- คำนำ
- ตำนานเสภา
- คำอธิบาย
- อธิบายบทเสภา เล่ม ๓
- ตอนที่ ๑ กำเนิดขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๓ พลายแก้วบวชเณร
- ตอนที่ ๔ พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม
- ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม
- ตอนที่ ๖ พลายแก้วเข้าห้องนางสายทอง
- ตอนที่ ๗ พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
- ตอนที่ ๘ พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ
- ตอนที่ ๙ พลายแก้วยกทัพ
- ตอนที่ ๑๐ พลายแก้วได้นางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๑ นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย
- ตอนที่ ๑๒ นางศรีประจันยกนางวันทองให้ขุนช้าง
- ตอนที่ ๑๓ พลายแก้วได้เป็นขุนแผน ขุนช้างได้นางวันทอง
- ตอนที่ ๑๔ ขุนแผนบอกกล่าว
- ตอนที่ ๑๕ ขุนแผนต้องพรากนางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๖ กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่
- ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา
- ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพานางวันทองหนี
- ตอนที่ ๑๙ ขุนช้างตามนางวันทอง
- ตอนที่ ๒๐ ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นขบถ
- ตอนที่ ๒๑ ขุนแผนลุแก่โทษ
- ตอนที่ ๒๒ ขุนแผนชนะความขุนช้าง
- ตอนที่ ๒๓ ขุนแผนติดคุก
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม
- ตอนที่ ๒๕ เจ้าล้านช้างถวายนางสร้อยทองแก่พระพันวษา
- ตอนที่ ๒๖ พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง
- ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
- ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา
- ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
- ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่
- ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนพลายงามยกทัพกลับ
- ตอนที่ ๓๒ ถวายนางสร้อยทอง สร้อยฟ้า
- ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม
- ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ
- ตอนที่ ๓๕ ขุนช้างถวายฎีกา
- ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง
- ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ พระไวยถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๙ ขุนแผนส่องกระจก
- ตอนที่ ๔๐ พระไวยแตกทัพ
- ตอนที่ ๔๑ พลายชุมพลจับเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๒ นางสร้อยฟ้าศรีมาลาลุยไฟ
- ตอนที่ ๔๓ จระเข้เถรขวาด
ตอนที่ ๓๙ ขุนแผนส่องกระจก
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว |
ได้กินเมืองกาญจน์บุรีไม่มีภัย | สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง |
ลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา | ปฏิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง |
คลึงเคล้าเช้าเย็นไม่เว้นวาง | แต่ระคางขุ่นข้องให้หมองใจ |
ด้วยอีสร้อยฟ้ามันทำเข็ญ | คบเถรทำให้ลูกกูหลงใหล |
นิ่งฉะนี้น่าที่ออหมื่นไวย | จะเสียคนป่นไปเป็นชาติกา |
คิดแล้วจึงเรียกเจ้าลาวทอง | สั่งน้องเจ้าจงอยู่ดูเคหา |
แต่งตัวแล้วเรียกแก้วกิริยา | มาขึ้นช้างงาสง่างาม |
สัปคับประดับกูบละไม | บ่าวไพรพรั่งพร้อมล้อมหลาม |
ออกจากบ้านบากตรงเข้าดงราม | ข้ามทุ่งธารแถวแนวลำเนา |
สามวันครึ่งก็ถึงอยุธยา | พอพระพิจิตรบุษบามาถึงเข้า |
แลไปใครหนอคุณพ่อเรา | ปลงช้างวางเข้าไปวันทา |
จึงถามความพลันในทันใด | มีธุระสิ่งไรนะเจ้าขา |
ทั้งคุณพ่อคุณแม่บุษบา | ลงมาจะประสงค์สิ่งอันใด ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | บอกว่าศรีมาลาเจ้าเป็นไข้ |
เจ็บหนักเจียนจักถึงบรรลัย | ใช้อ้ายทิดขึ้นไปจึงได้มา |
ขุนแผนบอกว่ามิใช่ไข้ | เชิญคุณพ่อขึ้นไปบนเคหา |
จะได้รู้ร้ายดีศรีมาลา | ว่าแล้วก็พากันขึ้นไป |
ทั้งพระพิจิตรบุษบาข้าคน | สับสนอยู่ที่หอนั่งใหญ่ |
พระไวยเห็นพ่อมาระอาใจ | ออกไปไหว้บิดาแลมารดา ฯ |
๏ ครานั้นศรีมาลานารี | หมองศรีเศร้าสร้อยละห้อยหา |
รู้ว่าพ่อแม่ทั้งสองมา | ก็ไคลคลาจากห้องด้วยหมองใจ |
