๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิฦๅดีไม่มีสอง |
ข้าศึกนึกกลัวขนหัวพอง |
คล่องแคล่วแกล้วกล้าวิชาดี |
จำเดิมแต่ลาวทองต้องจากอก |
ให้วิตกขุ่นข้องหมองศรี |
ข้าใช้ไทยลาวสาวสาวมี |
ไม่ยินดีด้วยใครอาลัยนาง |
นอนเดียวเปลี่ยวใจไม่มีคู่ |
ทุกฤดูตรอมใจให้หมองหมาง |
หน้าร้อนร้อนใจดังไฟฟาง |
หน้าฝนฟ้าครางรำพึงครวญ |
หน้าลมลมแล่นตลอดจิตร |
ปกปิดผ้าห่มยิ่งโหยหวน |
จากเมียเสียใจให้รัญจวน |
เสียดายนวลลับหน้าไปกว่าปี |
เพลากลางคืนสะอื้นอ้อน |
จะหลับนอนขุ่นข้องยิ่งหมองศรี |
พลิกกลับก็ไม่หลับสนิทดี |
สักกี่ปีลาวทองน้องจะมา |
ได้ยินเรไรร้องอยู่ริมเรือน |
สะเทือนจิตรคิดถึงที่ในป่า |
จำเดิมแต่ได้น้องลาวทองมา |
พี่ชี้ชวนแก้วตาให้ชมไพร |
อกเอ๋ยไม่เคยจะจากน้อง |
สงสารห้องเยือกเย็นหาเห็นไม่ |
ที่นอนหมอนน้องหมองมัวไป |
ฤๅลาวทองน้องไข้จึงขุ่นมัว |
อัจกลับดับมากว่าปีแล้ว |
น้องแก้วจะรำพึงคิดถึงผัว |
หมอนข้างขวางกลิ้งไปไกลตัว |
ดังผัวเมียเราพรากไปจากกัน |
เครื่องแป้งแห้งหอมไม่มีติด |
คันฉ่องป้องปิดก็แตกลั่น |
มุ้งกางค้างขาดลงพาดพัน |
น้ำมันสิ้นกลิ่นตรลบเจ้าอบปรุง |
เจ็บใจดังใครยิงด้วยปืนพิษ |
คะนึงคิดครํ่าครวญจนจวนรุ่ง |
ปานฉะนี้ลาวทองน้องอยู่กรุง |
จะสะดุ้งตื่นตั้งแต่โศกา |
ให้น้อยจิตรเจ็บใจไม่นอนหลับ |
พลิกกลับเปิดมุ้งเที่ยวมองหา |
ดุเหว่าแว่วแจ้วเสียงสำเนียงมา |
ผวาเปิดประตูห้องให้หมองใจ |
ไม่เห็นนางย่างขึ้นบนหอน้อย |
พระจันทร์ฉายบ่ายคล้อยจำรัสไข |
สว่างเวิ้งวงบ้านสงสารใจ |
ใบไทรต้องลมระงมเย็น |
เย็นฉํ่าน้ำค้างค้างใบไทร |
จากเมียเสียใจไม่เล็งเห็น |
โอ้น้ำค้างเหมือนนางน้ำตากระเด็น |
เช้าเย็นยามนอนจะนอนนึก |
ยามกินก็จะกินแต่นํ้าตา |
เฝ้าครวญครํ่ารํ่าหาเวลาดึก |
จะแสนคิดเช้าคํ่าเฝ้ารำลึก |
ตรึกแล้วเคืองขุ่นให้มุ่นใจ |
โอ้ว่ากรรมทำไว้ไฉนหนอ |
มาเกิดก่อวิปริตผิดไปได้ |
จะมีมิตรก็ให้เชือนผิดเพื่อนไป |
หย่อนให้กลับเหิมข่มเหงทำ |
แสนแค้นเคืองใจไอ้ขุนช้าง |
ใจกระด้างกระเดื่องคิดให้ผิดสํ่า |
มันชิงวันทองไปอ้ายใจดำ |
แต่สักคำมิได้ว่าให้เคืองใจ |
มิหนำยังซํ้าทูลยุแยง |
เสียดแทงเอาลาวทองมันทำได้ |
ไม่แก้แค้นก็จะแค้นคุ้งบรรลัย |
เอออะไรเห็นรักกลับหักราน |
สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับแต่ง |
ว่าใครคดก็เอาแข็งเข้าต่อต้าน |
ถ้าใครซื่อซื่อต่อจนวายปราณ |
นี่มันพาลเพื่อนผิดประเพณี |
ตามกรรมจะระยำด้วยอาญา |
ไปเบื้องหน้าเป็นไฉนให้รู้ที่ |
ตัวกูก็ฦๅชาว่าคนดี |
พรุ่งนี้จะไปยังสุพรรณ |
จะผ่าแผ่แล่อกดูให้ได้ |
ทำให้สมแค้นเป็นแม่นมั่น |
จะลักวันทองไปยังไพรวัน |
คิดแล้วก็ดั้นเดือดทะยาน |
พลุ่งพลุ่งเมื่อไรรุ่งจะรีบไป |
อุระร้อนราวกับไฟมาเผาผลาญ |
พอเช้าตรู่เตรียมเสร็จสำเร็จการ |
มายังบ้านมารดาด้วยทันใด ฯ |
๏ ทองประศรีตำหมากยกสากแหงน |
โอ้พ่อแผนของแม่จะไปไหน |
แต่เช้าผิดเพลาพ่อมาไย |
อกใจริกริกแม่รำคาญ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ |
ก้มกราบมารดาแล้วว่าขาน |
แต่ลูกตรอมใจมาเป็นช้านาน |
เหลือจะทานทนแล้วจึงมาลา |
ลูกจะไปแก้เผ็ดอ้ายขุนช้าง |
ให้สิ้นอย่างสาสมแก่น้ำหน้า |
จะพาวันทองดั้นอรัญวา |
ถ้าตามมาลูกจะฟันให้บรรลัย ฯ |
๏ ทองประศรีฟังพลางทางปลอบ |
ตอบว่าแม่เห็นหาควรไม่ |
แม่นี้คิดเกลียดรังเกียจใจ |
มันสิ้นไร้แล้วฤๅทั้งบุรี |
ถ้างามรูปงามใจแม่ไม่ห้าม |
ควรตามแล้วก็ตามให้เต็มที่ |
นี่งามรูปแต่ใจมันไม่ดี |
อย่างนี้มันไม่น่าจะติดตาม |
วันทองหมองแม้นเหมือนแหวนเพชร |
แตกเม็ดกระจายสิ้นเป็นสองสาม |
จะผูกเรือนก็ไม่รับกับเรือนงาม |
แม่จึงห้ามหวงเจ้าเพราะเจ็บใจ ฯ |
๏ ขุนแผนตอบคำท่านมารดา |
แม่ว่าตามเที่ยงหาเถียงไม่ |
จะว่าชั่วก็ชั่วทุกสิ่งไป |
ต่อคิดใคร่ครวญดูจึงเห็นดี |
เมื่อเกิดหึงวันถึงสุพรรณพบ |
ก็แจ้งจบอยู่ว่าใจไม่หน่ายหนี |
นางเล่าความตามจริงทุกสิ่งมี |
ลูกเสียทีถือโทษกระทำโพย |
แล้วหุนหันมาเสียจากห้อง |
วันทองร้องไห้ไม่วายโหย |
ผูกคอโยนโจนเจ็บสะอื้นโอย |
ระบมโบยเจ็บชํ้าระกำใจ |
ถึงอย่างนั้นก็ยังมั่นในความหลัง |
จะชิงชังเฉยลูกหาเป็นไม่ |
สายทองบอกจริงทุกสิ่งไป |
ข้อนั้นลูกไม่ได้คะนึงคิด |
ลาวทองน้องนอนอยู่ในห้อง |
ลูกก็ลืมวันทองเสียสนิท |
มันแกล้งพรากเมียให้เสียมิตร |
ขอลองฤทธิให้ฦๅฝีมือกัน |
แม่จงอวยชัยให้ลูกแก้ว |
ไปแล้วมีชัยอย่าได้พรั่น |
ถึงจะยกทัพตามสักสามพัน |
ลูกจะฟันให้เป็นภัศม์ธุลีลง ฯ |
๏ ทองประศรีสุดห้ามก็ตามใจ |
จึงอวยชัยให้ลูกดังประสงค์ |
ให้พ่อเรืองฤทธิไกรในณรงค์ |
พ่อจงสำเร็จดังความคิด |
ไปพบวันทองที่ห้องนอน |
ให้เขาหย่อนยอมใจไปสนิท |
เจ้าอย่าหลงเล่ห์ลมมัวชมชิด |
สำเร็จกิจแล้วก็กลับมาเรือนตน ฯ |
๏ ขุนแผนรับพรอภิวาท |
คำประสาทประสิทธิสถาผล |
กำเริบฤทธิยินดีโดยมงคล |
ประทักษิณสามหนแล้วลามา |
ขึ้นหอพระนารายณ์ระงับจิตร |
เอาเทียนติดธูปถวายทั้งซ้ายขวา |
ลงหินฝนจันทน์น้ำมันทา |
ใครเห็นกายาให้ยวนใจ |
สอดสนับเพลาม่วงดวงวิหค |
นุ่งยกแย่งทองผ่องใส |
รอยจีบกลีบกระหวัดรัดละไม |
เสื้อสั้นชั้นในล้วนเลขยันต์ |
เสื้อนอกดอกช่อฉลุทอง |
ตระพองทับเจียระบาดคาดมั่น |
แหวนถักพระพิรอดสอดพัน |
สังวาลคั่นเครื่องสลับกับผมพราย |
จับประเจียดประจุประจงโพก |
ได้มหาสิทธิโชคสำคัญหมาย |
