๏ จะกล่าวถึงเถรขวาดฉลาดเวท |
กระเดื่องเดชเชียงอินท์แผ่นดินไหว |
แต่รับนางสร้อยฟ้ามาเวียงชัย |
เปรียบดั่งไกรสรราชที่อาจอง |
ด้วยเจ้าลาวยกย่องสนองคุณ |
มีบุญยิ่งกว่าบรรดาสงฆ์ |
เป็นที่สังฆราชามลาว์วงศ์ |
ดำรงวัดพระธาตุราชอาราม |
ถวายเครื่องยศอย่างสังฆราช |
ตลกบาตรตาลิปัตรพัดย่าม |
ล้วนปักหักทองขวางสำอางงาม |
ขี่เรือม่านคานหามกั้นสัปทน |
เจ้าเชียงใหม่ให้ลาวเป็นเลกวัด |
เปลี่ยนผลัดเข้าเดือนอยู่เกลื่อนกล่น |
สานุศิษย์ใหญ่น้อยสักร้อยคน |
แต่เณรจิ๋วนั้นเป็นต้นต่างหูตา |
อยู่กุฎีสี่หลังดังตำหนัก |
ตะละตึกคึกคักแน่นหนา |
อัฒจันทร์ชั้นตั้งเครื่องบูชา |
ล้วนเครื่องแก้วกะหลาป๋าปากเลี่ยมทอง |
กระจกใหญ่ใส่เสาเข้าทุกทิศ |
หน้าต่างติดกระจกซุ้มคันฉ่อง |
เตียงจีนตีนตั้งสิงโตทอง |
เครื่องประดับสำหรับห้องก็พร้อมเพรียง ฯ |
๏ วันหนึ่งจึงพระสังฆราชเถร |
ฉันเพลแล้วออกไปในเฉลียง |
สานุศิษย์หมอบกลาดดาษระเบียง |
เอนตนลงบนเตียงพนักทอง |
ยกหมอนขวานอิงพิงกับอก |
หยิบกระจกกะหลาป๋าเอามาส่อง |
เลือดฝาดขึ้นหน้าเป็นนวลละออง |
ผิวผ่องเปล่งปลั่งกำลังดี |
เหลือบแลเห็นแผลหน้าผากยับ |
รอยเมื่อชุมพลจับสับด้วยกระบี่ |
ฉุนโกรธขึ้นพลันในทันที |
มึงดีละจะเล่นให้เห็นกัน |
จะลงไปกรุงศรีอยุธยา |
จับมันเข่นฆ่าให้อาสัญ |
ผลุดลุกจากเตียงเหวี่ยงหมอนพลัน |
งกงันเข้าไปในกุฎี |
จับจีวรห่มดองแล้วครองผ้า |
ร้องเรียกศิษย์หาอยู่อึงมี่ |
เณรพรมฉวยร่มกับพัชนี |
เณรสีตะพายย่ามตามอาจารย์ |
พวกเลกวัดจัดวอมารอท่า |
เถรขวาดยาตรามางุ่นง่าน |
ขึ้นวอหลังคาสีตะลีตะลาน |
หามลัดตัดบ้านเข้าวังใน |
ถึงประตูหูช้างที่ข้างหน้า |
ลงจากวอเดินมาหาช้าไม่ |
ขึ้นบนตำหนักพลันด้วยทันใด |
แล้วสั่งให้ไปทูลเจ้าสร้อยฟ้า ฯ |
๏ ครานั้นสร้อยฟ้ายาใจ |
อยู่ในตำหนักจันทน์หรรษา |
เลี้ยงบุตรสุดสวาดิไม่คลาศคลา |
จนลูกยาพลายยังเจริญวัย |
พอสาวใช้ไปแถลงแจ้งคดี |
พระครูบามาที่ตำหนักใหญ่ |
ก็จูงลูกพลายยงตรงออกไป |
นิมนต์ให้สังฆราชนั่งอาสนะ |
ถวายเภสัชตะบันแล้ววันทา |
เจ้าคุณอุตส่าห์มาสาธุสะ |
มานี่ด้วยมีกิจธุระ |
ฤๅว่าจะประโยชน์สิ่งอันใด ฯ |
๏ เถรขวาดถอนใจถวายพร |
ว่าทุกข์ร้อนรูปนี้มีข้อใหญ่ |
ทุกวันนี้ภายนอกดอกเป็นใย |
แต่ภายในชอกช้ำทุกค่ำเช้า |
จะขบฉันอันใดก็เต็มกลืน |
ผวาตื่นอกใจให้ร้อนเร่า |
ถ้าเป็นอย่างนี้ไปไม่บรรเทา |
เห็นจะเข้าอติสารอาการตาย |
รูปมาหมายจะลาองค์เจ้าแม่ |
ไปคิดแก้ทุกข์ร้อนพอผ่อนหาย |
อย่าห้ามไว้ให้ชีวันอันตราย |
โฉมฉายได้เมตตาแก่อาจารย์ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า |
ได้ฟังเถรขวาดว่าน่าสงสาร |
ฉันถวายตัวมาก็ช้านาน |
มีเหตุการจงเล่าให้เข้าใจ |
ที่ห้ามปรามแต่หลังเคยรั้งเหนี่ยว |
ก็ครั้งเดียวเมื่อจะลงไปเมืองใต้ |
จะแก้แค้นขุนแผนกับพระไวย |
ห้ามไว้เพราะสงสารเจ้าพลายยง |
ด้วยกลัวลูกยากำพร้าพ่อ |
จึงได้ขอร้องห้ามความประสงค์ |
ถ้ามิให้พระไวยนั้นปลดปลง |
จะลงไปก็ตามแต่ความคิด ฯ |
๏ ครานั้นท่านสังฆราชา |
ได้ฟํงนางว่าก็สมจิตร |
ค่อยกระถดเข้าไปให้ใกล้ชิด |
กระซิบว่าข้านี้คิดอยู่ค่ำเช้า |
ยังแค้นใจไอ้ชุมพลมิรู้สิ้น |
มันดูหมิ่นมากมายให้อายเขา |
แต่เกิดมายังมิให้ใครดูเบา |
จะให้มันทำเปล่าก็เต็มที |
ถ้ามิได้ทดแทนให้แค้นหาย |
จะชอกช้ำจำตายไปเป็นผี |
จึงหมายว่าจะแกล้งแปลงอินทรีย์ |
เป็นกุมภีร์ลงไปในอยุธยา |
จะทำเสียให้วุ่นขุ่นทั้งกรุง |
เอาให้ยุ่งถึงสมเด็จพระพันวษา |
อันคนดีที่ไหนใครจะมา |
คงอาสาแต่อ้ายพลายชุมพล |
จะล่อมันลงน้ำทำให้ถนัด |
ขบกัดตามสบายให้ตายป่น |
ถ้าได้เสร็จสมหมายวายทังวล |
จะได้อยู่เมืองบนสบายใจ |
อันตรงที่พระนายของพลายยง |
รูปหาคิดปลิดปลงชีวิตไม่ |
เข้ามาหวังว่าจะลาไป |
จงอวยชัยให้สำเร็จเจตนา ฯ |
๏ ครานั้นสร้อยฟ้านารี |
ฟังเถรยินดีหัวเราะร่า |
ด้วยอาฆาตชุมพลแต่ไรมา |
พอเถรว่าก็เหมือนเกาเข้าที่คัน |
ถ้าคุณฆ่าอ้ายชุมพลคนนี้ได้ |
จะขอบคุณเหมือนให้ไปสวรรค์ |
คุณจะเอาสิ่งใดจะให้ปัน |
เว้นแต่ดาวเดือนตะวันแลจนใจ |
แต่ตัวคุณนั้นชราอย่าประมาท |
อ้ายชุมพลเก่งกาจเป็นไหนไหน |
ครั้งมันแกล้งแปลงมารบพระไวย |
มันยังไล่บุกป่ามาแต่ตัว |
เจ้าอุบายถ่ายเทก็ไม่เล่น |
เคยเห็นเมื่อมันปลอมล้อมท่านขรัว |
หากคุณเป็นอย่างยอดจึงรอดตัว |
ถ้าชั่วก็คงยับไม่กลับมา ฯ |
๏ เถรขวาดตอบว่าแม่อย่าพรั่น |
มิให้มันทำร้ายให้ขายหน้า |
ถึงตัวแก่อย่างนี้แลสีกา |
แต่ฝ่ายข้างทางวิชายังว่องไว |
คราวนั้นไม่รู้ตัวมัวกินเหล้า |
มันจึงเข้ามาตะครุบเอาไปได้ |
ถ้าคนอื่นหมื่นพันก็บรรลัย |
ถึงรูปพลาดพลั้งไปไม่เสียที |
ได้เล่นกันซึ่งหน้าแล้วอย่าพรั่น |
ต่อให้มันขี่คอทั้งพ่อพี่ |
จะทำเสียให้เห็นเป็นภัสม์ธุลี |
ถ้าไม่ดีแม่อย่ารับเอากลับมา |
พรุ่งนี้อาตมาจะลาไป |
ด้วยว่าได้ฤกษ์เก้าเป็นเสาร์ห้า |
จะรีบตรงลงไปอยุธยา |
ไม่ช้าคงจะเสร็จสำเร็จการ |
๏ ครานั้นสร้อยฟ้านารี |
อัญชลีอวยพรสุนทรสาร |
ให้คุณเรืองฤทธิไกรไชยชาญ |
ใครใครอย่าได้ทานกำลังฤทธิ |
ขอให้ปราบศัตรูหมู่ร้าย |
แพ้พ่ายบรรลัยได้ดังจิตร |
ประสงค์ใดให้สมอารมณ์คิด |
สำเร็จกิจกลับมาอย่าช้านาน ฯ |
๏ เถรขวาดรับคำแล้วอำลา |
