อั้งยี่จีน

ที่สโมสรโรตารีเมืองปีนัง สมาชิกคนหนึ่งชื่อ ดร. เอ็น. เก. เมน็อน เล่าถึงสมาคมอั้งยี่จีน ซึ่งเขาว่าเขาก็ไม่รู้เอง แต่เพิ่งได้อ่านในสมุดเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นประดุจตำราในเรื่องนี้ เขาเห็นเป็นเรื่องน่าฟังก็นำมาเล่า เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตัดตอนมาเล่าตามที่เขากล่าว.

เขาว่าสมาคมอั้งยี่มีมาในประเทศจีนแต่โบราณ เหตุที่เกิดตั้งขึ้นในประเทศจีน ก็อย่างเดียวกันกับในประเทศอื่น ๆ เป็นเพราะการเมืองบ้าง เป็นเพราะความประสงค์ที่จะรักษาวิชาหากินไว้ให้อยู่ในพวกเดียวกันบ้าง เป็นเพราะจะปลูกลัทธิบ้าง และบางทีก็เป็นไปในทางอกุศล.

เขาว่าสมาคมอั้งยี่แรกในประเทศจีนคือ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ครั้งสามก๊ก (ค.ศ. ๒๒๑ - ๒๖๔) ในตอนนั้นเกิดจลาจลในบ้านเมือง รัฐบาลของพระมหากษัตริย์ จึงเรียกทหารสมัคให้ช่วยกันปราบปรามเหล่าร้าย เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จะไปสมัค จึงสาบานกันว่า จะซื่อสัตย์ต่อกันไปจนวันตาย.

กวนอูตายแล้วได้ ๑๓๐๐ ปีจึงได้รับตั้งเป็นเซียนแห่งสงคราม เพราะเป็นผู้มีฝีมือ และเป็นผู้มีความสัตย์ต่อพี่น้องน้ำสบถหาผู้เสมอมิได้ อั้งยี่ในเมืองจีนบูชากวนอูว่า เป็นเซียนของอั้งยี่ทั้งหลาย.

เขาว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗ ต่อมา อั้งยี่ในเมืองจีนได้ร่วมใจกันเป็นอริต่อราชวงศ์เม่งจู ซึ่งเป็นผู้ทำลายราชวงศ์เหมงให้สิ้นไป.

อั้งยี่ในสมัยโบราณ มีสมาชิกเป็นคนชั้นชาวนา กรรมกรและนักเลงโดยมาก ความมุ่งหมายของอั้งยี่ในสมัยโน้น จึงเป็นไปในทำนองที่เดี๋ยวนี้ (พ.ศ. ๒๔๘๑) เรียกว่าคอมมูนิสต์ โปรปะกันดาของพวกนั้น ใช้วิธีเที่ยวเล่นงิ้วในท้องที่ต่าง ๆ เรื่องงิ้วเป็นเรื่องที่ทำให้คนดูส่วนมากที่เป็นคนจนเกิดความไม่พอใจการปกครองทั่ว ๆ ไป.

เขาว่าจีนชั้นผู้ดีไม่ค่อยจะเห็นชอบกับอั้งยี่ในสมัยนั้น ไม่ค่อยเข้ารู้เห็นคลุกเคล้าด้วย เพราะฉนั้น คนชั้นผู้ดี จึงไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับการกำเริบต่อรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย ๆ

ระหว่าง ค.ศ. ๑๖๖๙ กับ ๑๘๐๐ ได้มีขบถนับครั้งแทบไม่ถ้วน เพื่อจะล้างราชวงศ์เม่งจูให้สิ้นไป อั้งยี่ก่อการขบถขึ้นในตอนนั้น เรียกชื่อสมาคมของตนต่าง ๆ กัน เช่น สมาคมหนวดแดง สมาคมหมาป่าขาว สมาคมดาบสั้น สมาคมดอกบัว สมาคมทเลและบก สมาคมอันน่าพิศวง เป็นต้น สมาคมที่มีกำลังมากที่สุด เรียกชื่อว่า สมาคมบัวขาว.

