ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ

๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ ปิ่นปักหลักโลกนาถา
สถิตเหนือพระแท่นแว่นฟ้า พอสุริยาเร่งรถขึ้นเรืองรอง
ถึงเวลาพระก็ฟื้นตื่นไสยาสน์ ลงจากอาสน์เสด็จออกนอกห้อง
นางในถ้วนหน้าข้าทูลละออง หมอบชม้อยคอยจ้องประจำงาน
พระชำระสระสรงทรงสุคนธ์ ปรุงปนประทิ่นกลิ่นหอมหวาน
ทรงพระแสงเนาวรัตน์ชัชวาล พระภูบาลออกท้องพระโรงเรือง
ประทับพระที่นั่งบัลลังก์อาสน์ อำมาตย์หมอบนอบน้อมประนมเนื่อง
ตรัสประภาษราชการบ้านเมือง แล้วชำเลืองมาข้างเหล่ามหาดชา
๏ ครานั้นขุนช้างเห็นว่างจังหวะ ขอเดชะฝ่าพระบาทปกเกศา
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา แต่เกล้ากระหม่อมเป็นข้าฝ่าละออง
อยู่ในมหาดชากว่าแปดปี แต่หวายเปรียะยังไม่มีได้ถูกต้อง
บัดนี้จมื่นไวยใจคะนอง ทุบถองกระหม่อมฉันแทบบรรลัย
แต่ต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย ถึงเจ้านายของมึงหากลัวไม่
บ่าวไพร่กว่าร้อยต่อยร่ำไป พวกขุนนางขวางไว้จึงไม่ตาย
เมื่อขณะทุบถองร้องด่าว่า ก็ต่อหน้าขุนนางสิ้นทั้งหลาย
ได้ห้ามปรามรู้เห็นเป็นมากมาย แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม ได้ทรงฟังถ้อยคำขุนช้างว่า
พระนิ่งนึกตรึกความตามกิจจา ข้อที่ว่าทุบตีทีจะจริง
อันจะร้องท้าทายถึงนายเจ้า มันจะเสกใส่เอาให้ใหญ่ยิ่ง
เหตุที่เกิดความยุ่งขึ้นนุงนิง เพราะอ้ายนี่ถือหยิ่งว่าพ่อเลี้ยง
ครั้นเต็มเมาเข้าจะว่ามันหยาบคาย อ้ายไวยอายจึงทะเลาะเบาะเถียง
เกินกันแต่ละน้อยค่อยเลียบเคียง ครั้นด่ามันมันก็เหวี่ยงเอาสาใจ
แม้นจะนิ่งความไว้ไม่ไต่ถาม อ้ายหมื่นไวยก็จะหยามขึ้นหยาบใหญ่
จะถือว่าเจ้ารักแล้วหนักไป โกรธใครก็จะพาลพาโลตี
พระตริเสร็จตรัสสั่งตำรวจใน ไปหาตัวจมื่นไวยเข้ามานี่
ตำรวจรับสั่งวิ่งเป็นสิงคลี ครั้นถึงที่บ้านบอกพระหมื่นไวย
รับสั่งให้หาไปในบัดนี้ ขุนช้างทูลคดีเป็นความใหญ่
พระไวยแจ้งกิจจาเรียกข้าไท ลงบันไดเดินเหย่าเข้าวังพลัน
นุ่งถมปักลนลานเป็นการเร็ว เอาผ้ากราบคาดเอวขมีขมัน
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ บังคมคัลคอยฟังพระโองการ ฯ
๏ ครานั้นพระปิ่นนรินทร์ราช มีพระสิงหนาทอยู่ฉาดฉาน
เหวยอ้ายไวยอย่างไรเมื่อทำงาน จึงฮึกหาญข่มเหงอ้ายขุนช้าง
เตะต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย จ้วงจาบเจ้านายได้ทุกอย่าง
ใครเล่าเป็นเจ้าของอ้ายช้าง เอ็งอ้างว่าไม่กลัวคือตัวใคร
พวกขุนน้ำขุนนางเข้ากางกั้น แต่กระนั้นมึงยังหาฟังไม่
ถีบถองต่อยชกตกบันได จริงเท็จเป็นกะไรให้ว่ามา ฯ
๏ พระไวยทูลตามข้อขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา
ซึ่งขุนช้างกราบทูลพระกรุณา เสกแสร้งแกล้งว่าเอาแต่ดี
ที่ข้อว่าหยาบช้าเป็นสาหัส แม้นเป็นสัตย์จงประหารให้เป็นผี
ขุนช้างไปช่วยงานเมื่อวานนี้ รับประทานอาหนีเข้าตึงตน
กล่าวคำหยาบช้าสารพัน กระหม่อมฉันห้ามปรามเป็นหลายหน
เข้ายุดหยอกมารดาต่อหน้าคน เหลือทนแล้วจึงได้วิวาทกัน
โป้งโหยงหยาบคายเป็นหลายข้อ ด่าทอถอดชื่อกระหม่อมฉัน
เต็มอายต่อหน้าธารกำนัล แล้วเสกสรรลำเลิกโพนทะนา
เมื่อครั้งนั้นกระหม่อมฉันได้เจ็ดปี ขุนช้างพาไปฆ่าตีที่ในป่า
จนสลบซบอยู่กับพสุธา กลัวมิตายหมายว่าจะไม่ลับ
ทั้งสลบตบต่อยปะเตะปะตะ แสกศีรษะซ้ำเอาไม้ซีกสับ
ลากตัวไปในรกยกขอนทับ แล้วขุนช้างวางกลับไปบ้านตน
เดชะบุญกระหม่อมฉันไม่บรรลัย ฟื้นขึ้นได้ซานมาหาชีต้น
ซ่อนตัวอยู่กับท่านอาจารย์นน มิให้คนเห็นตัวด้วยกลัวตาย
เมื่อวานนี้อ้ายขุนช้างอ้างความหลัง พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย
กระหม่อมฉันบอกกล่าวทั้งไพร่นาย แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ ฟังจบที่พระไวยให้การว่า
ข้างต้นความดูเห็นเป็นอาญา แต่ข้างปลายกลายมานครบาล
จำเลยแก้เป็นฉกรรจ์มหันตโทษ จำจะซักข้างโจทก์ให้แตกฉาน
เฮ้ยขุนช้างหมื่นไวยมันให้การ ว่าประมาณอายุสักเจ็ดปี
มึงแกล้งชวนเอาไปในป่าใหญ่ เอาขอนทับไว้แล้วแล่นหนี
มันสู้นิ่งความมากว่าแปดปี จนวานนี้เอ็งว่าต่อหน้าคน
ข้อหยาบช้าสาหัสเขาปฏิเสธ เกิดวิวาทขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นต้น
มันบอกกล่าวเล่าทั่วทุกตัวคน นี่แน่ะเฮ้ยเหตุผลเป็นอย่างไร ฯ
