแลการฆ่าฟันกัน ใคร ๆ ก็ต้องกลัวมันทั้งนั้น มันเห็นใครเข้ามันก็เกลียดทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน อยู่ ๆ มันก็โผลไปที่โน่นมาที่นี่ทั่ว ๆ ไป”

เมื่อพูดกันมาเพียงนี้ พวกนักรบในทเลทรายก็เกือบจะมาถึงตัวเราอยู่แล้ว ข้าพเจ้านึกได้ว่าพวกอาหรับชอบการแสดงความกล้า ข้าพเจ้าจึงหยิบหนังสือขึ้นอ่าน กิริยาเฉยเหมือนหนึ่งว่าไม่กลัวอะไรเลย

อีกครู่หนึ่งข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นดู เห็นพวกนั้นกำลังลงจากหลังอูฐ ดูอาการเหมือนคนเรียบร้อยซึ่งปลดความดุร้ายวางไว้บนอาน ไม่พาลงมาด้วย เมื่อลงจากหลังอูฐแล้วก็เดินเข้ามาพูดกับคนขับรถของข้าพเจ้า คนขับก็รีบลงจากรถไปพูดด้วย

อีกประเดี๋ยวหนึ่งคนขับรถหันหน้ามาหาข้าพเจ้า ความตกใจกลายเป็นความยิ้มแย้ม บอกข้าพเจ้าว่า “ผมบอกมันว่า ท่านเป็นคนมีวาสนาใหญ่อยู่ในทิศตวันออก มั่งมีแลมีอำนาจไม่มีใครเสมอ มันเชิญให้ท่านกินอาหารกับมัน”

ข้าพเจ้ารับเชิญทันทีเพราะรู้อยู่ว่าการต้อนรับของชาวทเลทรายนั้นกระทำโดยเต็มใจ และไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลย ถ้าพบคนแปลกหน้าก็นึกถึงความกลัว แลการเลี้ยงอาหารพร้อมกันเสมอ

อีกประเดี๋ยวเดียวพวกนั้นก็ปลดของต่าง ๆ ลงจากหลังอูฐ แล้วปักเต๊นสีดำขึ้นบนทรายแลจุดไฟทำอาหารกันเดี๋ยวนั้น

ข้าพเจ้าถามหัวหน้าพวกนั้นซึ่งตาเหมือนเหยี่ยวแลรูปร่างแข็งแรง ว่าได้กินข้าวมื้อก่อนเมื่อไหร่แลที่ไหน เขาบอกว่าไม่ได้หยุดกินข้าวมา ๓ วันแล้ว แลได้เดินทางมากว่า ๓๐๐ ไมล์.

ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่าคำที่บอกนั้นเป็นความจริง พวกโจรทเลทรายเหล่านี้หัดตัวจนอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ แลหัดกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กหนุ่มยังไม่ถือกันว่าเป็นคน จนกว่าจะเดินทางไม่มีอาหารได้ทั้ง ๕ วัน แลเมื่อคร่ำเคร่งได้ถึงดังนั้นแล้ว ก็ยังรบสู้ได้อย่างแข็งแรงที่สุด การอดทนเลียนเยี่ยงอูฐนี้แหละที่ทำให้คนพวกอื่น ๆ กลัวพวกตอเรคเหมือนกลัวผีหรือกลัวเทวดา หัวหน้าพวกตอเรคบอกล่ามให้ถามข้าพเจ้าว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงนุ่งกางเกง ข้าพเจ้าตอบว่าเหตุใดก็ไม่รู้ว่าตัวเองนุ่งกางเกง แต่อยากรู้ว่าเหตุใดพวกนั้นจึงใช้ผ้าคลุมหน้า

เขายิ้มแล้วว่า “เราพวกตอเรคใช้ผ้าคลุมหน้ามาแต่ไหน ๆ ใครดูหน้าเราซึ่งไม่ได้คลุมผ้าไม่ได้ แม้ในเวลานอนเราก็ไม่เอาผ้าคลุมหน้าออก”

ข้าพเจ้าถามว่าผู้หญิงก็เหมือนกันหรือ แต่คนขับรถของข้าพเจ้าชิงอธิบายก่อน ว่าผู้หญิงพวกตอเรคนี้ไม่เหมือนผู้หญิงพวกมอสเลมชาติไหน ๆ เลย ผู้หญิงพวกตอเรคนี้บางอย่างสำคัญกว่าผู้ชาย เป็นต้นว่าไม่คลุมหน้าเลย แลอยากจะหย่าผัวเมื่อไหร่ก็หย่าได้ เมื่อจะแต่งงานก็ผู้หญิงเป็นคนชวน แต่เมื่อผู้หญิงตอเรคขี่ม้าข้ามทะเลทรายไปหาคู่ ก็ไม่มีใครกล้าล่อลวงหรือทำอันตรายเลย

ในมุมเถื่อนของโลกมุมนี้ ผู้หญิงไม่ต้องทำงานเลย จะจนเท่าไร ๆ ก็มีบ่าวไว้ใช้ เพราะเป็นธุระของผัวที่จะหาบ่าวมาให้เมีย ถ้าหาไม่ได้ก็บกพร่องในหน้าที่โจร พวกผู้หญิงไม่ทาหน้าหรือผัดหน้าเลย การแต่งหน้าเช่นนั้นปล่อยไว้สำหรับชายเท่านั้น

พวกชายไม่เปิดคลุมหน้าเลย ถ้าเมียจะจูบผัวก็ต้องจูบบนจมูก ลดผ้าคลุมลงไปเสียหน่อยเพื่อการนั้น.

รุ่งขึ้นเช้าพวกนั้นจะเดินทางต่อไป ข้าพเจ้าก็บอกว่าจะไปทางเดียวกัน เขาก็ยอมให้ไปด้วย กำลังเตรียมจะออกเดินทางกันอยู่ก็มีเหตุซึ่งทำให้ข้าพเจ้าตกใจเป็นอันมาก คือชายคนหนึ่งตะโกนแล้วเอาดาบพุ่งเอาหัวหน้า ข้าพเจ้านึกว่าจะเกิดฆ่ากันตาย แต่ก็เปล่า หัวหน้าหัวเราะแล้วฉวยดาบที่พุ่งมานั้น พุ่งกลับไปอย่างว่องไวที่สุด พวกอื่น ๆ เห็นดังนั้น ต่างคนก็ต่างเอาดาบพุ่งกัน ผู้ถูกพุ่งก็รับดาบพุ่งกลับไปอีก ดูน่ากลัวที่สุด แต่ไม่เห็นดาบบาดมือใครเลย.

