๏ ครั้นว่าไหว้ครูแล้วจับบท |
ให้ปรากฏเรื่องราวมาแต่ก่อน |
ครั้งสมเด็จพระพันวษานรากร |
ครองนครกรุงศรีอยุธยา |
เกษมสุขแสนสนุกดังเมืองสวรรค์ |
พระเดชนั้นแผ่ไปในทิศา |
เป็นปิ่นภพลบโลกโลกา |
ครอบครองไพร่ฟ้าประชากร |
เมืองขึ้นน้อยใหญ่ในอาณาเขต |
เกรงพระเดชทั่วหมดสยดสยอน |
ต่างประเทศเขตขอบพระนคร |
ชลีกรอ่อนเกล้าอภิวันท์ |
พร้อมด้วยโภไคยไอศูรย์ |
สมบูรณ์พูนสุขเกษมสันต์ |
พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม์ |
ราษฎรทั้งนั้นก็ยินดี ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเรื่องขุนแผนขุนช้าง |
ทั้งนวลนางวันทองผ่องศรี |
ศักราชร้อยสี่สิบเจ็ดปี |
พ่อแม่เขาเหล่านี้คนครั้งนั้น |
เป็นข้าขอบขัณฑสิมา |
สมเด็จพระพันวษานราสรรค์ |
จะว่าเนื่องตามเรื่องนิยายพลัน |
ท่านผู้ฟังทั้งนั้นจงเข้าใจ |
ขุนไกรพลพ่ายอยู่บ้านพลับ |
มีทรัพย์เงินทองของน้อยใหญ่ |
นางทองประศรีนั้นอยู่วัดตะไกร |
ทั้งสองนี้ได้เป็นคู่กัน |
แล้วรื้อเรือนออกไปปลูกใหม่ |
อยู่ในแว่นแคว้นสุพรรณนั่น |
เป็นทหารชาญชัยใจฉกรรจ์ |
คุมไพร่ทั้งนั้นได้เจ็ดร้อย |
อาจองคงกระพันชาตรี |
เข้าไหนไม่มีที่จะถอย |
รบศึกศัตรูอยู่กับรอย |
ถึงมากน้อยเท่าไรไม่หนีมา |
กรมการเมืองสุพรรณสั่นหัว |
เข็ดขามคร้ามกลัวใครไม่ฝ่า |
โปรดปรานเป็นทหารอยุธยา |
มีสง่าอยู่ในเมืองสุพรรณ ฯ |
๏ มาข้าจะกล่าวบทไป |
ถึงขุนศรีวิชัยคนขยัน |
เป็นนายกรมช้างกองนอกนั้น |
บ้านอยู่สุพรรณพารา |
เป็นเศรษฐีมีทรัพย์นับร้อย |
บ่าวไพร่ใหญ่น้อยก็หนักหนา |
ได้นางเทพทองเป็นภรรยา |
อยู่ท่าสิบเบี้ยเมืองสุพรรณ ฯ |
๏ จะกล่าวกลอนถึงพันศรโยธา |
เพื่อนได้ภรรยาก็คมสัน |
ชื่อว่านวลนางศรีประจัน |
เป็นเศรษฐีมีพันธุ์ด้วยกันมา |
อยู่ท่าพี่เลี้ยงเมืองสุพรรณ |
น้องนางศรีประจันนั้นปากกล้า |
ชื่อว่าบัวประจันถัดกันมา |
มีผัวชื่อว่านายโชดคง |
เดิมเพื่อนอยู่ทางบางเหี้ย |
ครั้นไปได้เมียก็ลุ่มหลง |
ไม่คิดถึงซึ่งเหล่าเผ่าพงศ์ |
ยวดยงแต่จะเที่ยวขโมยควาย ฯ |
๏ บทนี้จะยกไว้เสียก่อน |
จะกล่าวกลอนถึงกำเนิดคนทั้งหลาย |
เมื่อแรกเข้าสู่ครรภ์บรรยาย |
ว่าอ้ายผีแสนร้ายบนปลายไม้ |
กลางคืนปั้นรูปหัวเราะขิก |
แล้วหยิบหยิกบีบบี้มิเอาส่ำได้ |
ปั้นแล้วปั้นเล่าเฝ้าริกไป |
เอานั่นนี่บี้ใส่ให้ครบครัน |
คืนหนึ่งผีปั้นอยู่ปลายไม้ |
ยังมีสัตว์อยู่ในนรกนั่น |
ทนทุกข์เวทนาสากรรจ์ |
ครั้นสิ้นกรรมทำนั้นก็พ้นทุกข์ |
จุติจากเพศเปรตอสุรกาย |
