๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ |
ปิ่นปักนัคเรศเขตขัณฑ์ |
สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ |
พระกำนัลแน่นหน้าสนมใน |
ขับกล่อมซ้อมเสียงประสานซอ |
ล้วนลออนวลละอองผ่องใส |
เบิกบานสำราญราชหฤทัย |
ครั้นพระสุริใสสว่างฟ้า |
สระสรงทรงเครื่องเรืองบวร |
เสด็จออกพระบัญชรข้างฝ่ายหน้า |
ข้าเฝ้าเจ้าพระยาแลพระยา |
หมอบกลาดดาษดาอยู่พร้อมกัน ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณมหาดไทย |
บังคมไหว้ทูลคดีขมีขมัน |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
บัดนี้มีบอกพระสุพรรณ |
กรมการพร้อมกันถ้วนหน้า |
ว่ายังมีโจรบกยกมา |
โยธาประมาณสักพันปลาย |
ตีไล่ไพร่บ้านพลเมือง |
แตกวุ่นขุ่นเคืองมากหลาย |
ให้ไปสืบดูรู้แยบคาย |
ว่าตั้งค่ายเดิมบางอยู่กลางไพร |
ผู้รั้งตั้งรับอยู่พารา |
แต่หายกเข้ามาประชิดไม่ |
พระสุพรรณครั้นจะออกไปชิงชัย |
เห็นยังไม่ได้ทราบพระบาทา |
ถ้าฉวยเสียนายไพร่ในสงคราม |
ก็เกรงความผิดชอบเป็นหนักหนา |
ใคร่ครวญดูกระบวนที่ยกมา |
จะว่าเป็นกองทัพก็ผิดไป |
ด้วยยกมาแต่ตัวหัวเดียว |
จะรบรับขับเคี่ยวก็มิใช่ |
ครั้นจะว่าเหล่าโลนพวกโจรไพร |
เห็นพลไพร่มากอยู่ดูไม่ควร ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ดำริเหตุพระองค์ทรงพระสรวล |
ใบบอกอึ้งอ้ำเป็นสำนวน |
เดิมบางทางก็จวนถึงสุพรรณ |
ถ้าทัพศึกอื่นไกลหาไหนมา |
ทำไมตั้งรั้งราอยู่ที่นั่น |
ได้ทีก็จะตีเข้าติดพัน |
ตั้งค่ายรายมั่นเอาพารา |
นี่อ้ายพระสุพรรณไม่ออกรบ |
ก็นิ่งหลบซ่อนตัวอยู่แต่ป่า |
ครั้นจะว่าโจรไพรไพล่เข้ามา |
กล้านักเห็นผิดจริตไป |
อ้ายผู้รั้งเมืองสุพรรณมันขี้ขลาด |
จึงหาอาจจะออกไปรบไม่ |
ทำบอกแก้ตัวด้วยกลัวภัย |
กูเข้าใจอยู่สิ้นอ้ายลิ้นทอง |
จึงสั่งให้อ้ายแผนออกไปดู |
ครู่เดียวก็จะจับเอาคล่องคล่อง |
อ้ายสุพรรณนั้นให้เป็นลูกกอง |
สั่งสรรพหับห้องพระแกลชัย ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ได้รับสั่ง |
ออกมาจากวังหาช้าไม่ |
ให้แต่งตราพลันในทันใด |
กระบอกหนึ่งส่งให้ไปสุพรรณ |
กระบอกหนึ่งพันเภาเอ็งเอาไป |
ให้พระกาญจน์บุรีขมีขมัน |
พันเภารับกระบอกออกเรือพลัน |
สามวันถึงเมืองกาญจน์บุรี ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
รับรองท้องตราพระราชสีห์ |
กรมการพร้อมกันในทันที |
เปิดคลี่แล้วอ่านซึ่งสารตรา |
ทราบความตามเรื่องก็เข้าใจ |
ขุนแผนยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
บอกพันเภาไปมิได้ช้า |
ทำไมกับโจรป่ามาเท่านี้ |
จะสู้รบตบมือได้ถึงไหน |
กลัวแต่เราไปจะไพล่หนี |
ถ้ามันกล้ารั้งรออยู่ต่อตี |
ทำไมมีเสร็จศึกนึกว่ารวย |
จับเชลยมาใช้ให้หนักหนา |
ทั้งช้างม้าเงินทองของมันด้วย |
จะหาสาวมอญใหม่ไว้ผมมวย |
ที่สวยสวยเผื่อนายให้หลายคน |
ว่าพลางทางสั่งหลวงปลัด |
ยกกระบัตรสัสดีนั้นเป็นต้น |
ให้พร้อมกันรีบรัดจัดรี้พล |
จะยกไปประจญในพรุ่งนี้ ฯ |
๏ หลวงปลัดยกกระบัตรกรมการ |
อลหม่านตระเตรียมกันอึงมี่ |
ตารางเกณฑ์กะลงส่งบาญชี |
สัสดีเรียกเร่งมิได้ช้า |
ที่ใครหลบเลี่ยงหลีกหนี |
เฆี่ยนตีมี่ไปไม่เลือกหน้า |
ให้รวบรวมวัวต่างช้างม้า |
ทั้งสาตราอาวุธทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ ฝ่ายว่านางแก้วกิริยา |
รู้ว่ามีศึกก็จัดสรร |
เสบียงเรียงแต่งไว้ครบครัน |
ขุนแผนผายผันเข้าห้องใน |
เรียกแก้วกิริยากับลาวทอง |
ทั้งสองเข้ามาแล้วปราศรัย |
เจ้าทั้งคู่อยู่หลังอย่าตกใจ |
ไปทัพครั้งนี้จะนานมา |
ชุมพลลูกเราดอกเจ้าแก้ว |
เจ้ารู้เรื่องอยู่แล้วเป็นนักหนา |
แค้นใจจึงแกล้งให้แปลงมา |
หวังจะลวงเข่นฆ่าอ้ายหมื่นไวย ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
ฟังว่าหน้าเสียไม่นิ่งได้ |
โกรธลูกผูกเจ็บมาจองภัย |
เลือดเนื้อในไส้หาไหนมา |
ชั่วดีตีต่อยเอาตามผิด |
ไม่คิดถึงชีวิตจะเข่นฆ่า |
จงเห็นกับวันทองผ่องโสภา |
วันเมื่อมรณานางฝากไว้ |
กำพร้าแม่ได้แต่จะพึ่งพ่อ |
ยังจะต่อตามทำไปถึงไหน |
บอกชุมพลให้กลับซึ่งทัพชัย |
อย่าได้เคืองขุ่นให้วุ่นวาย ฯ |
๏ ขุนแผนฮึดฮัดกัดฟัน |
กูนี้กี่ร้อยวันมันจะหาย |
ร้อนใจอะไรกับท่านยาย |
ห้ามหวงลูกชายด้วยเมตตา |
เห็นอ้ายแผนมันแก่แต่จะตาย |
จะเอาคุณพระนายไว้ดูหน้า |
ใจเจ้าแต่ไหนแต่ไรมา |
เจ้ารักหนักหนานางวันทอง |
เฝ้าเตือนมาแต่ไรให้ดีด้วย |
จึงเอออวยรับพามาไว้ห้อง |
เลยหลงรักลูกเต้าเข้าประคอง |
ถึงจองหองว่ากะไรไม่ได้ยิน |
อย่าห้ามเลยข้าหาฟังไม่ |
กูกับอ้ายไวยนี้สูญสิ้น |
ถ้าหากข้าตายล้มลงจมดิน |
เจ้าจงปลิ้นไปพึ่งเจ้าจอมไวย ฯ |
๏ นางแก้วตอบไปไฮ้คุณตา |
