๏ ครานั้นสร้อยฟ้านารี |
รู้ว่าคดีไม่หายสูญ |
นางวิตกอกใจดังไฟฟูน |
ให้อาดูรหวาดหวั่นพรั่นฤทัย |
โอ้ว่ากรรมทำไว้ไฉนหนอ |
ไม่พอที่จะมาเป็นเช่นนี้ได้ |
ว่าศึกมอญฤๅมาย้อนเป็นศึกไทย |
มิใช่ใครคือกาลกิณี |
ถ้าปล่อยอีศรีมาลาลูกสะใภ้ |
ไปรับกันมาได้จะอึงมี่ |
ด้วยมันรู้แยบคายว่าร้ายดี |
ท่วงทีเห็นจะเกิดจลาจล |
คิดพลางนางเรียกขนานอ้าย |
มาบรรยายเรื่องความตามเหตุผล |
เอ็งเร่งหาข้าเราสักสิบคน |
เตรียมตนให้พร้อมด้อมออกไป |
คอยดักอีศรีมาลาไปรับทัพ |
เอ็งจับฆ่าเสียให้จงได้ |
หยิบเงินห้าชั่งให้ดังใจ |
เอ็งอย่าให้มันรับกันกลับมา ฯ |
๏ ขนานอ้ายรับว่าอย่าวิตก |
แล้วลงเรือรีบยกออกจากท่า |
ได้เพื่อนคู่ใจแต่ไรมา |
อาวุธครบมือไม่อื้ออึง |
ออกหัวแหลมเลี้ยวทางไปข้างขวา |
ผ่านวัดท่ารีบไปจะให้ถึง |
พอเพลาพลบค่ำน้ำตึง |
จึงเข้าแอบเกาะมหาพราหมณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายพรายรักษาศรีมาลา |
รู้ว่าอ้ายลาวอยู่ปากง่าม |
ก็ช่วยกันปล้ำปลุกคุกคำราม |
มัดศอกติดตามกันเต็มไป |
เรือนางพายมาเวลาค่ำ |
ผีทำร้องว่าอย่าเข้าใกล้ |
ฝีพายไล่ขยุ่มสุ่มส่งไป |
ร้องเพลงปรบไก่เรียดทางมา |
ล่วงลัดตัดทางบางโผงเผง |
บ่าวไพร่ครื้นเครงอยู่ฉาวฉ่า |
ถึงบางกระทิงใกล้รุ่งมุ่งพายมา |
พอสว่างถึงท่าตาลานพลัน ฯ |
๏ ฝ่ายพระกาญจน์บุรีกับลูกชาย |
กำลังออกเลียบค่ายเกษมสันต์ |
แลเห็นเรือกัญญาปรึกษากัน |
พระทรงธรรม์ทีจะใช้ให้ใครมา |
ที่นั่งกลางมองเขม้นเป็นผู้หญิง |
ประหลาดจริงเมียใครนี้ใจกล้า |
เห็นเม้ยรับพับเพียบหน้ากัญญา |
ศรีมาลาแน่แล้วลงมาเรือ |
ครั้นถึงจึงถามเนื้อความไป |
ออกมาไยท้องไส้อลักเอลื่อ |
เวทนาร้อยชั่งมานั่งเรือ |
เนื้อความเป็นอย่างไรจึงออกมา ฯ |
๏ ศรีมาลากราบลงกับตีนพ่อ |
บอกข้อความไปไม่มุสา |
บัดนี้พระองค์ทรงศักดา |
โปรดให้ข้ามารับพ่อเข้าไป |
พระไวยแตกทัพกลับไปทูล |
เค้ามูลว่าพ่อนี้ล้อมไล่ |
กับน้องชายหมายจะฟันให้บรรลัย |
ทรงซักไซ้เรื่องเริ่มแต่เดิมมา |
พระไวยทูลว่าวิวาทกัน |
พระทรงธรรม์ไม่เชื่อจึงสั่งข้า |
ให้รับพ่อกับน้องทั้งสองรา |
ซึ่งโทษานุโทษนั้นโปรดปราน ฯ |
๏ ครานั้นท่านพระกาญจน์บุรี |
ฟังคดีเคืองขุ่นอยู่งุ่นง่าน |
ชิชะอ้ายไวยอ้ายใจพาล |
ช่างคิดอ่านเพ็ดทูลเอาแต่ดี |
มารบหลบหนีหาที่พึ่ง |
เล่ากันซึ่งซึ่งเป็นไรนี่ |
จองหองฟ้องหาเอากูนี้ |
เป็นทีว่าอ้ายแก่นั้นยอกย้อน |
พระก็ยังไม่ประหารผลาญล้าง |
คงจะถามกูบ้างสักคำก่อน |
จริงเท็จคงจะเห็นเป็นแน่นอน |
พระภูธรไม่เลี้ยงก็จนใจ |
ว่าแล้วขุนแผนแสนศักดา |
สั่งลูกชายมาหาช้าไม่ |
ให้แก้มนตร์พลหุ่นเสียทันใด |
แล้วชวนลูกลงในเรือกัญญา |
ศรีมาลาก็มาในลำเรือ |
พลพายพายเฝือมาฉาวฉ่า |
พอถึงกรุงไกรได้เวลา |
ตรงมายังท้องพระโรงพลัน |
จวนเวลาเฝ้าองค์พระทรงชัย |
ขุนนางน้อยใหญ่ก็อยู่นั่น |
พระไวยไพล่แอบเอาเสากัน |
หวาดหวั่นไหว้บิดานัยน์ตาดู |
พอเห็นพ่อพลิกกลับขยับลุก |
พระไวยโดดปุกดังลูกหนู |
พระกาญจน์บุรีชี้หน้าว่าหลอกกู |
พระไวยว่าไม่สู้ขอโทษตัว ฯ |
๏ ครั้นว่าตะวันบ่ายชายลง |
ฝ่ายพระองค์ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
เสด็จออกเสนาประหม่ากลัว |
สะท้านทั่วทั้งขุนแผนพลายชุมพล |
ทรงเห็นพ่อลูกมาหมอบเฝ้า |
พระเป็นเจ้าเพ่งพิศคิดเหตุผล |
ดูทีพี่น้องทั้งสองคน |
ชอบกลละม้ายคล้ายคลึงกัน |
อ้ายพลายชุมพลคนน้องชาย |
ก็แยบคายท่วงทีดีขยัน |
ทั้งสองนี้หน้าตาสง่าครัน |
ละม้ายเหมือนพ่อมันทั้งสองคน |
จึงตรัสขู่ดูก่อนอ้ายกาญจน์บุรี |
บังอาจยกโยธีมาเกลื่อนกล่น |
เที่ยวไล่ฟันฝ่าประชาชน |
ด้วยถือว่าเวทมนตร์ของมึงดี |
มึงนี้คิดเห็นเป็นไฉน |
