๏ บทนี้ข้าจะยกไว้ก่อน |
จะกล่าวกลอนให้เรื่องเนื่องไปใหม่ |
มาข้าจะกล่าวบทไป |
ถึงพระเจ้าพิชัยเชียงอินท์ |
เสด็จยังพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ |
พร้อมอนงค์นางกษัตริย์อันเฉิดฉิน |
น้อมเศียรหมอบเฝ้าเจ้าธรณินทร์ |
รวยรื่นชื่นกลิ่นบำรุงใจ |
แต่ละหน้าหน้านวลควรจะรัก |
ผ่องพักตร์เป็นที่พิสมัย |
เกล้าผมนมนางงามวิไล |
อำไพผิวผ่องเพียงขวัญตา |
แซมดอกไม้ไหวใส่ช้อง |
ห่มตาดริ้วทองกรองหน้า |
พลบคํ่ายํ่าฆ้องสนธยา |
เสด็จมาเข้าที่บรรทมพลัน |
มโหรีปี่พาทย์ก็ขับกล่อม |
พริ้งพร้อมบรรเลงดังเพลงสวรรค์ |
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ใฝ่ฝันนิ่งนึกคะนึงใน |
ได้ทราบข่าวกล่าวความนั้นฟุ้งเฟื่อง |
ฦๅเลื่องทั้งนครขจรไหว |
ถึงโฉมนางสร้อยทองต้องพระทัย |
พึ่งรุ่นจำเริญวัยสิบห้าปี |
เป็นบุตรีศรีเมืองเจ้าล้านช้าง |
นางอื่นร้อยเอ็ดบุรีศรี |
จะเปรียบถึงนางได้ก็ไม่มี |
ทรงศรีเลิศลํ้าวิไลนาง |
ทำไฉนจะได้สมรมิตร |
มาเชยชิดแนบน้องประคองข้าง |
จะมีสาราไปว่านาง |
ขอพระเจ้าล้านช้างแต่โดยดี |
ฤๅจะยกจัตุรงคโยธา |
ไปห้อมล้อมพาราบุรีศรี |
ชิงเอาองค์พระราชบุตรี |
จะได้ด้วยร้ายดีประการใด |
แต่ดำริตริความอยู่เรรวน |
ปั่นป่วนหาเป็นบรรทมไม่ |
ให้แค้นขุ่นวุ่นวายในพระทัย |
ตรึกไปในราษราตรี |
กรก่ายพระวิลาศพาดพักตร์ |
ถึงเรื่องรักจักไฉนฉะนี้นี่ |
จะยักย้ายถ่ายเทเล่ห์ใดดี |
ไม่เห็นทีที่จะได้องค์นางมา |
ทรงดำริตริไปพระทัยคิด |
ชอบผิดยังไม่มีที่ปรึกษา |
ระงับไว้ในประถมยามมา |
ล่วงเวลาจนรุ่งพระสุริยัน ฯ |
๏ บ้วนพระโอษฐ์สรงพระพักตร์จำรัสแผ้ว |
ครั้นแล้วทรงพระแสงฉายฉัน |
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัล |
สั่งเสนาพลันในทันที |
แต่บรรดาข้าเฝ้าทั้งน้อยใหญ่ |
เร่งให้ไปหาเข้ามานี่ |
ตำรวจรับสั่งพลันอัญชลี |
ต่างวิ่งเป็นสิงคลีแยกย้ายไป |
เจ้าคุณขาเร็วหาเข้าไปเฝ้า |
ราชการหนักเบาหารู้ไม่ |
กริ้วอยู่ให้หาจะช้าไป |
อย่านอนใจแล้วก็พากันรีบมา |
ครั้นถึงลับแลแล้วเยี่ยมมอง |
พระสุรเสียงตรัสก้องขนลุกฉ่า |
ถวายบังคมพร้อมกันคลานเข้ามา |
ภาวนาบึกบึกนึกในใจ ฯ |
๏ ครั้นถึงบังคมลงพร้อมกัน |
พระทรงธรรม์ปรึกษาหาช้าไม่ |
มานั่งพร้อมหน้าเสนาใน |
ใครเห็นผิดชอบให้ว่ามา |
บัดนี้ลูกสาวเจ้าล้านช้าง |
ชื่อนางสร้อยทองเสนหา |
ทำกะไรจึงจะได้นางมา |
ฤๅจะแต่งสาราเป็นไมตรี |
ไปกล่าวขอตามอย่างทางกษัตริย์ |
เห็นจะขัดแข็งไว้ฉันใดนี่ |
ฤๅจะยกจัตุรงคโยธี |
ไปล้อมบุรีชิงเอามา |
ใจความข้อยคิดเป็นสองอย่าง |
ใครเห็นบ้างอย่างไรให้เร่งว่า |
จะเห็นฉันใดให้ว่ามา |
ปรึกษากันดูให้เห็นดี ฯ |
๏ แสนท้าวพระยาลาวก็รับสั่ง |
พร้อมพรั่งหมอบเฝ้าอยู่ในที่ |
ปรึกษากันพลันในทันที |
ตามมีในพระราชชงคา |
อุปฮาดแสนหลวงก็เห็นพร้อม |
ที่ผู้น้อยพลอยดอมลงพร้อมหน้า |
ลงชื่อจดหมายรายตัวมา |
พร้อมหน้ากราบทูลขึ้นทันใด |
ข้าพเจ้าอุปฮาดพญาแมน |
กับแสนท้าวกรุงการทหารใหญ่ |
ทั้งเพี้ยกันจีมีฤทธิไกร |
เสนาผู้ใหญ่เห็นพร้อมกัน |
อันทรงพระดำริครั้งนี้ |
ด้วยพระราชบุตรีล้านช้างนั่น |
เขาก็เป็นเชื้อกษัตริย์อยู่เหมือนกัน |
ไปเว้าท่านเสียก่อนแต่โดยดี |
จึงจะถูกตามทางอย่างกษัตริย์ |
ถ้าว่าขัดมิให้ให้รู้ที่ |
จึงจะค่อยยกพหลมนตรี |
ล้อมบุรีแล้วชิงเอานางมา |
ทุกประเทศธานีบุรีลาว |
จะมิได้กล่าวคำครหา |
อันโฉมยงองค์พระราชธิดา |
จำจะมีสาราไปขอนาง ฯ |
๏ พระองค์ทรงฟังเสนาทูล |
เป็นเค้ามูลเออเอาตบเพลาผาง |
จึงให้แต่งสาราเป็นท่าทาง |
ตามอย่างพระราชไมตรี |
กับเครื่องบรรณาการดอกไม้ทอง |