จบจับฟ้าฟื้นแล้วยืนกราย |
บ่ายเลี่ยงผีหลวงกาละไทย |
ลงบันไดไปขึ้นสีหมอกม้า |
เรียกโหงพรายมาทั้งน้อยใหญ่ |
ออกจากกาญจน์บุรีรี่เข้าไพร |
โหงพรายตามไปเป็นโกลา |
ตัดมาห้วยโรงหนองตะพาน |
ข้ามธารจระเข้แล้วเข้าป่า |
ถึงหนองน้ำบ้านพลับระยับตา |
รีบมาใกล้บ้านขุนช้างนั้น |
ตัดไม้ปลูกศาลขึ้นสรรพเสร็จ |
สำเร็จบัตรพลีขมีขมัน |
จุณเจิมเฉลิมแป้งกระแจะจันทน์ |
จุดธูปเทียนพลันทันฤกษ์พาร |
ชุมนุมเทวดาวราฤทธิ์ |
ตั้งจิตรแจ้งสัตย์อัธิษฐาน |
ขอเชิญเทพไทได้เป็นพยาน |
ข้าจะผลาญขุนช้างผู้อมิตร |
มันชิงเมียข้ามาไว้ชม |
ขอเดชะจะสะดมให้สมจิตร |
ถ้าแม้นข้าเสียสัตย์วิบัติมิตร |
ขออย่าให้สมคิดที่ทำการ |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพจับฟ้าฟื้น |
ขยับยืนใจเหี้ยมกำแหงหาญ |
ดูดาวเด่นสะดวกทั้งลมปราณ |
ก็ขับม้าร่าทะยานผยองไป |
มาถึงบ้านขุนช้างเข้ากลางแปลง |
เป็นเขื่อนแขงคูรอบขอบโตใหญ่ |
ผู้คนนั่งยามตามไฟ |
ก็กดสีหมอกไว้จะดูที ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพวกพรายนายขุนช้าง |
ห้านางเที่ยวรายอยู่รอบที่ |
บอกกันทันใดว่าไพรี |
เราไล่ตีต่อยทำให้หนำใจ |
ว่าพลางเผ่นโผนโจนตวาด |
เอาทรายสาดดินทิ้งวิ่งไล่ |
ห้อยหัวตัวแกว่งอยู่กวัดไกว |
แลบลิ้นหลอกให้ละลานตา |
ฝ่ายว่าพวกพรายนายขุนแผน |
ทะลึ่งแล่นทุ่มทิ้งด้วยหินผา |
โผนผาดฟาดด้วยตำแยยา |
กล้าต่อกล้าแข็งต่อแข็งแรงณรงค์ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
รุ่งฤทธิ์พริ้งเพริศระเหิดระหง |
ชักฟ้าฟื้นพลันยรรยง |
ซัดข้าวสารส่งให้เสื่อมแรง |
แล้วแก้ห่อข้าวหอมที่ย้อมว่าน |
เหวี่ยงหว่านต้องปวดดังกรวดแข็ง |
พรายทั้งห้ากายาก็เยาะแยง |
เฟี้ยมแฝงเข้าแอบดูอาการ |
เห็นหนุ่มน้อยหน้านวลควรชม |
ทั้งอาคมเจนใจประจักษ์จ้าน |
จึงแปลงกายให้เหมือนนางอยู่งาน |
เดินผ่านให้พอพบประสบกัน |
เดินเดินเมินเมียงแล้วถอยหลัง |
จนกระทั่งถูกตัวทำกลัวพรั่น |
คมค้อนงอนถามเนื้อความพลัน |
มายืนกั้นกีดทางอยู่ทำไม ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
แจ้งจิตรว่าพรายแปลงหาแคลงไม่ |
ขยับยืนยิ้มพรายภิปรายไป |
พี่มิใช่ชายพาลชำนาญลัก |
มีธุระมาปะพอเป็นโชค |
ด้วยร้อนโรครึงรุมกลุ้มใจหนัก |
คลายทุกข์ที่มาถามเนื้อความทัก |
แรกรักรีรอแต่พอควร |
พี่นี้คือผัวเจ้าวันทอง |
ขุนช้างพาน้องมาสู่สงวน |
จากเมียเสียใจให้รัญจวน |
พอพบนวลทั้งห้านาริน |
เอ็นดูเถิดช่วยเปิดประตูให้ |
จะขอบใจเจ้าให้ถึงขนาดสิ้น |
ว่าพลางเป่ามนตร์ให้ยลยิน |
กินหมากคนละคำอย่าอำพราง ฯ |
๏ นางพรายทั้งหลายได้ฟังว่า |
เมินหน้าเฟี้ยมแฝงตะแคงข้าง |
ยิ้มเยื้อนเบือนตอบเนื้อความพลาง |
ว่าขุนช้างท่านได้บำรุงมา |
ซึ่งท่านขุนช้างกระทำผิด |
ไม่ควรคิดสอพลอมาพลอยว่า |
ที่รักพรายว่าหมายจะเมตตา |
มารยาดอกเห็นไม่เป็นการ |
ขุนช้างเลี้ยงข้ามาดิบดี |
ควรที่จะทดแทนพระคุณท่าน |
นี่จะไม่มีรักไปหักราน |
นานไปจะไม่สมอารมณ์นึก |
ท่านก็ไม่ขัดสนจนพราย |
มากมายตามพรูอยู่มิตรึก |
แรกรักจะรำพันให้ครั่นครึก |
เหลือลึกแล้วที่ลมละลานใจ ฯ |
๏ แน่ะเจ้าอย่าบ่นเป็นคนงอน |
เป็นคนฤๅจะค่อนบำรุงให้ |
ถึงรักจะรู้จักทำอะไร |
ได้แต่ชมรูปเล่นอยู่รวยรวย |
ถ้าแม้นเจ้ากลับเป็นมนุษย์แท้ |
แน่แล้วพี่จะสมสู่ด้วย |
สุดที่จะบำรุงให้รุ่งรวย |
เอ็นดูด้วยช่วยชี้ที่วันทอง |
ว่าพลางทางจับข้าวสารซัด |
พรายกระจัดหลีกหนีไปทั้งผอง |
ชักสีหมอกไปดังใจปอง |
ถึงท้องคูข้ามไปตามคัน |
ขับพรายร่ายเวทสะกดคน |
นอนกรนหลับเพ้อมะเมอฝัน |
ลิ่มกลอนถอนถอดตลอดกัน |
ชักสีหมอกผันผยองมา |
เกลื่อนกล่นคนนั่งระวังบ้าน |
ซมซานโงกหงับไม่เงยหน้า |
ที่ทำการถือขวานยืนจังกา |
ผ่าถูกดินปุบฟุบหลับกรน |
ที่หุงข้าวเผาปลายังคาเตา |
หลงเอาฝาละมีเข้าจี้ก้น |
งุบหัวลงนอนไม่ร้อนรน |
ปากบ่นอู้อ้าหลับตาเซอะ |
หลงปลุกเพื่อนกันหั่นกัญชา |
มือเช็ดขี้ตาอยู่จำเปรอะ |
หม้อข้าวเดือดแฉะแฟะเฟอะ |
นั่งเงอะหงายแหงนแอ่นหลับไป |
ดูเป็นสมเพชเวทนา |
ชักสีหมอกมาหาช้าไม่ |
ล่วงเข้าสองชั้นเป็นหลั่นไป |
ผู้คนหลับใหลอยู่ซบเซา |
ผ้าผ่อนล่อนลุ่ยหลุดละเมอ |
หลงเพ้อปีนป่ายขึ้นปลายเสา |
ดื่มเหล้าเข้าปากแล้วรากเมา |
ถือถ้วยเหล้าล่อแล่ร้องพาดควาย |
ล่วงเข้าชั้นสามข้ามคู |
หรุบหรู่แสงเดือนไม่เด่นหงาย |
ผู้คนหลับคลํ่าไม่กลํ้ากราย |
น่าสบายบ้านเรือนศรพระยา |
เรือนนี้แล้วสิอ้ายเต่าเผา |
โตเปล่าล้านเลี่ยนเตียนหนักหนา |
ปลูกต้นไม้พุ่มชอุ่มตา |
เบิกบานบุษบาอรชร |
รุ่งขึ้นพรุ่งนี้อ้ายขุนช้าง |
จะนอนครางอิดออดกอดแต่หมอน |
เอาวันทองของกูมาแนบนอน |
วันนี้กูจะค่อนให้สมแค้น |
แล้วลงยันต์ปิดหน้าม้าสีหมอก |
อย่าออกลำพองคะนองแล่น |
บังเงาเสาอยู่อย่าดูแคลน |
สั่งม้าแล้วก็แล่นไปสั่งพราย |
สะกดให้หลับหมดทั้งเคหา |
ต่อกูเตือนว่าจึงผันผาย |
สั่งพลางร่ายมนตร์สนธยาย |
ปรายข้าวสารซัดบริกรรม |
ทิ้งข้ามหลังคาเรือนสะเทื้อนหวาด |
ฝูงปิศาจรักษาออกคลาคลํ่า |
ผู้คนบ่นเพ้อมะเมอคลำ |
ซ้ำซัดมะนาวทิ้งสะท้านเรือน |
พรึงรอดออดอ่อนกลอนลั่น |
ขวัญขุนช้างนั้นไปสู่เถื่อน |
กอดวันทองฝันอยู่ฟั่นเฟือน |
ก็เขยื้อนเหยียบไม้ขึ้นหยุดยืน ฯ |
๏ โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ |
ของขุนช้างปลูกไว้อยู่ดาษดื่น |