ใน ค.ศ. ๑๗๗๔ หัวหน้าสมาคมบัวขาว ได้พาพวกเข้าตีเข้าเมืองจูจังเชียนได้ ฆ่าเจ้าเมืองเสีย แล้วประกาศตัวเองเป็นเจ้าแผ่นดินจีน การปราบขบถคราวนั้น ต้องเสียทหารถึงแสนคน จึงปราบได้ หัวหน้าขบถคือฮ่องเต้ตั้งตัวเองได้ตายในที่รบ.

ต่อมาในระหว่าง ค.ศ. ๑๘๐๐ ถึง ๑๘๒๐ มีอั้งยี่ชื่อสกุลแห่งราชินีสวรรค์ ได้หยั่งรากไปไกลจนถึงเมืองญวน เมืองไทยและเมืองเกาหลี ต่อมาเปลี่ยนชื่อว่า สมาคม ๓ เส้า ซึ่งหมายความว่า ฟ้า ดิน และครอบครัว ชื่อนี้เป็นชื่อซึ่งเขากล่าวว่า เป็นชื่อเลือกดีถูกใจคนหลายชั้น เพราะฟ้าดินและครอบครัว ล้วนเป็นหลักที่นับถือของจีนทั้งหลาย คนจนตีความตามชื่อนั้นว่า ฟ้าหรือสวรรค์ซึ่งเป็นพ่อของมนุษย์ ส่งสิ่งใดลงมาสู่แผ่นดิน และแผ่นดินซึ่งเป็นแม่ของมนุษย รับมาทำให้งอกงามขึ้น สิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ลูกแห่งฟ้า และดินคือมนุษย ซึ่งทุกคนมีสิทธิที่จะได้จากพ่อและแม่เสมอกัน.

เขาว่าสมาคม ๓ เส้านั้นใหญ่โตรวดเร็วในประเทศชวา มลายู และท้องที่อื่น ๆ ซึ่งจีนอพยบกันไปตั้งหากิน พอมีจีนใหม่มาถึงเมืองเหล่านั้น กรรมการอั้งยี่ก็ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้เข้าด้วย ถ้าไม่เข้าก็ถูกรังแก แต่ถ้าเข้าก็ได้ประโยชน์ เพราะสมาคมช่วยสมาชิกได้หลายทาง.

การเข้าสมาคมอั้งยี่นั้น ผู้เข้าต้องสาบานว่า จะภักดีต่อสมาคมไม่มีเวลาเว้นว่าง ผู้สาบานต้องคุกเข่าลงหน้ารูปเซียน มีดาบ ๓ เล่มผูกเป็น ๓ เหลี่ยมอยู่ข้างบน ข้อบังคับ มี ๓๖ ข้อ ถ้าสมาชิกเลมิดสักข้อหนึ่ง ก็โทษถึงตาย.

เขาว่าว่าการสาบานนั้น ต้องกินเลือดปนสุรา คือเลือดของผู้สาบาน และเลือดสมาชิกอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในที่นั้น.

เขาว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการชำระคอมมูนิสต์จีนที่จับได้ในมาลายา ปรากฏในสำนวนว่า ต้องสาบานเช่นที่เล่ามานี้เหมือนกัน.

เขาว่าวิธีสาบานอีกวิธีหนึ่ง คือการเชือดคอไก่ขาว การเชือดคอไก่ขาวในพิธีเช่นนั้น เขาว่าไม่ใช่แต่ธรรมเนียมจีนเท่านั้น ถึงชาติอื่นในประเทศมลายู ก็ใช้กันบ้าง เป็นพิธีฆ่าไก่ไหว้เจ้า.