ค่อยอยู่เถิดสีกากับพลายหลาน |
ผุดลุกจากที่ตะลีตะลาน |
ออกทวารขึ้นวอจรจรัล |
ศิษย์ถือร่มย่ามตามมาปร๋อ |
เลกวัดหามวอขมีขมัน |
ครู่หนึ่งมาถึงกุฎีพลัน |
ขึ้นอัฒจันทร์เยื้องย่องเข้าห้องใน |
ผลัดผ้าไตรกองครองผ้าเก่า |
ร้องเรียกเจ้าเณรจิ๋วเข้ามาใกล้ |
เอ็งคอยดูศิษย์หาต่างตาใจ |
กูจะไปอยุธยาธานี |
ไปแก้แค้นแทนทดอ้ายพลายชุมพล |
จะทำเสียให้ป่นจนเป็นผี |
สมคิดแล้วจะมาไม่ช้าที |
ในสิบห้าราตรีจะกลับมา |
อยู่หลังกูจะสั่งให้เสร็จสรรพ |
คอยระวังนั่งนับวันไว้ท่า |
ถ้าเห็นการนานเนิ่นเกินสัญญา |
อย่าช้าตามไปให้ทันที ฯ |
๏ ครานั้นเณรจิ๋วคนฉลาด |
ฟังเถรขวาดนึกพรั่นขวัญหนี |
นี่อย่างไรพระครูอยู่ดีดี |
จะวิ่งรี่ตั้งหน้าไปหาภัย |
คิดพลางทางตอบพระอาจารย์ |
จะฮึกหาญไปอย่างนี้หาดีไม่ |
อ้ายชุมพลคนคะนองมันว่องไว |
เราเคยได้เห็นชัดถนัดตา |
ฤทธิเดชเวทมนตร์กลใดใด |
ที่พระครูทำได้มันไวกว่า |
คนดีมีไม่สิ้นอยุธยา |
อย่าชะล่าใจนักจักเสียที |
เมื่อแก่เถ้าเข้าเรือนแปดสิบปลาย |
แสนสบายยศศักดิก็ถึงที่ |
อยู่ไปได้อิกสักกี่ปี |
ถึงเพียงนี้ไม่รู้จักรักสบาย |
นั่งกินนอนกินจนสิ้นชีวิต |
ใครควรคิดพยาบาทมาดหมาย |
จะไปไยให้ยากลำบากกาย |
อยู่ตายในเชียงใหม่ได้เข้าเมรุ ฯ |
๏ เถรขวาดฟังว่านั่งหน้านิ่ว |
ทุดอ้ายจิ๋วขี้ขลาดประมาทเถร |
ถืออ้ายพลายฝ่ายเดียวเจียวเจ้าเณร |
กูไม่จัดชัดเจนฤๅออย่างไร |
ถึงมีฤทธิเรี่ยวแรงแข็งเป็นเหล็ก |
มันก็เด็กเล็กลูกกะหำใส |
มันจะรู้ลึกซึ้งถึงเพียงใด |
ปากไอยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม |
เพราะมึงขลาดพลาดให้มันจับตัว |
เลยหดหัวกลัวมันเป็นกุ้งต้ม |
หากกูเมางัวเงียเสียอารมณ์ |
ว่าคาถาอาคมจึงฟั่นเฟือน |
ถ้าดีอยู่อย่างนี้แล้วที่ไหน |
จะฟันให้คอขาดลงกลาดเกลื่อน |
เอ็งอยู่ดูกุฎีสักครึ่งเดือน |
ถ้าเห็นช้าอย่าเชือนรีบไปตาม ฯ |
๏ เณรจิ๋วขนพองสยองหัว |
นึกกลัวเถรขวาดไม่อาจห้าม |
ประนมมืออวยพรอ่อนตาม |
ให้สมความคิดไว้ไปเถิดซิ |
ไชยะให้ชนะพลายชุมพล |
ให้เล่ห์กลสมหวังดังดำริ |
ให้ฟุ้งเฟื่องเรืองฤทธิประสิทธิ |
ฉันจะอยู่ดูกุฎิต่างหูตา ฯ |
๏ พระครูเถรฟังเณรอนุญาต |
ถูกใจสังฆราชหัวเราะร่า |
ด้วยคราวนั้นเถรขวาดขาดชะตา |
ให้นึกว่าได้ทีไม่มีแพ้ |
จึงหยิบเครื่องรณรงค์ยงยุทธ |
สายตะกรุดประคำทองของเก่าแก่ |
มงคลคุ้มเสนียดประเจียดแพร |
ปรอทแร่เครื่องรางอย่างสำคัญ |
ยัดใส่ย่ามน้อยห้อยหัวไหล่ |
ผลัดสบงทรงสไบเข้าให้มั่น |
ห่มดองแล้วคาดราตคดพัน |
ตรงเข้าที่อัฒจันร์วันทาลา |
จับไม้เท้าก้าวเยื้องขยับกาย |
เห็นจิ้งจกตกตายลงต่อหน้า |
นกแสกแถกเสียดศีรษะมา |
หลวงตานิ่งขึงตะลึงคิด |
เอ๊ะอย่างไรท่าทางเป็นลางร้าย |
ระงับกายกลับนั่งลงตั้งจิตร |
หลับตาร่ายคาถาแก้นิมิต |
ขยับยืนยักทิศไปอุดร |
ก้าวลงอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง |
งูเห่าลางเลื้อยฟู่ชูหัวร่อน |
แผ่แม่เบี้ยขวางทางหนทางจร |
เถรเห็นสังหรณ์เป็นลางร้าย |
กอดอกยกเมฆดูนิมิต |
ก็วิปริตเป็นรูปคนหัวหาย |
จะยกต่อคอแขนไม่ติดกาย |
เถรสำคัญมั่นหมายไม่คืนมา |
ครั้นจะถอยสร้อยฟ้าจะว่าขลาด |
เป็นชาติลูกผู้ชายตายดาบหน้า |
กัดฟันกลั้นใจแล้วไคลคลา |
ตรงเข้าป่าช้าด้วยทันที |
ขัดสมาธิสมาธิสติมั่น |
ปลุกเสกเลขยันต์น้ำมันผี |
ครั้นสำเร็จเสร็จแสร้งแปลงอินทรีย์ |
รูปตาชีก็หายกลายเป็นแร้ง |
สองเท้าถีบดินบินกระโชก |
หางโบกหัวเกลี้ยงเหนียงแกว่ง |
ปากมุ้มมู่ทู่สองหูแดง |
ลมแรงร่อนมุ่งกรุงอยุธยา ฯ |
๏ โผลงตรงเหนือเมืองอ่างทอง |
พอเยื้องคลองบางแมวเป็นแนวป่า |
แร้งหายกลายรูปเป็นหลวงตา |
ลงนั่งนิ่งภาวนาร้อยแปดที |
เสกไม้เท้าต่อหางที่กลางตัว |
แล้วเอาบาตรสวมหัวเข้าเร็วรี่ |
เผ่นโผนโจนผางกลางนที |
ก็กลายเป็นกุมภีร์มหิมา |
เขี้ยวขาวยาวออกนอกปากโง้ง |
ฟาดโผงร้องเพียงเสียงฟ้าผ่า |
โตใหญ่ตัวยาวสักเก้าวา |
ขึ้นวิ่งร่าหลังน้ำด้วยลำพอง |
ท่านผู้ฟังถ้วนหน้าอย่าสงสัย |
เดิมจะได้ตั้งย่านเป็นบ้านช่อง |
เพราะเถรขวาดแปลงกายร้ายคะนอง |
จึงเรียกบ้านจระเข้ร้องแต่นั้นมา |
เดี๋ยวนี้มีหลักแหล่งแขวงอ่างทอง |
บ้านช่องเป็นปึกแผ่นยังแน่นหนา |
ตั้งนามตามนิทานเพราะขรัวตา |
จึงได้ปรากฏตำบลจนทุกวัน ฯ |
๏ ครานั้นกุมภาหลวงตาขวาด |
เอาหางฟาดเฟือยฝั่งดังสนั่น |
ใหญ่ยาวราวพระยาชาละวัน |
ครื้นครั่นสนั่นก้องลำพองกาย |
เหล่าจระเข้เก่าเป็นเจ้าถิ่น |
บ้างมุดดินซ่อนตัวซุกหัวหาย |
บ้างลงหนองหนีตัวด้วยกลัวตาย |
บ้างตะกายขึ้นบกมุดรกไป |
พ้นบ้านตลาดกรวดรวดเร็วมา |
ควายช้างขวางหน้าเข้าไม่ได้ |
ฟาดฟัดกัดตายก่ายกันไป |
เลยไล่ล่องน้ำร่ำลงมา |
ครู่หนึ่งถึงหน้าเมืองอ่างทอง |
โบกหางครางร้องคะนองร่า |
พอชาวบ้านลงตะพานมาล้างปลา |
เข้าคาบคร่าลงน้ำแล้วดำทวน |
โบกหางวางทะลึ่งขึ้นครึ่งกาย |
ชูศพขึ้นถวายพระอิศวร |
คาบผีรี่มาที่หน้าจวน |
ฟัดฟาดขาดด้วนกระเด็นไป |
รั้วแขวงกรมการชาวบ้านช่อง |
วิ่งร้องตัวสั่นอยู่หวั่นไหว |
เห็นจระเข้คาบคนบนบันได |
เอาออกไปฟาดผางกลางคงคา |
ฝูงคนบนตลิ่งวิ่งสอสอ |
มดหมออยู่ที่ไหนก็ไปหา |
หมอที่ไม่มีครูงูงูปลาปลา |
นึกจะมาแทงเล่นอย่างเช่นเคย |
ที่หมอเก่าเข้าใจไปห้ามกลุ้ม |