รวยรสเกสรเมื่อค่อนคืน |
ชื่นชื่นลมชายสบายใจ |
กระถางแถวแก้วเกดพิกุลแกม |
ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว |
สมอรัดดัดทรงสมละไม |
ตะขบข่อยคัดไว้จังหวะกัน |
ตะโกนาทิ้งกิ่งประกับยอด |
แทงทวยทอดอินพรมนมสวรรค์ |
บ้างผลิดอกออกช่อขึ้นชูชัน |
แสงพระจันทร์จับแจ่มกระจ่างตา |
ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน |
ซ่อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา |
ลำดวนกวนใจให้ไคลคลา |
สาวหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม |
ถัดถึงกระถางอ่างน้ำ |
ปลาทองว่ายคลํ่าเคล้าคลึงสม |
พ่นน้ำดำลอยถอยจม |
น่าชมชักคู่อยู่เคียงกัน |
บ้างแหวกจอกออกช่องภูเขาเคียง |
วัดเหวี่ยงแว้งหางระเหิดหัน |
บ้างกินไคลไล่เคล้าพัลวัน |
ถัดนั้นแอกไถละไมงอน |
กะดึงพรวนล้วนสักหลาดทับ |
ดาวประดับดวงเด่นดูสลอน |
สลักเสลาเกลาเกลี้ยงอรชร |
เชือกใช้ไว้ซ้อนสลับกัน |
เครื่องม้าดาดาษจังหวะวาง |
เครื่องช้างสารพัดจะจัดสรร |
ขอครํ่าด้ามพลองทองพัน |
ถัดนั้นย่างเยื้องชำเลืองมา |
สะเดาะดาลบานเบิกลับแลบัง |
เห็นฝูงสาวสะพรั่งอยู่พร้อมหน้า |
พ้นเหล่าสาวนอนสลอนมา |
ถึงห้องแก้วกิริยาเข้าทันใด ฯ |
๏ เจ้าร่างน้อยนอนนิ่งบนเตียงตํ่า |
คมขำงามแชล่มแจ่มใส |
คิ้วคางบางงอนอ่อนละไม |
รอยไรเรียบรับระดับดี |
ผมเปลือยเลื้อยประลงจนบ่า |
งอนปลายเกศาดูสมศรี |
ที่นอนน้อยน่านอนอ่อนดี |
มีหมอนข้างคู่ประคองเคียง |
กระจกแจ่มจัดใส่คันฉ่องน้อย |
ไม้สอยซ่นงางามเกลี้ยง |
ฉากบังจัดตั้งไว้ข้างเตียง |
อัฒจันทร์ตั้งเรียงในห้องน้อย |
ห้องแคบอุตส่าห์แอบไม่แออัด |
รู้จักจัดเครื่องเรือนไว้ใช้สอย |
ทั้งกระโถนขันน้ำแลจอกลอย |
ดูน้อยน้อยงามรับกับรูปคน |
เอะใจมิใช่เจ้าวันทอง |
ฤๅพี่น้องนึกแหนงแคลงฉงน |
ท่วงทีก็มิใช่เป็นคนจน |
เครื่องกินก็พิกลดูผิดนัก |
ฤๅจะเป็นเมียน้อยอ้ายขุนช้าง |
ไยไม่วางห้องชมให้สมศักดิ์ |
พิเคราะห์ดูหน้านวลควรจะรัก |
ถ้าชายชมก็จะชักให้นวลคลาย |
คิดพลางทางแอบเข้าแนบน้อง |
ต้องเต้านึกชมอารมณ์หมาย |
เอนอิงพิงทับแล้วขับพราย |
ร่ายลมละลวยลงให้ลานใจ ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
นิทราระงับหลับใหล |
สะดุ้งตื่นฟื้นตัวก็ตกใจ |
เอ๊ะใครหนอน่าอัศจรรย์ |
นึกนึกจะใคร่ร้องต้องอาคม |
ในอารมณ์ระริกรัวกลัวพรั่น |
ถอยถดลดลงจากเตียงพลัน |
ดูคมสันรูปทรงใช่ชายทราม |
แฝงหน้านิ่งนึกอยู่ในฉาก |
ขยับปากคิดคิดก็เกรงขาม |
นิ่งอยู่จะไม่รู้ซึ่งข้อความ |
แข็งขืนอารมณ์ถามไปทันที |
หม่อมขาดีฉันว่าอย่าว่าพ้อ |
นี่ใครล่อจึงได้หลงมาถึงนี่ |
ดูรูปร่างบางเอี่ยมสะอาดดี |
กิริยาพาทีใช่คนพาล ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
นิ่งคิดฟังเสียงสำเนียงหวาน |
แจ่มแจ้วกระจ่างเป็นกังวาน |
ตัวพี่คือทหารชาญณรงค์ |
พระผู้จอมจักรพาลประทานนาม |
ชื่อขุนแผนแสนสงครามตามประสงค์ |
มาหาเจ้าวันทองต้องจำนง |
ด้วยขุนช้างพาลงมาโลมเลี้ยง |
อันขุนช้างกับพี่ก็เป็นมิตร |
มันผิดเมียเสียน้ำสบถเบี่ยง |
พี่คิดว่าวันทองเฝ้ามองเมียง |
ต่อนั่งเคียงลงจึงรู้ว่าผิดตัว |
ไม่แผกผิดกันสักนิดเจียวนะน้อง |
พี่คิดว่าวันทองจึงต้องทั่ว |
ได้ลักจูบลูบไล้ไม่คิดกลัว |
ผิดตัวเกินแล้วอย่าโกรธา |
ขออภัยเถิดมิใช่เจ้าวันทอง |
นิจจาน้องอย่าสะเทินเมินหน้า |
นี่เจ้าเป็นอะไรกันอย่าฉันทา |
จึงมาอยู่เคหาของขุนช้าง ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
เสนหานิ่งนึกอางขนาง |
นี่ขุนแผนแม่นใจจึงไม่พราง |
แบบบางน้อยน้อยน่าเอ็นดู |
แช่มแช่มช้าช้าน่ารักใคร่ |
เป็นไรหนอวันทองจึงมิอยู่ |
เรืองฤทธิประสิทธิ์ประสาทครู |
ถึงขุนช้างจะสู้คงเสียตัว |
เที่ยวเล่นทุกห้องคะนองฤทธิ์ |
คิดคิดขนพองสยองหัว |
ครั่นคร้ามขามจิตรสะดุ้งกลัว |
นี่ผัวเจ้าวันทองแล้วแน่ใจ |
ครั้นจะมิบอกความที่ถามหา |
แค้นขึ้นมาก็จะพาลพาโลให้ |
จะสู้รบหลบหนีไปแห่งไร |
จะพลอยเสียเบี้ยใบ้ไปลอยลม |
คิดแล้วจึงว่าช่างน่าหัว |
มาหลงตัวหลงห้องไม่เห็นสม |
แค้นนักที่มาลักมาลอบชม |
มายกยอให้นิยมเหมือนเย้ยกัน |
เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง |
มิใช่ยูงจะมาย้อมไม่เห็นขัน |
หิ่งห้อยฤๅจะแข่งแสงพระจันทร์ |
อย่าปั้นน้ำให้หลงตะลึงเงา |
ข้าทาสีดอกมิใช่เจ้าวันทอง |
ดูแต่ห้องน้อยนอนเถิดนะเจ้า |
มิใช่ที่ประสงค์อย่าหลงเดา |
ข้าเจ้าลูกท่านสุโขทัย |
บิดาต้องจำระยำยาก |
ขายฝากดีฉานให้ท่านใช้ |
เป็นเงินสิบห้าบิดาเอาไป |
ตัวฉันไซร้ชื่อแก้วกิริยา |
เป็นไทยอย่าเอาใจมาคบทาส |
ฉันไม่อาจเอื้อมนั่งเสมอหน้า |
ที่โกรธแค้นแทนกันแต่ก่อนมา |
ก็แก้แค้นตามประสาท่านผู้ดี ฯ |
๏ น้อยฤๅพูดจาช่างน่ารัก |
เสนาะนักนํ้าคำเจ้าเสียดสี |
ปิ้มจะกลืนชื่นใจในวาที |
สงสารด้วยยังไม่มีคู่ภิรมย์ |
แม้นชายใดได้อยู่เป็นคู่ครอง |
จะแนบน้องเชยชิดสนิทสนม |
พี่จะอยู่สู้รักไม่แรมชม |
มิใช่ลมลวงน้องอย่าหมองใจ |
อย่าว่าแต่เจ้ายากอยู่สิบห้า |
ถึงห้าชั่งพี่ก็หามาช่วยได้ |
บุญหลังได้สร้างมาปางใด |
เผอิญให้จำเพาะพบประสบนาง |
ว่าพลางทางแอบแนบชิด |
ปลื้มจิตรอย่าสะเทินเมินหมาง |
แก้ห่อเงินมอบแล้วปลอบพลาง |
อย่าระคางเคืองใจได้เอ็นดู ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
เมินหน้าซ่อนซบหลบอยู่ |
