๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าเชียงอินท์ |
ครองบุรินทร์เชียงใหม่ไอศวรรย์ |
หมู่อำมาตย์ราชกระวีมีครบครัน |
ข้างฝ่ายในกำนัลก็นองเนือง |
บริบูรณ์พูนสมบัติไม่ขัดสน |
ประชาชนระบือฦๅเลื่อง |
เมืองน้อยนบนอบไม่ขุ่นเคือง |
ถวายเครื่องสุวรรณบรรณาการ |
วันหนึ่งเสด็จออกขุนนางแน่น |
พร้อมท้าวแสนเพี้ยลาวเหล่าทหาร |
หมอบราบกราบเต็มหน้าพระลาน |
เกษมสานต์ด้วยมุขมาตยา |
พอสองลาวนำข่าวหนังสือบอก |
ว่าเชียงทองกลับกลอกนอกหน้า |
ไปขึ้นบุรีศรีอยุธยา |
ไม่เกรงเดชาบารมี |
นำเครื่องบรรณาการไปเวียงใต้ |
กรุงไทยส่งเสริมเพิ่มศักดิศรี |
ดูกำเริบเอิบใจใช่พอดี |
จะนำไทยมาตีบุรีเรา ฯ |
๏ พระเจ้าเชียงใหม่ได้ทราบเรื่อง |
ให้ขุ่นเคืองขัดใจดังไฟเผา |
เหม่อ้ายเชียงทองจองหองเอา |
ลงไปเข้ากับไทยช่างไม่กลัว |
แต่ก่อนนั้นมันขึ้นแก่เรานี้ |
ถือดีหยิ่งยกนกสองหัว |
เฮ้ยเกณฑ์กระบวนรบให้ครบตัว |
นับทั่วถ้วนหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
เครื่องสาตราอาวุธปืนไฟ |
ทั้งน้อยใหญ่สารพัดเร่งจัดสรร |
ให้พรั่งพร้อมเบ็ดเสร็จในเจ็ดวัน |
จงลงมือเตรียมกันแต่วันนี้ |
ให้ปราบเมืองแมนเป็นแม่ทัพ |
ไปทำมันให้ยับอยู่กับที่ |
แสนกำกองปลัดทัพนับว่าดี |
สองนายนี้กองหน้าไพร่ห้าพัน |
ฟ้าลั่นนั้นให้เป็นทัพหลวง |
บัญชาการทั้งปวงเคยแข็งขัน |
สันบาดาลเป็นปลัดเร่งจัดกัน |
เกณฑ์คนห้าพันให้เข้ากอง |
นายรองกองทัพสำหรับตำแหน่ง |
ปีกซ้ายขวาแซงสิ้นทั้งผอง |
ยกกระบัตรเกียกกายอเนกนอง |
กองซุ่มกองแล่นให้มากมี |
เสบียงเลี้ยงทัพจงจัดหา |
ทั้งช้างม้าสำหรับขับขี่ |
สั่งเสร็จพระเสด็จจรลี |
คืนสู่ที่เรือนทองผ่องโสภา |
ฝ่ายว่าท้าวพระยาเป็นผู้ใหญ่ |
ก็กะเกณฑ์พลไพร่ให้เรียกหา |
ไม่ได้ผัวเกาะตัวลูกเมียมา |
บ้างตีค่าจ้างใส่ให้ไปทัพ |
บ้างจัดหาข้าวของมากองไว้ |
หอกดาบปืนไฟให้เสร็จสรรพ |
ช้างม้าวัวควายอเนกนับ |
กองต่างวางลำดับกระบวนไป ฯ |
๏ ครั้นถึงวันกำหนดพิชัยฤกษ์ |
เอิกเกริกทางบกยกทัพใหญ่ |
ดาบหอกดาษดื่นทั้งปืนไฟ |
ธงชัยธงฉานอาจารย์ลง |
พลช้างๆ เดินเป็นขนัด |
พลม้ารีบรัดเข้าป่าระหง |
พลทหารโห่ร้องกึกก้องดง |
เร่งรัดจัตุรงค์ตรงไป |
ถึงเวลาหยุดพักให้กินข้าว |
เสร็จแล้วยกเหล้าหาช้าไม่ |
ยับยั้งคํ่าคืนกองฟืนไฟ |
เดินทางกลางไพรหลายวันมา ฯ |
๏ ครั้นถึงแว่นแคว้นแดนเชียงทอง |
ชาวบ้านกว้านช่องไม่รอหน้า |
ความกลัวตัวสั่นดังตีปลา |
ก็แตกตื่นเข้าป่าพนาลี |
บ้างล้มควํ่าล้มหงายตะกายวิ่ง |
พวกเชียงใหม่ไล่ยิงลงกลิ้งคี่ |
บ้านน้อยบ้านใหญ่ไม่ต่อตี |
บ้างหนีบ้างซ่อนด้วยกลัวตัว |
ถึงเวียงเชียงทองให้ล้อมไว้ |
ตั้งค่ายรายไปรอบเมืองทั่ว |
ยิงปืนกระหนํ่าทำให้กลัว |
จะจับตัวพระยาดูหน้ามัน |
ที่ประตูดูจุกไว้ทุกช่อง |
เกณฑ์กองรักษาหน้าที่มั่น |
แม้นใครออกมาจับฆ่าฟัน |
อย่าให้มันหลบลี้หนีออกไป ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระยาเชียงทอง |
เห็นเพี้ยลาวก่ายกองนั่งร้องไห้ |
เขามาตั้งค่ายรายล้อมไว้ |
จะเข้าออกบ่ได้ตายจริงจริง |
ตัวสั่นพรั่นอกตกใจ |
สู้เขาไม่ได้แต่สักสิ่ง |
ไม่มีใครจะได้ไปพึ่งพิง |
จะกลิ้งให้เขาเถือทั้งเชียงทอง |
จึงปรึกษาว่ากันลงเห็นชอบ |
จะทำเป็นนบนอบไม่ขัดข้อง |
ยอมถวายดอกไม้เงินทอง |
โบกธงปรองดองขอเคารพ |
ขอประทานโทษาอย่าฆ่าตี |
ขอชีวีข้อยน้อยไม่หลีกหลบ |
แม้นจะตีเวียงใต้ให้บัดซบ |
จะอาสาสู้รบจนวายชนม์ |
เห็นพวกเชียงใหม่จะตายใจ |
ถ้าทัพไทยมาพร้อมตีให้ป่น |
เราลวงมันพอให้ปลอดรอดไพร่พล |
เห็นชอบกลต่างขึ้นบนกำแพง |
จึงร้องบอกออกไปกับนายทัพ |
แล้วยกธงคำนับขึ้นกวัดแกว่ง |
ข้อยสู่บ่ได้นายอย่าแคลง |
เชิญท่านแจ้งแก่ผู้ใหญ่ให้จงดี |
ขออย่าเพ่อหุนหันฟันฆ่า |
จะอาสาตีไทยให้ป่นปี้ |
ขอทำการแก้ตัวดูสักที |
ท่านจงมีเมตตาอย่าฆ่าฟัน |
ฝ่ายพวกเพี้ยการทหารกล้า |
ได้ยินเชียงทองว่าเกษมสันต์ |
จึงพาพวกเชียงทองไปด้วยกัน |