๏ ขุนช้างได้ฟังรับสั่งถาม เห็นว่าความเก่าเกิดก็หวั่นไหว
ด้วยจริงใจในอกก็ตกใจ เหงื่อไหลโซมตัวกลัวอาญา
แข็งใจกราบทูลไปทันที พระบารมีปกเกล้าเหนือเกศา
ซึ่งพระไวยกราบทูลพระกรุณา ล้วนเสกแสร้งแกล้งว่าใช่ความจริง
ซึ่งจะได้ตีฆ่าหามิได้ แกล้งกล่าวเสกใส่ให้ใหญ่ยิ่ง
ถ้าฆ่าตีก็จะมีที่อ้างอิง ไยจึงนิ่งความไว้ไม่กราบทูล
ครั้นเกล้ากระหม่อมฟ้องหาว่าต่อยตบ แกล้งจะกลบความร้ายให้หายสูญ
จึงเสกแสร้งใส่เอาเป็นเค้ามูล เอาความเท็จเพ็ดทูลแต่โดยเดา
กระหม่อมฉันจะได้ว่าหามิได้ พระหมื่นไวยยุแยงแกล้งมอมเหล้า
ล่อให้พูดจาประสาเมา แล้วเอาความร้ายมาบ้ายทา
อันที่ท้าถึงเจ้ากล่าวสาหัส แม้นมิสัตย์ขอพระองค์ลงโทษา
ถ้าแม้นไม่จริงจังดังเจรจา รับพระราชอาญาจนบรรลัย ฯ
๏ พระองค์ทรงภพตบพระเพลา กูจะเอาความจริงให้จงได้
เฮ้ยขุนนางข้าเฝ้าอย่าเข้าใคร บรรดาไปช่วยงานเมื่อวานนี้
ใครรู้เห็นเป็นอย่างไรให้เร่งว่า อย่าเห็นแก่หน้าขุนนางแลเศรษฐี
ขุนช้างว่าหมื่นไวยไล่ทุบตี พาทีถึงเจ้ากล่าวหยาบคาย
ข้างหมื่นไวยว่าขุนช้างอ้างความหลัง พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย
เมื่อเล็กเล็กเอาไปล้างให้วางวาย บุญตัวไม่ตายจึงรอดมา
เมื่อขุนช้างอ้างว่าฆ่าหมื่นไวย เต็มเมาฤๅไม่สู้หนักหนา
อย่าได้เข้าข้างใครให้เจรจา จงเร่งว่าอย่าได้เห็นกับบุคคล ฯ
๏ บรรดาข้าเฝ้าเหล่าไปงาน จึงกราบทูลพระโองการตามเหตุผล
กระหม่อมฉันจำไว้ได้ทุกคน เป็นต้นด้วยขุนช้างไปช่วยงาน
รับพระราชทานเหล้าจนเมามาย แล้ววุ่นวายว่ากล่าวห้าวหาญ
ขึ้นตั้งท่าอวดตนว่าหนุมาน แล้วพูดจาเกี้ยวพานถึงวันทอง
พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง จึงตึงตังต่อยตีกันมี่ก้อง
ขุนช้างโป้งปากหากคะนอง ร้องลำเลิกความหลังออกคลั่งไป
ว่าเมื่อพระไวยอยู่กับมารดา ขุนช้างเอาไปฆ่าในป่าใหญ่
เอาไม้ซีกสับลงที่ตรงไร เอาขอนทุ่มทับไว้จะให้ตาย
พระไวยขัดใจก็เรียกบ่าว มี่ฉาวชกซ้ำล้มคว่ำหงาย
ซึ่งจะท้าว่ากล่าวถึงเจ้านาย กระหม่อมฉันทั้งหลายไม่ได้ยิน
แต่ขุนช้างกินเหล้าเมาเต็มประดา จนเปลื้องผ้าจากกายความอายสิ้น
ไม่เข้าใครใส่กลเป็นมลทิน พระภูมินทร์จงทราบพระบาทา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม พิเคราะห์คำให้การพยานว่า
วินิจฉัยไปด้วยพระปรีชา ซึ่งข้อที่หยาบช้านั้นสำคัญ
ความโจทก์กล่าวหาเป็นสาหัส แม้นเป็นสัตย์ก็โทษถึงอาสัญ
ถ้าไม่เป็นสัตย์โทษโจทก์เหมือนกัน อิกข้อนั้นซึ่งหาว่าฆ่าตี
ถ้าแพ้กับทานบนจนกับพยาน ผู้ทำผิดต้องประหารให้เป็นผี
แต่หากเบาด้วยเมาอยู่เต็มที ไม่รู้สึกสมประดีก็ว่าไป
จำจะซักหมื่นไวยให้กระจ่าง จะเอาโทษขุนช้างยังไม่ได้
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย เมื่อแรกไอ้ขุนช้างมันฆ่าตี
ไยจึงนิ่งความไว้ไม่กล่าวหา พึ่งมาว่าเมื่อเขาฟ้องไม่ต้องที่
ที่ป่าไหนมันฆ่าว่าให้ดี มีผู้รู้เห็นบ้างฤๅอย่างไร ฯ
๏ ขอเดชะปกเกล้าปกกระหม่อม ด้วยยังย่อมเมื่อเขาทำจำไม่ได้
รู้แต่ว่าป่าหลังสุพรรณไป ครั้นจะอ้างก็ไม่มีใครมา
จะร้องก็ไม่ได้ไกลบ้านคน ครั้นจะหนีก็ไม่พ้นเป็นกลางป่า
เดชะบุญปลดปลอดรอดชีวา จะไปร้องฟ้องหาก็เด็กนัก
ไม่รู้ว่ารั้วแขวงกรมการ โรงศาลอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก
จึงมิได้ว่าขานมานานนัก จนอารักษ์ดลใจให้พาที
จะอ้างอิงนั้นไม่ได้เป็นในป่า เหลือปัญญาขอพิสูจน์ไปตามที่
ถ้าแม้นแพ้แก่สัตย์ดำนัที ขอถวายชีวีพระทรงธรรม์ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์ ได้ฟังสิ้นถ้อยคำหมื่นไวยนั่น
จึงมีสีหนาทประภาษพลัน อ้ายไวยนั้นมันว่าก็ชอบกล
แล้วตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง มึงอย่าพลางเล่าไขไปแต่ต้น
ถ้าแม้นว่าทำผิดคิดผ่อนปรน อย่าอั้นอ้นบอกให้หมดอย่าปดกู ฯ
๏ ขุนช้างฟังพระองค์ทรงถามซัก เป็นทุกข์หนักมือประนมก้มหน้าอยู่
เหงื่อไหลหน้าหลังลงพรั่งพรู เป็นครู่จึงทูลพระกรุณา
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีบาท องค์พระหริราชนาถา
ซึ่งถ้อยคำจมื่นไวยใช่สัจจา เสกแสร้งใส่ว่าสารพัน
ที่จะได้ตีรันนั้นหามิได้ กล่าวพอให้กลบความกระหม่อมฉัน
ขุนนางเข้ากับพระไวยไปทั้งนั้น เพราะเป็นพวกเดียวกันกับพระนาย
