ตอนที่ ๒๑ ขุนแผนลุแก่โทษ

๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท เรืองฤทธิพริ้งเพริศเฉิดฉัน
อาศัยอยู่ในพนาวัน สองคนด้วยกันกับวันทอง
แช่มชื่นรื่นร่มพนมพนัส สิ้นวิบัติไพรีไม่มีข้อง
อิงแอบแนบเนื้อนวลละออง หนุนแต่ขอนไม้รองสำราญใจ
ไร้ฟูกถูกเนื้อวันทองอ่อน เหมือนนอนเตียงทองอันผ่องใส
เพลินฟังวังเวงเพลงเรไร พิณพาทย์ไพรกล่อมขับสำหรับดง
มืดสิ้นแสงเทียนประทีปส่อง ก็ผ่องแสงจันทร์กระจ่างสว่างส่ง
บุปผชาติสาดเกสรขจรลง บุษบงเบิกแบ่งระบัดบาน
เรณูนวลหวนหอมมารวยริน พระพายพัดประทิ่นกลิ่นหวาน
เฉื่อยฉิวปลิวรสสุมามาลย์ ประสานสอดกอดหลับระงับไป ฯ
๏ วันทองน้องนอนสนิทฝัน ถนัดจำสำคัญหาลืมไม่
สิ้นฝันพลันตื่นด้วยตกใจ ปลอบปลุกผัวให้ทำนายนาง
น้องฝันว่าได้เอื้อมถึงอากาศ ประหลาดเด็ดสุริยาลงมาล่าง
ถนอมชมอมชื่นแล้วกลืนพลาง สว่างทั่วตัวน้องถนัดตา
แล้วยังมีชายหนึ่งนั้นสามารถ องอาจแคะควักเอาตาขวา
ทิ้งไปให้มืดทุกเวลา น้องนี้โศกาอนาถใจ
ดวงตาควักไปไม่ได้คืน กลับเอาดวงอื่นมายื่นให้
มืดมัวชั่วช้ากว่าเก่าไป จะดีร้ายฉันใดช่วยบอกมา ฯ
๏ ขุนแผนฟังฝันให้หวั่นจิตร คิดเห็นทั้งคุณโทษเป็นหนักหนา
ดวงใจเจ้าจะได้ซึ่งลูกยา เหมือนฝันว่าได้ชมพระอาทิตย์
จะสิ้นความทุกข์ร้อนผ่อนวิโยค ที่ร้อนโรคสิ่งไรจะไปล่ปลิด
ลูกในครรภ์เจ้านั้นจะเรืองฤทธิ เป็นคู่คิดควรเราจะพึ่งพา
ที่ฝันว่าดวงตากระเด็นจาก จะลำบากมากมายไปภายหน้า
ครั้นจะบอกออกอรรถให้ชัดมา กลัวว่าวันทองจะหมองใจ
ชักชวนนวลนางให้ล้างหน้า ต่างชำระกายาผ่องใส
เผือกมันต้มกันตามอยู่ไพร หาลูกไม้เงาะพลับกระจับบัว ฯ
๏ วันทองนึกถึงฝันให้พรั่นจิตร คิดคิดเห็นจะท้องต้องคำผัว
อนิจจาทุกข์ยากลำบากตัว เกลือกกลั้วปัถพีธุลีลม
สารพัดขัดสนจนยาก แสนลำบากยวดยิ่งทุกสิ่งสม
มาซ้ำท้องสองทุกข์เข้าระทม ยิ่งทุกข์แล้วยิ่งถมมาทับทรวง
ถ้าแม้นอยู่เรือนเหย้าลูกเต้ามี จะยินดีเหลือแสนเฝ้าแหนหวง
มีลูกเหมือนหนึ่งมีมณีดวง นี่มีมาให้เป็นห่วงเมื่อสิ้นคิด
เจ้ามาเกิดเหมือนหนึ่งจะแกล้งฆ่า มันไม่น่ายินดีแต่สักหนิด
จะเลี้ยงดูอย่างไรในไพรชิด คิดคิดก็กำสรดสลดใจ ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสวาดิ ประหลาดแล้วมีท้องมาร้องไห้
วิปริตคิดเห็นเป็นอย่างไร จึงเอาใจปลอบนางให้แต่งกาย
จะอยู่นี่นานนักไม่ได้น้อง ดูทำนองเหตุภัยยังไม่หาย
พระทรงฤทธิจะคิดเคืองระคาย เห็นไม่วายสงครามมาตามรบ
จำจะออกนอกดงที่เราอยู่ ไปตามหมู่ภูผาหาที่หลบ
ซ่อนเร้นมิให้ใครพานพบ กว่าเรื่องราวจะสงบด้วยนานวัน
ว่าแล้วเรียกพรายทั้งหลายมา แล้วผูกม้าสีหมอกขมีขมัน
ชวนวันทองน้องลาพนาวัน ขึ้นม้าพากันเข้าป่าไม้ ฯ
๏ ร่มรื่นพื้นพรรณบุปผา สะอาดตาช่อชูดูไสว
ขุนแผนชักม้าคลาไคล บัดใจถึงเขาธรรมเธียร