อย่ามาพูดใส่หน้าให้มันไส้ |
ห้ามด้วยสงสารรำคาญใจ |
เมื่อไม่ฟังแล้วก็ตามที |
มิไปฆ่าฟันกันเสียไย |
อย่ามาพักพ้อใส่ให้จู้จี้ |
จะว่าไรใส่ร้ายทั้งตาปี |
อย่าเซ้าซี้ขี้คร้านจะเจรจา |
กลัวปากแล้วไม่อยากจะทะเลาะ |
รีบเหาะไปเถิดไม่อยากว่า |
เสบียงเรียงพร้อมทั้งข้าวปลา |
ไปเข่นฆ่ากันเล่นสนุกใจ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
สะบัดหน้าลุกเข้าในเรือนใหญ่ |
แต่งตัวคาดเครื่องเยื้องย่างไป |
ขึ้นสีหมอกพอได้เวลาดี |
กรมการตามหลังสะพรั่งมา |
โยธาอัดอึงคะนึงมี่ |
โห่สนั่นลั่นฆ้องกระแตตี |
ออกจากกาญจน์บุรีรีบยกไป ฯ |
๏ ฝ่ายผู้รั้งสุพรรณครั้นแจ้งตรา |
ก็ตระเตรียมโยธาทั้งนายไพร่ |
คอยท่าขุนแผนผู้แว่นไว |
ยกทัพขับไปประจบกัน |
ครั้นถึงนางบวชก็โบกธง |
ทั้งค่ายรายลงเป็นเหล่าหลั่น |
สนามเพลาะพูนรอบเป็นขอบคัน |
แล้วจัดสรรกองตั้งระวังระไว ฯ |
๏ ครานั้นชุมพลรณรงค์ |
เห็นตั้งค่ายรายลงไม่หวาดไหว |
กำเริบฤทธิเชี่ยวชาญชำนาญใจ |
จัดหุ่นรายไว้ให้ป้องกัน |
จึงให้พลายเพชรกุมารทอง |
เข้าอยู่ในท้องสองหุ่นนั่น |
ปลอมเป็นชาวบ้านเมืองสุพรรณ |
รีบไปค่ายนั้นในทันใด |
กำชับสั่งกิริยาจะว่าขาน |
ทำให้เหมือนชาวบ้านที่จับได้ |
ว่าเราให้ถือหนังสือไป |
ให้แก่นายใหญ่ที่ยกมา |
ถ้าเขาสืบสาวราวเรื่องไซร้ |
บอกว่าทัพมอญใหม่เมืองหงสา |
แล้วสืบว่าผู้ใดใครยกมา |
กุมารลารีบถือหนังสือไป |
ครั้นถึงหน้าค่ายพระกาญจน์บุรี |
ทำทีเป็นกลัวไม่เข้าใกล้ |
พวกพลเห็นคนมาแต่ไกล |
ประหลาดใจก็กรูกันออกมา ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพลายเพชรกุมารทอง |
ทรุดนั่งยองยองแล้วร้องว่า |
ชาวบ้านดอกใช่หาไหนมา |
กองทัพจับพาเอาตัวไป |
เขาใช้ให้ถือหนังสือนี้ |
มาที่ตัวท่านแม่ทัพใหญ่ |
ต้องมาสองคนด้วยจนใจ |
ข้าไหว้ช่วยพาข้าไปที |
อ้ายพวกกองทัพจับสองแขน |
มัดแน่นไม่รู้ว่าหุ่นผี |
พาเข้าไปแถลงแจ้งคดี |
พระกาญจน์บุรีถามมาว่านั่นใคร |
พวกไพร่เรียนพลันมิทันช้า |
จับได้ว่ามาแต่มอญใหม่ |
ครั้นถามพูดจาภาษาไทย |
ได้ทั้งหนังสือที่ถือมา |
พันเภากับผู้รั้งเมืองสุพรรณ |
ช่วยกันขู่ซักเป็นหนักหนา |
มึงอยู่บ้านไหนมันได้มา |
รี้พลโยธามันเท่าใด ฯ |
๏ ครานั้นหุ่นมนตร์คนผี |
ทำเป็นกลัวตียกมือไหว้ |
ว่าลูกอยู่บ้านป่าท่าต้นไทร |
หนีไปไม่ทันมันจับมา |
อันพวกพหลสกลไกร |
ประมาณได้สักพันหนึ่งกว่ากว่า |
มันพูดกันฟังดูรู้กิจจา |
ว่าเป็นชาวหงสามาแต่ไกล |
บัดนี้ให้ถือหนังสือมา |
ว่าแล้วก็ส่งหนังสือให้ |
ขุนแผนใส่แว่นเข้าทันใด |
คลี่สารอ่านไปตามคดี ฯ |
๏ ตัวกูผู้จอมโยธา |
ชื่อสมิงมัตราเรืองศรี |
อยู่แว่นแคว้นหงสาธานี |
มิได้เป็นข้าราชการ |
เป็นเจ้าโยธาประสาตัว |
คนกลัวฤทธากล้าหาญ |
กูก็ไม่หยาบช้าสามานย์ |
ตั้งมั่นอยู่ในการเมตตาคน |
รู้ข่าวว่าชาวอยุธยา |
หยาบช้าฆ่าตีกันปี้ป่น |
สร้างกรรมทำชั่วทุกตัวคน |
เมืองเชียงใหม่อยู่บนก็รุกราน |
เห็นทำผิดคิดไปให้เวทนา |
จะหลับตาจมลงในสงสาร |
จึงยกมาหวังว่าจะทรมาน |
ถ้ารู้การงอนง้อไม่ต่อกร |
กูไม่ฆ่าฟันให้บรรลัย |
หมายใจแต่จะตั้งสั่งสอน |
ถ้าแม้นไม่ยอมแพ้ทำแง่งอน |
กูจะต้อนคนกลุ้มเข้ารุมฟัน |
อันพวกท่านนี้ยกมาตั้งอยู่ |
มาจะสู้ก็ว่าให้แม่นมั่น |
ฤๅจะยอมก็ว่าออกมาพลัน |
อย่ามานะจะฟันไม่เหลือเลย ฯ |
๏ ขุนแผนทำแค้นทิ้งหนังสือ |
ตบมือว่าชิอ้ายมอญเอ๋ย |
นี่มันอยู่เมืองไกลมันไม่เคย |
มันจึงพูดเฉลยชะล่าใจ |
หมาน้อยไม่เคยได้กลิ่นเสือ |
ใครบอกมันจะเชื่อเขาที่ไหน |
อวดดีว่ามีฤทธิไกร |
เหมือนแมลงเม่าเข้าไฟไม่รู้ตัว |
จึงตอบไปให้ยกมาแต่เช้า |
มัวขี้เซาจะไปสับกะลาหัว |
ให้แปดพันกูจะฟันไม่เว้นตัว |
อย่าเมามัวว่าจะปลอดรอดชีวา ฯ |
๏ หุ่นมนตร์คำนับรับหนังสือ |
ชูถือลาแล่นเข้าในป่า |
ถึงชุมพลพลันมิทันช้า |
หุ่นหญ้าล้มลงด้วยทันใด |
ฝ่ายว่าพลายเพชรกุมารทอง |
ทั้งสองจึงส่งหนังสือให้ |
บอกว่าพ่อแผนผู้แว่นไว |
เป็นแม่ทัพใหญ่ยกออกมา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล |
จึงสั่งพวกหุ่นมนตร์ไว้ถ้วนหน้า |
ค่ำวันนี้กูจะตีค่ายบิดา |
เอ็งอย่าฆ่าใครให้บรรลัย |
กันเอาแต่ท่านกาญจน์บุรี |
มาส่งกูนี้ให้จงได้ |
สั่งแล้วเตรียมกันทันใด |
พอพระสุริใสก็พลบลง |
สองทัพกำชับพลขันธ์ |
ลั่นฆ้องกลองสนั่นไพรระหง |
จันทรร่อนสว่างกระจ่างดง |
เรไรร้องก้องส่งสำเนียงครวญ |
อาการประมาณสักสิบทุ่ม |
ลมกลุ้มพัดกลับพยับหวน |
ชุมพลเห็นฤกษ์พาเวลาควร |
จัดกระบวนหุ่นพลันในทันใด |
แล้วผูกกะเลียวลงยันต์ |
ผาดผันขึ้นม้าหาช้าไม่ |
ดั้นดัดลัดพงตรงเข้าไป |
ครั้นใกล้ให้สงบซึ่งโยธา |
ย่องเหยียบมิให้เกรียบกรอบดัง |
กระทั่งค่ายขุนแผนข้างด้านหน้า |