สิ่งของจัดให้ไปถ้วนถี่ |
เดือนหนึ่งให้ถึงพระบุรี |
อย่าช้าทีเร่งพากันรีบไป ฯ |
๏ อุปฮาดผู้รับสั่งมาจัดแจง |
ตกแต่งสาราหาช้าไม่ |
ลงแผ่นทองพลันทันใด |
บรรณาการเร่งให้ขนเข้ามา |
จึงจัดให้กรุงการทหารใหญ่ |
กับไพร่ห้าร้อยแสนเพชรกล้า |
แล้วจัดแจงแต่งให้ทั้งอาชา |
คุมเครื่องบรรณาการไป |
เสร็จสรรพแล้วกลับมากราบทูล |
นเรนทร์สูรเชียงอินท์ผู้เป็นใหญ่ |
บรรยายข้อความตามมีไป |
ชอบพระทัยแล้วก็สั่งให้ไปพลัน ฯ |
๏ ฝ่ายท้าวกรุงการแสนเพชรกล้า |
ถวายบังคมลาขมีขมัน |
ออกมาขึ้นม้าได้พร้อมกัน |
กับสิ่งของทั้งนั้นก็รีบไป |
ขึ้นม้าลงแซ่สะบัดย่าง |
วิ่งผางหาพักอาชาไม่ |
ตะวันเย็นหยุดม้าหาฟืนไฟ |
กินแล้วรีบไปสามยามนอน |
เช้าตรู่ตีสิบเอ็ดพากันไป |
น้องเพลหยุดไพร่หุงข้าวก่อน |
กินแล้วขึ้นม้าพากันจร |
ดึกนอนเช้าไปไม่รั้งรา |
สิบวันถึงด่านเมืองล้านช้าง |
เอาบอกวางชาวด่านมาพร้อมหน้า |
ให้กินข้าวชาวด่านก็คุมมา |
เจ็ดวันถึงพาราล้านช้างพลัน |
ลงม้าพากันเข้าในเมือง |
คุมเครื่องบรรณาการกับสารนั่น |
อุปฮาดแสนหลวงทั้งปวงนั้น |
พร้อมกันอยู่ในหน้าพระลานชัย |
วางบอกตามเรื่องพระราชสาร |
เพี้ยกวานพร้อมพรั่งนั่งไสว |
แจ้งเรื่องบอกพลันทันใด |
พากันไปที่เฝ้าเจ้าธานี ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าล้านช้าง |
สถิตอยู่ในปรางค์ปราสาทศรี |
เสวยสุขทุกข์ภัยมิได้มี |
พร้อมสนมนารีประจำงาน |
ล้วนเอกองค์หมื่นอนงค์นางกษัตริย์ |
อยู่งานพัดหมอบดาษในราชฐาน |
บ้างเชิญเครื่องเนื่องแลวิไลลาน |
ดังนางในวิมานเมืองอินทร์ |
รูปทรงส่งสัณฐานรื่นรวย |
บ้างเกล้ามวยแซมดอกไม้ใส่ปิ่น |
แวดล้อมพระองค์ทรงธรณินทร์ |
รวยกลิ่นเฟื่องฟุ้งจรุงใจ |
หมอบกลาดดาษเฝ้าลออพักตร์ |
จำเริญรักเป็นที่พิสมัย |
บ้างห่มขลิบริ้วทองกรองใน |
สอดสีแลวิไลละลานตา |
งามกรอ่อนช้อยเมื่อคลานเฝ้า |
งามเกล้าผมสูงดูสมหน้า |
พระสุริย์ฉายบ่ายคล้อยได้เวลา |
เสด็จมาที่สรงชลธาร |
ชำระสระสรงทรงสุคนธ์ |
เครื่องต้นปนปรุงหอมหวาน |
ทรงเครื่องเรืององค์อลงการ |
ออกท้องพระโรงธารทันใด |
เสด็จเหนือพระที่นั่งเนาวรัตน์ |
ภายใต้เศวตฉัตรสูงใหญ่ |
ตรัสประภาษราชกิจในเวียงชัย |
เสนาในทูลเรื่องเนื่องมา |
ทรงพระสรวลสำราญพระหฤทัย |
ข้าเฝ้าน้อยใหญ่อยู่พร้อมหน้า |
เพี้ยผู้ใหญ่อธิบดีมีปัญญา |
ก้มหน้าแล้วกราบบังคมพลัน |
ขอเดชะชีวิตอยู่ใต้บาท |
พระอิศราธิราชรังสรรค์ |
ควรมิควรพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
เชียงใหม่นั้นบัดนี้มีสารมา |
ให้ราชทูตถือสารมากับของ |
ดอกไม้ทองบรรณาการมากหนักหนา |
ให้คุมไว้ยังมิได้พาเข้ามา |
แล้วอ่านสาราถวายพลัน ฯ |
๏ ในเรื่องราวลักษณราชสาร |
พระผู้ผ่านเชียงใหม่มไหศวรรย์ |
ทรงพระนามเชียงอินท์ปิ่นกำนัล |
ครองขัณฑเสมาธานินทร์ |
เป็นหลักปักโลกทั้งโกฏิแสน |
ทุกด้าวแดนย่อท้อไม่ต่อสิ้น |
ระอาทั่วกลัวฤทธิทั้งแผ่นดิน |
ทั่วถิ่นทุกประเทศธานี |
ทั้งกรุงนาคนะหุตมงกุฎภพ |
เลิศลบทั่วโลกราศี |
ทั้งสองกรุงบำรุงธรณี |
พระเกียรตินั้นก็มีเสมอกัน |
ได้ทราบข่าวกล่าวโฉมพระธิดา |
ว่าโสภาพริ้งเพริศเฉิดฉัน |
พร้อมทั้งสุริวงศ์พงศ์พันธุ์ |
ควรมอบไอศวรรย์เป็นคู่ครอง |
มาดอื่นหมื่นกษัตริย์ร้อยประเทศ |
ไม่ควรคู่เยาวเรศภิรมย์สอง |
ไม่สมพักตร์ต่ำศักดิกว่าละออง |
จะเศร้าหมองเสื่อมสิ้นพระเดชา |
จะขอองค์พระธิดาดวงเนตร |
เยาวเรศไปไว้เป็นฝ่ายขวา |
ขอประทานสร้อยทองละอองตา |
ไปเป็นบาทบริจาเจ้าเชียงอินท์ |
ถ้าทราบสารแม้นประทานดวงสมร |
สองนครจะเป็นสุขเกษมสิ้น |
ตะพานเงินทองมาถึงธานินทร์ |