ที่เชิงเขาเหล่าพรรณมิ่งไม้ ลมพัดกวัดไกวอยู่หันเหียน
รกฟ้าขานางยางตะเคียน กันเกราตระเบาตระเบียนและชิงชัน
สนสักกรักขีต้นกำยาน ฉนวนฉนานคล้าคลักจักจั่น
ปรางปรูประดู่ดูกมูกมัน เหียงหันกระเพราสะเดาแดง
เต็งแตวแก้วเกดอินทนิล ร้อยลิ้นตาตุ่มชุมแสง
ขวิดขวาดราชพฤกษ์จิกแจง สมุลแว้งแทงทวยกล้วยไม้
กระพ้อเงาะระงับกระจับบก กระทกรกกะลำพอสมอไข่
ผักหวานตาลดำลำไย มะเฟืองไฟไข่เน่าสะเดานา
ไทรโศกอุโลกโพกพาย โพบายไกรกร่างอ้อยช้างหว้า
พลับพลวงม่วงมันจันทนา ปักษาเพรียกพร้องร้องจอแจ ฯ
๏ นกกระลางลางล้วงได้ด้วงจิก ลูกอ้าปากริกร้องวอนแม่
ดุเหว่าจับเถาตำลึงแล เห็นลูกสุกแดงแจ๋เข้าจิกกิน
นกขมิ้นจับเถาขมิ้นเครือ คาบเหยื่อเผื่อลูกแล้วโผผิน
สาลิกาพาหมู่เที่ยวจู่บิน เขาคูคู่ถิ่นอยู่ริมรก
กระทาปักหาตัวเมียจ้อ ชูคอปีกกางหางหก
ค้อนทองร้องรับกันป๊กป๊ก นกตุ่มเปรียวปรื๋อกระพือบิน
ไก่ป่าขันแจ้วอยู่แนวไพร เขี่ยคุ้ยขุยไผ่เป็นถิ่นถิ่น
หารังเรียกคู่อยู่กับดิน หยุดกินวิ่งกรากกระต๊ากไป ฯ
๏ รอนรอนอ่อนแสงพระสุริยง ชักม้าเลียบลงตรงน้ำไหล
ครั้นถึงธารท่าชลาลัย ชวนวันทองน้องให้ลงจากม้า
ปลดอานม้าพลางทางเปลื้องเครื่อง แล้วชวนนางย่างเยื้องลงสู่ท่า
ต่างกินอาบซาบเย็นเส้นโลมา บุษบาบานช่ออรชร
เด็ดฝักหักรากกระชากฉุด เผลาะผลุดรากเลื้อยอะล่อนจ้อน
ขุนแผนปล้อนปอกง่าวดูขาวงอน ว่าวอนลองกินเถิดน้องรัก
หม่อมเอ๋ยฉันไม่เคยจะกินราก กลัวคันปากแสบลิ้นจะกินฝัก
เชื่อพี่ลองหน่อยอร่อยนัก กลัวแต่จักติดใจเมื่อได้รส
ก็นั้นบัวหัวเดียวจะให้ข้า อนิจจาตัวหม่อมจะยอมอด
หม่อมไม่มีฉันนี้ก็จะงด บัวไม่หมดดอกเจ้าเฝ้าเสียดาย
เออกระนั้นหม่อมดำลงไปชัก ฉันจะเลือกหาฝักหักง่ายง่าย
เก็บบัวยั่วยวนชวนสบาย ต่างค่อยคลายเหน็ดเหนื่อยที่เมื่อยล้า
แล้วขึ้นจากท่าพากันจร หาที่หลับนอนที่ในป่า
รุ่งเช้าเที่ยวไปในพนา ทนลำบากยากมาไม่มีภัย ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนคะนอง ตั้งแต่พาวันทองมาป่าใหญ่
ครั้นล่วงหลายเดือนก็เตือนใจ ด้วยครรภ์นางนับได้เจ็ดเดือนปลาย
อลักเอลื่อเหลือสมเพชเวทนา จะคลอดลูกหยูกยาไม่หาง่าย
มาอยู่ในป่าเปลี่ยวเที่ยวซังตาย จะหมายพึ่งใครได้ก็ไม่มี
แต่คิดมาคิดไปอกใจตัน สงสารลูกในครรภ์นั้นสิ้นที่
จะย่อยยับอับจนแล้วคราวนี้ ก็โศกีสะอื้นไห้อยู่ในดง ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เห็นผัวมัวหมองก็พิศวง
ฉงนนักซักถามไปตามตรง หม่อมจงแจ้งความไปตามคิด
เหตุไรร้องไห้อยู่ฮักฮัก ฤๅแคลงรักแหนงใจไม่สนิท
ฤๅว่าจะไม่อยู่เป็นคู่ชิด ฤๅระอิดระอาก็ว่าไป ฯ
๏ โอ้แสนสุดสวาดิของพึ่เอ๋ย อย่าคิดเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อันตัวเจ้าเท่าเทียมกับดวงใจ สิ้นสงสัยแล้วเจ้าอย่าเสียดแทง