หมายจะชิงกรุงไกรได้ฤๅนี่ |
ลืมละพระพิพัฒน์วารี |
กูนี้หลงรักสักเท่าใด |
ว่าอ้ายมอญจับมึงเอาไปฆ่า |
กูเป็นกลั้นน้ำตามิใคร่ได้ |
อ้ายไวยจะแก้แค้นแล่นออกไป |
อ้ายพ่อลูกกลับไล่ตะลุมบอน |
กูหมายว่าจะยกพลไกร |
ก็เข้าใจเสียว่ามึงคงเร้นซ่อน |
จึงให้หามายังพระนคร |
จะถามก่อนมึงแก้ให้จงดี |
เป็นกะไรบอกความไปตามจริง |
ถ้าสับปลับกลับกลิ้งจะเป็นผี |
จนเลี้ยงให้ไปกินกาญจน์บุรี |
ถึงเพียงนี้ฤๅยังคิดขบถกู ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน |
กราบกรานก้มหน้าภาวนาอยู่ |
เชื่อเวทวิเศษด้วยคุณครู |
โน้มน้อมจิตสู่พระทรงธรรม์ |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงเดช |
ปิ่นปักนัคเรศทุกเขตขัณฑ์ |
จะกราบทูลความจริงทุกสิ่งอัน |
ชีวันถวายไว้ใต้บาทา |
ทุกเย็นเช้าเอาพระคุณไว้เหนือเกล้า |
ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา |
มิได้ขบถคตโท่พระกรุณา |
อันสัจจาถือมั่นมาแต่ไร |
เมื่อครั้งต้องจองจำเป็นสาหัส |
ก็ยังหาละสัตย์ให้เสียไม่ |
ครั้งนี้ที่ทำเป็นกลใน |
เพราะความแค้นจมื่นไวยนั้นเหลือทน |
เดิมพิโรธโกรธขึ้งศรีมาลา |
ทั้งด่าทั้งตีจนปี้ป่น |
ซ้ำตีน้องชายพลายชุมพล |
หนีด้นป่าไปกาญจน์บุรี |
กระหม่อมฉันพระพิจิตรบิดา |
ลงมาว่ากลับฮึกเอาอึงมี่ |
หยาบช้าท้าทายใช่พอดี |
มิได้มียั้งจิตรว่าบิดา |
กระหม่อมฉันเห็นผิดจริตอยู่ |
พิเคราะห์ดูหน้าคล้ำดำเป็นฝ้า |
ก็แจ้งใจว่าออไวยต้องมนตร์ยา |
ครั้นบอกกลับว่าไม่เชื่อใคร |
ลำเลิกสบประมาทประกาศว่า |
ว่าขอจากคุกมาจึงออกได้ |
กระหม่อมฉันเหลือแค้นแสนเจ็บใจ |
จะใคร่ฟันเสียแต่วันนั้น |
แต่หากมารดามาขวางไว้ |
จึงจำใจเงือดงดอดกลั้น |
สองคนกับชุมพลจึงคิดกัน |
ผูกหุ่นครบพันแล้วยกมา |
ด้วยคาดว่าออไวยคงไปรบ |
พอได้พบสมใจจึงไล่ฆ่า |
ออไวยตายหมายรับพระอาญา |
ถ้าเบื้องหน้าเกิดศึกมาทางใด |
ข้าพระพุทธเจ้าจะอาสา |
เอาชุมพลลูกยาถวายให้ |
อันวิชากล้าหาญชาญชัย |
กับออไวยพอเล่นกันเต็มที ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุใคร่ครวญถ้วนถี่ |
จึงตรัสไปเฮ้ยไอ้กาญจน์บุรี |
กูนี้เชื่อมึงมาแต่ไร |
ซึ่งมึงทำเป็นกระบวนทัพ |
ก็หาจับผู้คนเข่นฆ่าไม่ |
กูเห็นความจริงไม่กริ่งใจ |
อ้ายไวยองอาจอหังการ์ |
หุนหันดันดุเอาผู้ใหญ่ |
อาจใจจองหองเป็นหนักหนา |
ว่าเล่นมันก็เป็นถึงบิดา |
คุณของมันมีมาเป็นเท่าไร |
ไม่ควรจะลำเลิกเบิกความ |
หาเกรงขามคิดกลัวผู้ใหญ่ไม่ |
ดูซมเซอะเคอะครันทุกวันไป |
ช่างไม่ส่องกระจกดูหน้าตา |
นี่มันถูกน้อยแต่เพียงนี้ |
นานไปไอ้นี่จะเป็นบ้า |
เฮ้ยอ้ายขุนแผนแสนศักดา |
มึงอย่าเคืองแค้นอ้ายหมื่นไวย |
ดูมันถูกยาแฝดแปดเปื้อน |
หาเหมือนแต่ก่อนแต่ไรไม่ |
มันก็ถือว่าวิชามันเกรียงไกร |
ที่ไหนมันจะต้องซึ่งคุณยา |
ถึงถามมันเดี๋ยวนี้ก็คงเถียง |
จงทำให้เห็นเที่ยงกันต่อหน้า |
คิดให้ได้ตัวคนทำมนตร์มา |
รูปรอยให้รู้ว่าอยู่แห่งไร |
ถ้าหากจับได้ไอ้คนคด |
ความก็จะปรากฏหมดสงสัย |
ใครผิดกูจะทำให้หนำใจ |
มิให้เป็นสินไหมพินัยกัน ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล |
ฟังยุบลทูลไปมิได้พรั่น |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
กระหม่อมฉันขอรับไปจับมา |
ขอพระราชทานพยานไป |
พอเป็นสักขีไว้ให้แน่นหนา |
จะให้ได้ตัวคนทำมนตร์ยา |
ทั้งรูปรอยนำมาไม่ช้าการ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ทรงพระสรวล |
อ้ายนี่ถี่ถ้วนควรเป็นทหาร |
จะได้ใครไปเป็นสักขีพยาน |
ที่ว่องไวชัยชาญฉลาดดี |
จะต้องให้เป็นกลางหว่างพี่น้อง |
ดูทำนองเหมาะแต่จมื่นศรี |
เอ็งออกไปหวาอย่าช้าที |
