๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
พระท้ายน้ำพลายงามนั่งปรึกษา |
บัดนี้มีชัยได้พารา |
จำจะแจ้งกิจจาไปกรุงไกร |
ให้พระองค์ทรงทราบข่าวคดี |
ว่าเราตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ |
ทั้งตัวเจ้าเชียงอินท์ปิ่นราชัย |
จะโปรดปรานประการใดให้รู้ความ |
จึงพร้อมใจให้เขียนเป็นสารา |
ประทับตราหนุมานชาญสนาม |
กับสำเนาเข้าผนึกบันทึกความ |
ห่อสามชั้นใส่ในกลักพลัน |
ปากกระบอกพอกครั่งประจำตรา |
สั่งนายปานขวานฟ้านายคงมั่น |
เอ็งไปเลือกม้าดีที่สำคัญ |
พากันรีบไปในพรุ่งนี้ |
ไปทางลัดตัดตรงลงระแหง |
พ้นกำแพงหมายมุ่งเอากรุงศรี |
เสร็จการกลับมาอย่าช้าที |
ให้ถึงนี่ปลายเดือนอย่าเคลื่อนคลา ฯ |
๏ สองนายคำนับรับกระบอก |
ออกมารีบรัดจัดห่อผ้า |
ได้ข้าวตากกรอกไถ้ไปผูกม้า |
เลือกหาถูกทำนองที่ว่องไว |
ได้ม้าผ่านเผ่นผจญด้นธรณี |
ต่างขึ้นขี่ควบร่อยแล้วปล่อยใหญ่ |
ลัดป่าผ่าดงตรงไป |
พอได้สิบวันครึ่งถึงอยุธยา |
ตรงมาศาลาลูกขุนใน |
เรียนเจ้าคุณผู้ใหญ่อยู่พร้อมหน้า |
บัดนี้ท่านขุนแผนแสนศักดา |
ให้กระผมถือตรามากราบท้าว |
บอกขานการไปรณรงค์ |
ให้กราบทูลพระองค์ทรงทราบข่าว |
ว่าบัดนี้มีชัยได้เมืองลาว |
จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประการใด ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณอธิบดี |
ทราบว่าตีได้เวียงเมืองเชียงใหม่ |
สั่งนายเวรทันทีด้วยดีใจ |
คัดบอกไวไวมาให้เรา |
นุ่งสมปักปูมแดงแย่งนาคราช |
หยิบผ้ากราบมาคาดบั้นเอวเข้า |
จวนเสด็จออกข้างหน้าเวลาเช้า |
ก็รีบไปคอยเฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
สถิตที่ข้างในมไหศวรรย์ |
พอเวลาสายสีรวีวรรณ |
จรจรัลออกพระโรงพรรณราย |
ประทับเหนือพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ |
ภายใต้เศวตฉัตรจำรัสฉาย |
เหล่าอำมาตย์หมื่นหมอบนอบน้อมกาย |
กราบถวายบังคมอยู่พร้อมกัน ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณอธิบดี |
กราบทูลทันทีขมีขมัน |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
บัดนี้ขุนแผนแสนสงคราม |
กับนายพลายงามซึ่งอาสา |
บอกมากราบทูลพระกรุณา |
เสมียนตราคลี่บอกออกอ่านพลัน ฯ |
๏ ในบอกว่าขุนแผนแสนสงคราม |
กับนายพลายงามคนขยัน |
อาสาบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ |
คุมพหลพลขันธ์ไปชิงชัย |
ได้เร่งรัดจัตุรงค์ทวยหาญ |
ยกขึ้นไปถึงชานเมืองเชียงใหม่ |
ให้หยุดทัพยับยั้งตั้งซุ่มไว้ |
แล้วปลอมตัวเข้าไปในพารา |
เวลาค่ำลอบเข้าในคุกใหญ่ |
แก้ไขไทยมาได้ถ้วนหน้า |
ช่วยกันฆ่าคนปล้นช้างม้า |
แล้วกลับมาที่ตั้งยั้งโยธี |
ครั้นรุ่งเช้าลาวยกมาห้าทัพ |
ไพร่พลคนคับทั้งไพรศรี |
ข้าพเจ้าขับพลเข้าราวี |
ต่อตีรบรุมตะลุมบอน |
ฆ่านายตายลงในที่รบ |
ไพร่ก็หลบหนีหายกระจายว่อน |
ทั้งห้าทัพกลับถอยเข้านคร |
ปิดประตูลงกลอนไว้ทุกชั้น |
แล้วรักษาหน้าที่ใบเสมา |
ตรวจตราเข้มงวดกวดขัน |
กองไฟไว้สว่างเหมือนกลางวัน |
คอยป้องกันตั้งรับกองทัพไทย |
ในคืนนั้นข้าพเจ้ากับพลายงาม |
ลอบตามขึ้นปราสาทเจ้าเชียงใหม่ |
พบกำลังนอนหลับจับตัวไว้ |
แล้วปลุกขึ้นตกใจอยู่ลนลาน |
กลัวตายขอถวายองค์สร้อยทอง |
กับพวกพ้องประยูรญาติราชฐาน |
ทั้งธิดาเมียมิ่งแลศฤงคาร |
ไว้ใต้เบื้องบทมาลย์พระทรงฤทธิ |
ส่วนตัวนั้นก็ถ่อมยอมเป็นข้า |
ถวายราชบรรณาจนดับจิต |
ขอแต่อย่าให้ตายวายชีวิต |
ให้ความสัตย์สุจริตทุกสิ่งอัน |
เห็นรับเป็นสัจจังพอฟังได้ |
จึงงดไว้ไม่ฆ่าให้อาสัญ |