วุ่นวายวิ่งมาหาความสุข |
จะไปสวรรค์มิทันจะพ้นทุกข์ |
ผีปั้นมันจึงซุกเข้าในครรภ์ ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพทองนั้นนอนหลับ |
พลิกกลับก็เพ้อละเมอฝัน |
ว่าช้างพลายตายกลิ้งตลิ่งชัน |
พองขึ้นหัวนั้นเน่าโขลงไป |
ยังมีนกตะกรุมหัวเหม่ |
บินเตร่เร่มาแต่ป่าใหญ่ |
อ้าปากคาบช้างแล้ววางไป |
เข้าในหอกลางที่นางนอน |
ในฝันนั้นว่านางเรียกนก |
เชิญเจ้าขรัวหัวถกมานี่ก่อน |
นางคว้าได้ตัวเจ้าหัวกล้อน |
กอดนกกับช้างนอนสบายใจ |
ครั้นตื่นฟื้นตัวปลุกผัวพลัน |
เหียนรากตัวสั่นไม่กลั้นได้ |
ให้เหม็นช้างเหม็นนกติดอกใจ |
โฮกโฮกอีพ่อข้าไหว้ช่วยทุบคอ |
ขุนศรีวิชัยตกใจจ้าน |
ลุกขึ้นลนลานตาปอหลอ |
เอามือเข้ากำขยำคอ |
พอหายรากเล่าต่อความฝันไป |
ขุนศรีวิชัยจึงทำนายฝัน |
อ่อเจ้าจะมีครรภ์หาเป็นไรไม่ |
ลูกของเราจะเป็นชายทำนายไว้ |
เหมือนนกตะกรุมตัวใหญ่คาบช้างมา |
จะบริบูรณ์พูนสวัสดิ์แล้วเจ้าพี่ |
แต่ลูกของเรานี้จะขายหน้า |
หัวล้านแต่กำเนิดเกิดมา |
จะมั่งมีเงินตรากว่าห้าเกวียน |
ฝ่ายนางเทพทองไม่รับพร |
กุมท้องขย่อนไม่หายเหียน |
โคตรแม่มึงช่างมาให้อาเจียน |
อ้ายหัวเลี่ยนโล้นเกลี้ยงจะเลี้ยงไย ฯ |
๏ จะมากล่าวถึงนางทองประศรี |
นอนด้วยสามีในเรือนใหญ่ |
นิมิตฝันนั้นว่าท้าวสหัสนัยน์ |
ถือแหวนเพชรเม็ดใหญ่เหาะดั้นมา |
ครั้นถึงจึงยื่นแหวนนั้นให้ |
นางรับแหวนไว้ด้วยหรรษา |
แสงเพชรส่องวาบปลาบเข้าตา |
ตื่นผวาคว้าทั่วปลุกผัวพลัน |
ขุนไกรลืมตาว่าอะไรเจ้า |
นางจึงเล่าเนื้อความนิมิตฝัน |
ทั้งสองลุกมาล้างหน้าพลัน |
หาหมากพลูสู่กันแล้วทำนาย |
ฝันว่าได้ธำมรงค์วงวิเศษ |
ของโกสีย์ตรีเนตรอันเฉิดฉาย |
เพชรรัตน์อร่ามงามเพริศพราย |
บรรยายว่าเป็นสิ่งมิ่งมงคล |
จะมีครรภ์ลูกนั้นจะเป็นชาย |
ดังทหารพระนารายณ์มาปฏิสนธิ์ |
กล้าหาญการณรงค์คงทน |
ฤทธิรณปราบทั่วทั้งแดนไตร |
ซึ่งว่าเพชรรัศมีสีกล้า |
ภายหน้าจะได้เป็นทหารใหญ่ |
มียศศักดิเป็นพระยาข้าใช้ |
ร่วมพระทัยทรงธรรม์พระพันปี |
นางทองประศรียกมือไหว้ |
รับพรผัวให้ประเสริฐศรี |
ทั้งสองนอนไปในราตรี |
สุขเกษมเปรมปรีดิ์ทั้งสองรา ฯ |
๏ มาจะกล่าวถึงนางศรีประจัน |
เที่ยงคืนนอนฝันในเคหา |
ว่าพระพิษณุกรรม์เหาะดั้นฟ้า |
ถือแหวนประดับมาสวมนิ้วนาง |
แล้วก็กลับไปสถานพิมานมาศ |
แสนสนิทพิศวาสจนสว่าง |
ตื่นลุกปลุกผัวยิ้มหัวพลาง |
ล้างหน้าแล้วพลันแก้ฝันไป |
ท่านขาคืนนี้ข้าเจ้าฝัน |
ว่าพระพิษณุกรรม์นายช่างใหญ่ |