เมื่อเดินทางไปได้หน่อยก็ไปถึงเนินหินซึ่งมีบ่อน้ำอยู่ ด้วยข้างบ่อน้ำนั้นมีจอมปลวก (หรือมด) ซึ่งพวกอาหรับหยุดดูแลพูดเล่นกันอย่างสนุก ข้าพเจ้าถามได้ความว่า เมื่อ ๒-๓ วันมานั้นเอง ชายตอเรคคนหนึ่งถูกจับได้ว่าขโมยเมียคนอื่น จึงถูกลงโทษเอาตัวฝังเพียงคอใกล้จอมปลวกชนิดนั้น พวกปลวกหรือมดออกจากรังมาตั้งล้านเพื่อกินอาหารมีชีวิต รุ่งขึ้นเข้าเหลือแต่กระโหลกศีร์ษะขาวซึ่งโผล่อยู่พ้นทราย เป็นเครื่องแสดงนิสัยแง่หนึ่งของโจรพวกนั้น

บัดนี้จะกระโจนจากภูมิประเทศที่ร้อนที่สุด ไปหาภูมิประเทศหนาวที่สุดในแถบขั้วเหนือแห่งโลก.

ในที่นั้นเป็นที่ว่างโล่งไปจนสุดสายตา เช่นเดียวกับทเลทราย แต่มีหิมะเย็นแทนทรายร้อน หิมะที่ตกถึงดินแล้วนั้นแข็งเป็นน้ำแข็ง แลลมที่พัดนั้นถ้าคนมิได้สวมเสื้อขนสัตว์อย่างหนา ก็ดูเหมือนแทบจะพัดให้เนื้อหลุดไปจากกระดูกได้ด้วยความเย็น ในภูมิประเทศเช่นนี้ มีคนอยู่หลายพวกซึ่งนาน ๆ จะได้เห็นพระอาทิตย์สักหนหนึ่ง เมื่อไรเห็นก็บูชาเป็นเทวดา ชีวิตของคนเหล่านี้แทบจะกล่าวได้ว่ารวมอยู่ในกวางชนิดหนึ่งที่เรียกรินเดีย ถ้าไม่มีกวางชนิดนั้นก็ไม่มีอะไรจะใช้เป็นพาหนะ และไม่มีขนสัตว์ชนิดใดจะให้ความอบอุ่น และไม่มีเนื้อสัตว์ซึ่งจะเป็นอาหารให้เกิดเลือดเนื้อพอที่จะอยู่ในความหนาวเช่นนั้นได้

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าขึ้นรถยนต์ไปจากประเทศสวีเด็น มีชาวประเทศนั้นเป็นผู้นำทาง ๒ คน ได้ขับรถไปไกลที่สุดที่รถจะไปได้ เมื่อรถไปไม่ได้อีกแล้วก็ลงเดินไปจนถึง ที่อยู่ของพวกฟินพวกหนึ่งอยู่บนฝั่งทเลสาปซึ่งน้ำแข็งทั่วไปหมด คืนนั้นเรานอนพักในกระท่อมซึ่งฝามีหญ้าแห้งยัดกันหนาเหมือนหมอนยัดนุ่น ที่ทเลสาปนั้นมีเรือนอนอยู่บนน้ำแข็งบ้าง เรือเหล่านั้น คล้าย ๆ เรือที่ทำในประเทศอังกฤษในสมัยต้นพงศาวดาร รุ่งขึ้นเราเดินข้ามทเลสาปไปจนเข้าเขตที่อยู่ของพวกแลปป์ พวกนี้อยู่กินอย่างเดียวกับที่ได้เคยอยู่กินเมื่อพันปีมาแล้ว มีสุขอยู่ในความเงียบของพื้นที่ รังเกียจโลกนอกกระท่อมยัดหญ้าแห้งของตนเท่ากับรังเกียจกาฬโรค

เมื่อข้าพเจ้าไปถึงหมู่บ้านแลปป์หมู่แรกถือกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือ พวกชาวบ้านก็วิ่งตรงเข้ามาทำท่าเหมือนดังจะกินเนื้อ ดูเหมือนไม่มีหมาตัวไหนจะมีอาการดุยิ่งกว่าคนพวกนั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจภาษาแลปป์เลย จึงไม่รู้จะพูดจาประการใด ครั้นพวกนั้นล้อมใกล้เข้ามารอบ ๆ ตัว ข้าพเจ้าก็นึกพิศวงในใจว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงอย่างไร และไม่ทราบในเวลานั้นว่าพวกแลปป์นี้บางทีก็รับแขกด้วยวิธีเอาไม้ตีหัวเลย

ผู้นำของข้าพเจ้าพูดจาชี้แจงกับพวกชาวบ้านโดยถ้อยคำตรงกันข้ามกับที่คนขับรถได้เคยชี้แจงแก่พวกตอเรคในทเลทราย คราวโน้นล่ามบอกแก่ชาวพื้นที่ว่าข้าพเจ้าเป็นคนมีอำนาจวาสนามาก คราวนี้บอกว่าเป็นคนไม่สำคัญอะไรเลย ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปในกระท่อมโดยไม่ได้รับเชิญ จะไม่ทำตาเกี้ยวพวกผู้หญิงหรือทำร้ายกวางเป็นอันขาด ที่ข้าพเจ้าไปในที่นั้นก็เหมือนไม่ได้ไป เพราะเป็นคนไม่สำคัญเลย

ส่วนกล้องถ่ายรูปนั้นผู้นำชี้แจงว่าตาบอดเสียแล้ว ถึงจะเห็นอะไรก็เห็นไม่ตรง ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลย

เมื่อได้ชี้แจงกันอยู่เช่นนี้พักหนึ่งแล้วคนพวกนั้นก็หายโกรธ กำหมัดก็กลายเป็นมือแบ และข้าพเจ้าก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ในหมู่บ้านนั้น ๒-๓ สัปดาห์ ได้เห็นความน่าพิศวงของคนชาตินั้น

ในประเทศที่เล่านี้ คนทุกคนกิน นึก แลพูดถึงรีนเดียเท่านั้น คนพวกนี้แต่ละคนเหมือนกันเหมือนถั่ว ๒ เมล็ด หน้าเหมือนเตารีด เผ้าผมดำแลไม่เคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่าสงครามเลย ข้าพเจ้าเล่าถึงมหาสงครามแลการรบใหญ่ทั้งบนบกแลในทเล แต่พวกนั้นไม่ “ทึ่ง” ถามแต่ว่าเมื่อพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษยกทัพไปต่อสู้สัตรูนั้น ทรงใช้รีนเดียอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าได้ตอบว่าพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษไม่ได้พารีนเดียไปรบด้วย ทรงปล่อยให้อยู่ในสวนใกล้พระราชวัง มีหญ้าแห้งมากพอให้รีนเดียได้ความสบาย เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วพวกแลปป์ก็มีความพอใจ

เช้าวันหนึ่งพวกแลปป์สอนให้ข้าพเจ้าขับรีนเดีย รีนเดียตัวเดียวอาจจะลากน้ำหนัก ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ ปอนด์ วิ่งไปได้ชั่วโมงละ ๑๐ ไมล์แลวิ่งอยู่วันยังค่ำ แต่การขับรีนเดียนั้น ยากกว่าขับสัตว์อื่น ๆ ที่ข้าพเจ้าเคยพบ เพราะใช้บังเหียนสายเดียว ซึ่งต้องถือแน่นมิฉนั้นเป็นต้องเกิดเหตุ ถ้าผู้ขับไม่ใช่ผู้ชำนาญมันก็รู้ แลเมื่อข้าพเจ้าหัดขับนั้น พอจับบังเหียนเข้ามันก็หยุดแล้วคว่ำเลื่อนเสีย แลทำท่าจะขวิด จนข้าพเจ้าต้องเข้าไปอยู่ใต้เลื่อน

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงรีนเดียทั้งฝูงหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะมีริ้นแลยุงมิรู้กี่ล้านมากัดกินเลือดกวาง พวกกวางต้องออกจากป่าหนีไปยังพื้นที่สูง ต่อถึงฤดูหนาวจึงจะกลับมาอีก และกลับไปหาเจ้าของตามเดิม เหมือนหนึ่งกับมีเครื่องจูงให้กลับ

ในเวลากลางคืนมักจะมีฝูงหมาป่ามาเที่ยวหากินใกล้ ๆ ที่คนอยู่ หมาป่าเป็นสัตรูสำคัญที่สุดของพวกแลปป์ เพราะมากัดกินรีนเดียซึ่งเป็นทรัพย์วิเศษ แต่พวกแลปป์นั้นชำนาญการทำลายศัตรูเป็นอันมาก

พวกแลปป์นั้นเมื่อใช้เกือกหิมะก็ไปได้เร็วกว่าลม เร็วกว่าหมาป่ามาก ดูเหมือนกับบินไปบนหิมะ ในมือถือกะบองสั้นอันเดียวไล่ตามหมาป่าไปบางทีตั้งหลายวัน เมื่อไล่ทันหมาที่กำลังวิ่งห้อก็วิ่งแข่งออกหน้าไป เวลาที่ผ่านนั้นตีกลางหลังหมา แล้วหันกลับมาทันทีเข้าต่อสู้กันอีก แต่ประเดี๋ยวเดียวหมาก็นอนกลิ้งอยู่กับที่

ในการทำหนังรีนเดียไว้สำหรับใช้นั้น พวกผู้หญิงทำงานมากกว่าผู้ชาย ความหนาวในพื้นที่ทำความสดชื่นในชีวิตหญิงชายให้เย็นไปหมด เจ้าสาวมักจะต้องใช้เวลามาก ๆ ในชั้นต้น ๆ ในการเคี้ยวหนังให้อ่อนสำหรับให้เจ้าบ่าวใช้ภายหลัง

อาหารที่ข้าพเจ้ากินเมื่ออยู่กับพวกนั้น คือเนื้อรีนเดีย ซึ่งเอาตีนแลขนต้มลงไปในหม้อด้วย

ข้าพเจ้าลาพวกจมูกแบนพวกนั้นมาโดยความอาลัย รู้สึกว่ามาเสียจากลูกหลานของหิมะ ซึ่งมีความสุขแลความพอใจในชีวิตอันเงียบของตน แลฝันถึงอยู่แต่ฝูงรีนเดียอันบุคคลพึงพิศวงเท่านั้น

บ่ายวันหนึ่งในเดือนตุลาคม ข้าพเจ้าลงเรือข้ามทเลสาปไปถึงที่พักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีฝูงรีนเดียอยู่ในคอกใหญ่ทำด้วยกิ่งไม้แข็งแรง มีผู้หญิงสาว ๆ รักษาอยู่ หญิงเหล่านั้นต้องรักษาชีวิตตัวเองด้วยชีวิตรีนเดียด้วย แลภัยที่จะเกิดแก่คนแลสัตว์ก็คือหมาป่า ต่อนั้นไปหนังสัตว์เหล่านั้นจะเลือกที่ดี ๆ ส่งไปลงเรือเป็นสินค้า หนังบางท่อนอาจจะไปขายอยู่ตามร้านในลอนดอนก็ได้

เมื่อข้าพเจ้าเห็นพวกผู้หญิงแลปป์ห่มเสื้อขนสัตว์ ถือไม้นั่งเฝ้ารีนเดียอยู่บนหิมะนั้น ข้าพเจ้านึกว่าผู้ใช้ชนรีนเดียในประเทศอังกฤษไม่รู้ได้เลยว่า กว่าขนเหล่านั้นจะไปถึงร้านในลอนดอนได้ ก็ต้องมีตำนานมาอย่างไรบ้าง