ข้าพเจ้าตรึกตราปรึกษากัน |
ให้นายปานกับนายมั่นถือบอกมา |
ให้ความทราบบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ |
ถ้าพลั้งผิดได้โปรดเหนือเกศา |
ยังยับยั้งฟังพระราชบัญชา |
จะทรงพระกรุณาประการใด ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทราบเหตุว่าตีเชียงใหม่ได้ |
ราวกับจอมสุทัศน์สหัสนัยน์ |
มาเชิญให้ไปผ่านพิมานอินทร์ |
พระพักตร์ผุดผ่องพรรณรังสี |
เปรมปรีดิ์ชื่นชมสมถวิล |
เออกระนี้สิหนอพอได้ยิน |
เหมือนปลิดปลดหมดสิ้นที่ขุ่นแค้น |
กูเป็นไข้ใจมานี่กว่าปี |
วันนี้หายป่วยด้วยขุนแผน |
ที่มันทำความชอบจะตอบแทน |
ทั้งพ่อลูกให้แม้นเสมอกัน |
เจ้าพระยาจักรีจงมีตรา |
ให้หากองทัพกลับเขตขัณฑ์ |
ส่วนอ้ายเถ้าเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น |
ว่าโทษมันถึงอุกฤษฎ์เพราะคิดร้าย |
ต้องตามกำหนดบทอัยการ |
ควรประหารชีวิตให้ฉิบหาย |
พวกเสนาข้าเฝ้าเข้ากับนาย |
ก็ล้วนโทษถึงตายไม่เว้นตัว |
ส่วนบุตรภรรยาข้าทาส |
ต้องตกเป็นคนระบาตรด้วยโทษผัว |
ริบทั้งช้างม้าแลควายวัว |
ครอบครัวเงินทองของที่มี |
ทั้งบรรดาหญิงชายชาวนคร |
ต้องกวาดต้อนเป็นเชลยมาตามที่ |
ข้อที่มันอ่อนน้อมยอมภักดี |
กูปรานียกให้ชีวิตไว้ |
แต่กวาดครัวเอาตัวมาให้หมด |
ให้ปรากฏแก่ประเทศทั้งน้อยใหญ่ |
จะได้เป็นเยี่ยงอย่างข้างหน้าไป |
มิให้ใครทุจริตผิดเหมือนมัน |
อนึ่งนางสร้อยทองผ่องโสภา |
ซึ่งมันกล้าชิงไปเชียงใหม่นั่น |
กับสร้อยฟ้าธิดาของมันนั้น |
ให้ส่งกันมาอย่างเป็นนางใน |
ด้วยว่าราชบุตรีศรีสัตนา |
เป็นต้นเหตุรบรากับเชียงใหม่ |
จึงจะเป็นเกียรติยศปรากฏไป |
ว่ามีชัยได้นางนั้นคืนมา |
จงจัดเรือประเทียบให้เรียบร้อย |
ขึ้นไปคอยรับนางให้ถึงท่า |
เรือรับอ้ายขุนแผนแสนศักดา |
ก็เอาเรือกัญญาไปสองลำ |
ทั้งพ่อลูกความดีมีหนักหนา |
ให้มันขี่เรือกัญญามาให้ขำ |
ให้ฦๅเลื่องเฟื่องฟุ้งทุกคุ้งน้ำ |
ว่าไปทำเชียงใหม่ได้บ้านเมือง |
อันครอบครัวกับตัวอ้ายเชียงใหม่ |
เอามันใส่เรือตามให้หลามเนื่อง |
มันอยากทำวุ่นให้ขุ่นเคือง |
ให้ชาวเมืองดูเล่นเป็นขวัญตา ฯ |
๏ ท่านเจ้าคุณมหาดไทยชัยชาญ |
รับพระราชโองการใส่เกศา |
ออกจากพระโรงชัยไปศาลา |
ให้ร่างเรื่องสารตราเข้าฉับพลัน |
ขึ้นกระดาษเสร็จสรรพประทับตรา |
ใส่กลักปิดฝาสนิทมั่น |
สองนายรับตรากราบลาพลัน |
พากันรีบออกนอกกรุงไกร |
ขับม้าลัดไปในไพรสัณฑ์ |
สิบวันเร่งตะบึงถึงเชียงใหม่ |
ลงจากม้าหมอบกรานคลานเข้าไป |
ส่งกลักตราให้ขุนแผนพลัน ฯ |
๏ ขุนแผนคำนับแล้วรับสาร |
ต่อยกลักชักออกอ่านขมีขมัน |
ทราบเรื่องสารตราสารพัน |
ก็บอกกันถ้วนหน้าบรรดาไทย |
แล้วสั่งลูกชายเจ้าพลายงาม |
เจ้าเข้าไปแจ้งความเจ้าเชียงใหม่ |
ว่าบัดนี้พระองค์ผู้ทรงชัย |
ให้กวาดครัวลงไปอยุธยา |
เก็บทั้งสมบัติพัสถาน |
ประทานแต่ชีวิตไม่เข่นฆ่า |
ให้บอกกล่าวกันทั่วตัวประชา |
เราจะรั้งรอท่าสิบห้าวัน ฯ |
๏ พลายงามรับคำแล้วอำลา |
พวกอาสาตามหลังไปเป็นหลั่น |
เข้าไปในท้องพระโรงพลัน |
อภิวันท์ทูลท้าวเจ้าเชียงอินท์ |
ว่ามีตรามาแต่พระราชฐาน |
ให้กวาดกว้านครัวไปให้เสร็จสิ้น |
ด้วยความผิดคิดร้ายในแผ่นดิน |
ทั้งภูมินทร์เมียมิ่งแลศฤงคาร |
ให้เสนารักษาเมืองเชียงใหม่ |
คุมพระองค์ลงไปยังราชฐาน |
ให้ต้องตามจารีตโบราณกาล |
พระราชทานแต่ชีวันไม่บรรลัย ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นนัคเรศ |
ทราบเหตุว่าจะกวาดไปกรุงใต้ |
แสนวิตกอกร้อนดังนอนไฟ |
พระพักตร์ไหม้หมองหมดสลดพลัน |
กล่าวสุนทรวอนว่ากับพลายงาม |
ก็รู้ความอยู่ว่าโทษเป็นมหันต์ |