เมินเสียเถิดเจ้าหนุ่มเหล่านี้เอ๋ย |
จระเข้นี้ใหญ่อย่าไปเลย |
เอาคางเกยก็จะล่มจมน้ำไป |
เหมือนอย่างคำบุราณท่านย่อมว่า |
ถ้าสามวาแล้วมีฤทธินิมิตได้ |
นี่มันเกินสามวากว่าขึ้นไป |
เวทมนตร์เห็นจะไม่ถึงใจมัน |
อ้ายลางคนเห็นจริงวิ่งกลับมา |
ได้ยินว่านึกกลัวจนตัวสั่น |
ลางคนเชื่อฝีมือยังดื้อดัน |
ถึงชาละวันก็เล่นจะเป็นไร |
ถือชนักหยักรั้งนั่งหัวเรือ |
คนข้างท้ายพายเฝือหาหยุดไม่ |
จระเข้ท่องฟ่องฟูคอยดูใจ |
พอเข้าใกล้เพื่อนก็พุ่งผลุงกระท้อน |
ซ้ำใส่เข้าอิกเล่มให้เต็มแรง |
จระเข้แว้งเอาชนักหักสองท่อน |
สิ้นชนักชักหอกตอกกะดอน |
จระเข้ย้อนกลับมาอ้าปากแดง |
เรือหมอพายมาสามวาปลาย |
กับคนพายห้าเล่มล้วนเข้มแข็ง |
จระเข้งับปับเดียวด้วยเรี่ยวแรง |
ทั้งเรือคนป่นเป็นแป้งเข้าปากไป |
เรือคนหกนายพายห้าเล่ม |
ยังไม่เต็มแก้มดีกุมภีล์ใหญ่ |
เอาไปดำสำรอกเสียทันใด |
กดลงไว้ใต้น้ำดำเลยมา |
ผู้คนบนตลิ่งวิ่งสอสอ |
เห็นจระเข้กินหมอเสียหนักหนา |
ต่างคนย่นย่อไม่รอรา |
ฉาวฉ่าไปทุกแห่งแขวงอ่างทอง |
เขมรมอญลาวชาวป่าดอน |
ฦๅกระฉ่อนไปทั้งหมดสยดสยอง |
ไม่อาจลงอาบน้ำในลำคลอง |
จระเข้ล่องเลยมาในสาคร ฯ |
๏ ถึงที่เปลี่ยวเหลียวดูไม่เห็นเรือน |
ค่อยค่อยเลื่อนลอยไปเหมือนไม้ขอน |
ถ้าเห็นบ้านเรือนคนที่บนดอน |
ก็ทำอิทธิ์ฤทธิรอนเข้ารุกราน |
พอจวนรุ่งเที่ยวมาหาที่เปลี่ยว |
เถรเที่ยวบิณฑบาตที่บนบ้าน |
ได้จังหันฉันแล้วตะลีตะลาน |
โจนลงชลธารเป็นกุมภา |
ถ้าบ้านไหนเถรได้บิณฑบาต |
บ้านนั้นเป็นอันขาดไม่เข่นฆ่า |
ไม่รีบรัดค่อยค่อยลอยล่องมา |
ปรารถนาจะให้เรื่องนั้นเลื่องฦๅ |
ถึงบ้านแหแร่ร้องก้องกระหึ่ม |
รางควานพึมพูดกันสนั่นอื้อ |
ครั้นมาถึงย่านบ้านสะตือ |
ก็มุดน้ำดำทื่ออยู่ใต้น้ำ |
พอชาวบ้านเลิกนากลับมาเรือน |
ลงล้างเปื้อนที่ตีนท่าอยู่คลาคล่ำ |
เถรก็ผุดผลุดโผล่ขึ้นจากน้ำ |
ตะกายย่ำขึ้นบนโคลนโจนกระโจม |
เข้าไล่คนปากกัดหางฟัดฟาด |
ทำอำนาจราชศักดิเข้าหักโหม |
ได้สามคนคาบตรงลงน้ำโครม |
ถาโถมถีบดำล่องน้ำไป |
ทำอำนาจฟาดฟัดกัดขบ |
ซ่อนศพเสียทั้งสิ้นหากินไม่ |
ขบกัดขัดเสียที่รากไทร |
แล้วเลยไล่ล่องน้ำร่ำตะบึง |
เที่ยวท่องล่องโร่มาโพธิสระ |
ปะหลวงตาบิณฑบาตฟาดดังผึง |
ขบกัดสะบัดเถรขึ้นเลนตึง |
บนตลิ่งวิ่งอึงทั้งหญิงชาย |
เรือแพใหญ่น้อยถอยเข้าคลอง |
ไม่อาจล่องลอยน้ำระส่ำระสาย |
พ่วงกันพันพัวด้วยกลัวตาย |
จระเข้ร้ายถึงย่านบ้านระกำ |
มาถึงนั่นตะวันพอตกบ่าย |
เข้าไล่ควายลงท่าออกคลาคล่ำ |
จระเข้ท่องล่องลอบมาใต้น้ำ |
ดำลอดไปทะลึ่งขึ้นกึ่งกลาง |
ควายเปลี่ยวเลี้ยวขวิดด้วยเขาขวับ |
จระเข้งับคอขาดฟาดด้วยหาง |
คาบควายว่ายวู่ชูลูกคาง |
สะบัดขว้างขึ้นบกตกบนโคลน |
คนบนบกหกล้มลงจมเลน |
จระเข้เถรขึ้นบกทำผกโผน |
เข้าไล่คนบนตลิ่งวิ่งออกโซน |
ถึงท้ายคุ้งพุ่งโจนลงน้ำครืน |
ทำอำนาจฟาดหางอยู่กลางน้ำ |
โผมุดผุดดำน้ำเป็นคลื่น |
คนบนบกหกล้มลงทั้งยืน |
กำลังตื่นวิ่งทะลึ่งออกตึงตัง ฯ |
๏ มาถึงบางเทวาท้ายป่าโมก |
จระเข้โบกหางหันเข้าแฝงฝั่ง |
ที่นั่นน้ำลึกนักตระพักพัง |
เข้าเฟือยฟังแยบคายอยู่ท้ายวัด |
เป็นเทศกาลชาวบ้านมาไหว้พระ |
เสียงเอะอะเรือแพออกแออัด |
แข่งกันไปมาอยู่หน้าวัด |
บ้างซัดเพลงปรบไก่ใส่เพลงเรือ |
นางสาวสาวโอ่อวดประกวดกัน |
ห่มสีสันม่วงไหมล้วนใส่เสื้อ |
เอาโตกตั้งทั้งคู่อยู่ท้ายเรือ |
บ้างปูเสื่อปูหนังตั้งหมอนอิง |
เจ้าหนุ่มหนุ่มรักสนุกมาทุกบ้าน |
ดาดเพดานตลอดลำทำสุงสิง |
ปูเสื่ออ่อนหมอนขวางมาตั้งอิง |
พายเที่ยวเกี้ยวผู้หญิงรอบรอบไป |
เรือเจ้าพวกขี้เมาขวดเหล้าวาง |
โต๊ะจีนตั้งกลางเอาแกล้มใส่ |
เอาดอกดาวเรืองร้อยห้อยหูไว้ |
ล้วนแต่ตัดผมใหม่ใส่ขาวม้า |
เจ้าเณรพระสงฆ์ลงเรือโขน |
ยาวโยนเกรียวกราวอยู่ฉาวฉ่า |
ยังพวกนางสาวสาวชาวแม่ค้า |
ผัดหน้ากันไรใส่เสื้อแพร |
ขายกล้วยทอดส้มขนมจีน |
เอาโตกตีนช้างตั้งไว้แต่งแง่ |
ผู้คนบนวัดก็อัดแอ |
เรือพ่วงกันเป็นแพออกแซ่เซ็ง |
พวกหัวไม้ลอยชายออกกกรายกรีด |
เหน็บมีดขวานคร่ำทำก๋าเก่ง |
เข้าในวัดยัดเยียดเบียดตะเบ็ง |
สาวสาวกลัวนักเลงลงนาวา ฯ |
๏ ครานั้นกุมภาหลวงตาขวาด |
เห็นเรือดาษไปทั้งแดนออกแน่นหนา |
ออกจากเฟือยเลื้อยดำใต้น้ำมา |
ทะลุถลาโลดผางขึ้นกลางคน |
ตีนตะกายปากกัดหางฟัดฟาด |
ตัวขาดคอพับลงยับย่น |
เกรียวกรีดหวีดวิ่งออกอลวน |
โจนประจญเรือล่มจมระเนน |
ปะแม้ค้าขนมจีนฉวยตีนลาก |
มันเคยปากร้องว้ายควายตาเถร |
โดดขึ้นบนตลิ่งวิ่งร้องเกน |
ลุยเลนผ้าหลุดฉุดแต่ชาย |
จระเข้ตรงเข้าในวงเพลงครึ่งท่อน |
ผู้หญิงทิ้งผ้าผ่อนล้มนอนหงาย |
สิ้นสติลืมตัวด้วยกลัวตาย |
เวยวายวิ่งเม้าเป็นเต่านา |
พวกเจ้าเพลงผู้ชายก็วายวุ่น |
โดดผลุนวิ่งแต้ทั้งแก้ผ้า |
อารามกลัวโทงเทงปุเลงมา |
โดนเอานางเต่านาเข้าต้ำปึง |
หญิงล้มชายคะมำคว่ำลงไป |
ผลักไสเหวี่ยงวางอยู่ผางผึง |
หญิงดิ้นชายดันกันตะบึง |
รู้สึกกายอายทะลึ่งไปจากกัน |
จระเข้คาบได้นางแม่ค้า |
ทำศักดาโดดดำแม่น้ำลั่น |
อมแต่หัวตัวออกไว้นอกฟัน |
คนบนบกอกสั่นทุกคนไป |
จระเข้คาบผู้หญิงวิ่งแหวกว่าย |
ชูถวายพระอิศวรทวนน้ำไหล |
เห็นแต่คนก้นขาวเท้าแกว่งไกว |
จนใจไม่อาจแก้แต่สักคน ฯ |