โห่เกรียวฟันค่ายทลายมา |
พวกกองทัพก็พากันตกใจ |
หลับอยู่ไม่รู้สึกตน |
แต่สักคนไม่คว้าอะไรได้ |
ลุกขึ้นชุลมุนวุ่นกันไป |
พวกหุ่นหมุนไล่ตะลุมบอน |
เอาด้ามหอกหวดปวดร้องโอย |
แบนดาบลงโบยเอาไม้ค่อน |
วิ่งหนีล้มลุกเที่ยวซุกซอน |
เตะต่อยคอยผ่อนมิให้ตาย ฯ |
๏ ผู้รั้งสุพรรณตัวสั่นงก |
พลัดตกทับร่อนลงนอนหงาย |
เรียกคุณปู่ย่าคุณตายาย |
คุณเจ้าคุณนายมาช่วยกู |
ผ้าล่อนล่อนโล่งโก้งโค้งคลาน |
เข้ามุดในใต้ร้านคุดคู้อยู่ |
พันเภายองยองขึ้นมองดู |
พวกหุ่นหมุนกรูเข้าในทัพ |
พันเภาเอาหอกกรอกแทง |
หุ่นแย่งหะเหะปะเตะจับ |
ลูกตายแล้วหนอล้มคอพับ |
ขุนแผนร้องว่ารับอย่าหนีไป |
ใครขี้ขลาดขยาดถอยถด |
กูจะฟันให้หมดหาไว้ไม่ |
ขับม้าผ่าพลสกลไกร |
พวกพลก็ได้สติมา |
โห่กลับจับดาบกระหนาบรัน |
ยิงแย้งแทงฟันกันหนักหนา |
ปืนเปรี้ยงเสียงโห่เป็นโกลา |
เฮฮาโหมฮึกครึกโครมไป |
ฟันพลาดฉาดเปล่าไม่เข้าหุ่น |
มันกลับหมุนโลดโผนกระโจนไล่ |
หม้อดินใส่ชุดเอาจุดไฟ |
ทิ้งไปหุ่นฮือกระพือมา |
ขุนแผนขับม้าเข้าฝ่าฟัน |
พวกหุ่นหนุนกันมาหนักหนา |
ถลันไล่ไปกระทั่งถึงลูกยา |
เห็นหน้ากันเข้าก็ดีใจ |
ฝูงคนย่นแยกแตกมา |
มิใช่คนหวาสู้ไม่ได้ |
วิ่งหนีกลับหลังพังไป |
พระสุพรรณอยู่ใกล้กับพันเภา |
กูตาฟางนักพยักพเยิด |
ให้กูขี่ไปเถิดอ้ายพ่อเจ้า |
พันเภาฮึดฮัดวัดเหวี่ยงเอา |
ตาเถ้าจะมาพากูตาย |
ต่างคนต่างกลัวเอาตัวรอด |
มุดลอดป่าไม้ไปสูญหาย |
ขุนแผนแสนสะท้านกับลูกชาย |
เรียกภูตผีพรายกับหุ่นมา |
เซ็งแซ่แห่ห้อมพร้อมสะพรั่ง |
โห่ดังเกรียวกราวฉาวป่า |
ออกทุ่งมุ่งตรงอยุธยา |
ล่วงสุพรรณพารามาทันใด |
ชาวบ้านร้านช่องอยู่ใกล้ทาง |
ละเหย้าเรือนร้างไม่อยู่ได้ |
แตกตื่นทุกบ้านซานซมไป |
ตกใจไม่เป็นสมประดี |
ขุนแผนลูกชายพลายชุมพล |
ยกพวกหุ่นมนตร์กับฝูงผี |
ถึงตาลานพลันด้วยทันที |
ตั้งค่ายไว้ที่ริมชายไพร |
พวกชาวตาลานทิ้งบ้านเรือน |
สะเทือนหนีเข้าป่าไม่อยู่ได้ |
ขุนแผนกับลูกชายสบายใจ |
ทีนี้อ้ายไวยได้เห็นกัน ฯ |
๏ ครานั้นพันเภาผู้ทัพแตก |
วิ่งแหกป่ากลัวจนตัวสั่น |
เซซุดมุดรกอยู่งกงัน |
เสียงแกรกกรากพรั่นไม่ไว้ใจ |
มีบ่าวสองคนติดก้นมา |
พักเดียวดั้นป่าหาหยุดไม่ |
ล้าเลื่อยเหนื่อยบอบหอบหายใจ |
ใกล้รุ่งก็ถึงอยุธยา |
ครั้นถึงเรือนพลันทันใด |
เรียกเมียแต่ไกลรับด้วยหวา |
นางเมียตกใจจุดไต้มา |
พันเภาร้องว่าอย่าจุดเลย |
นางเมียส่องไต้มาให้ผัว |
น่ากลัวจริงจริงพ่อคุณเอ๋ย |
ผ้านุ่งแต่สักนิดไม่ติดเลย |
พันเภาร้องเฮ้ยกูแทบตาย |
ฉวยผ้าพันพุงพอรุ่งเช้า |
ตรงเข้าศาลามิให้สาย |
เรียนความเจ้าขุนมุลนาย |
ตกใจวุ่นวายเป็นโกลา |
เสด็จออกบอกกันเข้าไปเฝ้า |
พันเภาเก้กังเหมือนดังบ้า |
ฝ่ายว่าพระองค์ทรงศักดา |
เห็นพันเภาเข้ามาก็ถามไป |
อย่างไรเฮ้ยอ้ายพันเภากลับ |
อ้ายแผนจับโจรได้ฤๅหาไม่ |
หน้าตาซีดอยู่ดูอย่างไร |
ทำไมไอ้แผนจึงไม่มา ฯ |
๏ พันเภาได้ฟังรับสั่งถาม |
ถวายบังคมงามสามท่า |
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา |
ข้าพระพุทธเจ้าเชิญตราไป |
พระกาญจน์บุรีพระสุพรรณ |
ยกพลประจบกันเป็นทัพใหญ่ |
ถึงนางบวชพลันทันใด |
พอตั้งมั่นมันให้หนังสือมา |
บอกว่าเป็นสมิงอยู่ถึงเมืองมอญ |
แว่นแคว้นแดนนครเมืองหงสา |
ชื่อว่าสมิงมัตรา |
ยกมาจะกำราบปราบพวกไทย |
พระกาญจน์บุรีตอบท้าให้มารบ |
วันนั้นพอพลบจะเข้าไต้ |
งดทัพยับยั้งระวังระไว |
ครั้นใกล้รุ่งสงัดลงบัดดล |
มันลอบเข้ามาไม่ทันรู้ |
กรูเข้าแหกค่ายทลายปล้น |
แล่นไล่ห้ำหั่นฟันผู้คน |
แตกป่นทุกค่ายกระจายไป |
พระกาญจน์บุรีออกรบรับ |
คุมไพร่พลกลับเข้าได้ใหม่ |
ฟาดฟันกันลงในพงไพร |
มันมีฤทธิไกรมหิมา |
ล้วนคงกระพันฟันไม่เข้า |
ไพร่เราเสียลงเป็นหนักหนา |
แต่พระกาญจน์บุรีมีฤทธา |
ขับม้าไล่ฟันถลันไป |
มันกลุ้มรุมจับไม่กลับมา |
จะฆ่าฤๅมิฆ่าหาทราบไม่ |
จงทราบบาทบงสุ์พระทรงชัย |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
กริ้วสุรเสียงดังเป็นฟ้าผ่า |
กระทืบบาทตวาดก้องโกลา |
ฟังว่าดูเป็นไม่เจนทัพ |
จนแลเห็นค่ายอยู่ใกล้กัน |
ยังมัวไว้ใจมันมุดหัวหลับ |
มันย่องมาฆ่าฟันไม่ทันรับ |
ดับหมดคบไฟไม่ส่องดู |
แต่ก่อนไรไม่เห็นเหมือนเช่นนี้ |
ดูเป็นทีนอนใจไม่คิดสู้ |
นานไปก็จะพลัดเป็นศัตรู |
คิดกันเล่นกูให้วุ่นวาย |
ตัวอ้ายพันเภาเข้ามาก่อน |
ชอบแต่ค่อนเฆี่ยนซ้ำสักสองหวาย |
ไม่พอที่โตใหญ่ไปมากมาย |
มันได้ใจจะหมายมากรุงไกร |
คิดคิดขึ้นมาก็น่าแค้น |
ที่มันจับอ้ายแผนกูไปได้ |
กูเสียดายทหารชาญชัย |
หาไหนไม่มีจะเหมือนมัน |
เสียทีด้วยอ้ายนี่มันแก่เถ้า |
ถ้าเหมือนแต่ก่อนเก่าที่ไหนนั่น |
