๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ลับพิมไปแล้วตะลึงหลง |
ผีพารีบไปดังใจจง |
ลัดดงขามทุ่งมุ่งมา |
ลอยละลิ่วแลกลมดังลมพัด |
หลีกลัดหนองแนวแถวท่า |
เข้าเมืองกาญจน์บุรีด้วยปรีดา |
ถึงเคหาผีสูญสว่างพลัน |
เจ้าพลายแก้วเข้าไปในบ้านแม่ |
ชำเลืองแลย่างกรายผายผัน |
ในจิตรคิดแต่ทางสุพรรณ |
โศกศัลย์ถึงน้องให้หมองใจ |
โอ้เจ้าพิมผู้เพื่อนชีวิตพี่ |
ปานนี้เจ้าจะเศร้ากำสรดไห้ |
จะหมองศรีเพราะพี่นี้จากไกล |
เหลืออาลัยแล้วเจ้าพิมของพี่เอย |
มาด้วยก็จะได้มาไหว้แม่ |
ทุกข์แท้เหลือวิตกแล้วอกเอ๋ย |
ผู้ใดใครจะให้เจ้าเสบย |
เดินเลยขึ้นเรือนด้วยทันใด |
ตรงเข้าเรือนแม่แลเห็นหน้า |
กอดตีนมารดาน้ำตาไหล |
ทองประศรีเห็นลูกตะลึงไป |
เออแก้วแม่อย่างไรจึงสึกมา |
เป็นไรพ่อจอมกระหม่อมแม่ |
ตั้งแต่ร้องไห้ไม่เงยหน้า |
เงินทองเจ้าได้ที่ไหนมา |
น้ำตาพลอยย้อยลงด้วยลูกรัก |
เจ้าพลายแก้วก้มกราบกับบาทา |
แม่ขาครั้งนี้ฉันทุกข์หนัก |
เหลือทุกข์สุดทนเป็นพ้นนัก |
เพราะพิมน้องรักรักใคร่กัน |
จากเจ้าเจ้าให้ซึ่งเงินตรา |
ห้าชั่งนี้มาทำทุนนั่น |
ให้สู่ขอต่อแม่ศรีประจัน |
ไม่ให้ปันบอกความจะตามมา |
เอ็นดูลูกเถิดแม่บังเกิดเกล้า |
พิมเศร้าโศกสร้อยอยู่คอยท่า |
สงสารน้องต้องกินแต่น้ำตา |
แม่จงกรุณาอย่าเฉยเมย ฯ |
๏ ทองประศรีว่ากรรมเอ๋ยกรรมแล้ว |
พ่อแก้วแก้วตาของแม่เอ๋ย |
บวชก่อนเถิดอย่าเพ่อมีเมียเลย |
แม่จะได้ชมเชยชายจีวร |
พ่อเจ้าเขาก็ตายไปนานแล้ว |
ลูกแก้วจงโปรดแกเสียก่อน |
บวชสักสองพรรษาอย่าอาวรณ์ |
สึกมาแม่จะผ่อนให้มีเมีย |
จะขอให้เป็นลูกเขยเจ้าพระยา |
ฟังคำแม่ว่าจงทิ้งเสีย |
อย่างอีพิมไม่น่ามาเป็นเมีย |
กะปลกกะเปลี้ยปลอบลูกพิไรไป |
งามกว่าพิมนี้ก็มีมั่ง |
ฤๅจะเอาชาววังจะขอให้ |
ถวายจานเงินทองต้องพระทัย |
ก็จะได้นางในที่ชื่นตา ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วฟังแล้วกราบตีนพลัน |
นางสวรรค์ลูกก็ไม่ปรารถนา |
นางในงามแต่กิริยา |
จะเปรียบพิมแก้วตาเห็นเต็มที |
งามประเสริฐเลิศลํ้าทั้งขำคม |
งามหน้างามนมเนื้อสองสี |
ไม่เทียมทันทั้งสุพรรณบุรี |
เห็นไม่มีใครสู้ดูงดงาม |
เจ้าประคุณทูนหัวของลูกแก้ว |
มีเมียแล้วบวชได้ดอกไม่ห้าม |
แม่อย่าทานทัดขัดความ |
แม้นมิตามใจลูกคงมรณา ฯ |
๏ ทองประศรีฟังลูกก็สงสาร |
แกจนใจให้รำคาญเป็นหนักหนา |
ปลอบว่าอย่าทุกข์เลยแก้วตา |
เมื่อไม่ฟังแม่ว่าก็ตามใจ |
ขอเขาเขาก็ให้ดอกลูกอา |
เป็นเพื่อนบ้านกันมาไม่เสียได้ |
คงจะได้เป็นเมียอย่าเสียใจ |
อย่าร้องไห้จงไปกินข้าวปลา ฯ |
๏ พลายแก้วฟังแล้วก็ดีใจ |
หายร้องไห้ลุกลงไปตีนท่า |
อาบนํ้าแล้วกินซึ่งข้าวปลา |
ทองประศรีเรียกข้ามาไวไว |
เอ็งไปท่าเลื่อยโรงกระดาน |
คิดอ่านซื้อเรือนเขาทำใหม่ |
เงินสามชั่งนี้เอ็งเอาไป |
ซื้อเขาให้ได้มาโดยพลัน |
ห้าห้องเสาสร้างให้เสร็จสรรพ |
บ่าวรับจับควายขมีขมัน |
เทียมเกวียนสองเล่มมาด้วยกัน |
ครู่หนึ่งถึงพลันก็ซื้อมา |
ทองประศรีจัดแจงซื้อน้ำตาล |
