๏ จะกล่าวถึงพระนายท้ายน้ำ |
ลาวมันจำครบไว้ในคุกขัง |
เป็นกึ่งปีมิได้ออกนอกฝาบัง |
แทบจะคลั่งไคล้ไปด้วยใจตรอม |
แสนรันทดอดอยากลำบากกาย |
แต่ร้องไห้ไม่วายจนผ่ายผอม |
ไม่ถูกน้ำเนื้อตัวก็มัวมอม |
ต้องอดออมเฝ้าสะอื้นทุกคืนวัน |
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว |
จะทิ้งลูกเสียแล้วฤๅไรนั่น |
ต้องทนทุกข์ทรมานมานานครัน |
พระทรงธรรม์มิได้ใช้ผู้ใดมา |
ทั้งเพี้ยกึ่งกำกงที่ส่งนาง |
ก็ครวญครางขุ่นคอยละห้อยหา |
ทนลำบากยากแค้นแสนเวทนา |
กินน้ำตาต่างข้าวทุกเช้าเย็น |
พระท้ายน้ำร่ำไห้ใจจะขาด |
โอ้อนาถยากแค้นนี้แสนเข็ญ |
เหมือนมาอยู่ในนรกตกทั้งเป็น |
ไม่ว่างเว้นโพยภัยกะไรเลย |
แต่อ้ายหลอออสามันผาสุก |
มาปรับทุกข์กันบ้างเป็นไรเหวย |
ช่างหน้าเป็นเล่นหัวมัวเสบย |
ดูเชิงเฉยไม่ช้ำระกำใจ |
ตาหลอว่าคุณพ่อก็ติดคุก |
ถึงจะทุกข์จะทำอย่างไรได้ |
ต้องแช่มชื่นกลืนกล้ำด้วยจำใจ |
จะดิ้นรนร้องไห้ก็ไม่พ้น |
พระท้ายน้ำร่ำว่าอ้ายหลอเอ๋ย |
ท่านละเลยเรานี้ให้ปี้ป่น |
ประหลาดนักนอนพระทัยไม่ใช้คน |
ให้กรูกรีรี้พลมาแก้กัน |
ตาหลอว่าคุณพ่ออย่าดิ้นโดด |
คุณกับโทษมันก็เท่ากันอยู่นั่น |
ถึงจะยกโยธามาประจัญ |
ลาวขยันมิใช่เล่นเห็นแก่ตา |
ฝีมือศึกสอยดาวท้าวกรุงกาฬ |
ทหารปราบเมืองแมนแสนเพชรกล้า |
ผิดพ่อแผนแม้นใช้ผู้ใดมา |
เหมือนเร่งให้มันฆ่าเสียเร็วพลัน |
เมื่อเรายกแกยังนั่งติดคุก |
จะขุกเข็ญเป็นตายอย่างไรนั่น |
ขุนนางไทยใครอื่นสักหมื่นพัน |
เห็นไม่ทันมือลาวชาวเชียงอินท์ |
พระท้ายน้ำฟังคำของตาหลอ |
เอออ้ายพ่อเอ็งว่าก็จริงสิ้น |
กูเล็งไม่เห็นใครในแผ่นดิน |
ที่จะภิญโญยิ่งขุนแผนไป |
เจ้าประคุณเทวาสุราฤทธิ |
ซึ่งสถิตในเศวตฉัตรใหญ่ |
จงช่วยดับทุกข์ทนดลพระทัย |
ให้ทรงใช้ให้พ่อขุนแผนมา |
แต่ปรับทุกข์สองคนจนค่ำลง |
อัสดงแดดดับลงลับหล้า |
อ้ายผู้คุมเข้มงวดเที่ยวตรวจตรา |
ใส่ขื่อคาร้อยแหล่งทุกแห่งไป |
พระท้ายน้ำกำกงพวกอาสา |
มันจำห้าประการหมดหาลดไม่ |
ให้คนโทษตีเกราะเคาะไม้ |
นั่งยามตามไฟไม่นิทรา |
แต่กำกงท้ายน้ำมันจำนั่ง |
ต้องบ่ายเบนเอนหลังเข้าพิงฝา |
หาวนอนอ่อนคอลงทับคา |
ภาวนาไปจนม่อยผอยหลับลง ฯ |
๏ คืนนั้นพระท้ายน้ำระกำจิต |
เกิดนิมิตเห็นพราหมณ์งามระหง |
กระหมวดมุ่นมวยผมดูสมทรง |
จิ้มประจงเจิมหน้าอุณาโลม |
ถือสังข์ทรงศักดิทักขินาวัฏ |
สังวาลรัดเจ็ดเส้นเห็นเฉิดโฉม |
ใส่ตุ้มหูห่มสไบไขว้กระโจม |
ผ้าขาวโขมพัตรนุ่งดูรุ่งเรือง |
บรรจงจีบโจงข้างแล้ววางชาย |
พรรณรายรัศมีสีเนื้อเหลือง |
เหาะลอยคล้อยลงตรงท้ายเมือง |
เปิดตะรางย่างเยื้องเข้าใกล้ตน |
เอาน้ำสังข์โอสถรดเกศา |
เครื่องพันธนาทั้งปวงก็ร่วงหล่น |
แล้วซ้ำสาดราดรดหมดทุกคน |
เครื่องจำตนร่วงกราวทั้งลาวไทย |
พราหมณ์ก็คลายหายวับไปกับตา |
สะดุ้งฟื้นตื่นผวาหาช้าไม่ |
คิดว่าจำหลุดกายสบายใจ |
พอหวาดไหวตัวตึงอยู่ตรึงตรา |
นิ่งนึกตรึกดูรู้ว่าฝัน |
นิมิตนี้สำคัญเป็นหนักหนา |
กระซิบปลุกตาหลอพ่อกูอา |
ลุกขึ้นมาช่วยทำนายทายฝันที |
ตาหลอว่าคุณพ่อฝันอย่างไร |
พระท้ายน้ำเล่าให้เป็นถ้วนถี่ |
จงตรองคำทำนายทายให้ดี |
นิมิตนี้ล้ำเลิศประเสริฐครัน ฯ |
๏ ตาหลอยิ้มพลางทางทำนาย |
ไม่ตายในเชียงใหม่แล้วแม่นมั่น |
คงจะพ้นพันธนาไม่ช้าวัน |
เห็นสำคัญคนดีจะมีมา |
พิเคราะห์ฤกษ์ก็งามเป็นยามเสาร์ |
ทีนี้เรารอดแท้แน่หนักหนา |
ซุบซิบกันสองคนสนทนา |
จนเวลายามสองร้องเรียกยาม |
ถึงชื่อใครลนลานขึ้นขานรับ |
เสียงโวยโวยเป็นลำดับตลอดหลาม |
ใครไม่ขานเฆี่ยนสิ้นดิ้นโครมคราม |
ร้องเรียกตามโทษทั่วทุกตัวคน |
ครั้นเสร็จแล้วตีเกราะเคาะฆ้อง |
เสียงสนั่นลั่นก้องโกลาหล |
ผลัดกันลุกปลุกกันนั่งระวังตน |
ประจวบจนรุ่งแจ้งแสงรวี ฯ |
๏ นายร้อยพะทำมะรงตรงเข้าคุก |
จ่ายคนโทษไปทุกตำแหน่งที่ |
ตาหลอกับตารักบักจันดี |
อ้ายเหล่านี้เกี่ยวหญ้าหาเคียวคาน |
ตาหลอนึกถึงฝันท่านท้ายน้ำ |
ร้องรำปรีดิเปรมเกษมสานต์ |
ผู้คุมตามกันมาลนลาน |
เดินผ่านล้วงตลาดวินาศไป |
ฉวยกระชากหมากดิบหยิบใส่กระจาด |
เขาโขกพลาดกลับฉวยเอากล้วยไข่ |
เสียงฉุ่งฉิ่งวิ่งเลยไม่หลีกใคร |
เจออะไรไขว่คว้ามาเป็นราว |
โซ่ตรวนโกร่งกร่างตามทางมา |
เข้าร้านไหนแม่ค้าก็ฉ่าฉาว |
บ้างโกรธาด่าเปรี้ยงเสียงเกรียวกราว |
ข้ามสะพานย่านยาวเหย่าเหย่ามา |
ครั้นถึงทุ่งมุ่งตรงลงขอบหนอง |
กำเริบร้องรำเคียวแล้วเกี่ยวหญ้า |
ผู้คุมนั่งบังสุมทุมพุ่มพุทรา |
แล้วปูผ้านอนเล่นเย็นหลับไป ฯ |
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสะท้าน |
กำชับสั่งพวกทหารทั้งน้อยใหญ่ |
ให้ผลัดกันลุกนั่งระวังระไว |
อยู่แต่ในที่ซุ่มประชุมกัน |
อย่าเที่ยวไปเที่ยวมาคอยท่าเรา |
ข้าสองคนจะเข้าไปเขตขัณฑ์ |
ไปคิดอ่านแก้ไทยในคุกนั้น |
กับพวกลาวเวียงจันทน์ที่มันจำ |
เอารีบร้นมาให้พ้นจากพารา |
เราคงมาถึงนี่พรุ่งนี้ค่ำ |
พวกทหารต่างคำนับรับถ้อยคำ |
แล้วสั่งกำชับกันให้มั่นคง |
สั่งเสร็จขุนแผนกับลูกชาย |
ต่างคนแต่งกายงามระหง |
โพกประเจียดเคยประจญรณรงค์ |
สอดสวมเสื้อลงเป็นองค์พระ |
แล้วนุ่งห่มผ้าลาวเหมือนชาวไร่ |
เอาช้องใส่สีชมพูโพกศีรษะ |
ผูกพันกระสันเครื่องเรืองเดชะ |
เข็มขัดปะขมองพรายคาดกายพลัน |
ขุนแผนจับดาบกรายสะพายย่าม |
เจ้าพลายงามแบกทวนดูแข็งขัน |
ดูดังสองสิงหราชกาจฉกรรจ์ |
เยื้องกรายผายผันเข้ากรุงไกร ฯ |
๏ เดินปนมากับลาวชาวพารา |
หามีใครสงกาสังเกตไม่ |
ด้วยฤทธิผีแรงมนตร์เข้าดลใจ |
เห็นเป็นลาวชาวไร่เข้าพารา |
นางสาวสาวชาวบ้านในชานเมือง |
ชำเลืองดูพลายน้อยเสนหา |
ให้วาบวับจับใจไม่วางตา |
เจ้าพลายเดินเมินหน้าไม่ดูใคร |
พวกสาวแส้แม่หม้ายทั้งยายเถ้า |
ทักว่าเจ้าหนุ่มน้อยจะไปไหน |
จงหยุดยั้งนั่งเล่นก่อนเป็นไร |
ข้อยจะให้หมากพลูบุหรี่ดี |
ปิศาจน้อยศรีวิชัยที่ไปด้วย |
ก็ช่วยตอบคำลาวนางสาวศรี |
สาวเอยเพื่อนว่าจงปรานี |
ธุระมีจะไปในนคร |
จิตข้อยนี้มักเจ้าหนักหนา |
แต่เดี๋ยวนี้พี่จะลาเจ้าไปก่อน |
ไปเที่ยวเบิ่งเมืองเล่นพอเย็นรอน |
กลับมานอนจึงจะเข้ามาเว้ากัน |
พูดพลางเดินพลางตามทางมา |
ถึงแม่ค้าขายของล้วนคมสัน |
เห็นโฉมฉายพลายน้อยเป็นนวลจันทร์ |
คิดสำคัญว่าลาวชาวป่าดง |
จึงทักทายแน่นายที่เดินหลัง |
ไม่เอิ้นมั่งนิ่งบึ้งตะลึงหลง |
อยากได้อะไรมั่งก็นั่งลง |
แล้วยื่นส่งดอกไม้ให้พลายงาม |
เจ้าพลายรับจับมือรื้อสะกิด |
นางลาวบิดเบือนสะบัดประหวัดหวาม |
บ้านเฮือนเพื่อนอยู่ใดอยากได้ความ |
จะใคร่ตามหนุ่มน้อยไปแนบนอน |
เจ้าพลายชายตาว่าพี่มัก |
นางลาวรักทำทอดฤทัยถอน |
ชมดชม้อยเชือนชายชม้ายงอน |
ยิ้มแล้วก้มคมค้อนตะแคงดู |
นางแม่หม้ายขายหมากปากคะนอง |
ร้องทักออกไปไม่อดสู |
เจ้าหนุ่มน้อยรูปดีสีชมพู |
เพื่อนจะอยากหมากพลูของตูมี |
นางสาวอ่องร้องห้ามนางสาวฟัก |
เราบ่มักแม่หม้ายจึงหน่ายหนี |
เพราะรูปร่างของสูไม่สู้ดี |
ไปเรียกเขาเซ้าซี้บ่อายใจ |
นางสาวฟักตอบว่าอย่ากั้นกาง |
สาวนางอย่างสูสู้ข้อยบ่ได้ |
เพื่อนบ่เคยเชยชู้รู้อะไร |
ทำนองในนางสาวเหมือนลาวตาย |
มีแต่ลมหายใจใครจะมัก |
เชิงเยื้องยักอย่าประมาทชาติแม่หม้าย |
ยังหนุ่มเหมือนเพื่อนนี้ขี้งมงาย |
ถูกแต่ปลายเงื่อนกระทกจะงกไป ฯ |
๏ ขุนแผนพลายงามตามกันมา |
ถึงไหนแม่ค้าก็ปราศรัย |
สองสูอยู่บ้านถิ่นฐานใด |
มีธุระสิ่งไรจึงได้มา |
ผีที่ไปด้วยช่วยขุนแผน |
พูดแทนว่าเราเป็นชาวป่า |
เขาฦๅว่าจับไทยไว้พารา |
ข้อยบ่เคยเห็นหน้าอ้ายบักไทย |
อยากจะไปเบิ่งเล่นว่าเป็นหยัง |
เขาจำขังคนโทษไว้ที่ไหน |
พวกลาวบอกตามจริงไม่กริ่งใจ |
เขาจำไว้ในตะรางข้างโรงม้า |
แต่ตัวนายตรำตรากไม่ลากใช้ |
พวกไพร่นั้นเขาคุมไปเกี่ยวหญ้า |
เพื่อนจะเบิ่งบักไทยไปท้องนา |