กราบเท้าบิดาแลมารดา | นางโศกาสะอึกสะอื้นไห้ |
เล่าความตามจริงทุกสิ่งไป | เหลือใจแล้วที่ลูกจะทานทน |
ดูเถิดหลังพังแล้วล้วนแนวไม้ | เป็นริ้วรอยลายไปทุกแห่งหน |
ว่าเป็นชู้กับน้องชายพลายชุมพล | พระไวยเชื่อคำคนเขาเจรจา |
แม้นเขาว่าแก้วเกิดขึ้นในท้อง | ก็จะต้องแหวะออกเหมือนเขาว่า |
อย่างนี้น่าที่จะมรณา | ว่าพลางโศกาสะอื้นไป ฯ |
๏ พระพิจิตรบุษบาได้แจ้งการ | แสนสงสารไม่กลั้นน้ำตาได้ |
น้ำตาคลอตาพลางว่าไป | เป็นไฉนฉะนี้นะลูกอา |
เพราะข้ารักขุนแผนแว่นไว | จึงยินยอมยกให้เสนหา |
แต่แรกเริ่มเดิมนั้นได้สัญญา | ว่าลูกข้ามันไม่สู้รู้อะไร |
ด้วยเป็นชาวบ้านนอกคอกนา | กิริยาพาทีหาดีไม่ |
ถึงจะผิดพลั้งบ้างเป็นอย่างไร | เจ้าก็ไม่ด่าตีศรีมาลา |
ด้วยคำมั่นสัญญาว่าดังนี้ | ไยจึงตีด่าเล่นเป็นหนักหนา |
ดังเชลยตีทัพจับได้มา | เสียแรงข้ารักเจ้าเป็นเท่าไร |
ส่วนพ่อแม่ของเจ้าเมื่อเราเลี้ยง | กล่อมเกลี้ยงมิให้หมองน้ำใจได้ |
ลูกข้าข้าก็รักเพียงดวงใจ | แต่ริ้นไรก็มิได้ให้ตอมตัว |
ถึงจะโบยตีมิให้หนัก | จนลูกรักเติบใหญ่ได้มีผัว |
ยกให้หมายใจจะฝากตัว | กลับมาชั่วช้าได้ให้อายคน ฯ |
๏ ครานั้นพระหมื่นไวยพลายงาม | ฟังความคั่งแค้นทุกขุมขน |
กระทบกระแทกแดกดันให้บัดดล | ฉันนี้จนไม่รู้ที่จะเจรจา |
อันมีเมียสองก็ต้องห้าม | ตามคำโบราณท่านย่อมว่า |
มันเกาะแกะเกินก้ำเป็นธรรมดา | ใช่ว่าจะไม่เลี้ยงให้เที่ยงธรรม |
ศรีมาลาข้าก็ให้เป็นเมียหลวง | ข้าไททั้งปวงไม่เกินก้ำ |
ถึงสร้อยฟ้าหล่อนก็ว่าอยู่ในคำ | ทั้งให้ถือน้ำทุกปีมา |
เงินทองของข้าวเท่าใดใด | ก็มอบไว้ให้หมดทั้งเคหา |
ครั้นว่าเห็นสิ่งไรไม่ชอบตา | ฉันว่าหล่อนก็เถียงขึ้นเสียงดัง |
ทำเป็นโกรธบ่าวข้าด่าประชด | เหลือจะอดลูกนี้จึงตีมั่ง |
ทำแต่พอให้หลาบปราบพอฟัง | ใช่จะตั้งเคี่ยวเข็ญดังเจรจา |
เจ้าชีวิตชุบเลี้ยงถึงเพียงนี้ | มีเมียไม่ดีก็ขายหน้า |
เพื่อนขุนนางทั้งสิ้นจะนินทา | ใช่ว่าจะไม่รักหล่อนเมื่อไร |
ฤๅคุณพ่อกับคุณแม่บุษบา | หารู้ทะเลาะตีด่ากันบ้างไม่ |
ประเพณีมีมาแต่ก่อนไร | มิใช่ใจใครจะลุถึงโสดา |
ธรรมดาว่ามนุษย์ปุถุชน | ยังมักหมิ่นมืดมนด้วยโมหา |
จะให้หมดโมโหโกรธา | สุดปัญญาที่ลูกจะผ่อนปรน |
คุณพ่อดูแต่ลิ้นอยู่กับฟัน | กระทบกันก็ไม่รู้ว่ากี่หน |
จะไม่ให้ตีรันฉันก็จน | พ่อแม่ก็จะป่นเป็นหว่านไป ฯ |
๏ ครานั้นพระกาญจน์บุรีศรีสงคราม | ได้ฟังความลูกว่าไม่นิ่งได้ |
อย่าพักพูดเลยเจ้าพอเข้าใจ | สารพัดที่จะได้มารู้ความ |
เพราะรักดอกจึงรีบลงมาหา | จะได้เห็นประจักษ์ตาว่าเสี้ยนหนาม |
พ่อดูหน้าเจ้าเป็นฝ้าเหมือนทาคราม | มีเมียสองต้องห้ามแต่ไรมา |
เหมือนนิทานท่านท้าวยศวิมล | มเหสีสองคนเป็นซ้ายขวา |
ชื่อว่าจันท์เทวีกับจันทา | ทั้งสองรานั้นร่วมมารดากัน |
แต่พี่น้องท้องเดียวยังทำได้ | คบอีเถ้าจัญไรโกหกนั่น |
ทำเสน่ห์เล่ห์กลทุกสิ่งอัน | จนท้าวนั้นลุ่มหลงปลงฤทัย |
นางจันท์เทวีไม่มีผิด | มันเสียดส่อข้อคิดให้ขับไล่ |
อันเรื่องนี้เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ | เป็นไฉนจึงประมาทนะลูกอา |
คนดีอยุธยาหาสิ้นไม่ | เจ้าอย่าถือตัวไปฟังพ่อว่า |
พ่อรู้แน่แล้วว่าลูกนี้ถูกยา | เจ้าไม่เชื่อบิดาจะเสียคน ฯ |
๏ สร้อยฟ้ากับอีไหมอยู่ในห้อง | ได้ฟังหัวพองสยองขน |
เปิดหน้าต่างลอยหน้าว่าลนลน | ใครทำเวทมนตร์เอาตัวมา |
ข้างนี้รู้อยู่แล้วว่าพระไวย | ต้องยาแฝดแปดไปจนมืดหน้า |
ทุกเช้าค่ำร่ำละห้อยคอยบิดา | เมื่อไรจะลงมาได้จับมัน |
บัดนี้คุณพ่อมาน่าดีใจ | จะได้จับอ้ายคนมนตร์ขยัน |
รูปร่างอย่างไรได้เห็นกัน | อย่าช้าเลยตะวันจะค่ำไป ฯ |
๏ พระกาญจน์บุรีชี้หน้าด่าอึง | อุเหม่มึงอย่าท้าอีหน้าไพร่ |
อีเม้ยเฮ้ยอย่าช้าเอ็งจงไป | หยิบกระจกที่ออไวยเขาส่องมา |
อีเม้ยรับกลับเข้าในห้องใน | หยิบกระจกบานใหญ่กะหลาป๋า |
เทศแท้เที่ยงดีมีราคา | เอาออกมาให้ขุนแผนผู้แว่นไว |
ขุนแผนผินรับจับกระจก | พลางหยิบยกกระดานชนวนใหญ่ |
มาขีดเขียนเลขยันต์ลงทันใด | แล้วลบผงลงใส่กระจกพลัน |
โอมอ่านมนตร์ครบจบศีรษะ | ขอเดชะพระเวทวิเศษขยัน |
ถ้าใครทำมนตร์ยาใจอาธรรม์ | จงปรากฏเห็นกันให้ทันตา |
ก็เกิดเป็นรูปนิมิตติดกระจก | อกต่ออกอิงแอบเข้าแนบหน้า |