ปัดป้องมิให้ต้องเข้าชมชู |
รู้แล้วว่ารักว่าปรานี |
เงินทองกองเกวียนจะโกยให้ |
ฉันขอบใจบุญคุณเหนือเกศี |
ยังคิดคำบิดาเป็นราคี |
ท่านปรานีซ้ำสั่งสารพัน |
ถึงยากจนก็ให้ทนเสงี่ยมจิตร |
อย่าพลั้งผิดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
รักหลังระวังโพยโบยรัน |
แม่นมั่นรับสัตย์กับบิดา |
ถ้าหม่อมรักฉันแท้ไม่ทอดทิ้ง |
อย่าด่วนชิงเชิญงดให้งามหน้า |
อย่าให้น้องหมองสัตย์ที่สัญญา |
เชิญไปว่ากับคุณพ่อแต่พอควร |
หม่อมรักใช่ฉันจักไม่รักตอบ |
จะลักลอบกลัวผิดสักพันส่วน |
รักตัวกลัวอายเสียดายนวล |
สุดสงวนอยู่แล้วอย่าวอนเลย ฯ |
๏ น้องเอ๋ยเพราะน้อยฤๅถ้อยคำ |
หวานฉํ่าจริงแล้วเจ้าแก้วเอ๋ย |
เจ้าเนื้อหอมพร้อมชื่นดังอบเชย |
เงยหน้ามาจะว่าไม่อำพราง |
ได้ชมชิดเข้าสนิทอย่างนี้แล้ว |
ขอเชิญแก้วกิริยาเมตตาบ้าง |
พี่จะมอบเสน่ห์ไว้ที่ในนาง |
อย่าระคางข้องแค้นระคายเคือง |
ถ้าพี่ลวงน้องให้หมองสัตย์ |
จงวิบัติเกิดเข็ญให้เป็นเนื่อง |
สารพัดวิชาสง่าเปลือง |
เจ้าเนื้อเหลืองดังทองมาทาบทับ |
ว่าพลางทางเปลื้องเครื่องคาด |
แขวนพาดฉากลงประจงจับ |
อุ้มนางวางตักสะพักรับ |
ก็ทอดทับระทวยลงดังท่อนทอง |
พระพายชายพัดบุปผาชาติ |
เกสรสาดหอมกลบตรลบห้อง |
ริ้วริ้วปลิวชายสไบกรอง |
พระจันทร์ผันผยองอยู่ยับยับ |
พระอาทิตย์ชิงดวงพระจันทร์เด่น |
ดาวกระเด็นใกล้เดือนดาราดับ |
หิ่งห้อยพร้อยไม้ไหวระยับ |
แมลงทับท่องเที่ยวสะเทือนดง ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
เสนหาปลื้มใจใหลหลง |
ความรักให้ระทวยงวยงง |
เอนแอบอ่อนลงด้วยความรัก |
สะอึกสะอื้นอ้อนแล้วถอนใจ |
น้ำตาไหลซกซกลงตกตัก |
แค้นใจที่มาไล่ข่มเหงนัก |
แล้วจะลักวันทองไปเที่ยวไพร |
ตัวท่านจะสำราญระริกรื่น |
ข้านี้นับคืนคอยละห้อยไห้ |
เพลินป่าพ่อจะมาต่อปีไร |
ขุนช้างก็จะไล่พาโลตี |
ท่านจะมาหากันนั้นต่างหาก |
กรรมวิบากพามาไม่พอที่ |
ให้พะวังกังขาเป็นราคี |
ทำทีควักค้อนด้วยงอนใจ ฯ |
๏ ขุนแผนรับขวัญอย่าพรั่นจิตร |
พี่หาลืมคิดความหลังไม่ |
แสนสงสารสุดสวาดิเพียงขาดใจ |
นับแต่วันนี้ไปจนวันตาย |
มิวันหนึ่งก็วันหนึ่งคงถึงห้อง |
ประสมสองเกษมสุขให้โศกหาย |
ชื่นจิตรเจ้าจงคิดเพทุบาย |
ถ่ายถอนตัวเสียให้เป็นไทย |
ว่าพลางทางถอดซึ่งแหวนเพชร |
ประคองเช็ดน้ำตาอย่าร้องไห้ |
ชมแหวนแทนพลางสว่างใจ |
สอดใส่นิ้วน้อยให้นางดู |
กอดคอชะลอเคลื่อนออกจากห้อง |
สอดประคองอกประทับสะทึกอยู่ |
มิใคร่เขยื้อนยกแขนประคองชู |
เอ็นดูด้วยช่วยชี้ที่วันทอง ฯ |
๏ นางแก้วกิริยายิ่งอาลัย |
แข็งใจชี้แจงตำแหน่งห้อง |
ตรงนี้แน่ะแลไปอย่าเมินมอง |
ล่วงสองชั้นเข้าไปห้องใน |
แสงอัจกลับตามอร่ามเรือน |
คนเกลื่อนนอนนั่งระวังไสว |
เอ็นดูน้องเถิดอย่าไปเลยเป็นไร |
เหมือนหนึ่งใจเมียจะขาดด้วยคิดกลัว |
เจ้าแก้วกิริยาอย่าอาวรณ์ |
ขวัญอ่อนเจ้าไม่เคยเห็นฤทธิผัว |
ไม่แกล้วกล้าฤๅจะมาได้แต่ตัว |
ชั่วแล้วดอกจะละวันทองทิ้ง |
ขวัญข้าวเจ้าไปนอนเสียเถิดน้อง |
หับห้องเสียให้มิดสนิทนิ่ง |
เย้ายวนกวนใจไม่ไปจริง |
นิ่งนะพี่จะเข้าไปห้องใน |
ปลอบพลางวางน้องแล้วย่องเยื้อง |
ชำเลืองแลวันทองอยู่ห้องไหน |
บังลับแลแลลับวับวาบใจ |
แสนอาลัยเหลือที่จะรีรอ |
นางแก้ววิ่งตามด้วยความรัก |
จักแหล่นลืมฉันเสียเจียวหนอ |
แคลงเรือนเพื่อนฤๅจึงรื้อรอ |
ถัดหอเข้าไปหน่อยก็นั่นเอง ฯ |
๏ ขุนแผนเหลียวมาเห็นหน้าแก้ว |
เจ้าบอกแล้วไม่พิเคราะห์ให้เหมาะเหมง |
เห็นช่องแล้วอย่าร้องให้ครื้นเครง |
เกรงผิดจึงชะงักฉงนใจ |
ดึกแล้วแก้วพี่ยังมินอน |
อย่าอาวรณ์เลยพี่ไม่ช้าได้ |
ว่าพลางพานางเข้าห้องใน |
ปลอบให้นอนเหนือที่นอนน้อย |
กอดประทับมิใคร่หลับลงเลยหนอ |
ประคองคอเขยื้อนขยดถอย |
เห็นหลับๆ กลับขยิบกะปริบกะปรอย |
จนเหงื่อย้อยลงแล้วไม่หลับนอน |
ว่าพลางทางเป่าพระเวทฤทธิ์ |
ให้สนิทล้มหลับลงกับหมอน |
ลุกเลี่ยงหลีกมายิ่งอาวรณ์ |
หยุดยืนยั้งสะท้อนสะทึกใจ |
เห็นพลิกตัวกลัวเจ้าจะคว้าหา |
กลับมากอดน้องให้นอนใหม่ |
แต่กอดแล้วกอดเล่าเคล้าคลึงไป |
เห็นหลับใหลสิ้นสมประดีนาง |
วางน้องย่องย่างออกจากเตียง |
พลิกหมอนข้างเคียงประคองข้าง |
จากห้องย่องเหยียบแต่เบาบาง |
พลางผูกใบดาลสำราญใจ ฯ |
๏ เดินถือฟ้าฟื้นขึ้นหอกลาง |
ของขุนช้างสร้างขึ้นไว้ใหม่ใหม่ |
หอนั่งตั้งฉากพับไว้ |
ขุนทองกรงทองใส่สะอาดตา |
กระจกใหญ่ใส่รูปฝรั่งนั่ง |
นัยน์ตาตั้งค้อนคมดูสมหน้า |
ชมพลางทางเดินเพลิดเพลินมา |
รีบเร่งเร็วหาเจ้าวันทอง |
เห็นทาสหญิงนอนกลิ้งหอกลางหลับ |
สะเดาะฉับเดินเข้าไปในห้อง |
เครื่องแก้วแพรวพรายอยู่ก่ายกอง |
ฉากสองชั้นม่านมูลี่มี |
ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ |
จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่ |
เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี |
สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว |
เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ |
ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว |
รุกขชาติดาษใบระบัดเรียว |
พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง |
ปักเป็นมยุราลงรำร่อน |
ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง |
แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง |
ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา |
ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม |
อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา |
วินันตกหัศกันเป็นหลั่นมา |
การวิกอิสินธรยุคุนธร |
อากาศคงคาชลาสินธุ์ |
มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน |
ไกรลาศสะอาดเอี่ยมอรชร |
ฝูงกินนรคนธรรพ์วิทยา |
ลงเล่นน้ำดำดั้นอโนดาต |
ใสสะอาดเยือกเย็นเห็นขอบผา |
หมู่มังกรล่อแก้วแพรวพรายตา |
ทัศนารำลึกถึงวันทอง |
ห้ำหั่นฟันม่านผลาญสับ |
ระยำยับย่างเข้าไปชั้นสอง |
น่ารักปักเอี่ยมลออออง |
น้องเอ๋ยช่างฉลาดลํ้ามนุษย์ |
เจ้าปักเป็นพระลอดิลกโลก |
ถึงกาหลงทรงโศกกำสรดสุด |
แสนคะนึงถึงองค์อนงค์นุช |
พระทรงเสี่ยงสายสมุทรมาเป็นลาง |
แสนคะนึงถึงองค์พระเจ้าแม่ |
พระลอแลน้ำแดงดังแสงฝาง |
ละลักษณวดีไว้โดยปรางค์ |
คะนึงนางพระพี่น้องทั้งสององค์ |
ปู่เจ้าท้าวใช้ให้ไก่แก้ว |
มาล่อแล้วพระลอไล่เตลิดหลง |
ถึงสวนพระยิ่งแสนกำสรดทรง |
ปักเป็นองค์พระเพื่อนพระแพงทอง |
สู่สวนพิศวาสประพาสโฉม |
พระลอโลมเสพสุขประสมสอง |
พี่เลี้ยงเคียงข้างคอยประคอง |
นางรื่นนางโรยรองบาทบงสุ์ |
มิเสียแรงใจเจ้าวันทองเอ๋ย |
กะไรเลยโลภรักขุนช้างหลง |
กลุ้มกลัดตัดม่านสะบั้นลง |
ฉีกฉะหวะวงแล้วเหวี่ยงไป |
ถึงม่านชั้นสามดูงามพริ้ม |
ฝีมือพิมเจ้าทำพี่จำได้ |
ยืนพิศม่านน้องต้องติดใจ |
ฉลาดนักปักไว้เป็นคาวี |
จรดลด้นดั้นอรัญเวศ |
ถึงกรุงจันตประเทศบุรีศรี |
สังหารผลาญหมู่สกุณี |
เลือดอินทรีแดงสาดลงดาษดิน |
ปักเป็นลงเล่นในคงคา |
กับโฉมจันทร์สุดาอันเฉิดฉิน |
ลอยเส้นเกศาในวาริน |
หอมกลิ่นผมตรลบผอบทอง |
ปักเป็นเถ้าทัศประสาทใจกล้า |
มาลวงพานางพรากไปจากห้อง |
ถวายท้าวเมืองอื่นให้ชื่นครอง |
กระทบเรื่องวันทองให้เคืองใจ |
อีเถ้าศรีประจันผู้มารดา |
เหมือนอีเถ้าใจกล้าหาผิดไม่ |
ดูพระยาก็ให้ชังยิ่งคลั่งใจ |
เหมือนไอ้ขุนช้างชิงวันทองกู |
พระยาก็ไม่ยากมากหมื่นนาง |
ขุนช้างเป็นเศรษฐีมีถมอยู่ |
ดูม่านพล่านใจดังไฟวู |
จู่จับฟ้าฟื้นฟันระยำ |
สับบั่นหั่นย่อยลงร้อยทบ |
ฟันตรลบม่านมุ้งไม่เป็นสํ่า |
เห็นขุนช้างกางกอดอยู่กำยำ |
ทะมื่นดำดาลเดือดเสียดายนาง |
วันทองน้องน้อยหนึ่งเท่านั้น |
จะเคียงมันก็ไม่ถึงสักครึ่งข้าง |
เงื้อดาบจะใคร่ฟาดให้ขาดกลาง |
ง้างหัวมาจะสับให้ยับลง ฯ |
๏ กุมารทองป้องปัดสกัดดาบ |
ประนมกราบขอโทษยิ่งโกรธส่ง |
ถีบต่อยเตะตกจากเตียงลง |
กุมารตรงยึดขวางไม่วางมือ |
งดก่อนผ่อนพ่ออย่าเพ่อฆ่า |
ไม่กลัวอาญาเจ้าชีวิตฤๅ |
ขุนแผนแค้นกัดกรามคำรามฮือ |
เอออือกูไม่กลัวแล้วอาญา |
มันทำแค้นพ่อก็พอแรง |
กูจะแล่งอกออกเอาดาบผ่า |
ถอยไปใช่การอย่านำพา |
ฆ่าเสียที่ลับจับเอาใคร |
กุมารทองห้ามว่าอย่าให้ตาย |
เอาแต่พอเจ็บอายเลือดตาไหล |
ฟันฆ่าเทวดามักดลใจ |
จับได้เนื้อความลามกระจาย ฯ |
๏ ขุนแผนคลายแค้นพิโรธจิตร |
ยืนพิศวันทองแล้วใจหาย |
มืดมิดช่างไม่คิดเสียดายกาย |
อายบ้างก็ไม่มีเท่าขี้เล็บ |
ลอยหน้ามาอยู่กับชู้ช้าง |
กระเบนกรางหน้าผากไม่อยากเจ็บ |
ปักม่านเท้าแขนแอ่นเอวเย็บ |
ซ่อนตะเข็บน้อยน้อยน่าเอ็นดู |
สมรูปเจ้าแล้วฤๅไรนั้น |
พัวพันช่างไม่พิศดูหัวหู |
ชอบใจใหม่แล้วมาลืมกู |
เคียงคู่ชะควรกันสุดใจ |
จะดูแก้มแก้มก็หมองไปหมดสิ้น |
นวลขมิ้นดอกนวลเนื้อหามีไม่ |
จะดูนมนมก็น่วมหลวมทรวงไป |
จะหาไตแต่สักนิดไม่มีเลย |
เสียงามไปกว่าก่อนนางงอนรถ |
สุดจะอดแล้วนะเจ้าวันทองเอ๋ย |
ถ้ามิว่าจะชะล่าชะเลยเคย |
ขยับเงยเงื้อดาบสะดุดพราย |
ฮึดฮัดวัดเหวี่ยงกุมารทอง |
อย่าปัดป้องกูจะฆ่าให้ฉิบหาย |
กุมารยึดดาบง้างไม่วางวาย |
คิดเสียดายทิ้งดาบกระเดื่องใจ |
โอ้เจ้าวันทองของพี่เอ๋ย |
ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ |
เสียยศเสียศักดิสักเท่าไร |
ดังดวงแก้วไปได้กับวานร |
คายอมจมฝุ่นแล้วเหวี่ยงฟัด |
จะใคร่ตัดรูปรอยสักร้อยท่อน |
ให้ทานแร้งกากินที่ดินดอน |
ฟันฟอนอ้ายขุนช้างให้สาใจ |
ทั้งนี้เพราะอีศรีประจันเอง |
ไม่เกรงดาบกูดูหมิ่นได้ |
ชอบเชือดเนื้ออีแม่แล่อกใจ |
แคะได้เอาพริกกะเกลือพรม |
จับหัวขุนช้างขอดตลอดขวัญ |
หยิกควั่นหยอกหยอยเหมือนหอยขม |
น้ำมันปั้นปีกจำเปาะกลม |
ดูเป็นร่มระย้าพระยามอญ |
จับรวบกันเข้าจะเกล้าจุก |
อ้ายขี้คุกกลางโล่งออกล่อนจ้อน |
หวีไว้ไปล่ปลิวเป็นปีกงอน |
เอาแหนบถอนไรจุกเข้าสองนิ้ว |
เอาไม้ม้วนสำลีเข้าหวีโหย่ง |
อ้ายตายโหงโล่งเปล่าอ้ายเหาหิว |
เอามินหม้อล่อทาเป็นปลาซิว |
เขียนกริวขึ้นขี่ที่ต้นคอ |
ที่ต้นขาเขียนปลาเทโพผุด |
เขียนเขียนแล้วก็หยุดยืนหัวร่อ |
ถีบตกเตียงคว่ำดำมอซอ |
เอาหม้อผูกคอเข้าสองใบ |
ทำขุนช้างแล้วก็ย่างขึ้นบนเตียง |
เคียงนางพลางทอดถอนใจใหญ่ |
โอ้เจ้าวันทองหมองมัวไป |
ลูบไล้อ่อนอุ่นละมุนมือ |
มือพี่อย่างนี้ดอกควรต้อง |
กับเนื้อน้องนุ่มนิ่มควรจะถือ |
ถนอมรักหนักนิดหนึ่งไม่ครือ |
แต่อุ้งมือค่อยประทับดังทองเปลว |
นิจจาเจ้าเศร้าซีดทั้งเนื้อนม |
บีบระบมเอาแล้วอ้ายห่าเหว |
เตะขุนช้างผางเข้าหว่างเอว |
อ้ายลิงเลวดีแล้วแต่รายเมา |
ฮึดฮัดจะใคร่ตัดศีรษะขว้าง |
กุมารขวางอย่าฆ่าเลยพ่อเจ้า |
สับทำแต่พอหนำน้ำใจเรา |
ฆ่าเขาความผิดจะติดตัว |
ฟังพรายคลายโกรธพิโรธจิตร |
ยืนพิศวันทองยิ่งชังผัว |
ขับพรายร่ายมนตร์ให้ฟื้นตัว |