เปรี้ยวหวานหมากมะพร้าวเป็นหนักหนา |
ประทุกเกวียนสิบเล่มเต็มประดา |
พระสุริยาพอพลบลงทันใด |
ทองประศรีก็เรียกซึ่งบ่าวข้า |
เข้ามาพร้อมหน้าหาช้าไม่ |
กำชับสั่งพูดจากับข้าไท |
แบ่งอยู่แบ่งไปให้เฝ้าเรือน |
พวกผู้ชายให้อยู่ดูบ้านช่อง |
เก็บของให้ดีนางมีนางเหมือน |
สั่งพลางทางเข้าไปในเรือน |
เจ้าพลายเชือนแล่นลุกเข้าหอกลาง |
เข้าห้องหับประตูอยู่คนเดียว |
แสนเสียวส้วมสอดกอดหมอนข้าง |
คะนึงพิมนิ่มสนิทคิดระคาง |
นึกถึงนางจนหลับระงับไป ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันที |
ทองประศรีก็ลงจากเรือนใหญ่ |
ข้าคนขนของมากองไว้ |
หญิงชายพวกไพร่ห้าสิบคน |
เจ้าพลายแก้วขี่เกวียนเล่มหนึ่งมา |
หัวหน้าขับเข้าในไพรสณฑ์ |
อาดอาดอื้ออึงอลวน |
แสงแดดร้อนรนให้พักควาย |
หัวคํ่ารํ่าไปจนรุ่งเช้า |
กินข้าวแล้วก็ขับไปจนสาย |
ตะวันเที่ยงหยุดนอนผ่อนสบาย |
เวลาบ่ายควายเทียมแล้วขับไป |
พระสุริยาร่อนเรื่อยลงริมดง |
เลี้ยวลงเกือบลับพระเมรุใหญ่ |
สกุณาร่าร้องระงมไพร |
เรไรหริ่งรอบลำดวนดัง |
เจ้าพลายแก้วแว่วหวาดชะนีโหย |
วิเวกโวยหวี่หวีดประหวั่นหวัง |
ลูกน้อยเหนี่ยวนิ่งบนกิ่งรัง |
เหมือนพิมพี่เจ้าสั่งแต่แรกมา |
เห็นค่างเคียงนางอยู่ข้างคู่ |
พิศดูเตือนใจอาลัยหา |
เหมือนพิมน้อยแนบนั่งฟังเจรจา |
เจ้าแก้วตาปานฉะนี้จะอย่างไร |
ครั้นถึงที่เกวียนประทับหยุด |
อุตลุดพักควายหาช้าไม่ |
บ่าวข้าหาฟืนมาสุมไฟ |
ก็นอนใกล้หนองนํ้าเป็นสำคัญ |
แต่แรมร้อนนอนทางมากลางป่า |
ไม่ช้ามาถึงสุพรรณนั่น |
ก็หยุดควายท้ายสวนศรีประจัน |
สั่งบ่าวไพร่ทั้งนั้นให้ปลูกโรง |
ข้าไทตัดไม้ที่ในป่า |
บ้างฉุดคร่าถากฟันสนั่นโผง |
บ้างแบกบ้างวางอยู่กร่างโกร่ง |
เสียงโปกโป้งเจาะขุดอยู่ตึงตัง |
ปักเสาเข้าพรึงกรึงอกไก่ |
กลอนใส่มุงหลังคาทั้งห้าหลัง |
เกี่ยวเอาแฝกมาทำฝาบัง |
ทองประศรีเข้ายั้งอยู่สำราญ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ครั้นคํ่าแล้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
คิดถึงพิมพิลาไลยด้วยไปนาน |
จะรำคาญคอยพี่ที่มาไกล |
เอ็นดูเจ้าจะเศร้าโศกสะอื้น |
ไม่มีชื่นมั่นคงเพราะสงสัย |
คิดพลางย่างเยื้องชำเลืองไป |
อำไพส่องแสงพระจันทรา |
ลอยละลิ่วปลิวโพยมพยับแสง |
กระจ่างแจ้งแจ่มจัดจำรัสหล้า |
ดวงดาวขาวสว่างกลางนภา |
ก็เดินมาถึงบ้านศรีประจัน |
ฟังเสียงสิงสัตว์สงัดเงียบ |
ค่อยย่องเหยียบมาข้างหอกลางกั้น |
กลิ้งครกยกเท้าก้าวขึ้นพลัน |
สะเดาะกลอนถอนลั่นออกทันใด |
บานหน้าต่างกางเปิดก็ปีนเข้า |
ถึงห้องเจ้าพิมเพื่อนพิสมัย |
สว่างแสงชวาลาระย้าไฟ |
คนอยู่ในเรือนหลับสนิทนอน |
บ้างกรนครางละเมอเพ้อเกาหิด |
ขาชันไม่ทันปิดซึ่งผ้าผ่อน |
ถึงประตูฝาประจันเขาลั่นกลอน |
สะเดาะถอนลิ่มหลุดเดินเข้าไป |
ประจงรูดม่านกางเห็นนางหลับ |
เลื่อนขยับยับยั้งเข้านั่งใกล้ |
กอดนางพลางปลุกเจ้าปลื้มใจ |
อย่าหลับใหลเลยลุกขึ้นเถิดรา ฯ |
๏ นางพิมประหม่าผวาฟื้น |
สะดุ้งตื่นตกใจเป็นหนักหนา |
ไม่ทันพิศคิดว่าขโมยมา |