มันกลับมาสายัณห์ตะวันรอน |
ขุนแผนชื่นชมสมปรารถนา |
ว่ากระนั้นฉันจะลาท่านไปก่อน |
พ่อลูกสองราพากันจร |
ก็รีบร้อนตรงมุ่งไปทุ่งนา |
เห็นพวกไทยไขว่คว้างอยู่กลางบึง |
ก็ย่างเหยาะเดาะดึ่งเข้าไปหา |
เห็นผู้คุมคลุมหัวมัวหลับตา |
จึงเลาะลัดตัดมาที่ไทยพลัน ฯ |
๏ ตารักกับตาหลอพอแลไป |
เจ้าสองรามาแต่ไหนดูคมสัน |
พ่อลูกเดินเข้าไปพอใกล้กัน |
ตาหลอผันหน้าพิศพินิจแล |
แต่แรกเห็นเป็นลาวชาวบ้านป่า |
ครั้นดูซ้ำจำหน้าถนัดแน่ |
เอ๊ะพ่อขุนแผนแล้วแม่นแท้ |
พาตารักรีบแร่ไปทันใด |
พอเข้าใกล้ตาหลอว่าพ่อเรา |
โถมเข้ากอดตีนแล้วร้องไห้ |
ซบหน้ากลิ้งเกลือกเสือกไป |
เป็นครู่หนึ่งจึงได้สติคืน |
ขุนแผนว่าตาหลอกับตารัก |
อย่าอึงนักอ้ายผู้คุมมันจะตื่น |
โศกเศร้าแต่เท่านั้นจงกลั้นกลืน |
ฉวยคนอื่นมันเห็นไม่เป็นการ |
ตาหลอกับตารักได้ฟังว่า |
เช็ดน้ำตาล่อยล่อยค่อยเล่าขาน |
พ่อแผนลูกนี้แสนทรมาน |
ถูกจองจำทำประจานให้เจ็บช้ำ |
มันใช้จับจ่ายหวายล่อหลัง |
เหลือกำลังข้าวเช้าเป็นข้าวค่ำ |
หลังลูกกว่าร้อยรอยระยำ |
พระท้ายน้ำจำครบทุกคืนวัน |
ทั้งเจ็บใจเจ็บเนื้อเหลือพรรณนา |
คิดจะฆ่าตัวเสียให้อาสัญ |
เดชะบุญเจ้าประคุณขึ้นมาทัน |
พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นนั่นลูกใคร ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
ก็ชี้แจงแจ้งความหาช้าไม่ |
คนนี้มิใช่ผู้อื่นไกล |
ลูกคนใหญ่เกิดแต่แม่วันทอง |
พระนายถวายเป็นมหาดเล็ก |
ถึงตัวเด็กใจใหญ่ไม่มีสอง |
เขาองอาจอาสาฝ่าละออง |
ข้าพ้นจากจำจองเพราะเจ้าพลาย |
ทูลขอคนโทษก็โปรดปราน |
สามสิบห้ากล้าหาญสิ้นทั้งหลาย |
จะขึ้นมาแก้ไขให้พ้นตาย |
บอกพระนายท้ายน้ำให้รู้ตัว |
บอกทั้งพวกลาวชาวเวียงจันทน์ |
กับพวกเราเหล่านั้นเสียให้ทั่ว |
คืนนี้จะเข้าไปอย่าได้กลัว |
คอยช่วยกันหั่นหัวอ้ายผู้คุม |
อย่าเห็นแก่หลับใหลให้ชักช้า |
จะเข้าไปในเวลาสักห้าทุ่ม |
มัวพูดกันมันเห็นจะจับกุม |
แต่กลางวันนั้นจะซุ่มอยู่ไหนดี ฯ |
๏ ตาหลอว่าคุณพ่ออย่าเป็นทุกข์ |
วัดหนังหลังคุกเห็นชอบที่ |
กุฎีร้างริมสระพระไม่มี |
ทั้งตาปีไม่เห็นใครเที่ยวไปมา |
ว่าพลางทางชี้ตำแหน่งให้ |
ตรงไปหลังเมืองเยื้องข้างขวา |
ก็จะเห็นตะรางข้างโรงม้า |
วัดหนังหลังศาลาตรงเข้าไป ฯ |
๏ ขุนแผนรู้ตำแหน่งแจ้งกิจจา |
พูดกันนักจักช้าเห็นไม่ได้ |
พ่อลูกสองราก็คลาไคล |
ตัดทุ่งมุ่งไม้ที่หมู่ยาง |
สังเกตดูผู้คนตามทางมา |
แวะข้างขวาข้ามย่านสะพานขวาง |
หลีกคนด้นเดินเสียนอกทาง |
ผ่านตะรางเห็นถนัดวัดรุงรัง |
ร้างรกปกคลุมล้วนพุ่มหนาม |
เอออารามนี้แน่แลวัดหนัง |
ตรงเข้ากุฎิคร่ำคร่ามีฝาบัง |
ต่างนอนนั่งคอยท่าเวลากาล ฯ |
๏ พอสายัณห์ตะวันลงปลายไม้ |
ผู้คุมเรียกคนไปเสียงมี่ฉาน |
พวกคนโทษวิ่งรี่ตะลีตะลาน |
จับสาแหรกแบกคานเข้าทุกคน |
สวบสาบหาบหญ้ามาเป็นกลุ่ม |
อ้ายผู้คุมถือหวายแล้วไล่ก้น |
เสียงฉุ่งฉิ่งวิ่งออกอลวน |
หาบหญ้าผ่าถนนตลาดมา |
แม่ค้าเห็นคนพวงล่วงเข้าตลาด |
บ้างยกกระจาดหับกระชังระวังผ้า |
พวกที่นั่งร้านรายขายกุ้งปลา |
ถือกะโล่โงง่าตั้งท่าคอย |
ตาหลอหัวพวงล้วงปลาไหล |
ตารักร่าคว้าใส่เอาปลาสร้อย |
อ้ายลูกแล่งแย่งคว้าปลาเล็กน้อย |
เขาโขกคอยหลบหน้าแล้วด่าทอ |
ตาหลอหัวเราะร่าออกราแต้ |
วันนี้แลพ่อจะสั่งปิสังก้อ |
เขาตีตบหลบขนเอาจนพอ |
ทั้งส้มกล้วยมะละกอก็พอการ |
เสียงโซ่ตรวนโกร่งกร่างวางกันอึง |
นางคนหนึ่งรำมะก้าออกหน้าบ้าน |
ฉวยไม้คานตีผลับแกจับคาน |
พลัดตกร้านล้มเค้ลงเก้กัง |
พวกแม่ค้าด่าเปรี้ยงเสียงเกรี้ยวโกรธ |
อ้ายคนโทษวันนี้เป็นปีสัง |
จึงเริงร่ากล้าหาญออกตึงตัง |
จะไปเรียนเฆี่ยนหลังเสียให้เลอะ |
ตาหลอว่าพ่อไม่อยากกลัว |
จะฟ้องใครไสหัวมึงไปเถอะ |
ไม่พรั่นพรึงมึงดอกอีหน้าเคอะ |
เซอะเข้ามากูจะใส่ให้นอนคราง |
พ้นตลาดพอเวลาจะสายัณห์ |
ก็ชวนกันวุ่นวิ่งมากริ่งกร่าง |
หิ้วปลาหาบหญ้ามาตามทาง |
ถึงตะรางวางหญ้าลงหากิน |
ชวนกันตั้งหม้อข้าวเผาปลาดุก |
ประเดี๋ยวใจก็สุกอยู่เสร็จสิ้น |
คดข้าวใส่กระบายให้นายกิน |
พอตะวันตกดินลงทันใด |
นายร้อยคอยนับคนโทษถ้วน |
ตรวจตรวนแล้วก็ร้อยด้วยโซ่ใหญ่ |
ตะเกียงตามสามแห่งออกแดงไป |
กุญแจใส่ลั่นกลอนซ้อนสองชั้น ฯ |
๏ พอผู้คุมสามคนขึ้นบนร้าน |
ตาหลอคลานหานายขมีขมัน |
กระซิบบอกพระนายท้ายน้ำพลัน |
คุณพ่อฝันแน่นักประจักษ์ตา |
ที่พูดกับกระผมสมทุกสิ่ง |
ขุนแผนมาจริงเจียวพ่อขา |
กับลูกชายแปลงกายเป็นลาวมา |
กระผมยืนเกี่ยวหญ้าผ่าเข้าไป |
ใส่ผมยาวเหมือนลาวสนิทนัก |
แต่กระผมกับอ้ายรักยังจำได้ |
ถามถึงคุณเจียวขอรับกับพวกไทย |
ข้าพเจ้าเล่าไปทุกสิ่งอัน |
เธอให้บอกให้ทั่วเตรียมตัวท่า |
คืนวันนี้จะเข้ามาเป็นแม่นมั่น |
จะสะกดให้หมดทั้งคุกนั้น |
สะเดาะกุญแจแก้กันให้พ้นไป ฯ |
๏ พระท้ายน้ำฟังคำตาหลอเล่า |
ดังใครเอาน้ำทิพย์มารดให้ |
สว่างอกอิ่มเอิบกำเริบใจ |
ดุจได้ไปผ่านพิมานอินทร์ |
เฮ้ยอ้ายหลอออโม้โซ่มันยาว |
ค่อยค่อยสาวกระซิบบอกกันให้สิ้น |
พวกเชียงใหม่อย่าให้มันได้ยิน |
พ่อจะมาพาบินไปคืนนี้ |
ค่อยงุบงิบกระซิบกันต่อไป |
ลาวไทยที่ติดตรวนรู้ถ้วนถี่ |
พวกคนโทษทั้งสิ้นก็ยินดี |
เตรียมตัวไว้ไม่มีใครนิทรา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิเชี่ยวชาญหาญกล้า |
กับพลายงามลูกรักอันศักดา |
ดูเวลาปลอดห่วงกลาทัณฑ์ |
เห็นดาวดวงสะกดหมดจดแจ่ม |
พระจันทร์แรมลับสิ้นดินสวรรค์ |
ดึกได้ฤกษ์งามยามสำคัญ |
ก็แต่งตัวจัดสรรให้มั่นคง |
ปลดเปลื้องเครื่องลาวลงใส่ย่าม |
นุ่งม่วงสีครามงามระหง |
เข็มขัดขมองโขมดคาดดูอาจอง |
แล้วประจงโพกประเจียดประจุฤทธิ |
ใส่เสื้อลงเลขยันต์ย้อมว่านยา |
เสกจันทน์เจิมหน้าประกาศิต |
จับดาบย่างกรายบ่ายตามทิศ |
แล้วยกเมฆได้นิมิตเหมือนรูปคน |
ลมจันทกลาล่องคล่องข้างซ้าย |
ก็ก้าวกรายซ้ายก่อนออกจรถนน |
แล้วร่ายเวทจังงังกำบังตน |
เดินรีบร้นถึงตะรางสว่างไฟ |
ขุนแผนอ่านอาคมสะดมคน |
ทั้งตะรางครางกรนไม่ทนได้ |
กระซิบสั่งโหงพรายทั้งหลายไป |
สะกดไอ้นายคุกเสียทุกคน |
แล้วแก้มนตร์พวกไทยที่ในคุก |
ราวกลับปลุกตื่นเตือนกันเกลื่อนกล่น |
สะเดาะประตูเปิดกว้างทั้งล่างบน |
ทั้งสองคนเข้าไปมิได้ช้า ฯ |
๏ ขุนแผนเสกข้าวสารหว่านซัดซ้ำ |
เครื่องจำหลุดกายทั้งซ้ายขวา |
ร่วงกราวเท้ามือทั้งขื่อคา |
ต่างทะลึ่งลุกถลาทั้งลาวไทย |
พระท้ายน้ำกำกงตรงออกมา |
วันทาขุนแผนทั้งนายไพร่ |
อ้ายลางคนขุ่นแค้นแสนเจ็บใจ |
ใครข่มเหงนึกได้ไล่ฟาดฟัน |
อ้ายผู้คุมสามนายที่ร้ายกาจ |
ฟันผลัวะฉัวะฉาดขาดสะบั้น |
เลือดอาบดาบมันแลฟันมัน |
มันดุดันด่าเฆี่ยนพ่อเจียนตาย |
ยังอ้ายผู้กำกับอยู่ทับนอก |
อ้ายขี้ครอกเฆี่ยนพ่อถึงสองหวาย |
ตาหลอขึ้นทับคร่าฝาทลาย |
เอาดาบป่ายปุบดิ้นสิ้นชีวี |
ตารักแค้นใจอ้ายตรวจเพลิง |
มันตรวจหวดหลังเปิงอยู่ป่นปี้ |
จะเอามันไว้ไยไอ้อัปรีย์ |
แกฟันทิ้งกลิ้งคี่อยู่คาเรือน |
อ้ายคนโทษโกรธใครไล่พิฆาต |
ฟันเสียหัวขาดออกกลาดเกลื่อน |
ที่ไม่ถูกฆ่าฟันก็ฟั่นเฟือน |
ละเมอกรนป่นเปื้อนเหมือนป่าช้า ฯ |
๏ ครั้นออกจากตะรางมาข้างนอก |
ตาหลอจึงบอกขุนแผนว่า |
พวกเราถูกรัดรึงไว้ตรึงตรา |
จนง่อยเปลี้ยเสียขาไปหลายคน |
จะคลุกคลีหนีไล่ไม่ถนัด |
ฉวยมันตัดทางตีสิปี้ป่น |
ต้องลักม้าไปบ้างต่างตีนตน |
ได้ถ้วนคนตามพ่อพอจะทัน |
พวกฉันจะไปดูด้วยรู้แห่ง |
โรงข้างขวาม้าแซงนั้นแข็งขัน |
โรงซ้ายม้าทวนล้วนสำคัญ |
เอาให้ครบขากันทุกคนไป ฯ |
๏ ขุนแผนร้องว่าช้าตาเถ้า |
แต่ลำพังพวกเจ้าเห็นไม่ได้ |
ไปเจอลาวก็จะฉาวทั้งเวียงชัย |
มันจะไล่เอาแหลกขี้แตกตาย |
จึงสั่งตาหลอให้นำหน้า |
แล้วต่างคนตามมาสิ้นทั้งหลาย |
ถึงโรงม้าซัดปาข้าวสารปราย |