ทุดอ้ายขี้ปิ้งจะยิงฟัน |
เราเสียทีให้มันกำเริบใจ |
มันคงตามติดประชิดมา |
ด้วยคิดว่าคนดีหามีไม่ |
เรียกอ้ายไวยมาจะช้าไย |
กูจะให้ไปจับอ้ายรามัญ ฯ |
๏ ฝ่ายตำรวจในได้รับสั่ง |
วิ่งออกจากวังขมีขมัน |
ครั้นถึงจึงบอกพระไวยพลัน |
รับสั่งทรงธรรม์ให้เข้าไป |
พระไวยได้ฟังเป็นการเร็ว |
ฉวยผ้าพันเอวหาช้าไม่ |
รู้ข่าวการทัพขยับใจ |
บ่าวไพร่ตามหลังเข้าวังพลัน |
นุ่งสมปักลนลานคลานเข้าไป |
บังคมไหว้ก้มหน้าอยู่ที่นั่น |
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ผันพระพักตร์ดำรัสไปบัดดล |
คิดคิดขึ้นมากูน่าแค้น |
ผิดด้วยอ้ายแผนนั้นเป็นต้น |
ให้เป็นแม่ทัพบังคับพล |
เลินเล่อลืมตนจนเสียการ |
เสียทีให้มันจับเอาไปได้ |
เสียนายเสียไพร่เสียทหาร |
อ้ายมอญต้อนเข้ามาจนตาลาน |
จะได้ใครไปต้านไปตอบแทน |
พระองค์เห็นพระไวยอาลัยพ่อ |
น้ำพระเนตรคลอคลอถึงขุนแผน |
ยอดทหารผลาญย่อยมาร้อยแดน |
กริ้วแค้นตรัสสั่งพระไวยพลัน |
บัดนี้อ้ายสมิงมัตรา |
ฆ่าอ้ายแผนพ่อมึงอาสัญ |
เร่งเกณฑ์กองทัพไปจับมัน |
รุ่งวันพรุ่งนี้เอ็งยกไป ฯ |
๏ พระไวยรับราชบัญชา |
ตรึกตราแล้วทูลเฉลยไข |
กระหม่อมฉันคิดคิดให้ผิดใจ |
มอญมีฤทธิไกรกะไรมา |
ถึงชนะคนอื่นก็ตามที |
ที่ตรงพระกาญจน์บุรีเห็นเกินหน้า |
ไม่ควรที่ย่อยยับอัปรา |
ด้วยพระเวทวิทยานั้นเจนใจ |
ถึงสุดสิ้นกำลังจะรั้งรบ |
คงจะหายตัวหลบเข้ามาได้ |
บิดามรณาจะอยู่ไย |
กระหม่อมฉันจะไปประจัญบาน |
ทูลแล้วเท่านั้นมิทันช้า |
ถวายบังคมลากลับมาบ้าน |
ให้เตรียมทัพสรรพเสร็จสำเร็จการ |
ล้วนทหารที่เคยไปเชียงอินท์ |
สั่งเสบียงจัดวางทั้งช้างม้า |
แล้วไปเล่ากิจจาแก่ย่าสิ้น |
ว่าบัดนี้มอญใหม่ใจทมิฬ |
ฆ่าพ่อแผนเสียสิ้นชีวาลัย ฯ |
๏ ทองประศรีตีอกเข้าต้ำผาง |
ตกจากหอกลางไม่ลุกได้ |
กลิ้งอยู่เหมือนตายไม่หายใจ |
แก้ไขช้านานจึงฟื้นตัว |
โอ้พ่อขุนแผนของแม่เอ๋ย |
ละเลยแม่แล้วพ่อทูนหัว |
จิตรใจแม่ให้ระริกรัว |
สิ้นตัวทองประศรีแต่นี้ไป |
กำพร้าบิดามาแต่เล็ก |
เด็กอยู่แม่เลี้ยงเจ้าจนใหญ่ |
ไปกินเมืองกาญจน์บุรีแม่ดีใจ |
หมายจะได้ฝากผีของมารดา |
กลับหนีแม่ไปเสียอิกเล่า |
ถึงกะไรได้เผาก็ไม่ว่า |
มาตายด้วยมอญใหม่ไกลตา |
เสียสง่าราศีทุกสิ่งไป |
ลูกตายหลานหายไม่เห็นหน้า |
ยังแต่ย่านี้จะอยู่ไปถึงไหน |
เช้าเย็นเห็นหน้าแต่ออไวย |
จะยกไปไม่รู้ว่าร้ายดี |
โอ้สงสารออไวยน่าใจหาย |
น้องชายก็มัวเอาแต่หนี |
จะหันหน้าหาใครก็ไม่มี |
ย่านี้ไปได้ก็จะไป |
บิดามอญฆ่าเสียมอดม้วย |
หามีใครจะช่วยเจ้ารบไม่ |
ยังเป็นเด็กเล็กอ่อนจะสอนไว้ |
ท่านขุนไกรตัวปู่เป็นครูบา |
ถ้ายกออกไปให้สืบก่อน |
จะหยุดนอนระวังให้หนักหนา |
ถึงทัพจงพิจารณา |
พอจะเข้าไล่ฆ่าก็เข้าไป |
ถ้าเห็นกำลังศึกนั้นฮึกหาญ |
ดากระดานรับไว้ให้จงได้ |
กระบวนรบครบตั้งระวังภัย |
ถ้าล้อมได้ก็อ้อมล้อมไพรี |
ถ้าเห็นหนักชักช่องให้ออกไป |
ถ้าไพร่เราแตกตายกระจายหนี |
เอาดาบบั่นฟันต้อนเข้าราวี |
ดูทีก่อนจะล่าอย่าตกใจ |
ด้วยว่าขุนไกรปู่เป็นครูเถ้า |
ขวัญข้าวจงจบกระหม่อมใส่ |
พ่อจงไปสวัสดีให้มีชัย |
พระไวยกราบแล้วก็ลุกมา |
เข้าห้องสั่งสองสายสวาดิ |
อย่าเกรี้ยวกราดฟังคำพี่ร่ำว่า |
เป็นผู้ใหญ่ให้ดีศรีมาลา |
เจ้าสร้อยฟ้ามิใช่คนแง่งอน |
ผิดมั่งพลั้งนิดอย่าด่าว่า |
ให้พี่กลับมาถึงบ้านก่อน |
สร้อยฟ้าเป็นลาวชาวดงดอน |
ช่วยสั่งสอนงามปลื้มอย่าลืมความ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าศรีมาลายกมือไหว้ |
ไปเถิดน้องมิให้เป็นเสี้ยนหนาม |
จะถนอมกล่อมใจกันให้งาม |
คร้ามแต่หม่อมจะเข้ารณรงค์ |
แต่พ่อขุนแผนยังแพ้เขา |
พ่อเจ้าระวังระไวอย่าให้หลง |
สังเกตพระเวทที่ทนคง |
ปลงอารมณ์ข่มไว้ให้จงดี ฯ |
๏ พระไวยเสร็จสั่งทั้งสองนาง |
ยังชำเลืองเยื้องย่างออกจากที่ |
จับดาบเคยปราบซึ่งไพรี |
ขึ้นที่หอพระนมัสการ |
แล้วอ่านพระเวทวิเศษประสิทธิ |
ขันสำริดน้ำหอมย้อมว่าน |
เอาโสรจสรงองค์นารายณ์อวตาร |
แล้วโอมอ่านคาถาเรียกภูตพราย |
เป่าสังข์บูชาวราฤทธิ |
เสร็จกิจนุ่งห่มดูเฉิดฉาย |
รดน้ำมนตร์ที่สรงองค์นารายณ์ |
แล้วเยื้องกรายเดินมาน่าเอ็นดู ฯ |
๏ ศรีมาลาสงสารรำคาญใจ |
นี่ศึกใครผัวรักจักไปสู้ |
พ่อแผนแค้นขัดเป็นศัตรู |
น่าจะรู้จะเห็นเป็นอุบาย |
พระไวยใหลหลงเจ้าสร้อยฟ้า |
ยังมึนเมามนตร์ยาไม่เหือดหาย |
ถ้าหลงไปรบบิดาจะฆ่าตาย |
พ่อพลายของเมียไม่รู้ตัว |
ขอเดชะความสัตย์บริสุทธิ |
จงชักพาอาวุธให้พ้นผัว |
ร่ำพลางใจนางระริกรัว |
ให้กลัวท่านบิดาจะฆ่าฟัน ฯ |
๏ พระไวยได้ฤกษ์ให้เลิกทัพ |
พวกพลโห่รับเสียงสนั่น |
ช้างม้าอัดแอแจจัน |
พระไวยแสนกระสันถึงสร้อยฟ้า |
โอ้เพื่อนพิสมัยมาไกลอก |