ช่วยจับอ้ายคนดีมีวิชา ฯ |
๏ ครานั้นพระหมื่นศรีพลายชุมพล |
สองคนประนมก้มเกศา |
รับสั่งแล้วถวายบังคมลา |
กลับมาเคหาด้วยทันใด |
ก็คิดกันจัดแจงแต่งตน |
สองคนเป็นแขกน้อยใหญ่ |
ทำทีแขกชวามาอยู่ไทย |
สอดใส่สนับเพลาดูเพราตา |
นุ่งยกพอปกลงถึงเข่า |
เจียระบาดคาดเข้างามหนักหนา |
เหน็บกฤชดูดีทีชวา |
เสื้อสวมกายาอินทร์ธนู |
สอดแขนตรึงแน่นเพียงข้อศอก |
ศีรษะพอกพันผ้ามาทั้งคู่ |
ไม่เพี้ยนเพศแขกชวามลายู |
บ่าวไพร่ตามพรูสะพรั่งมา |
แต่ล้วนแกล้งแต่งตัวปลอมเป็นแขก |
ด้วยฤทธิ์มนตร์คนแปลกไปทั่วหน้า |
ทำทีกะลาสีเข้าพารา |
ทั้งน้ำตาลกัญชาพาเอาไป |
พร้อมสิ้นกล้องฝิ่นแลเหล้าเข้ม |
ใส่เต็มขวดเหลี่ยมเปี่ยมใส |
ไม่พูดไม่จาภาษาไทย |
เข้าในตลาดเดินนาดมา |
พวกสาวสาวชาวตลาดผาดเห็น |
เขม้นแขกแปลกใจเป็นหนักหนา |
สะสรวยท่วงทีกิริยา |
สองตาสอดส่ายคล้ายกับไทย |
อยู่ไหนไม่เห็นเลยสักวัน |
มากำปั่นฤๅว่ามาแต่ไหน |
บ้างถามเป็นแยบคายขายสิ่งใด |
หัศรีมีอะไรมาให้เรา |
เอออะไรเป็นแขกช่างแปลกเพศ |
ค้าเครื่องเทศแต่มือถือขวดเหล้า |
ฤๅของตกมาใหม่ในสำเภา |
ชาวตลาดหยอกเย้าเฝ้าพูดจา |
ครั้นมาถึงวัดพระยาแมน |
พรายกุมารวิ่งแล่นไปข้างหน้า |
บอกชุมพลพลันมิทันช้า |
นั่นกุฎีขรัวตาที่ทำมนตร์ |
มีเณรศิษย์ติดมาแต่เมืองลาว |
คนออกชื่อฦๅฉาวทุกแห่งหน |
วิชาแคล่วคล่องทั้งสองคน |
คิดอ่านผ่อนปรนให้จงดี ฯ |
๏ เจ้าพลายชุมพลได้ฟังพราย |
บ่ายหน้ามากระซิบพระหมื่นศรี |
ตัวสำคัญมันอยู่กุฎีนี้ |
ไม่ได้ท่วงทีจะเสียการ |
ว่าแล้วก็อ่านพระคาถา |
ขับพรายของขรัวตาให้หนีพล่าน |
ผีเณรเถรเลี้ยงไว้เชี่ยวชาญ |
อลหม่านโดดกุฎีรีบหนีไป |
แขกปลอมก็พากันเดินมา |
หมาเห็นเห่าโฮกกระโชกไล่ |
หัศรีเรียกเณรร้องเกนไป |
เจ้าเณรอยู่ไหนดูหมาที |
เณรจิ๋วเยี่ยมหน้ามาเห็นแขก |
เอาอิฐปาหมาแตกไปจากที่ |
เปิดประตูรับแขกขึ้นกุฎี |
วันนี้ได้กินอินทะผาลำ ฯ |
๏ สองแขกเข้าไปนั่งไหว้เถร |
ยกของประเคนว่ามะหะหร่ำ |
เถรขวาดว่ากูไม่รู้คำ |
จะเอารำมาให้กูไม่เอา |
แขกว่าวันนี้ขึ้นปีใหม่ |
ฉันหาของมาให้ขรัวตาเจ้า |
เป็นของแขกแปลกมาในสำเภา |
ได้ยินเขาโจษกันว่าทั่นดี |
ถ้าใครเจ็บไข้ไม่สบาย |
มาหารักษาหายไม่เป็นผี |
เถรว่าอย่าพูดให้เซ้าซี้ |
เอ็งมีอะไรมาให้เรา |
สองแขกขยับจับตุ้งก่า |
จ้าหลิ่มยัดกัญชาไฟจุดเข้า |
สูบคนละจ้าหลิ่มทำยิ้มเมา |
เถรเถ้าว่าอะไรข้างในดัง |
สองแขกว่าข้างในนั้นใส่น้ำ |
เถรขวาดว่ามันทำเป็นอีฉัง |
กูจะขอลองรสหมดฤๅยัง |
หยิบไฟเก้กังมาทันใด |
สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง |
เถรชักคอก่งไม่ทนได้ |
แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป |
กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา |
สองแขกรับตุ้งก่าเอามาไว้ |
เอากล้องฝิ่นส่งให้หัวเราะร่า |
เถรขวาดแลเพ่งเขม็งตา |
ร้องว่านั่นอะไรมาให้กู |
จุดไฟใส่ดูดเสียงดังเผลาะ |
เลียปากเจาะเจาะว่าขมอยู่ |
ลุกขึ้นวุ่นวายน้ำลายพรู |
แลดูนั่นไหอะไรวา |
สองแขกบอกว่าอีนี่ดี |
แก้เชื่อมเมื่อตะกี้หลวงตาขา |
เปรี้ยวเปรี้ยวหวานหวานน้ำตาลยา |
เอาโอคว้าตักลงส่งเข้าไป |
เถรขวาดดื่มเฮือกเสือกโอมา |
อีกสักห้าหกโอหาพอไม่ |
ส่งมาใส่เข้าเมาสุดใจ |
ในขวดนั่นอะไรเอามาดู |
สองแขกรินเหล้าเอาส่งให้ |
ถูกเข้าไปเต็มจอกลมออกหู |
เวียนหัวใจหายน้ำลายพรู |
แลดูหลังคาเป็นปลาวาฬ |
จับตุ้งก่ามาชักเข้าอิกที |
มือปัดฝาละมีอยู่งุ่นง่าน |
หยิบสากตำหมากลากลนลาน |
ทะยานเหยียบเณรจิ๋วว่ารบกัน |
เณรว่าเมามายจะตายโหง |
เถรว่ากูนายโรงถือพระขรรค์ |
นั่งลงเจรจาลูกตาชัน |
ทศกัณฐ์ลักนางอุทุมพร |
สองแขกสรวลเสอยู่เฮฮา |