ครั้งนี้ที่จะปลอดรอดชีวัน |
ก็เพราะทั่นแม่ทัพทั้งสองนาย |
เจ้าพลายตอบว่าอย่าเศร้าจิต |
ด้วยโทษท่านนั้นอุกฤษฎ์ผิดมากหลาย |
จำเป็นจำยากลำบากกาย |
จะช่วยทูลเบี่ยงบ่ายให้คืนเมือง ฯ |
๏ สาธุข้อยก็หวังทั้งสองนาย |
รอดตายก็เพราะท่านช่วยปลดเปลื้อง |
แม้นได้คืนเชียงอินท์สิ้นความเคือง |
จะมอบกายถวายเครื่องบรรณาการ |
เจ้าพลายงามรับคำแล้วอำลา |
กลับมาที่อยู่หมู่ทหาร |
เจ้าเชียงใหม่สั่งเสียพวกเพี้ยกวาน |
ให้ร้องป่าวชาวบ้านทั้งบุรี |
สั่งเสร็จก็เสด็จเยื้องย่าง |
กลับเข้าในปรางค์ปราสาทศรี |
พระทัยแสนโศกศัลย์พันทวี |
มาถึงที่แท่นทองห้องไสยา |
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ |
ตรัสบอกนางอัปสรเสนหา |
ว่าพระจอมมงกุฎอยุธยา |
มีท้องตรามาถึงท่านแม่ทัพ |
ให้กวาดครัวกับตัวเราลงไป |
คงตกอยู่กรุงไทยมิได้กลับ |
ทั้งผู้คนใหญ่น้อยจะพลอยยับ |
ต้องล้มตายก่ายทับไปรวดทาง |
โอ้ว่ากองกรรมมานำจิต |
ให้กระทำทุจริตไปผิดอย่าง |
อยู่หลัดหลัดจะมาพลัดไปจากปรางค์ |
ตรัสพลางโศกศัลย์รำพันครวญ ฯ |
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลัย |
ได้ฟังคำร่ำไห้พิไรหวน |
แสนสนมกำนัลก็รัญจวน |
สุดกำสรวลแสนกำสรดสลดใจ |
โอ้อกจะตกไปกรุงล่าง |
จะย่อยยับอับปางเป็นไฉน |
ต้องตกทุกข์ขุกเข็ญเป็นบ่าวไทย |
จะบรรลัยแหลกล่มถมดินดาน |
ลูกเต้าจะกำจัดพลัดพ่อแม่ |
ปู่เถ้าย่าแก่จะพลัดหลาน |
องค์กษัตริย์จะกำจัดจากศฤงคาร |
สาวสนมก็จะพล่านไปพลัดวัง |
คุณจอมหม่อมยายข้างฝ่ายใน |
เสียงร้องไห้เซ็งแซ่ดังแตรสังข์ |
ลงกลิ้งเกลือกเสือกดิ้นสิ้นกำลัง |
เหมือนนางรังต้องลมระเนนไป ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ใจอนาถ |
ตรัสประภาษแก่สนมทั้งน้อยใหญ่ |
จงกลั้นกลืนโศกเศร้าให้เบาใจ |
มิบรรลัยคงได้มาพาราเรา |
ถ้าตัวกูตายอยู่ในเมืองใต้ |
เอ็งจึงจะต้องไปเป็นข้าเขา |
เดชะบุญโทษทัณฑ์ถ้าบรรเทา |
พวกสูเจ้าคงไม่ตกอยู่เมืองไทย |
นี่กองกรรมเราทำไว้ด้วยกัน |
มาตามทันเราทั้งผองอย่าร้องไห้ |
จงสู้กรรมไปก่อนอย่าร้อนใจ |
ถึงร้องไปก็ไม่พ้นทนเวทนา ฯ |
๏ ฝ่ายฝูงประชาชาติราษฎร |
ก็ทุกข์ร้อนข้อนอกไปทั่วหน้า |
ดังจะตีตนตายฟายน้ำตา |
ต่างจัดหาของข้าวจะเอาไป |
บ้างเลื่อยกลักจักกระบอกกรอกปลาร้า |
ทั้งน้ำปลาปลาแดกเอาแทรกใส่ |
พริกกะเกลือเนื้อกวางเอาย่างไว้ |
บ้างเย็บไถ้ใส่ข้าวตากจัดหมากพลู |
ครกกระบากสากจ่าปลาร้าปลาแห้ง |
หม้อข้าวหม้อแกงกะทะหู |
เที่ยววิ่งรนค้นหาน้ำตาพรู |
บ้างแลดูหน้าเมียเสียน้ำใจ |
บ้างข้อนอกอึกอึกนึกถึงชู้ |
บ้างแต่งขันหมากรากพลูอยู่ใหม่ใหม่ |
กำลังมัวหวานมันไม่ทันไร |
เข้าในห้องร้องไห้ทั้งผัวเมีย |
ลางคนปลูกหอพึ่งขอสู่ |
พวกผู้ใหญ่ให้อยู่ด้วยกันเสีย |
ที่ผัวตายเป็นหม้ายอยู่แต่เมีย |
ลงทอดตัวงัวเงียร้องไห้งอ |
ที่นักเลงขับร้องก็ตรองเตรียม |
เคี่ยมเคี้ยเพลี้ยแคนทั้งปี่อ้อ |
โทนทับกระจับปี่สีซอ |
เตรียมไปขอทานเขาเอามากิน |
บ้างมีทองของแห้งเครื่องแต่งตน |
เอาซุกซนซ่อนไว้ในผ้าซิ่น |
ทั้งแหวนทองเล็กน้อยหัวพลอยนิล |
บ้างถอดปิ่นที่ปักหักห่อไป |
ที่ของหยาบหยาบเหลือหาบคอน |
เอาซุกซ่อนไว้ในโพรงต้นไม้ใหญ่ |
บ้างฝังแฝงปลอมผีที่วัดไว้ |
บ้างซุกใส่สระบ่อแลท่อน้ำ |
บ้างพ่อแม่แก่เกินเดินไม่รอด |
บ้างตาบอดเสียขาอะร้าอะร่ำ |
ที่ป่วยเจ็บไข้จับยับระยำ |
จะปลุกปล้ำกันไปไม่ไหวแท้ |
บ้างตาปู่อยู่บ้านลูกหลานไป |
เสียงร้องไห้รักกันสนั่นแซ่ |
ทั้งลูกเล็กเด็กกระจอมอแม |
บ้างท้องแก่ไปไม่รอดลงทอดตัว |