เจ้าตื่นขึ้นดูผัวสักหน่อยรา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง |
หลับต้องมนตร์มึนยังมืดหน้า |
สะดุ้งตกใจตื่นไม่ลืมตา |
ผวากอดขุนแผนนิ่งไม่ติงตัว |
ขวัญหายกายสั่นระรัวริก |
ปลุกหยิกคิดว่าขุนช้างผัว |
เล่าความฝันมาประหม่ากลัว |
ว่าทูนหัวสุมไฟไว้ในมุ้ง |
เปลวปลาบวาบพลุ่งขึ้นปลายจาก |
ไหม้มากหลายตับลงยับยุ่ง |
ต้องตัวผัวไหม้ทั้งไส้พุง |
น้องสะดุ้งโดดกลิ้งลงกลางแปลง |
เรืองเริงเพลิงผลาญม่านหมอนฟูก |
ถูกน้องพุพองเป็นหลายแห่ง |
ไม่มึใครจะช่วยดับวับวาบแรง |
ตัวน้องนึกแสยงสยดใจ |
เชิญช่วยทำนายให้น้องที |
เช่นนี้น้องหาเคยจะฝันไม่ |
จะเกิดเหตุเภทพาลประการใด |
กอดแอบแนบไว้ไม่ลืมตา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนแผน |
ขัดแค้นคำนางพลางตอบว่า |
ฝันนี้ดีดอกเจ้าพี่อา |
แก้วตาอย่าสลดระทดใจ |
เจ้าฝันว่าไฟฟอนฟูกหมอนม่าน |
จะมีท่านผู้อื่นเอามาให้ |
อันซึ่งว่าครวญคร่ำรํ่าพิไร |
จะเกลียดไกลคนชั่วที่มัวเมา |
ฝันว่าร้องไห้จะได้ชม |
ของรักตกตมจะคืนเข้า |
ที่ร้อนโรคโศกสร่างจะบางเบา |
มิตรเก่าจะประคองวันทองน้อย |
พี่กับเนื้อเย็นจะเป็นสุข |
อย่าทุกข์พรั่นขวัญข้าวอย่าเศร้าสร้อย |
ว่าพลางช้อนคางให้เพลินพลอย |
ขอจูบหน่อยเถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ ฯ |
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา |
ฟังเสียงเจรจาไม่จำได้ |
เสียงกระเส่ากระซิบยิ่งเสียวใจ |
ลูบไล้อกอ่อนสะเอวบาง |
นิ่มนิ่มเนื้อน้อยประหลาดนัก |
ครั่นจะทักเกรงผิดให้คิดหมาง |
แคลงคลำอกเลี่ยนตลอดคาง |
หอมกระแจะจันทน์นางยิ่งแหนงใจ |
ขุนช้างบางแบบอย่างนื้ฤๅ |
แต่ข้อมือเกินกำหารอบไม่ |
ผวาตื่นฟื้นตัวด้วยตกใจ |
คว้าไปก็ปะเจ้าขุนช้าง |
ทูนหัวผัวรักไม่ลืมตา |
ทำไมมานอนกลิ้งอยู่พื้นล่าง |
ปลุกสั่นหวั่นไหวนํ้าใจนาง |
นํ้าตาพรูพรูพร่างลงพรายตา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนแผน |
ขัดแค้นคำนางพลางตอบว่า |
วันทองน้องรักเจ้าพี่อา |
ลืมตาดูบ้างก็เป็นไร |
พี่มิใช่ผู้ร้ายชายโจร |
อย่าเพ่อโผนแผดร้องไปข้างไหน |
สั่นปลุกลุกขึ้นทำไมใคร |
อย่าจำใจให้ลุกไม่ลุกเลย |
คนหลับกลับสั่นขึ้นให้ฟื้น |
คนตื่นนี้ไม่เตือนทำเชือนเฉย |
เกลียดชังอย่างไรฤๅไม่เคย |
เงยหน้ามาทักอย่าผลักแพลง |
นิจจาเจ้าวันทองน้องพี่อา |
พี่จำหน้าเนื้อน้องได้ทุกแห่ง |
นิจจาใจช่างกะไรมาแปลกแปลง |
เอามือคลำแล้วยังแคลงอยู่คลับคล้าย |
เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มตํ่า |
เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ไร่ฝ้าย |
พี่เคี้ยวหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย |
แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน |
เจ้ามาได้ผัวดีมีทรัพย์มาก |
มาลืมเรือนเพื่อนยากแต่เก่าก่อน |
หลงเชิงขุนช้างช่างชะอ้อน |
กอดท่อนซุงสักสำคัญคน |
ถ้ามันตื่นขึ้นเห็นพี่จูบเจ้า |
ตายเปล่าคอพี่นี้ขาดป่น |
สั่นปลุกลุกจริงสิพี่จน |
ลุกขึ้นได้ไล่ชนพี่ตายจริง ฯ |
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา |
ฟังว่าสะดุ้งใจไหวกริ่ง |
เจ็บจิตรตละพิษปืนยายิง |
ช่างค่อนติงเสียดซ้ำให้แสบใจ |
รื้อเรื่องไร่ฝ้ายกระจายวุ่น |
นี่ขุนแผนแม่นแล้วหาใครไม่ |
ดึงดื้อถือตัวไม่กลัวใคร |
มีแต่ฤทธิแล้วจะไล่พาโลทำ |
นิ่งอยู่ดูช่างประชันประชด |
เหลืออดว่าเล่นไม่เป็นสํ่า |
เป็นไรก็เป็นไปตามกรรม |
จะเหยียบยีให้ระยำไม่อยากกลัว |
นึกพลางทางหันเข้าสั่นปลุก |
ลุกขึ้นเถิดเจ้าจอมหม่อมผัว |
ควํ่าหน้าหลับตาช่างลืมตัว |
ไม่กลัวฤๅพระกาลกาญจน์บุรี |
ว่าพลางนางปัดพานหมากหก |
นํ้าตาตกลุกไปเสียจากที่ |
ยืนบังฉากแค้นแสนทวี |
ชะดีแล้วเจ้าข้าขอบใจ |
ความสัตย์สารพัดจะสัจจัง |
ที่แท้ถังดอกหาใช่สัดไม่ |
นํ้าลายคายขากจากปากไป |
กลับกลํ้ากลืนได้เจ้าดีจริง ฯ |
๏ ขุนแผนแค้นคำแล้วตอบนาง |
ชะช่างพิไรได้ทุกสิ่ง |
เปรี้ยงแปร้นแสนคมคารมจริง |
อย่านิ่งนะวันนี้ได้ฟังกัน |
เมื่อกี้ว่าใครไม่มีสัตย์ |
สารพัดเหน็บแนมแกมขยัน |
แสนงอนค่อนว่าสารพัน |
สัตย์ที่ถือมือมั่นจึงพลาดพลัด |
อันตัวเจ้าแลเสียสัตย์วิบัติคิด |
พี่จึงติดตามทวนมาสวนสัด |
เจ้าเจนตวงท่วงทีดีสันทัด |
ป้องปัดปาดหมุนละมุนตา |
ขุนช้างได้นางมาสอบสวน |
เจ้าจึงทวนถูกสัดยี่สิบห้า |
แสนคมคารมเติบเจรจา |
มาเชิดหน้าลอยนวลให้กวนใจ |
ไม่อดสูปลุกชู้ขึ้นชิงผัว |
จะกลัวบ้างสักนิดหามีไม่ |
สั่นปลุกลุกขึ้นทำไมใคร |
มารองให้ชมขวัญกี่วันแล้ว |
ไม่อิ่มอกอิ่มใจบ้างเจียวฤๅ |
ยังขืนดื้อถือปัดว่าดวงแก้ว |
มิฟังก็หลังจะเป็นแนว |
ยังดิ้นแด่วโดดเดือดไม่รู้ตัว ฯ |
๏ วันทองหมองคำที่ค่อนแค้น |
เหลือแสนเจ็บแสบสมองหัว |
ว่าได้ว่าไปให้ใครกลัว |
ตกว่าชั่วเจ้าจึงซ้ำกระหนํ่าเน้น |
นี่เส้นผมกลมน้อยเสียนักอีก |
ซีกเดียวเจ้ายังจักได้เจ็ดเส้น |
แสนงอนค่อนว่านัยน์ตาเป็น |
เช่นนี้เกิดมาไม่เคยพบ |
มาชี้หน้าด่าข้าว่าไรฤๅ |
มาขึ้นไม้ขึ้นมืออยู่หรบหรบ |
ความหลังข้ายังจำไว้ได้ครบ |
เจ้าเรียกให้เมียตบไม่เกรงใจ |
ทั้งแขวนหนังสือด่าสารพัด |
ตัดรอนค่อนว่าหาเลี้ยงไม่ |
จะฉีกเชือดอีเถ้าแม่แล่อกใจ |
ว่าไม่เลี้ยงแล้วเหมือนกากี |
แสนแค้นที่เจ้าแขวนหนังสือด่า |
ค่อนว่าสัปดนจนป่นปี้ |
ในตัวล้วนแต่ชั่วไม่มีดี |