กระหม่อมฉันจนใจไร้พวกพ้อง ได้อยู่ก็แต่ต้องพิสูจน์ถวาย
ถ้าแม้นแพ้จงล้างให้วางวาย กระหม่อมฉันขอถวายซึ่งชีวี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงชัย วินิจฉัยในสำนวนถ้วนถี่
อ้ายขุนช้างเอามุสามาพาที ในคดีพิรุธทุกประการ
แต่พยานร่วมกันยังติดใจ ผิดวิสัยความหลวงกระทรวงศาล
เดี๋ยวนี้แพ้ทานบนจนพยาน อ้างเองยังกลับค้านทุกคนไป
ถึงจะพูดจาประสาเมา ก็จัดเอาเป็นข้อพิรุธได้
ถ้าสั่งกรมเมืองให้ติดไม้ ครู่เดียวก็จะได้เท็จจริงกัน
แต่ครั้งนี้อ้ายไวยสิโปรดปราน ไพร่บ้านพลเมืองก็ฦๅลั่น
จะเป็นเข้ากับอ้ายไวยใส่ความมัน จริงเท็จทั้งนั้นใครจะรู้
จำจะต้องพิสูจน์ตามกระบวน ให้มันสิ้นสำนวนที่ต่อสู้
เท็จจริงข้างใครให้คนดู ตัวกูจึงจะพ้นคนนินทา
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง มึงอ้างข้าราชการก็พร้อมหน้า
กูได้ถามความข้อว่าหยาบช้า พวกขุนนางต่างว่าไม่ได้ยิน
อันความฉกรรจ์มหันตโทษ พยานโจทก์กลับเจือจำเลยสิ้น
ครั้นอ้างเขาไม่รับก็กลับลิ้น ปลิ้นไปติดใจค้านพยานตัว
กูเห็นแน่แท้เท็จสิ้นทั้งหมด ถ้าใส่บทแล้วก็โทษถึงตัดหัว
ข้อหยาบช้ามึงมุสาไม่เกรงกลัว แล้วทำชั่วถอดชื่ออ้ายหมื่นไวย
ข้อหาว่าทุบตีข้อนี้รับ ที่ถอดชื่อพอจะปรับกันลงได้
ข้อหยาบช้าโทษมึงถึงบรรลัย จะยกโทษให้ไอ้ขุนช้าง
แต่ข้อหาฆ่าฟันนั้นลับนาน ไม่มีพยานขอพิสูจน์ทั้งสองข้าง
ยังไม่แน่ข้างหมื่นไวยฤๅอ้ายช้าง มิพิสูจน์ไม่กระจ่างซึ่งกิจจา
ปรึกษาเสร็จตรัสสั่งสี่พระครู ไปดูให้โจทก์จำเลยมันจัดหา
เครื่องสำหรับดำน้ำให้ทำมา ไปปักหลักลงที่หน้าตำหนักแพ
เข้ามณฑลกันวันพรุ่งนี้ จนถึงที่วันดำน้ำเจ็ดค่ำแน่
ให้กำกับกันอยู่คอยดูแล ให้พร้อมแต่เวลาบ่ายโมงปลาย
พนักงานกรมไหนให้ไปดู พระครูจัดแจงแต่งบัตรหมาย
คุมตัวไว้ในวังทั้งสองนาย พระสั่งเสร็จผันผายเข้าข้างใน ฯ
๏ ครานั้นพระครูผู้รับสั่ง ออกมานั่งยังที่ทิมดาบใหญ่
จัดแจงแต่งหมายแยกย้ายไป สั่งให้เรียกหลักนครบาล
ให้ทำมะรงสำรองไว้สองหลัก แล้วปักมณฑลแลทำศาล
เสมียนเขียนฟ้องคำให้การ สุภาการให้อยู่ดูเป็นกลาง
มิให้ส่งข้าวปลามาแต่บ้าน ขุนศาลหาให้กินทั้งสองข้าง
ให้โจทก์จำเลยหาผ้าขาวบาง มาปูกลางศาลทั้งสองรองบัตรพลี
หมากพลูใส่กระทงประจงเจียน ทั้งธูปเทียนดอกไม้บายศรี
เครื่องตั้งสังเวยกรุงพาลี มีมะกรูดส้มป่อยกระแจะจันทน์
ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มพรมลาด เสื่อสาดสายสิญจน์ให้จัดสรร
หม้อข้าวหม้อแกงใหม่และหม้อกรัณฑ์ กระโถนขันน้ำตั้งทั้งกระแชง
กระติกเหล้าข้าวสารเชิงกรานใหม่ ข่าตระไคร้หอมกระเทียมพริกแห้ง
ครกสากคนใช้ไก่พะแนง ทั้งสองแห่งจัดหาให้เหมือนกัน
ขุนช้างกับพระไวยได้บัญชา ก็รีบสั่งบ่าวข้าขมีขมัน
บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน ถ้วนจบครบครันดังบัญชา
เข้ามณฑลเสร็จถึงเจ็ดค่ำ นักการทำไม้หลักไปปักท่า
ที่ตำหนักแพโถงโรงนาวา ทำมะรงหาฆ้องไว้คอยตี
คำสาบานแช่งชักอาลักษณ์อ่าน ตระลาการอ่านสำนวนถ้วนถี่
เอาเชือกผูกเอวไว้ให้ดิบดี ประจำที่คอยท่าเสด็จมา ฯ
๏ พวกชายหญิงวิ่งพรูดูดำน้ำ ทั้งสาวหนุ่มกลุ้มกล้ำมาหนักหนา
ผู้ใหญ่เด็กเจ๊กฝรั่งทั้งละว้า แขกข่ามอญลาวมี่ฉาวไป
นางสาวสาวอยู่ในเรือนเห็นเพื่อนอึง ลุกทะลึ่งออกมาไม่ช้าได้
ชวนเพื่อนเตือนกันให้รีบไป ดูพระไวยกับขุนช้างดำน้ำกัน
ที่เถ้าแก่อยากดูไม่อยู่บ้าน อุ้มลูกจูงหลานเป็นจ้าละหวั่น
ที่โรงเรือเหลือหลามคนครามครัน ยัดเยียดเบียดกันอยู่วุ่นวาย
พวกท้าวนาวในวังทั้งปวง โขลนจ่าข้าหลวงสิ้นทั้งหลาย
รู้ว่าขุนช้างกับพระนาย เวลาบ่ายวันนี้จะดำน้ำ
ต่างอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว หวีหัวนุ่งห่มให้คมขำ
บ้างหาหมากใส่ซองสองสามคำ บ้างชักนำเพื่อนฝูงจูงมือมา
ถึงที่ตำหนักแพแออัด เบียดเสียดเยียดยัดกันหนักหนา
ออกเพียบแพแซ่ซ้องท้องคงคา คอยท่าว่าเมื่อไหร่จะได้ดำ
ข้างพวกคนที่เหล่าเป็นชาวเรือ ทั้งใต้เหนือตลอดจอดออกส่ำ
เรือเล็กเล็กน้อยน้อยออกลอยลำ แน่นแม่น้ำเซ็งแซ่อยู่แจจัน ฯ
๏ จะกล่าวถึงสมเด็จพระพันวษา ปิ่นปักอยุธยามหาสวรรย์
เนาในปราสาทแก้วอันแพรวพรรณ ฝูงกำนัลนบนอบหมอบแน่นไป
ทรงพระราชดำริตริตรึก ระลึกถึงพลายงามเป็นความใหญ่
ดำน้ำกับขุนช้างจะอย่างไร จนบ่ายได้เวลาสามโมงปลาย
จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองเนาวรัตน์จำรัสฉาย
ทรงพระแสงกุดั่นพรรณราย ผันผายจากที่มนเทียรทอง
ขึ้นเกยลาทรงมหายานุมาศ พร้อมอำมาตย์ราชกระวีมี่ก้อง
ประโคมแตรสังข์ประดังกลอง มาตามท้องฉนวนลงซึ่งคงคา ฯ
๏ ครั้นถึงจึงเสด็จขึ้นบนอาสน์ หมู่อำมาตย์บังคมก้มหน้า
ตำรวจใหญ่ลงในเรือกัญญา ทอดทุ่นกระสุนง่าว่าห้ามคน
ทำมะรงลงเรือขึ้นเหนือน้ำ หลายลำขึ้นล่องออกสับสน
สิ่งอันใดลอยตายในสายชล ก็เสือกไสให้พ้นไม่แผ้วพาน
พระผู้จอมนรินทร์ปิ่นธรณี พระจึงมีพระราชบรรหาร
ไปบอกพระครูหวาอย่าช้านาน เวลากาลจะอัสดงให้ลงดำ ฯ
๏ พระครูผู้รับสั่งก็บังคับ ตามตำรับอัยการโบราณร่ำ
พระหมื่นไวยให้ขึ้นข้างเหนือน้ำ ขุนช้างดำฝ่ายใต้ให้สมควร
เดิมขุนช้างเป็นโจทก์ก็จริงแล แต่ไต่ถามคดีกันถี่ถ้วน
เป็นสัตย์รับรองท้องสำนวน ข้อพิสูจน์นี้เป็นส่วนของพระไวย
กับอนึ่งซึ่งเขาเป็นขุนนาง ขุนช้างต้องดำข้างฝ่ายใต้
ปรึกษาเห็นพร้อมกันในทันใด แล้วจึงคุมออกไปนอกมณฑล
พาดำเนินย่างย่องทั้งสองนาย ผู้คุมรายกำกับอยู่สับสน
ชำระตัวสระหัวทั้งสองคน ชนไก่แล้วก็ลงในคงคา
ผู้คุมกุมยึดหางเชือกไว้ จับลำไม้ไผ่คอยพาดบ่า
ที่ริมฝั่งตั้งขันนาฬิกา ทำมะรงตั้งท่าเข้าข่มคอ
ตีฆ้องหม่งดำลงทั้งสองข้าง พอขุนช้างดำมุดก็ผุดฝอ
ผู้คุมเอาโซ่ใหญ่เข้าใส่คอ พวกคนดูด่าทอออกเพรียกมา
พวกผู้คุมกลุ้มฉุดไม่ละวาง ขุนช้างร้องโปรดก่อนพุทธิเจ้าข้า
พระไวยคนนี้มีวิชา เป่าซ้ำทำมาให้ต้องตน
ฤทธิเดชพระเวทเข้าจับใจ ทนไม่ไหวหัวพองสยองขน
เอาจำเลยขึ้นเหนือน้ำดำข้างบน เป่ามนตร์ลงมาข้าติดใจ ฯ
๏ พระองค์ทรงฟังขุนช้างว่า ชะต้าอ้ายเจ้าสำนวนใหญ่
แพ้เขาเฝ้าว่าโว้เว้ไป กลับพาโลว่าอ้ายไวยใช้เวทมนตร์
ด้วยสิ้นคิดมันก็บิดเอาซึ่งหน้า มันแกล้งว่าจะให้ซ้ำดำอิกหน
อ้ายโกหกแผ่นดินลิ้นกะลาวน ชอบแต่เฆี่ยนเสียให้ป่นคนเช่นนี้
แต่ซึ่งว่าให้จำเลยขึ้นเหนือน้ำ ถ้อยคำมันร้องนั้นต้องที่
จะตัดสินก็ไม่สิ้นซึ่งราคี ด้วยคดีเกิดขึ้นเพราะตัวมัน
ให้มันขึ้นเหนือน้ำดำอิกที จงจัดแจงเดี๋ยวนี้ขมีขมัน
ถ้าแพ้เขาอิกครั้งอย่าฟังกัน เอาไปฟันเสียบเสียให้สาใจ ฯ
๏ พระครูรับพระโองการลนลานมา อย่าช้านายช้างมาดำใหม่
เอาเชือกผูกบั้นเอวเร็วพระไวย คุมออกไปยุดหลักทั้งสองนาย
เอาไม้พาดบ่าพลันแล้วลั่นฆ้อง ข่มคอลงทั้งสองแล้วหย่อนสาย
พวกคนดูชุลมุนอยู่วุ่นวาย ทั้งเรือพายแทรกเสียดเข้าเบียดกัน
ด้วยขุนช้างนั้นพิรุธทุจริต พอดำมิดไม่ถึงสักกึ่งกลั้น
บันดาลเห็นเป็นงูเข้ารัดพัน ตัวสั่นกลัวสุดผุดลนลาน
พระกาญจน์บุรีโดดน้ำตามลงไป อุ้มพระไวยขึ้นมาต่อหน้าฉาน
เหล่าพวกผู้คุมนครบาล เอาคลังใส่ไอ้หัวล้านลากขึ้นมา ฯ
๏ พระองค์ทรงกริ้วกระทืบบาท ยมราชเอาไปจำให้แน่นหนา
อ้ายเสี้ยนหนามแผ่นดินลิ้นลังกา น้อยฤๅฆ่าคนได้ช่างไม่คิด
แต่กูมันยังคดปดเล่นได้ มันถือใจว่าไม่มีอาญาสิทธิ์
ลอยหน้าท้าทายถวายชีวิต เดี๋ยวนี้ผิดแพ้เขาเข้าสองยก
บังอาจฆ่าคนได้แล้วไม่สา แต่กูมันยังกล้ามาโกหก
อย่าเอาไว้ให้พื้นแผ่นดินรก ไปผ่าอกเสียอย่าให้ดูเยี่ยงกัน
มันเอาอ้ายไวยไปฆ่าที่ป่าไหน เอามันไปเสียบเสียที่ป่านั่น
สั่งเสร็จเสด็จจากที่นั่งพลัน ขึ้นยานุมาศผาดผันเข้าวังใน ฯ
๏ ฝ่ายท่านจตุสดมภ์ยมราช ประกาศสั่งขุนหมื่นน้อยใหญ่
คนโทษถึงมรณาอย่าไว้ใจ ไปส่งให้เจ้ากระทรวงหลวงพัศดี
ทำมะรงลงเหล็กตะลีตะลาน ประทุกประทาห้าประการไม่ให้หนี
โซ่ตรวนขื่อคาไม่ปรานี สี่ทำมะรงจูงมาพาไปคุก
ขุนช้างถูกจำตรวนถ้วนสามชั้น เคยย่างยาวก้าวสั้นก็ล้มปุก
ผู้คุมรุมไล่ก็ไม่ลุก ทำเป็นจุกเจ็บท้องร้องอื้ออึง
ทำมะรงโกรธาคว้ามัดหวาย ป่ายลงทั้งกำดังต้ำผึง
ตีซ้ำคว่ำหงายตายช่างมึง ผิดก็เสียเฟื้องหนึ่งบอกศาลา
ขุนช้างเข้าใจเขาไม่ฟัง ลุกขึ้นตึงตังทำเป็นบ้า
อ้าปากแลบลิ้นปลิ้นตา แก้ผ้านุ่งทิ้งวิ่งโทงเทง
หยิบเอาก้อนขี้หมาไล่ปาคน เอาหัวชนเสาเล่นเต้นเหยงเหยง
ลากตรวนโกรกกรากปากร้องเพลง คนดูอัดวัดเป้งเข้าด้วยคา
ทำมะรงร้องขู่ว่าอุแหม่ กูจะแก้มึงด้วยหวายให้หายบ้า
อ้ายอัปรีย์เอาขี้เที่ยวไล่ปา แก้ผ้าวิ่งโชนออกโพนเพน
พวกผู้หญิงแลมาหันหน้าหนี สิ้นที่ร้องเบื่อมันเหลือเถน
อ้ายพวกหนุ่มคะนองมันร้องเกน ไม่โจงกระเบนเสียบ้างนี่อย่างไร
พวกบ่าวมากับนายพลอยขายหน้า วิ่งพวยฉวยผ้ามานุ่งให้