ถือแหวนประดับงามจับใจ |
เอามาส่งให้ไว้กับเรา |
แล้วก็กลับไปสถานพิมานฟ้า |
เมียจะเกิดโรคาฤๅพ่อเจ้า |
ให้เมียรู้ประจักษ์ว่าหนักเบา |
ความฝันนั้นเล่ายังติดตา |
พันศรโยธาผู้ผัวแก้ว |
ฟังเมียเล่าแล้วหัวเราะร่า |
จึงทำนายฝันไปมิได้ช้า |
ว่าเจ้าฝันนั้นหนาจะมีครรภ์ |
ได้แหวนประดับลูกจะเป็นหญิง |
รูปร่างงามจริงตละแกล้งสรร |
ด้วยเป็นแหวนของพระพิษณุกรรม์ |
จะเป็นช่างใครนั้นไม่ทันเลย |
ศรีประจันรับพรหัวเราะร่า |
ให้ได้เหมือนปากว่าเถิดพ่อเอ๋ย |
ถ้าฉันนี้มีลูกได้ชมเชย |
ไม่อุ้มลูกใครเลยให้นินทา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนางเทพทอง |
ท้องนั้นโตใหญ่ขึ้นค้ำหน้า |
ลุกนั่งอึดอัดถัดไปมา |
ให้อยากเหล้าเนื้อพล่าตัวสั่นรัว |
น้ำลายไหลรี่ดังผีกระสือ |
ร้องไห้ครางฮืออ้อนวอนผัว |
เหมือนหนึ่งตาหลวงเข้าประจำตัว |
ยิ่งให้กินตละยั่วยิ่งเป็นไป |
ปลาไหลไก่กบทั้งเต่าฝา |
แย้บึ้งอึ่งนาไม่พอไส้ |
หยิบคำโตๆ โม้เข้าไป |
ประเดี๋ยวเหล้าสิ้นไหไม่ซื้อทัน |
เจ็บปวดหลายเดือนดีดัก |
พะอำพะอักออดแอดอยู่ตัวสั่น |
ท้องลดทศมาสลูกถีบยัน |
พอใกล้ฤกษ์ยามนั้นเจ็บหนักไป |
บิดตัวเรียกผัวหาพ่อแม่ |
ร้องเปื้อนเชือนแชไม่เอาส่ำได้ |
ฝ่ายผัวพ่อแม่แลข้าไท |
วิ่งวุ่นครุ่นไปที่บนเรือน |
บ้างก็เสกมงคลปรายข้าวสาร |
เอาเบี้ยบนลนลานเหน็บฝาเกลื่อน |
บ้างเร่งหมอตำแยอย่าแชเชือน |
ข่มท้องร้องเตือนลูกขวางตัว |
บ้างก็เข้าหนุนหลังนั่งเคียงข้าง |
นางเทพทองร้องครางพลางกลอกหัว |
ขุนศรีวิชัยนั้นตัวสั่นรัว |
จิกหัวแล้วเป่ากระหม่อมลง |
หมอตำแยแยงแย่เข้าคร่อมท้อง |
แม่นางเทพทองเข้าข่มส่ง |
ตัวสั่นหวั่นไหวมิใคร่ลง |
หมอตำแยว่าตรงแล้วข่มมา |
ยายคงโก้งโค้งโขย่งข่ม |
เสียงผลุดนอนล้มไปจมฝา |
ลูกร้องแงแงแม่ลืมตา |
พอช้างเผือกเข้ามาถึงวันนั้น |
นางเทพทองเหลียวหน้าคว้าลูกชาย |
พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่ตัวสั่น |
ทุดลูกบัดสีเหมือนผีปั้น |
หัวล้านในครรภ์ดังวงเดือน |
เสียแรงอุ้มท้องประคองมา |
ชกโคตรแม่อ้ายหมาขี้เรื้อนเปื้อน |
เลี้ยงมันไว้ไยอายเพื่อนเรือน |
หัวเหมือนโคตรข้างไหนให้เกิดมา |
ด่าแล้วจึงเข้าไปนอนไฟ |
แม่นมข้าไทให้รักษา |
อาบน้ำป้อนข้าวทุกเวลา |
ไกวเปลเห่ช้ามาทุกวัน |
บริบูรณ์พูนเกิดกว่าแต่ก่อน |
เพราะบุญของลูกอ่อนได้สร้างสรรค์ |
แต่เกิดมาเงินตราอุดมครัน |
ข้าหญิงชายนั้นมากมายไป |
เพอิญให้แม่เคียดเกลียดชัง |
แต่มั่งคั่งหาใครเสมอไม่ |