บอกพระยาฟ้าลั่นตามเรื่องราว ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระยาฟ้าลั่น |
ปรึกษากันแล้วให้ไปว่ากล่าว |
ถ้าเชียงทองอ่อนน้อมยอมขึ้นลาว |
จะขอโทษให้สักคราวอย่าร้อนใจ |
ให้เจ้าเมืองกรมการออกมาหา |
ทำพิพัฒน์สัจจากันเสียใหม่ |
แล้วให้เปิดทวารบานเวียงชัย |
ให้พวกเราเข้าไปได้ทุกวัน |
อาวุธยุทธภัณฑ์อันใดมี |
ทำบาญชีมอบไว้ให้แม่นมั่น |
แล้วหาเสบียงเลี้ยงทัพให้ครบครัน |
จึงจะไว้ใจกันว่าภักดี |
ฝ่ายพวกกรมการเมืองเชียงทอง |
ได้ฟังรับรองว่าต้องที่ |
ต่างลากลับมายังธานี |
แจ้งคดีให้ฟังตามสั่งมา ฯ |
๏ ครานั้นพระยาเชียงทอง |
ไม่ขัดข้องเต็มใจออกไปหา |
จึงสั่งให้เปิดบานทวารา |
แล้วพากรมการนั้นออกไป |
ครั้นถือน้ำทำสัตย์สำเร็จแล้ว |
ลาวก็สิ้นสอดแคล้วไม่สงสัย |
ต่างเที่ยวเตร่สู่หามาไป |
ทั้งนายไพร่เชื่อถือชาวเชียงทอง |
บ้างเที่ยวเกี้ยวสาวชาวบ้านนอก |
บ้างเข้าออกไปมาหาข้าวของ |
บ้างขับร้องฟ้อนรำด้วยลำพอง |
บางคะนองกินเหล้าเที่ยวเมามาย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระยาเถินกับระแหง |
แจ้งว่าทัพเชียงใหม่มามากหลาย |
ตีเมืองเชียงทองได้ง่ายดาย |
ข่าวระคายว่าเจ้าเมืองไม่สู้รบ |
กลับใจไปเข้ากับเชียงใหม่ |
รับจะรบทัพไทยไม่หลีกหลบ |
จึงจัดแจงแต่งบอกทุกข้อครบ |
ให้ม้าใช้ไปแต่พลบทั้งสองเมือง |
ม้าใช้ไปถึงเมืองกำแพง |
พระยารามครั้นแจ้งตลอดเรื่อง |
เห็นเป็นข้อราชการรำคาญเคือง |
ให้เรือเร็วลำเขื่องรีบล่องไป |
ครั้นว่ามาถึงอยุธยา |
วางบอกที่ศาลาหาช้าไม่ |
นายเวรต่อยกระบอกออกทันใด |
แล้วซักไซ้ไล่เลียงเรื่องกิจจา |
พอเจ้าคุณผู้ใหญ่เข้าไปถึง |
นายเวรจึงกราบเรียนอยู่พร้อมหน้า |
เจ้าคุณทราบเรื่องเคืองวิญญาณ์ |
รีบเข้ามาท้องพระโรงในทันใด |
ฝ่ายขุนนางใหญ่น้อยที่คอยเฝ้า |
ทุกหมวดเหล่าเจ้ากระทรวงน้อยใหญ่ |
ต่างเข้ามาอยู่หน้าพระโรงชัย |
พวกข้าเฝ้าเข้าไปได้เวลา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ |
เสด็จสถิตแท่นมณีที่ข้างหน้า |
เสนาข้าเฝ้าก็เข้ามา |
วันทาหมอบราบกราบกราน |
ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ครั้นได้ที |
จึงคลี่หนังสือบอกออกทูลสาร |
ว่าบัดนี้ฟ้าลั่นสันบาดาล |
เป็นทหารเชียงใหม่นั้นยกมา |
ตั้งค่ายรายล้อมเชียงทองไว้ |
เจ้าเมืองไม่รบรับกลับเข้าหา |
ยอมถือน้ำพิพัฒน์สัจจา |
เห็นว่าคิดคดขบถไป |
พระยาเถินระแหงกำแพงเพชร |
พอทราบเสร็จบอกมาหาช้าไม่ |
แล้วแต่จะโปรดปรานประการใด |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา |
จึงตรัสแก่ข้าเฝ้าท้าวพระยา |
จงปรึกษาพร้อมกันในวันนี้ |
จะยกทัพใหญ่ฤๅใครจะอาสา |
พรุ่งนี้มาว่ากันที่นี่ |
สั่งเสร็จพระเสด็จจรลี |
คืนเข้าตำหนักที่ศรีไสยา |
ทหารพลเรือนทั้งสองฝ่าย |
ก็ผันผายจากเฝ้าไปพร้อมหน้า |
ครั้นถึงขึ้นนั่งยังศาลา |
ต่างปรึกษาสงครามตามคดี |
จตุสดมภ์กรมเมืองแลคลังนา |
วุ่นว้าคิดอ่านกันอึงมี่ |
ใครจะอาสาไปก็ไม่มี |
ไม่ตกลงเต็มทีก็ออกมา |
ขุนนางต่างคนก็ไปบ้าน |
ท่านทหารเสียใจเป็นหนักหนา |
เป็นตำแหน่งของตัวกลัวอาญา |
ไม่มีใครอาสาจะเสียครัน ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงทวารา |
อยุธยาพิภพเพียงสวรรค์ |
สถิตที่แท่นแก้วแพรวพรรณ |
พรั่งพร้อมพระกำนัลสนมใน |
ดังองค์อมเรศร์สุราฤทธิ์ |
สถิตเวชยันต์ทองผ่องใส |
พร้อมเทพธิดาสุราลัย |
ก้องไปด้วยอินทเภรี |
พระดำริตริเหตุเขตขอบ |
จังหวัดรอบอยุธยาบุรีศรี |
เชียงใหม่ให้ทหารมาราวี |
ยํ่ายีกระทั่งถึงเชียงทอง |
เจ้าเมืองเชียงทองไม่ปองรบ |
กลับสมทบกับเชียงใหม่ได้คล่องคล่อง |
มันกำเริบเติบใหญ่ใจคะนอง |
เห็นจะปองเป็นขบถพระบุรี |
กำแพงระแหงเถินที่บอกมา |
สามิภักดิ์ในทำนองก็ต้องที่ |
จำจะยกพหลมนตรี |
ตีเอาเชียงทองนั้นคืนมา |
ครั้นทรงพระดำริตริเสร็จ |
เสด็จออกพระที่นั่งข้างหน้า |
ประทับแท่นสุวรรณอันโอฬาร์ |
ดาษดาด้วยมุขมนตรี |
หมอบราบกราบสล้างต่างกรม |