จะวิตกเศร้าสร้อยละห้อยหา |
กริ่งใจทางนี้ศรีมาลา |
จะทำแก้วแววตาประการใด |
ผัวอยู่คอยดูทุกเช้าค่ำ |
เขายังทำเจ้าถึงอย่างนั้นได้ |
ทีนี้อยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าใจ |
ข้าไทมันจะกลุ้มรุมกันตี |
แม้นมิกลัวพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
จะเลิกทัพกลับหันเข้ากรุงศรี |
แล้วหวนคิดกลับแค้นแสนทวี |
อันมอญใหม่ฆ่าตีบิดากู |
มันดีละจะเล่นให้เห็นกัน |
ฮึดฮัดกัดฟันจะต่อสู้ |
ชักสีนวลเร่งไปไพร่พรั่งพรู |
ถึงวัดลาดหยุดหมู่พลไกร ฯ |
๏ ให้พวกไพร่หุงข้าวเผาปลา |
กินแล้วเวลาจะเข้าไต้ |
ผูกหุ่นครบพลันทันใด |
พระไวยเสกซัดข้าวสารมนตร์ |
หุ่นพลิกกระดิกดิ้นอยู่ไม่ลุก |
ต้องเสกปลุกข้าวปรายเป็นหลายหน |
จึงขยับกลับลุกขึ้นเป็นคน |
ซ้ำพิกลอาวุธก็ไม่มี |
พระไวยหวาดไหวให้ใจหาย |
กูจะตายด้วยอ้ายมอญฤๅไรนี่ |
จับยามดูพลันในทันที |
วันนี้วันพุธเป็นอุตใน |
ยามจันทร์ถลันเข้าอยู่กลาง |
เศษเสาร์เข้าขวางเป็นศึกใหญ่ |
ในตำราว่ามิใช่คนอื่นไกล |
เนื้อไขเขม้นจะเล่นกัน |
บริกรรมซ้ำซัดข้าวสารไป |
หุ่นก็ได้อาวุธครบมือมั่น |
พอแสงเดือนเด่นฉายพรายพรรณ |
ให้ยกเลิกพลขันธ์สนั่นมา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงวันทองที่ต้องโทษ |
พระองค์ทรงโปรดให้เข่นฆ่า |
เมื่อขาดใจอาลัยถึงลูกยา |
เวราพาเป็นอสุรกาย |
วันนั้นพระไวยจะไปศึก |
นางนึกสำคัญมั่นหมาย |
เกรงฤทธิบิดาจะฆ่าตาย |
กลับกลายเพศเพี้ยนเป็นนารี |
ผิวผ่องละอองพักตร์ปลั่งเปล่ง |
ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี |
ประมาณชันษาสิบห้าปี |
ท่วงทีมารยาทดังนางใน |
ผ้ายกตานีนุ่งพุ่งทอง |
สอดสองซับสีดูสดใส |
กรองนอกดอกฉลุดดวงละไม |
เส้นไหมย้อมม่วงเป็นมันยับ |
ก้านแย่งโคมเพชรเจ็ดเหลี่ยม |
กรวยเชิงช่อเอี่ยมดังแบบจับ |
ซัดแสดสอดสีทับทิมทับ |
นางแกล้งแต่งประดับประดิษฐกาย |
เฉิดโฉมประโลมลานสวาดิ |
ชะอ้อนอ่อนเอวสะอาดสะอิ้งสาย |
สร้อยสังวาลสุวรรณพรรณราย |
แต่ละเม็ดเพชรกระจายกระจ่างดวง |
สองเต้าตูมเต่งเคร่งครัด |
ดอกไม้ทัดทั้งห่อผ้าห่มหวง |
กรองร้อยสร้อยสนกระสันทรวง |
ร่ำร้องเสียงร่วงรำพันไป |
พัดชาช้าลูกหลวงหวนละห้อย |
น้ำค้างย้อยตะวันตกนกไห้ |
สักวาดอกสร้อยละห้อยใจ |
เสียงหวานวิเวกในพนาลี ฯ |
๏ พระไวยขับม้ามาถึงนั่น |
พอพระจันทร์เพ็ญผ่องละอองศรี |
เสียงเสนาะเพราะชัดเป็นสตรี |
ก็หยุดยั้งโยธีอยู่กลางทาง |
ลงจากม้าพลันในทันใด |
เยื้องยุรยาตรไปไม่เกรียบกร่าง |
แฝงไม้แลไปเห็นโฉมนาง |
ทรงบางตละหล่อออกจากพิมพ์ |
ผิวปลั่งดังทองทาระทวย |
มือสวยสิบนิ้วดูนุ่มนิ่ม |
งามระบอบรอบไรเจ้าเรียบริม |
พร้อมพริ้มเพราทั่วทั้งกายา |
หวานอ่อนร่อนเสียงเสนาะดง |
ดังเสียงหงส์เหาะเหินในเวหา |
แสนสวาดินาฏน้องไม่พริบตา |
แฝงพฤกษาสอดแลตะลึงไป ฯ |
๏ ครานั้นนางเปรตอสุรกาย |
แยบคายทำหาเห็นพระไวยไม่ |
แช่มช้อยร้อยกรองพวงมาลัย |
สำราญร้องเรื่อยในพนาวัน |
ทำเดินเก็บดอกไม้ไม่สงกา |
ถอยหลังละเลิงมาไม่ผินผัน |
กระทั่งถึงต้นไม้พระไวยพลัน |
สะดุ้งหวีดหวาดหวั่นผวาไป |
ทิ้งพวงดอกไม้กรองร้องตระหนก |
ประคองอกอ่อนวิ่งมิใคร่ไหว |
แอบพุ่มพฤกษาประหม่าใจ |
แกล้งใส่เล่ห์ล่อให้ละลานตา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมพระหมื่นไวย |
แสนสำราญบานใจเป็นหนักหนา |
กระหยิ่มยิ้มยุรยาตรนาดมา |
ชะอ้อนเอื้อนโอภารำพันไป |
แก้วตาอย่าประหม่ากมลหมอง |
จะหวีดร้องจรดลไปหนไหน |
เสียดายผิวจะเผือดอย่าเดือดใจ |
ขวัญจะโบยบินไกลกำลังกลัว |
มานี่เถิดพี่จะรับขวัญ |
ซึ่งผาดผันโผนไปในไพรทั่ว |
ให้คืนเข้าร่างน้องประคองตัว |
เจ้าอย่าประหม่ามัวให้หมองใจ |
อยู่เดียวเปลี่ยวอกในอารัญ |
เพื่อนพูดจาสารพันหามีไม่ |
ยามหนาวเจ้าจะนอนในกลางไพร |
ไม่มีใครโอบอุ้มให้อุ่นดี |
กุศลส่งพี่ตรงมาพบน้อง |
ขอประคองเคียงกายไม่หน่ายหนี |
จะอยู่ด้วยน้องน้อยสักร้อยปี |
แก้วพี่อย่าสะทกสะเทิ้นใจ |
ปลอบพลางทางย่างขยับเยื้อง |
ชายชำเลืองโลมเลียมเข้าไปใกล้ |
ขยับมือมาแม่อย่าเมินไป |
ขอดอกไม้สักหน่อยที่ร้อยกรอง ฯ |
๏ ครานั้นนางเปรตอสุรกาย |
แยบคายเชิงดีไม่มีสอง |
เห็นลูกชายและเลียมเทียมคะนอง |
ก็โผนผาดแผดร้องระงมไพร |
ตวาดมาว่าเหวยพลายงามลูก |
มาดูถูกข่มเหงหาเกรงไม่ |
ลุ่มหลงโลภว่าประสาใจ |
กูไซร้สาธารณ์คือมารดา |
ชื่อว่าวันทองที่ต้องโทษ |
พระกริ้วโกรธสั่งให้ไปเข่นฆ่า |
ตายไปใจผูกด้วยลูกยา |
ตามมาจะบอกซึ่งร้ายดี |
ตัวเจ้าจะยกออกไปทัพ |
น่าจะยับเยินย่อยถอยหนี |
ศึกนี้หนักหนาสง่ามี |
ไพรีเรี่ยวแรงจะรุกราน |
รอรั้งระวังให้จงดี |
จะเสียทีอย่าโหมเข้าหักหาญ |