๏ จระเข้ล่องมาทางบางโผงเผง |
เห็นฝูงเป็ดฟาดเป้งลงตายป่น |
ผุดดำร่ำมาในสาชล |
จนกระทั่งบ้านกุ่มซุ่มในรก |
นางสาวสาวชาวบ้านมาอาบน้ำ |
ขรัวตาดำเข้าไปโผล่โผผงก |
หวีดผวาผ้าหลุดมุดเข้ารก |
เอามือปกเป็นจับปิ้งวิ่งขึ้นตะพาน |
จระเข้ไม่ทำดำต่อมา |
คนระอาออกชื่อฦๅทุกบ้าน |
ล่องเลยลงมาหน้าบางบาน |
ตรงเข้าบ้านผีมดกดเอากระบือ |
อ้ายมะเดื่อเงื้อถ่อขึ้นแทงปราด |
จระเข้ฟาดหัวเด็ดกระเด็นปรื๋อ |
อีเม้ยโดดดิ้นแหยวแจวหลุดมือ |
ร้องอึงอื้ออุยย่ายตะกายกะกุย |
ถึงหัวตะพานกบเจาเข้าบ้านตึก |
ไล่สะอึกเอาผู้หญิงวิ่งผ้าลุ่ย |
ลงลุยเลนเบนว่ายกระจายกระจุย |
โคลนมันดูดปรูดปรุยเปรอะทั้งกาย |
ความกลัวกุมภาประดาเสีย |
ปลกเปลี้ยตีนอ่อนลงนอนหงาย |
ข้างเจ้าผัวกลัวเมียจะล้มตาย |
มือตะกายเสือกก้นขึ้นบนดอน ฯ |
๏ ตั้งแต่อ่างทองสองฟากท่า |
กลัวกุมภาทั่วหมดสยดสยอน |
เรือแพก็ขยาดไม่อาจจร |
ฦๅกระฉ่อนชาวบ้านสะท้านใจ |
มดหมอมาดูก็สั่นหัว |
ด้วยเห็นตัวกุมภานั้นโตใหญ่ |
แต่ชั่วปู่ชั่วย่ามาแต่ไร |
ก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนเช่นนี้ |
โจษกันจอแจออกแซ่ซ้อง |
เถรก็ล่องมากระทั่งถึงกรุงศรี |
ฟาดฟันกัดคนเป็นภัสม์ธุลี |
ชาวบุรีเล่าฦๅอื้ออึงไป |
แล้วเลยลงมาหน้าบ้านป้อม |
แกคอยด้อมดอดฉวยเอาคนได้ |
ขบกัดขัดเสียที่รากไทร |
แล้วเลยไล่เรือมาภูเขาทอง |
คนเห็นกุมภานั้นกล้าหาญ |
ชายหญิงวิ่งพล่านทุกบ้านช่อง |
ถึงแพเจ๊กจอดหน้าท่าการ้อง |
ขึ้นคาบเมียเจ๊กจ๋องเจ้าน้ำมัน |
อ้ายผัวร้องไอ๊ย่าวิ่งมาช่วย |
จระเข้ฉุดเจ๊กฉวยบั้นเอวมั่น |
จนผ้าผ่อนล่อนลุ่ยจากพุงพัน |
อ้ายผัวหันหน้าจ้องร้องไห้งอ |
จระเข้เถรเห็นเจ๊กมันร้องไห้ |
นึกขันกลั้นไม่ได้ก็หัวร่อ |
พอปากอ้าเจ๊กคร่าไม่รารอ |
เมียก็พอหลุดได้ไม่ถึงตาย |
จระเข้ลงจากแพแร่เร็วมา |
พบแม่ค้าคอนของมาร้องขาย |
พอร้องเหนอผุดเถ่อขึ้นข้างท้าย |
ตีนตะกายปากกัดฟัดระยำ |
เรือนางญวณยืนแจวแหยวแหยวมา |
จระเข้คว้าแจวปับงับขย้ำ |
แว้งผางหางฟาดลงกลางลำ |
ญวนคะมำล้มอักคร่อมหลักแจว |
ทะลุมิดติดหลังชักไม่ไหว |
เลือดไหลรินรินลงดิ้นแด่ว |
อ้ายเจ้าผัวตกประหม่าตาแบ้งแบว |
ร้องแต่แจ๊วกำจุ่นหมุนอยู่ในเรือ |
ชาวเรือแพชุลมุนวุ่นวาย |
จระเข้ฉิบหายร้ายกว่าเสือ |
ใครไม่อาจค้าขายลงพายเรือ |
เรือเหนือใหญ่น้อยถอยเข้าคลอง |
จระเข้เถรเห็นคนพากันกลัว |
ขึ้นลอยตัวผ่านมาหน้าบ้านช่อง |
แว้งหางกลางน้ำทำคะนอง |
ลอยล่องเลยมาหน้าตำหนักแพ |
พวกข้าราชการสะท้านใจ |
เจ๊กลาวแขกไทยก็เซ็งแซ่ |
ริมตลิ่งเยียดยัดอยู่อัดแอ |
ตำรวจแร่วิ่งเหย่าเข้าวังใน |
บ้างตรงมาที่ศาลาลูกขุน |
ไปกราบเรียนเจ้าคุณท่านผู้ใหญ่ |
ว่ามีกุมภากล้าเหลือใจ |
มาเที่ยวไล่นาวาหน้าโรงเรือ |
มันยาวใหญ่ได้ประมาณสักสิบวา |
ฦๅข่าวเล่าว่ามาแต่เหนือ |
เที่ยวกินสัตว์กัดคนจนเป็นเบือ |
เห็นโตเหลือเกินขนาดชาติกุมภา ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณอธิบดี |
ได้ยินว่ากุมภีล์นั้นเหลือกล้า |
กระทำฤทธิกินคนจนพารา |
ต้องกราบทูลพระกรุณาฝ่าธุลี |
คิดพลางทางนุ่งผ้าสมปัก |
ชักผ้ากราบพันขมันขมี |
เข้าท้องพระโรงพลันอัญชลี |
กราบทูลพระภูมีมิได้ช้า |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงเดช |
ปิ่นปักนัคเรศนาถา |
บัดนี้เกิดมีซึ่งกุมภา |
ลงมาแต่เหนือว่าเหลือร้าย |
แต่ศีรษะยาวกว่าห้าศอกเศษ |
ทำฤทธิเดชกินคนเสียมากหลาย |
เข้ามาลอยล่องลำพองกาย |
ขึ้นว่ายทวนคงคาหน้าโรงเรือ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
สำคัญคิดว่ากุมภามาแต่เหนือ |
เที่ยวกินสัตว์กัดคนป่นเป็นเบือ |
มันใหญ่เหลือขนาดชาติกุมภีล์ |
ละไว้ไพร่บ้านพลเมือง |
จะขุ่นเคืองยับยุ่งทั้งกรุงศรี |
จึงดำรัสตรัสสั่งอธิบดี |
ให้หาหมอกุมภีล์ที่สำคัญ |
ทั้งหมอหลวงเชลยศักดิให้หนักหนา |
ช่วยกันจับกุมภามาห้ำหั่น |
ใครจับได้กูจะให้ซึ่งรางวัล |
อย่าให้มันหนีได้ไปเดี๋ยวนี้ ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ได้รับสั่ง |
บังคมคล้อยถอยหลังออกจากที่ |
สั่งกรมเมืองพลันในทันที |
ให้หาหมอกุมภีล์ที่สำคัญ |
กรมเมืองรีบมาเที่ยวหาหมอ |
สอสอหมอมาขมีขมัน |
ดีใจอยากได้ซึ่งรางวัล |
สำคัญว่ากุมภีล์ที่เคยแทง |
เอาเครื่องคาดพุงนุ่งสนับเพลา |
ราตคดคาดเข้าให้เข้มแข็ง |
มงคลสวมศีรษะทะมัดทะแมง |
ถือชนักกวัดแกว่งลงนาวา |
พร้อมกันทันทียี่สิบลำ |
เหนือน้ำใต้น้ำขนานหน้า |
ประนมมือถือชนักนั่งจังกา |
ภาวนาสาดน้ำร่ำเข้าไป ฯ |
๏ ครานั้นกุมภาหลวงตาขวาด |
ไม่ขยาดอาคมหาจมไม่ |
ดูหมอมันจะมาทำท่าไร |
แกล้งลอยฟูดูใจไม่ไหวตัว |
พวกหมอออกขยาดไม่อาจใกล้ |
เห็นยาวใหญ่ให้ขยั้นสั่นหัว |
เขี้ยวงอกกลอกตาดูน่ากลัว |
บ้างโย้ตัวเยื้องพุ่งแต่ไกลไกล |
กูพุ่งเอ็งพุ่งเสียงผลุงผลัง |
กระทบหนังกระท้อนเปล่าหาเข้าไม่ |
เปลี่ยนลำพุ่งซ้ำกระหน่ำไป |
เถรแกล้งนิ่งไว้ให้สิ้นชนัก |
หมอเห็นจระเข้นิ่งยิ่งเข้าใกล้ |
ชักหอกแทงไปจนกั่นหัก |
ไม่เข้าหนังสักนิดผิดใจนัก |
ราวกับพุ่งซุงสักสิ้นกำลัง ฯ |
๏ ครานั้นกุมภาหลวงตาเวท |
สำแดงเดชโดดปราดฟาดปั๋งปั๋ง |
แว้งวัดฟัดขย้ำด้วยกำลัง |
เรือแตกพังระทมล่มทุกลำ |
ชุลมุนหมุนกลมดังลมกรด |