จัตุสดมภ์พร้อมพรั่งทั้งสี่ |
ข้าทูลละอองบาทราชกวี |
เสนีน้อยใหญ่ถวายกร |
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องดัง |
เป่าสังข์กระทั่งแตรแซ่สลอน |
ระเหิดระหงดังองค์อมรินทร |
สถิตแท่นบวรพรรณราย |
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ |
เกลื่อนกลาดด้วยเทพทั้งหลาย |
ใต้ปาริกชาติอันเพริศพราย |
ฉัตรฉายช่อชั้นอมรินทร์ ฯ |
๏ พระจึงมีสิงหนาทประภาษไป |
เสนาน้อยใหญ่ทั้งปวงสิ้น |
เกิดเคืองด้วยเรื่องเมืองเชียงอินท์ |
อหังการดูหมิ่นประมาทกู |
เชียงทองเป็นของอยุธยา |
มันยกมาตั้งห้อมล้อมอยู่ |
เชียงทองนั้นก็พลัดเป็นศัตรู |
รู้เพราะสามเมืองนั้นบอกมา |
จะนิ่งอยู่เช่นนี้ก็มิได้ |
จะอิ่มเอิบกำเริบใจเป็นหนักหนา |
ถือตัวว่ากูกลัวฤทธา |
ตกทหารอยุธยาเราไม่มี |
การเช่นนี้แต่ก่อนร่อนชะไร |
เคยใช้อ้ายขุนไกรที่เป็นผี |
มันม้วยมอดวอดวายเสียหลายปี |
ครั้งนี้จะได้ผู้ใดไป |
จึงตรัสถามเสนาข้าเฝ้า |
ว่าลูกเต้ามันยังมีฤๅหาไม่ |
เห็นจางวางหกเหล่าจะเข้าใจ |
ด้วยอ้ายขุนไกรอยู่กรมนั้น ฯ |
๏ ครานั้นพระยารามจัตุรงค์ |
กราบลงแล้วทูลขมีขมัน |
ขอเดชะพระองค์ทรงธรรม์ |
อันชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
ข้าพเจ้าได้ทราบเนื้อความไว้ |
เมื่อครั้งขุนไกรดับสังขาร์ |
มีบุตรชายคนหนึ่งพึ่งคลอดมา |
อายุได้สักห้าปีปลาย |
ทองประศรีหนีจากเมืองสุพรรณ |
พาลูกน้อยนั้นไปสูญหาย |
มิได้รู้เห็นว่าเป็นตาย |
แต่ระคายว่าอยู่กาญจน์บุรี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุแจ้งเรื่องทองประศรี |
จึงตรัสถามขุนช้างไปทันที |
เอ็งนี้บ้านอยู่เมืองสุพรรณ |
ยังจะรู้เรื่องราวทองประศรี |
ลูกมันอยู่ดีหรีออาสัญ |
เอ็งรู้อย่างไรบอกไปพลัน |
จะได้ให้มันไปเชียงทอง ฯ |
๏ ครานั้นขุนช้างมหาดเล็ก |
เฝ้าแหนมาแต่เด็กพิดทูลคล่อง |
คิดไปสมใจที่นึกปอง |
หมายจะครองเจ้าพิมพิลาไลย |
จะทูลส่อพลายแก้วให้ไปทัพ |
แล้วจะกลับไปเกี้ยวเจ้าพิมใหม่ |
คิดแล้วทูลพลันทันใด |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา |
อันบุตรขุนไกรที่วอดวาย |
ชื่อว่านายพลายแก้วแกล้วกล้า |
ได้เมียอยู่สุพรรณพารา |
แต่มารดาเพื่อนอยู่กาญจน์บุรี |
อันฤทธากล้าหาญชาญชัย |
เลี้ยงภูตพรายได้เป็นถ้วนถี่ |
อายุประมาณสิบเจ็ดปี |
ขอจงทราบธุลีพระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบถ้อยคำขุนช้างว่า |
อ้ายช้างนำไปให้ได้มา |
ตำรวจเวรใครหวาให้ออกไป |
เจ้ากรมพระตำรวจก็รับสั่ง |
ถอยหลังออกมาหาช้าไม่ |
จัดขุนหมื่นพลันในทันใด |
สั่งให้นายขุนช้างเป็นผู้นำ |
ออกจากกรุงศรีอยุธยา |
ถึงสุพรรณพาราพอพลบคํ่า |
ขุนช้างขึ้นเรือนไม่เอื้อนอำ |
ไปอาบน้ำลูบกายสบายใจ ฯ |
๏ ครั้นแล้วไปบ้านศรีประจัน |
ร้องเรียกใครนั่นให้จุดไต้ |
สายทองมองเห็นตำรวจใน |
เอ๊ะเหตุไรขุนช้างจึงนำมา |
ตกใจไปบอกศรีประจัน |
รับตำรวจนั้นขึ้นเคหา |
เชิญนายนั่งข้างบนสนทนา |
กินหมากเถิดขาแต่ตามมี |
ตำรวจเล่าให้ศรีประจันฟัง |
ตามข้อรับสั่งเป็นถ้วนถี่ |
พระองค์ผู้ทรงปัถพี |
จะให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงทอง |
ให้หาคนดีมีวิชา |
ขุนช้างว่าพลายแก้วนี้แคล่วแคล่ว |
เห็นจะสมในพระทัยปอง |
จึงต้องให้หาไปในวัง ฯ |
๏ ศรีประจันได้ฟังตำรวจใน |
ตกใจระรัวกลัวรับสั่ง |
ลุกจากเคหาละล้าละลัง |
มายังหอลูกด้วยทันใด |
ทรุดนั่งทอดตัวที่ผัวเมีย |
น้ำตาไหลเรี่ยถอนใจใหญ่ |
อกเต้นทึกทักสลักใจ |
แกร้องไห้โฮโฮโอ้ลูกอา |
ผัวเมียไม่รู้ว่ากะไร |
เห็นแม่ร้องไห้เป็นหนักหนา |
นี่ใครล้มตายฟายน้ำตา |
ญาติเราฤๅว่าใครเป็นไร |
ศรีประจันรันอกเข้าผางผาง |
อ้ายขุนช้างมาทำเช่นนี้ได้ |
ไปกราบทูลพระองค์ผู้ทรงชัย |
ว่าเจ้าแก้วแววไววิชาดี |
รับสั่งจะให้ขึ้นไปทัพ |
จับอ้ายลาวฆ่าให้เป็นผี |
เจ้าเข้าเนื้อเข้าใจอะไรมี |
จะไปทัพจับตีด้วยศัตรู |
อ้อนแอ้นเอวบางเหมือนอย่างวาด |