ปู่ย่าตายายสบายใจ |
จะให้ชื่อหลานไว้เป็นมงคล |
แม่ฝันว่านกตะกรุมคาบช้าง |
บินมาแต่ทางพนาสณฑ์ |
พาไปให้ถึงในเรือนตน |
หัวล้านอกขนแต่เกิดมา |
เมื่อตกฟากฤกษ์พารของหลานชาย |
ช้างเผือกมาถวายพระพันวษา |
จึงให้นามตามเหตุทั้งปวงมา |
หลานรักของข้าชื่อขุนช้าง |
แล้วให้เอาเงินทองกรองใส่คอ |
กำไลมือล้นข้อทั้งสองข้าง |
กำไลเงินใส่เท้าก้าวขากาง |
ปะวะหล่ำสองข้างแขนหลานยา |
เอวคาดสร้อยอ่อนจำหลักทับ |
พริกเทศประดับกัลปังหา |
ห้อยอยู่ต้องแต้งแกว่งไปมา |
ยิ้มหัวหาหาอ้าปากโจน |
นางเทพทองร้องด่าอ้ายยาจก |
ช่างเต้นหยกหยกเหมือนตลกโขน |
ยึดไว้ไม่นิ่งตละลิงทโมน |
อ้ายผีโลนที่ไหนปั้นใส่มา |
ไม่มีใจที่จะใคร่เข้าอุ้มชู |
เหมือนค่างครอกหลอกกูดูขายหน้า |
ทำตาบ้องแบวแมวกินปลา |
อ้ายตายห่าด่าแช่งไม่เว้นวัน |
พอขุนช้างสามขวบไปเที่ยวเล่น |
เด็กเห็นก็กลัวจนตัวสั่น |
โน่นแน่แม่เอ๋ยอะไรนั้น |
มันอ้าปากยิงฟันข้าพรั่นใจ |
นางแม่ห้ามว่าเอ็งอย่ากลัว |
ขุนช้างลูกเจ้าขรัวบ้านรั้วใหญ่ |
เขาเป็นเศรษฐีมีข้าไท |
อย่ากีดขวางหลีกไปให้เขามา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงทองประศรีมีครรภ์แก่ |
งามแท้เผ้าผมก็สมหน้า |
ผิวพรรณดังสุวรรณมาทาบทา |
ดวงหน้าดังจันทร์เมื่อวันเพ็ง |
แก้มทั้งสองข้างดังปรางทอง |
เต้านมทั้งสองก็ครัดเคร่ง |
ผิวเนื้อเป็นนวลควรแลเล็ง |
ดูปลั่งเปล่งน่าชมพอสมตัว |
จำศีลภาวนาเป็นเนืองนิจ |
น้อมจิตรนบนิ้วขึ้นเหนือหัว |
ภาวนาบูชาด้วยดอกบัว |
ไม่กลัวที่จะเป็นอันตราย |
จนท้องโตใหญ่ได้สิบเดือน |
บุญเตือนจะคลอดลูกสืบสาย |
ลมกัมมัชวาตพัดกลับกลาย |
ลูกนั้นบ่ายศีรษะลงทวาร |
เจ็บท้องร้องแรกอยู่เวยวาย |
ปู่ตาย่ายายอึงทั้งบ้าน |
ญาติกาข้าไทมาซมซาน |
หมอตำแยงุ่นง่านเข้าผันแปร |
ถึงฤกษ์งามยามปลอดคลอดง่ายดาย |
ลูกนั้นเป็นชายร้องแว้แว้ |
พี่ป้าน้าอามาดูแล |
ล้างแช่แล้วก็ส่งให้แม่นม |
ทาขมิ้นแล้วใส่กระด้งร่อน |
ใส่เบาะให้นอนเอาผ้าห่ม |
ปู่ย่าตายายสบายชม |
เรือนผมน่ารักดังฝักบัว |
เอาขึ้นใส่อู่แล้วแกว่งไกว |
แม่เข้านอนไฟให้ร้อนทั่ว |
เดือนหนึ่งออกไฟไม่หมองมัว |
ขมิ้นแป้งแต่งตัวน่าเอ็นดู |
พ่อแม่ปรึกษากับย่ายาย |
จะชื่อหลานชายอย่างไรปู่ |
ฝ่าตาตะแกเป็นหมอดู |
คิดคูณเลขอยู่ให้หลานชาย |
ปีขาลวันอังคารเดือนห้า |
ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย |
กรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย |
มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธยา |
ให้ใส่ปลายยอดพระเจดีย์ใหญ่ |
สร้างไว้แต่เมื่อครั้งเมืองหงสา |
เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา |
ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว |
แล้วเร่งรัดจัดแจงแต่งบายศรี |
เงินทองของดีมาผูกให้ |
กล้วยน้ำแตงกวาเอามาใส่ |
ธูปเทียนดอกไม้มีหลายพรรณ |
ให้หลานใส่เสมาปะวะหล่ำ |
กำไลทองคำงามเฉิดฉัน |
บ้าหว่าทองผูกสองข้างแขนนั้น |
สายกุดั่นทั้งแท่งดังแกล้งทำ |
เอวคาดสร้อยอ่อนซ้อนดอกลอย |
ฝังพลอยมรกตสีสดขำ |
ผูกลูกพริกเทศด้วยทองคำ |
กำไลตีนนากเห็นหลากตา |
จัดแจงแขกนั่งเป็นวงกัน |
พงศ์พันธุ์พร้อมอยู่ทั้งปู่ย่า |
ยกบายศรีแล้วโห่ขึ้นสามลา |
เวียนแว่นไปมาโห่เอาชัย ฯ |
๏ ศรีศรีวันนี้ฤกษ์ดีแล้ว |
เชิญขวัญพลายแก้วอย่าไปไหน |
ขวัญมาอยู่สู่กายให้สบายใจ |
ชมช้างม้าข้าไททั้งเงินทอง |
ขวัญเอ๋ยเจ้ามาเถิดพ่อมา |
อย่าเที่ยวล่ากะเกณฑ์ตระเวนท่อง |
มาชมพวงแก้วแล้วพวงทอง |
ข้าวของเหลือหลายสบายใจ |
ครั้นแล้วก็โห่อิกสามที |
ดับอัคคีโบกควันเจิมพักตร์ให้ |
ให้ชันษายืนหมื่นปีไป |
มีชัยชำนะสวัสดี |
ครั้นทำขวัญเสร็จสำเร็จการ |
วงศ์วานปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จนอายุพลายแก้วได้ห้าปี |
พาทีแคล่วคล่องว่องไว ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนางศรีประจัน |
เมื่อเจ้ามีครรภ์ท้องโตใหญ่ |
ยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ |
ถ้วนกำหนดได้ถึงสิบเดือน |
เจ็บรนก็พ้นที่จะกลั้น |
ลุกขึ้นถีบยันจะคลอดเคลื่อน |
กลิ้งเกลือกเสือกร้องก้องทั้งเรือน |
จิตรประหวั่นฟั่นเฟือนไม่สมประดี |
ปู่ย่าตายายทั้งพ่อแม่ |
หมอตำแยแม่มดที่ถือผี |
ต่างมาพร้อมกันในทันที |
พี่ป้าน้าอาทั้งข้าไท |
บ้างเอาเบี้ยขึ้นควงบวงบน |
ปากบ่นพึมพำไม่เอาส่ำได้ |
ออท้าวหาวเรอเฮ่อเฮ่อไป |
หากูมาทำไมอ้ายขุนโรง |
คว้าเหล้าเข้าปากเคี้ยวหมากซ้ำ |
ลุกขึ้นเต้นรำอยู่โหยงโหยง |
ซวนคะมำต้ำปุกลุกโก้งโค้ง |
ปะติโปงเท่งโปงรำช้อยไป |
เมาเหล้าเข้าหนักยักสี่มุม |
พ่อหลวงมาช่วยคุ้มหาเป็นไรไม่ |
ปู่ย่าตายายสบายใจ |
โปรดเถิดอีพ่อข้าไหว้ข้าตีนโรง |
มึงอย่าร้อนใจฟังกูว่า |
ลุกขึ้นหลกผ้าอยู่โล้งโต้ง |
ศรีประจันเจ็บท้องร้องโก้งโค้ง |
หมอตำแยเข้าโขย่งแล้วข่มมา |
เข้าล้อมซ้อมข่มอยู่พัลวัน |
ถึงยามนั้นฤกษ์ปลอดคลอดแล้วหวา |
นอนหงายตะกายร้องวาวา |
เป็นหญิงโสภาน่าเอ็นดู |