ใบรักรัดกระสันกันสองรา | ขุนแผนฮาดังลั่นนั่นเป็นไร |
พระพิจิตรบุษบากับข้าคน | ต่างเห็นมนตร์สัจจังทั้งเรือนใหญ่ |
ขุนแผนหยิบยื่นให้หมื่นไวย | เอ็งดูดู๋นี่อะไรให้ว่ามา ฯ |
๏ พระหมื่นไวยเมินหน้าหาดูไม่ | ข้าเข้าใจอยู่นักไม่พักว่า |
ถ้าทำมั่งก็เป็นเช่นบิดา | ใช่ตัวข้าโง่เง่าไม่เท่าทัน |
แม้นไม่ดีที่ไหนจะพ้นโทษ | เมื่อทรงโปรดให้ไปตีเชียงใหม่นั่น |
จึงได้มีความสุขทุกคืนวัน | เพราะพ่อนั้นรักที่ศรีมาลา |
ถึงจะทำความผิดสักเท่าไร | พ่อก็เข้ากันไปมิได้ว่า |
ข้าทำไม่ได้เช่นใจของบิดา | ใครผิดก็ต้องว่าตามจริงไป ฯ |
๏ ขุนแผนชี้หน้าด่าอึง | อุเหม่มึงลำเลิกพ่อเล่นได้ |
ลุกฉวยดุ้นแสมแร่เข้าไป | พระหมื่นไวยวิ่งหาย่าช่วยที ฯ |
๏ ทองประศรีตะแกโกรธกระโดดโหยง | ทุดอ้ายบ้าลำโพงตายโหงผี |
ข่มเหงหลานกูไยไอ้อัปรีย์ | มึงอวดว่าตัวดีมีวิชา |
จองหองว่าส่องกระจกได้ | เข้าใจว่ายิ่งยวดพูดอวดหมา |
มึงทำเป็นกูเห็นอยู่อัตรา | กูไม่ปรารถนาจะเชื่อใคร |
ทำไมกับเล่นกลให้คนดู | อ้ายแขกตรังกานูก็เล่นได้ |
มันโยนลูกทองคลีเป็นสี่ใบ | อมฟืนอมไฟได้แดงแดง ฯ |
๏ พระพิจิตรบุษบาก็ตกใจ | ร้องห้ามลูกไปจนเสียงแห้ง |
ฉุดชายกระเบนรั้งกำลังแรง | บุษบาคร่าแย่งเอาไม้ไป |
ขุนแผนยั้งหยุดให้สุดคิด | ด้วยเกรงพระพิจิตรผู้เป็นใหญ่ |
บุษบาจึงว่ากับพระไวย | จะขอลาลูกไปเสียสักปี |
อลักเอลื่อเหลือทนด้วยท้องไส้ | เมื่อคลอดลูกแล้วจะให้มาอยู่นี่ |
จะตั้งเคี่ยวเข็ญกันรันตี | น่าที่ศรีมาลาจะบรรลัย ฯ |
๏ ครานั้นหมื่นไวยเจ้าพลายงาม | ฟังความแค้นคั่งดังเพลิงไหม้ |
กระทบกระแทกแดกดันให้ทันใด | ช้าอยู่ไยเล่าหม่อมศรีมาลา |
จัดแจงเงินทองของเจ้า | เร็วเข้าขนลงไปตีนท่า |
ไปอยู่เมืองพิจิตรกับบิดา | ต่อคลอดลูกออกมาสักห้าคน |
จึงมาอยู่กับเราเหมือนเก่าก่อน | หม่อมแม่ท่านจะสอนให้เป็นผล |
ไปเถิดแก้วตาแม่หน้ามน | ขนของลงบรรทุกเรือกัญญา ฯ |
๏ บุษบาว่าหม่อมเจ้าจอมเขย | ช่างแง่งอนกะไรเลยเป็นหนักหนา |
กระทบกระแทกแดกดันให้มารดา | มิให้ไปก็ว่ากันโดยดี |
ใช่เรานี้จะลงมาว่าขาน | ห้าวหาญฮึกฮักให้อึงมี่ |
อีเถ้าเข้าใจเป็นไรมี | ลำเลิกว่าข้านี้ก็เข้าใจ |
เจ้าเป็นพระนายแม่ยายจน | ทิ่มตำร่ำประดนแดกดันให้ |
คิดมั่งแต่หลังก็เป็นไร | เว้นไว้แต่ไม่คลอดเจ้าออกมา |
ถึงจะไม่คิดคุณอีเถ้าบ้าง | เหลียวดูข้างข้างนี้เถิดหนา |
หัวหงอกออกอร่ามตามกันมา | เพราะอีศรีมาลาจึงเจ็บใจ |
บ้านเมืองของกูกูก็อยู่ | ใครมาข่มเหงกูเช่นนี้ไม่ |
มึงแกล้งใช้ให้อ้ายทิดนั้นขึ้นไป | บอกว่าเป็นไข้จึงลงมา |
ถ้ากูรู้ว่าวิวาทกันกับผัว | เคืองหัวแม่ตีนกูไม่ดูหน้า |
ตั้งแต่วันนี้ไปกูไม่มา | ตามแต่วาสนาเถิดขาดกัน |
เจ็บไข้ก็อย่าให้ไปบอกกู | ผีสางกูไม่ดูเป็นแม่นมั่น |
ถึงมึงจะอยู่ตึกให้ครึกครัน | กูจนก็จะดั้นไปตามจน |
เสียแรงหมายใจจะได้พึ่ง | แต่งมึงก็ไม่เห็นจะเป็นผล |
มันกลับเป็นไพรีเข้าตีตน | จะกังวลด้วยมึงไปทำไม |
แต่เลือดในตัวมันชั่วช้า | ยังควักออกเสียหาอาลัยไม่ |
กูนึกว่าอ้ายพม่ามันพาไป | สิ้นอาลัยลืมกันจนวันตาย ฯ |
๏ เออก็ดูเอาเถิดเจ้าจอมแม่ | เซ็งแซ่นี่กะไรน่าใจหาย |
ใครเล่าเขาไม่นับว่าแม่ยาย | จึงว่าเปรียบเทียบทายทุกอันไป |
ดีชั่วผัวเมียเขาตีกัน | เขาหาฆ่าฟันกันเสียไม่ |
หายโกรธก็จะดีด้วยกันไป | เป็นผู้ใหญ่ควรแต่จะปรองดอง |
นี่กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ | จะกระชากลากไปเสียจากห้อง |
แกล้งมายุเด็กให้ใจคะนอง | แล้วมาร้องแปร้นแปร้นแสนรำคาญ |
นิ่งอยู่ไยเล่าเจ้าศรีมาลา | ไม่ส่งเสียงเถียงว่าให้ฉานฉาน |
หม่อมแม่ท่านอยู่เป็นกระทู้การ | ไม่เหมือนน้ำใจท่านจึงโกรธา |
ข้ากลัวเจ้าแล้วแต่นี้ไป | ถึงล่วงเกินอย่างไรก็ไม่ว่า |
จะเป็นเครื่องเคืองในใต้บาทา | มารดาแค้นขัดจะตัดรอน |
เมียกลัวผัวอยู่ไม่ดูแคลน | หม่อมแม่เถียงแทนอยู่ย่อนย่อน |
ลูกสาวนิ่งเฉยไม่เคยงอน | ท่านแม่มาสอนให้งอนงด |
กระทบกระแทกแดกดันทุกอันว่า | ก็ใครใจโสดาจะได้อด |
มันน่าตอบแทนดูให้รู้รส | หากอดด้วยว่าเห็นเป็นแม่ยาย |
คุณพ่อเป็นไรไม่ว่าขาน | ช่างกะไรไล่พาลกันง่ายง่าย |
ด่าลูกสาวกระทบกระเทียบเปรียบปราย | ป่ายถึงอ้ายพม่ารามัญ |
สู่ขอพ่อแม่ก็ยกให้ | แต่แรกเป็นไรไม่เลือกสรร |