แต่มันเด็ดก็จะขาดกระเด็นอยู่ |
คิดเห็นเป็นน่าจะเอ็นดู |
ความรู้จะได้แต่ไหนมา ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยเจ้าได้ฟัง |
ตันอกใจดังจะเป็นบ้า |
น้ำตาเป็นเม็ดเม็ดเช็ดน้ำตา |
เดือดด่าขุนช้างอ้ายจัญไร |
ส่อเสียดเบียดตะลุงทำยุ่งหยาบ |
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมมันทำได้ |
มันจะทำให้หนำแก่นํ้าใจ |
ที่หมายไว้ไม่สมอารมณ์มัน |
จะแกล้งให้กำจัดพลัดพราก |
ให้ได้ยากกลางป่าพนาสัณฑ์ |
ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไกลกัน |
นับวันไปแล้วแก้วเมียอา ฯ |
๏ เจ้าพลายเห็นเมียละเหี่ยไห้ |
อาลัยเมียรักเป็นหนักหนา |
แข็งใจจำเป็นเจรจา |
จะเดือดด่าร้องไห้ไปไยมี |
อันซึ่งราชการงานทัพ |
สำหรับมาแต่ครั้งบิดาพี่ |
ถ้าเรายกขึ้นไปคงได้ดี |
ตีได้เชียงทองสำเร็จการ |
ฟังคำผัวว่าอย่าร้องไห้ |
ตำรวจเขาได้มาถึงบ้าน |
ข้าวปลาหาทำอย่ารำคาญ |
เขาอดจะประจานให้เจ็บใจ |
ว่าพลางทางสั่งข้าคน |
สายทองเป็นต้นเข้าครัวใหญ่ |
สั่งแล้วพลายแก้วก็ออกไป |
นั่งใกล้ตำรวจกับขุนช้าง |
ครั้นถึงทักทายปราศรัย |
พาสองนายไปจากหอขวาง |
เดินตามนอกชานกระดานกลาง |
ย่างขึ้นหอพิมพิลาไลย |
หย่อนก้นบนเสื่อทั้งสามรา |
เรียกพานหมากมาหาช้าไม่ |
นางพิมหยิบพานรำคาญใจ |
ไม่ออกไปเสือกสอดลอดประตู |
ขุนช้างเขม้นเห็นแขนพิม |
ชะแง้เงยแหงนยิ้มอยู่เป็นครู่ |
นิ้วก้อยช้อยแขนใส่แหวนงู |
ดูจนยุงกัดไม่ปัดยุง ฯ |
๏ ฝ่ายว่าสายทองกับข้าคน |
ทำสำรับสับสนทอดมันกุ้ง |
พริกส้มข่าตะไคร้ใส่ปรุง |
แกงอ่อมหอมฟุ้งทั้งต้มยำ |
สุกเสร็จจัดเทียบสำรับไว้ |
ผู้หญิงวิ่งไขว่อยู่คลาคล่ำ |
นางพิมแค้นขุนช้างช่างระยำ |
ทำเรียกตาผลหัวล้านมา |
ส่งโต๊ะของคาวกับข้าวให้ |
ตาผลเป็นผู้ใหญ่ให้เดินหน้า |
ขุนช้างแลเพ่งเขม็งตา |
เดือดด่าในใจไอ้เจ้ากรรม |
พลายแก้วยิ้มเมินเชิญกินข้าว |
ตามมีเถิดพ่อเจ้ามันมืดคํ่า |
มันมิใช่กลางวันไม่ทันทำ |
ขุนช้างหยิบจอกน้ำมาล้างมือ |
กินอิ่มแล้วก็ยกสำรับไป |
พูดจาปราศรัยกันตามซื่อ |
จะมัดลาวมาเมืองให้เลื่องฦๅ |
ขุนช้างอือเออเจ้าเห็นเอาการ |
พูดกันดึกเข้าก็หาวนอน |
จัดแจงฟูกหมอนอลหม่าน |
ให้สองนายพักนอนผ่อนสำราญ |
เจ้าพลายแก้วลั่นดาลเข้าเรือนนอน |
ระทวยทอดกอดน้องประคองสวาดิ |
ใจจะขาดกระเด็นเป็นท่อนท่อน |
กระซิบสั่งสนทนาด้วยอาวรณ์ |
ขุนช้างชูคอร่อนรำคาญใจ |
ขยดนอนเข้าให้ชิดติดฝาประจัน |
ได้ยินเสียงกระดานลั่นเข้าไม่ได้ |
มือกุมหน้าแข้งขึ้นแกว่งไกว |
เหงื่อไหลโซมหน้านัยน์ตาชัน ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วกอดนางไม่วางรัด |
เกี่ยวกระหวัดจูบประทับแล้วรับขวัญ |
จะจากน้องหมองตรมอารมณ์ครัน |
หลายวันเว้นไปมิได้ชม |
เจ้าพิมน้ำตาตกกับอกผัว |
เมียกลัวรบลาวจะแหลกล่ม |
เจ้าพลายแก้วปลอบว่าอย่าปรารมภ์ |
ประคองนมถนอมจูบไม่จืดเลย |
ขุนช้างได้ยินฟอดทอดตัวควํ่า |
ผีอำลูกแล้วพ่อคุณเอ๋ย |
ผีเรือนแรงร้ายกะไรเลย |
ข้ามาใหม่ไม่เคยมาอำกัน ฯ |
๏ ครั้นแสงสุริโยทัยใกล้สว่าง |
เจ้าพลายกับนางยิ่งป่วนปั่น |
ล้างหน้ามาหาศรีประจัน |
กลืนกลั้นโศกาด้วยอาวรณ์ |
รับสั่งให้หาข้าพเจ้า |
หนักเบาจำจะเข้าไปดูก่อน |
ให้ทราบเรื่องอย่างไรในนคร |
นางพิมหาผ้าผ่อนให้ผัวไป |
เจ้าพลายแก้วกับบ่าวก็ลงเรือน |
ตำรวจเร่งตักเตือนไม่ช้าได้ |
รีบมาเวลาบ่ายลงชายไพร |
ถึงกรุงไกรไปยังศาลาพลัน |
ครั้นถึงจึงหยุดทรุดนั่ง |
ท่านผู้รับสั่งอยู่ที่นั่น |
เจ้าพลายแก้ววันทาพูดจากัน |
เห็นคมสันลาดเลาจะเอาการ |
พูดจาคารมดูคมขำ |
ตาดำกลอกกลมสมทหาร |
ถ้าไปก็จะได้ราชการ |
เสร็จทัพกลับมาบ้านแล้วคงดี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
นึกถึงเหตุราชการบุรีศรี |
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี |
จรลีออกท้องพระโรงชัย ฯ |
๏ ครานั้นท่านจางวางหกเหล่า |
ก้มเกล้าบังคมหาช้าไม่ |
กราบทูลไปพลันในทันใด |