เหนือกว่านั้นขึ้นไปอีกในที่ซึ่งรีนเดียอยู่ไม่ได้ ก็เป็นที่ซึ่งหมาเป็นสัตว์สำคัญที่สุด คนพวกที่เรียกว่าชุกชีอยู่ในที่เหล่านั้น แลพวกนี้เป็นพวกที่อยู่เหนือที่สุดในทวีปเอเซีย ความหนาวในที่นั้นปรอทต่ำกว่าศูนย์ถึง ๘๗ ดีกรี

ในที่เหล่านั้น คนมีขนบธรรมเนียมแปลกประหลาด เหมือนความแปลกประหลาดของบ้านเรือนที่อยู่ แต่ถ้าใครไม่มีกำลังแข็งแรงก็อยู่ไม่ได้

เมื่อข้าพเจ้าเที่ยวไปในไซเบอเรีย ได้พบพวกยากุตส์หลายพวก ข้าพเจ้าถามว่า อาบน้ำบ้างหรือเปล่า ได้รับตอบว่าในชั่วชีวิตหนึ่งอาบครั้งหนึ่งหรือ ๒ ครั้ง เพราะความหนาวเกินไปและความหนาวฆ่าคนตายเร็วที่สุด

ข้าพเจ้าถามว่าความหนาวฆ่าคนแก่หรือไม่ คนแก่คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ในความหนาวเช่นนั้น

พวกนั้นตอบว่า “เป็นธรรมเนียมของพวกเราที่ลูกชายผู้มีความกล้าต้องบีบคอพ่อซึ่งถึงเวลาควรตาย”

คนพวกนี้เหมือนพวกทเลทรายในข้อที่ว่าไม่เคยเห็นต้นไม้ใหญ่เลย แต่กระท่อมที่อยู่นั้นทำด้วยซุงทั้งนั้น ที่มีซุงทำบ้านก็เพราะว่าเมื่อสิ้นฤดูหนาวจัดปีหนึ่ง ๆ น้ำแข็งละลายไหลมาโดยแรงจนถึงทำให้ต้นไม้โค่น แล้วพัดพาต้นไม้นั้นมาตามกระแสน้ำ ครั้นต้นไม้เหล่านั้นมาถึง พวกคนที่ไม่เคยเห็นต้นไม้ขึ้นจากดินพวกนั้นก็เก็บกองไว้ ครั้นเวลาน้ำแข็งก็ลากซุงข้ามน้ำแข็งไปใช้ปลูกเรือน

ในพวกคนบางชาติมีขนบธรรมเนียมซึ่งถ้าเราไม่รู้ก็เกิดเป็นภัยได้มาก ๆ เป็นต้นว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปพักอยู่ในหมู่บ้านชาวมงโก้ ข้าพเจ้าผิวปากเล่นเพราะไม่รู้ประเพณีของเขา ทันใดนั้นพวกชาวบ้านวิ่งเกรียวกันออกมาจากกระท่อมแล้วร้องว่า ข้าพเจ้าดูหมิ่นผีสางเทวดาของเขา จะทำให้เกิดอันตรายแก่ประชุมชน ว่าดังนั้นแล้วก็แสดงอาการเหมือนจะเข้าทำร้ายข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารีบคิดแก้ไข พอเห็นท่าทางจะแก้ได้ก็บอกแก่หัวหน้าว่ายังไม่เป็นไร ให้ตามข้าพเจ้ามาที่กระโจมที่พักของข้าพเจ้า ๆ จะบอกวิธีแก้ให้

ครั้นหัวหน้าเข้าในกระโจมของข้าพเจ้า ๆ ก็หยิบขวดเชอรีบรั่นดีออกมาให้ดู แล้วบอกว่าถ้าเอาสุราทิพย์รินใส่ถ้วย แล้วแหงนส่องดูผีสางเทวดาเป็นการเคารพ ผีสางเทวดาก็จะยกโทษให้ พวกนั้นยังไม่แสดงอาการว่าเชื่อ ตายังแลดูข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งว่าจะฆ่าเสีย แต่ก็ยังไม่ทำอะไร ข้าพเจ้าจึงรินเชอรีบรั่นดีใส่ถ้วยยกขึ้นชูแล้วอธิษฐานว่า “ข้าแต่ผีสางเทวดา ข้าพเจ้าดื่มสุรานี้เพื่อแสดงเคารพต่อท่าน ขอให้ท่านยกโทษข้าพเจ้าที่ผิวปากให้ท่านได้ยิน”

ข้าพเจ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพวกนั้นไม่เข้าใจเลย แต่ข้าพเจ้าชี้ให้หัวหน้าทำตามอย่างข้าพเจ้าบ้าง ครั้นทำตามแล้วก็แสดงอาการเห็นจริงว่าผีสางเทวดาคงจะยกโทษให้ ข้าพเจ้าจึงให้เหล้านั้นไว้ทั้งขวดเพื่อจะต้องบูชาอีกในภายหน้า

ในประเทศตวันตกคือทวีปยุโรปกับอเมริกาในสมัยนี้ วิชาหมอยาและหมอผ่าตัดอาจรักษาโรคได้อย่างที่คนชั้นปู่แลทวดของเราคงจะประหลาดใจจนลืมตาค้าง คนรุ่นก่อนไม่เคยนึกเคยฝันว่ามนุษย์จะรักษาโรคด้วยยาแลด้วยมีดสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ ในโรงพยาบาลก็ดี ในบ้านบุคคลก็ดี แพทย์สมัยใหม่มีวิธีและฝีมือเยียวยาร่างกายคนใช้อย่างน่าพิศวง แลทำกันแทบจะทุกวันจนกลายเป็นของธรรมดา แต่ถ้าใครทำเช่นนี้เมื่อสองร้อยสามร้อยปีมาแล้ว ก็คงจะถือกันว่าเป็น “มายาดำ” หรือเล่กะเท่ซึ่งเวทมนต์และเทวดาหรือผีบันดาลให้เป็นไปได้

แต่แม้ความรู้แผนตวันตกในเวลานี้ ถ้าพูดบางอย่างก็ยังไม่เท่าเทียมกับความรู้โบราณของชาวตวันออก ถ้าจะเทียบกันที่เสมอความรู้เด็กกับความรู้ผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าได้เห็นการรักษาโรคอย่างแปลกประหลาดหลายอย่างซึ่งจำต้องกล่าวว่าผิดธรรมดา และถ้าจะกล่าวว่าเข้าเค้ามายาอย่างโบราณ ก็ควรกล่าวได้