เถรขวาดยกขาท่าแผลงศร |
กูจำได้หัวละมานเมื่อราญรอน |
จะเป็นโขนฤๅละครก็ไม่รู้ |
ถือไม้คนละอันยืนหันง่า |
ร้องอีหลัดถัดทากูเห็นอยู่ |
โปงมางโปงครุ่มเป็นกลุ่มพรู |
อ้ายพ่อกูวันนี้สนุกใจ |
กูขอบใจไอ้แขกแปลกภาษา |
รู้จักหาของดีมีมาให้ |
แต่กูมาอยู่ในเมืองไทย |
ยังไม่ได้หวานมันเหมือนวันนี้ |
มึงเจ็บไข้เป็นไรฤๅไอ้หนู |
จึงได้มาหากูถึงที่นี่ |
ทางนอกกูก็ได้ในก็ดี |
บอกไปอย่าได้มีความเกรงใจ ฯ |
๏ แขกว่าข้าพเจ้านี้มาหา |
ด้วยร้อนรนหนักหนาไม่ทนได้ |
ทิ้งพ่อแม่เสียมีเมียไทย |
ให้เงินมันกินสิ้นสำเภา |
อยู่ด้วยกันไม่ทันจะถึงปี |
มันกลับไล่รุมตีเอาอิกเล่า |
แม่ยายพ่อตาพาโลเอา |
อีเมียก็พลอยเข้าไปด้วยกัน |
รุมด่าว่าอ้ายแขกหัวกะลา |
อ้ายนอกศาสนามากำปั่น |
เข้าเรือนไม่ได้ไล่ตีรัน |
ทุกวันนี้แสนยากลำบากใจ |
จึงชวนกันมาหาหลวงปู่ |
เอ็นดูฉันด้วยช่วยแก้ไข |
ให้กลับโอนอ่อนเหมือนก่อนไร |
ได้แล้วเงินทองจะกองมา |
ทำกุฎีเก้าห้องท้องกระดาน |
เผืองฝานอกชานให้แน่นหนา |
ส่งเพลส่งเช้าทั้งข้าวปลา |
ถวายตัวเป็นข้าทั้งสองคน ฯ |
๏ เถรขวาดหัวร่ออ้อเท่านั้น |
มันราวกับขี้ฟันของกูหล่น |
ได้บากหน้าว่าวอนอย่าร้อนรน |
แก้จนกันสิเสียแรงมา |
กูให้โกรธกันไปได้แปดปี |
ถ้าไม่กลับคืนดีแล้วจึงว่า |
จมื่นไวยสร้อยฟ้าศรีมาลา |
ทำไม่ทันพริบตาก็เป็นไป |
กูทำให้เฆี่ยนตีศรีมาลา |
ทองประศรีอีย่าก็หลงใหล |
สร้อยฟ้าสำราญบานใจ |
กับอ้ายไวยเป็นสุขทุกเวลา |
เณรจิ๋วได้ยินก็ตกใจ |
ทำไถลร้องเตือนขรัวตาขา |
จวนเพลนิมนต์ฉันข้าวปลา |
พูดจาอื่นเกลื่อนให้เชือนไป |
เถรขวาดตวาดว่าอ้ายหมา |
สอดปากมาว่ากับผู้ใหญ่ |
เพลผอกมาบอกกูทำไม |
ไสหัวมึงไปในกุฎี ฯ |
๏ ครานั้นชุมพลคนขยัน |
เห็นถ้วนถี่สารพันทั้งหัวผี |
พยักหน้าบอกไพร่ให้เป็นที |
บ่าวกรูขึ้นกุฎีไปพร้อมกัน |
บ้างฉวยได้ไม้ค้อนก้อนอิฐ |
กระโดดผลับจับผิดสะบัดหัน |
เร็วหวาคว้าตัวมันให้ทัน |
บ้างยืนกั้นประตูกรูเข้าไป |
เถรขวาดเห็นผิดปิดประตู |
ทุดอ้ายบ้ายี่หนู่เชือดคอไก่ |
ขึ้นมาพัลวันด้วยอันใด |
ปิดประตูเข้าไว้ทำไมกู |
ตักน้ำใส่ขันมิทันช้า |
เสกปาหัวเณรลงซู่ซู่ |
อ้ายจิ๋วมึงอย่ากลัวอ้ายศัตรู |
กอดบั้นเอวกูหายตัวไป |
พวกไพร่เข้าไปในกุฎี |
หาเห็นมีตาเถรเจ้าเณรไม่ |
ชุมพลร้องว่าอย่าตกใจ |
ปิดประตูเข้าไว้ให้แน่นวา |
กองไฟใส่เข้าที่ใต้ถุน |
เผาพริกควันกรุ่นขึ้นหนักหนา |
เถรทนไม่ได้ไพล่ออกมา |
เอาหวานั่นแน่แลเห็นตัว |
เถรขวาดตวาดดังฟ้าผ่า |
เฝืองฝาเลื่อนลั่นสนั่นทั่ว |
พวกไพร่งกงันตัวสั่นรัว |
ความกลัวโดดกุฎีรีบหนีลง |
ครั้นว่าพวกไพร่นั้นไพล่หนี |
ได้ทีเถรขวาดตวาดส่ง |
ยืนยักบั้นเอวเล่นอยู่เป็นกง |
ข้าวสารหว่านวงกุฎีไว้ |
เหวยเหวยอ้ายแขกแหกฝามอง |
อ้ายหัวกะลาตาพองทำใครได้ |
มึงมาทำจู่ลู่รู้อะไร |
ดีแต่จะฆ่าไก่กินทุกวัน |
อีหล่าต้าหล่าบ้ายี่หนู่ |
น้ำตาลมึงยังอยู่ขออิกขัน |
อ้ายจองหองลองฤทธิทศกัณฐ์ |
อ้ายชาติชั่วหัวควั่นจะพลันตาย ฯ |
๏ ชุมพลร้องตวาดอ้ายชาติข้า |
เอาให้ตาปริบปริบอ้ายฉิบหาย |
ซัดซ้ำข้าวสารหว่านปราย |
เรียกพรายมาล้อมเข้าพร้อมพรู |
เสกจังงังซ้ำเข้าเป่าตวาด |
เถรขวาดแข็งขึงตะลึงอยู่ |
ทุดอ้ายขี้ครอกมาหลอกกู |
กรูขึ้นไปเถิดหวาจะช้าไย |
เถรเมาเหลือกำลังลงนั่งราก |
อ้าปากไม่อ่านอาคมได้ |
พวกไพร่พรั่งพรูกรูเข้าไป |
รวบไหล่ถองทุบตะครุบคอ |
เถรขวาดถูกถองร้องตาปลิ้น |
เอาเหล้าให้กินข่มเหงพ่อ |
จับเถรเณรได้ไม่รั้งรอ |
เอาเชือกปอผูกรัดมัดด้วยกัน |
เถรถูกผูกคอแล้วรัดศอก |
หายใจไม่ออกจนตัวสั่น |
ชุมพลซักถามเนื้อความพลัน |
มึงฝังรูปเลขยันต์ไว้แห่งใด |
