จางโซหลิน

เรื่องต่อไปนี้ ราชทูตอิตาเลียนคนเก่า ซึ่งประจำอยู่ในเมืองจีนหลายปีแล้วเป็นผู้เล่า.

เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๒๗ จางโซหลินได้ประกาศตน เป็นตำแหน่งมหาเสนาบดี หรือจอมทัพใหญ่ของจีน หนังสือพิมพ์จีนที่ออกในกรุงปกิ่งฉบับหนึ่งพิมพ์รูปจางโซหลินนั่งอยู่ในห้องทำงาน มีคนใช้ถือไม้ขีดไฟจุดบุหรี่กระดาษให้ ใต้รูปนั้น มีหนังสือจารึกไว้ว่า “เดี๋ยวนี้เสมอกับมุซโซลินี”

จางโซหลินชอบนึกถึงตนเองว่า เป็นมุซโซลินีจีน เห็นเป็นลางดีที่ชื่อคล้ายกัน คือจางโซหลินและมุซโซหลิน.

เมื่อได้ประกาศรับตำแหน่งจอมทัพใหญ่แล้ว ก็มีการฉลองและเชิญแขกไปเลี้ยงน้ำชา พวกเราราชทูตและกงซุลได้รับเชิญหมด แต่ผู้หญิงไม่ได้รับเชิญด้วย.

งานครั้งนั้นเป็นงานพลเรือน แต่มีทหารเข้าพิธีเป็นอันมาก ถนน ๒ ข้างมีแถวทหารยืน และร้านตามริมถนนที่จางโซหลินจะผ่านไป ก็ปิดหน้าถังหมด ชาวเมืองต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ มักจะอยู่เป็นกลุ่มกันตามปากตรอกซึ่งแยกจากถนนใหญ่.

ในสมัยเมื่อยังมีห้องเต้ ถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปไหนก็มักจะเช่นนี้ แปลกกันก็แต่ว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปตามถนน ทหาร ๒ ข้างทางก็คุกเข่าหมด แต่คราวนี้ทหารทำวันทยาวุธแทนคุกเข่า.

รถยนต์ที่จอมทัพใหญ่นั่งไปนั้น มีเกราะแข็งแรง มีปืนกลอยู่หน้ารถ และมีทหารเกาะไปที่เท้าเหยียบทั้ง ๒ ข้าง กับมีพวกขี่รถยนต์นำแซงและตามด้วย.

ที่หอไวเจียวพู คือที่เลี้ยงน้ำชา มีทหารยามอยู่ตามบันใด และอยู่ในห้องโถงด้านหน้าด้วย ทหารเหล่านั้นถือปืนเมาเซอร์ทั้งนั้น.

การเลี้ยงน้ำชาวันนั้น เป็นการเลี้ยงอย่างฝรั่ง และโต๊ะวางของเลี้ยก้เป็นแบบต่างประเทศ มีน้ำชากับน้ำตาล และนมงัวหรือมะนาว มีแซนวิชและขนม กับน้ำส้มและแชมเปญ (หวานและอุ่น)

จางโซหลินเป็นคนร่างเล็ก ตาหยี ผอมและดูไม่แข็งแรง แต่ดำแดด ที่เหนือรูจมูกหน่อยหนึ่ง มีเส้นเป็นสัน ที่หน้าข้างละเส้นเกือบถึงหู ไม่ใช่หน้าเหี่ยวอย่างคนแก่ เป็นด้วยหนังเป็นเช่นนั้น เครื่องแต่งตัวจางโซหลิน เป็นเครื่องแบบทหารอย่างชาวตวันตก ซึ่งขึ้นใช้ในเวลาออกงาน.

ถ้าจะดูจอมทัพใหญ่ก็ไม่สู้จะผิดจากคนอื่น ๆ ทั้งจีนและชาวต่างประเทศที่ชุมนุมกันอยู่ในที่นั้น แต่ตัวรองผู้ภักดีของจางโชหลิน เรียกชื่อว่าตูปันแห่งไฮลุงตันนั้น ดูราวกับงัวเข้าไปอยู่ในร้านเครื่องถ้วย ตูปันเป็นคนร่างใหญ่มาก ขาโกง โกนหัวดูเหมือนทองแดงสีคล้ำ เมื่อหัวเราะก็ดังลั่นคับห้องเหมือนกับตีฉาบ ตูปันเป็นคนหูตึง เมื่อจะพูดอะไรก็ปล่อยดังลั่นออกมาในเวลาที่คนกำลังพูดเรื่องอื่นอยู่ แม้เมื่อจางโซหลินกำลังกล่าวสปีชกับพวกแขก คนทั้งหลายก็นิ่งฟัง แต่ตูปันพูดทะลุกลางปล้องออกมาเรื่องอื่นแล้วหัวเราะดังลั่น จางโซหลินชำเลืองดูแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน.