บ้างออกลูกมาสักครู่พึ่งอยู่ไฟ |
พ่อก็ไปทัพตายเป็นหม้ายผัว |
จะอยู่ก็ไม่ได้ไปก็กลัว |
แต่ตีอกชกหัวไปทั่วเมือง ฯ |
๏ ครั้นจะใกล้เลิกทัพเขาขับต้อน |
เที่ยวหาบคอนเกลื่อนกล่นถนนเนื่อง |
พวกนางในไห้เทวษทวีเคือง |
ต่างจัดเครื่องเงินทองข้าวของตน |
องค์พระเจ้าเชียงอินท์ปิ่นราชัย |
รับสั่งให้ผูกช้างมาเกลื่อนกล่น |
ให้นางห้ามขึ้นนั่งหลังละคน |
ข้าวของกองล้นบนสัปคับ |
คุณท้าวชาววังสั่งโขลนจ่า |
ให้ขึ้นหน้านั่งประจำอยู่กำกับ |
พวกสนมกรมวังก็คั่งคับ |
เทียบไว้เป็นอันดับออกดาษดิน |
ช้างทรงสร้อยทองกับสร้อยฟ้า |
กระโจมทองสองหน้าดูเฉิดฉิน |
ดาดพื้นสีแดงแย่งทรงข้าวบิณฑ์ |
มีม่านทองป้องสิ้นกำบังองค์ |
ช้างที่นั่งเจ้าเชียงใหม่มเหสี |
แต่ล้วนขี่กูบทองก่องก่ง |
หมอควาญคนขยันมั่นคง |
เทียบประทับเกยทรงตรงชลา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิเชี่ยวชาญหาญกล้า |
กับพลายงามลูกรักอันศักดา |
ต่างขึ้นคอช้างงาสง่างาม |
พระท้ายน้ำกำกงธงอาสา |
ก็ขึ้นขี่ช้างงามาทั้งสาม |
เหล่าพวกทหารชาญสงคราม |
ขี่ช้างม้ามาตามออกหลามทาง |
ขุนแผนสั่งกำชับกับพวกไทย |
จัดกันให้แยกกองเดินสองข้าง |
พวกครัวเดินรายมาสายกลาง |
ให้กองช้างเดินก่อนผ่อนกันมา |
ให้บรรดาพวกลาวชาวเวียงจันทน์ |
ช่วยป้องกันเดินรายทั้งซ้ายขวา |
คอยกำกับทัพลาวชาวพารา |
ให้อาสาต้อนหลังระวังครัว |
ช้างเถื่อนมากกว่าต่ออย่าอ้อแอ้ |
ดูแลไปทั้งมวลให้ถ้วนทั่ว |
อ้ายพวกไหนสู้รบฤๅหลบตัว |
ออกสกัดตัดหัวอย่าไว้มัน ฯ |
๏ ครั้นได้ฤกษ์ให้เลิกโยธาทัพ |
คั่งคับพสุธาโกลาลั่น |
พวกทหารขานโห่ขึ้นพร้อมกัน |
ยิงปืนครื้นครั่นสนั่นไป |
องค์พระเจ้าเชียงใหม่มเหสี |
กับสนมนารีทั้งน้อยใหญ่ |
ขึ้นช้างพร้อมกันด้วยทันใด |
สั่งให้ท้าวหนูอยู่เฝ้าวัง |
ออกช้างทางประตูบูรพทิศ |
เจ้าเชียงอินท์ผินพิศมาเบื้องหลัง |
แลเห็นปรางค์มาศราชวัง |
พระเนตรหลั่งชลนัยน์อาลัยลา |
โอ้เสียดายปราสาทราชฐาน |
ได้อยู่มาช้านานแต่ปู่ย่า |
คงย่อยยับเยือกเย็นเป็นป่าช้า |
จะรกร้างโรยราลงทุกวัน |
พระปรัศว์ทัดเทียมเทวสถาน |
ปรางค์มาศดังวิมานเมืองสวรรค์ |
โอ้แต่นี้ลี้ลับไปฉับพลัน |
สารพันจะผุพังเป็นรังแร้ง |
แสนเสียดายมิ่งไม้ในสวนขวา |
ทั้งสระแก้วปทุมาจะเหือดแห้ง |
ท้องพระโรงก็จะร้างเป็นกลางแปลง |
ที่นั่งโถงโรงแสงจะทรุดโทรม |
นิจจาเอ๋ยเคยออกที่นั่งเย็น |
จะรกเป็นแฝกพงดงผักโหม |
เรือนสนมทุกตำหนักจะหักโทรม |
ทั้งเสาโคมสี่คันจะอันตราย |
โอ้เสียดายโรงรถคชสาร |
ทั้งโรงพาชีชาญจะฉิบหาย |
ป้อมกำแพงก็จะล้มถล่มทลาย |
กระจัดกระจายทั่วสิ้นทั้งถิ่นเมือง |
เสียดายเอ๋ยเคยเล่นสนามจัณฑ์ |
นับวันก็จะลุ่มเป็นคลองเหมือง |
ที่ท่าวังจะเป็นหาดน้ำขาดเคือง |
ดินหล้าฟ้าจะเหลืองทั้งเมืองลาว ฯ |
๏ มเหสีโฉมยงองค์อัปสร |
ก็อาวรณ์วิตกอกร้อนผ่าว |
ดังกฤชกรดแกระทรวงให้ร่วงร้าว |
อารมณ์ราวจะวินาศลงขาดรอน |
โอ้ตัวกูอยู่มาในเชียงใหม่ |
เคยแต่ได้เสพย์สุขสโมสร |
ชั้นแต่มีที่ไปในนคร |
ก็ทรงวออรชรให้ชูใจ |
พวกชะแม่แลหลามมาตามหลัง |
ทั้งสนมกรมวังล้อมไสว |
โอ้อกจะตกไปกรุงไทย |
จะเดินปนชนไหล่กับไพร่เลว |
ชั้นข้าหลวงก็จะล่วงมาบังคับ |
จะยากยับเจ็บอกเหมือนตกเหว |
จนผ้าดีจะไม่มีอยู่พันเอว |
อกจะแยกแหลกเหลวทุกวันไป |
โอ้อยู่เมืองเครื่องเสวยเคยประณีต |
ตามจารีตมเหสีที่เชียงใหม่ |
ต้องพลัดพรากจากเมืองไปเคืองใจ |
คงอดอยากยากไร้ไปตามกัน |
ร่ำพลางนางข้อนกายสยายเกศ |
ชลเนตรไหลลงทรงโศกศัลย์ |
ทั้งเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล |
ต่างครวญคร่ำรำพันในทางจร ฯ |
๏ ครั้นยกออกนอกเวียงเมืองเชียงใหม่ |
พวกไทยกองทัพก็ขับต้อน |
พวกลาวครัวกลัวราบบ้างหาบคอน |
อุ้มลูกอ่อนจูงลูกแก่ออกแซ่ทาง |
บ้างแก่เถ้าง่อยเปลี้ยบ้างเสียขา |
เอาเปลหามกันมาอยู่ยุ่งย่าง |
ที่ลางพวกผู้ดีไม่มีช้าง |
เอาวัวควายใส่ต่างบรรทุกไป |
ตารักตามาทั้งตาสาย |
ถือหวายต้อนมาไม่ปราศรัย |
ใครบิดเบือนเชือนลัดพลัดออกไป |
เอาหวายไล่ลุกล้มวิ่งซมซาน |
ตารักร้องว่าเอาอ้ายเถ้าถี |
อีพวกนี้ชาวตลาดมันจาดจ้าน |
กูกับอ้ายหลอไปขอทาน |
มันเอาคานไล่เฆี่ยนหลังเจียนพัง |
กูจำหน้ามันไว้ได้สิ้นเสร็จ |
คราวนี้จะแก้เผ็ดมันเสียมั่ง |
กูจะเฆี่ยนให้ร้องก้องดงรัง |
เอาแต่เขากับหนังไปให้นาย ฯ |
๏ ถึงเวลาอัสดงก็ปลงทัพ |
ดูสะพรั่งคั่งคับคนทั้งหลาย |
ประทับทอดม้าช้างต่างวัวควาย |
ออกเรียงรายแน่นไปในไพรวัน |
ที่ประทับสร้อยทองกับสร้อยฟ้า |
ทำพลับพลาฝารอบเป็นขอบกั้น |
มีเพดานม่านทองไว้ป้องกัน |
ที่ชั้นนอกคนนั่งระวังยาม |
เหล่าพวกครัวหน้านิ่วทั้งหิวอ่อน |
บ้างปลดหาบปลงคอนลงนอนหลาม |
ธรรมเถียรนายกองร้องสั่งความ |
ให้ชักหนามวงป้องกองไฟแดง |
อ้ายพวกไทยทรหดอดมานาน |
พอพลบค่ำก็เที่ยวควานไปทุกแห่ง |
เห็นสาวนอนเข้าเสียดเบียดตะแคง |
บ้างเข้าแฝงกูบอานคลานเข้าไป |
คลำถูกเหี่ยวที่อกก็ยกมือ |
ปะที่ตึงดึงดื้อเข้าคว้าไขว่ |
อีลาวตื่นคลำดูรู้ว่าไทย |
ทำหลับเฉยเลยไปเสียก็มี |
ปะลางทีที่มันไม่เล่นด้วย |
พอเข้าฉวยมันก็ร้องออกก้องมี่ |
ที่นอนใกล้ตกใจไม่สมประดี |
สำคัญว่าเสือหมีเข้ากัดลาว |
ธรรมเถียรนายกองร้องห้ามไป |
อึงอะไรนั่นหวาออกฉ่าฉาว |
อย่าตกใจมิใช่เสือหางยาว |
มันเป็นเสือสองเท้าหางนิดเดียว |
อ้ายเสือเลยกระดากมาจากที่ |
พอกองนี้เงียบไปได้ประเดี๋ยว |
ยังไม่ทันหลับตากองหน้าเกรียว |
อ้ายตัวอื่นไปเกี้ยวเที่ยวรางควาน |
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า |
หุงข้าวเผาปลากินอลหม่าน |
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จการ |
ยกเอาคานใส่บ่าพากันไป |
ทั้งพวกวัวควายต่างแลช้างม้า |
เดินตามกันมาออกไสว |
พวกรั้งทัพขับต้อนค่อนเคี่ยวไป |
เสียงแต่ลาวร้องไห้ในดงดอน ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิราวราชไกรสร |
ขี่คชเดชานำหน้าจร |
รีบร้อนเร่งไปไม่รั้งรา |
ค่ำนอนรุ่งเดินดำเนินพล |
ผู้คนติดตามมาหลามป่า |
สิบสี่วันครึ่งตะบึงมา |
กระทั่งถึงพาราพิจิตรพลัน |
ก็หยุดหย่อนผ่อนพักพลโยธา |
ทอดช้างวางม้าเป็นจ้าละหวั่น |
พวกครัวคั่งคับนับร้อยพัน |
อยู่ที่หลังวัดจันทร์ออกแน่นไป |
สั่งให้ทำที่ประทับพลับพลา |
ให้สร้อยทองสร้อยฟ้าอยู่อาศัย |
ทั้งที่อยู่พระยาลาวเจ้าเวียงชัย |
ส่วนพ่อลูกอาศัยศาลารี ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระพิจิตรบุษบา |
แต่ทราบความตามตราพระราชสีห์ |
ว่าขุนแผนมีชัยได้ธานี |
ก็ยินดีคอยรับจะกลับมา |
เรือประเทียบขึ้นไปได้หลายวัน |
ให้จอดเคียงเรียงกันไว้หน้าท่า |
พวกฝีพายจ่ายเสบียงเลี้ยงข้าวปลา |
ให้พักอยู่ศาลาข้างหน้าวัด |
ที่วัดจันทร์นั้นก็ให้ไปแผ้วถาง |
ปราบที่ทางกว้างใหญ่ไว้ถนัด |
แฝกไม้ข้าวปลาสารพัด |
เตรียมจัดไว้วางทุกอย่างมี |
วันนั้นพวกทนายไปสืบถาม |
ทราบความแล้วรีบมาเร็วรี่ |
ว่ากองทัพกลับมาถึงธานี |
ก็ยินดีชวนกันจะครรไล |
ทั้งผัวเมียรีบรัดผลัดผ้า |
แล้วสั่งเหล่าบ่าวข้าหาช้าไม่ |
ไปบอกขานกรมการมาไวไว |
จะออกไปต้อนรับกองทัพมา |
ครั้นปลัดยกกระบัตรมหาดไทย |
กรมการผู้ใหญ่มาพร้อมหน้า |
พระพิจิตรกับนางบุษบา |
ก็ลงจากเคหาพากันไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
กับพลายงามอยู่หน้าศาลาใหญ่ |
เห็นพระพิจิตรบุษบามาแต่ไกล |
ต่างดีใจไปรับด้วยฉับพลัน |
เชื้อเชิญขึ้นนั่งยังศาลา |
พ่อลูกวันทาทั้งสองทั่น |
ว่าแรกถึงชุลมุนยังวุ่นครัน |
หมายมั่นว่าจะเข้าไปกราบเท้า |
แต่ครอบครัวผู้คนนั้นล้นหลาย |
ทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ไพร่เจ้า |
แต่พอเผลอสักหน่อยคอยเกรียวกราว |
ด้วยเป็นลาวระบาตรต้องกวาดมา |
ยังสร้อยฟ้าสร้อยทองสองนงเยาว์ |
ข้าพเจ้าต้องพิทักษ์รักษา |
ไม่มีใครไว้วางต่างหูตา |
จึงคิดว่าจะเข้าไปในพรุ่งนี้ |
คุณพ่อแม่เมตตาการุญ |
เจ้าประคุณอุตส่าห์มาถึงนี่ |
ยังเป็นสุขทุกทิวาราตรี |
ทั้งศรีมาลาอยู่ดีฤๅฉันใด ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา |
ยิ้มแย้มตอบมาหาช้าไม่ |
อันพ่อแม่แลธิดายาใจ |
ไม่เจ็บไข้เป็นสุขทุกเวลา |
นึกเป็นห่วงบ่วงใยอยู่เย็นเช้า |
คอยเอาใจช่วยเจ้าอยู่หนักหนา |
พอรู้ว่ามีชัยได้พารา |
ก็ตั้งใจคอยท่าทุกคืนวัน |
ครอบครัวมากมายเป็นก่ายกอง |
แต่สองคนดูไหวที่ไหนนั่น |
กรมการเมืองนี้ก็มีครัน |
จะให้มาช่วยกันมิเป็นไร |
ว่าพลางทางเรียกหลวงปลัด |
ยกกระบัตรกรมการผู้น้อยใหญ่ |
เข้ามาพร้อมกันในทันใด |
แล้วออกไปแถลงแจ้งกิจจา |
ท่านเอ๋ยราชการพานหนักแน่น |
ขุนแผนคุมลาวมาหนักหนา |
ถ้าเกิดเหตุอย่างไรในพารา |
เราจะพากันผิดคิดให้ดี |
ท่านปลัดจัดแจงแบ่งพวกเรา |
ให้ช่วยเขารักษาทุกหน้าที่ |
ด้วยว่าเป็นราชการงานธานี |
อย่าให้มีเหตุการรำคาญใจ ฯ |
๏ ขุนแผนพระพิจิตรกรมการ |
ปรึกษากันปันด้านหาช้าไม่ |
ขุนพลนั้นรับรองกองทัพไทย |
ทั้งให้ดูลาวชาวล้านช้าง |
มหาดไทยให้รับเลี้ยงช้างม้า |
โคกระทิงมหิงสาสัตว์ต่างต่าง |
ขุนเมืองคุมครัวดูรั้วทาง |
ให้จัดวางจุกช่องแลกองไฟ |
ขุนวางตั้งประจำที่พลับพลา |
ทั้งที่บุตรภรรยาเจ้าเชียงใหม่ |
ขุนคลังนั้นให้นั่งระวังระไว |
สิ่งของน้อยใหญ่แลเงินทอง |
ขุนนาหน้าที่เป็นกองกลาง |
ประจำฉางจ่ายข้าวแลสิ่งของ |
การต่างต่างวางคนไว้สำรอง |
ทุกหมวดกองสรรพเสร็จสำเร็จพลัน |
หลวงปลัดยกกระบัตรคอยตรวจตรา |
แล้วกะเกณฑ์นาวามาเลือกสรร |
จะส่งทัพกับครัวไปพร้อมกัน |
อิกสามวันจะล่องลงกรุงไกร |
ครั้นวางการเป็นระเบียบเรียบร้อย |
ตะวันชายบ่ายคล้อยพระสุริยใส |
พระพิจิตรบุษบาก็คลาไคล |
กลับไปเคหาไม่ช้าที ฯ |
๏ จะกล่าวถึงศรีมาลายาใจ |
แต่เจ้าพลายจากไปให้หมองศรี |
ค่ำเช้าเฝ้าคะนึงถึงสามี |
อยู่แต่ที่ในห้องนองน้ำตา |
ถึงยามกินอาลัยฤทัยถอน |
ถึงยามนอนใฝ่ฝันประหวั่นหา |
ไม่แย้มสรวลพูดเล่นเจรจา |
เวียนแต่นอนซ่อนหน้ามาเกือบเดือน |
พ่อแม่แลเห็นผิดสังเกต |
ไม่แจ้งเหตุถามลูกก็เลื่อนเปื้อน |
อีเม้ยรับร้อนใจเข้าในเรือน |
กระซิบเตือนนายว่าอย่าโศกนัก |
เจ้าคุณคุณหญิงจะกริ่งใจ |
มิใช่นายเจ็บไข้อะไรหนัก |
ต้องแต่งตัวให้ผ่องละอองพักตร์ |
ทายทักพูดเล่นเจรจา |
ให้เขาเห็นเหมือนแต่ก่อนร่อนชะไร |
ระงับโศกซ่อนไว้แต่ในหน้า |
ถึงจะต้องทนไปก็ไม่ช้า |
หม่อมคงมาสมถวิลสิ้นทุกข์ร้อน |
ศรีมาลาฟังว่าก็เห็นด้วย |
สู้ทำฝืนชื่นชวยเหมือนแต่ก่อน |
พอกลับเข้าห้องในให้อาวรณ์ |
ถึงยามนอนถอนสะอื้นทุกคืนวัน |
คิดถึงผัวให้วิตกอกสะทึก |
ไปสู้ศึกจะอย่างไรไฉนนั่น |
เฝ้าบนบวงเทพไทให้ป้องกัน |
นับวันคอยเจ้าพลายมาหลายเดือน |
พอได้ข่าวกองทัพกลับมาถึง |
ประหนึ่งได้ดวงมณีไม่มีเหมือน |
เรียกอีเม้ยเข้าไปที่ในเรือน |
เอ็งอย่าเชือนหาช่องย่องออกไป |
ถ้าหม่อมพลายถามไถ่จะใคร่รู้ |