สิ้นสารแล้วก็กราบลงสามลา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
แค้นคั่งพระทัยเป็นหนักหนา |
กระทืบบาทผาดเสียงประเปรี้ยงมา |
ท้าวพระยาฟังดูอยู่พร้อมกัน |
ทั้งลูกเมียก็มีอยู่อักนิษฐ |
ลูกเรากระจิริดมาหมายมั่น |
ช่างโอหังฟังเล่นได้เห็นกัน |
มิสำคัญอยู่ว่าดีมีสารมา |
เป็นกษัตริย์ตรัสไม่พิเคราะห์ก่อน |
ช่างไม่กลัวราษฎรเขาจะว่า |
น่าหัวช่างไม่กลัวความนินทา |
ด้านหน้ามาขอลูกสาวกู |
แล้วตรัสประภาษปรึกษาไป |
ผู้ใหญ่ที่นั่งฟังดูหรู |
ว่าเล่นเจรจาข้ามหน้ากู |
พร้อมกันอยู่เร่งยกกองทัพไป |
กูจะไปล้อมเมืองอ้ายเชียงอินท์ |
ฆ่าเสียให้สิ้นไม่ไว้ได้ |
อ้ายผู้ถือสารามานั้นไซร้ |
เร่งเอาไปตัดหัวเสียบประจาน |
ตรัสกริ้วกระทืบพระบาทา |
จับพระแสงเงื้อง่าจะสังหาร |
สนั่นก้องทั่วท้องพระโรงธาร |
เพี้ยกวานภาวนาพึมพำไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าอุปฮาดก็กราบทูล |
ขอพระนเรนทร์สูรผู้เป็นใหญ่ |
งดก่อนผ่อนไว้ในพระทัย |
อันพระเจ้าเชียงใหม่ให้สารมา |
อย่าเพ่อทรงพระโกรธพิโรธนัก |
ไม่ควรจักฆ่าทูตให้สังขาร์ |
เป็นแต่ข้าของท่านท่านใช้มา |
ทุกประเทศจะนินทาไม่ควรการ |
ชอบสั่งให้กลับไปยังเมือง |
ยักเยื้องโต้ตอบราชสาร |
อย่าตัดพ้อแต่พอเป็นประมาณ |
ปานกลางว่านางยังไม่ควร |
เยาว์อยู่ไม่ควรคู่เสมอพักตร์ |
ไม่หาญหักเห็นจะไว้พระทัยหวน |
จะเจือใจว่าเราไว้อาลัยครวญ |
จึงค่อยประมวลรี้พลเข้าโจมตี |
อันเมืองเชียงใหม่กระจ้อยร่อย |
ดังหิ่งห้อยเทียมแสงพระสุริย์ศรี |
ไม่ครันมือครือฟัดเป็นภัศม์ธุลี |
ไม่ช้าทีตีประเดี๋ยวก็ได้การ |
ไว้เป็นพนักงานเกล้ากระหม่อม |
เพี้ยกวานเห็นพร้อมเหล่าทหาร |
มิให้เคืองเบื้องบาทบทมาลย์ |
ขอเดชะมีสารนั้นตอบไป ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุก็สงบพระทัยได้ |
ให้แต่งสารพลันทันใด |
คืนไปทั้งเครื่องบรรณาการ |
ส่วนราชทูตให้ประทานของ |
รางวัลเงินทองทั้งคาวหวาน |
เหล้าข้าวเป็ดไก่ชัยบาน |
ประทานของแล้วสั่งให้กลับไป ฯ |
๏ ราชทูตประนมบังคมลา |
ออกมาทิมดาบหาช้าไม่ |
ขนของขึ้นม้าพากันไป |
ควบขับอาชาไนยเร่งรีบมา |
ดั้นดัดลัดป่าพนาสัณฑ์ |
สิบห้าวันถึงเชียงใหม่มิได้ช้า |
เอาบรรณาการกับสารที่ตอบมา |
เรียนเพี้ยพระยาโดยฉับพลัน |
ครั้นถึงเวลาในทันใด |
พากันเข้าไปขมีขมัน |
บรรณาการตั้งหน้าพระลานพลัน |
แล้วพากันเข้าพระโรงทันใด ฯ |
๏ พอเสด็จออกท้องพระโรงธาร |
เพี้ยกวานหมอบราบกราบไสว |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงชัย |
มีสารไปล้านช้างนั้นตอบมา |
ในลักษณสารเจ้าล้านช้าง |
บิดานางสร้อยทองเสนหา |
แจ้งสารเชียงใหม่ที่ให้มา |
ว่าขอองค์พระธิดาเยาวมาลย์ |
ซึ่งพระเจ้าเชียงอินท์เป็นใหญ่ |
ต้องพระทัยธิดายอดสงสาร |
อันโฉมยงองค์สร้อยสุดามาลย์ |
ยุพาพาลพึ่งได้สิบห้าปี |
ยังไม่ควรสู่สมอุปภิเษก |
เป็นองค์เอกอรรคราชมเหสี |
ไม่คลาศแม่แหห่างสักราตรี |
ยังเด็กอยู่ดูไม่ดีในพระทัย |
ทุกประเทศธานินทร์จะหมิ่นทั่ว |
เรากลัวครหาจะว่าได้ |
ดอกไม้ทองสิ่งของถวายไป |
นั้นคืนให้แก่พระเจ้าเชียงอินท์ |
ค่อยค่อยก็จะเป็นอะไรมี |
ดีกว่าอย่าให้ลาวเขากล่าวฉิน |
จงแจ้งใจตอบไปถึงเชียงอินท์ |
อ่านสิ้นเสร็จสารบังคมลง ฯ |
๏ เชียงอินท์ทรงฟังพระราชสาร |
ดำริการว่ากล่าวเป็นสูงส่ง |
เป็นยลแยบแอบอำคำไม่ตรง |
แล้วทรงพระดำริประภาษไป |
เราได้ไปขอเป็นไมตรี |
โดยดีมิยกลูกสาวให้ |
จะยกพหลสกลไกร |
ถ้ารบกันฟันให้เป็นภัศม์ธุลี |
ล้อมเมืองหํ้าหั่นฟันฆ่า |
รับองค์พระธิดามารศรี |
สร้อยทองมาไว้ในบุรี |