โกรธแล้วค่อนว่าสารพัน | แดกดันร่ำว่าให้สาใจ |
ข้าเจ้านี้แลเผ่าพวกพม่า | แต่แรกนั้นท่านหารู้จักไม่ |
ด้วยว่าข้าตัดผมเสียเป็นไทย | จึงหลงยกให้ลูกสาวมา |
เดี๋ยวนี้รู้ว่ามิใช่ไทย | จะกระชากลากไปเสียต่อหน้า |
เขาไม่ให้ไปจึงโกรธา | อย่าว่าแต่มาสักเพียงนี้ |
ถึงจะยกกันมาสักห้าพัน | เคี่ยวเข็ญเล่นกันให้ป่นปี้ |
สู้กันจนตายวายชีวี | ใครดีก็มาพาไปดู ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | แค้นคิดตาเพ่งเขม็งอยู่ |
เอ๊ะอ้ายไวยกะไรกล้าต่อหน้ากู | ข่มขู่ขยี้เล่นเป็นผักยำ |
ชี้ข้ามหัวพ่อเป็นตอไม้ | แคะไค้ว่าเล่นไม่เป็นส่ำ |
นับมึงไม่ได้อ้ายใจดำ | ถ้อยคำหยาบช้าสามานย์ |
ทั้งนี้มึงเห็นว่ายากทรัพย์ | จึงไม่นับน้ำหน้าว่าขาน |
ข่มเหงแม่ยายขายประจาน | ท่านก็พ่อแม่ของกูมา |
มึงไซร้ก็ได้แจ้งเนื้อความหลัง | กูได้เล่าให้ฟังเป็นหนักหนา |
เมื่อลักแม่มึงหนีขุนช้างมา | ไม่พึ่งพาท่านได้ก็ดูเอา |
จะพากันฉิบหายตายโหงเสีย | มึงจะได้มีเมียที่ไหนเล่า |
ยังกลับมาขู่รู่ทำดูเบา | อ้ายขี้เค้าคนอกตัญญู |
เป็นแต่จมื่นไวยยังเพียงนี้ | ถ้านานไปได้ดีจะครันอยู่ |
เป็นไรเป็นไปจะได้ดู | กูก็เป็นถึงพระกาญจน์บุรี |
พ่อตาก็เป็นพระพิจิตร | จะชอบผิดอย่างไรให้รู้ที่ |
อ้ายจองหองจะถองดูสักที | ว่าแล้วลุกรี่ตรงเข้ามา ฯ |
๏ ทองประศรีกั้นกางขวางไว้ | แกขัดใจฉวยสากตำหมากง่า |
อ้ายหน้าด้านทะยานใจไม่เข้ายา | เขาว่ากันลูกเขยกับแม่ยาย |
งุ่นง่านการงานอะไรของตัว | ประสมหัวพลอยเห่าเอาง่ายง่าย |
จองหองจะถองไม่มีอาย | ร้องด่าท้าทายแต่หลานกู |
กูถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | แต่อายุออไวยยังเด็กอยู่ |
อ้ายชาติข้าสองตามึงไม่ดู | มุดหัวคุดคู้อยู่ในคุก |
ออไวยไปขอจึงออกได้ | ขึ้นไปตีเชียงใหม่ได้เป็นสุข |
ไปกินกาญจน์บุรีไม่มีทุกข์ | กลับมาหาญรานรุกผู้มีคุณ |
มึงจะเป็นผู้ดีสักกี่ชั้น | เมื่อกระนั้นเขาก็เรียกว่าอ้ายขุน |
เป็นเจ้าเมืองกาญจน์บุรีพอมีบุญ | ลืมคุณออไวยไปขอมา |
มึงไม่ไปเสียให้พ้นเรือน | กูมิต่อยให้เปื้อนก็จึงว่า |
มือเหน็บชายกระเบนร้องเกนมา | กล้าดีก็มาอย่ารั้งรอ ฯ |
๏ พระไวยแอบย่าร้องว่าไป | ไม่พอที่เลยอะไรนี่คุณพ่อ |
เกรี้ยวโกรธโกรธาด่าทอ | ให้เพื่อนบ้านเขาหัวร่อเล่นเกรียวเกรียว |
เมียผัวชั่วดีก็ตีกัน | แม่ยายมาเถียงดันอยู่เกรี้ยวเกรี้ยว |
จะเอาแต่ใจตนไปคนเดียว | เคี่ยวเข็ญให้อยู่ในถ้อยคำ |
ลูกสาวชั่วช้าไม่ว่าเลย | มาว่าแต่ลูกเขยเล่นพล่ำพล่ำ |
สารพันดันแดกกระแทกตำ | ใจใครไม่ช้ำก็ใช่คน |
ด่าลูกสาวเปรียบแล้วมิหนำ | ยังซ้ำลำเลิกเล่นออกปี้ป่น |
สุดที่จะด้านทานทน | ถึงเลกชาวทรพลไม่เช่นนี้ |
ถ้าแม้นช่วยมายกเป็นลูกเขย | ก็หาเถียงไม่เลยให้จู้จี้ |
จะทนทานด้านหน้าทั้งตาปี | ถึงด่าแม่ออกมี่ไม่เจ็บใจ |
นี่ก็หาได้ช่วยมาไม่ดอก | ข้าหาเป็นลูกครอกของใครไม่ |
จะขึ้นเสียงเปรี้ยงด่าดังข้าไท | อันจะละเลยให้อย่าพึงคิด |
แต่ศึกเสือเหนือใต้ยังไปรบ | มิได้หลบลูกปืนแต่สักหนิด |
คนอื่นหมื่นแสนจะแทนฤทธิ | เว้นแต่เจ้าชีวิตแลจนใจ ฯ |
๏ ขุนแผนร้องแปร้นเจ้าลูกชาย | พ่อตาแม่ยายหากลัวไม่ |
อวดอิทธิฤทธาว่ามากไป | ใครใครไม่กลัวทั้งแผ่นดิน |
จะสู้ทนจนยับไม่กลับถอย | กูก้อยไม่กลัวเสียหมดสิ้น |
ว่าไม่งอนง้อขอใครกิน | ดูหมิ่นกันเล่นแต่ปานนี้ |
เป็นขุนนางโตใหญ่ที่ไหนเล่า | จะเหยียบหัวอ้ายเถ้าเสียป่นปี้ |
คุณย่ายิ่งตามใจยิ่งได้ที | ตั้งแต่นี้ขาดกันจนวันตาย |
ถ้ากูบรรลัยอย่าไปเผา | ถึงชีวิตออเจ้าจะสูญหาย |
ผีมึงกูก็ไม่ไปกล้ำกราย | หมายแต่จะเอาชีวิตกัน |
ฟ้าฟื้นของกูที่เอาไว้ | เร่งเอามาให้ขมีขมัน |
มีศึกเมื่อไรได้เล่นกัน | ถ้าไม่ให้จะไล่ฟันเอาเดี๋ยวนี้ ฯ |
๏ พระไวยวิ่งกลับเข้าในห้อง | ร้องว่าคุณพ่อไม่พอที่ |
มาพลอยโมโหเป็นโกลี | ถึงจะตีตบต่อยไม่น้อยใจ |
ราวกับคนอื่นมาขืนค่อน | มาสลัดตัดรอนอย่างนี้ได้ |
จับดาบทูนหัวกลัวสุดใจ | ออกไปกลัวพ่อจะฟาดฟัน |
คุณย่าเจ้าขาเข้ามานี่ | ทองประศรีรับเอาขมีขมัน |
ถือดาบกระดกงกงัน | ร้องด่าตาชันอื้ออึงไป |
กูคิดว่าคนดีอ้ายผีเปรต | ให้แล้วกลับเพศมาคืนได้ |
ฟันหักหัวหงอกกลับกลอกไป | ใครจะเจรจาได้เหมือนเช่นมัน |