ได้บุตรขุนไกรผู้ตายมา |
เพื่อนชื่อว่านายพลายแก้ว |
ได้ไล่เลียงดูแล้วจะอาสา |
เห็นเป็นคนดีมีวิชา |
พูดจาห้าวหาญไม่พรั่นใคร ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุตรัสมาไม่ช้าได้ |
ไปหาตัวมันมาหวาไวไว |
ตำรวจในเรียกคลานมาบังคม |
พระองค์ทรงพิศอยู่เป็นครู่ |
น่าเอ็นดูรูปร่างมันงามสม |
ตาเป็นมันหยับขลับกลม |
วิทยาอาคมจักเชี่ยวชาญ |
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายพลายแก้ว |
มึงเกิดแล้วในเนื้อเชื้อทหาร |
อย่าให้เสียศักดิวงศ์พงศ์ปราณ |
ทำราชการสืบต่อพ่อมึงไป |
แม้นตีเชียงทองชนะมา |
เงินทองเสื้อผ้ากูจะให้ |
ตรึกตรองถ่องแท้ให้แน่ใจ |
จะได้ฤๅมิได้ให้ว่ามา ฯ |
๏ พลายแก้วรับสั่งบังคมทูล |
ขอเดชะนเรนทร์สูรโปรดเกศา |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา |
ขออาสาพระองค์ผู้ทรงชัย |
ตีทัพเชียงอินท์แลเชียงทอง |
ให้สมพระทัยปองให้จงได้ |
ถ้าข้าพระพุทธเจ้ามิบรรลัย |
ก็มิได้ย่อท้อต่อณรงค์ ฯ |
๏ พระองค์ทรงภพตบเพลาผาง |
เออวางให้มันแหลกลงเป็นผง |
มึงเน้นให้วินาศลงดาษดง |
อย่าให้ลาวทะนงมาสู้ไทย |
จึงสั่งเกณฑ์ไพร่มิได้นาน |
ทั้งทหารพลเรือนกรมน้อยใหญ่ |
เร่งรัดจัดกันในทันใด |
ให้ถ้วนครบครันกันทันการ |
แล้วประทานเงินตราผ้าเสื้อ |
ก่อเกื้อให้กำเริบใจทหาร |
เจ้าพลายแก้วได้รับพระราชทาน |
ก้มกราบทูลองค์พระทรงชัย |
กระหม่อมฉันจะออกไปบ้านก่อน |
จะรีบร้อนกลับมาหาช้าไม่ |
จะได้ปลุกเครื่องอานการจะไป |
แต่ในสามวันจะกลับมา |
เออเองไปบ้านอย่านานอยู่ |
กูจะจัดพลไพร่ไว้คอยท่า |
นายพลายกราบถวายบังคมลา |
บ่าวห่อเงินตราตามออกไป ฯ |
๏ เจ้าคุณผู้ใหญ่ได้รับสั่ง |
ออกมานั่งศาลาลูกขุนใหญ่ |
เรียกพันพุฒหวามาไวไว |
เกณฑ์ไพร่ทหารแลพลเรือน |
บัตรหมายกะเกณฑ์ตามกระทรวง |
ไพร่หลวงรี้พลกล่นเกลื่อน |
กะเกณฑ์บอกไปนอกในเดือน |
ตักเตือนตีเกาะเอาตัวมา |
ที่หลบหลีกลี้หนีหาย |
เอามุลนายแม่พ่อมาต่อว่า |
ที่เจ็บไข้จ้างใส่ให้เงินตรา |
ช้างม้าอัดแออยู่แจจัน |
แล้วเบิกปืนผาเครื่องอาวุธ |
สิ่งสารพัดยุทธจัดสรร |
เสบียงเรียงออกมาพร้อมกัน |
อีกสามวันจะให้ไปเชียงทอง ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วกลับมาเห็นหน้าพิม |
ไม่มียิ้มเดินตรงเข้าในห้อง |
บ่าวถือเงินผ้ามาวางกอง |
พิมเห็นผัวมัวหมองไม่นำพา |
ผลีผลามตามผัวเข้าในห้อง |
เจ้าแก้วเห็นหน้าน้องลุกผวา |
ระทวยทอดกอดพิมปริ่มน้ำตา |
พระพันวษาตรัสใช้พี่ไปทัพ |
ด้วยเมืองเชียงทองเป็นขบถ |
คิดคดกับเชียงใหม่เอาใจกลับ |
ถ้าขืนขัดรับสั่งแล้วหลังยับ |
พี่จึงแข็งใจรับอาสามา |
เขาทูลเจาะจงว่าคงกระพัน |
แข็งขันอาคมนั้นแกล้วกล้า |
ถึงจะไปก็ไม่คิดระอิดระอา |
พริบตาก็จะแหลกเป็นธุลี |
การศึกก็ไม่นึกระไวระวัง |
แต่ห่วงหลังนี้เหลืออาลัยพี่ |
จะเว้นว่างห่างรักทุกราตรี |
เกือบปีไปแล้วจะกลับมา |
คืนนี้พี่ยังกอดประคองเจ้า |
อีกสองวันจะเศร้ากำสรดหา |
หมอนข้างจะต่างผัวทุกเวลา |
รำลึกถึงก็จะคว้ามาแอบอิง |
ยามพูดจะพูดกับใครได้ |
จะคลายใจด้วยสายทองเป็นสองหญิง |
ซุบซิบแต่พอสร่างกำสรดจริง |
ถึงยามนอนก็จะนิ่งอนาถครวญ |
เที่ยงคืนตื่นตาจะตีอก |
วิตกด้วยน้องน้อยสักร้อยส่วน |
จะผอมซูบผิดรูปสลดนวล |
มิควรไข้เจ้าจะเป็นไข้ใจ |
ยามกินผินหน้าไม่พบผัว |
จะจานน้ำกลํ้ากลั้วไม่กลืนได้ |
เคยสบายก็จะคลายสบายไป |
รอยไรจะทิ้งรกทุกราตรี |
เส้นผมไหนจะพบกับแหนบน้อย |
ร้อยวันจะไม่พบกระจกหวี |
กระแจะแป้งแห้งโถทั้งตาปี |
ขมิ้นมีก็จะหมองไม่หมั่นทา |
ฟูกหมอนอ่อนอุ่นจะหนุนหนาว |
อกจะร้าวด้วยข้อนชะอ้อนหา |
สองแก้มแย้มยิ้มลออตา |
จะบกพร่องโรยราไม่เด่นดวง |
สารพัดจะวิบัติวิบากจิตร |
ยิ่งคิดคิดทุกข์ใจนี่ใหญ่หลวง |
แสนอาลัยนมงอนจะหย่อนทรวง |
ผัวเป็นห่วงด้วยเจ้าพิมพิลาไลย ฯ |
๏ นางพิมพับกับอกเฝ้าสะอื้น |
ไม่ฝ่าฝืนสร่างสมประดีได้ |
น้ำตาตกซกซกกระเซ็นไป |
รํ่าไรห่วงผัวจะจากพิม |