ตรัสแล้วเข้าที่ข้างในพลัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงธรณินทร์ |
เป็นปิ่นล้านช้างไอศวรรย์ |
เสด็จเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ |
เดือดดั้นพระทัยอยู่ไปมา |
ด้วยถ้อยคำเชียงอินท์ช่างว่าได้ |
อ้ายเชียงใหม่โอหังนี้หนักหนา |
เดือดร้อนในพระทัยไปมา |
เรียกมเหสีโสภาแล้วตรัสความ |
บัดนี้เชียงใหม่ให้สารมา |
ขอสร้อยทองเสนหาไปเป็นห้าม |
พี่ตอบสารว่าไปเป็นใจความ |
ว่ากันแต่ตามโดยดี |
ว่าลูกเรายังเด็กเล็กนัก |
ไม่ควรจักภิรมย์สมศรี |
ถ้าละไว้นานไปภัยจะมี |
จะมาล้อมบุรีตีเอาเมือง |
แก้วพี่จะคิดฉันใด |
อันกรุงไทยเกียรติยศนั้นฟุ้งเฟื่อง |
จะพึ่งพาอาศัยเห็นไม่เคือง |
เขาฤๅเลื่องทรงธรรม์อยุธยา |
อานุภาพปราบไปในทศทิศ |
ฦๅฤทธิทุกประเทศภาษา |
เราถวายสร้อยทองพระธิดา |
ถึงเชียงใหม่ยกมาก็รบกัน |
ทหารอยุธยาจะมาช่วย |
ไม่ทิ้งเราให้ม้วยอาสัญ |
ด้วยพระองค์ทรงยศอยู่ในธรรม์ |
จะคิดกันฉันใดให้ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมนางเกสร |
ยอกรประนมก้มเกศา |
นางดำริตริความแล้วทูลมา |
พระบัญชาตรัสชอบด้วยเหตุมี |
อันเจ้าเชียงใหม่นี้ฮึกฮัก |
อาจองทะนงศักดิสูงศรี |
อันพระเจ้าอยุธยาธานี |
ไม่มีข่าวร้ายระคายพาล |
ประเวณีต้นไม้ตายเพราะลูก |
เราฝังปลูกเสียให้เป็นแก่นสาร |
อันนางสร้อยทองเยาวมาลย์ |
จำจะมีราชสารถวายไป |
ให้ขึ้นมารับองค์พระธิดา |
แต่งการวิวาห์เสียจงได้ |
ถ้าละไว้ช้าทีจะมีภัย |
พระดำรินั้นไซร้ก็เห็นควร ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
เลิศลบล้านช้างก็แย้มสรวล |
ได้ทรงทราบกราบทูลก็เห็นควร |
โดยด่วนเสด็จมาหน้ามุขพลัน |
ตรัสสั่งอุปฮาดแสนหลวง |
เสนาทั้งปวงขมีขมัน |
หมอบกลาดดาษเฝ้าบังคมคัล |
เร่งจัดสรรเครื่องราชบรรณาการ |
ทั้งแผ่นทองจารึกเรื่องถวาย |
บรรยายข้อความสองสถาน |
ว่าเราถวายเอกองค์นงคราญ |
สู่โพธิสมภารณะกรุงไทย |
อนึ่งเจ้าเชียงอินท์ก็ให้สาร |
ขอองค์เยาวมาลย์เราไม่ให้ |
อิกเครื่องบรรณาการทั้งนั้นไซร้ |
ถวายพระเจ้ากรุงไกรอยุธยา ฯ |
๏ อำมาตย์รับสั่งแล้ววางวิ่ง |
จัดสิ่งบรรณาการนั้นหนักหนา |
แผ่นทองทำจำลองซึ่งสารา |
ทั้งช้างม้าไพร่พลมนตรี |
เสร็จสรรพกราบทูลพระทรงภพ |
เลิศลบล้านช้างบุรีศรี |
พระดำรัสตรัสสั่งไปทันที |
บรรณาการทั้งนี้ไปกรุงไทย ฯ |
๏ อำมาตย์รับสั่งบังคมลา |
คลานถอยออกมาหาช้าไม่ |
ลงเรือข้ามส่งล่องลงไป |
ถึงท่าใหญ่ปากโมงทันที |
ขึ้นม้าแล้วก็พากันรีบไป |
ดั้นดัดลัดไพรพนาศรี |
ข้ามป่าฝ่าทุ่งมุ่งจรลี |
ถึงคีรีเขาศาลล่วงด่านไป |
พักม้ากินหญ้าพอหายเหนื่อย |
ลมเฉื่อยขึ้นม้าหาช้าไม่ |
หยุดร้อนนอนป่าพนาลัย |
มาได้สามหมอรีบต่อมา |
ถึงลำพาชีรี่ออกทาง |
ชักม้าสะบัดย่างมากลางป่า |
ถึงบ้านด่านโคราชสีมา |
เข้าหาชาวบ้านด่านหมื่นไวย |
แจ้งความตามเรื่องราชสาร |
ชาวด่านพามาไม่ช้าได้ |
ตัดตรงลงโคราชทันใด |
ผูกม้าพักไว้เข้าในเมือง ฯ |
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นศาลากลาง |
เอาบอกวางกรมการตามเรื่อง |
พวกลาวคุมไว้ที่ในเมือง |
สิ่งของกับเครื่องบรรณาการ |
ผู้รั้งสั่งให้จัดซึ่งที่อยู่ |
เลี้ยงดูพวกเหล่าชาวทหาร |
ให้กินเหล้าข้าวนํ้าสำราญ |
เปรี้ยวหวานสุขเกษมเปรมใจ ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าเมืองโคราชกรมการ |
แจ้งความตามสารหาช้าไม่ |
เขียนบอกลงพลันทันใด |
สั่งให้พวกไทยนั้นถือมา |
แจ้งความตามเรื่องที่ในสาร |
ว่าเพี้ยกวานพวกลาวมาหนักหนา |
นำสิ่งดอกไม้ทองของบรรณา |
ถวายพระเจ้าอยุธยากรุงไทย |
รองปลัดผู้ถือหนังสือบอก |
จัดแจงดาบหอกทั้งบ่าวไพร่ |