พวกหมอมดทั้งหลายลงว่ายคล่ำ |
แว้งผางหางฟาดขาดระยำ |
ตายระทมจมน้ำสิ้นทุกคน |
ฝูงคนบนตลิ่งทั้งหญิงชาย |
เห็นพวกหมอทั้งหลายตายเกลือนกล่น |
สยดสยองพองหัวทุกตัวคน |
จระเข้ไม่ฟังมนตร์เห็นพ้นคิด |
พวกขุนนางน้อยใหญ่ที่ไปดู |
ก็เต้นอยู่บนตะพานสะท้านจิตร |
บ้างก็วิ่งมาเฝ้าเจ้าชีวิต |
กราบทูลมูลกิจพระโองการ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทราบเหตุว่ากุมภานั้นกล้าหาญ |
มดหมอมากมายก็วายปราณ |
ดูอาการวิปริตผิดท่วงที |
จระเข้อะไรใหญ่นักหนา |
อาจองลงมาจนถึงนี่ |
สิ้นมือหมอมดหมดธานี |
ไม่เคยเห็นเช่นนี้แต่ก่อนมา |
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกจมื่นไวย |
เฮ้ยอย่างไรกุมภีล์นี้เหลือกล้า |
เอ็งสิเป็นคนดีมีวิชา |
จะคิดอ่านเข่นฆ่ามันอย่างไร ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ |
ชาญฉลาดตรึกตราหาช้าไม่ |
จระเข้นี้มีฤทธิเห็นผิดใจ |
จะมิใช่กุมภาที่สามัญ |
อย่าเลยจะกราบทูลฉลอง |
เปิดช่องให้ชุมพลคนขยัน |
ให้ได้มีความชอบประกอบครัน |
คิดแล้วเท่านั้นก็ทูลไป |
ขอเดชะพระองค์ทรงธรณี |
จระเข้จริงเช่นนี้หามีไม่ |
ทำศักดากล้าหาญชาญชัย |
ทั้งโตใหญ่เกินขนาดชาติกุมภา |
จะเป็นจระเข้มนตร์ของคนร้าย |
จึงฆ่าหมอล้มตายเสียหนักหนา |
จะให้พลายชุมพลผู้น้องยา |
ไปพิเคราะห์กุมภาดูสักที ฯ |
๏ ได้ทรงฟังสั่งซ้ำมาบัดดล |
เอออ้ายพลายชุมพลเข้ามานี่ |
แต่ถวายตัวมาก็หลายปี |
ยังไม่มีธุระจะได้ใช้ |
มึงก็เป็นพงศ์เผ่าเหล่าทหาร |
ดูลาดเลาเอาการจะใช้ได้ |
คราวจับเถรทดลองก็ว่องไว |
เมื่อพ่อให้ก็บอกว่ามึงดี |
อ้ายกุมภากล้าคนพ้นประมาณ |
ไล่สังหารผู้คนเสียป่นปี้ |
อย่านอนใจลงไปดูสักที |
ว่ามันเป็นกุมภีล์ชนิดไร ฯ |
๏ ชุมพลรับโองการคลานถอยหลัง |
รีบออกจากวังหาช้าไม่ |
มาถึงตำหนักแพแลลงไป |
เห็นจระเข้โตใหญ่มหิมา |
ฟูฟ่องล่องลอยอยู่หลังน้ำ |
ทำทีอาการเห็นหาญกล้า |
เจ้าพลายเพ่งพินิจพิจารณา |
เห็นผิดเพศกุมภาตามธรรมเนียม |
เหมือนชาติไก่กับงูดูตีนเห็น |
เป็นจระเข้วิชาการจึงหาญเหี้ยม |
เข้าใจว่าใครไม่รู้เทียม |
ทีเลียมมาจะเล่นอยุธยา |
ครั้นแจ้งประจักษ์ตระหนักใจ |
ก็รีบไปทูลองค์พระพันวษา |
ขอเดชะพระองค์ทรงฤทธา |
เห็นมิใช่กุมภาในวารี |
มันเป็นจระเข้มนตร์คนมารยา |
แปลงมาลองทหารในกรุงศรี |
จึงมิได้ย่อท้อหมอกุมภีล์ |
เห็นจะเป็นคนดีมามั่นคง |
ถ้าทรงพระกรุณาข้าพระบาท |
อนุญาตโปรดตามความประสงค์ |
จะขอรับอาสาฝ่าบทบงสุ์ |
ลงไปรบรับจับมันมา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
ทรงพระสรวลร่วนดังอยู่เริงร่า |
กระนั้นสิอ้ายชุมพลคนวิชา |
ต้องอาสาทำชอบน่าขอบใจ |
ถ้าจับได้ไอ้จระเข้ตัวสำคัญ |
กูจะให้รางวัลเป็นไหนไหน |
อ้ายพี่ชายอย่าช้าพากันไป |
พ่อมันนั้นไซร้ก็อยู่กรุง |
ช่วยกันเตรียมเครื่องอานการรบสู้ |
ไปคอยกูที่แพแต่ย่ำรุ่ง |
เล่นมันให้ฦๅเลื่องเฟื่องฟุ้ง |
พรุ่งนี้กูจะลงไปดู ฯ |
๏ ครานั้นพี่น้องทั้งสองนาย |
กราบถวายบังคมลามาทั้งคู่ |
บ่าวไพร่ตามหลังมาพรั่งพรู |
ออกประตูไปบ้านพระกาญจน์บุรี |
ครั้นถึงจึงแจ้งข้อรับสั่ง |
เล่าให้พ่อฟังเป็นถ้วนถี่ |
เดี๋ยวนี้มีกุมภากล้าฤทธี |
มาไล่คนจนที่หน้าโรงเรือ |
มดหมอเท่าไรที่ไปทำ |
มันฟาดล่มจมน้ำไม่มีแหลือ |
แล้วขบกัดฟัดตายเสียเป็นเบือ |
ชุมพลดูรู้เชื่อว่าคนแปลง |
ได้ช่องน้องชุมพลจึงอาสา |
รับจะจับกุมภาที่กล้าแข็ง |
โปรดให้บอกคุณพ่อช่วยขอแรง |
ตกแต่งชุมพลไปราวี ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
ทราบรับสั่งนั่งคิดเป็นถ้วนถี่ |
แล้วชวนลูกว่าอย่าช้าที |
มาไปที่บ้านพระไวยไปด้วยกัน |
ครั้นถึงจึงสั่งศรีมาลา |
ให้จัดหาบัตรพลีทุกสิ่งสรรพ์ |
เครื่องอานเรียกหาเอามาพลัน |
แป้งน้ำมันกระแจะเจิมเฉลิมพักตร์ |
ที่ในห้องหอพระจมื่นไวย |
ให้จัดธูปเทียนไว้ดอกไม้ปัก |
มีดหมอเปลี่ยนปลอกหอกชนัก |
พร้อมพรักเรียบเรียงไว้เคียงกัน |
ให้ชุมพลชำระสระสนาน |
ขุนแผนอ่านคาถาเสกอาถรรพ์ |
ลูบไล้ว่านยาทาน้ำมัน |
คงกระพันเขี้ยวงาสารพัด |
พอแสงทองพวยพุ่งจะรุ่งเช้า |
ชุมพลเข้าหอพระที่สงัด |
นิ่งนั่งบริกรรมทำอาพัด |
อัดใจเป่าปลุกเครื่องสาตรา |
เดชะพระเวทวิทยาการ |
สะเทื้อนสะท้านด้วยฤทธิพระคาถา |
ชุมพลเห็นประสิทธีก็ปรีดา |
จึงแต่งตัวลงมาที่หน้าเรือน |
ขุนแผนพระไวยพลายชุมพล |
ทั้งสามคนรีบมาข้าตามเกลื่อน |
ตรงมาตำหนักแพไม่แชเชือน |
อยู่ริมเขื่อนคอยองค์พระทรงธรรม์ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
ประจามิตรเกรงเดชทุกเขตขัณฑ์ |
สถิตแท่นแม้นมหาเวชายันต์ |
เสมอชั้นบัณฑุกัมพล์อมรินทร์ |
สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอนารถ |
บำรุงราชรู้เชิงบันเทิงถวิล |
นางสำรับขับเพลงบรรเลงพิณ |
บำเรอปิ่นปัถพีให้ปรีดา |
ครั้นรุ่งเช้าเสร็จทรงสรงสนาน |
นางอยู่งานตั้งเครื่องกันพร้อมหน้า |
ทรงระลึกนึกถึงเรื่องกุมภา |
ดำรัสว่าวันนี้จะลงแพ |
ดูชุมพลมันประจญจับกุมภีล์ |
นางพวกนี้จะไปอย่าให้แซ่ |
พระสั่งเสร็จเสด็จลงสู่แพ |
ตำรวจแห่สองข้างทางกระบวน |
ถึงประทับกับเกยเลยลีลาศ |
ขึ้นสู่อาสน์พระองค์ทรงพระสรวล |
ขุนนางราบกราบก้มบังคมควร |