พี่รักเจ้าเท่ากับเมื่อแรกรัก ด้วยประจักษ์เห็นใจไม่กินแหนง
สิ่งใดมิได้ระแวงแคลง พี่จะแจ้งจริงเจ้าอย่าเศร้าใจ
น้ำตาตกอกจะครากด้วยยากอยู่ พี่ดูดูเห็นท้องน้องเติบใหญ่
คงจะคลอดลูกยาไม่ช้าไป จะได้ใครรักษาพยาบาล
เราสองคนจนใจไร้ที่อยู่ เปลอู่ขัดขวางเพราะห่างบ้าน
หยูกยาสารพัดจะกันดาร ที่นอนหมอนมุ้งม่านก็ไม่มี
ยังส่วนลูกฟูกเมาะก็ขาดครบ พี่ปรารภลูกน้อยจะหมองศรี
จะกรำฝนทนแดดทั้งตาปี เรานี้อดอยากอยู่เท่าใด
ยังลูกอ่อนก็จะอ้อนแต่อาหาร น่ารำคาญคิดมาน้ำตาไหล
ทั้งผัวเมียแสนอนาถเพียงขาดใจ สุดอาลัยแล้วก็กอดกันโศกา ฯ
๏ ครั้นค่อยวายกำสรดสลดจิตร ขุนแผนคิดตรองตรึกแล้วปรึกษา
ได้ยินข่าวเล่าฦๅออกชื่อมา ว่าพระพิจิตรบุษบานั้นใจดี
ใครขัดสนจนไปก็ได้พึ่ง ถ้าโทษถึงชีวิตจะเป็นผี
ท่านก็มักเมตตาปรานี อันตัวพี่กับเจ้าจะเข้าไป
เราก็เป็นคนดีมีวิชา พี่คิดว่าหาเป็นกะไรไม่
แก้วตาอย่าประหวั่นพรั่นใจ ถึงจะส่งลงไปในอยุธยา
พระองค์ก็คงรับสั่งถาม ความเก่าเรายังดีอยู่หนักหนา
ทั้งพอหวังด้วยกำลังวิทยา ว่าแล้วผูกม้าเรียกภูตพราย
อุ้มวันทองน้องส่งขึ้นสีหมอก ขับออกจากป่าเวลาสาย
ชักม้าสะบัดย่างอย่างเยื้องกราย ไม่ควบขับให้ระคายขย่อนท้อง
สงสารนักด้วยอลักเอลื่อเหลือ ค่อยประคองต้องเนื้อมิให้หมอง
ดั้นดัดลัดไปดังใจปอง ถึงห้วยหนองหยุดทุกระยะมา
ขุดเผือกมันสู่กันมาตามจน พักร้อนผ่อนปรนมาในป่า
สิบวันดั้นพนมพนาวา ชักม้าเข้าพิจิตรบุรี
พอถึงวัดจันทร์ตะวันพลบ แวะเคารพรูปพระชินสีห์
พักอยู่ศาลาขวางข้างกุฎี จนเข้าแสงอัคคีจึงไคลคลา
บริกรรมทำผงลงหลายเล่ห์ เป็นเสน่ห์จุณเจิมเฉลิมหน้า
แล้วบังกายให้หายทั้งอาชา ตรงมายังจวนเจ้าเมืองพลัน ฯ
๏ จะกล่าวถึงท่านพระพิจิตร พระอาทิตย์ตกดินสิ้นแสงฉัน
ลงนั่งกลางบ้านสำราญครัน สว่างแจ้งแสงจันทร์กระจ่างตา
ให้บ่าวเล็กเล็กมาเล่นไล่ ชอบใจหัวร่ออยู่ร่วนร่า
ทั้งนางนารีศรีบุษบา ซึ่งเป็นภรรยาผู้ร่วมใจ
ออกมานั่งกับผัวหัวร่อเด็ก อ้ายลูกเล็กเล็กมาเล่นไล่
เดือนหงายกลางบ้านสำราญใจ ท้องนางนั้นก็ได้ห้าเดือนปลาย ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนกับวันทอง ทั้งสองบังตัวให้สูญหาย
เข้าไปไม่มีใครทักทาย มองดูแยบคายเห็นชื่นบาน
ลงจากม้าพลันทันใด ผูกสีหมอกไว้ประตูบ้าน
แล้วคลายเวทบังกายมิได้นาน ผัวเมียก็คลานเข้าวันทา
หมอบลงตรงหน้าทั้งสองท่าน ขุนแผนอ่านมนตร์เป่าเข้าหนักหนา
เชื่อใจในพระเวทวิทยา รำลึกตรึกตราถึงคุณครู ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา เห็นหญิงชายเข้ามาวันทาอยู่
ชะรอยคนต่างเมืองชำเลืองดู จะใคร่รู้ซักถามเนื้อความไป
ดูราหนุ่มน้อยกับนางงาม เดินตามกันมาจะไปไหน
บ้านช่องตำแหน่งอยู่แห่งใด เป็นอะไรเมียฤๅพี่น้องกัน ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ กับวันทองก้มกราบลงที่นั่น