ข้าพเจ้าชอบตูปัน เวลาที่แกมาอยู่ในชุมนุมพวกทูต ก็รูสึกเหมือนลมพัดจากทเลทรายเข้ามาในห้อง ซึ่งตระหลบไปด้วยกลิ่นชะมดเชียง แกบอกข้าพเจ้าว่า แกอยู่ที่ไหนก็สบายเสมอ เว้นแต่เวลาอยู่บนหลังม้าเท่านั้น แกเล่าว่าเมื่อรบกันคราวที่แล้วมา บางทีแกต้องอยู่บนหลังม้าเกือบ ๔๘ ชั่วโมง ข้าพเจ้าได้ฟังเช่นนั้นแล้ว แลดูร่างใหญ่ของแก ก็รู้สึกสงสารม้าเป็นอันมาก.

เมื่อตูปันพูดกับข้าพเจ้าแล้วก็เดินไปพูดกับจังซุนจัง เกือกบุ๊ตหนักของแกกระแทกพื้นพาเกต์ดังลั่นห้อง ในเวลาที่เดินไปนั้น แกเอาแขนเสื้อฟาดหน้าราชทูตเบลเยี่ยม แต่แกไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ ราชทูตเบลเยียมร่างเล็กสูงสักเท่าเสื้อกั๊กตูปันเห็นจะได้.

จังซุนจังเป็นจอมทัพอีกคนหนึ่ง เป็นคนชอบอยู่ในสนามรบมากกว่าอยู่ในวัง เห็นว่าการรบเหนื่อยน้อยกว่าสนทนากับพวกราชทูต จอมทัพผู้นี้เป็นคนร่างใหญ่ เห็นจะสูงถึง ๖ ฟุต ๔ นิ้วในถุงเท้า (ถ้าแกสวมถุงเท้า) ทหารร่างใหญ่ผู้นี้เป็นคนทื่อ ๆ เห็นจะอยู่ไม่ได้นานในการเมืองของจีน ซึ่งมีเลศนัยมาก.

จอมทัพอีกคนหนึ่งคือ ซุนจังฟัน เป็นคนมาจากภาคเหนือ ไม่ค่อยแต่งเครื่องแบบทหาร มักสวมเสื้อกางเกงแพรต่วนทอเป็นลวดลาย ถือพัดมิได้ขาด พัดนั้นใช้ทำบทเจรจาได้ด้วย (ถ้ากระดิกปลายพัดลงอาจเป็นคำสั่งให้ประหารชีวิตก็ได้)

เมื่อประมาณปี ๑ มาแล้ว ซุนจังฟันคิดจะตั้งตนเป็นใหญ่ในมณฑล ๕ มณฑลรอบเซี่ยงไฮ้ แต่ทัพกวางตุ้งยกรุกขึ้นไปเหนือในตอนนั้น ซุนจังฟันจึงคิดการไม่สำเร็จ.

ส่วนจางโซหลินนั้น ดูเหมือนมีความคิดที่จะจัดรวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น คล้ายกับที่ยวนซีกายคิดมาก่อน แต่ไม่เห็นท่าทางว่าจะสำเร็จได้.

มีเรื่อง ๆ หนึ่งซึ่งมีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงจางโซหลิน เป็นเรื่องที่มักเล่ากันในโรงเตี้ยม เมื่อผู้ฟังนอนสูบฝิ่นอย่างสบาย แล้วคุยกับนางบำเรอสาว ๆ ซึ่งอ้วนเหมือนนกกทาหน้าข้าว นิทานชนิดนี้ จะถือเอาเป็นเรื่องจริงจังไม่ได้ แต่เป็นเรื่องซึ่งมีรสชาติสมแก่ภูมิประเทศ.

ตามเรื่องนี้ว่าใน ค.ศ. ๑๙๐๔ เมื่อญี่ปุ่นกับรัซเซียทำสงครามกัน จางโซหลินคุมโจรพวกหนึ่ง เรียกว่าโจรหนวดแดง ช่วยญี่ปุ่นกวนหลังทัพรัซเซีย เป็นประโยชน์แก่กองทัพญี่ปุ่นมาก ครั้นเมื่อญี่ปุ่นชนะสงครามแล้ว ก็คิดจะตอบแทนความชอบ จึงเสนอไปยังอุปราชจีนในแมนจูเรียว่า ถ้าไม่ถือโทษที่จางโซหลินที่มีไว้แต่ก่อน จะเป็นที่ยินดีแก่ญี่ปุ่นนัก อุปราชในแมนจูเรียได้ทราบดังนั้น ก็ตกลงจะตามใจญี่ปุ่น จึงมีหนังสือไปถึงจางโซหลินว่า ความหลังนั้นเป็นอันลืมหมดแล้ว เชิญจางโซหลินไปหาอุปราชในกรุงมุกเด็นเถิด.