จะเดินไปได้ฤๅถึงเชียงทอง |
จะพังพองสองเท้าพ่อนิ่มนิ่ม |
จะระบมบอบบางทั้งกลางริม |
อกพิมนี้จะพังด้วยผัวรัก |
ใครจะช่วยบ่งหนามที่เหน็บเนื้อ |
เมียนี้อาลัยเหลือเพียงอกหัก |
ไปด้วยจะได้ช่วยพ่อบ่งชัก |
อนาถนักพ่อไปนอนอยู่กลางไพร |
พ่อเคยนอนอ่อนเนื้อด้วยนุ่มฟูก |
ไปปะถูกดินดอนที่ไหนได้ |
จะคายคันตัวต้องละอองไพร |
ใครจะช่วยจุดหลังรำพึงพา |
อกเอ๋ยเมียเคยทำกับข้าว |
เย็นเช้าตกแต่งบำรุงหา |
พ่อกินได้เหมือนใครเมื่อไรนา |
ผักปลากินสิ่งละน้อยน้อย |
คาวหวานวันละสามเวลาเหลือ |
ยังไม่ใคร่มีเนื้อขึ้นสักหน่อย |
จะไปกินดิบสุกทั้งบุกกลอย |
ไม่อร่อยรสชาตินั้นจืดจาง |
จะอิ่มซาบอาบอกมาแต่ไหน |
คิดไปสงสารพ่อนี้สุดอย่าง |
จะหิวโหยระหวยด้วยแบบบาง |
พ่อร่างน้อยของเมียนี้คนเดียว |
ยามดึกจะระลึกถึงพิมน้อย |
จะเศร้าสร้อยเปล่าตรมอารมณ์เสียว |
ด้วยพลัดที่เชยชมได้กลมเกลียว |
จะแลเหลียวไปพบแต่พวกชาย |
รุ่งเช้าหนาวเสียงชะนีร้อง |
จะหวาดว่าเสียงน้องอยู่จนสาย |
จะตรำแดดแผดลมระบมกาย |
เหนื่อยหน่ายก็จะนอนทั้งเหงื่อไคล |
อาบน้ำเล่าก็น้ำในท้องธาร |
หนาวสะท้านเย็นเสียวตลอดไส้ |
เคยทาแป้งกระแจะจรุงใจ |
ใครจะให้กระแจะประจงทา |
โอ้พ่อพลายสายสวาดิของน้องเอ๋ย |
ไม่เคยเลยจะห่างเหเสนหา |
มานอนหอด้วยน้องสองเวลา |
พ่อเคยพาพิมพูดพิไรวอน |
นั่นนี่ซี้ซิกสัพยอก |
ยั่วหยอกมิใคร่ให้ไปไกลหมอน |
แขนซ้ายเคยให้เมียหนุนนอน |
เห็นเมียร้อนพ่อก็พัดกระพือลม |
พูดพลอดกอดจูบมิใคร่นอน |
ช้อนคางเมียเชยแล้วเสยผม |
จนรุ่งรางสางสายไม่วายชม |
แสนภิรมย์รักน้องไม่นอนไกล |
ไม่พลิกกายบ่ายหน้าออกไปจาก |
จะออกปากว่าเหนื่อยนิดหามีไม่ |
แนบนางข้างเดียวด้วยเจือใจ |
พ่อไปใครจะกอดให้พิมนอน |
จะกินข้าวนั่งเคล้าอยู่คอยท่า |
ให้พิมมานั่งกินด้วยกันก่อน |
ครั้นเมียไม่กินพร้อมพ่อย่อมวอน |
ปั้นป้อนปลอบปลื้มประโลมใจ |
เห็นเขาเป็นผัวเมียกันมาหนัก |
จะรักเหมือนพ่อรักพิมหามีไม่ |
พ่อมาต้องเด็ดรักหักไป |
ทำไมจะได้ของรักไปเชยชม |
เป็นจนจิตรกลัวผิดไปไม่ได้ |
จนใจพ่อเอาไปแต่ผ้าห่ม |
ในกลางไพรพ่อจะได้ประคองชม |
สุดตรมอกดิ้นอยู่เดียวดาย |
เมียจะนอนคนเดียวกะไรรอด |
ใครจะกอดพิมนอนให้หนาวหาย |
เคยแอบแนบข้างไม่ห่างกาย |
เมียจะตายแล้วพ่อทูลกระหม่อมเมีย ฯ |
๏ พลายแก้วปลอบโฉมประโลมเล้า |
อย่าโศกเศร้าไปเลยรูปจะซูบเสีย |
นํ้าตาตกอกสะท้อนอ่อนเพลีย |
แต่งัวเงียอยู่ไม่เงยรำคาญใจ |
สุดคิดจิตรเจ็บด้วยจำจาก |
วิบากกรรมจะทำกะไรได้ |
ไปได้ผัวจะพาเจ้าพิมไป |
สำราญไพรพรั่งพร้อมผกาบาน |
เลือกเด็ดดอกชมภิรมย์จิตร |
ที่สูงสอยมาให้ปลิดแซมประสาน |
อาบนํ้าให้สนุกในท้องธาร |
ขึ้นม้าพาผ่านพนาลี |
ถึงเหน็ดเหนื่อยเห็นหน้าเจ้านั่งใกล้ |
ชื่นใจกว่าจะถึงเชียงทองที่ |
ถ้าทัพลาวออกไล่ตะลุมตี |
จะแต่งตัวพิมพี่ให้เป็นชาย |
ใส่เสื้อแนบเนื้อให้เนียนอก |
หมวกฝรั่งบังปกผมปีกหาย |
ถือกระบี่มีฤทธิเพริศพราย |
เอาเหน็บกฤชกรายขึ้นพาชี |
แล้วพี่จะเสกประสมว่าน |
ให้ทนทานอาวุธเป็นถ้วนถี่ |
ฟันลาวเล่นให้แหลกเป็นธุลี |
ถ้าไปได้แล้วพี่จะพาไป |
นี่สุดฤทธิ์ที่จะคิดอย่างไรรอด |
จะนิ่งกอดน้องนอนอยู่ไม่ได้ |
อกเปล่าเศร้าเสียสลดใจ |
จนไก่ขันกระชั้นสนั่นมา |
เผยอบานหน้าต่างเห็นรางรอง |
แสงทองส่องสว่างพระเวหา |
โอ้จะรุ่งขึ้นแล้วแก้วพี่อา |
แนบหน้านิ่มน้องประคองตัว |
ละมุนละม่อมถนอมไว้แนบทรวง |
ประโลมล้วงลูบอุ่นในอกผัว |
จูบเฟ้นเน้นชมอารมณ์รัว |
แม่จูบผัวบ้างสักทีให้มีใจ |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างโลก |
ทั้งสองโศกยังหาสร่างกำสรดไม่ |
พลายแก้วปลอบเจ้าพิมพิลาไลย |
มาจะไปบอกความกับมารดา |
กอดคอชะลอเคลื่อนออกจากมุ้ง |
เผยอพยุงย่างแอบแนบหน้า |
ออกจากห้องสองแก้มล้วนนํ้าตา |
ถึงมารดาต่างสะอึกสะอื้นไป ฯ |
๏ ครานั้นศรีประจันผู้มารดา |
เห็นลูกยาทั้งสองมาร้องไห้ |
ถามว่าแก้วตาเจ้าเป็นไร |
จึงครวญครํ่ารํ่าไห้นัยน์ตาแดง |