อาบน้ำแล้วซ้ำทาขมิ้น |
เอานมให้กินแล้วใส่อู่ |
แม่นมข้าไทให้เลี้ยงดู |
กินอยู่เป็นสุขทุกเวลา |
สำเร็จเสร็จพลันทันใด |
ค่อยจำเริญวัยขึ้นใหญ่กล้า |
แม่พ่อก็รักดังดวงตา |
เลี้ยงมามิได้เป็นอันตราย |
ปู่ตาย่าทวดมาทำขวัญ |
แหวนทองผูกพันเข้าเหลือหลาย |
เลี้ยงมาก็ได้ห้าขวบปลาย |
รูปกายงามยิ่งพริ้งเพรา |
ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแม้น |
อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา |
ผมสลวยสวยขำงามเงา |
ให้ชื่อเจ้าว่าพิมพิลาไลย |
สอนเย็บเก็บปักหักทองขวาง |
ที่รุ่นราวคราวนางไม่เปรียบได้ |
เช้าเย็นออกไปเล่นเก็บดอกไม้ |
ที่ข้างวัดเขาใหญ่อยู่อัตรา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพลายแก้วกับขุนช้าง |
ทั้งสองข้างออกไปเล่นกับบ่าวข้า |
พอพบขุนช้างพลางพูดจา |
ไปซื้อเหล้าเอามากินด้วยกัน |
พลายแก้วกินเหล้าเข้าต้ำอึก |
ขุนช้างวางหงึกจนหัวสั่น |
ยั่นกูเมาหนักหนาจนตาชัน |
เทเหล้าใส่ขันชวนเป็นเกลอ |
จึงเอามือพลายแก้วลงจดขัน |
เราซื่อต่อกันจนตายเหนอ |
ถ้าใครทรยศคดต่อเกลอ |
ให้เทพเธอสังหารผลาญชีวัน |
อันดาบองครักษ์ทั้งสี่หมู่ |
อย่าให้แคล้วคอกูเป็นแม่นมั่น |
ขอให้พลัดมารดาห้าร้อยกัลป์ |
จิ้มเอาเหล้าในขันขึ้นควั่นคอ |
พลายแก้วกินเหล้าเข้าต้ำอึก |
ขุนช้างวางบึกตาปอหลอ |
นางพิมพิลาไลยชอบใจงอ |
สมน้ำหน้ามันหนออ้ายจัณฑาล |
แล้วนางเล่นหุงข้าวต้มแกง |
กวาดทรายจัดแจงเป็นรั้วบ้าน |
นางเล่นทำบุญให้ทาน |
ไปนิมนต์สมภารมาเร็วไว |
ขุนช้างนั้นเป็นสมภารมอญ |
ไม่พักโกนหัวกล้อนสวดมนต์ใหญ่ |
พลายแก้วนั้นเป็นสมภารไทย |
จัดแจงแต่งให้ยกของมา |
สวดมนต์ฉันเสร็จสำเร็จแล้ว |
ฝ่ายข้างพลายแก้วอุตริว่า |
เราเล่นเป็นผัวเมียกันเถิดรา |
ขุนช้างร้องว่าข้าชอบใจ |
นางพิมว่าไปอ้ายนอกคอก |
รูปชั่วหัวถลอกกูหาเล่นไม่ |
พลายแก้วว่าเล่นเถิดเป็นไร |
ให้ขุนช้างนั้นไซร้เป็นผัวพลาง |
ตัวข้าจะย่องเข้าไปหา |
จะไปลักเจ้ามาเสียจากข้าง |
ทั้งสองคนรบเร้าเฝ้าชวนนาง |
จึงหักใบไม้วางต่างเตียงนอน |
นางฉลาดกวาดทรายกลายเป็นเรือน |
พูนขึ้นกล่นเกลื่อนดังฟูกหมอน |
นางพิมนอนพลางกลางดินดอน |
เจ้าขุนช้างหัวกล้อนเข้านอนเคียง |
พลายแก้วโดดแหวกเข้าแทรกกลาง |
ชกหัวขุนช้างที่กลางเกลี้ยง |
ขุนช้างทำหลับอยู่กับเตียง |
ฝ่ายนางพิมนอนเคียงค่อยเมียงมอง |
ขุนช้างวางร้องก้องกู่โวย |
ขโมยลักเมียกูจู่จากห้อง |
ลุกขึ้นงุ่นง่านเที่ยวซานร้อง |