จี้ไชไค้แคะแกะเลือดปู |
ห้ามหวงขุนช้างมิให้รัก |
อัปลักษณ์ขายหน้ามิให้อยู่ |
มารดานํ้าตาลงพรูพรู |
จึงสู้ส่งให้เขาข้างนี้ |
เขาจึงได้ทีทำระยำเยิน |
เมื่อได้เกินแล้วอย่ากลับมาจู้จี้ |
ได้เสียตัวเพราะผัวไม่ไยดี |
ถ้ามีเมตตาบ้างมิเป็นไร |
ยามโปรดเจ้าโลดดังจะเหาะ |
ได้เมียเหมาะแล้วหาว่าไรไม่ |
สอนให้เมียด่าว่าวุ่นไป |
ลูบไล้โลมเล่นตละรำ |
นี่ลาวทองจากห้องไปแล้วฤๅ |
จึงดึงดื้อเดือดมาเวลาคํ่า |
ไม่ตามใจขัดใจจึงเพ้อพำ |
นี่อดน้ำแล้วสิเลี้ยวมากินตม ฯ |
๏ เพราะคำรํ่าค่อนงอนสะบัด |
แม่ผลัดชื่อให้ก็เห็นสม |
ชื่อว่าวันทองต้องนิยม |
นานไปแก้มกับนมจะเป็นทอง |
เออกระนั้นสิเจ้าอย่าให้ว่า |
ให้หลับตาชมเซอะอยู่ในห้อง |
ตามใจให้เจ้าทำตามลำพอง |
ครั้นว่าบ้างแล้วก็ร้องไม่เคยพบ |
แต่กระนั้นยังไม่ได้กับใจนาง |
ปล่อยหางแล้วก็เปรื่องกระเดื่องจบ |
รื้อเรื่องความหลังตั้งสมทบ |
ข้าเรียกให้ใครตบจึงเจรจา |
แค้นขุ่นวุ่นฉาวกับลาวทอง |
โดดจากเรือร้องทำหยามหน้า |
แปรดแปร้นแค้นขัดสะบัดมา |
เหลือว่าอยู่แล้วแต่วันนั้น |
เป็นใจใครมั่งจะไม่แค้น |
ผิดเจ้าจะแล่นไปไหนนั่น |
เพราะยังเมตตาไม่ฆ่าฟัน |
โกรธกันจริงแต่ยังไม่ตัดรอน |
จากไปสองคืนคืนมาเรือน |
เจ้าช้างเถื่อนกอดประทับไว้กับหมอน |
แค้นใจตละไฟมาไหม้ฟอน |
แต่วันนอนอยู่วันนั้นก็เจียนตาย |
ถ้าเอากฤชนีดเน้นให้เป็นผี |
ปานนี้ก็จะสูญเป็นเถ้าหาย |
ถึงโกรธก็ยังรักยังเสียดาย |
จึงคลายโทษหลังยั้งหยุดคิด |
รุ่งเช้าเฝ้าเรียกให้ออกมา |
เจ้าไม่แลดูหน้าแต่สักหนิด |
ก็ยังอักอ่วนใจอาลัยมิตร |
กลับบิดใส่โทษทุกสิ่งอัน |
หนังสืออะไรข้าได้แขวน |
ไม่รักแล้วก็แค่นมาเสกสรร |
ที่รักนั้นแลหากไม่ว่ากัน |
ลายมือของทั่นเจ้าจอมช้าง |
ชู้ชอบใจเจ้าเฝ้ายุแยง |
เสียดแทงสอดใส่ได้ทุกอย่าง |
บ้านเราก็หนักปักริมทาง |
ถอนขว้างฉีกทิ้งเสียถมไป |
เจ้าหากติดบ่วงมันลวงหลง |
เมื่อเข้ากรงแล้วจะดิ้นไปไหนได้ |
จึงพลอยเหินห่างระคางใจ |
คิดไปทั้งนี้นี่เนื้อเคราะห์ |
มันพอกับเรื่องนางกากี |
เจ้าปักษีขุนช้างพานางเหาะ |
พี่เหมือนคนธรรพ์สรรจำเพาะ |
อย่าฉอเลาะเลยเจ้าจะคืนวัง |
มิเสียทีพี่ขอบน้ำใจรัก |
เห็นประจักษ์แจ้งจริงมาแต่หลัง |
มาหาเห็นหน้าเหมือนชิงชัง |
ยังจะซ้ำปลุกชู้ให้ลองฤทธิ์ |
ชิจิตรชะใจวันทองเอ๋ย |
กะไรเลยตัดได้ไปเป็นปลิด |
ขาดเม็ดเด็ดเรือไม่เผื่อคิด |
ม้าลาเล็ดลิดอยู่อลวน |
จากเบี้ยเสียสองเพราะต้องคาด |
ฟันฟาดเบี้ยหงายกระจายป่น |
ม้าก้าวยาวเรือก็เหลือทน |
เมื่อพี่จนแล้วจะไล่แต่รายโคน |
คิดมาก็น่าน้อยใจนัก |
อัปลักษณ์เหมือนนิยายเขาเล่นโขน |
สีดาเดียวเปลี่ยวใจไปกับโจร |
พระรามโทนเที่ยวท่องระทมใจ |
ถ้าเจ้าซื่อครองสัตย์สุจริต |
นิดหนึ่งเหมือนสีดาหาว่าไม่ |
นี่เสียศีลสุดสิ้นทุกสิ่งไป |
ไหนเล่าเจ้าว่าแต่เดิมที |
ว่าสู้ตายมิให้ชายอื่นต้อง |
ว่าจะครองอารมณ์แต่ตัวพี่ |
ไยมานิ่งให้มันเคล้าเย้ายวนยี |
นี่ชู้ฤๅมิใช่ให้ว่ามา |
ทำแต่เท่านั้นก็เหลือแสน |
ยังจะแค่นปลุกมันขึ้นฟันฆ่า |
หอกดาบอยู่ไหนไปเอามา |
อย่านะจะตื่นขึ้นทันที |
ถ้ามันตื่นขึ้นเห็นพี่จูบเจ้า |
ตายเปล่าขาดเด็ดแล้วคอพี่ |
ทำได้ทำไปเป็นไรมี |
คนดีมันไม่สิ้นเลยทุกวัน |
หญิงสามร้อยกลมารยา |
บุราณท่านว่าไม่เสกสรร |
ได้ความตามหาพึ่งมาทัน |
จะปั้นรูปไว้ดูให้เจนใจ |
ไว้เป็นแบบฉบับตำรับมี |
ว่ารูปดีใจคดหาตรงไม่ |
ตาดำกล่อมกลมทั้งคมใน |
จำได้สิ้นแล้วทั้งกายา ฯ |
๏ เจ็บใจไม่น้อยทั้งถ้อยคำ |
ทิ่มตำแดกดันรำพันว่า |
แค้นคำนํ้าตาลงคลอตา |
สะบัดหน้าแน่ะเจ้าไม่จำคำ |
วันวิวาทกันกับลาวทอง |
แผดร้องโรมโรมพิไรรํ่า |
กั้นกางขวางไว้มิให้ทำ |
ซ้ำไล่จะฟันให้บรรลัย |
แค้นใจข้าจึงไปผูกคอตาย |
สายทองมาบอกยังด่าให้ |
ขึ้นช้างพานางลาวทองไป |
ดังพระสุธนได้มโนรา |
ข้านอนกับขุนช้างก็จริงอยู่ |
แต่ได้สู้รบกันเป็นหนักหนา |
เสียตัวชั่วใช่จะตื่นตา |
เพราะพรายเขาเข้ามาสะกดไว้ |
ถ้าผัวเมตตามาปกป้อง |
วันทองฤๅใครจะทำได้ |
เจ้าลอยช้อนเอาปลาที่หน้าไซ |
เพราะใจของเจ้าไม่เมตตา |
ขึ้นช้างไปกับนางลาวทองน้อย |
ข้านี้ตั้งตาคอยละห้อยหา |
หม่อมเมียเหนี่ยวไว้มิให้มา |
แค่นจะมีหน้าว่าไม่สมคำ |
ยังจะมาปั้นรูปเป็นตำรา |
สามร้อยมารยาช่างว่าร่ำ |
เมื่อกระนั้นเป็นไรจึงไม่ทำ |
ไม่ลืมตาขึ้นคลำให้เต็มใจ |
รู้แล้วว่าข้าชั่วจึงไม่เลี้ยง |
ใครหาเถียงทัดทานว่าดีไม่ |
ตามประสาคนชั่วจึงกลัวไกล |
คนดีแล้วใครจะไม่รัก |
ได้อายด้วยหลงมาเป็นผัว |
มืดมัวลามกดังตกปลัก |
เพราะยาแฝดแปดปนระคนนัก |
มาคบชั่วแล้วจึงชักให้เสียชาย |
เมื่อแรกเจ้ายังรักอยู่กับข้า |
ขอษมาเสียเถิดฝ้าพึ่งจะหาย |
ตละต้องของใส่ที่ในกาย |
นวลหน้าฝ้าลายอยู่มอมแมม |
แต่เพียงไปได้กับเจ้าลาวทอง |
ผ่องดังเพชรรัตน์กระจัดแจ่ม |
ผิวผ่องตละทองประกับแกม |
นี่เหลาะแหละลอมแลมเข้ามาไย |
อีวันทองชั่วชาติอุบาทว์แล้ว |
พ่อพลายแก้วจะเลี้ยงมันไหนได้ |
มานั่งใกล้ไม่กลัวตัวจัญไร |
โอ๊ยโดดไปมั่งแล้วกระมังนา |
ไม่พอที่ที่หม่อมจะกินเดน |
มันนอกเกณฑ์ดอกไม่สมเสมอหน้า |
อย่าวนเวียนระไวอยู่ไปมา |
เหมือนปล่อยนกปล่อยกาให้ปลอดไป |
จะต้องการเงินทองสักสองสัด |
น้องไม่ขัดดอกจะสู้ทูนหัวให้ |
ฤๅเสียเจ้าลาวทองจึงหมองใจ |
จะหาให้กอดเล่นอย่าเป็นทุกข์ |
ชอบใจจะเอาไทยฤๅเอาลาว |