ไปเฝ้ากลับมาแต่เย็นวาน |
ไม่เล่าขานมารดาให้รู้แจ้ง |
อ้ายขุนช้างทูลเบียดเสียดแทง |
จะรบราฆ่าแกงกันอย่างไร |
จะได้ไปฤๅไม่ไปไม่บอกมั่ง |
ออกจากวังตั้งแต่จะร้องไห้ |
คิดดูน่าเบื่อนี่เหลือใจ |
น้ำตาไหลเปียกเปื้อนทั้งสองคน ฯ |
๏ พลายแก้วเล่าความกับศรีประจัน |
สารพันเงื่อนสายปลายต้น |
รับสั่งให้ไปทัพจับประจญ |
ลาวเชียงทองบนให้บรรลัย |
บัดนี้ที่ในกรุงได้เกณฑ์พล |
เกลื่อนกล่นถ้วนพันสรรให้ |
ทูลลามาบ้านรำคาญใจ |
กำหนดไว้สามวันจะยกทัพ |
ลูกเป็นห่วงด้วยเจ้าพิมพิลาไลย |
เมื่อไรจะเสร็จสงครามกลับ |
เนื้อแท้วาสนาลูกอาภัพ |
นับได้สามวันมาอยู่เรือน |
พรุ่งนี้เช้าตรู่จะจู่จาก |
ได้ยากระทมทุกข์ไปในเถื่อน |
อย่านับวันมั่นแล้วจะนับเดือน |
ใครจะเพื่อนเจ้าพิมพิลาไลย |
คิดคิดแล้วแค้นขุนช้างนัก |
มันรักเจ้าพิมมาแต่ไหนไหน |
มันหมายจะเชยชมให้สมใจ |
จึงแคะไค้ค่อนทูลพระทรงธรรม์ |
ด้วยหมายว่าไปแล้วก็คงตาย |
แยบคายลิ้นลมมันคมสัน |
จะคอยชิงเอาเจ้าพิมนิ่มนวลจันทร์ |
แม่นมั่นลูกคิดไม่ผิดใจ |
ตัวไปใจลูกยังอยู่ห้อง |
หามีใครปกป้องเจ้าพิมไม่ |
เห็นแต่หม่อมแม่มิเป็นไร |
สงวนไว้กว่าลูกจะกลับมา |
ถ้าใครบอกใครเล่าว่าลูกตาย |
แม่อย่าเพ่อวุ่นวายฟังมันว่า |
สืบสาวให้แน่ในพารา |
อย่าเพ่อเชื่อถือว่าซื่อตรง |
อันตัวเจ้าพิมพิลาไลย |
ดังดวงใจของลูกอย่าลืมหลง |
รักษาป้องกันให้มั่นคง |
กว่าจะได้กลับลงมาพารา |
อันมนุษย์หาสุดแก่ใครไม่ |
มันกลับกลอกนอกในเป็นหนักหนา |
ถึงจะอมทองคำมาเจรจา |
แม่อย่าหลงไปด้วยพลอยอวยเออ ฯ |
๏ ศรีประจันครั้นเห็นลูกร้องไห้ |
นํ้าตาแกไหลตละนํ้าพลํ่าเผลอ |
ขยี้ตาหน้าขาวหาวเรอ |
พูดจาว่าละเมอละมายไป |
อย่าเป็นทุกข์ถึงออพิมเลยออแก้ว |
ไปแล้วหาให้เป็นอะไรไม่ |
ลูกเต้าเขารักษามาแต่ไร |
ด้วงแลงแมงไยมิให้พาน |
อุตส่าห์ตั้งเนื้อตั้งใจไป |
ทุกข์ถึงเขาไยเขาอยู่บ้าน |
พ่ออย่าประมาทราชการ |
ไม่ควรกล้าอย่าหาญให้เสียที |
อันค่ายคูดูทำให้มั่นคง |
อย่าทะนงหลงเล่ห์จะไล่หนี |
ถอยรอล่อลวงท่วงที |
ในราตรีอย่าเห็นแก่หลับนอน |
นั่งยามตามไฟใส่ฆ้องค่อย |
กองร้อยมั่วสุมซุ่มซ่อน |
สวัสดีมีชัยได้นคร |
อุตส่าห์ต้อนวัวควายมาไถนา |
รุ่งพรุ่งนี้แล้วออแก้วไป |
เด็กเอ๋ยไวไวมานี่หวา |
ชวนกันออเจ้าสีข้าวปลา |
ซ้อมให้ขาวอย่ามีแกลบรำ |
แล้วใส่กระสอบรอบรัด |
ช่วยกันจัดแจงหวาแกด่าพร่ำ |
พริกกะเกลือจัดหาเอามาตำ |
ขะต้มขนมทำไปให้ครบ |
สายทองไปข้างไหนไม่เห็นตัว |
กะไรชั่วชาติเหลืออีเสือขบ |
การร้อนเป็นไฟหาไม่พบ |
หลบหัวเสียทีเดียวเที่ยวแชเชือน |
หมากพลูปูนยาไม่จัดแจง |
พลูนาบหมากแห้งยังกองเกลื่อน |
ศรีประจันสั่งบ่าวเฝ้าตักเตือน |
พิมกับผัวเข้าเรือนพิไรครวญ ฯ |
๏ อีมีอีรักควักปลาร้า |
เหม็นหวาสิ้นทีเป็นขี้ขมวน |
ศรีประจันด่ามี่อีขี้กรวน |
ปลากูใส่ได้ส่วนเป็นอย่างไร |
อีดำตำพริกขยิกขยี้ |
เสียงถี่โกกโกกกระโชกไล่ |
ข่าขิงพริกเกลือเจือลงไป |
แขยะแขยะขยิกไล่ละเอียดดี |
อ้ายมีอีกวยฉวยกระบุง |
ตวงข้าวในยุ้งเอาออกสี |
ตากตำซ้ำซ้อมพร้อมทันที |
กระสอบใส่ได้ที่กองเต็มไป |
ปลาแห้งปลาชะโดโตโตหวา |
ปลาย่างหอมกระเทียมก็เตรียมใส่ |
น้ำอ้อยน้ำตาลงบครบครันไป |
บ้างก็วิ่งขวักไขว่อยู่ไปมา |
กวนขนมกะละแมแซ่เซ็งไป |
มะพร้าวปอกไว้ต่อยแตกฉ่า |
กระต่ายขูดครูดแคะแกะกะลา |
คั้นกะทิกะทะฉ่าเทลงไป |
เอาแป้งมาขยำแล้วซ้ำกรอง |
น้ำตาลใส่ลงในท้องกะทะใหญ่ |
เหลวเหลวกวนง่ายสบายใจ |
เร่งไฟคนเคี่ยวเหนียวเข้าทุกที |
ผลัดกันบ้างเป็นไรหัวไหล่เหนื่อย |
เมื่อยแขนเป็นจะตายแล้วอ้ายผี |
ติดกะทะเลอะละอยู่เช่นนี้ |
ควักพายป้ายที่ใบตองรอง |
มึงชิมกูชิมริมกะทะ |
หวานละดีครันเป็นมันย่อง |
หมดริมควักชิมที่กลางลอง |
พร่องไปครึ่งกะทะชะหวานจริง ฯ |
๏ ศรีประจันมารดาจึงว่าไป |
แม่พิมนี้เป็นกะไรเข้าเรือนนิ่ง |
ผัวมีที่ไปไม่ไหวติง |
ช่วยกันวิ่งกันเต้นบ้างเป็นไร |
หมากพลูหยูกยาไม่จัดแจง |