เรียกหาพวกพ้องให้ติดตาม |
อ้ายเด็กๆ กราวเกรียวบัดเดี๋ยวใจ |
พวกขุนช้างรุกไล่ไม่เข็ดขาม |
พอทันพวกพลายแก้วแล้วเลยลาม |
ถ้อยทีถ้อยปามเข้าตีกัน |
จมูกครากปากแตกจนเลือดไหล |
บ้างก็วิ่งร้องไห้ไปตัวสั่น |
เรียกหาพ่อแม่อยู่แจจัน |
จนผู้ใหญ่ชวนกันมาห้ามไว้ |
นางพิมด่าให้อ้ายตายโหง |
พวกอ้ายโล้งโต้งกูไม่เล่นได้ |
อ้ายหัวล้านขี้ถังมันจังไร |
แล้วพาฝูงข้าไทไปเรือนพลัน |
เจ้าขุนช้างหัวฟกวิ่งตกใจ |
ข้าไทก็กลัววิ่งตัวสั่น |
ฝนไพลใส่ทาตาเป็นมัน |
ยิงฟันแลบลิ้นแทบสิ้นใจ |
ท่านผู้ฟังทั้งสิ้นอย่ากินแหนง |
จะประดิษฐ์คิดแต่งก็หาไม่ |
เด็กอุตริเล่นหากเป็นไป |
เทวทูตดลใจให้ประจักษ์ตา |
เด็กเล่นสิ่งไรก็ไม่ผิด |
ทุจริตก็เป็นเหมือนปากว่า |
อันคดีมีแต่โบราณมา |
ตำรานี้มีอยู่ในสุพรรณ ฯ |
๏ ครั้นอยู่มาขุนศรีวิชัย |
กับเมียรักร่วมใจทั้งสองนั่น |
จึงปรึกษายินยอมลงพร้อมกัน |
ว่าขุนช้างลูกนั้นจำเริญวัย |
ควรจะเข้าไปเฝ้าพระพันวษา |
ถวายตัวลูกยาจึงจะได้ |
ให้เป็นข้าบาทบงสุ์ทรงช่วงใช้ |
บังไว้ความผิดจะติดตัว |
ปรึกษากันพลันสั่งซึ่งข้าไท |
ให้พาไปอาบน้ำแล้วดำหัว |
ทาขมิ้นผัดแป้งแต่งตัว |
เอามุหน่ายป้ายทั่วจนท้ายทอย |
กำไลทองสองเส้นเน้นสองแขน |
ให้ถือแหวนเพชรยอดสอดใส่ก้อย |
ดูเหมือนลูกเสือปลานัยน์ตาลอย |
วิ่งร่อยร่อยยักคอเข้าหอกลาง |
จึงให้หาธูปเทียนทั้งดอกไม้ |
ใส่พานจัดไปตามเยี่ยงอย่าง |
ทั้งเสบียงเลี้ยงกันที่ตามทาง |
ให้ผูกช้างพลายนั้นมาทันใด |
พ่อลูกขึ้นนั่งสัปคับ |
ควาญขับออกจากบ้านรั้วใหญ่ |
ข้ามธารผ่านทุ่งมุ่งทิวไม้ |
บ่าวไพร่งุ่มง่ามตามกันมา |
ครั้นถึงวัดธรรมาก็ยับยั้ง |
ปลงช้างข้างฝั่งแม่น้ำหน้า |
เจ้าขุนช้างกะจิริดกับบิดา |
ข้ามท่าคอยเข้าในกรุงไกร |
ชาวบ้านร้านตลาดพอผาดเห็น |
ร้องว่าเป็นเวทนาน่ามันไส้ |
เด็กอะไรหัวล่อนกล้อนสุดใจ |
แลไปเหมือนหนึ่งหลอกบอกเพื่อนกัน |
จะว่าค่างฤๅลิงวิ่งมาเกิด |
อ้ายผีนอกละเมิดที่ไหนปั้น |
ชายหญิงวิ่งหัวร่ออยู่งองัน |
ดูจนพ่อลูกนั้นเข้าในวัง |
พวกขุนนางต่างคนที่คอยเฝ้า |
พอเห็นเข้าก็หัวเราะราวจะคลั่ง |
ขุนช้างน้อยพลอยประหม่าละล้าละลัง |
เข้าหมอบชิดติดหลังบังบิดา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ |
เลิศลบสยบแสยงทั้งแหล่งหล้า |
ทุกประเทศเขตขัณฑสิมา |
ออกระอาอ่อนเกล้าอภิวันท์ |
ต่างถวายเครื่องราชบรรณา |
ขอขึ้นอยุธยาทุกเขตขัณฑ์ |
พระเดชปกเกศเป็นนิรันดร์ |
เกษมสันต์ทั่วหน้าประชากร |