ทำพระไวยอย่างไรเร่งบอกมา |
มึงเดินหน้านำขุดมาให้ได้ |
เถรขวาดตาแดงดังแสงไฟ |
ร้องว่าจะทำไมกูไม่พา |
ชุมพลโกรธนักชักกระบี่ |
ฟันลงตรงที่หว่างแสกหน้า |
เลือดไหลปรี่ปรี่รี่ลงมา |
ขรัวตาเจ็บช้ำก็นำไป |
ถึงป่าช้าวัดพระยาแมน |
ขุดลงสักแขนก็พอได้ |
พบรูปศรีมาลากับพระไวย |
หนามไหน่เสียบสะพรั่งไปทั้งตัว |
พวกทนายขัดใจว่าไอ้ถ่อย |
เอาก้อนอิฐต่อยกะลาหัว |
อิฐป่นหล่นแล่งแดงทั้งตัว |
หัวเหนียวนี่กะไรไอ้ขี้เค้า |
คุมมาบ้านพระไวยมิได้ช้า |
ไหนรูปรอยสร้อยฟ้าพระไวยเล่า |
โหงพรายบอกนายแต่เบาเบา |
ให้ขุดเข้าตรงใต้ที่นอนพลัน |
|
|
ได้รูปพระไวยกับสร้อยฟ้า |
หันหน้ากอดกลิ้งอยู่ที่นั่น |
|
|
ขุนแผนท่านย่าพร้อมหน้ากัน |
พระไวยนั้นก็เห็นอยู่เต็มตา |
|
|
อีเม้ยรับเห็นจับรูปปรอยได้ |
ดีเนื้อดีใจหัวร่อร่า |
|
|
หูตากลับกลอกบอกศรีมาลา |
นายขาเขาได้ทั้งรูปรอย |
|
|
สร้อยฟ้าตระหนกอกสั่น |
เห็นได้รูปเลขยันต์ทำหน้าม่อย |
|
|
หลบเข้าเคหานัยน์ตาปรอย |
เถรถ่อยชาติข้ามันพาตาย |
อีไหมปลอบว่าอย่ากลัวแม่ |
ไม่ยักยอมแพ้มันง่ายง่าย |
|
|
ยังหลีกเลี่ยงเถียงมันได้มากมาย |
เบี่ยงบ่ายบานบนให้พ้นตัว ฯ |
|
|
๏ ครานั้นทองประศรีผู้เป็นย่า |
เสื่อมคลายคุณยาค่อยยังชั่ว |
|
|
หมดมลทินสิ้นร้ายหายตามัว |
แกลุกขึ้นเต้นรัวหรบหรบไป |
|
|
ทุดอีสร้อยฟ้าออกมานี่ |
อีลาวกาลีไม่เลี้ยงได้ |
|
|
ทำรูปทำรอยน้อยเมื่อไร |
ให้ออไวยหลงงมออกซมซาน |
|
|
จนพ่อลูกจะไม่ได้ดูผี |
ออชุมพลก็หนีไปจากบ้าน |
|
|
มันทำศรีมาลาจนหน้าม้าน |
กูจะเสี่ยงกระบานไม่ไว้มัน |
พระไวยห้ามคุณย่าอย่าเพ่อก่อน |
จะอึงมี่ตีต้อนเขาไยนั่น |
เนื้อความข้างหน้าจะว่ากัน |
ผิดจริงแล้วจะฟันเสียให้ตาย |
พระกาญจน์บุรีหัวร่ออ่อพระไวย |
มันช่างหลงนี่กะไรน่าใจหาย |
จนรู้แน่ในระแบบแยบคาย |
ยังสอดส่ายจะสงวนแม่สร้อยฟ้า ฯ |
๏ พระหมื่นศรีฟังไปไม่ได้การ |
มันจะเกิดรำคาญขึ้นต่อหน้า |
ก็ลาไปโดยด่วนจวนเวลา |
บ่าวข้ามัดมือเถรเณรไป |
พอเพลาพลบค่ำย่ำลง |
เอาส่งไว้ที่ทิมตำรวจใหญ่ |
แจ้งข้อความเล่าให้เข้าใจ |
รับสั่งใช้ให้เราไปจับมา |
สร้อยฟ้าให้ทำเอาพระไวย |
รูปรอยก็ได้มาหนักหนา |
ครั้นจะทูลมิควรจวนเวลา |
หมายมาส่งฝากตำรวจไว้ ฯ |
๏ ครานั้นนายเวรพระตำรวจ |
เร็วรวดสั่งผู้คุมหาช้าไม่ |
เอาโซ่ตรวนขื่อคามาทันใด |
ประทุกเถรเณรใส่ไว้เพียงคอ |
จำครบห้าประการแล้วล่ามแหล่ง |
กว่าจะแจ้งอย่าไว้ใจนะไอ้พ่อ |
ตำรวจฟังนายว่าไม่รารอ |
ก่อไฟจุดตะเกียงเสียงอึงไป ฯ |
๏ ครานั้นฝ่ายว่าเจ้าเณรจิ๋ว |
หน้านิ่วไหวตัวมิใคร่ได้ |
เขาจำห้าประการรำคาญใจ |
บ่นไปกูห้ามไม่ฟังกู |
น้ำตาลกัญชาปาเข้าไป |
สมคะเนมันใส่เอากบหู |
เมาเปรอะพูดเลอะไม่แลดู |
กูว่ากลับด่ากูอึงไป |
อวดดีบอกเขาว่าเจ้าเสน่ห์ |
ทำโลเลฟังเฆี่ยนเล่นไม่ไหว |
เขาเฆี่ยนแต่ตัวขรัวเมื่อไร |
กูจะเสียเบี้ยใบ้ไปพลอยตาย |
เถรขวาดเจาะเจาะกระเดาะปาก |
ลำบากเข้าไม่ได้ไอ้ฉิบหาย |
กูเมาน้ำตาลส้มเสียงมงาย |
ถ้าดีแล้วอย่าหมายจะได้กู ฯ |
๏ ครั้นถึงเวลาดึกกำดัด |
เงียบสงัดแสงไต้ริบหรี่อยู่ |
เถรขวาดรำพึงถึงคุณครู |
ระงับจิตลงสู่ให้แน่นอน |
โอมอ่านคาถามหาสะกด |
ผู้คนหลับหมดดังไม้ท่อน |
พิเคราะห์ใคร่ครวญดูราหูจร |
ปลอดเปลาะสะเดาะกลอนถอนโซ่ตรวน |
ก็บันดาลขื่อคาสารพัด |
หลุดพลัดจากที่ลงถี่ถ้วน |
แล้วสะเดาะโซ่กุญแจแปรปรวน |
ตรวนเณรจิ๋วร่วงลงฉับพลัน |
จึงเสกปูนพลูด้วยรู้แม่น |
เป็นเณรเถรนอนแทนอยู่ที่นั่น |
ย่องเหยียบเกรียบกริบไปตามกัน |
ล่องหนด้นดั้นประตูไป |
จะเป็นคนด้นหนีไปบนบก |
นึกวิตกกลัวเขาจะจับได้ |
ลงน้ำเป็นจระเข้ว่ายเร่ไป |
เณรนั้นให้เป็นลูกเกาะหลังมา ฯ |