ขุนแผนจึงบอกไปฉับพลัน ตัวลูกอ่อนนั้นชื่อวันทอง
ตัวข้าชื่อขุนแผนแสนสงคราม ดั้นแดนดงรามมาทั้งสอง
จึงเล่าเรื่องความไปดังใจปอง เดิมวันทองชื่อพิมพิลาไลย
ขุนช้างชิงนางจากหอห้อง ข้าจึงลักวันทองเข้าป่าใหญ่
ล้างทัพยับตายกระจายไป จนใจอยู่ป่ามาหลายเดือน
วันทองท้องแก่น่าสงสาร กลัวจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นกลางเถื่อน
ครั้นจะพากันเข้าไปเหย้าเรือน เกรงจะเหมือนทำกรรมให้มารดา
รู้ว่าเจ้าคุณเอ็นดูสัตว์ จึงดั้นดัดลัดดงตรงมาหา
ฝากชีวิตข้าพเจ้าทั้งสองรา เจ้าคุณกรุณาได้โปรดปราน ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา ฟังผัวเมียว่าน่าสงสาร
ทั้งต้องเดชพระเวทอันเชี่ยวชาญ ให้รักสองคนปานดังลูกตัว
เรียกข้าให้เอาม้าไปผูกถือ จูงมือขึ้นจวนทั้งเมียผัว
ฟังคำพ่อว่าเจ้าอย่ากลัว ดีชั่วไว้พ่อจะผ่อนปรน
ว่าพลางทางสั่งพวกบ่าวข้า ให้จัดหาสำรับอยู่สับสน
ขุนแผนวันทองทั้งสองคน ชำระตนอาบน้ำสำราญใจ
นางศรีบุษบาให้ผ้าผลัด กระแจะแป้งแต่งจัดมาส่งให้
นั่งบนหอกลางที่ข้างใน พระพิจิตรเรียกให้กินข้าวปลา
ทั้งสี่คนกินเสร็จสำเร็จกิจ พระพิจิตรให้จัดซึ่งเคหา
ให้อยู่เรือนข้างหอต่อออกมา สามีภิริยาค่อยบานใจ ฯ
๏ จะกล่าวถึงนางแก้วกิริยา แต่ได้เงินสิบห้าขุนแผนให้
ไถ่ตัวออกจากขุนช้างไป อยู่ในกรุงศรีอยุธยา
อาศัยอยู่เรือนเพื่อนบ้านเก่า เขาก็ช่วยบำรุงรักษา
ชายใดได้เห็นก็ต้องตา นางอุตส่าห์เจียมตัวว่าผัวมี
ซื้อขายวายล่องแต่ของถูก ลูกไม้ขนมส้มลิ้นจี่
ร้านชำทำฉลากหมากฝาดดี ยาบุหรี่เพชรบูรณ์ใบตองนวล ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท พระพิจิตรจงรักบำรุงสงวน
อยู่ที่เรือนหลังใหม่ข้างในจวน มาได้ถ้วนเดือนหนึ่งรำพึงคิด
พระพิจิตรบุษบาให้อาศัย รักใคร่เราเหมือนบุตรสุจริต
แต่นานไปที่ไหนความจะมิด ด้วยพระองค์ทรงฤทธิยังโกรธา
สั่งกำชับกรมการด่านคอย อายัติซ่องใหญ่น้อยไว้แน่นหนา
ใครจับได้ให้ส่งไปพารา ด้วยโทษฆ่าคนตายเสียหลายพัน
จะร้อนถึงพระพิจิตรผู้บิดา ที่เมตตาเลี้ยงดูให้อยู่นั่น
สักหน่อยก็จะพลอยเป็นโทษทัณฑ์ ที่พูดนั้นว่าจะบอกไปขอไว้
เมื่อพระองค์ยังทรงพระพิโรธ ที่ไหนจะโปรดยกโทษให้
ถ้านิ่งอยู่รู้ข่าวถึงกรุงไกร สั่งให้ส่งลงไปจะเสียที
คิดพลางทางปรึกษาเจ้าวันทอง น้องรักผู้ร่วมชีวิตพี่
พี่เกรงว่าอยู่ไปในพิจิตรนี้ คงจะมีเหตุภัยให้รำคาญ
จะขอให้พระพิจิตรท่านบอกส่ง ลงไปอยุธยามหาสถาน
สารภาพรับผิดคิดให้การ ต้านทานข้อฟ้องของขุนช้าง
เหตุด้วยตัวเราเข้ามาหา มิได้ไปจับมาแต่ป่ากว้าง
โทษทัณฑ์นั้นเล่าจะเบาบาง เห็นมีทางข้างจะกรุณา
เมื่อจะเอาโทษทัณฑ์ฉันใด ก็ตามใจด้วยเรานี้เป็นข้า
ได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา จะหลบลี้หนีหน้าไปทำไม