จงบอกว่าตัวกูนี้เป็นไข้ |
และฟังดูจะพูดจาว่ากะไร |
เอ็งอย่าให้ใครพะวงสงกา |
อีเม้ยยิ้มแต้แม่อย่ากลัว |
ไม่ได้ตัวหม่อมพลายละนายด่า |
ขอผัดพอพรุ่งนี้มิให้ช้า |
แล้วพูดกันไปมาจนสายัณห์ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งสุริยาภานุมาศ |
ผุดผาดแผ้วกระจ่างสว่างสวรรค์ |
ขุนแผนกับลูกยาปรึกษากัน |
ให้จัดสรรสิ่งของที่ต้องการ |
จะไปให้พระพิจิตรบุษบา |
ทั้งนวลนางศรีมาลายอดสงสาร |
แล้วเรียกเหล่าบ่าวพวกบริวาร |
ให้ขนพามาบ้านท่านผู้รั้ง |
ครั้นถึงจึงขึ้นบนเคหา |
เห็นพระพิจิตรบุษบาอยู่หอนั่ง |
เจ้าพลายแลหาละล้าละลัง |
ใจหวังอยู่แต่ที่ศรีมาลา |
พวกบ่าวขนของมากองเรียง |
เต็มระเบียงหอขวางที่ข้างหน้า |
พ่อลูกนั่งพลันแล้ววันทา |
บอกว่าได้ของมามั่งเล็กน้อย |
โอลาวเสื่ออ่อนแลหมอนขวาน |
โตกพานเช่นเชียงใหม่เขาใช้สอย |
กระบุงหมากขันน้ำมีจอกลอย |
ทั้งใบเมี่ยงน้ำอ้อยจัดเอามา |
กราบเท้าเจ้าประคุณคุณพ่อแม่ |
พอเป็นแต่ของฝากมาจากป่า |
แหวนทับทิมวงนี้มีราคา |
มาให้เจ้าศรีมาลายาใจ ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา |
ว่าพ่อเอ๋ยอุตส่าห์เอามาให้ |
มิเสียแรงรักชอบน่าขอบใจ |
ช่างกะไรแผ่เผื่อเหลือจะดี |
แล้วร้องเรียกเฮ้ยอีเม้ยหวา |
ไปบอกเจ้าศรีมาลาออกมานี่ |
ว่าขุนแผนกลับมาถึงธานี |
ทั้งหม่อมพี่พลายงามก็ตามมา |
เขามีใจได้ของเอามาฝาก |
อย่ากระดากให้อ่อนออกมาหา |
อีเม้ยยิ้มละไมแล้วไคลคลา |
ไปบอกนางศรีมาลาที่ห้องใน ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา |
ได้ยินเสียงพูดจาก็จำได้ |
หม่อมาแล้วสิมิใช่ใคร |
แทบจะวิ่งออกไปด้วยความรัก |
แต่คิดคิดก็วิตกอกผู้หญิง |
ด้วยเรื่องจริงนั้นผู้ใหญ่ไม่ประจักษ์ |
ฉวยหม่อมพลายเผลอพล้ำละล่ำละลัก |
ทำบุ้ยใบ้ทายทักจะเสียการ |
ต้องอดใจไว้พบเพลาอื่น |
กลางคืนเห็นจะมาหาถึงบ้าน |
บอกอีเม้ยไปพลันมิทันนาน |
เอ็งคิดอ่านบอกป่วยช่วยกูที |
แล้วลุกมาแอบมองที่ช่องฝา |
และมาก็เห็นหม่อมพลายพี่ |
ดูอ้วนท้วนผึ่งผายสบายดี |
แต่ราศีถูกแดดแผดจนคล้าม |
ช่างนั่งบังหลังบิดานัยน์ตาจ้อง |
เฝ้าแต่มองฝาเรือนเหมือนจะถาม |
นางเปรมปริ่มยิ้มมองเจ้าพลายงาม |
เฝ้าชะแง้แลตามไม่วางตา ฯ |
๏ ฝ่ายว่าตัวดีอีสาวเม้ย |
ทำหน้าเฉยเดินออกนอกเคหา |
มาบอกความพระพิจิตรบิดา |
วันนี้นายศรีมาลาเธอตัวร้อน |
ปวดศีรษะตุบตุบแต่กลางคืน |
พอนอนตื่นก็ละเหี่ยให้เพลียอ่อน |
มึนเมื่อยเป็นกำลังเห็นยังนอน |
วอนสั่งให้กราบเท้าทั้งสองรา ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร |
สำคัญคิดเข้าใจไม่กังขา |
ว่าลูกสาวอายใจไม่ออกมา |
เพราะได้หมั้นการวิวาห์กับพลายงาม |
จึงผินหน้ามายิ้มกับขุนแผน |
มันเหลือแสนไข้พิรุธสุดจะห้าม |
พ่อก็อยากพูดจาปรึกษาความ |
ศึกสงครามก็สำเร็จเสร็จกันแล้ว |
เราควรจะคิดอ่านการวิวาห์ |
เป็นฝั่งฝาฝังปลูกให้ลูกแก้ว |
มีเฟื้องไพจะได้ให้เสียยังแล้ว |
ให้ผ่องแผ้วพ้นบ่วงที่ห่วงใย |
พ่อแม่คร่ำคร่าเป็นตายาย |
จะล้มตายวันพรุ่งหารู้ไม่ |
เจ้าคิดหาฤกษ์พาดูเป็นไร |
จะได้หาไม้ไหล้ปลูกเรือนชาน ฯ |
๏ ขุนแผนนบนอบตอบพระพิจิตร |
ลูกมานี่ก็คิดจะว่าขาน |
พอคุมทัพกลับไปมิให้นาน |
จะขึ้นมาคิดอ่านงานทางนี้ |
ได้คำนวณฤกษ์พามาแต่วาน |
วันอังคารแรมค่ำในเดือนสี่ |
ถูกชะตาร่วมกันขยันดี |
แล้วแต่บารมีจะโปรดปราน ฯ |
๏ พระพิจิตรฟังคำขุนแผนว่า |
ปรึกษากับบุษบาแล้วว่าขาน |
เดือนสี่ดีแล้วกำหนดงาน |
เรือนชานก็คงเสร็จสำเร็จทัน |
แล้วว่ากับขุนแผนแสนสงคราม |
จะพักอยู่อารามทำไมนั่น |