จะเฝ้าทรงพระกันแสงไปถึงไหน |
เป็นแพงพวยทอดยอดอิดออดไป |
ผ้าผ่อนท่อนสไบไม่นำพา |
อย่างนี้ฤๅขึ้นชื่อว่ารักผัว |
มัวแต่จะร้องไห้ไม่เงยหน้า |
แม้นไม่มีกูดูเถิดนา |
ปลาชิ้นหนึ่งจะกินก็ไม่มี |
จะลงกัดก้อนเกลืออยู่กรอดกรอด |
นั่งกอดหัวเข่าอยู่กับที่ |
แม่ยายตะกายเป็นตัวตี |
ยังกะว่ากูนี้เป็นเมียน้อย |
ส่งแต่เสียงโล่โล่พุทโธ่เอ๋ย |
ไม่หยิบต้องบ้างเลยนางยอดสร้อย |
ยิ่งว่าดูตาเล่นปรอยปรอย |
กูจะต่อยให้ร้องก้องสุพรรณ ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพิมพิลาไลย |
กอดผัวร้องไห้อยู่ป่วนปั่น |
หยิบอะไรเข้าไม่ได้อกใจตัน |
กลืนกลั้นน้ำตายิ่งไหลพรู |
เสียงแม่ว่าขานรำคาญใจ |
ลุกจากผัวไปสะอื้นอยู่ |
ปอกหมากใส่ขันแล้วพันพลู |
แลดูผัวเพียงจะขาดใจ |
ซบหน้าโศการำพันเศร้า |
จะคลึงเคล้าพลูจีบเข้าไม่ได้ |
สะอื้นอักสลักอกตะลึงไป |
สำลีถือกับมือไว้ก็ลืมวาง ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วเห็นเมียละเหี่ยไห้ |
ลุกไปนั่งแอบลงแนบข้าง |
ปลอบประโลมโฉมเช็ดนํ้าตาพลาง |
อย่าครวญครางนักเลยนะน้องอา |
จีบพลูเถิดพี่อยู่กับพิมแล้ว |
ออแก้วจะได้กินที่กลางป่า |
อย่าโศกศัลย์จงกลั้นกลืนน้ำตา |
มาผัวจะช่วยเจ้าป้ายปูน |
สัพยอกหยอกเย้าเฝ้ายวนยั่ว |
เคียงผัวน้ำตาค่อยหายสูญ |
แกล้งเย้าให้เจ้าคลายอาดูร |
ที่นั่นนูนน้องฟกหัวอกบวม ฯ |
๏ นางพิมยิ้มทั้งน้ำตาตก |
อย่าว่าฟกเลยมันคงจะลงน่วม |
หมากพลูดูหยิบรีบรวบรวม |
ใส่ล่วมเหลือยัดย่ามตะเครียว |
พ่อทูนหัวผัวคืนมาสมสู่ |
อย่าให้พลูของพิมทันแห้งเหี่ยว |
บุหรี่ยาเพชรบูรณ์ฉุนเจียว |
ใบตองขอให้เขียวเมื่อคืนมา |
ค่อยยังชั่วด้วยผัวมาพาชื่น |
คลายสะอื้นคลานเข้าไปพับผ้า |
ประจงจีบกลีบเล็กเล็กลออตา |
ไปกลางป่ากำปั่นน้อยนั้นใส่ไป |
นางจัดแจงหีบผ้ากระจกหวี |
ตามที่เคยทำเจ้าจำได้ |
หยิบหมอนที่นอนน้อยละห้อยใจ |
โอ้จะไกลที่นอนน้องไปนอนเดียว |
หมอนของน้องหน้ากรองด้วยทองชุด |
เป็นเครือครุฑยุดกระชากนาคเกี่ยว |
คิดไปใจสยองแสยงเจียว |
อกเสียวระทมทับที่นอนลง ฯ |
๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา |
ลูกยาไปทัพจะตามส่ง |
แต่งงานพลายแก้วพึ่งแล้วลง |
ยับยั้งยังคงอยู่สุพรรณ |
เรียกหาข้าคนให้ขนของ |
สบุ้งเสบียงเรียงกองในเรือนนั่น |
มึงอย่าเผอเรอเหนออีจัน |
พร้อมกันลงเรือกัญญาไป |
บ่าวชายบ่าวหญิงวิ่งลนลาน |
เชิงกรานหม้อข้าวเอาส่งให้ |
ทองประศรีงกงันขึ้นบันได |
พูดจาปราศรัยกันไปมา |
จะไปด้วยกันฤๅออจันเอ๋ย |
หาไปส่งลูกเขยไม่ฤๅหวา |
แต่งสำเร็จเสร็จแล้วทั้งข้าวปลา |
ไปดูหน้าออพลายให้คลายใจ ฯ |
๏ ศรีประจันตอบคำทองประศรี |
เหย้าเรือนตูหามีใครดูไม่ |
ข้าวของยังกองออกมุลไป |
พาออพิมพิลาไลยไปส่งกัน ฯ |
๏ ทองประศรีได้ฟังสั่งข้าคน |
ขนของลงเรือขมีขมัน |
พลายแก้วลุกออกมานอกพลัน |
ไหว้ท่านศรีประจันผู้แม่ยาย |
นัดกันกับท่านทองประศรี |
ให้ไปคอยอยู่ที่สำคัญหมาย |
บ้านแมนแม่นยำอย่าคลาศคลาย |
ลูกชายจะไปบกยกเข้ากรุง |
ทูลลาพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
จะได้พบกันต่อวันรุ่ง |
แม่ออกเรือก่อนนอนพ้นยุง |
พรุ่งนี้ลูกจึงจะตามไป ฯ |
๏ ทองประศรีได้ฟังลูกชายว่า |
นัดกันสัญญานั้นจำได้ |
ลงเรือกัญญาพร้อมข้าไท |
นางพิมก็ไปกับมารดา |
นั่งในกลางแคร่กับแม่ผัว |
ฝีพายบ่ายหัวออกจากท่า |
ตุ้มติ้มทิ่มถี่ร้องมี่มา |
ยาวยาวช้าช้าไว้เป็นไร |
ชักหัวเรืออ้ายดำทำอย่างนั้น |
กูไล่ไม่ทันออพ่อข้าไหว้ |
ถือท้ายไม่ถนัดคัดรุดไป |
วาดไว้บ้างเหวยเฮ้ยหัวเรือ |
วาดไม่ทันรันรกคนตกน้ำ |
โขนตำเข้าที่ตอต่อหัวเสือ |
มันต่อยระยำทั้งลำเรือ |
ทองประศรีเลิกเสื่อขึ้นคลุมตัว |
นางพิมพิลาไลยได้กระสอบ |
มุดหมอบเข้าไปพอมิดหัว |
อ้ายฝีพายเก้กังกำลังกลัว |
เรือรั่วถูกตอไหลจ้อไป |
มุดนํ้ากำดินขึ้นมายา |
ลากเรือออกมาพ้นตอได้ |
ร้องด่ากันอึงคะนึงไป |
พอรุ่งก็ใกล้บางลางพลัน ฯ |