ขาดเข็ญเป็นสุขโสมนัส |
สืบพระวงศ์พงศ์กษัตริย์มาแต่ก่อน |
กรุงศรีอยุธยาสถาพร |
สโมสรโสมนัสสวัสดี |
เสด็จในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ |
พร้อมขนัดนวลอนงค์ส่งศรี |
น้อมเศียรหมอบเฝ้าเจ้าธานี |
ทุกหน้าที่พร้อมพรักพนักงาน |
แต่ละหน้าหน้านวลควรสวาดิ |
บำเรอราชหฤทัยเกษมสานต์ |
ดังดาวล้อมแขไขในคัคนานต์ |
หมอบกรานคลานเฝ้าเป็นเหล่าไป |
ทั้งพวกจำเรียงเสียงดนตรี |
ก็เรื่อยรี่ขับประสานขานไข |
เพลิดเพลินเจริญราชหฤทัย |
นางในปฏิบัติเป็นอัตรา |
พระสุริย์ฉายบ่ายแล้วสี่โมงเศษ |
จะประเวศออกที่พระลานหน้า |
บทจรสู่สรงพระคงคา |
ไขสุหร่ายธาราลงซ่าเซ็น |
ทรงสุคนธ์หอมฟุ้งจรุงกลิ่น |
พระภูษาดอกกินรีเด่น |
จับพระแสงนาคาหน้าดังเป็น |
พอจวนเย็นออกหน้าพระลานพลัน |
สนั่นเสียงแตรสังข์ประดังก้อง |
ประโคมฆ้องกลองชนะคะครื้นครั่น |
ตำรวจหน้าข้าราชการนั้น |
ต่างก้มเกล้าอภิวันท์อัญชลี |
ประทับเหนืออาสน์เอี่ยมลอออ่อน |
ดังพระยาไกรสรราชสีห์ |
จึงขุนศรีวิชัยใจภักดี |
กับขุนช้างคลานรี่ติดเข้ามา |
ยกพานธูปเทียนแลดอกไม้ |
เข้าไปตั้งไว้ที่ตรงหน้า |
ขุนช้างหมอบชิดกับบิดา |
ภาวนาคิดกลัวแทบตัวตาย ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรเห็นดอกไม้ธูปเทียนถวาย |
ทั้งขุนศรีวิชัยกับลูกชาย |
แย้มพระโอษฐ์อภิปรายประภาษมา |
ฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนศรีวิชัย |
นั่นมึงพาลูกใครเข้ามาหวา |
ดูหัวหูน่าสมเพชเวทนา |
เป็นเชื้อวงศ์พงศาของผู้ใด |
ฤๅลูกหลานว่านเครือจองมึงเอง |
หัวล้านโจงเหม่งไม่เอาส่ำได้ |
จะเอามาให้กูฤๅว่าไร |
มีธูปเทียนดอกไม้ใส่พานมา ฯ |
๏ ครานั้นขุนศรีวิชัย |
กราบลงทันใดแล้วทูลว่า |
ขอเดชะพระองค์จงกรุณา |
อันชีวาอยู่ใต้บทมาลย์ |
ขุนช้างบุตรข้าพระพุทธเจ้า |
ขอทูลเกล้าถวายไว้เป็นทหาร |
ด้วยชะตาราศีมีลาภสการ |
มาสู่โพธิสมภารพระทรงชัย |
แต่เกิดบุตรขุนช้างคนนี้ |
เงินทองของดีทั้งน้อยใหญ่ |
วัวควายช้างม้าข้าไท |
มิพอที่จะได้ก็ได้มา ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร |
ฟังทูลทรงพระสรวลอยู่ร่วนร่า |
เออหัวหูดูสมเพชเวทนา |
แต่ได้ลาภอย่างว่าก็ชอบกล |
เดี๋ยวนี้มันยังเด็กเล็กอยู่ |
จะมอบไว้ให้กูไม่เป็นผล |
เอ็งเลี้ยงไว้ก่อนอย่าร้อนรน |
ไว้เมื่อจนเติบใหญ่จึงให้มา |
ตรัสพลางทางสั่งพนักงาน |
จัดของพระราชทานทั้งเสื้อผ้า |
พ่อลูกกราบงามลงสามลา |
ด้วยทรงพระกรุณาก็ยินดี ฯ |