เร่งรีบขึ้นม้าอาชาไนย |
ดั้นดัดลัดไพรพนาลี |
ถึงภูเขาลาดเดินพาดมา |
สูงเนินโคกพญาหยุดม้าขี่ |
เหนื่อยนักให้พักพาชี |
เพลาบ่ายได้ที่ขึ้นม้าไป |
ข้ามเขาเขื่อนลั่นดัดดั้นมา |
รีบขับอาชาหาช้าไม่ |
ตัดตรงเข้าดงพญาไฟ |
ห้าคืนมาได้แก่งคอยพลัน |
พลบคํ่าอาบน้ำแล้วกินข้าว |
รุ่งเช้าขึ้นม้าผายผัน |
รีบเร่งตะเบงมาไม่ช้าพลัน |
หกคืนเจ็ดวันถึงบุรี |
เอาบอกวางเวรมหาดไทย |
แจ้งเนื้อความไปเป็นถ้วนถี่ |
นายเวรพาเรียนท่านจักรี |
ตามที่มีบอกโคราชมา |
ฝ่ายว่าขุนนางผู้น้อยใหญ่ |
แจ้งในใบบอกแล้วปรึกษา |
ว่าล้านช้างเขาถวายของบรรณา |
แล้วก็พาไปเฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระผู้ผ่านนัคเรศ |
มงกุฎเกศกรุงไกรไอศวรรย์ |
สถิตในปรางค์แก้วแพรวพรรณ |
เกษมสันต์สุโขโอฬาร์ |
เสวยสุขแสนสนุกสำราญรื่น |
ดาษดื่นหมื่นสนมเสนอหน้า |
หมอบกลาดดาษเฝ้าเจ้านัครา |
โสภาเลิศล้ำวิไลวรรณ |
ทรงภูษาผ้าต้นพรรณราย |
มงกุฎเก็จเพชรพรายฉายฉัน |
สร้อยประดับทับทรวงพวงสุวรรณ |
ทรงพระขรรค์ยุรยาตรคลาศไคล |
พระทวารดาลลั่นกระทั่งแตร |
ประโคมแซ่ฆ้องกลองปี่ไฉน |
กลองแขกปี่ชวาจ้าแจ้วไป |
ขุนนางตกใจคึกคักกัน |
เจ้าพระยาแลพระยาตามตำแหน่ง |
ผู้น้อยนั่งแอบแฝงลับแลกั้น |
ให้สงบลงสิจิจุกัน |
บ้างตัวสั่นก้มหน้าภาวนาไป |
เสด็จรูดม่านกร่างขุนนางกราบ |
อกวาบดังเพลิงพระกาลไหม้ |
ตรัสประภาษเห็นสบายค่อยคลายใจ |
ใครมีเค้ามูลก็ทูลพลัน |
น้ำท่าฟ้าฝนสะดวกดี |
ข้าวปรังนาปีเกษมสันต์ |
ราษฎรเป็นสุขอยู่ทุกวัน |
บรรยายถี่ถ้วนทรงพระสรวลฮา |
เจ้าพระยาราชสีห์ก็กราบทูล |
ขอพระอนุกูลโปรดเกศา |
บัดนี้มีบอกโคราชมา |
ว่าพวกลาวดั้นป่ามาถึงเมือง |
เป็นข้าของพระเจ้าล้านช้าง |
มีสารถวายนางมาตามเรื่อง |
บรรณาการพานทองนองเนือง |
ให้ยับยั้งอยู่เมืองราชสีมา |
ทูลความตามบอกเมืองโคราช |
ทราบบาทสมเด็จพระพันวษา |
ให้ทราบความตามเรื่องที่มีมา |
ยังเบื้องบาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
เลิศลบปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ผินพระพักตร์ตรัสปรึกษาเสนาพลัน |
พร้อมกันจะเห็นประการใด |
ต่างเมืองเขามาถวายนาง |
จะเห็นจริงอยู่บ้างฤๅหาไม่ |
ฤๅกลศึกนึกแหนงควรแคลงใจ |
ใครเห็นอย่างไรให้ว่ามา ฯ |
๏ เจ้าพระยาพระหลวงก็รับสั่ง |
พร้อมพรั่งประนมก้มเกศา |
กราบทูลพระองค์ทรงศักดา |
ซึ่งล้านช้างให้มาในครั้งนี้ |
เห็นจะไม่เป็นทางล่อลวง |
ถวายดวงสุดามารศรี |
ด้วยหวังใจจะได้พึ่งพระบารมี |
ควรที่จะให้ไปรับมา ฯ |
๏ พระองค์ทรงฟังเห็นสมควร |
ทรงพระสรวลพระทัยให้หรรษา |
เฮ้ยตำรวจในอย่าได้ช้า |
ขึ้นไปพาราโคราชพลัน |
รับราชทูตถือสารมา |
กับพลโยธาทั้งปวงนั่น |
บรรณาการพานทองสิ่งของนั้น |
จัดเรือรับกันล้วนดีดี ฯ |
๏ ฝ่ายราชามาตย์ก็รับสั่ง |
ถอยหลังคลานออกมาจากที่ |
จัดเรือดั้งกันทันที |
ฝีพายลงเรือพายเฝือไป |
คืนหนึ่งมาถึงท่าราบ |
ไพร่หาบคานสอดหาช้าไม่ |
ขึ้นบกยกเดินมาในไพร |
ห้าคืนเข้าในโคราชพลัน |
วางตราว่าความตามที่ |
กรมการอึงมี่เป็นจ้าละหวั่น |
ตามส่งสิ่งของทองรูปพรรณ |
พร้อมกันช้างม้าก็คลาไคล |
ถึงท่าพากันมาลงเรือ |
พลพายพายเฝือหาหยุดไม่ |
เตือนกันวุ่นวายเร่งพายไป |
มาได้คืนหนึ่งถึงบุรี |
พอเรือจอดทอดประทับรับราชสาร |
ผู้คนอลหม่านอึงมี่ |
เชิญราชสารใส่พานทันที |
กลองตีประโคมแห่โหมไป |
ถึงที่เชิญขึ้นไปบนหอ |
อาลักษณ์รับต่อท่านผู้ใหญ่ |
ให้แปลราชสารเป็นคำไทย |
ต้องในสำเนาทุกประการ |
แล้วจัดแจงแต่งจวนให้ทูตอยู่ |
เลี้ยงดูปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เหล้าข้าวเป็ดไก่ชัยบาน |