ทำมะรงฉุดคร่าพาตัวไป เอาเข้าในคุกขึงจำตรึงตรา
คาไม้จริงยิงตะปูดูให้มั่น โซ่ร้อยแหล่งแกล้งสรรให้แน่นหนา
เอาอิฐหนุนก้นโด่งโยงหัวคา ใส่ขื่อมือยื้อคร่าให้ตึงตัว ฯ
๏ ขุนช้างต้องพันธนาถึงสาหัส มือรัดเอวโยงเอาโคลงหัว
จะไหวติงก็ไม่ได้ใจสั่นรัว โอ้ตัวกูถึงวันจะบรรลัย
ผุดปากภาวนาหน้าเป็นหลัง ปัตติสังขาเยเผลไพล่
การะนังยังมุระกุสะไล มอลอกอขอไขคัจไฉมิ
หิรูปักขาหิราปักเข สัมตันสันเตเยตะสิ
มุดทะกังทั้งกะทะคั้นกะทิ ต่อยปะเตะตกกะติปากแตกตาย
ทำมะรงโกรธาด่าอึงมี่ สวดอะไรอย่างนี้อ้ายฉิบหาย
เขาจะได้ตรวจคนบ่นวุ่นวาย มึงไม่รู้ฤทธิ์หวายฤๅอึงไป
ขุนช้างร้องขอโทษอย่าโกรธขึ้ง เจ็ดตำลึงสิบสลึงลูกจะให้
จงลดก่อนผ่อนคลายให้หายใจ แล้วจะให้ค่าลดสิบตำลึง
เออกระนั้นสิอย่าโกรธโทษถึงตาย ครั้นมิทำมุลนายเขาโกรธขึ้ง
พอให้เขาตรวจตราอย่าอื้ออึง ลั่นกุญแจแล้วจึงจะเคลื่อนคลาย ฯ
๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา อยู่เคหานอนไม่หลับกระสับกระส่าย
ด้วยผัวไปเป็นความกับลูกชาย จะดีร้ายเป็นอย่างไรจึงไม่มา
พออ้ายพลับกลับไปร้องไห้งอ คุณพ่อเป็นความแพ้คุณแม่ขา
ส่งเข้าคุกประทุกทั้งขื่อคา พระพันวษากริ้วกราดคาดโทษตาย
เขาเอาไว้สุดคนก้นกระซุง ต้องจำนั่งยังรุ่งจนเช้าสาย
แขวนจนก้นพ้นกระดานสงสารนาย เมื่อฉันมายังไม่คลายอิกขอรับ ฯ
๏ วันทองฟังเล่าบอกข่าวผัว ทอดตัวร้องไห้จนลมจับ
กลิ้งเกลือกเสือกนอนอ่อนพับ ดังจะดับชีวันไปทันใด
พวกบ่าวข้อนอกตกตะลึง อื้ออึงอัดแอเข้าแก้ไข
นวดเหยียบนัดยาทาน้ำดอกไม้ พอลมถอยค่อยได้สติพลัน
ลุกขึ้นลนลานคลานเข้าห้อง ประจงจ้องจับกุญแจไขกำปั่น
เปิดฝาคว้าทองสองสามอัน แล้วหยิบขันปากสลักตักเงินตรา
ใส่ลงในกระทายเป็นหลายขัน ปากนั้นกอบเบี้ยเกลี่ยปิดหน้า
แล้วส่งให้อีเขียดกระเดียดมา ทั้งข้าวปลาหาไปใส่ขันโต
แล้วจัดแจงสำรองของกำนัล เนื้อฉมันน้ำผึ้งเป็นครึ่งโถ
ให้บ่าวเที่ยวหาซื้อปลาเทโพ บรรทุกเรือแตงโมแล้วรีบมา ฯ
๏ ครั้นถึงจอดเรือแล้วรีบไป ข้าไทตามหลังมาหนักหนา
บ้างแบกโต๊ะของกำนัลขันข้าวปลา ถึงริมคุกขึ้นหาพัศดีกลาง
ของกำนัลให้ท่านพัศดี คุณพ่อได้ปรานีดีฉันบ้าง
จะขอไปส่งข้าวเจ้าขุนช้าง คุกตะรางอย่างไรฉันไม่เคย
พัศดีเรียกทำมะรงเนียม ช่วยพาพี่แกไปเยี่ยมผัวหน่อยเหวย
ทำมะรงรับคำนำลุกเลย เข้าประตูหับเผยถึงคุกใน
วันทองร้องง้อพ่อทำมะรง ช่วยถอดลงมากินข้าวได้ฤๅไม่
ทำมะรงว่าไปเยี่ยมกันก็ไป ถอดไม่ได้โทษอย่างนี้พี่วันทอง ฯ
๏ วันทองแข็งใจเข้าในคุก แลเห็นคนทนทุกข์สยดสยอง
น่าเกลียดน่ากลัวหนังหัวพอง ผอมกะหร่องร่างกายคล้ายสัตว์นรก
เขาใส่คาอาหารไม่พานไส้ เห็นวันทองขึ้นไปไหว้ประหลก
เอากล้วยทิ้งชิงกันตัวสั่นงก ใครมีแรงแย่งฉกเอาไปกิน
สุดแต่มีของให้แล้วไม่เลือก จนชั้นเปลือกก็ไม่ปอกขยอกสิ้น
เป็นหิดฝีพุพองหนองไหลริน เหม็นกลิ่นราวกับศพตรลบไป
ตัวเล็นเป็นขนไต่บนกระบาน นางก้าวหลีกลนลานไม่ดูได้
อุตส่าห์ทนจนถึงก้นคุกใน ขุนช้างเห็นเมียไปร้องไห้แง
วันทองเห็นผัวทอดตัวไห้ ขุนช้างใส่งองอกระป้อกระแป้
น้ำตาน้ำมูกตละลูกกะแอ แม่เอ๋ยแม่ทิ้งเสียได้ไม่พุทโธ
จะเดินเหินเข้าที่ไหนไปอย่าช้า แม่เมตตาอย่าให้ตายในตรวนโซ่
เอาเงินใส่ในถุงให้โตโต แล้วไปหาเจ๊กโล้ซื้อเหล้ามา
โอ๊ยลืมไปแล้วแม่ช่วยแก้ไข แม่จะเดินข้างในฤๅข้างหน้า
ของกำนัลเลือกสรรจัดเอามา ทั้งข้าวปลาเหล้าแกล้มหมูแนมญวน ฯ
๏ วันทองขัดใจไอ้คนเคอะ ยังซมเซอะไปจนคอจะเด็ดด้วน
เพราะกินเหล้าจึงต้องเข้าถึงโซ่ตรวน ยังหลงเล่อลามลวนข้างเหล้ายา
ขุนช้างเห็นเมียโกรธขอโทษตัว แม่ต่อยหัวพี่สักโขกก็ไม่ว่า
ใจคอท้อแท้แล้วแม่อา ได้หน้าลืมหลังพลั้งพลาดไป
จะด่าทออย่างไรก็ไม่ว่า เอาเงินตราค่าคุกนั้นมาให้
กับค่าลดสิบตำลึงให้ถึงใจ เสียไหนเสียไปเถิดแม่คุณ
วันทองตอบว่าอย่าปรารมภ์ เงินทองมีถมอย่าว้าวุ่น
ข้าจะเอาออกไปให้นายมุล ถึงเจ้าคุณบ้านนอกก็ปรานี ฯ
๏ ทำมะรงให้อ้ายรอดถอดขื่อคา กินข้าวปลาเถิดพี่ช้างอย่างครางอี๋
เป็นตายอยู่กับตัวกลัวไยมี จะด้นดำดินหนีได้เมื่อไร ฯ
ขุนช้างฟังว่าคว้าชามข้าว เปิบใส่ปากเปล่าไม่กลืนได้
เคี้ยวข้าวเป็นแป้งคอแห้งไป เอาน้ำใส่กลั้วคอให้พอกลืน
จะกินได้แต่ละคำเอาน้ำกลั้ว คิดถึงตัววางชามข้าวเฝ้าสะอื้น