ว่าแล้วเผ่นโผนโจนทะยาน |
เสียงสะท้านทั่วท้องพนาวัน |
สูญหายกลับกลายไปตามเพศ |
เป็นเปรตสูงเยี่ยมเทียมสวรรค์ |
ไม่มีหัวตัวทะมื่นยืนยัน |
เหียนหันหายวับไปกับตา ฯ |
๏ พระไวยหวั่นหวาดอนาถนัก |
เห็นประจักษ์ว่าแม่แน่หนักหนา |
สยดสยองพองหัวกลัวมารดา |
น้ำตาพรากพรากลงพร่างพราย |
โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกแก้ว |
สิ้นซากศพแล้วไม่สูญหาย |
ลูกทำบุญส่งให้ไปมากมาย |
ยังไม่วายความชั่วที่ตัวทำ |
เอาเพศเป็นเปรตอสุรกาย |
กลับกลายตามมาเวลาค่ำ |
สั่งสอนวอนบอกให้ลูกจำ |
มีพระคุณเช้าค่ำแต่เป็นคน |
แม่ตายหายลับมาหลายปี |
พึ่งมาเห็นวันนี้ในไพรสณฑ์ |
ห้ามลูกมิให้ไปประจญ |
จะเสียตนตายด้วยฝีมือมอญ |
ท่านขุนแผนพ่อก็ตายแล้ว |
สุดที่ลูกแก้วจะผันผ่อน |
ถึงคืนทัพกลับเข้าพระนคร |
พระทรงธรรม์บั่นรอนก็บรรลัย |
ชาติชายเป็นตายไม่ย่อท้อ |
จะแก้แค้นแทนพ่อให้จงได้ |
แม่อย่าเป็นห่วงบ่วงใย |
พลางกราบไหว้สะอื้นกลืนน้ำตา |
แล้วมาขึ้นม้าพาพวกพล |
ดั้นด้นตัดทุ่งมุ่งป่า |
พอแสงเดือนเคลื่อนดับลงลับฟ้า |
ยกมาถึงบางกระทิงพลัน |
ตัดไม้ตั้งค่ายสนามเพลาะ |
หอรบครบเหมาะทุกสิ่งสรรพ์ |
รั้วขวากปักช่องป้องกัน |
ให้ม้าใช้ไปพลันเอาเหตุมา ฯ |
๏ ครานั้นชุมพลรณรงค์ |
เสียงโห่ร้องก้องดงสนั่นป่า |
ตรึกตรองสองคนกับบิดา |
จะรบราพระไวยให้ได้ที |
สืบรู้ว่ามาตั้งบางกระทิง |
ด้วยเกรงล่วงช่วงชิงเอาชัยศรี |
ขุนแผนแสนฤทธิราวี |
แต่งเครื่องบัตรพลีพลีการ |
ธงกระดาษราชวัติเฉวียนปัก |
จับสายสิญจน์ชักทุกเสาศาล |
ธูปเทียนจุดจรัสชัชวาล |
เครื่องอานดาบประจุประจงดี |
ขุนแผนเสกซัดข้าวสารส่ง |
ชุมนุมองค์เทวาทุกราศี |
อสุรยักษ์ครุฑาวาสุกรี |
ฝูงผีภูตโขมดมารยา |
ทั้งฤๅษีสิทธิ์วิทยาธร |
ทวยเทพนิกรถ้วนหน้า |
เชิญรับเครื่องสังเวยวัฒนา |
แล้วปลุกเครื่องสาตราในทันใด |
เครื่องอานบันดาลสะดุ้งโดด |
ดาบกระดิกพลิกโลดดังลูกไก่ |
แกว่งกวัดฉวัดเฉวียนเวียนระไว |
แล้วติดไฟชุบย้อมให้ลูกยา |
ไฟดับกลับพรมด้วยน้ำว่าน |
กายแข็งทนทานขึ้นหนักหนา |
อยู่คงสารพัดสาตรา |
มิ่งม้าก็ลงให้คงทน |
เสร็จแล้วจึงแต่งแปลงเจ้าพลาย |
ให้ดูคล้ายมอญใหม่ให้ฉงน |
เป่าซ้ำด้วยพระเวทวิเศษมนตร์ |
แล้วเตรียมตนจะไปช่วยยุทธนา ฯ |
๏ ครั้นฟ้าขาวดาวประกายพรึกขึ้น |
สองทัพโห่ครื้นสนั่นป่า |
ออกจากค่ายพลันทันเวลา |
โยธาทั้งสองคะนองฤทธิ |
พระไวยขับม้าพาทหาร |
โอมอ่านคาถาประกาศิต |
ชุมพลชักม้ามาประชิด |
ขุนแผนแอบมิดจะดูที |
พอทัพต่อทัพเข้าถึงกัน |
ยิงแย้งแทงฟันกันอึงมี่ |
สองข้างต่างมุ่งเข้าราวี |
มิได้มีย่อท้อต่อณรงค์ |
พลหุ่นหมุนมุ่งเข้าสู้กัน |
แทงฟันตอบโต้แล้วโห่ส่ง |
ทะลวงโลดโดดประจญทนคง |
ตีต่อยตะบันลงไม่ละกัน |
พวกทหารสามสิบห้าไม่ราถอย |
หอกสอยดาบร่ำเข้าห้ำหั่น |
พวกหุ่นหมุนร่าเข้าฝ่าฟัน |
คนขยั้นย่นย่อรอระอา |
ฮึดฮัดขัดใจไล่พิฆาต |
ไม่ไหวหวาดอ้ายมอญนี่หนักหนา |
พระไวยเห็นพลร่นลงมา |
มือขวาคว้าซัดข้าวสารไป |
พอข้าวมนตร์หล่นต้องหุ่นชุมพล |
กลายเป็นหญ้ายับป่นไม่ทนได้ |
ชุมพลชักม้าผ่าพลไกร |
เป่าไปด้วยพระเวทวิทยา |
ต้องพวกหุ่นมนตร์พลพระไวย |
ก็ย่อยยับกลับไปเป็นฟ่อนหญ้า |
สองนายบ่ายห้ามโยธา |
ก็รั้งราหยุดรบประจัญบาน ฯ |
๏ พระไวยเพ่งไปเห็นมอญน้อย |
กะจ้อยร่อยเอวกลมสมทหาร |
แปลกน้องต้องมนตร์ให้บันดาล |
พึ่งรุ่นพานยังไม่พบฝีมือกู |
เย่อหยิ่งยกตัวไม่กลัวใคร |
ทะนงใจจองหองจะปองสู้ |
จะฟังคำทำนองมันลองดู |
ความรู้มันจะมีสักเพียงไร |
จึงร้องมาว่าเหวยอ้ายมอญน้อย |
กะจ้อยร่อยใจกำเริบเติบใหญ่ |
ตัวเด็กเล็กน้อยไม่สมใจ |
ชื่อไรบอกความไปตามจริง |
พระสงฆ์องค์ใดเป็นครูบา |
สอนวิชามาให้สักกี่สิ่ง |
เข้าสู้รบกับเราเข้าจริงจริง |
แล้วจะวิ่งวุ่นหลบไม่พบตัว |
บิดามารดาเอ็งชื่อไร |
อยู่เมืองไหนบอกกูให้รู้ทั่ว |
องอาจประมาทใจช่างไม่กลัว |
ใครยั่วให้มึงยกมาทำไม |
มึงมาฆ่าฟันท่านขุนแผน |
ขัดแค้นท่านทำอะไรให้ |
ฤๅกวนมึงถึงเมืองให้เคืองใจ |
ไปไล่จับพ่อแม่ของมึงมา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล |
แยบยลพูดเพี้ยนเป็นหงสา |
กูฤๅชื่อสมิงมัตรา |
บิดากูผู้เรืองฤทธิไกร |
ชื่อสมิงแมงตะยะกะละออน |
ในเมืองมอญใครไม่รอต่อได้ |
เลื่องชื่อฦๅฟุ้งทุกกรุงไกร |
แม่ไซร้ชื่อเม้ยแมงตะยา |
พระครูกูเรืองฤทธิเวท |
พระสุเมธกะละดงเมืองหงสา |
จะมาลองฝีมือไทยให้ระอา |
ถ้าใครกล้ากูจะฟันให้บรรลัย |
อันสมบัติในศรีอยุธยา |
กูหาปรารถนาสิ่งใดไม่ |
ขุนแผนยกพลมาชิงชัย |
กูจับได้จึงฟันหั่นประจาน |
เอ็งนี้มีนามกรใด |
เจ้าไทยเลี้ยงเป็นยอดทหาร |
พระองค์ใดได้เป็นพระอาจารย์ |
อนึ่งท่านบิดานั้นชื่อไร |