ถือตามคำโบราณท่านว่ามา ว่าว่ายน้ำเข้าหาจระเข้ใหญ่
ยากง่ายตายเป็นประการใด ให้เป็นไปตามกรรมที่ทำมา
พี่รักเจ้าสู้เอาชีวิตแลก ถึงจะแหลกครั้งนี้พี่ไม่ว่า
จะแก้ไขมิให้น้องต้องอาญา ก้มหน้าไปเถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ ฯ
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ได้ฟังผัวว่าน้ำตาไหล
อุตส่าห์กลั้นโศกาแล้วว่าไป น้องได้ใคร่ครวญทุกสิ่งมา
เราผิดชีวิตถึงบรรลัย ด้วยฆ่าฟันนายไพร่เสียหนักหนา
ต้องกระทรวงล่วงพระราชอาชญา ซ้ำหลบลี้หนีหน้าดังคนคด
พวกแตกทัพคงกลับไปกราบทูล เป็นเค้ามูลว่าเราคิดขบถ
ถึงในจิตรไม่คิดทรยศ จะนิ่งกดความไว้ก็ไม่ดี
ยากเย็นจำเป็นต้องจำไป จะตายเป็นเป็นกะไรให้รู้ที่
น้องมิได้อาลัยแก่ชีวี เมื่อมิโปรดปรานีก็ตายไป
น้องกลัวสิ่งเดียวแลพ่อเจ้า จะขืนเอาส่งให้ขุนช้างใหม่
ไม่ทนอายตายเสียยังเต็มใจ ว่าพลางสะอื้นไห้อยู่ไปมา ฯ
๏ ขุนแผนประคองวันทองน้อย น้ำตาย้อยซึมซาบลงอาบหน้า
เช็ดน้ำตาพลางทางพูดจา เจ้าจะโศกาไปไยมี
แม้นพระองค์มิทรงพระเมตตา ก็ฟันฆ่าเสียเถิดให้เป็นผี
จะก้มหน้าเกิดใหม่ให้ได้ดี ชาตินี้มีกรรมเราทำไว้
อันจะส่งเจ้าไปให้ขุนช้าง พี่จะติดตามนางหาวางไม่
จะฆ่ามันมิให้ทันได้เจ้าไป อย่าเสียใจจงระงับดับโศกา
ปลอบพลางทางชวนเจ้าวันทอง น้ำตานองตักน้ำให้ล้างหน้า
แล้วเข้าไปในห้องของบิดา วันทาแทบเท้าทั้งสองคน ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา เห็นสองราหมองไหม้ใจฉงน
ทักถามความลูกไปบัดดล ทำวนสิ่งไรมาแต่เช้า ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ได้ฟังพระพิจิตรก็ก้มเกล้า
ชี้แจงเนื้อความตามสำเนา ข้าพเจ้าคิดกลัวซึ่งโทษทัณฑ์
ด้วยมีตราอายัติสกัดด่าน รั้วแขวงกรมการก็กวดขัน
แต่ปิดบังลูกชายไว้หลายวัน ลูกคิดเกรงเกลือกอันตรายมี
หลวงปลัดยกกระบัตรกรมการ จะบอกกล่าวข่าวขานไม่ควรที่
จะเป็นคบคนผิดติดราคี พระพันปีก็จะทรงพระโกรธา
เจ้าประคุณบอกส่งลูกลงไป ให้พ้นภัยราคีจะดีกว่า
ช่วยแต่แจ้งไปในท้องตรา ว่าลูกเข้ามาหาแต่โดยดี
กับบอกคำให้การดีฉานว่า ทั้งถ้อยคำภรรยาให้ถ้วนถี่
ให้สมกับลุแก่โทษโปรดสักที นอกนี้สุดแต่กรรมที่ทำมา ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุรี ได้ฟังวาทีขุนแผนว่า
เห็นจริงนิ่งนึกตรึกตรา เดิมบิดาได้คิดจะขอไว้
ด้วยตัวเจ้าชำนาญการสงคราม เคยปราบปรามปัจจามิตรทิศน้อยใหญ่
จะได้ตรวจด่านทางข้างพงไพร ครั้นคิดไปเห็นไม่สมอารมณ์คิด
ด้วยคดีมีอยู่ในตัวเจ้า จะว่าเราเข้าด้วยกับคนผิด
จะส่งเจ้าเล่าสงสารเป็นสุดฤทธิ จนจิตรจริงจริงจึงนิ่งมา
ตรองตามความคิดของเจ้านี้ ความทั้งปวงท่วงทีดีหนักหนา
ด้วยเจ้ามาสารภาพกับบิดา ก็เห็นว่าใช่ขบถที่คดร้าย
โดยจะพิจารณาว่าความเก่า รูปความงามข้างเจ้าอยู่เหลือหลาย