วันทองปลอบว่าอุตส่าห์กลืน ขืนใจกินเถิดพ่อพอมีแรง
เห็นผัวยังนั่งครางนางช่วยป้อน เอาช้อนตักแกงแย้แก้คอแห้ง
ทั้งเนื้อพล่าปลาไหลไก่พะแนง ขุนช้างแข็งใจกินสิ้นชามโคม
แล้วสั่นหัวบอกพลันเท่านั้นเถิด ประดักประเดิดพี่นักอย่าหักโหม
คิดถึงตัวขึ้นมาน้ำตาโซม โถมกอดคอภรรยาแล้วว่าวาน
แม่คุณทูนหัวจงรีบไป เอาเงินติดท่านข้างในให้ว่าขาน
เพ็ดทูลผ่อนปรนช่วยบนบาน ขอประทานโทษตนให้พ้นภัย
วันทองว่าหาใครไม่ได้ดอก หนามยอกเอาหนามบ่งคงจะได้
วิ่งนักมักล้มก้มซวนไป จะอ้อนวอนพ่อไวยดูสักที
ขุนช้างว่าจริงแท้แม่ทูนหัว จะรอดตัวก็เพราะแม่ช่วยแก้พี่
ถ้าพ้นโทษโปรดถอดรอดชีวี แม่ไปไหนจะให้ขี่ไปต่างวัว ฯ
๏ วันทองว่าอย่าสำออยไปหน่อยเลย พวกพ้องข้าไม่เคยขี่คอผัว
สิ้นชีวิตก็ไม่คิดเสียดายตัว อย่ากลัวเลยอย่างไรไม่ทิ้งกัน
ว่าพลางหยิบเงินในกระทาย ให้กับนายทำมะรงขมีขมัน
ทั้งนายร้อยนายใหญ่ให้ทั่วกัน คนโทษทัณฑ์ให้ทานทุกคนไป
ฝากฝังสามีแล้วมิช้า ก็ลุกลาออกจากในคุกใหญ่
ให้เงินพัศดีกลางนางรีบไป ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้ช้า
โถมเข้าส้วมสอดกอดพระไวย ร้องไห้แทบสลบซบหน้า
พระหมื่นไวยสงสารกับมารดา วันทาทำเป็นถามไปฉับพลัน
หม่อมแม่ทุกข์เข็ญเป็นอย่างไร อย่าร้องไห้จงบอกออกกับฉัน
ฤๅปู่ย่าตายายวายชีวัน ไม่ทันบอกออกก็ร่ำแต่โศกี
วันทองจึงว่าพ่อทูนเกล้า ทุกข์แม่เทียมเท่าจะเป็นผี
เหลียวไม่เห็นใครในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยชีวีให้รอดตาย
เห็นแต่ดวงใจพระไวยแม่ ที่จะแก้ทุกข์ร้อนให้ผ่อนหาย
เจ้าขุนช้างคนคดประทษร้าย เพราะเช่นนั้นอันตรายจึงถึงตัว
เหมือนนมยานกลิ้งอกแม่หมกไหม้ ถึงชั่วดีเขาก็ได้มาเป็นผัว
ครั้นจะนิ่งให้ตายอายติดตัว จะเชิดชื่อฦๅทั่วชั่วกัลปา
เหตุเท่านี้จึงนิ่งทิ้งไม่ได้ แม่จนใจจึงซานด้านมาหา
พ่อคุณจงการุญกับมารดา ช่วยทูลขอชีวาขุนช้างไว้
พระองค์ทรงพระกรุณา คงหาขัดอัธยาพ่อพลายไม่
ขุนช้างสั่งถึงพ่อขออภัย อย่ามีบาปกราบไหว้พ่อหมื่นมา
นอกกว่าพ่อใครจะขอเห็นไม่ได้ พ่อจงช่วยชีวิตไว้ใช้ต่างข้า
อันที่ได้ผิดพลั้งแต่หลังมา พ่ออย่าผูกเวรานั้นสืบไป ฯ
๏ ครานั้นพระไวยพลายงาม จึงตอบความมารดาหาช้าไม่
แม่มาอ้อนวอนว่าข้าทำไม ข้ามิได้ฟ้องหานายขุนช้าง
ข้างเขาอิกจะเอาชีวิตข้า ไปกราบทูลพระพันวษาเอาทุกอย่าง
แกล้งใส่ความจะให้ตายวายวาง นี่หากมีที่อ้างจึงพ้นภัย
เมื่อขุนช้างเขาพาไปฆ่าตี ความนี้แม่ก็ทราบอยู่เต็มไส้
จะสงสารฉานบ้างก็เป็นไร นี่หากฟื้นขึ้นได้จึงรอดตัว
เมื่อลูกชายจะตายแม่ไม่คิด แม่รักแต่ชีวิตข้างท่านผัว
จึงเที่ยวท่องร้องไห้ไม่คิดตัว เพราะว่ากลัวขุนช้างจะบรรลัย
พระองค์กำลังทรงพระพิโรธ จะให้ทูลขอโทษอย่างไรได้
เหมือนโถมถาผ่าขวางเข้ากลางไฟ เป็นจนใจลูกแล้วนะมารดา ฯ
๏ วันทองกอดพระไวยร้องไห้กลิ้ง ความทั้งนี้ก็จริงเหมือนเจ้าว่า
เมื่อขุนช้างฆ่าพ่อแทบมรณา มารดาก็แจ้งอยู่เต็มใจ
อุตส่าห์พาพ่อไปฝากวัด เอาผ้าตัดทำธงแก้สงสัย
แม่ไม่เห็นเจ้าสักวันปิ้มบรรลัย นอนร้องไห้รักร่ำทุกค่ำคืน
อันผัวรักก็หาหนักกว่าลูกไม่ ลงบันไดสามขั้นเป็นคนอื่น
ถึงว่ารักจริงจังดังจะกลืน ก็ไม่เหมือนพ่อหมื่นของแม่เลย
ซึ่งเคืองขุ่นขุนช้างที่ล้างผลาญ ก็นมนานมาแล้วนะลูกเอ๋ย
เอาบุญอย่าอาฆาตจองเวรเลย ถ้าพ่อเฉยแล้วไม่ช้าท่านฆ่าแท้
เหมือนปล่อยปลาปล่อยเต่าเอากุศล ให้พ้นจากความเข็ญเห็นกับแม่
สู้อุตส่าห์เลี้ยงเจ้าเฝ้าดูแล ตั้งแต่พ่อยังอยู่ในอุทร
เจ้าเกิดมามารดาถนอมเจ้า บดข้าวสามเวลาอุตส่าห์ป้อน
อาบน้ำใส่เปลเห่ให้นอน แต่อ่อนอ่อนจนได้วัฒนามา
ขุนช้างอุตส่าห์หาข้าน้อยน้อย ให้พ่อไวยใช้สอยเป็นหนักหนา
เอาทองคำทำกำไลสร้อยเสมา ตะกรุดโทนถมยาล้วนอย่างดี
ยามตรุษสงกรานต์ไปลานวัด สารพัดใส่กายให้ถ้วนถี่
บ่าวเล็กเล็กเหลือหลามตามมากมี ให้นางศรีแม่นมนั้นอุ้มไป
ยามขุนช้างรักใคร่ใครจะเหมือน ชั่วแต่ดาวกับเดือนไม่ให้ได้
แต่ของมีในสุพรรณสิ่งอันใด ถ้าชอบใจแล้วไม่ขัดให้ขุ่นมัว
ที่ร้ายนั้นก็มีดีก็มาก พ่อหากเป็นทารกไม่รู้ทั่ว
อย่าคุมโทษโปรดเถิดให้เป็นตัว เหมือนทูนหัวแทนคุณของมารดา ฯ
๏ ครานั้นพระไวยก็ใจอ่อน ได้ฟังมารดรอ้อนวอนว่า
ครั้นจะนิ่งให้ขุนช้างวางชีวา ก็สงสารมารดานั้นสุดใจ
ถ้าบรรลัยไหนจะมีซึ่งความสุข จะทุกข์ทุกข์เข็ญเข็ญจนเป็นไข้