แล้วสั่งพรายให้กำบังระวังตัว |
อ้ายพวกลาวเฝ้าม้าพากันหลับ |
กอดประกับกรนดังทั้งเมียผัว |
เปิดประตูกรูเข้าไปไม่คิดกลัว |
เที่ยวค้นของมองทั่วทุกสิ่งไป |
บ้างฉวยคว้าผ้าแพรแก้ผ้านุ่ง |
รูดเอาถุงเมียหมดปลดเอาไถ้ |
ทั้งเงินทองของดีที่พอใจ |
พบที่ไหนฉวยคว้าไม่ปรานี |
ขุนแผนร้องเหวยเฮ้ยอย่าช้า |
ต่างก็มาแก้ม้าขมันขมี |
เครื่องใครใส่มันเข้าทันที |
แล้วขึ้นขี่พร้อมหน้าถ้วนขากัน |
ตาหลอเลือกม้าดีให้สี่นาย |
ล้วนแยบคายขี่ถูกผูกเครื่องมั่น |
พระท้ายน้ำขับม้านำหน้าพลัน |
ถัดนั้นกำกงมาตรงกลาง |
ม้าขุนแผนพลายงามตามต้อนหลัง |
กระทืบโกลนกังกังสะบัดย่าง |
ครั้นถึงที่สี่แพรกจะแยกทาง |
ขุนแผนถากไม้ทองหลางคาบหลักไว้ |
เอาถ่านมาจารึกอักษรศรี |
ให้ชาวบุรีรู้ระบิลสิ้นสงสัย |
ใครมาพบอักษรอย่านอนใจ |
จงรีบเอาเข้าไปให้นายมึง |
ครั้นสำเร็จเสร็จปักหลักสารา |
เผ่นขึ้นหลังม้ากระทืบผึง |
ตามกันสะบัดย่างวางปรึงปรึง |
มาถึงทางจะออกนอกนคร ฯ |
๏ ตาโม้กับตามาทั้งตาหลอ |
ว่าคุณพ่ออย่าเพ่อรีบไปก่อน |
อ้ายพวกลาวเลี้ยงช้างอยู่กลางดอน |
ล้วนงางอนงามงามสามสิบตัว |
เราจะต้องรบรับยับยั้ง |
ถ้าช้างมีขี่มั่งจะยังชั่ว |
ล้วนแต่ดีฝีงาดูน่ากลัว |
ฉันรู้ที่ทอดทั่วทุกตำบล ฯ |
ขุนแผนร้องว่าเออตาเถ้า |
ถ้าพวกเรารู้ตำแหน่งแห่งหน |
คิดจะเข้าเอาช้างก็ชอบกล |
ด้วยผู้คนของเราไม่มากมาย |
ถึงแม้นได้ช้างงามมาหลายหลัง |
พอจะได้เป็นกำลังเราทั้งหลาย |
ควาญหมอเราก็มีดีหลายนาย |
ไว้ดันแดกแหกค่ายทลายทัพ |
แน่ตาหลอคุมไพร่ไปสักร้อย |
อ้ายลาวน้อยจงกลุ้มเข้ารุมจับ |
ชิงช้างทั้งจำลองสัปคับ |
เอาให้ได้พร้อมสรรพแล้วขับมา ฯ |
๏ ตาหลอรับนับคนได้ร้อยเศษ |
สังเกตที่ได้ชัดเดินลัดป่า |
ถึงก็ยั้งตั้งโห่ขึ้นสามลา |
ตรงเข้าคว้าจับเอาอ้ายชาวช้าง |
ทำแต่ให้ตกใจไม่ฆ่าฟัน |
มัดศอกติดกันทั้งสองข้าง |
เข้าควักล้วงช่วงชิงวิ่งโกรงกราง |
เครื่องเคราขนพลางไม่รั้งรอ |
ประโคนพานหน้าหลังหนังชนัก |
อานจำหลักทั้งแหย่งกระแชงขอ |
บรรดาของต้องการกว้านจนพอ |
แล้วขึ้นคอไล่วิ่งลูกดิ่งตี |
ช้างถูกลูกดิ่งวิ่งชิงคลอง |
บ้างก็ร้องแหกป่ามาอึงมี่ |
พวกไทยลาวตัวฦๅฝีมือดี |
ทั้งหมอควาญขับขี่ไม่มีช้า |
ครู่หนึ่งถึงที่ขุนแผนคอย |
ตาหลอตามรอยเข้าไปหา |
บอกว่าลูกไปได้ช้างมา |
ล้วนว่องไวใหญ่กล้างาลากดิน |
ขุนแผนฟังตาหลอหัวร่อร่า |
สั่งให้เดินช้างม้ามาทั้งสิ้น |
กำลังดึกดาวกระจ่างน้ำค้างริน |
ก็เข้าถิ่นจะถึงที่บึงบอน ฯ |
๏ ฝ่ายข้างทหารสามสิบห้า |
ได้ยินอื้ออึงมาบ่ากระฉ่อน |
สำคัญคิดว่าลาวชาวนคร |
ก็รีบร้อนแต่งตัวทั่วทุกคน |
พรหมศรสำมะยังสั่งอาสา |
เราคอยท่าตัดทัพให้ยับย่น |
ถ้าได้ยินกลองน้อยแล้วถอยตน |
ฆ้องกระแตรีบร้นเร่งเข้าไป |
สั่งกันเสร็จสรรพจับอาวุธ |
คาดตะกรุดโพกประเจียดมงคลใส่ |
พรหมศรคุมอาสาแยกขวาไป |
สำมะยังคุมไพร่แยกซ้ายจร |
ครั้นถึงที่แถบทางหว่างช่องแคบ |
ต่างเข้าไปแอบในพุ่มแล้วซุ่มซ่อน |
แต่ล้วนคนหัวไม้ใจแน่นอน |
มิได้หย่อนย่อท้อต่อไพรี |
พอพระนายท้ายน้ำที่นำหน้า |
ขับม้าเดินเฉยเลยพ้นที่ |
สำมะยังสั่งให้โห่ขึ้นสามที |
ออกจากพงตรงรี่เข้าตัดทัพ |
เผ่นขึ้นงาช้างง้างฟันคอ |
ถูกตาหลอพอเลือดเป็นยางหนับ |
ตาหลอยกขอขึ้นรำรับ |
ฟาดขวับถูกถนัดพลัดตกตึง |
หล่นปุกลุกขึ้นได้ใส่พวกม้า |
เอาดาบปาพระท้ายน้ำเข้าต้ำผึง |
เสื้อขาดพลาดท่าควบม้าปรึง |
กระทืบโกลนโผนทะลึ่งไปตามช้าง |
ทั้งพวกลาวไทยไม่รู้ตัว |
พากันกลัวโดดวิ่งทิ้งดาบผาง |
ขุนแผนคิดว่าลาวมาดักทาง |
กระทืบม้าผ่ากลางวางเข้าไป |
เจ้าพลายกระทืบแผงแข่งบิดา |
ฟันฟาดสาตราเข้าลุยใส่ |
ธรรมเถียรวิ่งถลันมาทันใด |
กับพวกไพร่พรูพร้อมล้อมเข้ามา |
ขุนแผนตวาดอำนาจครุฑ |
ดาบหลุดหกล้มลงจมหญ้า |
พรหมศรสำมะยังยืนจังกา |
หยักรั้งตั้งท่าแล้วแทงเอา |
ถูกอกขุนแผนเข้าต้ำอัก |
หอกหักยู่ไปไม่ยักเข้า |
ขุนแผนเห็นหอกหักชักนางกระเบา |
แทงอ่ายเถ้าพรหมศรลงนอนดิ้น |
ไม่เข้าหนังสำมะยังวิ่งเข้าแก้ |
แร่เข้าฟันเจ้าพลายคล้ายฟันหิน |
ชั้นเสื้อนอกหอกดาบก็ไม่กิน |
หักบิ่นยู่พับยับย่อยไป |
นายโดดกับนายเสือเงื้อหอกง่า |
ขุนแผนปาลงต้ำฉาดพลาดไถล |
สำมะยังธรรมเถียรเปลี่ยนแปลกใจ |
นี่อย่างไรคงทนพ้นกำลัง |
พิโรธแรงแกว่งดาบทะลวงไล่ |
เหลือบไปเห็นขุนแผนก็ถอยหลัง |
ใครนั่นหนอคุณพ่อดอกกระมัง |
เอออ้ายสำมะยังดอกฤๅไร |
พวกทหารเห็นแม่นขุนแผนนาย |
ใจหายทิ้งดาบลงกราบไหว้ |
ไม่รู้ว่าคุณพ่อขออภัย |
คิดว่าลาวเชียงใหม่มันยกมา |
แทงคุณพ่อกับพ่อพลายเป็นหลายที |
โทษลูกถึงที่จะสังขาร์ |
ขุนแผนชอบใจไม่โกรธา |
ว่าแกล้วกล้าเช่นนี้แลดีครัน |
ครั้นรู้จักตัวกันทั่วหน้า |
ให้ลดเลี้ยวเที่ยวหากันจ้าละหวั่น |
ทั้งพวกช้างพวกม้าตามมาพลัน |
เสียงเพรียกเรียกกันอึงคะนึง |
กำกงกับพระนายท้ายน้ำนั้น |
ด้วยความกลัวตัวสั่นจนมาถึง |
ประทับทอดม้าช้างวางกันอึง |
พร้อมกันอยู่ที่บึงสบายใจ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งรางสางแสงพระสุริเยนทร์ |
เยื้องพระเมรุเลื่อนล่องส่องแสงใส |
พวกพนักงานลาวชาวเวียงชัย |
จะเบิกไขคนโทษไปทำงาน |
ถึงประตูจู่เดินมาดุ่มดุ่ม |
เห็นผู้คุมหัวขาดอยู่กลาดย่าน |
ต่างตกใจไปค้นวิ่งลนลาน |
พบซมซานยังไม่ตายก็หลายคน |
เรือนนายตรวจหักแหกของแตกหาย |
กระจัดกระจายไปทุกเรือนออกเกลื่อนกล่น |
เข้าไปในตะรางที่ข้างบน |
เห็นผู้คนหายไปทั้งไทยลาว |
นายร้อยพะทำมะรงลงกลิ้งกลาด |
บ้างหัวขาดเหลือกตาดูหน้าขาว |
โซ่ตรวนหลุดกองทั้งสองราว |
คาขื่อมือเท้าเกะกะไป |
โซ่พันยังลั่นกุญแจติด |
ตรวนก็ชิดหาเห็นรอยคัดไม่ |
ขื่อลิ่มก็ยังดีนี่อย่างไร |
ประหลาดใจโดดตะรางวางวิ่งมา |
ฝ่ายอ้ายลาวเฝ้าม้าทั้งผัวเมีย |
ลุกขึ้นนั่งงัวเงียยังแก้ผ้า |
ครั้นสร่างมนตร์เหลียวคว้างเห็นว่างตา |
หมอนมุ้งกระบุงตะกร้าก็หายไป |
เมียแลดูผัวเห็นตัวเปล่า |
เอ๊ะใครเอาผ้านุ่งไปเสียไหน |
ผัวแลดูเมียเสียน้ำใจ |
ผ้าผ่อนล่อนกะไรไม่ติดกาย |
ผัวเมียตีอกตกประหม่า |
นางเมียไม่มีผ้าคว้าเสื่อหวาย |
ผัวขยุ้มกุมจุ่นอยู่วุ่นวาย |
ฉวยกระสอบสวมกายคล้ายกางเกง |
ทั้งโรงเหนือโรงใต้ไม่มีม้า |
พวกคนเลี้ยงวิ่งร่ามาเหยงเหยง |
อ้ายบางคนแก้ผ้ามาโทงเทง |
โรงกูเองก็หายตายแล้วเรา |
กำลังพวกเลี้ยงม้าจ้าละหวั่น |
ก็พบกันกับอ้ายพวกนายคุกเข้า |
พูดกันฟั่นเฟือนเหมือนกับเมา |
พออ้ายเถ้าเลี้ยงช้างวางวิ่งมา |
พบกันเข้าทุกคนที่ต้นทาง |
เล่าคดีถี่ห่างกันพร้อมหน้า |
จะพากันเข้าไปในศาลา |
มาพบหลักอักขราเข้ากลางทาง |
ก็รู้ว่าหนังสือฝีมือไทย |
ตรงเข้าไปถอนชักหลักทองหลาง |
อ่านดูรู้แจ้งไม่แคลงคลาง |
ก็แบกวางเข้ามาศาลาใน ฯ |
๏ ครานั้นแสนท้าวเหล่าพระยา |
นั่งอยู่บนศาลาลูกขุนใหญ่ |
กำลังว่าราชการงานเวียงชัย |
แลไปเห็นคนวิ่งลนลาน |
บ้างนุ่งเสื่อใส่กระสอบวิ่งหอบโครง |
บ้างโล้งโต้งแก้ผ้ามางุ่นง่าน |
ก็ร้องทักถามไปไม่ได้การ |
อ้ายพวกนั้นจัณฑาลเป็นสิใด |
ผ้าผ่อนล่อนแก่นแล่นออกฉาว |
ใครฉกชิงวิ่งราวฤๅไฉน |
คนดีฤๅบ้ามาทำไม |
นายเวรไปถามดูให้รู้ความ |
พอพวกนั้นเข้าไปในศาลา |
หมอบกราบคลานเข้ามาออกงุ่มง่าม |
ปากสั่นคอสั่นให้ครั่นคร้าม |
ฟังถามต่างก็แจ้งแห่งกิจจา |
ว่าสาธุเจ้าประคุณบุญปกหัว |
โทษตัวข้อยนี้เป็นหนักหนา |
เมื่อยามดึกคนดีมีเข้ามา |
สะกดฆ่าผู้คุมเสียมากมาย |
สะเดาะโซ่กุญแจเข้าแก้ไทย |
ทั้งพวกล้านช้างไปเสียสูญหาย |
นายตรวนนายตรามันฆ่าตาย |
เจ้าประคุณทั้งหลายได้โปรดปราน |
ฝ่ายพวกกองช้างก็กราบเรียน |
มันผูกมัดรัดเฆี่ยนกระหม่อมฉาน |
เข้าแก้แหล่งลักช้างทั้งเครื่องอาน |
เอาช้างใหญ่ไปประมาณสามสิบตัว |
อ้ายพวกม้าปากสั่นรันเรียนไป |