นางผวาร้องหวีดจะวิ่งไป |
เจ้าพลายแก้วฉวยมือถือถนัด |
จะสะบัดบิดหนีพี่ไปไหน |
พี่มาแล้วแก้วตาอย่าตกใจ |
เป็นห่วงใยอยู่ด้วยเจ้าจึงเข้ามา |
แต่วันไปน้ำใจให้มุ่นหมก |
วิตกด้วยน้องน้อยจะคอยท่า |
พอถึงบ้านวานวอนให้แม่มา |
ท่านมารดาขัดใจพี่ไม่ฟัง |
แต่ร้องไห้ร้องห่มจนลมจับ |
ท่านก็รับขอให้ดังใจหวัง |
จึงรีบจากเรือนมาในป่ารัง |
กระทั่งถึงเข้าวันนี้พี่ก็มา ฯ |
๏ นางพิมนั่งฟังสิ้นสงสัย |
ดีใจยิ้มขยับเข้าไปหา |
แอบอิงพิงทับกับอุรา |
ถ้าหม่อมแม่มิเมตตาก็ท่าตาย |
ถ้าแม้นไม่จริงจังเหมือนดังว่า |
ฉันไม่ขอดูหน้าท่านทั้งหลาย |
ไม่รักอยู่เป็นคนให้ทนอาย |
โอ้พ่อพลายแก้วพี่จงกรุณา ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วฟังชอบปลอบประโลม |
พี่รักโฉมเยาวยอดเสนหา |
อย่าสงสัยที่ใจไม่สัจจา |
แม้นแผ่ผ่าอกได้จะให้ดู |
นี่สุดคิดที่จะปลิดให้ดูได้ |
ถึงตัวไปใจพี่ก็ยังอยู่ |
ห่วงหลังด้วยขุนช้างเป็นศัตรู |
อุตส่าห์สู้รีบรัดมานัดงาน |
อย่าเศร้าศรีพรุ่งนี้กำหนดแน่ |
คุณแม่ท่านจะมาหาถึงบ้าน |
ขอร้องต้องตามคำโบราณ |
ว่าพลางทางสะพานสะพักชม |
เผยออกยกนางขึ้นวางตัก |
กำเริบรักเชยชิดสนิทสนม |
ป่วนปั่นกระสันเสียวเกลียวกลม |
ก็เกิดลมพายุใหญ่ประลัยกัลป์ |
พัดกระพือโผงผางจะล้างโลก |
พระสุเมรุเอนโยกตลอดลั่น |
สะเทือนท้องคงคาพนาวัน |
มืดอาทิตย์มิดจันทร์จลาจล |
พฤกษาดอกงอกงามอยู่ตามฝั่ง |
ก็ย่อยยับพับพังกระทั่งต้น |
ฟ้าเปรี้ยงเสียงร้องก้องคำรน |
แต่พอฝนตกหายพายุฮือ |
เสร็จประสงค์ตรงมาเปิดหน้าต่าง |
เอ๊ะนี่มิสว่างขึ้นแล้วฤๅ |
ส้วมสอดกอดน้องทั้งสองมือ |
ไก่กระพือปีกขันสนั่นมา |
ดุเหว่าเร้าเร่งพระอาทิตย์ |
จำจิตรจากไปไกลเคหา |
ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา |
เจ้าจงมาส่งพี่เพียงบันได |
นางพิมจับจูงข้อมือแก้ว |
ก็คลาศแคล้วเปิดประตูหอกลางให้ |
บ่าวหญิงนิ่งหลับระงับใจ |
ก้าวปลอมพร้อมไปทั้งสองรา |
ถึงนอกชานเปิดบานประตูให้ |
ยังอาลัยเหลียวหลังมาสั่งว่า |
ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา |
แล้วหันหน้าลงบันไดไปฉับพลัน |
พอพ้นเรือนแสงเดือนดับหรุบรู่ |
ออกประตูรั้วใหญ่แล้วผายผัน |
ครู่หนึ่งถึงที่อาศัยพลัน |
เข้าในโรงนั้นสำราญใจ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสางสว่างหล้า |
ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่ |
ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้ |
นั่งเคี้ยวไบ่ไบ่แล้วตรองการ |
จึงร้องเรียกตาสนกับตาเสา |
ยายมิ่งยายเม้าเป็นเพื่อนบ้าน |
ปรึกษาว่าตูข้าจะขอวาน |
คิดอ่านขอลูกสาวศรีประจัน |
เถ้าแก่รับคำแล้วอำลา |
ไปเคหาแต่งตัวขมีขมัน |
นุ่งผ้าตามะกลํ่าดูขำครัน |
ห่มปักไหมมันดูเหมาะตา |
ทองประศรีนุ่งผ้าตาบัวปอก |
ห่มขาวพุดดอกพอสมหน้า |
พร้อมกันทันใดก็ไคลคลา |
ข้าถือสมุกหมากสากตะบัน |
พลายแก้วก็เสกขี้ผึ้งให้ |
ด้วยหัวใจกรณีย์ดีขยัน |
เถ้าแก่รับเอาเข้าสีพลัน |