๏ ครั้นพวยพุ่งรุ่งสางสว่างพลัน |
ผู้คุมตื่นจับขันขึ้นล้างหน้า |
เห็นเถรเณรนอนนิ่งทั้งสองรา |
เฮ้ยฮ้าลุกขึ้นบ้างเป็นไร |
เขาตื่นออกกลุ้มยังคลุมโปง |
อ้ายตายโหงมึงจะนอนไปถึงไหน |
มือฉวยได้หวายป่ายลงไป |
ช่างทนได้ไม่พลิกกระดิกตัว |
เตะสีข้างซ้ำเข้าต้ำผึง |
เอ๊ะอย่างไรนอนขึงยังคลุมหัว |
นั่งลงเลิกผ้าเห็นน่ากลัว |
ร้องบอกกันทั่วให้มาดู |
พร้อมทั้งนายเวรปลัดเวร |
เห็นเถรเณรนอนหงายตายกลิ้งคู่ |
ต่างคนตกใจไปพรั่งพรู |
ร่ำเรียนให้รู้ทั้งศาลา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ |
ครั้นรุ่งสางสว่างจบทุกทิศา |
ชำระสระสรงพระคงคา |
เสด็จออกข้างหน้าด้วยทันใด |
ข้าเฝ้านอบน้อมอยู่พร้อมหน้า |
ทุกกระทรวงเสนาทั้งน้อยใหญ่ |
ดาษดาในหน้าพระลานชัย |
สำราญราชหฤทัยพระภูมี ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช |
อภิวาททูลความไปตามที่ |
ขอเดชะพระองค์ทรงธรณี |
เมื่อวานนี้กระหม่อมฉันชุมพลไป |
ได้ตัวเถรขวาดเณรจิ๋วนั้น |
รูปรอยเลขยันต์ก็จับได้ |
เถรขวาดบอกว่าสร้อยฟ้าใช้ |
ได้ทำเอาพระไวยจึงจับมา |
ขุดรูปฝังไว้ได้สองแห่ง |
ตกแต่งเลขยันต์ไว้หนักหนา |
จะกราบทูลอนุสนธิ์พ้นเวลา |
จึงปรึกษากันส่งตำรวจใน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบชอบพระอัชฌาสัย |
เออช่างได้เร็วพลันทันอกใจ |
เหวยตำรวจเร็วไวเอาตัวมา ฯ |
๏ ครานั้นท่านจางวางตำรวจใน |
จนใจบังคมก้มเกศา |
ขอเดชะพระองค์ทรงพระกรุณา |
พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป |
ด้วยพระนายศรีกับพลายชุมพล |
เอาเถรเณรสองคนมาส่งให้ |
รูปรอยเลขยันต์ทั้งนั้นไซร้ |
ให้ผู้คุมจำไว้อย่างตรึงตรา |
เมื่อคืนนี้ทั้งเถรแลเณรนั้น |
เกิดเป็นปัจจุบันดับสังขาร์ |
ได้แจ้งด้วยกันทั้งศาลา |
จงทราบบาทาพระทรงชัย ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
ตบพระเพลาตรัสมาหาช้าไม่ |
ชะอ้ายเถรเณรนี้ดีกะไร |
รู้ตัวกลัวกลัวภัยจะเฆี่ยนตี |
ชิงตายเสียก่อนไม่ทันผูก |
อ้ายลูกรู้หนีหน้าไปเป็นผี |
ยังแต่สร้อยฟ้าอีกาลี |
ครั้งนี้จะได้เห็นเท็จจริงกัน |
จึงดำรัสตรัสสั่งจมื่นศรี |
เอาอีสร้อยฟ้ามาให้มั่น |
กูจะได้ไต่ถามความสำคัญ |
ถ้าจริงแล้วจะให้ฟันเสียวันนี้ ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นศรีได้รับสั่ง |
บังคมแล้วถอยหลังออกจากที่ |
สั่งตำรวจพลันในทันที |
ไปแจ้งคดีสร้อยฟ้าจงเร็วไว |
ว่าพระองค์ทรงธรรม์นั้นให้หา |
ถ้าขืนขัดฉุดคร่ามาให้ได้ |
จงเลือกตัวกลั่นสรรออกไป |
ให้ทันรับสั่งอย่านั่งช้า ฯ |
๏ ตำรวจในได้ฟังขัดรั้งวิ่ง |
เร็วจริงรีบตะบึงถึงเคหา |
ขึ้นเรือนให้เรียกนางสร้อยฟ้า |
ออกมาเล่าแจ้งแถลงการ |
ว่าทั้งเถรเณรนั้นกลั้นใจตาย |
ประเดี๋ยวนี้วุ่นวายอยู่อลหม่าน |
รับสั่งให้หาอย่าได้นาน |
เชิญท่านไวไวไปเดี๋ยวนี้ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังตำรวจใน |
เร่าร้อนอกใจดังไฟจี้ |
รีบผลัดผ้าพลันในทันที |
มานี่อีไหมไปกับกู |
ตำรวจในนำหน้ามาจากบ้าน |
ลนลานเร่งรุดไม่หยุดอยู่ |
ผู้คนเห็นหน้าพากันดู |
มาถึงผู้รับสั่งนั่งไหว้พลัน |
พระหมื่นศรีจึงพาสร้อยฟ้าเฝ้า |
ก้มเกล้าทูลไปทันใดนั่น |
พระโองการให้หาสร้อยฟ้านั้น |
บัดนี้มาอภิวันท์พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรให้นึกชังน้ำหน้า |
จึงมีสีหนาทประภาษมา |
ไฉนอีสร้อยฟ้าจึงกาลี |
กูก็ชุบเลี้ยงมึงถึงขนาด |
ทั้งสกุลรุนชาติก็ส่งศรี |
ทำเสน่ห์เล่ห์กลซนอัปรีย์ |
มึงโลภประเวณีนี่เหลือใจ |
ไปลอบคบเถรเณรจนถึงวัด |
สารพัดเลขยันต์เขาจับได้ |
ฝังรูปฝังรอยน้อยเมื่อไร |
เขาเอามาให้อยู่ครบครัน |
ขุดได้จนในใต้ถุนมึง |