ว่าสาธุคุณผู้ใหญ่ได้ปกหัว |
มันสะกดข้าพเจ้าหลับเมามัว |
แก้ผ้าผ่อนล่อนตัวไม่ว่าใคร |
แล้วเลือกม้าดีดีมีกำลัง |
ทั้งเครื่องอานเบาะหนังหาเหลือไม่ |
ประมาณม้าทั้งหลายที่หายไป |
นับได้เป็นม้าห้าร้อยปลาย |
แล้วมาพบไม้หลักปักกลางทาง |
ปิดหนังสืออวดอ้างไว้มากหลาย |
ว่ากล่าวหยาบช้าถึงท้าทาย |
จะทำลายเชียงอินท์ให้สิ้นกรุง ฯ |
๏ พระยาลาวฟังแถลงแจ้งคดี |
อ้ายพวกไทยแล้วนี่ที่ทำยุ่ง |
ต่างพิโรธโกรธใจดังไฟฟุ้ง |
จับหนังสือถือมุ่งเขม้นดู |
ครั้นรู้แจ้งประจักษ์ในอักขรา |
ต่างคนผลัดผ้าไม่ช้าอยู่ |
เพี้ยกวานตามหลังมาพรั่งพรู |
กรูเข้าท้องพระโรงด้วยทันใด ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นพุงดำ |
ฤทธิล้ำฦๅจบพิภพไหว |
สถิตแท่นสุวรรณอันอำไพ |
อยู่ที่ในพระโรงรัตน์ชัชวาล |
พร้อมหมู่แสนท้าวเหล่าพระยา |
บัญชาตรัสประภาษอยู่ฉาดฉาน |
เห็นข้าเฝ้าเข้ามาดูลนลาน |
เฮ้ยเพี้ยกวานเอาไม้อะไรมา ฯ |
๏ เพี้ยกวานกราบทูลมูลเหตุ |
ว่าสาธุทรงเดชโปรดเกศา |
เมื่อคืนนี้มีโจรอหังการ์ |
มาแก้ชาวอยุธยาพาหนีไป |
ซ้ำลักเอาม้าห้าร้อยถ้วน |
เลือกแต่ล้วนตัวดีที่สูงใหญ่ |
แล้วออกไปชิงช้างที่กลางไพร |
เอาไปได้งามงามสามสิบตัว |
อ้ายคนโทษพวกลาวชาวล้านช้าง |
ก็พลอยหนีหมดตะรางพระทูนหัว |
มันปักหนังสือท้าว่าไม่กลัว |
ได้ค้นคว้าหาทั่วก็ไม่ทัน ฯ |
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังดังไฟผลาญ |
ร้องเรียกล่ามพนักงานขมีขมัน |
เฮ้ยอ่านไปให้แจ้งแห่งสำคัญ |
หนังสือนั้นมันท้าว่ากะไร ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพันจามล่ามพนักงาน |
คลานมารับจับอ่านหาช้าไม่ |
ว่าพระจอมนครินทร์ปิ่นกรุงไทย |
บัญชาใช้ให้ทหารพระกาลมา |
เราฤๅชื่อพระยาแผนพิฆาฏ |
คุมพวกไพร่อาทมาตสามสิบห้า |
กับพลายงามลูกรักอันศักดา |
ยกมาจะประหารผลาญบุรี |
ด้วยลาวชิงสร้อยทองของท่านไว้ |
แล้วจับไทยจองจำทำป่นปี้ |
เราเข้ามาแก้ไขไทยเหล่านี้ |
กับพวกที่ล้านช้างส่งนางไป |
ให้พวกเรารอดพ้นทนทุกข์ก่อน |
จะหลบลี้หนีซ่อนนั้นหาไม่ |
จะรอเราให้เข้ามาชิงชัย |
ฤๅจะตามก็ไปที่บึงบัว |
ถ้ารักชีวิตคิดถึงซึ่งพวกพ้อง |
จงทูนนางสร้อยทองไปบนหัว |
ส่งให้แล้วคำนับรับว่ากลัว |
จึงจะปลอดรอดตัวไม่มรณา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ครั้นได้ฟัง |
แค้นคั่งราวกับไฟไหม้เวหา |
เหม่อ้ายไทยขี้ถังอหังการ์ |
มาอวดกล้าท้าทายหยาบคายแท้ |
เฮ้ยบรรดาแสนท้าวเหล่าพระยา |
ซึ่งมันว่ายังจะจริงกระนั้นแน่ |
ฤๅพรั่นตัวกลัวเราจะตามแจ |
จึงพูดแก้ขู่ไว้ให้รอช้า |
กับพวกมันสามสิบสักหยิบมือ |
อ้ายที่หนีคุกฤๅจะสู้หน้า |
ล้อมฟันเสียไม่ทันจะพริบตา |
ซึ่งเราว่าใครจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ครานั้นพระยาจันทรังสี |
ผู้ว่าที่สมุหทหารใหญ่ |
คิดพลางทางทูลไปทันใด |
มันท้าไว้ถ้อยคำก็สำคัญ |
ถ้าไม่ดีไหนจะมีหนังสือท้า |
อ้ายคนที่ยกมาจะแข็งขัน |
เรายกไปคงได้ถึงรบกัน |
ด้วยว่ามันอิ่มเอิบกำเริบใจ |
แต่อ้ายพวกมาตามสามสิบห้า |
ถึงดีแท้ก็จะมาทำไมได้ |
อ้ายห้าร้อยที่มันมาลักพาไป |
ทั้งลาวไทยไม่มีอ้วนล้วนพุงโร |
มันเสมือนหมู่เนื้อเสือเคยทับ |
ไหนจะกลับหันหน้าเข้ามาโต้ |
สามสิบห้าถึงจะกล้าเป็นเอกโท |
อ้ายคนโซก็จะพาอ้ายกล้าไป |
ขอให้แต่งม้าใช้ออกไปดู |
ถ้ามันยังตั้งอยู่ที่บึงใหญ่ |
จึงค่อยยกกองทัพขับพลไกร |
เข้าลุยไล่เสียให้แหลกเป็นผงคลี ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นพิภพ |
ฟังจบตรึกตรองเห็นต้องที่ |
จึงสั่งตรัสมุงกะยองกองพาชี |
จงเลือกหาม้าดีขี่ออกไป |
รีบไปสืบดูให้รู้แท้ |
มันหนีแน่ฤๅยังอยู่ที่บึงใหญ่ |
ถ้ามันอยู่สูมาอย่านอนใจ |
เราจะได้เกณฑ์ทัพไปจับมัน ฯ |
๏ ครานั้นมุงกะยองมองไล่ |
รับสั่งแล้วรีบไปขมีขมัน |
ผูกม้าโผนธรณีสีจันทน์ |
ขึ้นกระทบแผงผันผยองไป |
ปล่อยใหญ่ใส่ห้อไม่ย่อหย่อน |
พอแดดอ่อนก็ถึงที่บึงใหญ่ |
ลงจากม้าดอดดุ่มเข้าพุ่มไพร |
ขึ้นบนต้นไม้ลอบแลดู |
ประมาณคนเบ็ดเสร็จเจ็ดร้อยกว่า |
เห็นทางท่าไม่หนีทีจะสู้ |
แต่แลไปไม่เห็นตั้งค่ายคู |
สังเกตรู้แน่ชัดถนัดตา |
ลงจากต้นไม้มารี่หรับ |
ขึ้นพาชีขี่ขับไปกลางป่า |
พอตะวันอัสดงก็ปลงม้า |
ตรงเข้ามายังท้องพระโรงชัย |
ครั้นถึงหน้าที่นั่งบังคมทูล |
ตามมูลเหตุแจ้งแถลงไข |
ข้าพเจ้าเล็ดลอดดอดเข้าไป |
เห็นลาวไทยลุกนั่งอยู่พรั่งพรู |
ทั้งนายไพร่ใหญ่น้อยเจ็ดร้อยกว่า |
เห็นทางท่ารั้งรอจะต่อสู้ |
แต่อย่างไรไม่เห็นตั้งค่ายคู |
มันตั้งอยู่ที่บึงทางครึ่งวัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
แผดเสียงเปรี้ยงดังสนั่นลั่น |
เหม่เหม่อ้ายไทยใจฉกรรจ์ |
เจ็ดร้อยน้อยฤๅนั่นมาขันรบ |
ไม่พอครือมือลาวชาวเชียงใหม่ |
สักอึดใจก็จะมัดดังรัดกบ |
เพียงหักไม้คนละกิ่งทิ้งสมทบ |
ก็จะกลบเสียได้ไม่คณนา |
ดำรัสตรัสประภาษอยู่ฉาดฉาน |
สั่งท้าวกรุงกาฬตรีเพชรกล้า |
จงเร่งยกพหลพลโยธา |
ไปจับจิกหัวมาให้หนำใจ |
อันเพี้ยปราบเมืองแมนแสนกำกอง |
ทั้งสองเคยเคี่ยวเข็ญเป็นผู้ใหญ่ |
ยกเป็นปีกซ้ายขวาคลาไคล |
ให้กรุงกาฬนั้นไซร้เป็นแม่ทัพ |
แสนตรีเพชรกล้าขี่ม้าคล่อง |
เคยทำนองหักโหมเข้าโจมจับ |
เป็นแม่ทัพสินธพไปรบรับ |
ให้พร้อมสรรพพรุ่งนี้สี่โมงปลาย ฯ |
๏ พระยาจันทรังสีได้รับสั่ง |
ออกมานั่งศาลาให้บัตรหมาย |
เร่งเรียกพลไกรทั้งไพร่นาย |
จัดจ่ายช้างม้าเครื่องอาวุธ |
ทัพม้าห้าพันสกรรจ์หมด |
ใจคอทรหดเป็นที่สุด |
เคยฝึกฝนทนทานชำนาญยุทธ |
ทั้งซ้ายขวาอุตลุดล้วนขี่ม้า |
บ้างถือทวนถือเสน่าเกาทัณฑ์ |
เรี่ยวแรงแข็งขันเคยอาสา |
มีนายกองนายหมวดคอยตรวจตรา |
พร้อมสรรพทัพหน้าได้ห้าพัน |
เพชรกล้าประทานม้าพระที่นั่ง |
มีกำลังไวว่องคล่องขยัน |
ชื่อว่าเหมรัศมีสีจันทน์ |
ผูกเครื่องกุดั่นประดับพลอย |
แผงข้างเขียนนางกินนรรำ |
โกลนคร่ำโพธิ์ทองทั้งพู่ย้อย |
อานปรุลายฉลุจำหลักลอย |
ควาญประจำจูงคอยจะยาตรา ฯ |
๏ กรุงกาฬทัพใหญ่ยกไว้ก่อน |
กล่าวถึงทัพอัสดรตรีเพชรกล้า |
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา |
อยู่คงสาตราวิชาดี |
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ |
แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ |
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี |
ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง |
สักอุระรูปพระโมคคัลลาน์ |
ภควัมปิดตานั้นสักหลัง |
สีข้างสักอักขระนะจังงัง |
ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา |
ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล่ |
ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า |
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา |
ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว |
เป็นโปเปาปุบปิบยิบทั้งกาย |
ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว |
แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว |
ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว |
สูงใหญ่รูปร่างเหมือนอย่างเสือ |
กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว |
หนวดโง้งโก่งฟั่นพันเป็นเกลียว |
ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย |
นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายกับตาเสือ |
ขอบตาแดงเรื่องดังชาดป้าย |
คิ้วกระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย |
ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี |
แต่รุ่นหนุ่มคุ้มใหญ่ไม่อาบน้ำ |
เพื่อนตำแต่ว่านยาทาขัดสี |
ไม่นอนด้วยภรรยาทั้งตาปี |