การเชิญวิธีนี้ไว้ใจยาก ความหลังอาจลืม และให้อภัยกันหมดแล้วก็เป็นได้ แต่บางทีก็เกิดเหตุเผอิญเป็น จนผู้รับเชิญได้มีชีวิตกลับไปเห็นหน้าลูกเมียไม่ การเป็นเช่นนี้ เมื่อได้รับเชิญแล้ว จางโซหลินก็ไม่สู้จะวางใจสนิทนัก.

นายทหารของจางโซหลินคนหนึ่ง ชื่อเจียงเจ็นไว แนะนำต่อจางโซหลินว่า ถ้าไว้ใจคำของอุปราชก็อาจเสียที เพราะฉนั้น จางโซหลินไม่ควรไปมุกเด็น แต่ถ้าไม่ไป ก็อาจเกิดเป็นอริทับถมขึ้นอีก การที่อุปราชเชิญไปมุกเด็นครั้งนี้ อุปราชหรือใครในมุกเด็น จะรู้จักตัวจางโซหลินก็หาไม่ เจียงเจ็นไวจึงรับอาศาจะปลอมเป็นจางโซหลินไปมุกเด็นเอง.

ที่เจียงเจ็นไวแนะนำดังนี้ จางโซหลินเห็นด้วย เจียงเจ็นไวจึงไปมุกเด็นแสดงตัวต่ออุปราชว่าเป็นจางโซหลิน อุปราชรับรองเป็นอันดี และชอบอัธยาศัยของจางโซหลินตัวปลอม จึงเชิญให้อยู่รับราชการด้วย จางโซหลินตัวปลอมยินดีอยู่รับราชการกับอุปราช และได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับด้วยความสามารถของตน จนในที่สุดได้เป็นจอมทัพใหญ่ ซึ่งรับแขกเลี้ยงน้ำชาพวกราชทูต ในวันที่ข้าพเจ้าเล่านี้.

ส่วน จางโซหลินตัวจริงนั้น เมื่อได้เปลี่ยนชื่อกับเพื่อนแล้ว ก็ไม่ย้อนกลับไปเปลี่ยนอีก ได้ยอมรับราชการเป็นตัวรองจางโซหลินตัวปลอมซึ่งเดิมเป็นลูกแล่งของตนเอง ต่างคนต่างใช้ชื่อปลอมอยู่ตลอดมา และต่างคนต่างซื่อสัตยต่อกัน.

นี้เป็นเรื่องซุบซิบกันในที่ต่าง ๆ คงจะไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่เล่ากันมาก.

วันหนึ่งก่อนตรุษจีน ค.ศ. ๑๙๒๘ ข้าพเจ้าได้รับเชิญเลี้ยงข้าวเย็นจากจางโซหลิน ภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งไปถึงจากยุโรปใหม่ ๆ ที่ได้รับเชิญด้วย ข้าพเจ้าได้รับการ์ดเชิญแล้ว ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจแน่ว่า ควรแต่งตัวอย่างไร ก๊าร์ดเชิญนั้นบอกมาว่า เลี้ยงไม่เป็นพิธี แต่เขียนชื่อจางโซหลิน บอกยศบรรดาศักดิ์เต็มที่.

ข้าพเจ้าคิดว่าผิดข้างแต่งตัวมากเกินไปดีกว่า จึงแต่งเสื้อหางยาวเวลาเย็น และติดตราไปเต็มที่ เคราะห์ดีที่พบราชทูตฮอลันดา ในห้องโถงหน้าจวนของจางโซหลิน ราชทูตฮอลันดาใช้ผ้าผูกคอดำ ข้าพเจ้าจึงมีเวลาปลดตราและเหรียญใส่กระเป๋าเสื้อคลุมชั้นนอกเสียหมด.