เขาว่าเหตุที่ใช้ไก่ขาวนั้น ปรากฏในคำสาบานดังนี้

“ฉันใด วิญญาณขาวบริสุทธิ ย่อมสิงอยู่ในไก่ขาว ฉันนั้น วิญญาณขาวบริสุทธิ์ จงสิงอยู่ในตัวข้าพเจ้า

“ฉันใด ข้าพเจ้าตัดหัวไก่ขาวนี้ ถ้าข้าพเจ้าไม่จริงต่อคำสาบาน ข้าพเจ้าจงเสียหัวของข้าพเจ้าไป ฉันนั้น

“ฉันใด ไก่นี้หัวขาดไป, สมาชิกทั้งหลายผู้ไม่ซื่อตรงต่อสมาคมจงหัวขาดไป ฉันนั้น”

เขาว่า ครั้งขบถไต้เผงในประเทศจีน (ค.ศ. ๑๘๕๐ ถึง ๑๘๖๕) สมาคมอั้งยี่ ๓ เส้านี้ได้แผลงฤทธิ์มาก.

พวกไต้เผงนั้น เดิมก็เป็นสมาคมทางศาสนา ในเวลาที่เกิดเหตุจวนแจ หัวหน้าแสดงว่า ได้รับคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้า และพระเยซูให้แก้ไขเหตุการให้เรียบร้อยได้ สมาคมอั้งยี่อื่น ๆ ได้เข้าร่วมกับสมาคมไต้เผงหลายสมาคม และได้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศจีน ดังแจ้งอยู่ในพงศาวดารนั้นแล้ว.

เขาว่าสมาคมอั้งยี่ในประเทศจีน เป็นสมาคมพี่น้อง สาบานว่าจะอุดหนุนกันก็มี เป็นสมาคมทางศาสนาก็มี แต่พวกโจรซึ่งกลายเป็นสมาคมอั้งยี่ไปในคราวที่บ้านเมืองไม่ราบคาบก็มาก.

เขาเล่าเรื่อง ๆ หนึ่งในสมัยโบราณว่า แม่ทัพคนหนึ่งได้รับคำสั่งให้คุมทหารหลวงไปปราบโจร ซึ่งตั้งแข็งเมืองอยู่ในท้องที่แห่งหนึ่ง เมื่อเดินทัพไปกลางทาง แม่ทัพเห็นทหารเข้าแถวกันยาวไปตามถนน แม่ทัพประหลาดใจก็ถามว่า เข้าแถวทำไมกัน พวกทหารตอบว่า เตรียมจะรับหัวหน้าแห่งสมาคมหัวมังกร ซึ่งจะมาเยี่ยมกองทัพ ครั้นไล่เลียงต่อไป ก็ได้ความว่า ทหารในกองทัพนั้นเป็นสมาชิกอั้งยี่หัวมังกรหมดทั้งนายและไพร่ และหัวหน้าอั้งยี่ก็คือนายโจรที่จะยกทัพไปปราบนั่นเอง.

การเป็นดังนี้ แม่ทัพรู้ตัวว่า คนทั้งกองทัพมีไม่ได้เป็นอั้งยี่หัวมังกรอยู่แต่แม่ทัพคนเดียว จะคิดหาอุบายอย่างไรจึงจะแก้ไขได้ แม่ทัพตรึกตรองอยู่นาน ครั้นนึกได้ก็ประกาศเรียกประชุมสมาคมหัวมังกรแล้วแสดงตนว่า บัดนี้สมาคมได้ตั้งหัวหน้าใหม่แล้ว คือตัวแม่ทัพเอง นายโจรที่ว่าเป็นหัวหน้านั้น ได้ถูกถอดเสียแล้ว คำประกาศของแม่ทัพนี้ พวกทหารเห็นจริง จึงยกกันไปปราบโจรต่อไป.

เรื่องที่เขาเล่านั้น นำเอามาแต่เรื่องเก่า ๆ แต่ใคร ๆ ก็ทราบว่า อั้งยี่จีนมีทุกสมัย ไม่ว่าในประเทศไหน รวม ทั้ง ส.ป.ร. อเมริกาด้วย.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