ผูกคอล้มก้มคอตายวุ่นวายไป บาปกรรมก็จะได้กับเราแท้
ถึงขุนช้างชั่วช้าเหมือนหมาหมู เขาก็รู้อยู่ทั่วว่าผัวแม่
จะนิ่งเสียทีเดียวไม่เหลียวแล ก็ตั้งแต่คนเขาจะนินทา
คิดแล้วจึงว่าแก่แม่ไป เป็นจนใจด้วยพระเกิดเกศา
ครั้นจะขัดเหมือนไม่คิดถึงมารดา จะแกล้งให้เวทนากับลูกชาย
แม่จงกลั้นน้ำตาอย่าร้องไห้ ลูกจะไปเพ็ดทูลขยับขยาย
ถ้าท่านโปรดก็จะปลอดไม่วอดวาย ถึงเวรตายแล้วก็จนพ้นกำลัง ฯ
๏ เออพ่อคุณการุญให้จงได้ แม่จะให้ค่าทูลสักสองชั่ง
แม้นพ่อช่วยเห็นไม่ม้วยไปจริงจัง คงประทังคลายโทษเพราะโปรดปราน ฯ
๏ ชะน้อยฤๅมารดาช่างว่าได้ นึกว่าไก่แล้วจะล่อด้วยข้าวสาร
เห็นว่าลูกนี้จนอ้างบนบาน เหตุว่าท่านเศรษฐีมีเงินทอง
เพราะได้เงินสองชั่งจึงตั้งบ้าน ปลูกเรือนฝากระดานขึ้นห้าห้อง
เลี้ยงเมียเลี้ยงข้ามาเป็นกอง เพราะเงินทองสินบนของมารดา ฯ
๏ เจ้าประคุณทูนหัวของแม่เอ๋ย อย่าถือเลยแม่นี้เหมือนคนบ้า
ใจไม่อยู่กับตัวชั่วช้า พูดออกมาไม่ทันคิดแม่ผิดครัน
อย่าช้าเชิญพ่อไปขอโทษ เหมือนหนึ่งโปรดแม่ให้ไปสวรรค์
จะได้บุญนั้นนับตั้งกัปกัลป์ พ่อจอมขวัญรีบจรอย่านอนใจ ฯ
๏ ครานั้นพระไวยชัยชาญ ความสงสารมารดาน้ำตาไหล
จึงปลอบแม่อย่าละเหี่ยเสียน้ำใจ ลูกจะไปทูลขอดูตามบุญ
ร้องสั่งศรีมาลาหาล่วมหมาก ทั้งห่อผ้ากานากร่มญี่ปุ่น
กล้องยาแดงหุ้มปลายนพคุณ บ่าวใส่ยาฉุนทั้งอุดเตา
แล้วพระไวยอาบน้ำชำระกาย กรายเข้าเคหาผลัดผ้าเก่า
นุ่งม่วงสีไพลไหมตะเภา ห่มหนังไก่เปล่าปักเถาแท้
พลางยิ้มหยอกหยิกแก้มศรีมาลา แล้วรีบมาหอนั่งสั่งท่านแม่
ก็รีบออกจากเรือนไม่เชือนแช ข้าไทอัดแอตามติดมา
ประเดี๋ยวหนึ่งถึงในพระราชฐาน ทั้งข้าราชการก็พร้อมหน้า
ครั้นแสงสุริโยทัยได้เวลา ก็เข้ามาคอยเฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระจอมจักรพรรดิ ผ่านสมบัติอยุธยามหาสวรรย์
สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ สะพรั่งพร้อมพระกำนัลนารี
ล้วนแรกรุ่นรูปร่างเหมือนอย่างวาด เอี่ยมสะอาดนวลละอองผ่องศรี
บำเรอบาทมุลิกาเจ้าธานี บรรทมอยู่ในที่แท่นทองทรง
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า พระตื่นจากนิทรามาที่สรง
เย็นฉ่ำน้ำกุหลาบอาบพระองค์ เสด็จทรงภูษาอันอำไพ
พระหัตถ์ซ้ายกรายจับพระแสงเพชร จึงเสด็จออกท้องพระโรงใหญ่
ประทับเหนือแท่นแก้วอันแววไว พร้อมไปด้วยอำมาตย์ราชกระวี
เจ้าพระยาแลพระยาพระหลวง ทุกกระทรวงเฝ้าประณตบทศรี
คอยฟังรับสั่งพระพันปี เงียบสงัดอยู่ในที่พระโรงชัย
พระองค์มีสีหนาทประภาษถาม ความฎีการาษฎรเรื่องน้อยใหญ่
ต้องตำแหน่งขุนนางข้างกรมใด ก็ทูลความตามในตำแหน่งตน ฯ
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ เห็นว่างราชการกราบลงสามหน
ขอเดชะฝ่าละอองบาทยุคล พระเดชพระคุณเป็นพ้นคณนา
ควรมิควรกระหม่อมฉานประทานโทษ ขอพระองค์จงโปรดซึ่งเกศา
ด้วยขุนช้างโทษถึงมรณา ต้องพระราชอาชญาอยู่คุกใน
บัดนี้มารดาข้าพระพุทธเจ้า โศกเศร้าแทบชีวิตจะตักษัย
เฝ้าวิงวอนเช้าค่ำร่ำไรไป มิได้รับประทานซึ่งข้าวปลา
ถ้าไม่รับกราบทูลฝ่าธุลี เห็นท่วงทีมิตายก็เป็นบ้า
ก็สุดแสนสงสารด้วยมารดา กระหม่อมฉันเกิดมาจนบัดนี้
แต่เจ็ดขวบก็พรากจากกันไป ยังมิได้แทนคุณเท่าเกศี
ขอประทานโทษขุนช้างไว้สักที เหมือนหนึ่งช่วยชีวีของมารดา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์พงศ์กษัตริย์ ทราบรหัสแห่งคำหมื่นไวยว่า
พระนิ่งนึกตรึกไตรอยู่ไปมา ครั้นมิไว้ชีวาอ้ายขุนช้าง
อีวันทองผ่ายผอมตรอมใจตาย อ้ายลูกชายก็จะต้องหมองหมาง
ครั้นระคายอายหน้าเพื่อนขุนนาง จะสะเทิ้นเหินห่างไปทุกวัน
นึกว่าเอาใจไว้ใช้สอย แต่น้อยน้อยมือศึกมันแข็งขัน
เป็นหน่อเนื้อเชื้อทหารชาญฉกรรจ์ อย่าให้มันละห้อยน้อยวิญญาณ์
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย อีแม่มึงนั้นกูให้ชังน้ำหน้า
เอาอ้ายช้างเป็นผัวแสนชั่วช้า ช่างไม่คิดถึงหน้าอ้ายหมื่นไวย
โดยอ้ายช้างล้มตายไปเป็นผี จะไปดีเสียกับพ่อมึงก็ได้
มาเฝ้าเซ้าซี้พิรี้พิไร ให้โปรดไอ้ใจบาปคนหยาบช้า
แต่ลูกเลี้ยงมันยังพาไปฆ่าตี มึงไม่มีใจโกรธดอกฤๅหวา
มาขอไว้ให้หนักพสุธา ชอบแต่ฆ่าอย่าให้ดูเยี่ยงกัน ฯ
๏ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีบาท องค์อิศราธิราชรังสรรค์