การเลี้ยงวันนั้นเป็นการเลี้ยงอย่างไม่มีพิธีจริงเช่นว่า ผู้นั่งโต๊ะคือจางโซหลินกับภรรยาหลวง ราชทูตฮอลันดากับภรรยา ข้าพเจ้ากับภรรยา และราชทูตโปรตุเกตกับล่ามคนหนึ่ง รวมเป็น ๕ คนด้วยกัน โต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะกลม หญิงทั้ง ๓ คนนั่งติดกัน ไม่มีชายคั่น การสนทนาที่โต๊ะเป็นเรื่องมุซโซลินี เพราะมุซโซลินีเป็นบุคคลซึ่งแม่ทัพจีนแทบทุกคนใส่ใจรู้เห็น แต่ละคนถ้าเป็นมุซโซลินีได้ก็จะเป็น เมื่อพูดเรื่องมุซโซลินีหมดแล้ว ก็พูดถึงเรื่องอาหาร.

ห้องเลี้ยงนั้นเป็นห้องแต่งอย่างงดงาม มีเสาใหญ่ลงรักแดงค้ำเพดานสีเขียวปิดทอง ฝาห้องบุแพรเขียนเป็นรูปภาพ มีกรอบไม้จันทน์หอมเป็นกรอบ ๆ บ่าวที่ปฏิบัติอยู่ในห้องนั้นมีจำนวนมาก ไม่สู้จะสอาดเหลือเกินไปนัก และมีเด็ก ๆ แอบดูตามหลังเสาหลายคน ภรรยาข้าพเจ้ามีเสื้อคลุมทำด้วยขนสัตว์ เมื่อแรกไปถึงยังหนาว ก็พาดเสื้อคลุมไว้บนบ่า แต่ครั้นนานเข้าหน่อยก็ร้อน ปล่อยให้เสื้อตกจากบ่าลงไปกองอยู่บนเก้าอี้ข้างหลัง พอเสื้อตกจากบ่า ก็มีหญิงสาวใช้รีบเข้ามาหยิบกลับคลุมให้บนบ่าอีก ครั้นร้อนปล่อยให้ตกอีก ก็เข้าคลุมให้อีก จนในที่สุดต้องยอมร้อน เมื่อกระเป๋าตกหรือผ้าเช็ดหน้าตก หรือผ้าเช็ดมือตก ก็คอยเก็บให้ไม่หยุด เพราะการปฏิบัติอย่างจีนนั้น ต้องมีบ่าวหลายคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา.

จางโซหลินนั่งโต๊ะไม่ได้กินอะไรเลย เจ้าของบ้านในเมืองจีนเชิญแขกไปกินอาหาร ตัวเองมักไม่ค่อยได้กินด้วย.

กำลังกินอาหารอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กเหื่อเต็มตัว คงจะเป็นกุ๊ก วิ่งตั้บ ๆ เข้ามาในห้อง ถืออั้งโล่งมีกะทะตั้งอยู่บนไฟ ในกะทะนั้นคือตีนหมีต้มเปื่อย อาหารชนิดนี้ นิยมกันมากในภาคเหนือของเอเซีย.

กุ๊กยกอั้งโล่งเข้ามาวางกลางโต๊ะ แล้วยืนคอยดู จางโซหลินเอาของจากจานเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ปรุงลงไปในกะทะหลายอย่าง กุ๊กยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ช้าก็ไม่ชอบใจการปรุงรสที่จางโซหลินทำ ตรงเข้ายืนที่โต๊ะผลักมือจางโซหลินไปเสียแล้วประสมเอง ใช้นิ้วสกปรกหยิบของจากจานเล็ก ๆ ที่วางเตรียมไว้ใส่ลงในกะทะ.

บ้านเรือนของขุนนางผู้ใหญ่จีน มีความสง่าผ่าเผยปนกับความรกรื้อเลอะเทอะ และความติดต่อระหว่างนายกับบ่าว ก็มีอาการข่มขี่และให้อภัยปนไปด้วยกัน การที่เป็นดังนี้ เห็นได้เป็นอย่างดี ในห้องซึ่งงามด้วยฝีมือลงรัก แต่งด้วยแพรและปิดทอง จอมทัพใหญ่นั่งโต๊ะกินข้าวอยู่กับแขก และปรุงอาหารเองให้เป็นเกียรติแก่แขก แต่กุ๊กซึ่งสกปรกออกมาจากครัวไฟเข้าปัดมือนายเสีย เพราะนายทำไม่ถูก และกุ๊กเข้ายืนปรุงที่โต๊ะเอง.

ต่อมาอีกไม่ช้า กองทัพจีนใต้ก็ยกใกล้เข้าไปจะตีปกิ่ง กองทหารฝ่ายเหนือของจางโซหลินเป็นทหารซึ่งได้รับฝึกหัดดีกว่า และมีอาวุธดีกว่าพวกใต้ ถ้าพวกกองเหนือยกออกรบซึ่ง ๆ หน้า ก็คงจะมีชัยแก่พวกใต้ แต่พวกนายกองชอบเจรจากันมากกว่ารบ จึงเป็นการได้เปรียบแก่พวกใต้ เพราะทหารและอาวุธซึ่งดีกว่านั้นไม่ได้ใช้อะไรเลย.