ต่อศึกมีเมื่อไรได้อาบน้ำ |
จะไปทัพจึงหาบรรดาว่าน |
มาเสกอ่านอาคมถมถนำ |
เครื่องรางตะกรุดลงองค์ภควัม |
บริกรรมเสกเป่าเข้าทันใด |
แล้วตักน้ำตีนท่ามาใส่ขัน |
หยิบเครื่องอานว่านนั้นเอาลงใส่ |
เสกเดือดพล่านพลั่งดังตั้งไฟ |
เห็นประจักษ์วักได้ใส่หัวพลัน |
หยิบเครื่องอานว่านยาขึ้นมาไว้ |
เพชรกล้าลงไปในแม่ขัน |
ประจงจบเคารพแล้วอาบพลัน |
ดูสำคัญในนทีจะมีลาง |
ถ้าจะเกิดอันตรายวายชีวิต |
ในนิมิตน้ำแดงเป็นแสงฝาง |
ถ้าไม่ชนะไม่แพ้แต่ปานกลาง |
น้ำเป็นอย่าสีรงลงละลาย |
ถ้าจะไปมีชัยแก่ข้าศึก |
น้ำเลื่อมดังผลึกวิเชียรฉาย |
ครั้งนั้นขาดชันษาชะตาตาย |
นิมิตสายชลธีเป็นสีแดง |
เพชรกล้ามุ่งเขม้นเห็นนิมิต |
รู้แท้แน่จิตประจักษ์แจ้ง |
น้ำอย่างสีฝางลางร้ายแรง |
นึกแสยงสยดสยอนถอนฤทัย |
เป็นสุดทุกข์ลุกออกมาผลัดผ้า |
ประหนึ่งว่าไม่ดำรงทรงกายได้ |
แล้วนึกว่าชาติทหารอันชาญชัย |
ถึงบรรลัยก็ให้ฦๅฝีมือลาว |
ฮึดฮัดจัดแจงแต่งกายา |
วันจันทร์นุ่งผ้ายกพื้นขาว |
คาดตะกรุดเครื่องรางปรอทวาว |
ใส่แหวนเพชรเม็ดพราวเหมือนดาวราย |
ประเจียดประจงจับตะแบงมาน |
สอดสังวาลสะอิ้งรัดจำรัสฉาย |
โพกผ้าขลิบพื้นขาวดาวกระจาย |
เข็มขัดสายทองถักล้วนอักขรา |
จบจับประคำทองเข้าคล้องคอ |
ผงดินสอเสกเสริมแล้วเจิมหน้า |
ถือง้าวก้าวย่างสามขุมมา |
เผ่นขึ้นหลังม้าสง่างาม |
ท่วงทีองอาจดังราชสีห์ |
สมกับที่ชาญชัยในสนาม |
ขยับยกเมฆในได้ฤกษ์ยาม |
ให้โห่สามลาเลิกโยธาไป |
แม่ทัพสัปทนคนกางกั้น |
เสียงฝีเท้าม้าลั่นแผ่นดินไหว |
พวกพลโห่ร้องคะนองใจ |
เป็นโกลามาในอรัญวา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงกองทัพท้าวกรุงกาฬ |
ทหารแม่ทัพใหญ่ใจกล้า |
ต่างเร่งรัดจัดแจงแต่งโยธา |
สั่งให้ผูกช้างงาเข้าฉับพลัน |
กรมช้างเร่งรัดจัดช้างตั้ง |
ล้วนพ่วงพีมีกำลังผูกเครื่องมั่น |
ควาญหมอท้ายคอคนสำคัญ |
ทหารนั้นนั่งกลางข้างละคน |
มีอาวุธพร้อมสรรพสำหรับช้าง |
มายืนข้างสองแถวแนวถนน |
สวมสอดเสื้อลงใส่มงคล |
ล้วนอยู่ยงคงทนซึ่งสาตรา |
บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพลว่าน |
บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา |
บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา |
บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน |
บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์ |
บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน |
บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพชรนิล |
ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนสาตรา |
เพี้ยปราบเมืองแมนแสนเสนี |
คุมกองโยธีข้างปีกขวา |
ขึ้นขี่คอคชสารตระหง่านงา |
โพกผ้าสีทับทิมริมขลิบทอง |
ใส่เสื้อสีชมพูดูแดงฉาด |
ขลิบตาดต้นแขนไว้ทั้งสอง |
ฝ่ายข้างปีกซ้ายนายกำกอง |
โพกทับทิมขลิบทองอยู่เหมือนกัน |
ใส่เสื้อกำมะหยี่สีตอง |
ประคำทองคล้องคอดูแข็งขัน |
ทั้งสองล้วนอยู่คงลงเลขยันต์ |
คุมพลข้างละพันทั้งขวาซ้าย |
แต่ล้วนเหล่าทหารชำนาญยุทธ |
ถือสาตราอาวุธเป็นเหล่าหลาย |
นายสอยดาวคุมสกรรจ์ก็พันปลาย |
เป็นทัพหลังรั้งท้ายสำรวจพล |
ขี่พลายแก้วมิ่งเมืองผูกเครื่องมั่น |
ใส่เสื้อจีบสีจันทน์หนังไก่ย่น |
หมวกโหมดลงยันต์กั้นสัปทน |
พร้อมพรั่งทั้งพหลพลโยธี |
ที่นั่งรองขององค์เจ้าเชียงใหม่ |
ประทานให้แม่ทัพนั้นขับขี่ |
สำหรับทรงชิงชัยกับไพรี |
ชื่อพลายพลิกธรณีมีน้ำมัน |
สูงหกศอกกำมางารัดทอง |
ตระพองผายท้ายด้อยดังช้างปั้น |
หางยาวหูใหญ่ใจฉกรรจ์ |
โขมดหัวสองชั้นคั่นมงคล |
จะย่างย่องว่องไวใช้กิริยา |
หนังหนาหน้ายักษ์ชักเนื้อย่น |
อยู่ปืนฟืนไฟไม่ดิ้นรน |
หางสะพัดปัดส้นเส้นขนกลม |
ผูกสะพักปักตระพองด้วยทองแล่ง |
พู่แดงห้อยหูดูงามสม |
พานหน้าท้านลายดาวเป็นดอกกลม |
สองข้างแนบแบบถมด้วยเงินยวง |
สายชนักถักไหมกลางใส่เบาะ |
ขอเกราะปลายง้าวคมขาวช่วง |
ควาญใส่เสื้อแดงแย่งชิงดวง |
ใส่หมวกโหมดม่วงทะมัดทะแมง ฯ |
๏ ครานั้นกรุงกาฬชำนาญทัพ |
จบจับเครื่องอานเข้าตกแต่ง |
นุ่งยกอย่างลาวขาวดอกแดง |
ใส่เสื้อกรองทองแล่งเป็นแย่งครุฑ |
สายสังวาลภควัมประจำคล้อง |
แหวนทองปัทมราชคาดตะกรุด |
เสื้อในลงยันต์กันอาวุธ |
เข็มขัดขุดขมองพรายเป็นลายดุน |
เหน็บกฤชตรงลงคมประจุขาด |
แล้วซ้ำคาดราตคดหนามขนุน |
ใส่หมวกถักไหมทองกรองตาชุน |
สะพายดาบญี่ปุ่นฝักหุ้มทอง |
เอาน้ำสระสรงองค์นารายณ์ |
มาพรมกายกรายกรากออกจากห้อง |
ควาญเทียบช้างประทับเข้ารับรอง |
ก็ย่างย่องขึ้นคอจับขอกราย |
ภาวนาตาเขม้นเห็นนิมิต |
วิปริตเป็นรูปคนหัวหาย |
จะยกต่อคอแขนไม่ติดกาย |
เป็นลางร้ายวิปริตก็ผิดใจ |
ครั้นจะทูลขอรั้งรออยู่ |
ก็อดสูโยธาบรรดาไพร่ |
เกิดเป็นคนใครจะพ้นที่บรรลัย |
ก็แข็งใจไปตามแต่เวรา |
ขาขยับไสช้างพอย่างกราย |
เห็นลูกนกตกตายลงต่อหน้า |
นกแสกแถกเสียดศีรษะมา |
แร้งกาบินจับสัปทน |
วันนั้นท้าวกรุงกาฬสะท้านจิต |
โอ้ชีวิตกูนี้คงปี้ป่น |
จำใจได้ฤกษ์ให้เลิกพล |
ขานโห่สามหนแล้วยกไป |
ดูชายธงตรงลิ่วไม่ปลิวสะบัด |
ลมก็จัดวิปลาสไม่หวาดไหว |
ทั้งเสียงโห่ก็ไม่ก้องให้หมองใจ |
สะทึกสะท้อนถอนฤทัยมาในดง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิพริ้งเพริศระเหิดระหง |
กับเจ้าพลายท้ายน้ำกึงกำกง |
นั่งปรึกษาการณรงค์กับโยธา |
เห็นผงคลีกลุ้มกลบตรลบบน |
ชะรอยลาวยกพลมาหนักหนา |
ขุนแผนนิ่งระงับหลับตา |
พิจารณารู้แน่ในทางปราณ |
นี่ลาวยกทัพหมื่นมาดื่นป่า |
ก็บัญชาสั่งให้ไพร่ทหาร |
ไปตัดอ้อแขมมาอย่าเนิ่นนาน |
ปักขนาบหน้ากระดานด้านท้ายบึง |
แล้วปักแยกแหกฉีกเป็นปีกกา |
เอาไม้มาขีดคูดูขังขึง |
ทั้งหอรบหอคอยร้อยแขมกรึง |
ดูประหนึ่งปักเล่นไม่แน่นแฟ้น |
พอแม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ |
แขมอ้อกลายไปเป็นไม้แก่น |
เชิงเทินรอบขอบคันไม่คลอนแคลน |
ปีกกาชักปักแน่นกว่าไม้จริง |
ที่รอยขีดกลับเป็นคูดูลึกซึ้ง |
อยู่ข้างบึงขวางดงตรงตลิ่ง |
ถึงจะต้องปืนใหญ่ไม่ไหวติง |
ทั้งหอรบครบสิ่งสำเร็จการ |
ขุนแผนสั่งพวกไพร่ในกองทัพ |
กำชับเตรียมตัวทั่วทุกด้าน |
แต่ตัวนายสี่คนอยู่บนร้าน |
ให้กองด่านดูลาวจะเข้ามา ฯ |
๏ จะขอหยุดยับยั้งข้างขุนแผน |
กล่าวถึงทัพนายแสนตรีเพชรกล้า |
รีบร้อนต้อนขับกองทัพม้า |
มาถึงป่าดอนตะแบกจะแยกทาง |
ดูไปไกลประมาณสามสิบเส้น |
แลเห็นค่ายไทยทั้งใหญ่กว้าง |
ทั้งขวาซ้ายรายชักปีกกากาง |
ขุดคูข้างขอบบึงไปถึงกัน |
ครั้นถึงที่เห็นสนามตามตำรับ |
ก็หยุดทัพยับยั้งลงตั้งมั่น |
แล้วปักธงยิงปืนเป็นสำคัญ |
ให้โห่สามลาลั่นสนั่นไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนทหาร |
ได้ยินลาวโห่ขานสะท้านไหว |
ร้องประกาศบอกกันนั่นเป็นไร |
ลาวยกทัพใหญ่มาคั่งคับ |
เรากับลูกรักอันศักดา |
จะยกพลโยธาออกเคี่ยวขับ |
ท่านทั้งสองคอยดูอยู่ในทัพ |
เราจะรับมือลาวชาวเชียงอินท์ |
แต่บรรดาพวกลาวบ่าวของท่าน |
ประจำการอยู่ในค่ายวงสายสิญจน์ |
แต่บรรดาพวกไทยใจทมิฬ |
จงขี่ม้ามาสิ้นให้ครบกัน |
เจ้าพลายงามยกไปเป็นทัพหน้า |
คุมพวกสามสิบห้าล้วนแข็งขัน |
เราจะยกทัพใหญ่หนุนไปพลัน |
ถ้าได้ทีตีตะบันบุกเข้าไป |
ถ้าพลลาวเหลือล้นพ้นประมาณ |
เราจะไสคชสารเข้าลุยไล่ |
จะรบราฆ่ามันให้บรรลัย |
จงตั้งใจอย่าประมาทต้องอาจอง |
สั่งแล้วขุนแผนกับลูกชาย |
แต่งกายคาดเครื่องเรืองระหง |
นุ่งผ้าตามตำรารณรงค์ |
เข็มขัดลงยันต์คาดสะอาดงาม |
เสื้อลงเลขยันต์ใส่ชั้นใน |
เสื้อนอกดอกใหญ่ทองอร่าม |
แหวนมณฑปนพเก้าดูวาววาม |
สังวาลสามสายแย่งตะแบงมาน |
สวมสายประคำทองเข้าคล้องคอ |
ทั้งลูกพ่อองอาจชาติทหาร |
ใส่หมวกขลิบตาดพระราชทาน |