ทั้งชื่อมารดาก็อย่าพราง |
บอกบ้างให้กูสิ้นสงสัย |
ฤทธากล้าหาญประการใด |
อาจใจออกมาต่อฝีมือกู ฯ |
๏ เฮ้ยอ้ายมอญสมิงมัตรา |
กูกล้าจึงยกมาต่อสู้ |
ฤทธิเดชอย่างไรคงได้รู้ |
ซึ่งสูถามถึงพระอาจารย์ |
อันความรู้กูมิได้เป็นศิษย์สงฆ์ |
เพราะพ่อกูเชื้อวงศ์พงศ์ทหาร |
ชื่อว่าขุนแผนแสนสะท้าน |
ท่านให้ความรู้แก่กูมา |
แม่กูชื่อว่านางวันทอง |
ชื่อของกูนี้ไม่มุสา |
ชื่อว่าพลายงามแต่เดิมมา |
ชื่อตั้งนั้นว่าจมื่นไวย |
มึงอย่าทะนงองอาจ |
ประมาทว่าจับขุนแผนได้ |
หากแก่เถ้าแรงน้อยถอยไป |
กูนี้ไม่กลัวมึงเท่าเล็บมือ ฯ |
๏ ชุมพลตบขาแล้วว่าไป |
มึงพูดนี้ไซร้ไม่สัตย์ซื่อ |
กูเข้าใจมิใช่คนอื่นฦๅ |
คือท่านขุนแผนแกบอกมา |
กูไต่ถามได้ความมาแต่หลัง |
ต่อแกเล่าให้ฟังแล้วจึงฆ่า |
ว่าลูกชายคนหนึ่งพึ่งรุ่นมา |
เป็นลูกแก้วกิริยาชื่อชุมพล |
หนีไปแห่งไรมิได้รู้ |
แกบอกกล่าวเล่ากูมาแต่ต้น |
ว่าลูกเลี้ยงยังมีอยู่อิกคน |
เจ้าตนตั้งให้เป็นหมื่นไวย |
มารดาชื่อว่านางวันทอง |
จะเป็นลูกของแกนั้นมิใช่ |
เป็นลูกอ้ายขุนช้างจัญไร |
พ่อมึงนั้นไซร้อยู่สุพรรณ |
ขนอกรุงรังกระทั่งคาง |
กระหม่อมบางผีขอดตลอดขวัญ |
เอ็งหากอายใจไม่บอกกัน |
พันพึ่งขุนแผนว่าบิดา ฯ |
๏ พระไวยขัดใจดังไฟฟอน |
เหม่อ้ายมอญค่อนแคะมุสาว่า |
โมโหฮัดฮึดมืดมัวตา |
ไม่ทันอ่านคาถาพระเวทมนตร์ |
แกว่งดาบตัวสั่นถลันโลด |
กำลังโกรธขับม้าโกลาหล |
เข้าห้ำหั่นฟันฟาดพลายชุมพล |
ฉาดฉับรับประจญประจัญบาน |
เสียงดาบต่อดาบฟันกันฉับฉาด |
ม้าต่อม้าผ่าผงาดเข้าต่อต้าน |
พวกหุ่นหมุนโลดโดดทะยาน |
เข้าไล่รานรุกพหลพลไกร |
หุ่นต่อหุ่นทิ่มแทงแย้งยุทธ |
กระชากฉุดชิงหอกกรอกไล่ |
ปล้ำรัดฟัดกันสนั่นไป |
พวกไพร่สามสิบห้าระอาตัว |
สู้หุ่นสิ้นแรงลงแพลงพลิก |
พวกหุ่นหมุนขยิกเข้าจิกหัว |
เอาสันหอกตอกรันตัวสั่นรัว |
ดิ้นหลุดมุดตัวเข้าแฝงรก |
ชุมพลกับพระไวยไล่พิฆาต |
แพลงพลาดกอดชิดเข้าติดอก |
พัลวันปล้ำกันอยู่งันงก |
ดาบตกกอดติดกันพัวพัน ฯ |
๏ ขุนแผนแค้นใจดังไฟฟ้า |
ขับม้าวิ่งวางดังกางหัน |
กู่ก้องร้องไปแต่ไกลกัน |
ชุมพลจับให้มั่นพ่อฟันเอง |
พระไวยแลไปพอเห็นพ่อ |
ผละคอน้องโลดกระโดดเหยง |
ขับม้าวิ่งวางกำลังเกรง |
เสียเพลงทวนท่าชุมพลแทง |
ถูกอักหอกหักหาเข้าไม่ |
พระไวยขับม้าออกจากแหล่ง |
ขุนแผนแค้นใจไล่ทแยง |
พวกหุ่นหมุนแทงที่ไพร่พล |
พวกไพร่สามสิบห้าผ้าผ่อนหลุด |
มุดแฝกแหวกป่าโกลาหล |
ความกลัวหนีซุกไปทุกคน |
หนามเหนี่ยวเกี่ยวป่นไปทั้งตัว |
เสียงแกรกเข้าไม่ได้ไปปะเลง |
ร้องขอโทษตัวเองพ่อทูนหัว |
พลบค่ำย่ำคลุ้มชอุ่มมัว |
รอดตัวแล้วอ้ายพ่อแล่นต่อไป ฯ |
๏ พระไวยขับม้าผ่าท้องทุ่ง |
หมายมุ่งตรงมาหาช้าไม่ |
หน้านิ่วหิวบอบหอบหายใจ |
ตรงไปข้ามวัดธรรมา |
คนเห็นพระไวยตกใจวิ่ง |
ฉิบหายตายจริงเจียวสิหว่า |
พระไวยแตกทัพยับเยินมา |
ชาวพาราตื่นทั่วทั้งเวียงชัย |
มิได้รู้ศัพท์สัญญา |
ว่าศึกเสือนั้นมาแต่ข้างไหน |
ผู้คนอลหม่านวิ่งพล่านไป |
พระไวยมาถึงประตูวัง ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
เสด็จออกเสนาอยู่คับคั่ง |
ได้ยินเสียงชาวบ้านสะท้านดัง |
ทรงฟังไม่แจ้งว่าเหตุใด |
เอ๊ะอะไรอื้ออึงกันหนักหนา |
อ้ายไวยแตกทัพมาฤๅไฉน |
เฮ้ยใครไปดูให้แจ้งใจ |
พอพระไวยลงม้าเข้ามาพลัน |
ครั้นถึงประนมก้มกราบกราน |
สะทกสะท้านความกลัวจนตัวสั่น |
หน้านิ่วหิวหอบบอบครัน |
นิ่งอั้นอยู่ไม่ว่าประการใด ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
เห็นพระไวยเข้ามาหาทูลไม่ |
พระจึงมีสีหนาทประภาษไป |
มึงได้การอย่างไรจึงกลับมา ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ |
ครั่นคร้ามขามขยาดเป็นหนักหนา |
จวนตัวด้วยกลัวพระอาญา |
เงยหน้าขึ้นทูลพระทรงธรรม์ |
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีบาท |
องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์ |
ขอประทานชีวิตโทษผิดครัน |
ชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
ยกไปหมายว่าข้าศึกมอญ |
เข้ารบรอต่อกรเป็นหนักหนา |
ครั้นห้ำหั่นมันตายกลายกายา |
เป็นหุ่นหญ้าจึงแจ้งว่าแต่งกล |
แม่ทัพกับหม่อมฉันตัวต่อตัว |
ก็พันพัวฟาดฟันกันหลายหน |
ไม่ทราบว่าน้องชายพลายชุมพล |
จนเห็นท่านขุนแผนแล่นออกมา |
ร้องกำชับให้จับกระหม่อมฉัน |
บิดาหมายมั่นจะฟันฆ่า |
หนีได้จึงไม่มรณา |
พระราชอาญาไม่พ้นไป |
อันเจ้าพลายชุมพลคนนี้ |
มิใช่เป็นน้องร่วมท้องไส้ |
เป็นบุตรแก้วกิริยายาใจ |
ท่านขุนแผนก็ได้เป็นบิดา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุตามคำพระไวยว่า |
ทรงดำริตริไตรอยู่ไปมา |
แล้วมีพระบัญชาไปทันใด |