ไหนกะไรหนักหนาค่ากี่เฟื้อง | ราวกับค่าควรเมืองเจียวฤๅนั่น |
ทุดไสหัวไปให้เห็นตะวัน | ฟันปลาก็ไม่เข้ามึงเอาไป |
อ้ายคนบัดสีไม่มีจริง | ว่าแล้วก็ทิ้งฟ้าฟื้นให้ |
อ้ายขี้ตรวนกวนได้แต่ออไวย | เข้าด้วยลูกสะใภ้เป็นตัวตี ฯ |
๏ ขุนแผนแค้นหยิบเอาดาบมา | จบทูนเกศาลุกจากที่ |
นางแก้วกิริยาตามสามี | ศรีมาลาบุษบาก็คลาไคล |
พระพิจิตรก็ตามขุนแผนมา | อาลัยศรีมาลาน้ำตาไหล |
ถึงท่าเรือจอดพลันทันใด | พูดจาปราศรัยกันไปมา |
พระพิจิตรบุษบาจึงว่าไป | พ่ออาลัยห่วงหลังเป็นหนักหนา |
ส่วนเจ้าก็จะไปเสียไกลตา | ไม่รู้ว่าศรีมาลาจะอย่างไร |
พระไวยเห็นหน้าก็ชิงชัง | หาเหมือนเมื่อแต่หลังมาแล้วไม่ |
เชื่อถือสร้อยฟ้าทุกตาไป | มันจะยุยงให้แต่ด่าตี |
จะได้พึ่งคุณย่าก็หาไม่ | พลอยซ้ำเสือกไสไปถ้วนถี่ |
จะหันหน้าพึ่งใครก็ไม่มี | พ่อนี้อาลัยด้วยไกลตา |
ขุนแผนกราบเท้าว่าเจ้าคุณ | อย่าหมกมุ่นไปเลยฟังลูกว่า |
จะเป็นไรมีกับศรีมาลา | ดังดวงชีวาของลูกชาย |
กลับไปใช่ลูกจะเลยละ | คงจะแก้ไขให้จนหาย |
มิให้นางอยู่เปลี่ยวผู้เดียวดาย | จะให้พรายทั้งสองอยู่ป้องกัน |
อ้ายไวยมัวหมองต้องยาแฝด | แปดเปื้อนไปทั้งคุณย่านั่น |
จึงหลงเชื่อฟังไปข้างมัน | สิบห้าวันแล้วลูกจะกลับมา |
ที่เคืองใจนั้นไว้ธุระลูก | ไม่แก้ไขให้ถูกแล้วจึงว่า |
จะจับทั้งอ้ายคนทำมนตร์ยา | แก้หน้าเจ้าคุณให้คืนดี ฯ |
๏ พระพิจิตรบุษบาจึงว่าไป | ข้าเห็นใจเจ้ามาแต่ก่อนกี้ |
ซื่อตรงคงคดเจ้าไม่มี | นับปีมาแล้วแต่เชื่อใจ |
ค่อยอยู่จงดีศรีมาลา | ฟังคำพ่อว่าอย่าร้องไห้ |
มิใช่ไม่รักเจ้าเมื่อไร | อยู่ได้ก็จะอยู่ด้วยลูกยา |
ครั้นปลอบลูกแล้วก็ลงเรือ | ยังอาลัยลูกเหลือละห้อยหา |
ศรีมาลาฟูมฟายฝ่ายน้ำตา | พระพิจิตรบุษบาก็คลาไคล ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | พระพิจิตรลับตาหาช้าไม่ |
ถอดดาบฟ้าฟื้นยืนแกว่งไกว | กลับเข้าไปในบ้านด้วยทันที |
พวกบ่าวพระไวยตกใจวิ่ง | ทั้งผู้ชายผู้หญิงหลบหน้าหนี |
ขุนแผนแค้นใจใช่พอดี | เฮ้ยอ้ายไวยมานี่มาเล่นกัน |
เด็ดขาดกันไปใช่พ่อแม่ | ถึงกูเถ้ากูแก่ก็ไม่พรั่น |
เป็นตายร้ายดีกูคงฟัน | เมียม่อยมึงด้วยกันก็ดูเอา |
หลบหัวไปไหนไม่ลงมา | ฉวยก้อนอิฐปาหัวนอนเข้า |
เป้งเป้งหลายทีไม่มีเบา | พระไวยเข้าเรือนเงียบไม่เกรียบเลย |
ทองประศรีเยี่ยมหน้านัยน์ตาชัน | ขโมยปล้นกลางวันเจ้าข้าเอ๋ย |
แต่น้อยคุ้มใหญ่กูไม่เคย | เด็กเหวยไปบอกกรมเมืองมา |
ขุนแผนแค้นแม่ไม่นิ่งได้ | เอาอิฐแพ่นขึ้นไปที่ริมฝา |
ทองประศรีร้องว้ายกูตายวา | ปิดประตูร้องด่าอื้ออึงไป ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา | เห็นวุ่นวายหนักหนาไม่นิ่งได้ |
ปลอบผัวโลมเล้าเอาใจ | ใกล้ค่ำแล้วอย่าช้าน่ารำคาญ |
ขุนแผนฟังว่าก็คลาไคล | ศรีมาลาตามไปจนนอกบ้าน |
ถึงป่าช้าพลันมิทันนาน | กราบกรานขุนแผนผู้บิดา |
เจ้าประคุณทูนหัวของลูกเอ๋ย | จะละเลยลูกไว้ไม่เห็นหน้า |
ลูกจะพึ่งบุญใครด้วยไกลตา | สร้อยฟ้าเสียดแสร้งสารพัน |
พระไวยเหมือนไฟกำเริบแรง | มันคอยเข้าเฝ้าแยงอยู่เจียวนั่น |
เอาฟืนฝอยใส่ซ้ำทั้งน้ำมัน | นับวันนับจะไหม้เป็นจุณไป |
ตัวลูกคนเดียวเฝ้าเกรี้ยวกราด | ไหนจะมีชีวาตม์อยู่ไปได้ |
ร่ำพลางข้อนอุราโศกาลัย | กลิ้งเกลือกเสือกไปกับบาทา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนอาลัย | เอาใจปลอบลูกเสนหา |
พ่อจะให้นางพรายทั้งสองรา | อยู่รักษาลูกแก้วอย่ากลัวภัย |
ขึ้นไปจะยกกระบวนทัพ | ลงมาจับอ้ายไวยให้จงได้ |
จึงจะได้แก้แค้นที่แน่นใจ | ซักไซ้เอาจริงอีสร้อยฟ้า |
มันทำเจ้าเท่าไรจะทดแทน | ให้หายแค้นแสนสมกับน้ำหน้า |
จะฉีกแล่แผ่เนื้อเอาเกลือทา | เวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว |
เจ้าจะเที่ยวอยู่ในป่าช้าผี | คนเดียวไม่ดีนะลูกแก้ว |
ปิศาจกลาดคะนองว่องแวว | ลูกแก้วฟังพ่อจงคืนไป |
ศรีมาลาวันทาแล้วลาพ่อ | น้ำตาคลอคลอสะอื้นไห้ |
เดินเดียวเหลียวหลังยังอาลัย | ขุนแผนทอดถอนใจมาขึ้นช้าง |
กับนางแก้วกิริยาคลาไคล | บ่าวไพร่ตามพรูดูสล้าง |
ร้องเพลงไก่ป่ามาตามทาง | ขุนแผนขี่พลายกางขับช้างมา |
สามวันครึ่งถึงเมืองกาญจน์บุรี | ช้างประทับกับที่ขึ้นเคหา |
บ่าวไพร่พร้อมกันไม่ทันช้า | นางแก้วกิริยาเข้าห้องใน |