เลี้ยงโต๊ะประทานทุกทุกวัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ครองนิเวศน์อยุธยาเกษมสันต์ |
เสด็จออกเสนาข้างหน้าพลัน |
ข้าราชการทั้งนั้นก็เข้าไป |
พร้อมแล้วถวายอภิวาท |
บังคมบาทพระองค์ผู้เป็นใหญ่ |
หมอบกลาดดาษเฝ้าพระภูวไนย |
ตามตำแหน่งน้อยใหญ่เคยเฝ้ามา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพระยาราชสีห์ |
ยอกรอัญชลีเหนือเกศา |
กราบทูลขึ้นพลันมิทันช้า |
อันชีวาอยู่ใต้บทมาลย์ |
ซึ่งโปรดให้ไปยังเมืองโคราช |
จมื่นราชามาตย์กับทหาร |
รับทูตกับเครื่องบรรณาการ |
พระราชสารมาอยุธยา |
ถึงแล้วให้หยุดยับยั้งอยู่ |
เลี้ยงดูพิทักษ์รักษา |
แล้วทูลความตามสารที่มีมา |
ให้ทราบใต้บาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ในสารพระผู้ผ่านนิเวศน์เวียง |
พิภพเพียงสมบัติไอศวรรย์ |
กรุงนาคนะหุตผู้สัจธรรม์ |
บังคมคัลยังพระเจ้าอยุธยา |
อันเป็นใหญ่อยู่ในเศวตฉัตร |
สูงกว่ากษัตริย์ทุกทิศา |
ขอถวายเครื่องสุวรรณบรรณามา |
ยังศรีอยุธยาพระนคร |
ด้วยระบือฦๅเกียรติพระทรงเดช |
ทุกประเทศเกรงหมดสยดสยอน |
ปกเกล้าเหล่าฝูงประชากร |
ราษฎรทวยหาญสำราญใจ |
หนึ่งพระองค์นั้นทรงทศพิธ |
ครองธรรมสุจริตเป็นใหญ่ |
อันพระเจ้าล้านช้างวางพระทัย |
จะขอพระเดชปกไว้คุ้มวันตาย |
ขอถวายพระธิดาเป็นข้าบาท |
พระอิศราธิราชเรืองฉาย |
สืบกษัตริย์อันประเสริฐเพริศพราย |
เกล้ากระหม่อมยอมถวายบังคมไป |
แต่องค์นางนั้นยังไม่ส่งมา |
กลางป่าหาไว้พระทัยไม่ |
เกลือกจะมีโจรป่ามาในไพร |
ชิงไว้จะเสียซึ่งท่วงที |
ขอทหารในกรุงอยุธยา |
มารับพระธิดามารศรี |
เห็นอันตรายสิ่งใดจะไม่มี |
จะล่วงตีชิงนางที่กลางไพร |
อนึ่งจะเรืองพระเกียรติยศ |
ปรากฏฟุ้งเฟื่องเมืองเหนือใต้ |
คำคนจะระบือฦๅไป |
ว่ากรุงไทยไปรับพระบุตรี |
ถ้าแม้นไม่ต้องพระประสงค์ |
ให้ตอบราชสารส่งไปตามที่ |
ขอฝากพระธิดานารี |
กับตัวเราเท่านี้กว่าจะตาย |
ความนี้มิใช่เป็นกลศึก |
อย่าทรงนึกระแวงแหนงหน่าย |
เรากษัตริย์ตรัสแล้วไม่กลับกลาย |
อ่านถวายทราบสิ้นทุกประการ ฯ |
๏ ครานั้นพระผู้ผ่านบุรีศรี |
อยุธยาธานีราชฐาน |
ได้ทรงฟังแล้วก็สั่งมิทันนาน |
ให้เตรียมการที่จะรับแขกเมือง |
เกณฑ์ทหารอาสาหน้าหลัง |
จัดแจงแต่งวังตั้งเครื่อง |
ให้ผูกช้างม้าสง่าเมือง |
แล้วย่างเยื้องเสด็จขึ้นข้างในพลัน ฯ |
๏ ครานั้นฝ่ายว่ากรมวัง |
รับสั่งรีบมาขมีขมัน |
นายเวรเขียนหมายในฉับพลัน |
เกณฑ์กันตามตำแหน่งแต่ก่อนมา |
เบิกธนูโล่เขนง้าวทวน |
ตามกระบวนกลาบาตซ้ายขวา |
พนักงานของใครให้เข้ามา |
พอเพลารุ่งเช้าให้พร้อมกัน |
เหล่าทหารถ้วนมือถืออาวุธ |
ครบสิ่งสรรพยุทธหลายหลั่น |
แน่นเนื่องเป็นขนัดถัดกัน |
จัดสรรตามขนบธรรมเนียมมา |
เหล่าหนึ่งถือธนูอยู่เป็นพวก |
นุ่งกางเกงใส่หมวกเกี้ยวผ้า |
ล้อมวังถือดั้งนั่งเนื่องมา |
บ้างถือดาบพาดบ่าเกี้ยวผ้าลาย |
เหล่าทวนถือทวนดูสันทัด |
เกณฑ์หัดถือปืนก็มากหลาย |
เสื้อแดงหมวกแดงแต่งกาย |
บ้างถือเขนนั่งรายล้วนตัวดี |
เกณฑ์หัดอย่างฝรั่งนั่งเป็นพวก |
ใส่เสื้อใส่หมวกอยู่ตามที่ |
ถือปืนปลายหอกทุกบอกมี |
ตัวดีแม่นยำทำท่าทาง |
กลองชนะแตรสังข์ตั้งเป็นพวก |
กางเกงริ้วใส่หมวกคนละอย่าง |
ผู้คนสับสนตามหนทาง |
ต่างต่างย้ายแยกแปลกแปลกกัน |
ในห้องท้องพระโรงนั้นพรมลาด |
เอี่ยมสะอาดฉากตั้งบังม่านกั้น |
ตั้งเครื่องสูงมาหน้าม่านนั้น |
ชุมสายรายคั่นกันต่อมา |
บรรณาการของถวายหลายหลาก |
ตั้งไว้หน้าฉากเป็นหนักหนา |
ที่นั่งตามตำแหน่งแขกเมืองมา |
ตรงหน้าพระที่นั่งพระทรงธรรม์ |