ทุกถ้วนล้วนเหล่าท้าวพระยา |
พวกท้าวนางต่างพากันลงไป |
พวกนางในพร้อมหมดไม่ขาดหน้า |
พระวงศาข้าละอองรองบาทา |
ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในไปพร้อมกัน |
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยจมื่นไวย |
อ้ายชุมพลอยู่ไหนอย่างไรนั่น |
พระไวยให้เรียกชุมพลพลัน |
คลานมาอภิวันท์ข้างพระไวย |
รับสั่งถามเป็นกะไรไอ้ชุมพล |
จะจับจระเข้มนตร์ได้ฤๅไม่ |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงชัย |
ถ้าไม่ได้เกล้ากระหม่อมก็ยอมตาย |
เออกระนั้นสิว่าให้น่าฟัง |
มึงทำให้ได้ดังที่มาดหมาย |
ถ้าแม้นมึงฆ่ากุมภาตาย |
อ้ายพลายเป็นรวยด้วยรางวัล ฯ |
๏ พลายชุมพลคำนับรับสั่ง |
ถอยหลังลุกมาขมีขมัน |
ให้ถอยแพเข้ามาที่ท่าพลัน |
อภิวันท์กราบงามลงสามลา |
อธิษฐานนมัสการพระเป็นเจ้า |
จงปกเกล้าคุ้มภัยให้แก่ข้า |
คุณพระธรณีพระคงคา |
คุณบิดรมารดาจงคุ้มครอง |
ก้าวลงแพคนแลละลานจิตร |
ต่างคิดกลัวหมดสยดสยอง |
ที่ผู้ใหญ่ให้พรออกแซ่ซ้อง |
ที่สาวแส้แลจ้องไม่วางตา ฯ |
๏ ครานั้นโฉมเจ้าพลายชุมพล |
ฤทธิรณเหลือดีมีสง่า |
โหงพรายรายรอบทั้งกายา |
ให้ปล่อยแพออกมาที่กลางชล |
อ่านคาถาพระสยมภูวนารถ |
ลำเลิกชาติกุมภามาแต่ต้น |
โปรดกำราบสาปให้อยู่เมืองคน |
และประทานพระมนตร์ปราบกุมภา |
โอมอ้ายนักกระผุดอย่านิ่งนาน |
กูฤๅคือพระกาลจะมาฆ่า |
พระอิศวรท่านใช้ให้กูมา |
ผลาญเอาชีวามึงขึ้นไป |
โอมอ้ายนักกระผุดตัวไหนกล้า |
จงเร่งผุดขึ้นมาอย่าช้าได้ |
เสกข้าวสารปะรางควานแล้วซัดไป |
มึงกบดานอยู่ทำไมไอ้กุมภีล์ |
พรายใดที่ได้อยู่รักษา |
อย่าช้าถอยไปให้พ้นที่ |
เสกน้ำซ้ำสาดไปทันที |
พรายเถรต่างหนีลี้หลีกไป ฯ |
๏ ครานั้นกุมภาขรัวตาขวาด |
แกไม่อาจกบดานนิ่งอยู่ได้ |
เห็นชุมพลบนแพแลขึ้นไป |
จริงเหมือนนึกตรึกไว้ก็ยินดี |
อ้ายชุมพลมาให้ดังใจคิด |
กูจะเอาชีวิตให้เป็นผี |
แกผุดฟ่องล่องลอยหลังนที |
พระพันปีแลตะลึงเป็นช้านาน |
ผู้คนบนแพห้ามไม่หยุด |
มันถอยรุดลงมาจนหน้าฉาน |
ที่ข้างในโขลนไล่ตะลีตะลาน |
ช่างหน้าด้านนี่กะไรไม่มีฟัง |
เมื่ออยากดูแล้วก็นั่งจงฟังห้าม |
รูปงามงามสันจะลายเสียดายหลัง |
ดูยิ่งห้ามยิ่งกล้าว่าไม่ฟัง |
นางชาววังเหล่านี้ไม่มีอาย ฯ |
๏ ครานั้นชุมพลคนกล้า |
เห็นกุมภาผุดขึ้นดังใจหมาย |
ผุดเหนือน้ำมันจะทำอันตราย |
อันแสนร้ายนี่มันรู้ว่ากูมา |
จึงเสกด้ายสายสิญจน์เข้าสามเส้น |
ขะมักเขม้นพันมือไว้คอยท่า |
มีดหมอเหน็บมั่นกับกายา |
ถือชนักตั้งท่าจะชิงชัย ฯ |
๏ ครานั้นขรัวตาวิชาดี |
ได้ทีโถมมาหาช้าไม่ |
แพชุมพลดังจะล่มลงจมไป |
ละลอกใหญ่แต่ละลูกถูกกระเด็น |
เสียงซ่าคนแซ่แพแทบหัก |
คึกคักตั้งตาคอยเขม้น |
พวกจ่าโขลนร้องด่าอีหน้าเป็น |
ช่างทะเล้นนี่กะไรไม่ลื้นเลย |
ชาวประชามาดูอยู่สลอน |
เขมรมอญพวกพม่าเสียงหวาเหวย |
ญวณกะเหรี่ยงเจ๊กฝรั่งยังไม่เคย |
ไหนว่าเฮ้ยมึงกล้าก็มาดู |
นางทวายอายเอียงเสียงแปร่งแปร่ง |
แมงขะแวงเฉมะราฉามะหลู |
เจ้ามอญว่าอาละกูลทิ้งปูนพลู |
ลาวบ่ฮู้หันข้อยยั่นจริง |
ผู้คนมากมายหลายภาษา |
บ้างยืนนั่งตั้งตาริมตลิ่ง |
เจ๊กกับแขกมันทะเลาะกันเพราะพริ้ง |
เสียงหนุงหนิงเหนอหนาน่าเอ็นดู |
เจ้าแขกว่าเมาะโมหะโยเปาะ |
เจ๊กทะเลาะอั๊วละไหม่ไอ้มู่ทู่ |
พอจระเข้ขึ้นก็ตื่นพรู |
ยัดเยียดเบียดดูริมวารี ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล |
ฤทธิรณสามารถดังราชสีห์ |
เห็นกุมภามาใกล้ก็ได้ที |
แทงกุมภีล์ดังฉาดเลือดสาดไป |
จระเข้เถรถูกแทงก็แว้งหาง |
เสียงโผงผางแพป่นไม่ทนได้ |
ชุมพลตกจากแพคนแซ่ไป |
พระทรงภพตกพระทัยพันทวี |
ดำรัสร้องว่าอ้ายไวยอย่างไรหวา |
อ้ายกุมภาทับชุมพลลงกับที่ |
พวกขุนนางตกใจใช่พอดี |
พระไวยกราบสามทีแล้วทูลไป |
ชุมพลไม่แพ้แก่กุมภา |
สักประเดี๋ยวคงคร่าขึ้นมาได้ |
พวกขุนนางต่างนึกไม่ไว้ใจ |
พวกข้างในเสียงแซ่แลตะลึง |
สงสารสาวคราวรักชุมพลนั้น |
ให้พรั่นพรั่นหวั่นไหวอาลัยถึง |
บ้างซ่อนหน้าร้องไห้ใจคะนึง |
พ่อพลายเมื่อไรจึงจะขึ้นมา ฯ |
๏ ครานั้นโฉมเจ้าพลายชุมพล |
มุดน้ำดำทนด้วยคาถา |
ชักมีดหมอต่อสู้กับกุมภา |
ข้างขรัวตาหักโหมโจมประจัญ |
เอาหางฟาดฉาดรับด้วยมีดหมอ |
แกแว้งขบหลบล่อแล้วห้ำหั่น |
เถรกดชุมพลกอดต้นคอพลัน |
เถรผุดชุมพลรันขึ้นขี่คอ |
พระทรงภพตบพระเพลาเอาสิหวา |
ให้มันกล้าอย่างนี้สิลูกพ่อ |
เอาให้มันสัจจังอย่ารั้งรอ |
พวกขุนนางต่างหัวร่อพลายชุมพล |
ขุนแผนนั่งตั้งตากับพระไวย |
พวกข้างในวิ่งดูอยู่สับสน |
เสียงคนฮาลั่นสนั่นชล |
ผู้ดีปนกับขี้ข้าไม่ว่าไร |
พวกข้าหลวงต่างมองแล้วร้องมี่ |
พ่อชุมพลหล่อนช่างขี่จระเข้ได้ |
บ้างก็ว่าน่ากลัวมันสุดใจ |
ทั้งยาวใหญ่ดูราวสักเก้าวา |
ฝ่ายโขลนจ่ามาห้ามมิให้แซ่ |
นี่แน่แม่อึงไปเขาจะด่า |
ดูอะไรเขาให้ดูแต่ตา |
อย่ามาฮาอยู่ที่นี่รีบหนีไป ฯ |
๏ ครานั้นเถรขวาดชาติกุมภีล์ |
ชุมพลขี่อยู่บนหลังหาลงไม่ |
แกแว้งเหวี่ยงเบี่ยงสะบัดด้วยขัดใจ |
ชุมพลได้ทีแทงด้วยแรงฤทธิ |
ฉับฉับยับย่อยล้วนรอยแทง |
จนน้ำแดงดาษไปด้วยโลหิต |
จระเข้เถรเหลือทนก็พ้นคิด |
พลางนิมิตด้วยพระเวทวิทยา |
อ่านคาถาถ้วนคำรบร้อยแปดที |
เพศกุมภีล์ก็กลับเป็นมัจฉา |