ถือฟ้าฟื้นยืนตระหง่านสง่าดี |
ภาวนาตาเขม้นเห็นเมฆฉาย |
นิมิตเป็นรูปนารายณ์เรืองศรี |
สี่กรร่อนติดบนเมฆี |
ขุนแผนขึ้นคอขี่คชฉกรรจ์ |
เอานายเพชรเจ็ดปานเป็นควาญท้าย |
ใส่เสื้อลายสีแดงแสงเฉิดฉัน |
พลายงามขึ้นขี่ม้าสีจันทน์ |
สั่งให้ลั่นฆ้องฤกษ์แล้วเลิกพล |
ยิงปืนสัญญาขึ้นห้าตึง |
ฆ้องหึ่งขานโห่ขึ้นสามหน |
นายปลอดโบกธงเป็นมงคล |
ก็รีบร้นโยธาคลาไคล ฯ |
๏ พอสองทัพถึงกันประจันหน้า |
ลาวก็แยกปีกกาออกหวั่นไหว |
แสนตรีเพชรกล้าทอดตาไป |
เห็นทัพไทยลิบลิบสักหยิบมือ |
มันเสมือนแมลงเม่ามาเข้าไฟ |
นี่เข้าใจว่าจะรอดไปแล้วฤๅ |
สั่งให้ขับอัสดรต้อนพลฮือ |
คนละมือก็จะยับทั้งทัพไทย |
เอาเหวยเอาวาโยธาทัพ |
จับเอาตัวมันให้จงได้ |
อย่าให้มันปลอดลอดหนีไป |
กระทืบม้าผ่าไล่ไพร่พลมา |
เข้าล้อมหน้าล้อมหลังประดังฟัน |
พวกไทยตัวกลั่นล้วนแกล้วกล้า |
เจ้าพลายสั่งตั้งโห่ขึ้นสามลา |
กระทืบม้าฝ่าฟันประจัญรับ |
ลาวแทงเข้าด้วยทวนสวนสกัด |
ไทยปัดทวนพลาดฟาดฟันฉับ |
พวกลาวแร่แก้กันไทยฟันยับ |
โถมจับล้มคะมำคว่ำโก้งโค้ง |
ไล่ตะบันฟันฟัดสกัดสะแกง |
ลาวแทงไทยผลุงสะดุ้งโหยง |
ไม่เข้าไทยไทยกระทืบอยู่โกรงโกรง |
ไล่ทันฟันโป้งเข้าหลังปึง |
ลาวเงื้อทวนใหญ่แทงไทยปราด |
ไทยฟาดคันทวนสวนแทงผึง |
หัวถลำคว่ำถลาตกม้าตึง |
ยิ่งตายยิ่งตะบึงเข้าบุกบัน ฯ |
๏ เจ้าพลายกับพวกสามสิบห้า |
คว้างคว้างวางมาดังกังหัน |
เห็นลาวล้อมเข้าใกล้ออกไล่ฟัน |
ลาวเข้ารันรุมตีไม่หนีไทย |
ลาวแทงไทยฟันตะบันฆ่า |
ที่อยู่เหยียบกันเข้ามาหาถอยไม่ |
เป็นกลุ่มกลุ่มหุ้มห้อมล้อมเข้าไว้ |
จนเต็มทีพวกไทยหัวไหล่ล้า |
เจ้าพลายขับสีจันทน์เข้าฟันฟาด |
ดาบลงยันต์ฟันขาดดังฟ้าผ่า |
ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา |
ถูกดาบมรณาลงดาษดิน |
ลาวรุมกลุ้มแทงเสียงอึกอัก |
ทวนหักหอกยู่บู้บิ่น |
บุกตะบันฟันขนาบดาบไม่กิน |
เจ้าพลายฟาดขาดดิ้นสิ้นเป็นเบือ |
พวกลาวหวาดหวั่นพรั่นชะงัก |
ดังสุนัขพาหมู่เข้าสู้เสือ |
ร้องว่าดาบเราบ่เข้าเนื้อ |
กูฟันชั้นแต่เสื้อบ่เข้ามัน |
เจ้าพลายแกว่งดาบอยู่วาบวาว |
พวกลาวถอยท้อย่อขยั้น |
ดังพระยาสีหราชกาจฉกรรจ์ |
เข้าผกผันเผ่นคว้างกลางฝูงวัว |
เข้าไหนลาวหนีอยู่มี่ฉาว |
พวกลาวต่างขยั้นสั่นหัว |
เกรงสง่าไม่กล้าเข้าใกล้ตัว |
ด้วยความกลัวชีวันจะบรรลัย ฯ |
๏ ครานั้นจึงแสนตรีเพชรกล้า |
ขับต้อนโยธาอยู่หวั่นไหว |
เห็นไพร่พลเรรวนป่วนปั่นไป |
เพชรกล้าขัดใจกระโจมมา |
เท้ากระทืบแผงข้างผางผางลั่น |
เร่งรุกบุกบันขึ้นมาหน้า |
เสียงตวาดประกาศก้องเป็นโกลา |
มาจนหน้าม้าเจ้าพลายงาม |
เห็นรูปร่างสำอางลออตา |
เพชรกล้าเข้าใกล้แล้วไต่ถาม |
แน่ะเจ้านายทหารชาญสงคราม |
เจ้านี้มีนามกรไร |
พึ่งรุ่นหนุ่มร่างน้อยกะจิริด |
เจ้าเป็นศิษย์ศึกษาอาจารย์ไหน |
เป็นเผ่าพงศ์วงศ์วานท่านผู้ใด |
จงบอกไปให้แจ้งแห่งกิจจา ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง |
ร้องตอบคดีตรีเพชรกล้า |
อันตัวเราเป็นทหารอยุธยา |
ชื่อว่าพลายงามมาตามวงศ์ |
บิดาชื่อพระยาแผนพิฆาฏ |
พระราชทานตั้งนามตามประสงค์ |
ตัวเราเป็นศิษย์บิตุรงค์ |
เผ่าพงศ์วงศ์พลายหลายชั่วมา |
ท่านนี้มีนามกรใด |
ครั้นจะถามถึงผู้ใหญ่ก็เกินหน้า |
ถึงยังมีมิตายก็เต็มชรา |
แต่เรียนรู้ครูบาอาจารย์ใด ฯ |
๏ ครานั้นเพชรกล้าได้ฟังถาม |
ก็ชื่นชอบตอบความหาช้าไม่ |
ซึ่งถามเราจะเล่าให้เข้าใจ |
เจ้าชาวใต้ไม่รู้จู่ขึ้นมา |
เราเป็นเชื้อเจ้าท้าวคำแมน |
มียศเป็นแสนตรีเพชรกล้า |
เป็นเชื้อชาติทหารชาญศักดา |
ในลานนาใครใครไม่ต่อแรง |
พระครูผู้บอกวิทยา |
ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง |
สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง |
ทุกหนแห่งเลื่องฦๅนับถือจริง |
เจ้าหนุ่มน้อยนี้ฤๅชื่อพลายงาม |
ช่างสมรูปสมนามดูงามยิ่ง |
ตละแกล้งหล่อเหลาเพราพริ้ง |
รูปร่างอย่างผู้หญิงพริ้งพรายตา |
จะเปรียบลูกก็อ่อนกว่าลูกเล็ก |
จะเปรียบหลานพานจะเด็กกว่าหลานข้า |
ไม่ควรจะรบสู้กับปู่ตา |
กลับไปบอกบิดามารอนราญ |
จะได้เป็นขวัญตาโยธาทัพ |
เห็นฉบับแบบไว้ในทหาร |
ยังเด็กอยู่คอยดูวิชาการ |
เฮ้ยหลานพ่ออยู่ไหนไปบอกมา ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง |
ร้องตอบต่อคดีตรีเพชรกล้า |
แน่เธออย่าเพ่ออหังการ์ |
เจรจาหมิ่นประมาทเราชาติเชื้อ |
ตัวท่านแก่กายอย่างควายเถ้า |
อันตัวเราถึงเด็กเล็กลูกเสือ |
ฝีมือใครไพร่ลาวแหลกเป็นเบือ |
อย่าหลงเชื่อว่าผู้ใหญ่จะไม่แพ้ |
ถ้าไม่ดีที่ไหนใครจะมา |
จะขอลองวิชากับตาแก่ |
ให้ปรากฏฤทธีว่าดีแท้ |
ฤๅเป็นแต่ปากกล้ากว่าฝีมือ |
ขออภัยอย่าเพ่อให้ถึงบิดา |
แต่ลูกยาท่านจะชนะฤๅ |
มาลองดูสักหนให้คนฦๅ |
จะปลกเปลี้ยเสียชื่อดอกกระมัง ฯ |
๏ ครานั้นแสนตรีเพชรกล้า |
โกรธาตาแดงดังแสงครั่ง |
เหม่อ้ายนี่หนักหนาว่าไม่ฟัง |
มาโอหังอวดรู้สู้สงคราม |
เท้ากระทืบกระทบโกลนโผนผก |
มุ่นหมกขับคว้างมากลางสนาม |
ท่วงทีขี่ม้าสง่างาม |
รำง้าวก้าวตามกระบวนทวน ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าพลายงามทรามสง่า |
เห็นตรีเพชรขับม้ามาปั่นป่วน |
ก็ชักม้ารับร่ายย้ายกระบวน |
แล้วหันทวนว่องไวในทำนอง |
เพชรกล้ารำง้าววาววาววับ |
เจ้าพลายรำดาบรับสองมือป้อง |
สองนายร่ายรำตามทำนอง |
ม้าผยองผันผกวกวนเวียน |
แล้วยกรำทำท่าหงส์สองคอ |
เยื้องล่อเลี้ยวฟันหันเหียน |
แล้วรำท่ามังกรช้อนวิเชียร |
ผลัดเปลี่ยนว่องไวไม่เสียที |
เพชรกล้าถือง้าวยาวกว่าดาบ |
เจ้าพลายฉาบเข้าฟันแล้วผันหนี |
เพชรกล้าขัดใจไล่คลุกคลี |
เจ้าพลายรำทำทีให้ไล่ทัน |
เพชรกล้าได้ท่าปาลงฉาด |
เจ้าพลายหลบลาวพลาดคะมำหัน |
พลายงามตามชิดติดตะบัน |
สบท่าผ่าฟันลงต้ำตึง |
หยุ่นเปล่าหาเข้าตรีเพชรไม่ |
เยื้องขยับกลับใส่เจ้าพลายผึง |
เจ้าพลายผันฟันบ่าเพชรกล้าปึง |
เนื้อประหนึ่งหินผาศิลาแลง |
แสนตรีเพชรกล้าง่าง้าวกราย |
ฟันเจ้าพลายงามพรวดดังกรวดแกร่ง |
ราวกับเกาหลังให้ยิ่งได้แรง |
ฟันตะแบงบุกไปไล่ตะครุบ |
เอาดาบฟาดฉาดฟันตะบันส่ง |
เป็นหลายหนทนคงไม่บู้บุบ |
เพชรกล้ากลับด้ำเข้าตำทุบ |
ถูกเนื้อยุบพอขยายก็หายไป ฯ |
๏ แสนตรีเพชรกล้าระอาจิตร |
สุดคิดที่จะเอาชนะได้ |
นิ่งนึกตรึกตราแต่ในใจ |
ชะเด็กไทยคนนี้มันดีจริง |
ช่างกล้าแข็งแรงฤทธินั้นเกินร่าง |
ดูแต่หน้าท่าทางอย่างผู้หญิง |
มันสู้กูผู้ใหญ่ไหวมันจริง |
ด้วยเชิงชิงชัยชาญชำนาญแท้ |
จะรบรันฟันฟาดด้วยสาตรา |
เห็นทางท่าเอาชัยบ่ได้แน่ |
ต้องใช้มนตร์ทางในให้มันแพ้ |
ก็ชักม้าราแต้ออกยืนไกล |
หลับตาภาวนาร่ายพระเวท |
อันวิเศษเชี่ยวชาญอาจารย์ให้ |
เรียกมหาอาโปเป่าออกไป |
เป็นน้ำไหลพลุ่งพลั่งดังท่อธาร |
พิลึกล้นท้นท่วมทั่วจังหวัด |
ลมก็พัดเป็นละลอกกระฉอกฉาน |
พวกทัพไทยต่างคนตะลนตะลาน |
ตะเกียกตะกายว่ายซานขึ้นต้นไม้ |
ทั้งขี่ม้าหยั่งขาไม่ถึงที่ |
ด้วยนทีโชนเชี่ยวเป็นเกลียวไหล |
เหล่าพวกอาสาระอาใจ |
ต่างร้องบอกนายไปให้แก้มนตร์ ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามเจ้าความคิด |
เรืองฤทธิ์ฦๅแจ้งทุกแห่งหน |
อ่านคาถาเป่าปัดไปบัดดล |
ก็ทดท้นน้ำแห้งทุกแห่งไป |
แล้วอ่านมนตร์ดลเรียกเตโชธาตุ |
เป่าปราดไปเป็นเพลิงเถกิงไหม้ |
โพลงพลุ่งทุ่งเถือกเป็นเปลวไฟ |
วาบวามลามไล่ไพร่พลลาว |
พอลาวเห็นไฟไหม้ลามมา |
กระทืบม้าหนีพล่านออกฉานฉาว |
กัมปนาทหวาดหวั่นตัวสั่นท้าว |
ร้องเรียกเจ้านายช่วยข้าด้วยรา ฯ |
๏ ครานั้นเพชรกล้าเป็นจ่าศึก |
เห็นไฟไหม้คึกคึกมาเต็มป่า |
ระงับการร่ายพระเวทวิทยา |
เรียกมหาวลาหกให้ตกลง |
ก็เกิดเป็นเมฆตั้งขึ้นบังปก |
แล้วฝนตกโซมซ่าป่าระหง |
สักห่าใหญ่ไหลดาษแผ่นดินดง |