มหาดเล็กชาวที่มี่เข้ามา |
แต่งตัวนุ่งผ้าเป็นจ้าละหวั่น |
ขุนนางน้อยใหญ่เข้าไปพลัน |
จัดกันตามตำแหน่งแต่ก่อนมา |
นุ่งสมปักใส่เสื้อครุยกรอง |
เจียดถมพานทองตั้งข้างหน้า |
จัตุสดมภ์เวียงวังคลังนา |
ตำรวจในซ้ายขวาก็เข้าไป |
แขกฝรั่งก็ประดังกันแต่งตัว |
โพกหัวเสื้อขลิบจีบเอวใส่ |
เจียระบาดคาดรองปั้นเหน่งใน |
ต่างไปเป็นศรีพระพารา |
นับหมื่นพื้นทหารชำนาญศึก |
เหี้ยมฮึกเข้ากระบวนอยู่ถ้วนหน้า |
ตั้งปะรำยืนช้างกลางชาลา |
ทั้งม้าต้นพระที่นั่งสะพรั่งไป |
จัดเป็นหน้าหลังนั่งกลาบาต |
เกลื่อนกลาดตามหน้าพระลานใหญ่ |
แขกฝรั่งจีนจามนั่งหลามไป |
เตรียมไว้ตามมีพระบัญชา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ทรงพิภพ |
เลิศลบกว่ากษัตริย์ทุกแหล่งหล้า |
เสด็จเข้าที่สรงพระคงคา |
ปทุมทองธาราไหลริน |
ชำระรดหมดหมองละอองผง |
แล้วทรงพระสุคนธ์กลั้วกลิ่น |
ทรงภูษายกกระหนกบิน |
เป็นครุฑคาบนาคินทร์กระหวัดพัน |
ฉลององค์ทรงครุยเครือลดา |
ก้านขดรจนาฉายฉัน |
ลายทองกรองรับสลับพัน |
เป็นเครือวัลย์พื้นฉลุดอกลอย |
ทรงพระแสงองค์ใหญ่ใจเพชร |
มีสายกาละเม็ดพู่ห้อย |
ด้ามประดับเพชรรัตน์จำรัสพร้อย |
ระยับย้อยวับวามอร่ามพราย |
เสด็จออกพระที่นั่งมุขกระสัน |
ประดับแก้วแกมสุวรรณเฉิดฉาย |
กลองชนะแตรสังข์ตั้งราย |
จ่ากลองท้าถวายเชิญเสด็จพลัน |
พนักงานพระสูตรก็รูดม่าน |
ขุนนางอลหม่านอยู่ตัวสั่น |
ราชมนูก็ชูพุ่มสุวรรณ |
แตรสังข์ดังลั่นประโคมไป |
ข้าราชการน้อยใหญ่ก็หมอบราบ |
ก้มเกล้าลงกราบหาช้าไม่ |
มีพระโองการพลันทันใด |
สั่งให้ไปหาแขกเมืองมา ฯ |
๏ พระอำมาตย์รับพระราชโองการ |
สั่งราชาบาลให้ไปหา |
ตำรวจในวิ่งไขว่กันไปมา |
พนักงานก็พาเข้าเฝ้าพลัน |
ถึงหน้าพระที่นั่งต่างบังคม |
ยอกรประนมอยู่ตัวสั่น |
กราบถวายบังคมลงพร้อมกัน |
หมอบเฝ้าเป็นหลั่นอันดับมา |
หลวงราชนิกูลทูลเบิกพลัน |
ขอเดชะทรงธรรม์โปรดเกศา |
บัดนี้ราชทูตนั้นเข้ามา |
เฝ้าเบื้องบาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ชำเลืองพระเนตรผายผัน |
เห็นราชทูตมาถวายบังคมคัล |
กับทั้งเครื่องสุวรรณบรรณา |
จึงตรัสประภาษปราศรัย |
มาในป่าไม้ใบหนา |
กี่วันจึงถึงพระพารา |
มรรคายากง่ายประการใด |
อนึ่งกรุงนาคบุรี |
ข้าวกล้านาดีฤๅไฉน |
ฤๅฝนแล้งข้าวแพงมีภัย |
ศึกเสือเหนือใต้สงบดี |
ทั้งองค์พระเจ้าเวียงจันทน์ |
ทรงธรรม์เป็นสุขเกษมศรี |
ไม่มีโรคายายี |
อยู่ดีฤๅอย่างไรในเวียงจันทน์ ฯ |
๏ ราชทูตสนองพระโองการ |
ขอเดชะพระผู้ผ่านมไหศวรรย์ |
มรคามาสะดวกสี่สิบวัน |
เมืองนั้นเป็นสุขไม่มีภัย |
ข้าวปลานาปรังยังตั้งต้น |
เป็นผลหาขาดหาแคลนไม่ |
ศึกเสี้ยนศัตรูหมู่ภัย |
มิได้กระชิดติดพารา |
พระองค์ผู้ครองนัคเรศ |
พระเดชฟุ้งเฟื่องทุกทิศา |
ทรงธรรม์เป็นสุขทุกเวลา |
มิได้มีโรคามายายี ฯ |
๏ ปางพระองค์ทรงทราบที่กราบทูล |
นเรนทร์สูรปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
พระราชทานเสื้อผ้าแพรดี |
ทั้งที่อยู่สำราญบานใจ |
ครั้นถ้วนคำรบครบเจ็ดวัน |
เสนาพร้อมกันหมอบไสว |
ตรัสสั่งราชทูตให้กลับไป |
เกณฑ์ไพร่ห้าร้อยในทันที |
ให้พระท้ายนํ้านั้นคุมไป |
จัดของตอบให้ไปตามที่ |
แพรพรรณเงินทองของดีดี |
พระที่นั่งกิริณีหลังคาทอง |
กับทั้งสุวรรณลิขิต |
อย่าให้ผิดถ้อยคำทำเศร้าหมอง |
หอกง้าวหลาวแหลนทวนทอง |
ป้องกันอย่าให้มีอันตราย ฯ |
๏ ผู้รับสั่งถอยหลังออกจากเฝ้า |
เกณฑ์เหล่าอาสามามากหลาย |
บรรณาการของประเสริฐเพริศพราย |
ช้างม้าพรรณรายมณีดี |
หอกง้าวหลาวแหลนปืนไฟ |
แต่งไปทั้งพระราชสารศรี |
แล้วกราบทูลพลันทันที |