ด้วยไปทัพกลับแกล้งว่าล้มตาย แม่ยายพรากเมียจึงเสียใจ
ถึงเป็นใจใครมั่งจะไม่แค้น เขาทดแทนกว่านี้มีไหนไหน
เพียงเจ้ารับเมียเก่าเอามาไว้ ใครเลยจะลงว่าคิดคด
เป็นอยู่ก็ที่สู้กองทัพหลวง เขาจึงล่วงหาผิดว่าคิดขบถ
แต่กองทัพนับพันเป็นหลั่นลด ทั้งหมดรุมเอาเจ้าคนเดียว
เจ้าก็อดออมใจไม่ราญรอน เขาทำก่อนก็เหลือจะหน่วงเหนี่ยว
ที่กองทัพแตกตายกระจายเกรียว ไม่อดเหนียวจะโทษเจ้าอย่างไร
ลงไปถึงพระองค์จะทรงโกรธ คงถามก่อนลงโทษที่ข้อใหญ่
ทูลให้ทราบความจริงอย่านิ่งไว้ เห็นจะสิ้นสงสัยไม่โกรธา
แต่ทว่าข้อรับสั่งนั้นบังคับ ในท้องตราก็กำชับเป็นหนักหนา
ถ้าจับได้ให้จำอย่าลดลา ส่งไปอยุธยาทั้งผัวเมีย
จะผ่อนผันได้บ้างตามทางไป ถึงกรุงไกรไม่จำจะซ้ำเสีย
พ่อสงสารเศร้าใจดังไฟเลีย ทั้งสองราอย่าละเหี่ยละห้อยใจ
อันจะช่วยแก้ไขที่ในบอก ไม่ยากดอกความดีมีไหนไหน
เพียงแต่แจ้งความจริงทุกสิ่งไป พ่อมิให้มัวหมองทั้งสองคน
ทั้งเสื้อผ้าอาหารการกิน จะจัดให้เสร็จสิ้นไม่ขัดสน
จงปลดเปลื้องเรื่องร้อนคิดผ่อนปรน แล้วมาอยู่เมืองบนกับบิดา ฯ
๏ ครานั้นบุษบาให้อาลัย กอดวันทองร้องไห้พิไรว่า
แม่รักเจ้าเท่าลูกในอุรา อนิจจาจะพรากจากแม่ไป
โอ้ว่าวันทองของแม่เอ๋ย จะละเลยไปแล้วทั้งรักใคร่
ท้องแก่แม่นี้ให้หวั่นใจ ถ้าต้องโทษที่ไหนจะคืนดี
แม่เป็นห่วงบ่วงใยใจจะขาด อนาถนักจะอย่างไรไม่รู้ที่
เดชะบุญให้ตลอดรอดสักที สิ้นคดีแล้วเจ้าจงกลับมา ฯ
๏ วันทองสองกรเข้าข้อนอก นํ้าตาตกตันใจอาลัยว่า
ถึงตัวไปใจอยู่กับมารดา จะหาไหนได้เหมือนเจ้าประคุณ
ลูกเป็นคนโทษแม่โปรดไว้ ไม่จองจำซ้ำให้ซึ่งเกื้อหนุน
รักเหมือนลูกเต้าจะเอาบุญ นอนอุ่นกินอิ่มไม่อาวรณ์
ที่กรุงไกรใครเขาจะเมตตา อิฐผากลางถนนจะต่างหมอน
ตะรางเรือกเฝือกฟากต่างฟูกนอน จนชั้นนํ้าใครจะคอนให้อาบกิน
ญาติกาหาไหนมีใครเล่า จะส่งข้าวปลาหมดคงอดสิ้น
จะเป็นความถามไถ่ในบุริน เงินแต่เท่าปีกริ้นก็ไม่มี
เขาจะเรียกค่าฤชาตุลาการ จะผูกมัดรัดประจานไม่ควรที่
ถ้าแพ้ลงคงปรับทับทวี เลือดเนื้อเท่านี้เป็นเงินทอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งค่นจนทุกอย่าง สุดอาลัยใจนางยิ่งมัวหมอง
กลิ้งเกลือกเสือกรํ่านํ้าตานอง อยู่ในห้องร้องไห้สนั่นเรือน ฯ
๏ ครั้นว่าค่อยคลายวายโศกา บุษบาค้นของกองกล่นเกลื่อน
เรียกบ่าวมาสั่งนั่งตักเตือน อย่าแชเชือนจัดของที่ต้องการ
ที่นอนหมอนมุ้งเสื่ออ่อน ผ้าผ่อนดีดีมีในบ้าน
กะทะกะทอหม้อไหแลเชิงกราน เสบียงอาหารทั้งจานชาม
หีบหมากเครื่องนากปริกทอง เต้าปูนถมตลับซองเอาใส่ย่าม
ขาดเหลือเผื่อต้องเป็นถ้อยความ เงินสามชั่งให้เอาไปกิน
พระพิจิตรออกมาศาลากลาง ให้หาขุนนางมาพร้อมสิ้น
แต่งบอกออกความให้ได้ยิน มิให้มีมลทินทุกข้อไป
คำให้การวันทองกับขุนแผน เอาผูกแน่นหยิกเล็บหาช้าไม่