ที่สาวสาวจะเอามวยฤๅไรจุก |
น้องไหว้กราบกรานอย่ารานรุก |
อย่ามาคลุกเคล้าน้องจะหมองมัว ฯ |
๏ แสนคมคารมนี้เปรี้ยงเปรี้ยง |
แง่งอนซ้อนเสียงมิใช่ชั่ว |
แค้นนักว่าปลอมมอมแมมมัว |
ระวังหัวจงดีเดี๋ยวนี้แล้ว |
มาลอยหน้าท้าเล่นอยู่หรบหรบ |
คารมจบจัดจ้านออกแจดแจ้ว |
ว่าได้ดังใครไม่รู้แกว |
หว่านแล้วล้อมเล่าเจ้ากระบวน |
เห็นว่าจนเงินทองข้องขัด |
มาเยาะหยัดเย้ายีว่าถี่ถ้วน |
อย่าลอยหน้าว่านักจะหักนวล |
อย่ามาสวนสอบคำให้ช้ำใจ |
รู้แล้วว่าชู้เจ้าเศรษฐี |
มั่งมีเงินทองจะกองให้ |
เงินทองจะพร่องไปเมื่อไร |
ช่างว่าได้พูดพรํ่าจะทำคุณ |
ขุนแผนนี้มันแกนทุกสิ่งอัน |
ของกำนัลไม่มีใครเกื้อหนุน |
ผัวเจ้ามีทรัพย์นับพันดุลย์ |
เป็นเจ้าคุณอยู่แล้วแต่ผัวนาง |
ยังจะขอลูกสาวคนอื่นให้ |
ช่างพิไรตะบอยนี้ร้อยอย่าง |
จะหาคนอื่นยัดแก้ขัดพลาง |
เจ้าจะกอดขุนช้างสบายใจ |
อันตัวเจ้าจะละอย่าพึงคิด |
ถึงนางในดุสิตไม่เปลี่ยนให้ |
ความเดือดจะเหือดไปเมื่อไร |
ถ้ามิได้เป็นจะเอาตาย |
อันตัวเจ้าเราจะละอย่าพึงนึก |
ลึกเสียละที่จะเปลี่ยนให้ง่ายง่าย |
ว่าได้ว่าไปไม่มีอาย |
ตัวชั่วกลับกลายว่าผีอำ |
ถึงว่าเราอยู่ไกลเข้าใจหมด |
ช่างโป้ปดทำเล่นไม่เป็นสํ่า |
แม่เจ้าเข้าด้วยช่วยกระทำ |
เข้าปลํ้าส่งให้กับขุนช้าง |
ผีพรายมันบอกแก่เราสิ้น |
ตัวดิ้นแต่ใจไม่แหห่าง |
ความรักจริงใจไม่จืดจาง |
อย่าพรางเลยมาจะพาไป |
ถึงเสียตัวชั่วช้ามาแต่หลัง |
ก็ชั่งเถิดข้อนั้นหาว่าไม่ |
จวนรุ่งเวลาจะคลาไคล |
ไม่ไปฤๅจะฟาดให้ขาดกลาง ฯ |
๏ ข่มเหงเล่นเถิดทำไมเล่า |
ช่างมาเฝ้าตะบอยได้ร้อยอย่าง |
เสียตัวชั่วเพราะหลับกลับว่าพราง |
พรายของเจ้าช่างจับพิรุธ |
ดิ้นร้องตละเรือนจะหักร่วง |
ลุกทะลวงแล่นไปมันไล่ฉุด |
ปะแม่ตีรํ่ากระหนํ่ารุด |
อีพรายมุดเข้ามาเห็นว่าเป็นใจ |
ด้วยตัวเป็นหญิงก็นิ่งจน |
จะซุกซนไปหาผู้ใดได้ |
จึงเสียตัวชั่วเพราะเขาขืนใจ |
ไอ้ผีปากบอนช่างค่อนครบ |
ช่างมาพิไรใส่ความ |
จะเอาหนามทุเรียนเข้าซ้อนตบ |
ผีไม่มีสัตย์อ้ายบัดซบ |
ให้สลบลงสาแก่น้ำใจ |
ที่ว่ามิได้เป็นจะเอาตาย |
ป่ายลงเถิดเจ้าหากลัวไม่ |
พูดก็ไม่เห็นสิ่งที่จริงใจ |
จะอยู่ไปก็ไม่จิรังการ |
อย่าขบฟันหันฮึกอยู่เปล่าเปล่า |
เอาสิเป็นไรไม่สังหาร |
ฟาดฟันบั่นเสียให้วายปราณ |
ผลักกรานหยิกข่วนไม่ละกัน ฯ |
๏ ประเดี๋ยวนี้ดอกนะอย่าทำไป |
เงื้อดาบจะใคร่เข้าห่ำหั่น |
จริงจริงแล้วฤๅดื้อดึงดัน |
ฟันนะเป็นไรก็เป็นไป |
ปากกล้าด่าพรายเปรียบกระทบ |
มิสลบลงกับที่ก็มิใช่ |
มารับกลับไปก็ไม่ไป |
ไม่กลัวแล้วฤๅไรมายื้อยุด |
ไม่ไปไม่ฟังกันในวันนี้ |
ห่อฝ่ามือตีกระชากฉุด |
เงื้อดาบจะใคร่ฟาดให้ม้วยมุด |
ฉุดชู้อยู่ได้ดู๋ดูเอา |
ว่าพลางทางเป่าละลวยลง |
ตรงหน้าวันทองให้ต้องเจ้า |
แกว่งฟ้าฟื้นอยู่อย่าดูเบา |
เร็วเข้าลุกมาจะด่วนไป ฯ |
๏ วันทองต้องลมละลวยเป่า |
เคลิ้มเขลาคลายแค้นไม่ผลักไส |
ระวังตัวกลัวดาบวับวาบใจ |
เงื้อดาบขึ้นทีไรก็หวีดร้อง |
นี่อะไรเช่นนี้พ่อคุณเอ๋ย |
อย่ากวนใจนักเลยจะหาของ |
รู้ฤๅว่าจะไปจะได้สำรอง |
แหวนทองเงินผ้าจะหาไป |
ยิ่งสะบัดก็ยิ่งรัดข้อมือแน่น |
สองแขนจะขาดกลางหาวางไม่ |
เงื้อง่าจะมาฆ่าข้าทำไม |
จะไปดีดีแล้วจงวางมือ ฯ |
๏ แสนเอยแสนคม |
คารมนี้หย่อนลงแล้วฤๅ |
เปรี้ยงแปร้นแค้นขัดสะบัดมือ |
ดีก็ดื้อไปอิกซิจะขอฟัง |
จะไปเลือกผ้าจะมาฤๅ |
เป่ามนตร์ใส่มือแล้วลูบหลัง |
พี่รักเจ้าจริงจริงไม่ชิงชัง |
หยอกมั่งก็มีแต่โกรธา ฯ |
๏ วันทองต้องลมก็ลืมแค้น |
เท้าแขนก้มเคียงเข้าเรียงหน้า |
ฉันบอกทั่นฤๅว่าฉันไม่ไคลคลา |
หาผ้าผ่อนก่อนจึงค่อยไป |
ว่าพลางลุกย่างเข้าในห้อง |
หาของค้นลูกกุญแจไข |
เปิดหีบหอมฟุ้งจรุงใจ |
ล้วนใหม่ใหม่ไหมด้ายมีหลายพรรณ |
หยิบหยิบแล้วก็จีบประจงพับ |
หับหีบไขต่อขมีขมัน |
ผ้าหอมย้อมสีระยับมัน |
น้ำมันจันทน์ประทิ่นกลิ่นขจร |
เช็ดหน้าผ้าไหมฝรั่งห่อ |
ไขต่อหีบทองเถือกสลอน |
เพชรนิลมรกตอรชร |
พิรอดร่อนเรือนเพชรพะพรายตา |
เก็บรอมห้อมห่อผ้าห่มแน่น |
ช้านักขุนแผนจะคอยท่า |
คิดพลางลุกย่างขยับมา |
ห่อผ้าพาดปากกระทายน้อย ฯ |
๏ มาถึงเตียงเคียงข้างขุนช้างหลับ |
พอมนตร์เสื่อมนางกลับหวนละห้อย |
จะจากเจ้าเหมือนดังว่าวขาดลมลอย |
อย่าหมายคอยเลยว่าเมียจะเป็นตัว |
ก้มกอดเท้าผัวเห็นมัวนิ่ง |
โอ้สิ้นบุญจริงพ่อทูนหัว |
จะปลุกสักเท่าไรไม่ไหวตัว |
มานอนมัวทิ้งเมียเสียอย่างไร |
นี่จะทำฉันใดให้พ่อรู้ |
ว่าขุนแผนเขาจู่เข้ามาได้ |
เขาจะฆ่าฟันน้องจึงต้องไป |
มิใช่นอกใจแล้วหลีกลี้ |
คิดพลางนางจึงเขียนหนังสือ |
เล่าความตามซื่อเป็นถ้วนถี่ |
เขียนเสร็จพับปิดสนิทดี |
เหน็บไว้ที่ฝาเรือนของผัวรัก |
แล้วปลุกสั่นซ้ำเรียกพ่อช้างเอ๋ย |
กะไรเลยหลับเหลือที่หลับหนัก |
ฤๅผีพรายร้ายรองคะนองทัก |
น้องรักจักถวายพลีการ |
เต่าพล่าปลายำจะทำให้ |
เป็ดไก่เหล้าเข้มทั้งของหวาน |
เทียนเงินเทียนทองของตระการ |
ขอให้ท่านผัวรักข้าตื่นตัว |
นางพรายได้ฟังนํ้าลายไหล |
อยากเป็ดอยากไก่มิใช่ชั่ว |
กุมารทองร้องห้ามด้วยความกลัว |
หัวเด็ดเดี๋ยวนี้อย่าโลเล |
นางพรายรู้ตัวกลัวกุมาร |
ทะยานถีบขุนช้างจนห่างเห |
ยึดขาคร่าแขนให้แอ่นเปร |
ซวนเซหลับไปไม่รู้ตัว |
วันทองกอดผัวเห็นมัวนิ่ง |
สิ้นบุญจริงแล้วพ่อทูนหัว |
หวั่นไหวใจนางระริกรัว |
ก็มืดมัวลมจับหลับผอยไป ฯ |