ฝ่ายพระกาญจน์บุรีอยู่ที่จวน | ปั่นป่วนหาหายโมโหไม่ |
แค้นด้วยลูกชายพระนายไวย | ให้ร้อนรุ่มกลุ้มใจดังไฟลุก |
แต่ฮึดฮัดขัดใจเจียนจะคลั่ง | นอนนั่งเช้าเย็นไม่เป็นสุข |
เฝ้าแต่ตรอมตรมระทมทุกข์ | คิดจะผลาญรานรุกอยู่ทุกวัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวถึงเจ้าพลายชุมพล | ที่ดั้นด้นไปอยู่สุโขทัยนั่น |
ตายายรักใคร่ใครจะทัน | ตัวนั้นบวชเข้าเป็นเณรนาน |
เล่าเรียนขอมไทยว่องไวดี | แปลคัมภีร์เปรื่องปราดออกฉาดฉาน |
เช้าเย็นเณรเอากราดไปกวาดลาน | แสนสำราญเป็นสุขทุกเวลา |
วันหนึ่งเณรเอากราดกวาดมลทิน | ยังมีขอมดำดินเมืองหงสา |
มือถือลานทองของวิชา | หมายจะถามปริศนาของรามัญ |
ผุดขึ้นที่ระหว่างกลางบริเวณ | ถามปริศนาเณรชุมพลนั่น |
ชุมพลแก้ไขได้ฉับพลัน | ลานนั้นขอมให้ก็ได้มา |
เรียนวิชาในลานชำนาญใจ | ล่องหนหายตัวได้ดังปรารถนา |
อยู่คงสารพัดสาตรา | ดำพสุธาก็ได้ดังใจปอง |
กำลังรุ่นหนุ่มน้อยแน่งสนิท | อิทธิฤทธิฦๅดีไม่มีสอง |
อายุสิบห้าปีเปี่ยมคะนอง | สุโขทัยสยองแสยงฤทธิ ฯ |
๏ คืนหนึ่งเณรตื่นขึ้นแต่ดึก | อกสะทึกให้สะท้อนถอนจิตร |
พลิกกลับก็ไม่หลับลงสักนิด | เณรนอนนิ่งคิดรำพึงตรอง |
หวนจิตคิดคะนึงถึงท่านย่า | ทั้งบิดามารดายิ่งหม่นหมอง |
เราหลบลี้หนีมาน้ำตานอง | แต่คราวต้องโพยภัยพี่ไวยตี |
นานแล้วแต่พรากจากพ่อแม่ | จะแก่เถ้าลงอย่างไรไม่รู้ที่ |
คุณย่าน่าจะหง่อมลงเต็มที | แปดปีเศษแล้วแต่เรามา |
ครั้นจะไปเยี่ยมเยือนก็ทางไกล | แต่อาลัยครุ่นจิตคิดหนักหนา |
ให้ตื้นตื้นตันใจไปทุกตา | จนสุริยาเยี่ยมยอดยุคันธร |
อดิเรกแอร่มแจ่มศรี | ปัถพีแจ้งจำรัสประภัสสร |
แซ่เสียงปักษาทิชากร | เณรลุกจากที่นอนล้างหน้าพลัน |
ลงจากกุฎีแล้วเดินมา | มัดหญ้าเป็นยักษ์โตถงั่น |
แข้งขาข้อลำกำยำครัน | ปากปั้นเขี้ยวขบเข้าติดไว้ |
แล้วมัดไม้ไผ่เป็นตระบอง | สอดใส่ในสองมือยักษ์ใหญ่ |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพด้วยฉับไว | ขึ้นบันไดหยิบกระดาษเข้ากุฎี |
ดินสอดำซ้ำเขียนเป็นอักษร | ถึงบิดรไต่ถามความถ้วนถี่ |
พับผนึกมิดชิดสนิทดี | รีบรี่เดินออกมานอกชาน |
จัดแจงสารพัดบัตรพลี | ลุกลงจากกุฎีมาปลูกศาล |
วงด้ายสายสิญจน์วิชาการ | แล้วเสกซ้ำปลุกมารด้วยมนตรา |
ถ้วนคำรบจบคาบซัดข้าวสาร | ยักษ์ทะยานสูงเยี่ยมเทียมภูผา |
ทะลึ่งโลดโดดสำแดงแผลงศักดา | ตวาดว่าให้นั่งลงทันใด |
เอาหนังสือผูกคอกระชับมั่น | ซ้ำสั่งหุ่นนั้นหาช้าไม่ |
เอ็งจงรีบถือหนังสือไป | ให้พ่อกูที่กาญจน์บุรี ฯ |
๏ ยักษ์รับกราบลาทะลึ่งโลด | ข้ามโขดเขาเขินคิรีศรี |
ยูงยางหักระเนนเป็นธุลี | เหยียบเสือช้างบี้ด้วยบาทา |
วิ่งกลมดังลมเพชรหึง | ตึงตึงตีนเตะเข้ายอดผา |
พังครืนครื้นครั่นสนั่นมา | พสุธาสะท้านสะเทื้อนดง |
ข้ามละหานธารท่าป่าทุ่ง | หมายมุ่งทิวไม้ไพรระหง |
ตะวันรอนอ่อนแสงพระสุริยง | ยักษ์ก็ตรงเข้าเมืองกาญจน์บุรี |
ชาวเมืองรู้ทั่วต่างกลัวยักษ์ | พรั่นนักจะพาลูกเมียหนี |
ตกใจไม่เป็นสมประดี | ทั้งพระกาญจน์บุรีก็ตกใจ |
เสียงอะไรตึงตังดังหนักหนา | ลงจากจวนมาหาช้าไม่ |
แลเห็นยักษ์พลันในทันใด | ก็แจ้งใจว่ายักษ์วิชาการ |
จึงเสกผ้าขาวบางแล้วขว้างไป | เป็นลิงใหญ่ไล่โลดโดดสังหาร |
ยักษ์กับลิงวิ่งเข้าประจัญบาน | คนผู้ดูพล่านทั้งพารา |
ลิงล่อยักษ์ไล่ทะลึ่งโลด | ลิงโดดยักษ์เงื้อตระบองง่า |
ยักษ์ตีลิงไล่ตระบองมา | ลิงกัดยักษ์คว้าต้นคอคั้น |
ลิงผลักยักษ์เซพอเหห่าง | ลิงง้างตระบองยักษ์หักสะบั้น |
ยักษ์เตะลิงรับจับตีนทัน | ยักษ์ล้มลิงถลันคั้นไม่วาง |
ยักษ์มนตร์ตนน้อยศักดาเดช | ลิงเวทมัดซ้ำด้วยลำหาง |
ยักษ์ร้ายกลายกลับเป็นหญ้าฟาง | ลิงก็หายกลายร่างเป็นผ้าไป ฯ |
๏ ขุนแผนแลเห็นแผ่นกระดาษ | เอ๊ะประหลาดคลี่ดูหาช้าไม่ |
อักษรบวรลักษณวิไล | ของลูกแต่สุโขทัยธานี |
แต่พลัดพรากพ่อแม่ไม่แลเห็น | จะอยู่เป็นสุขทุกข์ไม่รู้ที่ |
อนึ่งองค์ทรงธรรม์พระพันปี | ยังดีฤๅกริ้วบ้างเป็นอย่างไร |
ยังสำราญราชการพระเป็นเจ้า | โรคภัยเบาบางฤๅไฉน |
อนึ่งพี่ศรีมาลากับพี่ไวย | ดีร้ายกันอย่างไรไม่แจ้งการ |
คุณย่าอยู่หลังยังเป็นสุข | ฤๅเจ็บไข้ได้ทุกข์ถึงตัวท่าน |
แต่ลูกพรากจากมาก็ช้านาน | จะคลายทุกข์ถึงหลานบ้างฤๅไร |