ซึ่งข้อนายขุนช้างล้างชีวัน กระหม่อมฉันก็แสนจะแค้นใจ
ก็มั่นหมายแก้แค้นแทนขุนช้าง แต่มารดามาขวางเป็นข้อใหญ่
จะทิ้งให้โศกศัลย์บรรลัย ก็เหมือนไม่คิดถึงคุณของมารดา
จึงกลั้นโกรธกราบทูลบทมาลย์ ขอรับพระราชทานซึ่งโทษา
ขอพระองค์ทรงพระกรุณา แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ภักดี ฯ
๏ จึงตรัสว่าดูราอ้ายหมื่นไวย โทษอ้ายช้างนั้นไซร้ถึงเป็นผี
จะยกให้ไม่ประหารผลาญชีวี ทั้งนี้เพราะกูเอ็นดูมึง
อีแม่จะได้หายคลายโศกเศร้า เพราะลูกเต้าได้ดีเป็นที่พึ่ง
อันคนโทษทุจริตผิดลึกซึ้ง โทษถึงชีวันจะบรรลัย
กูนี้ไม่พอใจให้ใครแก้ มึงจะแทนคุณแม่จึงยกให้
ตรัสแล้วสั่งราชรองเมืองไป เร่งถอดไอ้ขุนช้างในฉับพลัน
แล้วจงส่งตัวให้จมื่นไวย อย่าให้ใครคิดเอาค่าลดลั่น
พระสั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงคัล กรายพระกรจรจรัลเข้าวังใน ฯ
๏ พระรองเมืองรับพระราชโองการ ลนลานออกมาหาช้าไม่
บ่าวตามเป็นพรวนชวนพระไวย ตรงไปประทับหับเผยพลัน
ใช้ทนายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี รีบไปเรียกพัศดีขมีขมัน
ให้ทำมะรงไปถอดขุนช้างนั้น เข้าช่วยกันอึดอัดคัดตรวนพลาง
บ้างถอดคาหาไม้มาต่อยขื่อ อึงอื้อโปกโป้งเสียงโกร่งกร่าง
ประเดี๋ยวหลุดล่อนกายนายขุนช้าง พยุงย่างย่องแย่งแข้งขาพัน
ทำมะรงนำมาหน้าหับเผย เงยหน้าเห็นพระรองเมืองนั่น
กับพระหมื่นไวยนั่งใกล้กัน งกงันหมอบกรานคลานเข้ามา
ทั้งรักทั้งกลัวหมอบตัวราบ กราบจนหัวคะมำตำต้นขา
พระนายอายใจไม่เจรจา ก็อำลาท่านราชรองเมืองพลัน
ขุนช้างงกเงิ่นเดินไม่ได้ พระไวยให้ทำเปลขมีขมัน
ให้พวกบ่าวเข้าหามมาตามกัน ขุนช้างนั่งมาในนั้นหนวดพรุมพราม
เหมือนตุ๊กตากวางตุ้งดูพุงพลุ้ย หัวทุยผมเถิกเป็นถ่อง่าม
แดดส่องต้องแสงดูแดงวาม คนผู้ดูหลามตลอดมา ฯ
๏ ครู่หนึ่งถึงจวนพระหมื่นไวย วันทองเห็นดีใจเป็นหนักหนา
เข้าพยุงจุงผัวให้ไคลคลา ขุนช้างกอดภรรยาเข้าร่ำไร
วันทองเจรจาว่ากับผัว เจ้ารอดตัวเพราะพ่อฤๅมิใช่
เออแม่ชีวันไม่บรรลัย เพราะพ่อคุณโปรดให้รอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้ไปในเบื้องหน้า จะมอบตัวเป็นข้าจนดับจิต
ไปศึกเสือเหนือใต้ลูกไม่คิด จะตามติดไปทุกย่างไม่ห่างกัน
พระไวยสั่งสร้อยฟ้าศรีมาลา จัดสำรับข้าวปลาประจงสรร
บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน แล้วเชิญวันทองให้รับประทาน
สำรับคาวของเคียงเรียงวาง ก็เชื้อเชิญขุนช้างกินอาหาร
บริโภคอิ่มหนำสำราญ ยกสำรับของหวานมาวางพลัน
ทั้งผัวเมียอิ่มหนำสำราญใจ เข้าไปหาพระไวยในเรือนนั่น
ว่าพ่อจงเป็นสุขทุกนิรันดร์ นับวันคงจะได้เป็นใหญ่โต
จงผ่องแผ้วแคล้วคลาศราชภัย ขอให้เป็นบรมสุโข
ฦๅเลื่องกระเดื่องดินภิญโญ จะได้พึ่งร่มโพธิพ่อสืบไป ฯ
๏ พระไวยน้อมคำนับรับพรพลาง ขุนช้างเอาเงินทองออกกองให้
ยี่สิบชั่งหวังจะแทนคุณพระไวย พ่อเอาซื้อข้าวใหม่ไว้เลี้ยงกัน
พระไวยสั่งว่าอย่าเอาไว้ เดี๋ยวนี้มีใช้อยู่ดอกทั่น
เอาเงินให้อย่างนี้ไม่ดีครัน เหมือนหนึ่งฉันเอาสินบนกับมารดา ฯ
๏ วันทองรู้กิริยาอัชฌาสัย กอบเงินใส่กระทายส่งให้ข้า
ครั้นตะวันจวนค่ำก็อำลา ลงนั่งในนาวาข้าเต็มลำ
ทั้งหญิงชายพายตะเบ็งเร่งตะบึง กระทั่งถึงเมืองสุพรรณไม่ทันค่ำ
ยายเทพทองมองเห็นแกเต้นรำ ลูกรอดจำมาได้ดีใจแท้
รีบร้อนต้อนรับขึ้นบนเรือน บรรดาเพื่อนเคหามาเยี่ยมแซ่
บนหอนั่งเยียดยัดออกอัดแอ พูดกันแต่เย็นเยี่ยมเข้ายามปลาย
ขุนช้างสั่งศรพระยาหาน้ำมนต์ มารดตนเสียให้จัญไรหาย
นิมนต์สงฆ์สวดสะเดาะที่เคราะห์ร้าย ซัดน้ำชำระกายถ้วนสามวัน ฯ
  1. ๑. คำ “มหาดชา” ใช้ในหนังสือเสภาหลายแห่ง สันนิษฐานว่าผู้แต่งจะหมายถึง “เด็กชา” ซึ่งเป็นมหาดเล็กพวกหนึ่งมีหน้าที่รับใช้ประจำพระที่นั่ง และพระตำหนัก เวลามีราชการประชุมต้องคอยรับใช้ในที่ประชุมด้วย ดังปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ตั้ง “กรมเด็กชา” ขึ้น มีหน้าที่รักษาพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่งน้ำมัน และจุดตะเกียงในพระบรมมหาราชวังทุกแห่ง เมื่อมีงานจรต้องเป็นผู้ดูแลรักษาราชพัสดุต่างๆ ที่เป็นของสำหรับพระที่นั่ง มีหน้าที่ยกของต่างๆ ในเวลากลางคืนด้วย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