ยายทองประศรีนั้นนำหน้ามา |
ครู่หนึ่งถึงบ้านศรีประจัน |
แกตัวสั่นร้องเรียกให้ดูหมา |
ศรีประจันเปิดหน้าต่างพลางแลมา |
เห็นแล้วเรียกข้าด่าอึงไป |
อีนั่นอ้ายนี่อีขี้ครอก |
แขกมาหาบอกแก่กูไม่ |
บ่าวกลัวตัวสั่นลงบันได |
วิ่งไขว่มารับขึ้นเรือนพลัน |
แล้วเอาเสื่อสาดมาลาดปู |
หมากพลูใส่เชี่ยนขมีขมัน |
มานั่งล้อมพร้อมหน้าพูดจากัน |
ศรีประจันปราศรัยทายทัก |
ตูนึกนึกสงสารออทองประศรี |
จากกันไปหลายปีดีดัก |
ร่างรูปซูบซีดลงผิดนัก |
หัวหงอกฟันหักดูหนักไป |
เมื่อเป็นโทษท่านโปรดให้ฆ่าผัว |
ครั้งนั้นตัวออเจ้าไปอยู่ไหน |
กับลูกชายหายไปอยู่แห่งใด |
สิบเอ็ดปีแล้วจึงได้มาพบพาน |
เดี๋ยวนี้สุขทุกข์อย่างไรหนอ |
พอทำมาหากินเป็นถิ่นฐาน |
ฤๅขัดสนจนใจด้วยภัยพาล |
ที่มาบ้านตูนี้ด้วยเหตุใด ฯ |
๏ ทองประศรีตอบคำศรีประจัน |
ว่าทุกวันเราทุกข์หาสุขไม่ |
ยากยับอับจนเป็นพ้นไป |
ออเจ้าย่อมแจ้งใจแต่ไรมา |
ตกยากจากเมืองสุพรรณไป |
เมื่อครั้งขุนไกรดับสังขาร์ |
ถูกริบฉิบหายไปทุกตา |
วัวควายไร่นาทั้งบ้านเรือน |
ได้เงินใส่สมุกกับลูกรัก |
กลัวนักหนีวางเข้ากลางเถื่อน |
แต่ซุกซนด้นป่าไปกว่าเดือน |
พอพบเพื่อนกันเข้าเขาเอ็นดู |
เขาพากันเมตตาต้อนรับไว้ |
ยกเหย้าเรือนให้อาศัยอยู่ |
ยากยับอับจนเป็นพ้นรู้ |
อุตส่าห์สู้บุกแฝกแบกหน้ามา |
จะขอพรรณฟักแฟงแตงน้ำเต้า |
ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า |
ทั้งอัตคัดขัดสนจนเงินตรา |
จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้ |
อยู่รองเท้านึกเอาว่าเกือกหนัง |
ไม่เชื่อฟังก็จะหาประกันให้ |
ได้บากบั่นมาถึงเรือนอย่าเบือนไป |
จะได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา ฯ |
๏ ศรีประจันได้ฟังทางหัวเราะ |
จำเพาะจะมาอ้อมค้อมว่า |
เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันนานมา |
ลูกข้าข้าจะหวงไว้ทำไม |
ถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า |
แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้ |
อุตส่าห์ทำมาหากินไป |
รู้ทำรู้ได้ด้วยง่ายดาย |
ถึงเงินทองเป็นของพ่อแม่ให้ |
ไม่รู้รักษาไว้ก็ฉิบหาย |
ตูจะขอถามความท่านยาย |
ลูกชายนั้นดีฤๅอย่างไร |
ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา |
ฝิ่นฝามันสูบบ้างฤๅไม่ |
จะสูงตํ่าดำขาวสักคราวใคร |
ตูยังไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริง ฯ |
๏ ครานั้นตาสนกับตาเสา |
อิกทั้งยายเม้าแลยายมิ่ง |
ว่านานไปท่านจะได้พึ่งพิง |
ลูกทองประศรีดียิ่งนะคนนี้ |
ว่านอนสอนง่ายชายฉลาด |
ทั้งรูปทรงก็สะอาดสำอางศรี |
รุ่นหนุ่มน้อยจ้อยเรียบร้อยดี |
ความชั่วไม่มีสักสิ่งอัน |
เมื่อเป็นเณรก็เทศน์มัทรีได้ |
เพราะเจาะจับใจดีขยัน |
เมื่อปีกลายคุณยายเป็นเจ้ากัณฑ์ |
วันนั้นเจ้าพิมฟังยังชอบใจ |
เปลื้องผ้าออกบูชาซึ่งกัณฑ์เทศน์ |
เกิดเหตุเพราะขุนช้างมันทำให้ |
เปลื้องผ้าทับผ้าเจ้าพิมไว้ |
คุณยายจำไม่ได้ฤๅไรนา ฯ |
๏ ศรีประจันได้ฟังก็ชอบใจ |