แม่แก้วกิริยาแม่ลาวทอง | ทั้งสองอยู่ดีฤๅไฉน |
ลูกนี้ให้เป็นห่วงบ่วงใย | อยู่ที่ในแม่แก้วกิริยา |
อันตัวลูกอยู่ดีศรีสวัสดิ | ไม่เคืองขัดทุกวันก็หรรษา |
ได้พึ่งบุญคุณยายกับคุณตา | ลูกศรัทธาบวชเข้าเป็นเณรใน |
พ่อแม่พี่ย่าบรรดาญาติ | ขอประสาทแผ่ส่วนกุศลให้ |
ครั้นอ่านทราบเสร็จพลันในทันใด | พับไว้กลับคืนขึ้นบนจวน ฯ |
๏ ขุนแผนเฝ้าคะนึงถึงสารา | เข้าเคหาห้องน้อยละห้อยหวน |
คิดถึงลูกผูกใจอาลัยครวญ | ปั่นป่วนเปี่ยมปิ้มปริ่มน้ำตา |
โอ้ตัวกูนี้มีลูกชาย | ที่มั่นหมายก็ไม่สมปรารถนา |
อ้ายไวยรักใคร่ดังแก้วตา | มันกลับมาลบหลู่เอากูนี้ |
เพราะเย่อหยิ่งยศศักดิเสียเหลือแสน | กลัวอ้ายแผนนี้จะพึ่งให้เผาผี |
ชุมพลพ่อเห็นต่อจะเต็มดี | ฝากผีได้แล้วเจ้าแก้วตา |
แต่เล็กเล็กเท่านี้ยังมีใจ | เห็นจะพอพึ่งได้ไปภายหน้า |
จึงเขียนหนังสือพลันมิทันช้า | มาผูกคอยักษ์หญ้าในทันใด |
เอาสายเชือกกระหวัดรัดมั่น | ผูกพันสะพายแล่งที่หัวไหล่ |
กลับปลุกยักษ์ลุกทะลึ่งไป | ลุยไม้ไหล้ล้มระทมเตียน |
แต่ละก้าวยาวโยชน์โดดปลิว | แล่นลิ่วลมพัดฉวัดเฉวียน |
ลุยน้ำข้ามป่าท่าเกวียน | เร็วเจียนจะเหาะระเห็จไป ฯ |
๏ ครู่หนึ่งถึงสุโขทัยพลัน | ยักษ์นั้นเข้าวัดหาช้าไม่ |
เณรเห็นยักษ์หญ้ามาแต่ไกล | ดีใจแก้ยักษ์ในทันที |
เห็นกระดาษที่สายตะพายบ่า | ก็รู้ว่าพ่อตอบอักษรศรี |
จะได้ข่าวพ่อแผนแสนยินดี | หยิบหนังสือมาคลี่ออกอ่านพลัน |
อักษรบวรลักษณมงคล | ถึงพ่อเณรชุมพลคนขยัน |
ซึ่งเจ้าให้ยักษ์มนต์ด้นอรัญ | ถือหนังสือสำคัญถึงบิดา |
ได้ทราบข่าวลูกยาว่าสุขสวัสดิ | ทั้งพ่อแม่โสมนัสเป็นหนักหนา |
ทั้งยินดีที่เจ้าบรรพชา | โมทนาคำนับรับส่วนบุญ |
แต่ซึ่งเจ้าไต่ถามความทุกข์สุข | พ่อนี้มีแต่ทุกข์ให้หมกมุ่น |
เพราะอ้ายไวยหยาบช้าทารุณ | มันลืมคุณพ่อแล้วนะแก้วตา |
เจ้าก็รู้อยู่เรื่องมันถูกเสน่ห์ | พ่อจะแก้เล่ห์กระเท่ห์จึงอุตส่าห์ |
เข้าไปในกรุงอยุธยา | พระพิจิตรบุษบามาพร้อมกัน |
ว่ากล่าวเตือนมันฉันผู้ใหญ่ | ส่องกระจกชี้ให้เห็นข้อขัน |
มันกลับโกรธขึ้งยิ่งดึงดัน | ขึ้นเสียงเถียงสนั่นไม่เกรงใคร |
ลำเลิกเบิกชาว่าเอาพ่อ | ว่ามันขอจึงพ้นจากคุกได้ |
ประจานให้คนฟังนั่งเต็มไป | จึงสุดแสนแค้นใจในครั้งนี้ |
ถ้าวันนั้นท่านย่าไม่มาขวาง | ก็คงล้างอ้ายไวยให้เป็นผี |
เพราะย่าย่อยพลอยหลงไม่มีดี | อ้ายไวยได้ทีจึงแรงร้าย |
พ่อกลับมากาญจน์บุรีไม่มีสุข | ระทมทุกข์เช้าเย็นไม่เห็นหาย |
ไม่แก้แค้นสมประสงค์ก็คงตาย | เป็นลูกชายช่วยพ่อบ้างเป็นไร |
เจ้าก็เรืองฤทธาวิชาการ | ถึงผูกหุ่นยักษ์มารใช้มาได้ |
จงคิดผูกหุ่นพลสกลไกร | ปลอมเป็นมอญใหม่ยกลงมา |
กรากตรงเข้าประชิดติดเดิมบาง | ไม่สู้ห่างสุพรรณนั้นหนักหนา |
ให้เลื่องฦๅอื้ออึงถึงอยุธยา | พระพันวษาคงจะใช้อ้ายไวยรบ |
คงเกณฑ์พ่อไปด้วยให้ช่วยมัน | เราช่วยกันให้ดีตีประจบ |
ห้ำหั่นมันเสียให้บัดซบ | แล้วตัวเจ้าจึงหลบไปเมืองบน |
แต่ผู้อื่นมิใช่ไอ้ไวยนั้น | อย่าฆ่าฟันผู้ใดให้ปี้ป่น |
เห็นกับพ่อขอให้พลายชุมพล | เจ้ารีบผูกหุ่นยนต์ยกลงมา ฯ |
๏ สิ้นสารอ่านเสร็จสำเร็จเรื่อง | ชุมพลเคืองแค้นใจเป็นหนักหนา |
คิดคิดสงสารพ่อคลอน้ำตา | ชะต้าพี่ไวยใช่พอดี |
ลบหลู่ดูถูกถึงบิดา | สาอะไรกับเราเท่าแมลงหวี่ |
เมื่อหน้าหาไหนจะไยดี | จะนับพี่น้องกันไปทำไม |
เราก็เรืองพระเวทวิทยา | จะแทนคุณบิดาให้จงได้ |
เสียดายหนอทุ่งกว้างหนทางไกล | ถ้าเหาะได้ก็จะไปในเดี๋ยวนี้ |
ให้เคืองขุ่นมุ่นหมกในอกช้ำ | จนพลบค่ำสิ้นแสงพระสุริศรี |
เข้าห้องหับก็ไม่หลับสนิทดี | เฝ้าตรองตรึกนึกที่ทุกข์บิดา ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเจ้าเณรพลายชุมพล | ร้อนรนรำคาญใจเป็นหนักหนา |
ห่มดองครองรัดกับกายา | เข้ามาบ้านพลันด้วยทันใด |
จึงแจ้งกิจจากับตายาย | ว่าหลานชายนี้หาสบายไม่ |
บิดามารดาข้าอยู่ไกล | รำลึกถึงสุดใจจะขอลา |
เจ้าขรัวผัวเมียก็ตามใจ | ลาอาจารย์สึกให้เหมือนหลานว่า |
ผัดหลานให้รอพอแล้วนา | ตาจะจัดบ่าวข้าให้เจ้าไป |
ชุมพลตอบคำเจ้าขรัวตา | ว่าหลานมาคนเดียวยังมาได้ |
จะขอแต่ม้าดีพอขี่ไป | ที่ว่องไวเคล่าคล่องทำนองดี ฯ |
ตาว่าเห็นว่าได้แต่อ้ายกะเลียว | มันประเปรียวหนักหนาอ้ายม้าผี |