ในประเทศจีนภาคตวันตกเฉียงใต้ ข้าพเจ้าพบจีนแสชราคนหนึ่ง สวมแว่นตา หนังเหี่ยว เป็นหมอยาด้วย หมอฟันด้วย จีนแสคนนี้ภายหลังรู้จักจนคุ้นกับข้าพเจ้า

จีนแสกล่าวว่า “หมอของเราฉลาดนัก ได้ตรวจพบแล้วว่ากายมนุษย์นี้แบ่งเป็นตาราง ๑๖๗ ตาราง ตารางหนึ่งติดต่อกับเครื่องจักรชิ้นหนึ่งในตัวคน เมื่อหมอจะตรวจหาโรคก็สกิดให้เป็นแผลตามตารางที่สงสัย แล้วตรวจดูเลือด ถ้าไม่พบโรคก็ลองตารางอื่นต่อไปอีกจนพบ”

วันหนึ่งข้าพเจ้าไปหาจีนแส พบคนป่วยคนหนึ่งมาให้รักษา คนนั้นปวดฟันอย่างน่าเวทนามาก ข้าพเจ้าเหลียวแลดูในห้องนั้น ไม่เห็นมีเครื่องมือหมอฟันเลย จึงตั้งใจดูวิธีรักษาของจีนแซซึ่งเห็นประหลาดที่สุด

ขึ้นต้น จีนแสเอาผงขาวชนิดหนึ่งซึ่งมีกลิ่นคล้าย ๆ ไม้ยมหอมและการะบูน เอานิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือหยิบผงนั้นมาถูที่ฟันปวด ถูบนฟันแลตามเหงือกรอบ ๆ ถูอยู่เช่นนี้ประมาณ ๓๐ นาฑี แล้วก็คอยประมาณ ๑๐ นาฑี ให้ยาซึมเข้าไปในเหงือก แล้วเอานิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับฟันโยกไปมาค่อย ๆ แล้วพูดว่า “ฟันซีกนี้ชั่วร้ายกาจมาก แต่ว่าไม่เป็นความลำบากแก่ฉัน เพราะความรู้ย่อมสามารถกว่ากำลัง”

ประมาณสักครึ่งนาฑี ดูเหมือนจะพูดยังไม่ทันขาดคำ ฟันนั้นก็ถอนขึ้นมาเหมือนก๊อกจุกขวด แต่ง่ายกว่านั้นไปอีก ข้าพเจ้านั่งพิศวงว่าช่างง่ายเสียนี่กระไร

จีนแสถามข้าพเจ้าว่า “ในประเทศตวันตกมีอะไรที่ให้อำนาจแก่หมอฟันอย่างนี้บ้างหรือไม่”

ข้าพเจ้านึกถึงเครื่องมือเจาะฟันและคีมถอนฟันของหมอฝรั่ง และตอบว่า “ฉันไม่เคยเห็นอะไรที่ช่วยหมอฟันได้ดังนี้”

จีนแสตอบว่า “ที่ทำนี้เป็นของง่ายเสมอเด็กเล่น ฉันอาจทำสิ่งอื่นให้เห็นอำนาจของยาแลวิธีรักษาโรคอย่างน่าพิศวง ซึ่งนักปราชญ์โบราณในประเทศตวันออกได้ใช้เวลามากมายเพื่อศึกษาให้รู้ได้”

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งข้าพเจ้าไปกับจีนแสเพื่อจะไปดูการรักษาคนเจ็บคนหนึ่ง ไปพบคนเจ็บกำลังนอนครวญครางเพราะตกจากม้ากำลังห้อ ขาบวมไปทั้งข้าง เจ้าของไข้บอกให้ข้าพเจ้าดูบาดแผลที่ขาคนเจ็บ ข้าพเจ้าดูเห็นช้ำดำและแดงไปหมด แลบวมแทบจะปริ

จีนแสดูแล้วก็พูดอะไรอยู่ในคำ แล้วเรียกเอาขวดเล็กสี่เหลี่ยมขวดหนึ่งจากผู้ช่วย ในขวดนั้นมียาน้ำสีเหลืองคล้ายสีเนย จีนแสเอายานี้ทาที่ขาเจ็บ แล้วเอาผ้าพันไว้ไม่สู้แน่นนัก ผ้าฟันนั้นทิ้งไว้ประมาณ ๒๐ นาฑี ก็แก้ออก เอายาทาอีก แลผ้าพันอีก คราวนี้หมอนวดขาที่เจ็บเหมือนหมอนวดอย่างชำนาญ

ถ้าพูดตามธรรมดาของการฟกช้ำ การรักษาเช่นนี้ย่อมจะทำให้เจ็บปวดมากที่สุด แต่คนเจ็บก็ไม่เห็นแสดงว่าเจ็บปวดอะไรเลย หน้าตาก็เป็นปรกติอยู่ ถ้าจะสันนิษฐาน ก็ควรสันนิษฐานว่านยานั้นทำให้ขาชาจนนวดที่แผลช้ำก็ไม่เจ็บ

เมื่อนวดไปได้สัก ๒๐ นาฑี หมอก็ลุกขึ้นยืนตบมือ ผู้ช่วยก็แก้ผ้าพันแผลออก คนเจ็บก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกับไม่ได้ตกม้าและไม่ได้เจ็บเลย ก่อนที่รักษานี้คนเจ็บลุกไม่ขึ้นแลใช้ขายันไม่ได้

รุ่งขึ้นเช้า ข้าพเจ้าไปหาคนเจ็บเพื่อจะดูว่าเป็นอย่างไรต่อไป ขอดูขาก็เห็นยุบบวมลงไปแล้ว แลรอยฟกช้ำดำแดงก็เกือบจะหมดไป

ข้าพเจ้าพยายามจะให้จีนแสบอกตำรายาลับนั้นก็ไม่สำเร็จ ยานั้นทำด้วยอะไรและเป็นอย่างไรจึงรักษาขาชำรุดให้เป็นขาดีได้ ตาจีนแสก็ปิดความลับไม่ปริปากให้ทราบเลย แต่แม้แกจะนิ่งฉนั้นก็จริง แกได้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าวิธีรักษาของแกเป็นวิธีซึ่งทำไม่ได้ในโรงพยาบาลยุโรป