ตอบว่าอ่อนึกได้แล้วที่ว่า |
เราก็คิดรำคาญมานานช้า |
ด้วยลูกข้าคนเดียวดังดวงใจ |
จะตกแต่งให้ปันเสียทันตา |
ตัวเราก็ชรามักเจ็บไข้ |
อายุคนนี้จะนานสักปานใด |
มีหาไม่จะทำแต่ตามมี |
ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง |
ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้ |
ผ้าไหว้สำรับหนึ่งก็พอดี |
หอมีห้าห้องฝากระดาน |
เดือนสิบสองวันเสาร์ขึ้นเก้าคํ่า |
กำหนดงานจะทำให้คิดอ่าน |
ทองประศรีรับคำมิได้นาน |
ตามแต่ท่านจะคิดไม่ขัดใจ |
ครั้นได้เวลาควรชวนกันลา |
ทองประศรีก็มาหาช้าไม่ |
ถึงที่อยู่พลันเข้าทันใด |
บอกลูกชายให้ได้รู้การ ฯ |
๏ ศรีประจันก็สั่งซึ่งบ่าวข้า |
ให้จัดหาข้าวของอลหม่าน |
ซื้อหมากมะพร้าวจาวตาล |
ทั้งคาวหวานทำอึงคะนึงไป |
เอาหมากพลูใส่พานมิทันช้า |
ร้องเรียกบ่าวข้าลงเรือใหญ่ |
ถึงวัดแคขึ้นกุฎีรี่เข้าไป |
ศรีประจันนั่งไหว้แล้วว่าพลาง |
สมภารผินหลังนั่งเล่นหมากรุก |
สบสนุกจับโคนเข้าโยนผาง |
เข้ากลจะจนที่ตากลาง |
ศรีประจันเรียกค้างว่าเจ้าคุณ |
ดีฉันมาหมายว่าจะนิมนต์ |
สมภารว่าไม่จนให้หลบขุน |
ศรีประจันว่าดีฉันจะทำบุญ |
สมภารว่าเรือจุนเข้ารุกจน |
เหลียวเห็นศรีประจันกลั้นหัวร่อ |
จึงถามข้อเนื้อความตามเหตุผล |
ศรีประจันว่าฉันมีทำวน |
อาราธนาสวนมนต์สักสิบองค์ |
จะแต่งงานออพิมพิลาไลย |
กำหนดนับวันไว้อย่าใหลหลง |
ตัวฉันนี้เล่าแก่เถ้าลง |
จะทำเสียให้คงเห็นทันตา ฯ |
๏ สมภารได้ฟังก็ตอบไป |
มันมีผัวได้แล้วฤๅหวา |
เมื่อปีกลายกูได้เห็นมันมา |
ยังอาบน้ำแก้ผ้าตาแดงแดง |
ผูกจับปิ้งเที่ยววิ่งอยู่ในวัด |
มันหักตัดต้นไม้ไล่ยื้อแย่ง |
กูเอาไม้เท้าง่ามไล่ตามแทง |
เกลียดน้ำหน้าด่าแช่งอยู่ทุกวัน |
ไม่เห็นหน้าสองปีมามีผัว |
เร่งคิดถึงตัวเถิดเราทั่น |
สีกายายก็คลายลงครันครัน |
มันก็แก่ลงด้วยกันแล้วสีกา ฯ |
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน |
ว่าคุณก็เหมือนกันแลเจ้าข้า |
ไม่เที่ยงแท้จริงจังสังขารา |
หน่อยหนึ่งก็จะพากันตายไป |
นัดแน่นะจงจำฉันอำลา |
ลงจากกุฎีมาหาช้าไม่ |
ครู่หนึ่งถึงบ้านขึ้นบันได |
แกจัดข้าวของไว้เป็นมากมาย ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ครั้นถึงกำหนดแล้วจึงนัดหมาย |
บอกแขกปลูกเรือนเพื่อนผู้ชาย |
มายังบ้านท่านยายศรีประจัน |
ให้ขุดหลุมระดับชักปักเสาหมอ |
เอาเครื่องเรือนมารอไว้ที่นั่น |
ตีสิบเอ็ดใกล้รุ่งฤกษ์สำคัญ |
ก็ทำขวัญเสาเสร็จเจ็ดนาที |
แล้วให้ลั่นฆ้องหึ่งโห่กระหนํ่า |
ยกเสาใส่ซ้ำประจำที่ |
สับขื่อพรึงติดสนิทดี |
ตะปูตียกเสาดั้งตั้งขึ้นไว้ |
ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน |
เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่ |
พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป |
จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง |
บ้างเจาะถากถุ้งเถียงเสียงเอะอะ |
เกะกะกบไสไชเหล็กจึ้ง |
บางผ่าฟันสนั่นอึงคะนึง |