ปั้นรูปขี้ผึ้งกอดกันมั่น |
ใส่ใบรักสักด้ายแล้วผูกพัน |
ให้สมัครรักกันแต่ข้างตัว |
ส่วนรูปอีศรีมาลากับอ้ายไวย |
เอาหนามไหน่ใส่แต่ตีนตลอดหัว |
ฝังกับผีป่าช้าดูน่ากลัว |
จนอ้ายผัวสมมมออกซมซาน |
โบยตีศรีมาลาพลายชุมพล |
หนีด้นซนซุกไปจากบ้าน |
ให้เขาผิดพี่น้องพ้องพาน |
เป็นเหตุการเพราะมึงทำมลทิน |
จึงเกิดศึกฮึกฮักมาทั้งนี้ |
ผู้คนแตกหนีไปทุกถิ่น |
ข้นขุ่นวุ่นวายทั้งแผ่นดิน |
อ้ายไวยปิ้มจะสิ้นถึงชีวา |
อ้ายแผนกับลูกชายพลายชุมพล |
ไล่ประจญโรมรันฟันฆ่า |
เอาอ้ายไวยแตกทัพยับเยินมา |
สาเหตุกูพึ่งรู้เมื่อวานนี้ |
ต่อหาอ้ายพ่อลูกมาซักถาม |
มันบอกความจึงรู้เป็นถ้วนถี่ |
กูให้เขาจับได้ไอ้คนดี |
หัวผีโหงพรายก็ได้มา |
ให้เถรเณรที่มันทำไปนำจับ |
ให้ตำรับรูปรอยเป็นหนักหนา |
แต่มึงทำอย่างนี้กี่ปีมา |
อีสร้อยฟ้ามึงบอกแต่จริงไป ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังรับสั่งถาม |
ใคร่ครวญข้อความหาคร้ามไม่ |
เถรเณรสิ้นชีวีไม่มีใคร |
คิดได้แล้วประนมบังคมทูล |
ขอเดชะข้าแต่ละอองบาท |
องค์หริรักษ์ราชนเรนทร์สูร |
ทรงธรรม์มหันตไพบูลย์ |
จะขอทูลตามจริงทุกสิ่งมา |
ความสัตย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ |
เขาชวนกันเสกใส่มุสาว่า |
เดิมชุมพลคนนี้กับศรีมาลา |
ลอบลักคบหาเป็นชู้กัน |
หม่อมฉันรู้เหตุผลชุมพลหนี |
ไปบอกท่านกาญจน์บุรีแกล้งเสกสรร |
ว่าเอายาแฝดใส่พระไวยนั้น |
ให้ตีรันศรีมาลาว่าวุ่นไป |
ฝ่ายพระกาญจน์บุรีมิทันคิด |
ปลงจิตรเชื่อลูกจึงสงสัย |
เข้ามาด่าทอเป็นเท่าไร |
ว่าจะจับให้ได้ให้ดูเอา |
กระหม่อมฉันก็ท้าว่าให้ทำ |
ชอบผิดจะปิดงำไว้ไยเล่า |
ท่านก็ส่องกระจกยกดูเงา |
ว่าเห็นรูปข้าพเจ้ากับพระไวย |
ท่านย่ามาดูว่าไม่เห็น |
ก็กลับเต้นเข่นเขี้ยวเอาผู้ใหญ่ |
กระทืบเท้าโผงผางวางกลับไป |
นัดให้พลายชุมพลยกทัพมา |
ให้พ่อแผนไปรบก็สบเพลง |
พ่อลูกกันเองไม่เข่นฆ่า |
ตีแต่ไพร่พลแตกร่นมา |
แกล้งทำมารยาว่าศึกมอญ |
ครั้นโปรดให้พระไวยออกไปรบ |
ช่วยกันตีกระทบจนแตกว่อน |
จะฆ่าฟันพระไวยให้ม้วยมรณ์ |
นี่หนีบุกซุกซ่อนจึงรอดตัว |
ทำอุบายถ่ายเททุกอย่างไป |
แปลงเป็นมอญใหม่มิใช่ชั่ว |
แล้วมาแก้ความผิดไม่คิดกลัว |
ไปจับเณรเถรขรัวที่ไหนมา |
พระหมื่นศรีผู้กำกับเป็นพ่อเกลอ |
จึงทูลซ้ำสน่ำเสนอให้หนักหนา |
ชะรอยเอาหัวผีที่ป่าช้า |
กับเลขยันต์เขียนมาเข้ากราบทูล |
ครั้นจะสอบเถรเณรให้เห็นจริง |
ว่าล้มหายตายกลิ้งเป็นเสร็จสูญ |
เห็นเป็นลาวชาวป่าพากันทูล |
ขอทรงพระอนุกูลในทางความ ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
ตรัสว่าอีสร้อยฟ้าว่าเข้าง่าม |
ช่างประจบต้นปลายขยายความ |
เหมือนลากหนามสะจุกทุกช่องไป |
มิเสียทีเป็นลูกพระยาลาว |
เหน็บแนมแกมกล่าวเอาจนได้ |
ยกโทษโจทจับได้ฉับไว |
ติดใจทั้งตำรวจตระลาการ |
แต่พื้นผู้ใหญ่เคยใช้สอย |
ช่างตะบอยท้วงติงเอาจริงจ้าน |
เพราะเหตุไม่มีสักขีพยาน |
จึงว่าขานแก้เกี้ยวเลี้ยวลดไป |
จะให้มันรับว่าจริงยิ่งยากนัก |
จะซ้ำซักข้างเดียวก็ไม่ได้ |
มาจับงูข้างหางผิดอย่างไป |
มันจึงว่าได้ทุกสิ่งอัน |
ต้องให้แพ้ทานบนจนพยาน |
จึงจะว่าขานได้แม่นมั่น |
ต้องเรียกศรีมาลามาว่ากัน |
ให้เห็นว่าสัตย์ธรรม์ข้างผู้ใด |
เหวยตำรวจจงรีบออกไปหา |
เรียกอีศรีมาลามาให้ได้ |
ครั้นได้ตัวศรีมาลามาทันใด |
ก็เข้าไปบังคมก้มกราบกราน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงโลก |
ชะโงกตรัสคดีอยู่มี่ฉาน |
ถามศรีมาลาพลันมิทันนาน |
อีสร้อยฟ้าว่าขานกล่าวโทษมึง |
ว่าทำชู้กับอ้ายพลายชุมพล |
อีสร้อยฟ้ารู้กลมึงโกรธขึ้ง |
เป็นสาเหตุเรื่องราวที่ฉาวอึง |