ต่อมาอีกสองปีจีนแสคนนั้นก็ตายไปสู่โลกของบรรพบุรุษ มีผู้โศกเศร้ากันมาก และคนบูชาก็มี จีนเชื่อกันว่า จิตที่ละโลกนี้ไปสู่โลกหน้านั้นต้องได้รับความช่วยเหลือให้พอเพียง ต้องมีเรือน ต้องมีเสื้อผ้า ต้องมีเงินเป็นต้น จนชั้นรถยนต์ก็ต้องมี

จีนแสผู้ตายนั้นเคยมีรถยนต์เก๋ง ซึ่งชอบใจหนัก รถนี้ก่อนจะตายเจ้าของได้สั่งไว้ว่าให้ทำเครื่องกงเต๊กเผาส่งตามไปให้พร้อมทั้งคนขับด้วย รถยนต์เครื่องกงเต๊กนั้น เมื่อเผาเป็นไฟไปแล้วก็เชื่อกันว่าไปเกิดเป็นรถใหม่ในโลกโน้นสำหรับให้เจ้าของได้ใช้เหมือนเคยใช้ในโลกนี้ คำสั่งของผู้ตายในเรื่องรถยนต์นี้ เจ้าภาพงานศพได้ทำตามเป็นอย่างดี

ในประเทศจีนบางส่วน หมอได้เงินค่ารักษาต่อเมื่อคนไข้หาย บางทีหมอต้องไปอยู่บ้านคนเจ็บจนหายหรือตาย

การรักษาไข้ในประเทศธิเบตนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบว่า มีห้ามสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือว่าไม่ให้คนไข้นอนหลับเวลากลางวันเลย พวกลามา (คือนักบวชในธิเบต) ซึ่งเป็นทั้งพระและหมอไปในตัว มีคติประหลาดว่าในข้อมือคนข้างหนึ่งมีทางชีพจร ๓ ทาง ข้างหนึ่งเลือดเหลืองมาจากดีแลตับ อีกข้างหนึ่งเลือดแดงมาจากหัวใจ

ธิเบตแม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นแหล่งใหญ่ของมายาแลเวทมนต์ อย่างเดียวกับที่เคยมีในยุโรปสมัย ๕๐๐ ปีมาแล้ว พวกลามาหมวกดำในกรุงลาซา (เมืองหลวงแห่งธิเบต) เป็นหมอรักษาตั้งแต่พลเมืองธรรมดาไปจนถึงสังฆมหาราชา (ดาไลลามา) ซึ่งยังมีชนมายุเป็นเด็ก บางทีก็ทำให้สังฆมหาราชาตกใจจนตาย สังฆมหาราชาในประเทศธิเบตมักจะตายแต่ยังเด็ก ที่จะอยู่จนโตเป้นผู้ใหญ่นั้นมีน้อยนัก ที่เรียกว่าสังฆมหาราชานี้คือเจ้าแผ่นดิน เพราะธิเบตเป็นประเทศซึ่งพระสงฆ์เป็นเจ้าแผ่นดิน

มีฤษีและนักบุญเป็นอันมากอยู่ในพื้นที่บนเขาสูงซึ่งเรียกกันว่าหลังคาแห่งโลก พวกนั้นโดยสมาธิแลความฝึกซ้อมอยู่เสมอจึงสามารถจะทำอะไรต่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนกับมายา เป็นต้นว่าข้าพเจ้าเคยเห็นโยคีและฤษีบางคนซึ่งบังคับลมหายใจได้ จนถึงทำให้ตัวลอยขึ้นจากพื้นก็ได้ ฟังด้วยกระบังลมก็ได้ หายใจทางหูก็ได้

มีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า โยคีแลฤษีพวกนั้น ใช้เจตภูตของตนเองทำให้ตัวลอยไปในอากาศได้ และจะไปบนยอดเขาสูงก็ได้ สอดรูกุญแจไปก็ได้ และทำอื่น ๆ ได้เหมือนที่เขาเล่าในนิทานสำหรับเด็ก

การที่จะทำให้ได้เช่นนี้ ขึ้นต้นต้องบังคับกายซึ่งมีความรู้สึกเสียก่อน แล้วจึงดำเนินต่อไปโดยใช้จิต

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเดินทางไปในที่เขาสูงซึ่งมีหุบเขา ครั้นไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง พบเพ็ชรฆาตหลายคนกำลังพยายามจะถ่วงน้ำหลวงจีน (นักบวช) รูปหนึ่งให้ตาย หลวงจีนรูปนั้นมีความสามารถศักดิ์สิทธิ์อย่างแปลกประหลาด แต่ถูกหาว่าทำความผิดทางการเมือง

เพ็ชรฆาตเอาก้อนหินถ่วงคอแลขาหลวงจีน แล้วเอาตัวโยนลงในแม่น้ำซึ่งไหลเชี่ยวคว้าง หินก็ถ่วงตัวจมลงไปอยู่ใต้น้ำประมาณ ๑๕ นาฑี พวกเพชรฆาตจึงดึงเชือกเอาตัวกลับขึ้นมาอีก แต่แกก็ไม่ตาย พวกเพ็ชรฆาตร้องเอะอะ แล้วเอาตัวโยนลงในแม่น้ำอีก คราวนี้ทิ้งไว้นานกว่าคราวก่อน และข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาศถามเรื่องราวที่ต้องประหารชีวิต ระหว่างเวลาที่เล่าให้ข้าพเจ้าทั้งนั้น พวกเพ็ชรฆาตคอยกระตุกเชือกดูเหมือนกับพรานเบ็ดกระตุกสายเบ็ด และเมื่อได้ทิ้งไว้ใต้น้ำนานกว่าสองเท่าที่ควรจะพอแล้ว ก็กลับดึงขึ้นมาอีก แต่ตาหลวงจีนแกก็ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง

คนพวกที่เห็นนั้นต่างตกใจพิศวง บางคนก็คุกเข่าอ้อนวอนขอโทษ เพราะเข้าใจว่าหลวงจีนนั้นมีบุญจนไม่ตาย การที่รอดได้เช่นนั้นจะเป็นด้วยเหตุใดคนดูก็หาเข้าใจไม่ ครั้นคนทั้งหลายไปหมดแล้ว หลวงจีนเฒ่าได้พักพอสบายแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้าไปพูดด้วย แกบอกข้าพเจ้าว่า ใครจะถ่วงน้ำให้แกตายนั้นไม่ได้ เว้นแต่แกจะต้องการตายเอง แกสามารถทำให้เกิดอากาศหายใจในตัวแกเอง และรักษาชีวิตไว้ เหมือนไฟอยู่ข้างใน เพราะฉนั้นถึงถ่วงอยู่ใต้น้ำ หรือฝังไว้ใต้ดินก็หายใจได้

วัดในประเทศธิเบตนั้น มักจะอยู่ตามไหล่เขาสูง เป็นที่อยู่ของเรื่องไม่น่าเชื่ออย่างประหลาด ชาวประเทศธิเบตเป็นนักบวชและฤษีประมาณ ๑ ใน ๕ ของจำนวนพลเมืองทั้งหมด พวกนั้นไปอยู่วัดตั้งแต่เด็ก บางคนก็ไม่กลับออกมาเลยตลอดชีวิต

พวกนักบวชหรือหลวงจีนเหล่านั้นเป็นหมอ เป็นพระ เป็นนายแบงค์ แลเป็นเจ้าเมือง ตลอดจนเจ้าแผ่นดินก็นักบวชนั้นเอง

นักบวชในธิเบตบางคนบำเพ็ญตัวเป็นผู้อยู่คนเดียวตลอดชีวิต เพื่อจะได้เรียนความรู้ประหลาดอันเป็นของมีมาเก่า และเพื่อจะบูชายอดเขาสูงเช่นเอเวอรเรสต์เป็นต้น ในหมู่เขาหิมาลัยด้านเหนือ มีเขาหมู่หนึ่งเรียกว่ากะระโกรัม ยอดเขาเหล่านี้มีหลายยอดซึ่งถือกันว่าเป็นเทวดา มีพวกนักบวชไปอยู่และตัดตัวให้พ้นออกไปจากโลกมนุษย์ เป็นแต่สวดมนต์ไหว้พระเพื่อจะล้างบาปของโลก

การมีชีวิตอยู่เช่นที่ว่ามานี้ มิใช่เป็นการเล่น ๆ คนเหล่านั้นกลางวันหรือกลางคืนก็เหมือนกัน ถือพรตคือไม่พูดเลย แลไม่เที่ยวเดินหรือสนทนากับใครเป็นอันขาด คนเหล่านั้นฝังตัวอยู่ในกุฏิ ซึ่งเหมือนกับรวงผึ้งเกาะอยู่ตามเขา การบำเพ็ญพรตของพวกนั้นคือนิ่งและขังตัวเองอยู่เป็นจำนวนเท่านั้นปีเท่านี้ปี อาหารก็คือขนมปังกับน้ำ กิจที่ทำก็คือสมาธิภาวนา

ข้าพเจ้าได้เดินทางเลียบไหล่เขาแลข้ามเขาข้ามห้วยอย่างน่ากลัว ไปจนถึงวัด ๆ หนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ยินคนพูดถึงกันมาก เมื่อข้าพเจ้าไปถึงประตูใหญ่ ประตูใหญ่นั้นก็เปิด มีนักบวชออกมารับข้าพเจ้า ล้วนแต่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทออย่างหยาบเหมือนนักบวชชาวยุโรป พวกนั้นนำข้าพเจ้าขึ้นบันไดหินไปตามระเบียงซึ่งดูเหมือนเจาะเข้าไปในเขา หลวงจีน (นักบวช) รูปหนึ่งนำข้าพเจ้าเดินไปตามฉนวนซึ่งมีลมพัดหนาว เสียงฝีเท้าก้องกังวาฬทางนั้นเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนประเดี๋ยวเดียวข้าพเจ้าก็ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินตามหลวงจีนองค์หน้า แต่ข้างหลังข้าพเจ้าก็มีหลวงจีนคลุมหัวหลายคน ซึ่งเดินตามมาเงียบ ๆ เหมือนผี พวกนั้นเดินนิ่งไม่พูดว่ากระไรเลยจนคำเดียว พาข้าพเจ้าขึ้นบันไดไปถึงห้องเล็กห้องหนึ่ง ซึ่งฝาก็หินเขานั้นเอง ห้องนี้คือกุฏิซึ่งมอบให้เป็นที่พักของข้าพเจ้าในคืนนั้น ที่ข้างผนังข้างหนึ่งมีแท่นหินสำหรับใช้เป็นเตียงนอน มีเก้าอี้ตัวหนัง หนังแพะผืนหนึ่ง กับตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง ครั้นเวลาค่ำลงข้าพเจ้าก็เอาผ้าห่มคลุมตัวแลนอนลงบนเตียงหิน เพียรที่จะหลับให้จงได้

บนหลังคาโลกนั้น ลมเป็นแขกมาเยี่ยมมนุษย์ในที่อยู่แทบไม่มีเวลาหยุด ตามระเบียงและตามบันได แลตามช่องตามทาง ได้ยินเสียงลมพัดหวิวเหวาตลอดคืน ในกุฏิที่ข้าพเจ้าพักค้างคืนนั้นมีตะเกียงน้ำมันหริบหรี่ทำให้เห็นเงารูปชอบกลอยู่ตามฝา และเมื่อข้าพเจ้าหลับไปชั่วครู่หนึ่ง ๆ ก็กลับตื่นขึ้นเพราะความฝันหรือเพราะเหตุอื่น ลืมตาขึ้นดูเห็นหลวงจีนคลุมหน้ายืนนิ่งดูข้าพเจ้า ไม่พูดว่ากระไรเลย ข้าพเจ้านึกหวังในใจว่าแกมายืนเฝ้าไม่ให้มีภัยแก่ข้าพเจ้า ไม่ใช่มาทำร้าย แล้วก็หลับไปอีก.