กองทัพพวกใต้ยกล้อมปกิ่งเข้าไป ๓ ด้าน ทหารในกองทัพพวกใต้เป็นคนหนุ่ม ๆ โดยมาก บางคนยังเป็นเด็ก แต่ทุกคนได้รับสั่งสอนมาว่า ศัตรูแท้จริงของจีนก็คือชาวต่างประเทศ และถ้าเลิกหนังสือสัญญาน้อยหน้าเสียได้เมื่อไร ประเทศจีนก็มีแต่จะสวัสดีสถาพรต่อไป.

ในคราวนั้น เราก็ถูกล้อมอยู่ในปกิ่งเหมือนดังที่เคยมาหลายครั้งแล้ว ทางรถไฟก็ถูกตัด ประตูกรุงก็ปิดแล้วเอาถุงทรายเข้าดันไว้แน่นหนา ดูเหมือนถ้าเปิดประตู ก็ต้องใช้เวลาตั้ง ๗ วันดอกกระมัง.

ก่อนที่กองทัพพวกใต้ล้อมเข้าไปถึงกำแพงปกิ่งนั้น มีผู้เสนอต่อจางโซหลินให้ออกจากปกิ่งไปอยู่มุกเด็น จางโซหลินตกลงทำเช่นนั้น และการที่จะออกจากปกิ่งไป ก็ได้ทำอย่างสง่าผ่าเผย ได้เชิญพวกราชทูตให้ไปประชุมพร้อมกัน และในการที่จะลาไปนั้น จางโซหลินกล่าวว่า คงจะได้พบกันอีก ถ้าไม่ใช่ในปกิ่งก็มุกเด็น จางโซหลินแสดงความเสียใจว่า “รบคอมมูนิสม์” ครั้งนั้นไม่สำเร็จ.

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจางโซหลินออกเดินทางไปมุกเด็น ครั้นไปถึงมุกเด็น จนรถไฟจะเข้าสถานีอยู่แล้ว รถไฟก็ระเบิดขึ้น เพราะมีผู้เอาบอมบ์ลอบวางไว้ตามทาง.

พวกเราอยู่ปกิ่ง ไม่รู้อยู่หลายเดือนว่า จางโซหลินยังมีชีวิตอยู่หรือตายในรถไฟที่ระเบิด ต่อเมื่อจางซือเหลียง บุตรชายจางโซหลินได้เป็นจอมทัพแทนบิดาแน่นอนแล้ว จึงประกาศออกมาให้ทราบกันว่าจางโซหลินตายใน ๒ - ๓ ชั่วโมงที่รถไฟระเบิดนั้น การที่ปิดข่าวไว้เป็นนานก็เพราะไม่ ทราบว่าจะมีผู้คิดรบแย่งตำแหน่ง หรือจางซือเหลียงจะได้เป็นแทนบิดาแน่.

ในเรื่องที่จางโซหลินตายนี้ มีนิทานเล่ากันตามโรงเตี๊ยมในปกิ่งตามเคย.

นิทานนั้นว่า เมื่อรถไฟระเบิด จางโซหลินถูกบาดเจ็บ รู้ตัวว่าจะไม่รอดชีวิตอยู่แล้ว แต่มีพนักงานช่วยกันประคองตัวจางโซหลิน ยกวางในเปลพยาบาลหามไปนั้น จางโซหลินเห็นเปลพยาบาลอีกเปลหนึ่งหามไปใกล้ ๆ ในเปลนั้นคือตูปัน เพื่อนเก่าซึ่งถูกบาดเจ็บจวนจะตายอยู่แล้วเหมือนกัน เมื่อจางโซหลินทราบอาการตูปัน แล้วก็กระซิบบอกทหารคนสนิทว่า “ฆ่าเสีย” ตูปันก็ตายในวันเดียวกัน.

การที่จางโซหลินเมื่อจะตายอยู่แล้ว สั่งให้ฆ่าตูปันเสียนั้น ไม่ใช่เพราะความโกรธเกลียด หรือเพราะเข้าใจว่าตูปันทำผิดอะไร ที่แท้เป็นความเมตตาแก่เพื่อน ซึ่งบาดเจ็บปางตายอยู่แล้ว ให้ได้ร่วมทางไปปรภพพร้อมกัน.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