จนถึงจะฆ่าอ้ายหมื่นไวย |
เนื้อความข้ออื่นกูไม่ว่า |
ที่ทำชู้สู่หาเป็นข้อใหญ่ |
จะสมคำมันหาฤๅว่าไร |
จริงฤๅหาไม่ให้ว่ามา ฯ |
๏ นางศรีมาลากราบทูลไป |
จะจริงหามิได้พระเจ้าข้า |
เมื่อชุมพลด้นไปหาบิดา |
ยังเด็กนักชันษาเพียงเจ็ดปี |
ใครห่อนจะสอนซึ่งเด็กได้ |
มาใส่ไคล้เจรจาน่าบัดสี |
ข้างลาวเคยทำบ้างฤๅอย่างนี้ |
สอนเด็กให้กาลีดังเจรจา |
แกล้งเอาความร้ายมาป้ายเขา |
ทีตัวเจ้าชั่วเองสิไม่ว่า |
ถ้าจริงแล้วเลี้ยงไว้ขายบาทา |
ควรโปรดให้ฆ่าให้บรรลัย |
จะนิ่งไว้ใครเลยจะเล็งเห็น |
ทั้งผัวเล่าก็จะเป็นที่สงสัย |
ขอให้หมดมลทินสิ้นภัย |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ |
เป็นปิ่นปักหลักโลกนาถา |
ทรงฟังคำทูลเป็นมูลมา |
จึงตรัสปรึกษาไปฉับพลัน |
ดูก่อนเจ้าพระยาเสนามาตย์ |
กูฟังเรื่องดูประหลาดเป็นความขัน |
ถ้อยคำแก้เกี้ยวเลี้ยวติดพัน |
กฎหมายก่อนนั้นเป็นอย่างไร |
ความใครไม่มีซึ่งพยาน |
ตระลาการเอาจริงยังไม่ได้ |
จะพิจารณาว่าฉันใด |
ที่จะให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ ครานั้นข้าเฝ้าเจ้าพระยา |
ปรึกษากันแล้วทูลทันใดนั่น |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
อันชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
เมื่อครั้งความขุนช้างบังอาจใจ |
พาพระหมื่นไวยไปเข่นฆ่า |
เป็นเหตุกลางไพรในพนา |
ก็ไม่มีใครมาจะรู้ความ |
ทั้งสองฝ่ายมีคำสำนวนพูด |
ให้ปรึกษาได้พิสูจน์รูดลองถาม |
จึงดำน้ำถวายกับพลายงาม |
ครั้งนี้ตามแต่จะทรงพระปรานี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบเค้ามวลเป็นถ้วนถี่ |
พระจึงถามศรีมาลาไม่ช้าที |
เฮ้ยมึงนี้จะว่าประการใด |
จะต้องหาความจริงด้วยสิ่งสัตย์ |
ฤๅจะขัดว่าพิสูจน์นั้นไม่ได้ |
กูเห็นดีแต่ที่น้ำกับไฟ |
นั่นแลจะได้เห็นจริงจัง ฯ |
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา |
ก้มกราบทูลมาด้วยใจหวัง |
ข้าแต่พระองค์ดำรงวัง |
หม่อมฉันหวังตั้งจิตรคิดลุยไฟ |
แม้นแพ้แก่ข้างนางสร้อยฟ้า |
จงประหารชีวาให้ตักษัย |
ทำชั่วแล้วตัวจะอยู่ไย |
ขอลุยไฟให้เห็นประจักษ์ตา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
ทรงพระสรวลดังอยู่เริงร่า |
ได้ยินฤๅไม่อีสร้อยฟ้า |
อีศรีมาลาขันรับจะลุยไฟ |
ถ้าจริงของมึงมึงจึงสู้ |
เท็จแล้วบอกกูจะผ่อนให้ |
มึงอย่าก้มหน้าอยู่ว่าไร |
จะสู้มันฤๅไม่ให้ว่ามา ฯ |
๏ นางสร้อยฟ้าฟังพระโองการ |
สะทกสะท้านหัวพองสยองฉ่า |
จะรับผิดคิดกลัวพระอาญา |
แข็งใจเงยหน้าขึ้นทูลไป |
ซึ่งว่าทำเสน่ห์เล่ห์กล |
มนตร์ดลจนผัวนั้นหลงใหล |
คบเถรเณรทำเอาพระไวย |
จะลุยไฟให้เห็นเป็นสัจจา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ |
ปิ่นปักหลักโลกนาถา |
ครั้นสองนางต่างทูลเป็นมูลมา |
พระผ่านฟ้าทรงฟังเห็นบังควร |
จึงสั่งให้ขุดรางหน้าที่นั่ง |
ตำรวจในรับสั่งเป็นการด่วน |
เกณฑ์เจ้าพนักงานการทั้งมวล |
ถี่ถ้วนเร่งรัดจัดแจงพลัน |
พระสั่งเสร็จเสด็จขึ้นข้างใน |
พวกขุนนางต่างออกไปเป็นเหล่าหลั่น |
ผู้คุมคุมคู่ความไปตามกัน |
มาถึงทิมดาบนั้นเข้ามณฑล |
พวกตำรวจนั่งพิทักษ์รักษา |
มิให้ใครไปมาเดินสับสน |
ให้นุ่งขาวห่มขาวทั้งสองคน |
เครื่องมณฑลจัดวางอย่างบุราณ |
ข่าตะไคร้พริกขิงทุกสิ่งเสร็จ |
ไก่เป็ดหมากมะพร้าวข้าวสาร |
หม้อข้าวหม้อแกงแลเชิงกราน |
จัดการเสร็จสิ้นทุกสิ่งอัน |
รางไฟตำรวจก็เร่งขุด |
บ้างตรวจตราอุตลุดอยู่ตัวสั่น |
บ้างขนฟืนแบกหามมาตามกัน |
ดินนั้นมอมแมมเปื้อนแก้มคาง |
บ้างถกเขมรแบกงันตัวสั่นงก |
บ้างอ้าปากตาประหลกหกล้มผาง |
ลุกขึ้นลุกลนขนดินพลาง |
ขุนรางแล้วเสร็จสำเร็จพลัน ฯ |