เขียนบอกเสร็จพลันในทันใด ใส่กระบอกส่งให้ผู้คุมรับ
ให้เรือมาจอดที่หน้าท่า บ่าวข้าขนของลงเสร็จสรรพ
เรียกผู้คุมสั่งซํ้าแล้วกำชับ เอ็งคุมวันทองกับขุนแผนไป
เมื่อยังไม่ถึงอยุธยา อย่าเพ่อจองจำไปจนใกล้
ถ้าจะแวะกลางทางบ้างอย่างไร ก็ตามใจลูกกูดูจงดี ฯ
๏ ขุนแผนวันทองนองนํ้าตา กราบลาพ่อแม่ทั้งสองศรี
พระพิจิตรบุษบาก็ปรานี ถ้อยทีถ้อยสั่งหลั่งนํ้าตา
จากจวนชวนกันลงบันได ผัวเมียเสียใจเป็นหนักหนา
ท่านผู้ชายผู้หญิงก็ตามมา แวะหาม้าสีหมอกบอกคดี
สีหมอกเอ๋ยท่านจะส่งเราลงไป จะตายเป็นเป็นกะไรไม่รู้ที่
จึงพากันเข้ามาลาพาชี แม้นมิตายคราวนี้คงพบกัน
วันทองว่าพี่สีหมอกของน้องเอ๋ย เคยยากมาด้วยน้องในไพรสัณฑ์
ยุงริ้นมันกินมาหลายวัน อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
ต้องบุกป่าฝ่าดงพงชัฏ ดั้นดัดดงรามหนามหนา
อดอยากหญ้าฟางกลางพนา เป็นหลายวันคืนมาในป่ารก
ถึงเมืองพอมีที่จะอยู่ ก็มาจู่จากซ้ำน้ำตาตก
เป็นเพื่อนยากเพื่อนตายมาหลายยก จากอกอกน้องจะพองพัง
ขุนแผนว่าลาแล้วเจ้าเพื่อนยาก จะตายจากฤๅจะพบกันวันหลัง
แม้นถ้าไม่มรณาชีวายัง ถึงติดคุกคุมขังไม่วายคิด
จะเร็วช้าถ้ามีเวลาออก จะมาหาม้าสีหมอกที่พิจิตร
อยากจะพาเจ้าไปก็ได้คิด ขุกชีวิตเรานี้จะมรณา
เขาจะส่งสีหมอกเป็นม้าใช้ จะผูกขึงกรึงไว้อดน้ำหญ้า
สิ้นสูญบุญเราไปลับตา เวทนาที่ไหนใครจะรัก
สีหมอกฟังว่าน้ำตาไหล ด้วยพระมนตร์ดลใจให้ประจักษ์
กลอกหัวตัวสั่นรันทดนัก ซบพักตร์แทบเท้าทั้งสองรา
ขุนแผนวอนสั่งพระพิจิตร เจ้าคุณจงคิดถึงตัวข้า
ฝากม้าคู่ชีวิตกับบิดา ด้วยลูกยาเหลือที่จะห่วงใย
พระพิจิตรตอบว่าอย่าปรารมภ์ เด็กเรามีถมพอเลี้ยงได้
น้ำท่าหญ้าฟางก็ถมไป อย่าอาลัยคะนึงถึงอาชา ฯ
๏ ว่าพลางทางพากันคลาไคล สีหมอกมีใจละห้อยหา
ขุนแผนวันทองนองน้ำตา ลงนาวาเข้าในประทุนมิด
พระพิจิตรบุษบาก็อาลัย ขุนแผนวันทองไหว้พระพิจิตร
เรือออกจากท่าเพ่งตาพิศ ต่างคนต่างคิดจนไกลกัน
พระพิจิตรบุษบาก็มาจวน ครํ่าครวญวิโยคโศกศัลย์
เรือล่องว่องไวไปฉับพลัน ข้ามบ้านนี้เมืองนั้นเนืองเนืองมา
แวะเข้าบ้านไหนได้เบี้ยเลี้ยง ข้าวสารเสบียงก็หนักหนา
ล่องเลี้ยวเข้าทางบางพุทรา ผ่านมาหน้าเมืองลพบุรี
ครั้นพ้นเมืองจวนเย็นเห็นถิ่นฐาน พฤกษาสำราญเกษมศรี
ผู้คุมเห็นเวลาเข้าราตรี ก็แวะเรือจอดที่ตำบลนั้น ฯ
๏ ขุนแผนจับฟ้าฟื้นแล้วขึ้นบก บุกรกเยื้องกรายผายผัน
เห็นโพรงต้นไทรใหญ่ใส่ดาบพลัน แล้วร่ายเวทอาถรรพ์กันกำบัง
จึงตั้งความสัตย์อัธิษฐาน กราบกรานอารักษ์แล้วฝากฝัง
ข้ากลับมาเมื่อไรอย่าได้พลั้ง เบื้องหน้าถ้าจะตั้งเป็นบ้านเรือน
ให้เรียกว่าบ้านดาบก่งธนู เพราะฟ้าฟื้นฝังอยู่จงแม่นเหมือน
แล้วล่องเรือต่อไปไม่แชเชือน เตือนกันมาจนใกล้อยุธยา ฯ
๏ ผู้คุมกราบกรานประทานโทษ พ่ออย่าโกรธโปรดหัวกับตัวข้า