ต้องผูกกกราดทอดหญ้าทั้งตาปี | ใครขึ้นขี่มันหกชกสุดใจ |
กัดลูกอีแป้นแทบแขนขาด | ยังเป็นคุดทะราดหาหายไม่ |
เจ้าสิประสิทธิฤทธิไกร | จะขี่ได้ก็ดูเอาเถิดรา ฯ |
๏ ชุมพลฟังตาก็ลาไป | ถอนหญ้าเสกใส่ด้วยคาถา |
ถึงโรงกะเลียวเลี้ยวเข้ามา | ยื่นหญ้าแล้วก็เสกด้วยเวทมนตร์ |
ลูบหลังอาชาแล้วว่าไป | น้องรักจักให้พี่เป็นผล |
พี่ต้องตรากตรำจำทน | พ้นทุกข์เสียเถิดในวันนี้ |
กะเลียวหลังเหล็กได้ฟังว่า | รับหญ้ายืนร้องอยู่ก้องมี่ |
ชุมพลแก้ม้าไม่ช้าที | วางเบาะอานดีแล้วผูกพัน |
โกลนแผงแต่งพร้อมละม่อมละมุน | โจนผลุนขึ้นม้าขมีขมัน |
กระทืบส่งลงแส้เป็นสำคัญ | ม้าผันผกผยองทำนองทวน |
แคล่วคล่องว่องไวดังใจนึก | สะอึกไล่เรี่ยวแรงคำแหงหวน |
ถูกน้อยรอยเรียบระเบียบกระบวน | มาถึงจวนคุณตาฮาก้องไป |
ดีใจเต้นหรบตบมือ | ลูกเสือแล้วฤๅจะไม่ได้ |
เรียกหลานขึ้นมาตาชอบใจ | หยิบดาบยื่นให้ในทันที |
ดาบนี้แต่ครั้งเจ้าคุณปู่ | ท่านฟันหมู่มอญพม่าพากันหนี |
จึงให้ชื่อว่าชนะไพรี | เป็นของดีสืบมาจนตายาย |
ตานี้แก่เถ้าเฝ้าห่วงใย | กลัวว่าสิ้นบุญไปจะสูญหาย |
ทุกวันนี้ก็ไม่มีลูกผู้ชาย | พ่อพลายเอาไว้ให้จงดี ฯ |
๏ ชุมพลรับดาบแล้วกราบลา | ให้บ่าวเอาม้าไปไว้ที่ |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาในราตรี | จัดแจงบายศรีพลีการ |
กับบ่าวไพร่ยกไปที่ป่าช้า | ผ่าไม้ไผ่ปักเป็นเสาศาล |
จัดธูปเทียนชัยขึ้นใส่พาน | ชักสายสิญจน์โยงผ่านป่าช้าชัฏ |
ได้ฤกษ์แล้วเบิกโขลนทวาร | โอมอ่านพระเวทวิเศษจัด |
แล้วหยิบเอาข้าวสารมาหว่านซัด | เร่งรัดเรียกผีทุกตำบล |
บรรดาภูตผีที่ถ้ำหนอง | ห้วยคลองป่าไม้ไพรสณฑ์ |
ต่างกู่ก้องร้องเรียกกันอลวน | ด้วยกลัวมนตร์รีบมาไม่ช้าที |
ต่างรับเครื่องเซ่นไม่เว้นตน | ชุมพลเซ่นเสร็จแล้วเลือกผี |
เอาแต่โหงพรายร้ายราวี | พรุ่งนี้กูจะไปยังสุพรรณ |
พวกออเจ้ามาเข้ากระบวนทัพ | ไปกำกับหุ่นมนตร์พลขันธ์ |
โหงพรายต่างรับด้วยฉับพลัน | ชุมพลนั้นกลับบ้านสำราญใจ ฯ |
๏ ครั้นพวยพุ่งรุ่งแสงสุริฉาย | เจ้าพลายเข้าไปในเรือนใหญ่ |
กราบลาเจ้าขรัวสุโขทัย | ทั้งตายายอวยชัยประสิทธี |
แล้วอาบน้ำชำระกายา | นุ่งผ้าใส่เสื้อสำอางศรี |
เข็มขัดรัดแน่นสนิทดี | สอดสวมเครื่องมีฤทธิไกร |
ประจงจบจับดาบของคุณตา | แล้วเผ่นขึ้นอาชาหาช้าไม่ |
ฤกษ์ดีขี่ควบอาชาไนย | ออกจากสุโขทัยด้วยทันที |
ฝูงพรายรายล้อมพร้อมมา | ยกทัพโยธาแต่ล้วนผี |
กำลังม้าร่าแรงราวี | ขับขี่ดังจะปลิวไปตามลม ฯ |
๏ ครั้นถึงกึ่งกลางมรรคา | หยุดม้าเข้านั่งที่บังร่ม |
ลงยันต์เท้าม้าด้วยอาคม | พรมน้ำมันพระเวทวิเศษดี |
ครั้นแล้วเกี่ยวหญ้ามาฉับพลัน | ผูกหุ่นถ้วนพันไว้กับที่ |
ซัดข้าวสารเสกประสิทธี | หุ่นก็มีชีวิตขึ้นเป็นคน |
สองมือถือเครื่องสาตราวุธ | อุตลุดอึงป่าโกลาหล |
ต่างนบนอบหมอบไหว้พลายชุมพล | เจ้าขึ้นนั่งยังบนหลังกะเลียว |
แล้วสั่งหุ่นมนตร์พลไพร่ | จะยกไปเป็นทัพขับเคี่ยว |
ให้โห่เสียงมอญใหม่ให้กราวเกรียว | กำชับสั่งคำเดียวเป็นสำคัญ |
อันพวกเหล่าชาวประชาราษฎร | เพียงตีต้อนอย่าฆ่าให้อาสัญ |
สั่งแล้วเสร็จสรรพฉับพลัน | ขับม้าผายผันผยองไป |
ข้ามธารทางป่าท่าทุ่ง | ฝุ่นฟุ้งโห่โหมกระโจมไล่ |
ชาวบ้านตื่นแตกแหกเข้าไพร | ตกใจกองทัพรับไม่ทัน |
บ้างอุ้มลูกจูงหลานคลานเข้ารก | ผ้าผ่อนล่อนหลกไปตัวสั่น |
งันงกหกล้มลงจมกัน | พวกชาวบ้านป่วนปั่นทุกแห่งไป |
ถึงเดิมบางพลันมิทันช้า | ให้ตั้งค่ายในป่าไว้กว้างใหญ่ |
สงบทัพยับยั้งระวังระไว | ด้วยใกล้สุพรรณพารา ฯ |
๏ ครานั้นผู้รั้งเมืองสุพรรณ | ได้ทราบข่าวหวาดหวั่นเป็นหนักหนา |
เกณฑ์คนขึ้นประจำใบเสมา | รักษาป้อมค่ายไว้มั่นคง |
รั้วขวากลากมาสนามเพลาะ | มั่นเหมาะค่ายคูดูระหง |
ด่านทางวางรอบเป็นขอบวง | ให้ม้าใช้สืบส่งคดีมา |
แล้วรีบจัดแจงแต่งใบบอก | ขุนแพ่งออกควบม้ามาในป่า |
พอรุ่งถึงกรุงอยุธยา | ตรงเข้าไปศาลาลูกขุนใน |
วางบอกนายชำนาญด้วยการทัพ | นายเวรรับต่อยตราหาช้าไม่ |
นำความเรียนเจ้าคุณมหาดไทย | แล้วคัดเขียนความในใบบอกมา ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณมหาดไทย | ร้อนใจตรองตรึกแล้วปรึกษา |
ลูกขุนเห็นพร้อมกันมิทันช้า | เข้ามาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ฯ |