วันหนึ่งแล้วเสร็จสำเร็จการ |
ศรีประจันแกเรียกบ่าวข้า |
ให้ยกสำรับมาทั้งคาวหวาน |
เลี้ยงดูสับสนคนทำงาน |
อิ่มแล้วไปบ้านด้วยทันใด ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเป็นวันดี |
ทองประศรีจัดเรือกัญญาใหญ่ |
เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป |
หามโหรีใส่ท้ายกัญญา |
ขันหมากเอกเลือกเอาที่รูปสวย |
นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า |
ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา |
ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจัน |
จึงจอดเรือเข้าหน้าสะพานใหญ่ |
ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น |
เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน |
ขนขันหมากขึ้นบนบันได |
ยายเป้าเถ้าแก่อยู่ที่บ้าน |
ก็นับขานเงินตราแลผ้าไหว้ |
ครบจำนวนถ้วนที่สัญญาไว้ |
ให้ขนเข้าไปในเรือนพลัน |
แถมพกยกของมาเลี้ยงดู |
ครั้นกินอยู่อิ่มดีขมีขมัน |
ก็กลับเรือมาพร้อมหน้ากัน |
ถึงพลันจอดท่าพากันไป ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ครั้นบ่ายแล้วยกเหล้ามาทั้งไห |
ทั้งกับแกล้มต้มแกงที่แต่งไว้ |
จึงเรียกอ้ายไทยมาสั่งพลัน |
เอ็งจงรีบไปอย่าได้ช้า |
ไปหาบอกท่านขุนช้างนั่น |
ว่ากูเชิญให้ไปด้วยกัน |
วานท่านมาเป็นเพื่อนบ่าวกู |
อ้ายไทยรับคำแล้วอำลา |
รีบเร่งเร็วมาไม่หยุดอยู่ |
ถึงบ้านขุนช้างพลางแลดู |
ก็เดินจู่ขึ้นเรือนด้วยทันใด |
พอเพลาขุนช้างมานั่งเล่น |
อ้ายไทยแลเห็นยกมือไหว้ |
เดี๋ยวนี้พลายแก้วผู้แววไว |
ขอแม่พิมได้แต่งงานกัน |
พลายแก้วขัดสนจนเพื่อนบ่าว |
ให้ฉันมากราบเท้าอย่าเดียดฉันท์ |
ขอเชิญพ่อไปให้เห็นวัน |
อย่าช้าเลยทั่นจงแต่งตัว ฯ |
๏ ขุนช้างได้ฟังอ้ายไทยว่า |
ดังใครเอาดาบผ่ากระบานหัว |
เสียดายพิมผูกพันใจสั่นรัว |
น้ำตารั่วหันหน้าเข้าฝาบัง |
โอ้ว่าอนิจจาแก้วตาพี่ |
ครั้งนี้เห็นไม่ได้ดังใจหวัง |
คงจะพากเพียรไปมิได้ฟัง |
ถึงเป็นเมียก็ชั่งมันเป็นไร |
คิดแล้วอาบน้ำนุ่งผ้า |
ยกทองของพระยาละครให้ |
ห่มส่านปักทองเยื้องย่องไป |
บ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งมา |
ครั้นถึงที่อยู่เจ้าพลายแก้ว |
เพื่อนบ่าวมาแล้วนั่งพร้อมหน้า |
จึงชวนกันนั่งกินรินสุรา |
เมามายพูดจากันอึงไป |
เจ้าพลายแก้วจึงว่าเจ้าเกลอเอ๋ย |
อย่าถือเลยที่นางพิมเรารักใคร่ |
รู้ว่าเป็นเมียเอ็งกูเกรงใจ |
เอ็นดูเถิดจงให้เสียแก่เรา |
ขุนช้างฟังว่าทำหน้าเก้อ |
นิจจาเกลอดอกหาไม่ไม่ให้เจ้า |
แม้นเอ็งไม่รักกูจักเอา |
ว่าแล้วกินเหล้าเมาสำราญ ฯ |
๏ ครั้นพระสุริยาเวลาบ่าย |
พลายแก้วย่างกรายมาจากบ้าน |
ลงเรือพร้อมกันมิทันนาน |
รีบมายังบ้านศรีประจัน |
กับเพื่อนบ่าวก็ก้าวขึ้นบนหอ |
พระมารอสวดมนต์สำรวมมั่น |
เพื่อนสาวเข้าห้อมล้อมกัน |
ออกจากเรือนนั้นมาทันใด |
นั่งลงตรงหน้าท่านสมภาร |
แล้วท่านจึงส่งมงคลให้ |
ขุนช้างเห็นพิมกระหยิ่มใจ |
ตะลึงไปตาเพ่งเขม็งดู |
หยิบพานมาว่าจะกินหมาก |