ขุนแผนตามใจให้ตรึงตรา เหยียดขาตรวนใส่ตะปูพับ
ขุนแผนสงสารเจ้าวันทอง เอาผ้ารองรัดวงประจงจับ
จะขึ้นบกค่อยประคองรองรับ ผูกสายหยกยกขยับให้นางเดิน
วันทองน้องกระเดียดกระทายน้อย ค่อยค่อยย่างก้าวยกเท้าเขิน
มือถือสายหยกยกสะเทิน พลั้งเท้าก้าวเกินก็ก้มลง
หวีดว้ายกระทายพลัดตกหก ขุนแผนยกปัดป้องละอองผง
ฟักฟูมอุ้มน้องให้ยืนตรง น้ำตาลงอาบหน้าด้วยปรานี ฯ
๏ จะกล่าวถึงนางแก้วกิริยา แต่คอยคอยผัวมาให้หมองศรี
ครวญครํ่ารำพึงเกือบถึงปี ไม่แจ้งคดีว่าผัวมา
วันนั้นวันพระสิบห้าค่ำ นางเคยไปฟังธรรมเทศนา
อาบนํ้าทาแป้งแต่งกายา นํ้ามันทาลูบผมพอสมตัว
นุ่งตาเล็ดงาห่มผ้าผวย ไม่ชุ่มชวยด้วยระคายเป็นหม้ายผัว
ไกลญาติขาดมิตรคิดถึงตัว ลูกผัวกลับมาจะกินใจ
ลงเรือนขยับจับผ้าห่ม ระวังนมมิให้ออกมานอกได้
มือถือสมุกหมากตามยากไร้ ดอกไม้ธูปเทียนถือติดมือมา
ครั้นถึงขอบรั้วหัวถนน แลเห็นคนพรั่งพรูอยู่หนักหนา
ยืนชะแง้แลไปด้วยไกลตา เห็นหน้าขุนแผนกับวันทอง
ดูหน้าฝ้าคลํ้าจำไม่ได้ แปลกใจจริงจังไปทั้งสอง
ครั้นจะสำคัญว่าวันทอง เห็นมีท้องอลักเอลื่อนัก
ขุนแผนเขม้นเห็นเจ้าแก้ว แว่วแว่วจะรู้จักมิรู้จัก
ดูรูปโฉมคล้ายคล้ายจะทายทัก เกลือกมิใช่น้องรักจักรำคาญ
วันทองเห็นเจ้าแก้วกิริยา นางชม้ายชายตาไม่ว่าขาน
จะทักด้วยรู้จักกันมานาน คิดอายก็สะท้านสะเทินใจ
นางแก้วได้ยินเขาพูดจา ว่าได้ขุนแผนมาไม่สงสัย
หลีกแหวกแทรกคนด้นเข้าไป นั่งไหว้น้ำตาละลุมลง
กอดตีนขุนแผนวันทองไว้ อนิจจาแปลกไปเจียนจะหลง
ได้ยินเขาพูดกันจึงมั่นคง พ่อไปดงสูญหายจนวายฦๅ
ขุนแผนฟังคำจำเสียงได้ คิดว่าใครเจ้าแก้วพี่แล้วฤๅ
วันทองลูบไล้ด้วยไม้มือ ต่อเรียกชื่อจึงรู้ว่าน้องยา
เพราะความจนข้นขุ่นในน้ำใจ ปราศรัยแล้วสะเทินเมินหน้า
ขุนแผนเดินตรวนชวนเมียมา นางแก้วกิริยาก็ตามไป ฯ
๏ ถึงทิมดาบในมิได้ช้า ขุนนางพร้อมหน้าทั้งน้อยใหญ่
พระหมื่นศรีเห็นขุนแผนแว่นไว ก็เรียกหามาใกล้ด้วยยินดี
ต่อยกลักใบบอกเอาออกดู อ่านรู้เนื้อความจนถ้วนถี่
พูดจาปราศรัยเป็นไมตรี พระพันปีขุ่นเคืองเป็นพ้นคิด
แต่พิเคราะห์เนื้อความตามใบบอก ว่าเจ้าออกมาหาพระพิจิตร
อ่อนน้อมยอมถวายซึ่งชีวิต รับผิดแล้วข้าเห็นไม่เป็นไร
เอ็งไปป่าพาไปแต่วันทอง ที่นั่งรองนั้นได้มาแต่ไหน
อ้ายพ่อเอ๋ยเชลยมันเหลือใจ แต่ทุกข์ยากแล้วยังได้สำรองมา
ขุนแผนว่าเมียเกล้ากระผม นานนมแต่ยังไม่ไปป่า
ทิ้งไว้ให้อยู่กับมารดา พอกลับมาพบกันที่กลางทาง
พระหมื่นศรีมีแก่ใจให้กินอยู่ เลี้ยงดูสารพัดไม่ขัดขวาง
พูดจาปราศรัยกันไปพลาง เหมือนอย่างแต่ก่อนร่อนชะไร
ครั้นสายได้เวลาจวนห้าโมง ขุนนางไปท้องพระโรงทั้งน้อยใหญ่
พระหมื่นศรีผลัดผ้าแล้วคลาไคล ไปคอยเฝ้าพระองค์ทรงศักดา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