ชุมพลหายกลายเป็นสกุณา |
เที่ยวดำด้นค้นปลาในวารี |
คนที่ดูพรูตื่นยืนสะพรั่ง |
ตำหนักแพเพียงจะพังลงกับที่ |
พระสนมกำนัลพวกขันที |
อึงมี่แซ่ซ้องริมท้องชล ฯ |
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ |
รับสั่งซักพระนายเป็นหลายหน |
อย่างไรนั่นมันหายทั้งสองคน |
อ้ายชุมพลแพ้ชนะประการใด |
พระไวยตาจ้องดูน้องชาย |
รู้แยบคายไม่พะวงสงสัย |
จึงทูลว่าไพรีแปลงหนีไป |
ชุมพลนั้นแปลงไล่ไปติดตัว |
พอขาดคำก็เห็นเถรแปลงใหม่ |
เป็นช้างงาตัวใหญ่มิใช่ชั่ว |
ขึ้นไล่คนแตกมาดูน่ากลัว |
ฝ่ายชุมพลแปลงตัวเป็นเสือพลัน |
ตามขึ้นบนตลิ่งวิ่งไล่ช้าง |
โดดผางเกาะงวงเข้าไว้มั่น |
ช้างสะบัดเสือกระเด็นเผ่นมาทัน |
พอช้างหันเสือปุบตะครุบคอ |
พวกคนดูบ้างกลัวมัวจะหนี |
บ้างยืนดูอยู่กับที่ไม่ย่นย่อ |
เสือเกาะได้ถนัดกัดที่คอ |
จนช้างงองวงร้องออกก้องไป |
พวกขุนนางต่างพากันฮาลั่น |
พระทรงธรรม์ยังพะวงสงสัย |
เสือฤๅช้างข้างเราหาออไวย |
ขอรับใส่เกล้ากระหม่อมพยัคฆา |
เสือกัดช้างป่นจนยืนนิ่ง |
ช้างหายกลายเป็นลิงไปต่อหน้า |
ชุมพลก็แกล้งแปลงกายา |
กลายเป็นงูเห่ากล้าเข้าราวี |
ฝ่ายพวกคนดูรู้ว่าแปลง |
ต่างแทรกแซงจะดูอยู่ไม่หนี |
ใครหนอแปลงเป็นลิงทำสิงคลี |
ถ้ามันดีก็ไม่พ้นชุมพลงู |
ลิงสู้งูขบทบกระหวัด |
งูรัดเอาลิงลงกลิ้งอยู่ |
ลิงก็หายกลายเป็นขรัวตาครู |
ชุมพลหายจากงูเป็นคนไป |
สองมือรวบรัดมัดเถรขวาด |
อ้ายอุบาทว์นึกว่ามาแต่ไหน |
แล้วพามาหน้าที่นั่งในทันใด |
บังคมไหว้คอยสดับรับโองการ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ |
ปิ่นปักอยุธยามหาสถาน |
เห็นได้ตัวเถรมาหน้าพระลาน |
ตบพระหัตถ์ฉัดฉานประภาษมา |
เออมันน่าขอบใจอ้ายชุมพล |
ช่างกล้าหาญทานทนเป็นหนักหนา |
ความชอบครั้งนี้มีเต็มประดา |
เอาเถิดหวาจะให้มึงให้ถึงใจ |
แล้วทรงขัดเคืองชำเลืองแล |
ทุดอ้ายแก่โกโรกโหยกเหยกใหญ่ |
นี่มันเป็นชีบาประสาไร |
เที่ยวกัดกินคนได้ผิดมนุษย์ |
ตั้งหน้ามาเล่นเอากรุงไกร |
ดูกำเริบเติบใหญ่เป็นที่สุด |
คงเป็นพวกทรยศคดประทุษฐ์ |
อุดหนุนกันให้แกล้งจำแลงมา |
ฮ้าเฮ้ยจมื่นศรีเสาวรักษ์ |
เอาอ้ายเถรไปซักให้หนักหนา |
อย่ากลัวบาปติดไม้ใส่ขื่อคา |
เอาให้ได้ความว่ามาทำไม |
จะมีใครใช้สอยมันมาแน่ |
บ้านช่องข่องแขวมันอยู่ไหน |
ตัวของมันชื่อเรียงเสียงไร |
เหตุใดจึงแกล้งแปลงอินทรีย์ |
สั่งแล้วเบือนพระพักตร์มาทักว่า |
ดูราพระกาญจน์บุรีศรี |
อ้ายลูกชายพลายชุมพลคนนี้ |
ไม่เสียทีเลี้ยงไว้ให้กับกู |
มันรู้เท่าเจ้าเล่ห์ที่แปลงมา |
แล้วอาสากล้ารับไปต่อสู้ |
ได้เห็นฤทธิ์ด้วยกันมันพอดู |
พอเป็นคู่กับอ้ายไวยใช้การงาน |
ตรัสเสร็จพระเสด็จลีลาศ |
จากอาสน์คืนเข้าพระราชฐาน |
พวกนางในเสนาข้าราชการ |
ก็เข้าวังกลับบ้านสำราญใจ ฯ |
๏ ฝ่ายเหล่าชาวประชาพากันกลับ |
คั่งคับโจษกันสนั่นไหว |
ชมชุมพลคนดีออกมี่ไป |
ช่างกะไรฤทธิ์เดชวิเศษครัน |
อ้ายเถรเถ้าที่แกล้งจำแลงมา |
มันก็ตัวครูบาที่กล้ากลั่น |
เอามดหมอถ่อพายตายตั้งพัน |
เขาขยันมัดกลิ้งเป็นลิงทโมน |
บ้างว่ากูดูเพลินจนลืมลุก |
ช่างสนุกจริงจริงยิ่งกว่าโขน |
บ้างว่าเห็นงูกูเกือบโจน |
มันเพนโพนมาใกล้ไม่ถึงวา |
ฝ่ายพวกแขกฝรั่งทั้งจีนจาม |
ก็เดินชมกันตามเพศภาษา |
ไม่เคยเห็นที่ไหนแต่ไรมา |
แต่เจ๊กว่าเมืองจีนนั้นเคยมี |
เมื่อครั้งเกียงจูแหยแก้กลศึก |
ก็รบกันครั่นครึกกระบวนผี |
แต่เป็นการนานช้ากว่าพันปี |
เราได้เห็นครั้งนี้เป็นบุญตา |
ฝ่ายข้างพวกผู้หญิงริงเรือ |
บ่นว่าเบื่อรบพุ่งยุ่งหนักหนา |
ให้เสียวไส้ไม่ดูได้เต็มตา |
เวทนาแต่เจ้าพลายชายชุมพล |
รูปทรงบอบบางเหมือนอย่างเหลา |
กลัวอ้ายเถ้าเจ้ากรรมจะทำป่น |
บ้างก็ว่าเป็นห่วงถึงบวงบน |
ให้หล่อนพ้นไภยันอันตราย |
ที่สาวสาวนิ่งให้ผู้ใหญ่ว่า |
เดินก้มหน้ากรุ้มกริ่มยิ้มไม่หาย |
จะพลอยพูดจาด้วยก็ขวยอาย |
ใจคะนึงถึงเจ้าพลายจนมาเรือน ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช |
ชาญฉลาดว่องไวใครจะเหมือน |
มาจากตำหนักแพไม่แชเชือน |
ร้องเตือนหลานชายพลายชุมพล |
จงระวังเถรเถ้าเจ้ามารยา |
คุมมาอย่าให้ใครสับสน |
แล้วสั่งตำรวจในให้ไล่คน |
มาจนที่นั่งหลังโรงเรือ |
ให้เอาตัวขรัวตาเข้ามาถาม |
มึงบอกความตามจริงอย่าฟั่นเฝือ |
ไยจึงมาฆ่าคนจนเป็นเบือ |
ใครไว้เนื้อเชื่อใจใช้มึงมา ฯ |
๏ ครานั้นขรัวตานั่งหน้าเศร้า |
แถลงเล่าเสกแสร้งแกล้งมุสา |
ไม่มีใครใช้สอยอาตมา |
นึกอยากดูอยุธยาก็มาเอง |
พระหมื่นศรีว่าอ้ายนี่ไม่บอกจริง |
มันกลอกกลิ้งพูดโกงทำโฉงเฉง |
ดูพาราฆ่าคนออกครื้นเครง |
อ้ายแสนเพลงไยไม่ตรงมาดีดี |
คงจะมีผู้ใดใช้ลงมา |
ตำรวจเอาหลักคาเข้ามานี่ |
ตำรวจหน้าพากันวิ่งเป็นสิงคลี |
ปักหลักลงตรงที่โรงเรือพลัน |
ทั้งโซ่ตรวนขื่อคาเอามาครบ |
พวกตำรวจเต้นหรบอยู่ตัวสั่น |
ผูกเถรขวาดเข้าไว้เร่งไม้พลัน |
ห้อมล้อมหลายชั้นทั้งนอกใน ฯ |
๏ จึงพระหมื่นศรีผู้ปรีชา |
ตั้งกระทู้ถามมาหาช้าไม่ |
จงแจ้งความตามจริงอย่านิ่งไว้ |
มึงอยู่ไหนใครใช้ให้มึงมา ฯ |
๏ เถรเจ็บแจ้งจริงทุกสิ่งสิ้น |
ข้าอยู่เมืองเชียงอินท์พระเจ้าข้า |
เดิมเป็นบ่าวสาวน้อยเจ้าสร้อยฟ้า |
ชื่อว่าเถรขวาดจงแจ้งใจ |