ครั้นเวลาประมาณ ๓ นาฬิกา อันเป็นเวลาซึ่งความกล้าของคนเหลือน้อยที่สุด ข้าพเจ้าตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเป็นอันมากดังขึ้นมาจากที่ต่ำ ข้าพเจ้าลุกขึ้นมายืนฟัง ประเดี๋ยวเดียวมีเงาดำผ่านไปบนฝากุฏิแล้วลมปีกค้างคาวใหญ่เย็นถูกหน้าข้าพเจ้า ค้างคาวนั้นทำให้ข้าพเจ้านิ่งอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงรีบสวมกางเกงและเสื้อรีบออกจากกุฏิเพื่อจะไปหาเพื่อนที่ไม่ใช่ค้างคาวหรือคนคลุมหน้า ข้าพเจ้าเดินไปตามทางที่ได้ยินเสียงผ่านระเบียงและห้องโถงไปจนถึงหอใหญ่ใต้ดิน (คือขุดเข้าไปในเขา) ประตูเปิดแง้มอยู่ ดูเข้าไปเห็นตะเกียงหลายดวง ใช้ชามใส่น้ำมันมีไส้ลอย เห็นคนเป็นอันมากคุกเข่าสวดมนต์ เมื่อดูท่าทางคนแลจำนวนคน ดูห้องหรุบหรู่อยู่บนเขาสูงซึ่งมีแต่เสียงลม ฟังทำนองสวดมนต์และภาษาที่ไม่เข้าใจ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบที่อื่นในเวลาดึกสงัด ก็ทำให้เกิดขนลุกทั่วตัว ข้าพเจ้ายืนฟังอยู่นาน จนเสียงสวดมนต์เงียบไป ข้าพเจ้าจึงกลับจะไปกุฏิเดิม แต่เลี้ยวไม่ถูกหลงไปถึงวัดอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ต่ำลงไป ได้ยินเสียงสวดมนต์อีก กุฏิแห่งหนึ่งมีช่องเปิดอยู่ในหิน ข้าพเจ้าขีดไม้ขีดไฟแล้วดูเข้าไป เห็นคน ๆ หนึ่งตาเหมือนกระจก ไม่มีแววเลย ตานั้นแลดูข้าพเจ้าเหมือนแลทะลุไป ไม่เห็นข้าพเจ้าและไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าเองดูผู้นั้นก็ดูเหมือนเห็นทะลุไปเหมือนกัน ข้าพเจ้าไม่ได้ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น แต่ดูเหมือนหนึ่งเป็นเช่นที่ว่า ตาคนนั้นจ้องดูข้าพเจ้าครู่หนึ่งแล้ว ก้มหน้าลงสวดมนต์ต่อไป.

ข้าพเจ้าเกิดสยองไปทั่วตัว หันหนีและวิ่งเหมือนกับความตายไล่หลัง เที่ยววกเวียนหากุฏิของข้าพเจ้าจนพบ แล้วก็ลงนอนอีก แต่นอนไม่หลับจนสางและสว่าง ข้าพเจ้าออกจากวัดของหลวงจีนพวกกะระโกรัมด้วยความโล่งใจที่สุด ข้าพเจ้าพอใจจะบุกบั่นไปในหิมะยิ่งกว่าจะพักในที่เช่นนั้น

คนนำทางของข้าพเจ้าบอกว่า เจ้าอธิการวัดนั้นอายุกว่า ๑๐๐ ปี แต่ยังมีงานจะทำอยู่ในโลกนี้อีกมาก แกอาจพูดกับภูเขาก็ได้ เพราะเข้าใจภาษากัน.

ทั่วไปในเอเซียกลางและในแถบเขาหิมาลัย ยังมีคนเชื่อเรื่องเทวดาและผีทั้งนั้น เทวดาและผีเหล่านั้นคนต้องเส้นบูชาจึงจะไม่ทำร้าย เทวดาใหญ่น้อยมีสำนักอยู่บนยอดเขา แต่ผีนั้นขึ้นมาจากใต้ดิน ชาวธิเบตทำสานให้พวกผีอยู่ เพื่อไม่ให้เที่ยวจุ้นจ้าน ข้าพเจ้าได้พบพวกเดินทางหลายพวก มีธรรมจักรกับธงไปด้วย เที่ยวไปเพื่อจะบูชาเทวดาที่อยู่บนเขาต่าง ๆ ถ้าใครไปตายตามเชิงเขาเอเวอรเร็สต์หรือสูงขึ้นไปบนเขานั้น ก็ถือกันว่าเพราะนางฟ้ากริ้ว (เขาเอเวอร์เรสต์ถือกันว่าเป็นนางฟ้า คือพระอุมา) พวกที่ไปด้วยกันถ้ารอดกลับมาก็ไม่มีใครกล้าไปอีก เพราะได้ไปกับคนถูกกริ้วเสียแล้ว

ในภูมิประเทศซึงคนเชื่อว่าสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายย่อมมีชีวิตและมีเดชศักดิ์สิทธิ์นั้น มนุษย์อาจบำเพ็ญตนจนกลายเป็นเทวดาก็ได้ กลายเป็นสัตว์นรกไปก็ได้ ความเชื่อของคนเป็นเช่นนั้น.

มหาราชาประเทศเนปาลเป็นเจ้าของเขาเอเวอร์เร็สต์ เพราะเขานั้นอยู่ในอาณาเขตเนปาล เมื่อสมาคมอังกฤษคิดจะจัดให้มีผู้บินข้ามยอดเอเวอร์เร็สต์ เพื่อตรวจความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้จัดการก็ต้องไปเฝ้ามหาราชาองค์นั้น ขออนุญาตบินข้ามยอดเขา

ตามป่าดงมีโยคีและฤษีอยู่เป็นอันมาก พวกนั้นมีความเป็นไปอยู่กับธรรมชาติไม่เกี่ยวข้องกับใคร กล่าวกันว่าพูดกับเสือก็ได้ ข้าพเจ้ารู้แน่แต่ว่าถ้าพวกนั้นได้เสือตายก็เคี่ยวเอาน้ำมันเป็นยาแก้โรคได้หลายอย่างคือโรคเหน็บชาเป็นต้น.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