อ้ายแผนมันทำมาทั้งนี้ |
หารู้ที่จะว่าอย่างไรไม่ |
มันก็ถือสัตย์ธรรม์เป็นมั่นใจ |
ไม่เห็นที่จะเป็นขบถกู |
มาดแม้นทุจริตคิดเช่นนั้น |
ทองประศรีแม่มันก็ยังอยู่ |
ไฉนตัวมันจะพลัดเป็นศัตรู |
กูคิดดูเห็นผิดจริตไป |
อันตัวกูเป็นหลักปัถพี |
ถึงใครมีฤทธิเดชไม่สู้ได้ |
เทวดารักษาซึ่งราชัย |
ก็แจ้งใจกันทั่วทั้งพารา |
มันเป็นแต่ข้าฝ่าละออง |
ไหนจะปองพิภพนาถา |
ถ้าเขม้นจะเล่นอยุธยา |
ปานนี้ก็จะมาถึงกรุงไกร |
ชะรอยอ้ายนี่คงมีแค้น |
อ้ายแผนมันหาเป็นขบถไม่ |
ฤๅมึงโวหารประการใด |
มันแค้นใจจึงทำเป็นกลมา |
แม้นมันทุจริตคิดเป็นพาล |
ไพร่บ้านพลเมืองคงเข่นฆ่า |
นี่ใครใครก็ไม่มรณา |
อ้ายพ่อลูกไล่ฆ่ามึงคนเดียว ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ |
อภิวาทนิ่งนึกตรึกเฉลียว |
พระเคลือบแคลงแหนงจริงทุกสิ่งเจียว |
จะเลี่ยงเลี้ยวไม่ทูลก็ใช่ที |
คิดแล้วบังคมบรมนาถ |
ขอเดชะพระบาทปกเกศี |
เมื่อแรกเริ่มเดิมเหตุจะเกิดมี |
กระหม่อมฉันนั้นตีศรีมาลา |
ตีกันอลวนชุมพลห้าม |
ความโกรธไม่ทันจะดูหน้า |
ตีต้องชุมพลก็โกรธา |
ดั้นป่าหนีไปกาญจน์บุรี |
บอกท่านขุนแผนผู้บิดา |
ลงมาว่ากล่าวอึงมี่ |
ว่าสร้อยฟ้าทำเล่ห์เสน่ห์ดี |
กระหม่อมฉันยังมีความแคลงใจ |
บิดาโกรธาว่าไม่เชื่อ |
เงือดเงื้อฟ้าฟื้นทะลึ่งไล่ |
หากวันนั้นหนีทันไม่บรรลัย |
ขัดใจจึงทำเป็นกลมา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ได้ฟังเหตุตามพระหมื่นไวยว่า |
กูดูมึงมัวหมองเหมือนต้องยา |
พ่อมึงบ้าหลังไปเมื่อไรมี |
ถ้าแม้นถุ้งเถียงกันเพียงนั้น |
จะเกิดรบพุ่งกันนั้นใช่ที่ |
ไม่สมควรที่จะฆ่าราวี |
ความจริงยังจะมีอยู่มากมาย |
จะให้ไปรับมันเข้ามา |
ปรึกษาตัดสินเสียให้หาย |
จะให้ใครไปรับเกลือกกลับกลาย |
เอ็งคิดเพทุบายให้จงดี ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ |
รับพระราชบัญชาเหนือเกศี |
กราบทูลไปพลันในทันที |
เห็นไม่มีผู้ใดจะออกไป |
แต่ครั้งเมื่อขุนเพชรกับขุนราม |
ออกไปตามยังเกิดเป็นศึกใหญ่ |
ครั้งนี้หาคนที่ชอบใจ |
จึงจะได้พ่อลูกนั้นเข้ามา |
เห็นแต่ศรีมาลาลูกสะใภ้ |
ผิดชอบอย่างไรท่านไม่ว่า |
ขอพระองค์ทรงพระกรุณา |
โปรดหามาใช้ให้ออกไป |
พระองค์ทรงสดับก็ตรัสสั่ง |
ตำรวจวังเรียกมาอย่าช้าได้ |
นายจงวิ่งตรงไปทันใด |
ได้ตัวศรีมาลาเข้ามาพลัน |
นางนบนอบหมอบเฝ้าพระภูธร |
เห็นพระไวยเคืองค้อนอยู่คมสัน |
ถอยกระถดลดเลื่อนให้ห่างกัน |
ผินผันหลบเลี่ยงไม่แลมา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรผันแปรทั้งซ้ายขวา |
เห็นพระไวยเป็นทีกับศรีมาลา |
จึงตรัสเรียกเข้ามาให้ใกล้กัน |
ท่วงทีดูอย่างไรไม่ปรกติ |
ดำริแล้วก็ทรงพระสรวลสันต์ |
อีนี่ท่วงทีมันดีครัน |
กับอีสร้อยฟ้านั้นเป็นกะไร |
เอ็งเร่งไปรับอ้ายสองคน |
ทั้งอ้ายแผนกับชุมพลมาให้ได้ |
เล่าให้มันฟังกูสั่งไป |
กูไม่เอาโทษให้ถึงตาย ฯ |
๏ ศรีมาลาประนมก้มเกศา |
ซึ่งทรงพระกรุณาให้ผันผาย |
ขอพระเดชป้องกันอันตราย |
ให้พ่อแผนลูกชายคลายโกรธา |
เกล้ากระหม่อมก็ประหวั่นพรั่นใจ |
แต่พระไวยยังวิ่งตลอดป่า |
อันสตรีนี้ไม่มีวิทยา |
แข็งใจอาสาด้วยทรงใช้ |
ทูลพลางก็ถวายบังคมลา |
พระไวยออกหน้าหาช้าไม่ |
เดินพลางนางสะเทิ้นเขินใจ |
พอถึงบ้านพระไวยเข้าทันที |
ย่างเท้าก้าวขึ้นบนเคหา |
ฝ่ายว่าท่านย่าทองประศรี |
แลไปไม่รู้ว่าร้ายดี |
ออไวยไยหนีตาทัพมา ฯ |
๏ พระไวยบอกย่าน้ำตาไหล |
คิดว่าศึกใครเล่าคุณย่า |
แค้นน้ำตาถั่งลงหลั่งตา |
บิดาควรฤๅเป็นได้เช่นนี้ |
กับลูกชายพลายชุมพลคนคะนอง |
หมายปองจะฆ่าให้เป็นผี |
หนีได้จึงไม่ม้วยชีวี |
รับสั่งให้ศรีมาลาไป |
รับพ่อขุนแผนกับชุมพล |
สองคนเข้ามาให้จงได้ |
ว่าพลางขัดแค้นแน่นใจ |
อัดอั้นกลั้นไว้ไม่เจรจา ฯ |
๏ ครานั้นท่านย่าทองประศรี |
ได้ฟังคดีหลานชายว่า |
เต้นหรบขบเหงือกเหลือกตา |
แปร้นด่าเสียงอึงคะนึงไป |
คิดว่ามอญใหม่ที่ไหนมา |
มิรู้ฆ่ากันเองก็เป็นได้ |
ลูกหลานเป็นหอกแหลนน่าแค้นใจ |
เมื่อออไวยคนเดียวไม่เอ็นดู |
หากว่าหนีทันไม่บรรลัย |
เขากลุ้มรุมกันไล่อ้ายหมาหมู่ |
ชวนกันข่มเหงไม่เกรงกู |
ถ้าไปได้ไม่อยู่กูจะไป |
จะต่อยหัวให้ยับเป็นสับปลา |
โคตรแม่มึงน่าน้ำตาไหล |
เหวยนางศรีมาลาว่าอย่างไร |
ไปไหนไม่เห็นซึ่งหน้าตา |
นางสร้อยสุดสวาดิของพ่อผัว |
เล่นเนื้อเล่นตัวขึ้นหนักหนา |
ยุยงส่งกันพ้นปัญญา |
ได้หน้าสักแขนแล่นไปรับ |
รู้เห็นเป็นใจด้วยกับมัน |
หากออไวยหนีทันจึงได้กลับ |
ถ้าหนีไม่ทันมันฟันยับ |
นางลูกพ่อก็ขยับจะดีใจ |
ไปรับเจ้าจอมมาพร้อมเพรียง |
หัวมิเสี่ยงเพราะกูก็มิใช่ |
น้ำลายฟูมปากตำหมากไป |
ยกสากถลากไถลลืมใส่ปูน ฯ |