ครั้นลงมาอยู่วัดพระยาแมน |
ชุมพลลูกขุนแผนจับมาได้ |
เขาจะฆ่าฟันให้บรรลัย |
จึงหนีไปเชียงอินท์ถิ่นอาตมา |
จะมีใครใช้มาหามิได้ |
แค้นใจพลายชุมพลคนจับข้า |
จึงได้แกล้งแปลงตัวเป็นกุมภา |
มากรุงศรีอยุธยาในครานี้ |
ด้วยคาดว่าถ้าใครไม่ต่อสู้ |
ชุมพลรู้คงอาสามาเร็วรี่ |
ถ้าหลงกลล่อลวงได้ท่วงที |
จะกดจมวารีให้บรรลัย |
อันที่พระองค์ผู้ทรงยศ |
ข้าหาได้คิดคดขบถไม่ |
เป็นความสัตย์ทุกสิ่งจริงในใจ |
อันโทษทัณฑ์ฉันใดได้เมตตา ฯ |
๏ ครานั้นพระหมื่นศรีมีศักดิ์ |
หัวร่อคักว่าอ้ายแก่แก้หนักหนา |
มึงโกรธแค้นชุมพลคนวิชา |
ก็กินคนป่นมาด้วยเหตุใด |
มิรู้ฤๅกำหนดบทพระอัยการ |
ฆ่าคนท่านประหารให้ตักษัย |
มึงบังอาจทรยศขบถใจ |
แก้ไขป่วยการล้วนมารยา |
แล้วสั่งให้เสมียนเขียนคำเถร |
พอจวนเพลก็เข้าพระโรงหน้า |
เสด็จออกกราบทูลพระกรุณา |
ให้ทราบตามวาจาของตาชี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทราบเหตุใคร่ครวญเป็นถ้วนถี่ |
อ้ายนี่ไหนว่าตายเสียหลายปี |
เออเดี๋ยวนี้ทำไมไพล่กลับมา |
ฮ้าเฮ้ยพระยาอนุชิต |
ช่างปกปิดปดกูได้ต่อหน้า |
ว่าเถรเณรครั้งนั้นมรณา |
เดี๋ยวนี้กลับเป็นมาจะว่าไร |
ท่านจางวางตำรวจไม่เงยหน้า |
เกรงพระราชอาญาจนเหงื่อไหล |
กระหม่อมฉันโฉดเขลาเบาใจ |
ด้วยผู้คุมยามในว่าวอดวาย |
ก็วางใจไม่พินิจพิจารณา |
ให้ไปทิ้งป่าช้าด้วยมักง่าย |
ถ้ามิโปรดโทษมีถึงที่ตาย |
ทูลแล้วก็ถวายบังคมคัล ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบตรัสไปทันใดนั่น |
แต่นี้ไปให้ตั้งเป็นแบบบรรพ์ |
ถ้าหากคนโทษนั้นจะบรรลัย |
ให้หมายบอกมหาดเล็กแลตำรวจ |
ออกไปตรวจเสียก่อนอย่าขาดได้ |
พร้อมกับกลาโหมมหาดไทย |
แล้วจึงให้เอาศพไปป่าช้า |
แล้วจึงตรัสสั่งเจ้ากระทรวง |
ทั้งลูกขุนศาลหลวงจงพร้อมหน้า |
ปรึกษาโทษเถรเถ้าเจ้ามารยา |
ว่ามาตามกำหนดบทพระอัยการ |
ฝ่ายลูกขุนศาลาแลศาลหลวง |
ทุกกระทรวงปรึกษาว่าขาน |
เถรขวาดโทษมหันต์อันธพาล |
ควรประหารให้สิ้นชีวาลัย |
พระองค์ทรงฟังคำปรึกษา |
พระโองการสั่งมาหาช้าไม่ |
อ้ายนี่เจ้ามารยาอย่าไว้ใจ |
จงมอบให้อ้ายชุมพลเอาไปฟัน |
สั่งเสร็จพระเสด็จขึ้นข้างใน |
นครบาลรีบไปขมีขมัน |
หมายบอกรับสั่งพระทรงธรรม์ |
เถรนั้นมอบให้พลายชุมพล ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ |
พยาบาทขรัวตามาแต่ต้น |
อ้ายเถรเถ้านี้ขลังทั้งเวทมนตร์ |
แน่ะชุมพลอย่าได้วางใจมัน |
ขุนแผนส่งฟ้าฟื้นให้ลูกชาย |
ทั้งสองนายสั่งกำชับคับขัน |
เจ้าจงเป็นเพชฌฆาตฟาดฟัน |
แล้วหัวนั้นเอาไว้ให้จงดี |
เมื่อเสียบไว้ให้ผู้คุมคอยรักษา |
ทุกเวลาอย่าประมาทคลาดจากที่ |
ให้ระวังนั่งยามตามอัคคี |
พวกมันมีมันจะมาพากันไป |
ชุมพลรับสั่งไม่ยั้งหยุด |
รีบรุดลามาหาช้าไม่ |
นำหน้าพาเถรตระเวนไป |
นครบาลนายไพร่ก็คุมตาม |
ผู้คนพลเมืองนั้นดาษดื่น |
แตกตื่นกันดูอยู่ล้นหลาม |
ตำรวจตรวจตราว่าห้ามปราม |
คอยห้ามมิให้เข้าใกล้เคียง |
ครั้นถึงตะแลงแกงก็ยั้งหยุด |
อุตลุดผู้คนไม่ขาดเสียง |
ปักหลักมัดเถรนั่งเอนเอียง |
ชุมพลเหวี่ยงดาบฉาดคอขาดไป |
พวกคนผู้มาดูเขาเข่นฆ่า |
จะมีใครเวทนาก็หาไม่ |
บ้างว่าสมน้ำหน้าสาแก่ใจ |
พระเถรอะไรมันกินคน |
ที่เป็นญาติพี่น้องของคนตาย |
ก็ด่าว่าวุ่นวายอยู่เกลื่อนกล่น |
แล้วต่างคนคืนสถานบ้านเรือนตน |
ฝ่ายชุมพลสั่งผู้คุมคอยระวัง |
ศีรษะเสียบรักษาอย่าประมาท |
เผื่อคนดีมันจะอาจเข้ามามั่ง |
จงพิทักษ์รักษาอย่าได้พลั้ง |
กำชับสั่งเสร็จสรรพแล้วกลับมา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ |
ทศทิศกลัวแสยงทั้งแหล่งหล้า |
สถิตในแท่นที่ศรีไสยา |
พระสนมดาษดาดังดาวราย |
บ้างโบกปัดพัดถวายให้สำราญ |
บ้างอยู่งานนวดเคล้นพระเส้นสาย |
บ้างร้องรับขับเสียงจำเรียงราย |
ทรงสบายเบิกบานสำราญฟัง |
ครั้นรุ่งแสงสุริยาภาณุมาศ |
สกุณชาติแซ่ซ้องดังเสียงสังข์ |
เสด็จจากที่สุวรรณบัลลังก์ |
พระสนมหมอบสะพรั่งประนมกร |
ทรงชำระสระสรงแล้วทรงเครื่อง |
อร่ามเรืองเนาวรัตน์ประภัสสร |
ออกข้างหน้าว่าขานการนคร |
ประทับที่บรรจถรณ์บัลลังก์ทรง |
พวกขุนนางต่างกราบอยู่พร้อมหน้า |
งามสง่าดังท้าวครรไลหงส์ |
พร้อมเสนาอำมาตย์พระญาติวงศ์ |
พระองค์ทรงรำพึงถึงชุมพล |
ด้วยมันปราบกุมภีล์มีความชอบ |
ควรประกอบยศศักดิ์เป็นพักผล |
จะเอาไว้ใช้สอยอีกสักคน |
แยบยลมันก็คล้ายกับอ้ายไวย |
ดำริพลางทางมีสีหนาท |
ตรัสประภาษสั่งมาหาช้าไม่ |
อ้ายชุมพลทำชอบกูขอบใจ |
อาสาไปไม่เห็นแก่ชีวิต |
ความชอบครั้งนี้มีหนักหนา |
ถ้าไม่ได้กุมภาก็จะผิด |
ให้มันเป็นที่หลวงนายฤทธิ์ |
จะเอาไว้ใช้ชิดอยู่กับกู |
กรมเมืองทหารในไปจัดการ |
หาที่บ้านปลูกเรือนให้มันอยู่ |
อ้ายไวยเอ็งไปช่วยแลดู |
มันหนุ่มนักจักไม่รู้เรื่องเรือนชาน |
แล้วจึงตรัสสั่งชาวคลังใน |
จัดผ้าสมปักไหมสไบส่าน |
ทั้งเงินตราห้าชั่งตั้งใส่พาน |
พระราชทานแล้วเสด็จขึ้นข้างใน ฯ |
๏ ครานั้นหลวงนายได้ประทาน |
แสนสำราญยิ้มย่องผ่องใส |
ให้ข้าคนขนของไปทันใด |
พระนายไวยนำหน้าออกมาพลัน |
ถึงบ้านบอกบิดาหาช้าไม่ |
ต่างดีใจปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ทั้งวงศ์ญาติชื่นบานสำราญครัน |
อยู่เป็นสุขทั่วกันแต่นั้นมา ฯ |