ดับไฟไหม้พงนั้นสูญไป |
เหล่าพวกอาสาโยธาหาญ |
หนาวสะท้านทุกคนไม่ทนได้ |
เข้ามั่วสุมกลุ่มกลมใต้ร่มไม้ |
ถูกเม็ดใหญ่ลูกเห็บเจ็บแทบตาย ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามความสามารถ |
ชาญฉลาดเฉลียวเลิศเฉิดฉาย |
อ่านอาคมเรียกลมที่ในกาย |
ระบายวาโยธาตุเป่าปราดไป |
ด้วยอาคมเกิดเป็นลมเพชรหึง |
ตึงตึงพัดฝนไม่หล่นได้ |
ที่หยดหยาดขาดสายหายทันใด |
ด้วยพระเวทฤทธิไกรอันชัยชาญ |
แล้วเอาก้อนกรวดมาซัดปราย |
เป็นเม็ดฝนกรวดทรายกระเซ็นซ่าน |
ตกต้องลาวพลตะลนตะลาน |
อลหม่านหนีซุกไปทุกคน |
บ้างขับม้าเข้าพุ่มคลุมหัวร้อง |
บ้างถูกต้องเจ็บปวดเม็ดกรวดฝน |
เป็นแผลเหือดเลือดไหลไปทุกคน |
เหลือทนเต็มประดาแก้ผ้าคลุม ฯ |
๏ ครานั้นจึงแสนตรีเพชรกล้า |
เห็นโยธาหน้าฟกอกเป็นตุ่ม |
แสนพิโรธโกรธใจดังไฟรุม |
ประชุมนิ้วเหนือเกล้าแล้วเป่าไป |
เกิดเป็นตะรางกลางอากาศ |
กั้นหยาดเม็ดฝนไม่หล่นได้ |
เม็ดฝนกรวดทรายหายทันใด |
แล้วสั่งไพร่ให้ลงจากพาชี |
เราประจญบนหลังอาชาไนย |
ดีแท้ก็แต่ไล่กับขับหนี |
อันจะเข้ารบรุกกันคลุกคลี |
การว่องไวไม่ดีเหมือนเดินเท้า |
ให้เอาม้าไปซุ่มเสียพุ่มชัฏ |
เลือกจัดแต่ล้วนทวนแหลนหลาว |
ให้พร้อมสรรพเครื่องยุทธอาวุธยาว |
สกัดก้าวห้อมล้อมให้พร้อมพรัก |
พวกเราเอาแต่แรงแทงมันส่ง |
ถึงอยู่คงก็ถูกกระดูกหัก |
ด้วยข้างเรากว่าพันมันน้อยนัก |
เอาเสียพักเดียวเถิดอ้ายพ่อกู ฯ |
๏ ทหารลาวกราวลงจากหลังม้า |
วิ่งผลุนหมุนมาเป็นหมู่หมู่ |
เข้าล้อมหน้าล้อมหลังออกพรั่งพรู |
เกรียวกรูทิ่มตำกระหน่ำแทง |
เหล่าพวกอาสาเข้าฝ่าฟัน |
ถูกลาวขาดสะบั้นสะพายแล่ง |
หัวขาดตัวขาดเลือดสาดแดง |
พวกกองหลังยังแซงแข่งเข้าไป |
เกลื่อนกลุ้มหุ้มไทยไว้เป็นหมู่ |
หอกยู่แทงเปล่าหาเข้าไม่ |
พวกอาสาฟันฟอนจนอ่อนใจ |
ยิ่งบรรลัยยิ่งรุมกลุ้มเข้ามา ฯ |
๏ จนไหล่ตกยกมือขึ้นไม่ไหว |
อิดใจเรียกนายพ่อพลายขา |
ลูกฟันมันจนสิ้นแรงระอา |
ตายหนึ่งหนุนมาห้าหกคน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
เชี่ยวชาญการสงครามไม่ย่อย่น |
เห็นพวกอาสาบรรดาพล |
เหนื่อยจนไหล่ตกไม่ยกมือ |
จึงรูดเอาใบมะขามมาสามกำ |
เสกซ้ำเป็นต่อบินปร๋อปรื๋อ |
ตั้งโกฏิแสนแน่นป่ามาฮือฮือ |
ดูออกคล่ำดำปื้อไปทุกละเมาะ |
ด้วยาวราวก้อยไม่ต่อยไทย |
จำเพาะลาวกราวไล่ใส่เปาะเปาะ |
พิษสงเหล็กในดังใครเคาะ |
ถูกเหมาะเหมาะล้มทับกันยับยุบ |
พวกลาวอาวุธหลุดมือถือ |
เอาแต่มือตบสู้อยู่ปับปุบ |
เหลือทนลุกล้มลงก้มฟุบ |
โดดผลุบลงในน้ำดำหนีไป |
พอเต็มกลั้นผุดฟ่อต่อต่อยซ้ำ |
ไม่กลับดำต่อยป่นทนไม่ได้ |
เพชรกล้าตาปิดพิษเหล็กใน |
ทั้งม้าม่อยต่อยไล่ไปพรั่งพรู |
หน้าตาล้วนแต่คาเหล็กในต่อ |
ม้าลาพาห้อชักไม่อยู่ |
บ่าวนายพ่ายหนีวิ่งกรีกรู |
พวกไทยไล่ลู่ตะลุมบอน ฯ |
๏ ครานั้นท่านท้าวกรุงกาฬ |
เห็นทหารเพชรกล้าวิ่งว้าว่อน |
กะปลกกะเปลี้ยเสียทีหนีซอกซอน |
ก็ไสช้างวางต้อนโยธามา ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนแสนสะท้าน |
เห็นกรุงกาฬเข้าด้วยช่วยทัพหน้า |
ก็ขับกุญชรต้อนโยธา |
ไสช้างขวางหน้าเจ้ากรุงกาฬ |
จึงร้องว่าฮ้าท่านฤๅทัพหลวง |
จึงเลยล่วงขับช้างมากลางทหาร |
ดูช้างม้ารี้พลพ้นประมาณ |
นี่จะไปรบราญบ้านเมืองใด ฯ |
๏ ครานั้นกรุงกาฬชาญกำแหง |
ได้ฟังคำเสียดแทงให้มันไส้ |
สูนี้พระยาแผนแล้วแม่นใจ |
มายกความถามไถ่ไม่มีอาย |
เข้ามาลักช้างม้าพาคนหนี |
แล้วเข่นฆ่าราตีคนทั้งหลาย |
ซ้ำปักหนังสือท้าว่าหยาบคาย |
ตัวไม่เป็นผู้ร้ายดอกฤๅไร |
อยุธยาช้างม้าไม่มีฤๅ |
จึงดึงดื้อมาปล้นจนเชียงใหม่ |
เรายกพลมาประจญจับโจรไพร |
ถ้าคืนของกลางให้จะรอดตัว ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน |
ได้ฟังท้าวกรุงกาฬก็ยิ้มหัว |
ช่างพูดได้ไม่คิดถึงเงาตัว |
ทำความชั่วถึงปิดไม่มิดควัน |
ซึ่งล้านช้างส่งนางไปกรุงไทย |
เจ้าเชียงใหม่เมามืดด้วยโมหันธ์ |
ลอบไปฉกชิงนางไว้กลางคัน |
จับพวกส่งลงทัณฑกรรมไว้ |
ข้าหลวงไทยที่มารับก็จับจำ |
เฆี่ยนขับยับระยำทั้งนายไพร่ |
กระทำความข่มเหงไม่เกรงใจ |
ยังท้าให้ยกพลมาชนช้าง |
เจ้าท่านนั้นแลเป็นโจรป่า |
เอาชีวาแลกสตรีไม่มีอย่าง |
ถ้ารักตัวกลัวว่าจะวายวาง |
ให้ส่งนางคืนไปจะไม่ตาย ฯ |
๏ กรุงกาฬทหารใหญ่ครั้นได้ฟัง |
แค้นดังอสนิบาตฟาดสาย |
จะตอบเหมือนล้มไม้ลงทับกาย |
ด้วยเจ้านายทำความไม่งามดี |
จึงแกล้งกลบเกลื่อนเป็นเงื่อนงำ |
อันถ้อยคำอาจเอิ้นเห็นเกินที่ |
เพราะเจ้าเวียงจันทน์นั้นไม่ดี |
เป็นพาลีสองหน้ามาแต่ไร |
มีสารามาถวายองค์สร้อยทอง |
แก่พระผู้ครองเมืองเชียงใหม่ |
แล้วกลับยกยักย้ายถวายไทย |
เราจึงได้อาฆาตวิวาทกัน |
จนติดพันประจญรณรงค์ |
มากล่าวไยให้ส่งองค์นางนั่น |
อย่าช้ามาชนช้างกันกลางคัน |
ถ้าใครดีชีวันไม่บรรลัย |
ถ้าแม้นเราแพ้ท่านในการณรงค์ |
ก็ควรละจะส่งสร้อยทองให้ |
ถ้าแม้นท่านเสียท่าปราชัย |
สร้อยทองต้องเอาไว้ในเชียงอินท์ |
ว่าพลางทางสั่งปีกซ้ายขวา |
ทั้งกองกลางช้างม้าดากันสิ้น |
ให้รายล้อมพวกไทยใจทมิฬ |
อย่าให้ปลิ้นหนีพล่านออกด้านใคร ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนวิเศษ |
ขจรเดชฦๅเลื่องกระเดื่องไหว |
จึงร้องสั่งทหารอันชาญชัย |
อย่าคลุกคลีตีให้เป็นด้านกัน |
สำมะยังรั้งรับกับปีกขวา |
พรหมศรรบราปีกซ้ายนั่น |
ธรรมเถียรคอยรับทัพหลังมัน |
ตัวเราจะประจันเข้าชนช้าง |
สั่งแล้วไสสีห์คชเดช |
ร่ายพระเวทเป่าตระพองงาสองข้าง |
ให้คงทนทั้งตัวทั่วสรรพางค์ |
แล้วไสวางช้างมุ่งท้าวกรุงกาฬ ฯ |
๏ ครานั้นกรุงกาฬชาญชัยศรี |
ไสพลายพลิกธรณีมาง่านง่าน |
กรายของ้าวรำด้วยชำนาญ |
คชสารสองปะทะเข้าประงา |
ด้วยช้างลาวกำลังที่คลั่งเมา |
เมื่อยกออกกรอกเหล้าไว้หนักหนา |
คชเดชยั่งยืนชื่นนัยน์ตา |
บ่มมันกลั่นกล้าไม่กลัวช้าง |
ครั้นพลายพลิกธรณีรี่เข้าชิด |
คชเดชก็ขวิดปลายงาผาง |
พอช้างลาวเบนเสยเข้าเกยคาง |
ช้างไทยได้ล่างเข้าหว่างคอ |
นายเจ็ดปานพานกระแชงแทงต้ำเฮือก |
ถูกช้างลาวหน้าเสือกหงายท้ายย่อ |
ขุนแผนคะยิกใหญ่ไม่รั้งรอ |
ช้างไทยเป็นต่อดันตะบึง |
ช้างลาวถอยหลังยั้งไม่ถนัด |
เพียรจะงัดช้างไทยใส่ผึงผึง |
ช้างไทยดันแดกกระแทกตึง |
ช้างลาวถอยดึ่งทุกทีไป |
กรุงกาฬเหนี่ยวสับให้กลับหัน |
ช้างไทยดันไม่ฝืนคืนมาได้ |
ด้วยช้างลาวเมาสุราเป็นบ้าใจ |
ครั้นเจ็บหนักยักไหล่สลัดคว้าง |
ขุนแผนเห็นได้ทีไม่รีรอ |
รำของ้าวฟาดลงฉาดผาง |
ถูกกรุงกาฬซานซบทบคอช้าง |
ไม่เข้าคอพอเป็นยางออกช้ำช้ำ |
กรุงกาฬฟื้นคืนลุกขึ้นมาได้ |
ขุนแผนไสช้างกระชั้นไล่ฟันร่ำ |
จนตีนหลุดจากชนักหัวปักปำ |
ขุนแผนซ้ำลงอิกฉาดพลาดตกตึง |
ขุนแผนไสช้างเข้าร้องเอาพ่อ |
ช้างก็ปร๋อปราดแปร้นแล่นเข้าถึง |
ม้วนงวงหลับตาลงงาตึง |
ตีตะบึงแทงตะบันดันจนแบน |
พอถอนงาคว้าผีขึ้นโยนขวับ |
ตกลงมางารับแล้วร้องแปร้น |
ไส้ทะลักหักแหกหัวแตกแตน |
ช้างลาวแล่นหนีออกนอกโยธา |
สำมะยังคุมไพร่ไล่ขนาบ |
ตีกองปราบเมืองแมนข้างปีกขวา |
พรหมศรต้อนพลกล่นเกลื่อนมา |
เข้ารบราปีกซ้ายนายกำกอง |
สองข้างต่างโถมเข้าโจมตี |
ถ้อยทีหนีไล่กันไวว่อง |
ลาวแทงไทยจับเข้ารับรอง |
ไทยฟันลาวป้องจ้องเข้ารับ |
พวกไทยไล่ทันฟันตะบึง |
นั่นปึงนี่ปังข้างหนึ่งปับ |
สำมะยังโถมเข้าเอานายทัพ |
นายปราบรับฟันปังดังเหล็กเพชร |
สำมะยังเป่าไปให้ประจุขาด |
เอาดาบฟาดขาดสะบั้นกระเด็นเด็ด |
ดาบล่อนเลือดฝาดดังชาดเช็ด |
อ้ายลาวเข็ดคิดขยาดไม่อาจรบ |
พรหมศรเสกคาถาว่าถอนโบสถ์ |
โดดแทงกำกองเข้าท้องกบ |
ชักกั้นหยั่นฟันควาญลงซานซบ |
ทับศพผีนายลงก่ายกัน |
สอยดาวเห็นแม่ทัพอัปรา |
นายทั้งปีกซ้ายขวาก็อาสัญ |
ก็ขับไสช้างงาเข้ามาพลัน |