มันผิดปากส่งไพล่ไปรูหู |
เคี้ยวเล่นไบ่ไบ่ได้แต่พลู |
เพื่อนบ่าวเขารู้หัวเราะฮา |
พระสงฆ์สวดมนต์รํ่ากระหนํ่าไป |
เอาน้ำซัดสาดให้อยู่ฉานฉ่า |
นางมั่นแม่แปรกแทรกเข้ามา |
ขุนช้างเข้าคร่าเอาข้อมือ |
นางมั่นรันหัวลงต้ำเปาะ |
พ่อเงาะวางฉันอย่าดันดื้อ |
ขุนช้างฉุดผ้าคว้าจิ้มดือ |
ไม่วางฤๅอ้ายถ่อยต่อยเขกลง |
สวดมนต์จบพลันมิทันช้า |
เอาน้ำชามาประเคนให้พระสงฆ์ |
ฉันแล้วลาไปดังใจจง |
ลุกลงบันไดไปกุฎี ฯ |
๏ ศรีประจันให้ยกทั้งหวานคาว |
เลี้ยงพวกเจ้าบ่าวอยู่อึงมี่ |
กินอิ่มแล้วพลันทันที |
เอาของที่แถมพกยกออกมา |
ตลับถมตะทองกระทงเมี่ยง |
มาวางเรียงส่งให้ได้พร้อมหน้า |
พอพลบค่ำยํ่าแสงสุริยา |
ขุนช้างไปเคหาด้วยทันที |
เจ้าพลายแก้วกับเหล่าเพื่อนบ่าวนั้น |
ก็พากันมาหาทองประศรี |
จึงพูดกับมารดาด้วยปรานี |
แล้วงานวันนี้จะอยู่ไย |
ช้างม้าวัวควายไร่นา |
ทั้งเคหาหามีใครอยู่ไม่ |
ทองประศรีตอบพลันทันใด |
ค่อยค่อยไปเถิดจะช้าสักห้าวัน |
ผู้คนทำงานพานเหนื่อยเหน็ด |
พึ่งจะเสร็จยังไม่ควรจะผายผัน |
เจ้าจงไปอยู่บ้านศรีประจัน |
ไปกินนอนอยู่นั่นเถิดเจ้าพลาย ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ครั้นเวลาล่วงแล้วตะวันบ่าย |
แต่งตัวสำอางแล้วย่างกราย |
ไปยังบ้านท่านยายศรีประจัน |
ขึ้นบนบันไดเข้าในหอ |
ก็พอสิ้นแสงสุริย์ฉัน |
นอนหอรอถ้วนกำหนดวัน |
แสนกระสันถึงเจ้าพิมพิลาไลย ฯ |
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน |
ครั้นถ้วนสามวันหาช้าไม่ |
ประโลมปลอบลูกน้อยกลอยใจ |
ด้วยไม่รู้กลมารยา |
โอ้เจ้าพิมนิ่มนวลของแม่เอ๋ย |
เจ้าไม่เคยให้ชายเสนหา |
ร้อยชั่งจงฟังคำมารดา |
นี่คู่เคยของเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว |
ร้อยคนพันคนไม่ดลใจ |
จำเพาะเจาะได้เจ้าพลายแก้ว |
แม่เลี้ยงไว้มิให้อันใดแพว |
แต่แนวไม้เปรียะหนึ่งไม่ต้องตัว |
ครั้นเติบใหญ่จะไปเสียจากอก |
แม่วิตกอยู่ด้วยเจ้าจะเลี้ยงผัว |
ฉวยขุกคำทำผิดแม่คิดกลัว |
อย่าทำชั่วชั้นเชิงให้ชายชัง |
เนื้อเย็นจะเป็นซึ่งแม่เรือน |
ทำให้เหมือนแม่สอนมาแต่หลัง |
เข้านอกออกในให้ระวัง |
ลุกนั่งนอบนบแก่สามี |
อย่าหึงหวงจ้วงจาบประจานเจิ่น |
อย่าก่อเกินก่อนผัวไม่พอที่ |
แม่เลี้ยงมาหวังว่าจะให้ดี |
จงเป็นศรีสวัสดิสุขทุกเวลา |
สอนลูกอยู่จนล่วงเข้ายามแล้ว |
เจ้าพลายแก้วจะคอยละห้อยหา |
โลมเล้าเอาใจให้ไคลคลา |
เข้าในหอเห็นหน้าเจ้าพลายน้อย |
เสียงกรุกเจ้าพลายลุกลงจากเตียง |
นางพิมเมียงแฝงแม่มาร่อยร่อย |
ชวาลาต้องหน้าเป็นนวลลอย |
พอปะตาก็ชม้อยละมุนลง |
นั่งแล้วจึงยายศรีประจัน |
ว่าฉันพาพิมขึ้นมาส่ง |
จงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงกันให้ยืนยง |
กว่าจะปลงชีวิตชีวาลัย |
ผิดพลั้งสั่งสอนกันก่อนหนา |
อย่าตีด่ากันมี่หาดีไม่ |
ค่อยอยู่เถิดมารดาจะลาไป |
นางพิมเหนี่ยวแม่ไว้ไม่วางมือ |
ฉุดชักผลักวุ่นจะหมุนวิ่ง |
แม่จะทิ้งฉันไว้ที่นี่ฤๅ |
ศรีประจันลวงนางให้วางมือ |