มีพระราชโองการให้ยกไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าราชทูตพระท้ายนํ้า |
ยกพลคลาคลํ่าจากกรุงใหญ่ |
ช้างม้าพากันเดินดาษไป |
ยิงปืนไฟโห่ร้องกึกก้องมา |
พลบคํ่าตั้งค่ายรายขวาก |
ลากขอนสุมไฟที่ในป่า |
เช้าไปคํ่ายั้งไม่รั้งรา |
มาได้เดือนหนึ่งกับสิบวัน |
ถึงกรุงศรีสัตนาหน้าบุรี |
ให้หยุดโยธีแข็งขัน |
ยับยั้งอยู่ฟากพานพร้าวพลัน |
ให้เพี้ยสุวรรณบัตรไป |
อุปฮาดแสนหลวงก็ทักถาม |
แจ้งความมีมาแต่เมืองใต้ |
เสด็จออกพระโรงคัลทันใด |
พร้อมในที่เฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ชำเลืองพระเนตรผายผัน |
เห็นเพี้ยสุวรรณบัตรพลัน |
พระพักตร์แจ่มดังจันทร์จำรัสฟ้า |
เออเอ็งลงไปถึงเมืองใต้ |
ได้การอย่างไรให้เร่งว่า |
อนึ่งพระเจ้ากรุงอยุธยา |
ปราศรัยดีร้ายประการใด |
เพี้ยสุวรรณบัตรได้รับสั่ง |
บังคมทูลมาหาช้าไม่ |
พระเจ้าอยุธยาพาราไทย |
ปราศรัยถามถึงพระบาทา |
แล้วให้ประทานรางวัล |
เสื้อผ้าแพรพรรณเป็นหนักหนา |
ให้พระท้ายน้ำนำพลมา |
ถวายราชบรรณาแล้วรับนาง ฯ |
๏ ทรงฟังดังน้ำอัมฤตรส |
ซึ่งเพี้ยทูลปรากฏไม่อางขนาง |
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนาพลาง |
ให้ปลูกโรงในหว่างข้างศาลา |
สำหรับจะรับพระท้ายน้ำ |
กับไพร่พลที่นำมาหนักหนา |
สั่งวิเสทให้แต่งโภชนา |
เลี้ยงดูโยธาพวกกรุงไทย |
ผันพระพักตร์มาสั่งอุปฮาด |
จงจัดแจงรับราชทูตใต้ |
สั่งพลางย่างเยื้องเข้าปรางค์ใน |
สถิตยังแท่นวิไลหิรัญยวง ฯ |
๏ ครานั้นเสนาผู้รับสั่ง |
จึงเกณฑ์ทั้งตำรวจใหญ่ไพร่หลวง |
ให้ทำโรงตามรับสั่งสิ้นทั้งปวง |
แล้วเสร็จไม่ล่วงสามราตรี |
ฝ่ายว่าอุปฮาดก็บาตรหมาย |
เกณฑ์ฝีพายพร้อมพรั่งทั้งเรือศรี |
เป็นหลายลำจํ้าข้ามฟากวารี |
ถึงที่พานพร้าวเข้าทันใด |
จึงเชิญพระท้ายนํ้าให้นำพล |
จรดลมาหมดทั้งนายไพร่ |
ถึงวังยับยั้งศาลาลัย |
วิเสทในยกโภชนามา |
เลี้ยงเป็นเหล่าเหล่าลาวคอยชี้ |
ข้าวเหนียวหักหลังดีไม่เมื่อยขา |
แจ่วห้าแจ่วหกยกออกมา |
ทั้งน้ำยาปลาคลุกหนมจีนพลัน |
น้ำพริกลูกหมากมาดไข่ปลาบึก |
ข้อยนึกทำให้แซบเป็นหยังซั่น |
เลี้ยงแล้วสำเร็จเสร็จพลัน |
พากันมาอยู่โรงแขกเมือง ฯ |
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงล้านช้าง |
สำอางพระองค์แล้วทรงเครื่อง |
เสด็จออกท้องพระโรงอร่ามเรือง |
เสนาเนื่องเฝ้าแหนออกแน่นไป |
สั่งให้เบิกพระท้ายนํ้ามา |
ตำรวจลาวสักขาวิ่งออกไขว่ |
มาถึงบอกพลันทันใด |
เชิญเจ้าคุณเข้าไปพระโรงคัล ฯ |
๏ ครานั้นพระท้ายน้ำสั่งบ่าวไพร่ |
ขนบรรณาการไปขมีขมัน |
เข้าไปเฝ้าองค์ท้าวเจ้าเวียงจันทน์ |
ถวายสารอภิวันท์เจ้าพารา |
เพี้ยกวานรับประณตบทมาลย์ |
แล้วคลี่ราชสารออกอ่านว่า |
ในลักษณลิขิตอิศรา |
พระทรงภพอยุธยาธานี |
ซึ่งสถิตในเศวตฉัตรชั้น |
ปราสาทสุวรรณอันเรืองศรี |
ทราบว่ากรุงนาคนะหุตนี้ |
จะถวายบุตรีวิลาวัณย์ |
ในพระทัยใสโสมนัสนัก |
จะได้เฉลิมลักษณ์ภิเษกสรรค์ |
เป็นอรรคมเหษีร่วมที่กัน |
ให้มารับจอมขวัญนั้นลงไป ฯ |
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นสารศรี |
เพี้ยกวานอัญชลีประนมไหว้ |
พระท้ายนํ้าก็ทูลไปทันใด |
บรรณาการนั้นไซร้นานา |
รับสั่งให้ถวายเบื้องบาท |
พระผู้ดำรงราชย์นาถา |
ทูลแล้วเสร็จพลันวันทา |
คอยฟังบัญชาพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระผู้ผ่านนาคนะหุต |
มีพระทัยใสสุดเกษมสันต์ |
จึงตรัสแก่พระท้ายน้ำพลัน |
สิบห้าวันเราจะส่งนางลงไป |
ตรัสพลางทางเสด็จยุรยาตร |
ขึ้นจากพระโรงราชวินิจฉัย |
พระท้ายน้ำบังคมลาคลาไคล |
ไปอยู่ในที่ประทับยับยั้งพล ฯ |