เอาง้าวฟันพวกไทยไล่ตะลุย |
ธรรมเถียรยืนดูอยู่ท่ามกลาง |
ขัดใจไสช้างมาฉุยฉุย |
อ้ายพลายแก้วมิ่งเมืองไม่เงื่องงุย |
เอางาชุ่ยสอยดาวเข้าราวนม |
นายสอยดาวทรงกายพอหายขัด |
เอาขอคัดงาหันฟันประสม |
ไทยเป่าโอ้ฟ้าผ่ามาตามลม |
ฟันลาวง้าวจมลงครึ่งคอ |
แล้วเหยียบโจนโผนทะยานฟันควาญท้าย |
อ้ายลาวบ่าวนายไม่เหลือหลอ |
ฉัวะฉาดขาดเด็ดทั้งสองคอ |
พวกพลย่นย่อเข้าป่าไป ฯ |
๏ จะกล่าวถึงแสนตรีเพชรกล้า |
สิ้นพิษต่อลืมตาขึ้นมาได้ |
แลเห็นทัพแตกตายกระจายไป |
ก็ขัดใจขับม้ามาทันที |
ร้องว่าฮ้าเจ้าพลายนายแผนนั้น |
มิสำคัญคิดเอาว่าเราหนี |
ด้วยตัวต่อต่อยตาเอาพาชี |
มันแล่นลี้ชักฉุดไม่หยุดยั้ง |
เรากลับมากล้าดีมาลองฤทธิ |
อย่าได้คิดว่าเราจะถอยหลัง |
มาดแม้นแพ้นายวายชีวัง |
จะให้ชื่อฦๅดังทั้งแผ่นดิน ฯ |
ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
ได้ฟังคำเพชรกล้าพูดบ้าบิ่น |
จึงร้องตอบคำไปให้ได้ยิน |
ยังเล่นลิ้นลอยหน้ามาท้าทาย |
เราเห็นทำศักดากับทารก |
ยังต้องยกธงล่าเข้าป่าหาย |
แพ้ลูกกะจิริดไม่คิดอาย |
จะมาหมายต่อสู้ผู้บิดา |
นี่แท้นายอายลาวพวกบ่าวไพร่ |
จึงซ่องแซ่งแข็งใจมาแก้หน้า |
ด้วยจนตรอกออกไม่ได้แข็งใจมา |
ในครั้งนี้ชีวาไม่คงชนม์ ฯ |
๏ เพชรกล้าตาเขียวให้เกรี้ยวโกรธ |
ดังถูกหอกกรอกโสตสักแสนหน |
เดือดดาลไม่ทันอ่านพระเวทมนตร์ |
ก็ขับม้าผ่าพลเข้าชิงชัย |
ขุนแผนตวาดอำนาจยักษ์ |
เพชรกล้าง่าชะงักไม่ไหวได้ |
แล้วยกเงื้อง้าวฟาดฉาดลงไป |
ถูกหัวไหล่ลาวล้มลงจมอาน |
ตาหลอว่าคุณพ่อดิฉันเอง |
วิ่งถลันฟันเป้งลงด้วยขวาน |
ตารักว่าฉันด้วยช่วยลนลาน |
เอาพลองกระทุ้งพุงกรานให้ตกม้า |
นายโห้สามหอกกรอกด้วยทวน |
เหล็กม้วนไม่เข้าตรีเพชรกล้า |
ทิ้งทวนเข้าปะทะฉะด้วยพร้า |
นายปานขวานฟ้าเอาดาบฟัน |
ราวกับฟาดทองแดงแทงก้อนหิน |
หักบิ่นยู่ย่นไปจนกั่น |
แม้กระดูกก็ไม่หักแต่สักอัน |
คงกระพันชาตรีดีทั่วกาย |
ตาหลอว่าคุณพ่อพ่อพลายขา |
อ้ายเพชรกล้าคนนี้ดีใจหาย |
จะฟันแทงสักเท่าไรก็ไม่ตาย |
ยังนอนหายใจอยู่ดูพิกล |
ขุนแผนร้องว่าอย่ามี่ฉาว |
เฮ้ยพวกเราเอาหลาวทะลวงก้น |
ถึงมาดแม้นอยู่ยงมันคงทน |
แยงให้จนถึงคอคงมรณา |
ตาหลอกับตารักยืนหยักรั้ง |
พวยทะลึ่งตึงตังเข้าแก้ผ้า |
นายโม้กับนายเม้าเอาหลาวมา |
ผ่าทวารเข้าปร๊อดตลอดตัว |
หลายคนช่วยกันดันกระดอก |
เอาไม้ตอกกังกังกระทั่งหัว |
หน้าเผือดเลือดแดงดังแทงวัว |
ถูกรูรั่วเลือดราดลงดาษดิน ฯ |
๏ พวกโยธาบรรดาที่เหลือตาย |
บ้างหลบลี้หนีหายเข้าป่าสิ้น |
พวกม้าเร็วรีบตะบึงถึงบุรินทร์ |
บอกระบิลแสนท้าวเหล่าพระยา |
ว่าสาธุโยธาทั้งห้าทัพ |
ตายยับสิ้นแล้วพระเจ้าข้า |
เหล่าพวกที่หลบลี้มิมรณา |
ไม่ทราบว่ามาได้สักเท่าไร ฯ |
๏ ท่านผู้ใหญ่ได้ฟังพวกม้าเร็ว |
เอาผ้ากราบคาดเอวหาช้าไม่ |
วิ่งมางกงกด้วยตกใจ |
ตรงเข้าในท้องพระโรงรจนา |
เห็นจอมนคเรศเกศเชียงอินท์ |
สถิตแท่นมณีนิลข้างฝ่ายหน้า |
อำมาตย์หมอบยอบกรานคลานเข้ามา |
วันทาทูลพลันในทันใด |
ว่าเพชรกล้าสอยดาวท้าวกรุงกาฬ |
ทหารปราบเมืองแมนทั้งนายไพร |
ยกออกไปรบรับกับพวกไทย |
บรรลัยย่อยยับอัปรา |
พวกทหารน้อยใหญ่ทั้งไพร่นาย |
ที่เหลือตายหลบลี้หนีเข้าป่า |
ยังแตกซ่านซ่อนเร้นไม่เห็นมา |
ไม่ทราบว่ามากน้อยกี่ร้อยคน ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นนคเรศ |
ได้ฟังเหตุว่าทัพนั้นยับป่น |
ดังพระกาลจะผลาญให้วายชนม์ |
พระพักตร์หม่นหมองสลดระทดใจ |
แต่มานะกษัตริย์ตรัสประภาษ |
ประกาศสั่งเสนาทั้งน้อยใหญ่ |
ให้เร่งรัดจัดรักษาซึ่งเวียงชัย |
ให้ตั้งค่ายรายไปรอบพารา |
ปิดทวารทั้งนั้นให้มั่นคง |
ลงเขื่อนไม้แก่นให้แน่นหนา |
ปืนหามแล่นเอาจุกทุกเสมา |
คาบศิลาใส่ตับลำดับไว้ |
ที่ขอบค่ายนั้นให้รายปืนจ่ารง |
ที่ช่องตรงประตูกลางวางปืนใหญ่ |
เอาปะขาวกวาดวัดทั้งฉัตรชัย |
จุกใส่ให้ทุกช่องทวารา |
บนทวารกำแพงข้างด้านใต้ |
จงเอาซุงแขวนไว้ให้หนักหนา |
แม้นข้าศึกฮึกโหมโจมเข้ามา |
เอามีดพร้าตัดทับให้ยับไป |
ในกำแพงถากถางหนทางเดิน |
แถวถนนบนเชิงเทินให้กว้างใหญ่ |
ที่ตรงหว่างวางปืนกองฟืนไฟ |
คั่วกรวดทรายไว้ให้ทุกกอง |
ให้กรมเมืองร้องป่าวชาวประชา |
ผู้ดีไพร่ให้เข้ามาทุกบ้านช่อง |
นั่งยามตามไฟเที่ยวสอดมอง |
ตีฆ้องตรวจตระเวนกะเกณฑ์กัน |
ผลัดกันลุกปลุกกันนั่งระวังไฟ |
ถ้าเกิดขึ้นเรือนใครจะอาสัญ |
เหล่าบ้านนอกกำแพงทุกแห่งนั้น |
ให้ผ่อนผันคนมาในธานี |
สระบ่อท่อธารบ้านของใคร |
ขุดไขน้ำเข้าให้เต็มที่ |
ข้าวปลานาไร่ของใครมี |
ให้ขนมาไว้ที่นี่สิ้นทั้งนั้น |
แต่บรรดาแสนท้าวเหล่าเพี้ยกวาน |
คอยระวังการงานให้แข็งขัน |
ถ้าศึกเข้าด้านใครอย่าไว้มัน |
เอาไปฟันเสียบเสียให้สาใจ ฯ |
๏ ครานั้นแสนท้าวเหล่าพระยา |
รับสั่งออกมาหาช้าไม่ |
อื้ออึงเอะอะกะเกณฑ์ไป |
ลากปืนใหญ่จุกจ้องช่องประตู |
ให้กรมเมืองร้องป่าวชาวประชา |
ทั้งชายหญิงวิ่งมาเป็นหมู่หมู่ |
บ้างตั้งค่ายรายรอบที่ขอบคู |
บ้างเกณฑ์คนขึ้นอยู่บนกำแพง |
เอาฟืนใส่ไฟก่อเอาหม้อตั้ง |
คั่วกรวดทรายรายระวังไปทุกแห่ง |
ให้มีสารวัตรเที่ยวจัดแจง |
ตีฆ้องป่องแป๋งออกรอบไป |
ชุลมุนวุ่นฉาวพวกชาวบ้าน |
บ้างอุ้มลูกจูงหลานอยู่ขวักไขว่ |
เชี่ยนขันโตกพานในบ้านใคร |
บ้างขุดไค้ฝังดินสิ้นทั้งนั้น |
ลูกแหวนรวงทองของสะอาด |
บ้างเย็บไถ้ใส่คาดบั้นเอวมั่น |
บ้างเอาผ้าปะในไว้อิกชั้น |
ของสำคัญซ่อนซุกไว้ทุกคน |
ที่แม่หม้ายยายแก่รำมะก้า |
เอาห่อผ้าใส่หนีบไว้กลีบก้น |
ให้นึกกลัวพวกไทยจะไล่ค้น |
เอาซุกซนลงไว้ใต้พริกเกลือ |
บ้างซ่อนใส่มวยผมผ้าห่มนอน |
บ้างซุกไว้ในหมอนซ่อนในเสื่อ |
บ้างเอาชันปะไว้ใต้ท้องเรือ |
ไม่ให้เหลือสักนิดเอาติดไป |
ที่รู้ว่าลูกผัวของตัวตาย |
ทั้งสาวแส้แม่หม้ายร่ำร้องไห้ |
ออกอัดแอแซ่เสียงทั้งเวียงชัย |
ด้วยกวาดกันเข้ามาไว้ในกำแพง |
ข้างในวังชุลมุนกันวุ่นวาย |
เจ้านายทุกองค์ทรงกันแสง |
ทั้งหม่อมคุณวุ่นว่อนข้อนอกแดง |
บ้างฝังแฝงของไว้ใต้ตึกราม ฯ |
๏ ส่วนพระเจ้าเชียงอินท์ปิ่นเชียงใหม่ |
พูดเอาใจลูกเต้าเหล่าหม่อมหาม |
อ้ายศึกนิดพวกเราเบาสงคราม |
เข้ารบรุมซุ่มซ่ามจึงเสียที |
เฮ้ยฝีมือของกูสูคอยเบิ่ง |
จะลุยไล่ให้เปิงแหกป่าหนี |
กับอ้ายพวกห้าร้อยน้อยเท่านี้ |
จะขยี้เสียให้ยับลงกับเท้า |
จะร้องไห้ทำไมให้เป็นลาง |
ทัพขุนนางฤๅจะสู้กูเป็นเจ้า |
ถ้าขืนจะรุกรานบ้านเมืองเรา |
ระดมเอาเสียสักวันก็บรรลัย |
พระตรัสพลางทางเสด็จออกข้างหน้า |
ประกาศสั่งเสนาทั้งน้อยใหญ่ |
ให้เร่งรัดจัดเตรียมให้พร้อมไว้ |
เอาเชียงใหม่เป็นค่ายได้สำคัญ |
ถ้าแม้นมันบุกตะบึงถึงบุรี |
อย่าเพ่อออกต่อตีให้ตั้งมั่น |
ข้างเรามีข้าวปลาสารพัน |
พวกมันนั้นจะได้อะไรกิน |
เหล่าบ้านนอกธานีมียุ้งข้าว |
เอาไฟเผายุ้งฉางล้างให้สิ้น |
ตัดกำลังพวกไอ้ใจทมิฬ |
มันจะบินไปข้างไหนได้เห็นกัน |
พอเสบียงเลี้ยงท้องมันหมดตัว |
จึงออกไปจิกหัวเอาดาบหั่น |
อ้ายศึกสักหยิบมือไม่ครือครัน |
พวกเราทำเสียไม่ทันจะพริบตา ฯ |
๏ ครานั้นเสนีสี่จตุสดมภ์ |
ถวายบังคมเห็นชอบกันพร้อมหน้า |
ซึ่งพระองค์ทรงดำริตริตรา |
คงสมดังบัญชาทุกประการ |
จะมีชัยอาศัยเพราะเสบียง |
ตัดลำเลียงเสียให้หมดอดอาหาร |
ข้าวตากมันจะมีกี่ทะนาน |
หมดข้าวสารก็จะสิ้นกำลังลง |
ถึงโดยมันมาล้อมเราอ้อมนอก |
อย่าให้ออกไปหาเสบียงส่ง |
ไม่กี่วันก็จะวิ่งเป็นชิงธง |
คอยสกัดปากดงคงได้ตัว |
ไม่พักต้องรบรับขับเคี่ยว |
โห่สักเกรียวก็จะบุกเที่ยวซุกหัว |
อ้ายห้าร้อยเป็นเชลยมันเคยกลัว |
จับเป็นเอาให้ทั่วทั้งไพร่นาย |
แต่บรรดาเพี้ยกวานท่านผู้ใหญ่ |
ปรึกษาเห็นพร้อมใจสิ้นทั้งหลาย |
ออกมานั่งสั่งความตามอุบาย |
เอากำแพงเป็นค่ายรายเขื่อนคู ฯ |