รื้อหับประตูห้องย่องออกไป ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ท่านผู้ใหญ่ไปแล้วยิ่งผ่องใส |
กระหยิ่มยิ้มด้วยเจ้าพิมพิลาไลย |
เข้านั่งแนบแอบใกล้แล้วกล่าววอน |
ร้อยชั่งนั่งนิ่งเสียไยเล่า |
ขอเชิญเจ้าร่วมมุ้งเสมอหมอน |
ร้อนฤๅจะกระพือให้พิมนอน |
พี่อยู่ก่อนคอยเจ้าถึงสามวัน |
ว่าพลางทางกระถดเข้านั่งชิด |
กอดสะกิดประทับแล้วรับขวัญ |
นั่งไยไปนอนเสียด้วยกัน |
สะดุ้งหวั่นจักจี้กระเดียมใจ ฯ |
๏ นางพิมยิ้มเยื้อนแล้วเบือนผัน |
ไฮ้อย่าเล่นเช่นนั้นทนไม่ได้ |
สะกิดสะเกาเซ้าซี้เฝ้าจี้ไช |
ไปนอนเถิดฉันไซร้ยังไม่นอน |
เจ้าพลายแก้วลุกไปเข้าในมุ้ง |
ยุงเจ้าเอ๋ยจุดเทียนมานี่ก่อน |
นางพิมยิ้มยืนขึ้นถอนกลอน |
ร้อนนักจักไปนั่งเล่นเย็นเย็น |
เสียงกรุกเจ้าพลายลุกฉวยชายผ้า |
ฟ้าผ่าเถิดเจ้าแก้วนี้ทำเข็ญ |
ไม่พอที่จู้จี้ช่างมาเป็น |
ใช่จะเร้นหนีไปไม่ยินยอม |
มาจับมือรื้อรบอยู่เร่าเร่า |
หิวเหมือนอยากข้าวเจียวฤๅหม่อม |
ร้อนเหลือเหงื่อตกกระปรกกระปรอม |
แป้งหอมน้ำอบจะลูบตัว |
เออเจ้าเอามาทากันเล่น |
พอเย็นเย็นใจมั่งจะยังชั่ว |
เปิดนมกลมปลั่งดังดอกบัว |
แต่มัวมัวยังอล่างกระจ่างตา |
จะหยิบแป้งฤๅมาแย่งผ้าห่มไว้ |
นี่อะไรจะรุ่งแล้วฤๅขา |
เมื่อหัวค่ำทำซึมไม่ลืมตา |
สะบัดหน้าวิ่งแร่ไปแต่ตัว |
เปิดโถน้ำอบตรลบกลิ่น |
รินมาให้มากจะฝากผัว |
เจ้าพลายย่องแอบหลังบังเงาตัว |
โอ๋ยรินรั่วเสียแล้วพิมยิ้มละไม |
มิใช่การวานอย่ามาจู้จี้ |
หกแล้วก็ยังมีจะรินใหม่ |
อย่ามากวนฉันหน่อยถอยออกไป |
ลูบไล้ตัวแล้วจะกลับมา |
เอามานี่เถิดพี่จะทาให้ |
ทาด้วยกันเถิดเป็นไรฟังพี่ว่า |
ว่าพลางทางละลายแป้งทา |
ผินหน้ามาจะผัดให้เป็นนวล |
จับพัดมากระพือให้แป้งแห้ง |
ดูดังแตงร่มใบเป็นนวลสงวน |
กอดเคล้าเย้าหยอกเฝ้ายียวน |
เอาแป้งประอกอวลตะลึงใจ |
ดูเวทนาเหลือนี่เนื้อแกล้ง |
แต่จะนั่งทาแป้งก็ไม่ได้ |
ทาตัวเข้าให้เย็นก็เป็นไร |
เหงื่อไคลตละน้ำน่ารำคาญ |
ไหนเหงื่อนี่เบื่อว่าเปล่าเปล่า |
นิจจาเจ้าลวงพี่จริงจริงจ้าน |
มาไปนอนอย่าให้วอนอยู่เนิ่นนาน |
กอดสะพานสะพักจูบแต่เบาเบา ฯ |
๏ นางพิมยิ้มค้อนด้วยงอนใจ |
ไฮ้เหงื่อไคลเปื้อนแก้มเขาแล้วเจ้า |
ไหนเหงื่อนี่ขาช่างว่าเดา |
ส่องกระจกดูเอาก็เป็นไร |
ในมุ้งนั่นแน่ยุงออกบินว่อน |
ไม่ไปดูเสียก่อนไม่นอนได้ |
ว่าพลางฟักฟูมอุ้มแอบไป |
แต่ผลักไสฉุดคร่าอย่าช้านาน |
ประคองขึ้นบนตักผลักไม่ไหว |
แนบชิดจิตรใจให้ฟุ้งซ่าน |
นางพิมป้องปัดสะบัดกราน |
เข้าในม่านเจ้าก็กราบลงทันใด ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วรับขวัญกระสันยิ้ม |
ประโลมพิมชื่นจิตรพิสมัย |
จูบผมชมชื่นระรื่นใจ |
ปราศรัยซิกซี้ด้วยปรีดา |
พูดพลอดกอดเคล้าเล่านิทาน |
พระอวตารตามนางมากลางป่า |
ข้ามฝั่งมายังเกาะลงกา |
ผลาญโคตรยักษาให้ตายเปลือง |
แสนยากลำบากด้วยนางงาม |
พระรามทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง |
สิบสี่ปีจึงได้นางมาคืนเมือง |
พอสิ้นเรื่องก็พอหลับลงด้วยกัน ฯ |