กว่าจะล่องลงไปยังหลายวัน |
มาอยู่นี่ด้วยกันก็เป็นไร ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
นิ่งคิดนึกพรั่นให้หวั่นไหว |
ออพลายสิพรากจากเมียไป |
ถ้ากลับมาอยู่ใหม่ไหนจะยั้ง |
พอมืดค่ำก็จะคลำเข้าไปหา |
ถ้าหากว่าไม่มิดเหมือนหนหลัง |
เกิดเซ็งแซ่แพร่หลายกระจายดัง |
จะเสียทั้งสองฝ่ายขายหน้าตา |
นึกพลางตอบความตามทำนอง |
ลูกนี้ขัดข้องอยู่หนักหนา |
ด้วยว่ากองทัพที่กลับมา |
ทั้งนายไพร่มากกว่าเมื่อขาไป |
ไหนนางสร้อยทองแลสร้อยฟ้า |
ทั้งพวกบุตรภรรยาเจ้าเชียงใหม่ |
ทั้งต้องคุมครัวลาวชาวพงไพร |
มาอยู่ไกลกลัวจะทำให้รำคาญ |
พระท้ายน้ำกับพวกที่อยู่นั่น |
จะพากันบอกกล่าวเป็นข่าวขาน |
ว่าพ่อลูกบ่ายเบี่ยงเลี่ยงราชการ |
มาอยู่บ้านเป็นสุขสนุกสบาย |
ไหนไหนก็ลำบากมามากแล้ว |
อย่าให้มีวี่แววความเสียหาย |
จำต้องทนถ่อร่างค้างกาย |
ไปจนเสร็จสมหมายที่รับมา |
ว่าแล้วอำลาท่านทั้งสอง |
เยื้องย่องกลับลงจากเคหา |
เจ้าพลายตามไปไม่พูดจา |
ให้แค้นขัดอัธยาบิดาตัว |
อนิจจาพ่อก็รู้อยู่แก่ใจ |
ว่ารักใคร่ได้เสียเป็นเมียผัว |
จะสะกดเข้าไปไม่ต้องกลัว |
ยังมามัวกีดกันขันจริงจริง |
ดีแล้วเป็นไรได้เห็นกัน |
อย่าสำคัญว่าแคล้วแล้วจะนิ่ง |
ต่อให้ทำกรงใส่ไว้เป็นลิง |
พอค่ำลงคงจะวิ่งมาหานาง |
คิดพลางทางเดินทำเมินเฉย |
เลยออกนอกจวนมาจนห่าง |
เห็นอีเม้ยนั่งยิ้มอยู่ริมทาง |
แกล้งอำพรางใช้ใบ้ให้ตามมา ฯ |
๏ ครั้นถึงวัดจันทร์ตะวันสาย |
กรมการมากมายมาคอยหา |
ขุนแผนเป็นกังวลสนทนา |
เจ้าพลายหลบหน้ามาข้างวัด |
ไปถึงที่ลี้ลับไม่มีคน |
เห็นต้นพิกุลใหญ่ไอ้ถนัด |
ที่ใต้ต้นเตียนรื่นพื้นทรายซัด |
ก็หลีกลัดเข้านั่งบังต้นไม้ |
อีเม้ยเลยเดินมาข้างหลัง |
ครั้นถึงจึงนั่งยกมือไหว้ |
เจ้าพลายยิ้มพลางทางว่าไป |
ข้านี้หวังตั้งใจจะพบพาน |
ธุระร้อนของเราเจ้าก็รู้ |
ถึงตัวไปใจอยู่แต่ที่บ้าน |
ค่ำเช้าเฝ้าคะนึงถึงนงคราญ |
นางสำราญอยู่ฤๅประการใด |
เมื่อเช้าเข้าไปนั่งตั้งตาคอย |
จะพบพักตร์สักหน่อยก็หาไม่ |
ฤๅว่านางขุ่นเคืองด้วยเรื่องไร |
จึงแกล้งว่าเจ็บไข้ไม่ออกมา |
เมื่อจะไปได้กำชับกับตัวเจ้า |
ให้โลมเล้าเอาใจไว้คอยท่า |
เจ้าทอดทิ้งคำมั่นที่สัญญา |
ฤๅว่าคงวาจาก็ว่าไป ฯ |
๏ อีเม้ยสะบัดหน้าว่าพุทโธ่ |
มาพาโลโกรธาก็เป็นได้ |
ไม่เห็นอกนายมั่งช่างกะไร |
ต่อหน้าคนฤๅจะให้ออกไปรับ |
ซึ่งบอกว่าเจ็บไข้ไม่ออกมา |
ไม่มุสาหลอนหลอกแกล้งกลอกกลับ |
ตั้งแต่วันหม่อมพลายยกกองทัพ |
เธอก็จับไม่สบายหลายเดือนมา |
ไม่เป็นอันกินนอนจนอ่อนเปลี้ย |
น้ำตาเรี่ยไม่แห้งไม่แกล้งว่า |
ฉันต้องอยู่ดูแลทุกเวลา |
เฝ้าพูดจาเอาใจให้ประทัง |
หม่อมกลับมาถึงนี่ฉันดีใจ |
เผื่อจะได้หยูกยามาลงมั่ง |
ฉันจึงรีบตั้งหน้าออกมาฟัง |
จะสั่งให้พยาบาลสถานใด |
อันถ้อยยำคำมั่นที่สัญญา |
กลัวแต่ว่าหม่อมดอกไม่จำได้ |
ของกำนัลมุลนายออกก่ายไป |
ส่วนอีไพร่อดแห้งแกล้งเฉยเมย ฯ |
๏ ชิชะปากคอช่างพอตัว |
อย่ามามัวพ้อเราเลยเจ้าเอ๋ย |
แล้วหยิบเงินยื่นให้ไม่ละเลย |
นี่แลของนางเม้ยเป็นรางวัล |
อันซึ่งนายเจ็บไข้ไม่สบาย |
เรามียาสมุนพรายดีขยัน |
แต่เป็นยาปลุกเสกลงเลขยันต์ |
กินกลางวันไม่ได้คนไข้ตาย |
พอดึกหน่อยจะไปให้ถึงบ้าน |
เจ้าคิดอ่านเปิดรับขยับขยาย |
เราจะไปให้ยารักษานาย |
คงจะหายเจ็บไข้ในพรุ่งนี้ |
ครั้นสัญญาอาณัติกันเสร็จสรรพ |
อีเม้ยรับลาลุกไปจากที่ |
เจ้าพลายกลับมาศาลารี |
มิได้มีใครพะวงสงกา ฯ |
๏ ครั้นค่ำพลบลบแสงสุริยฉาย |
ไพร่นายพร้อมพรั่งประนังหน้า |
พวกนายกองนายหมวดออกตรวจตรา |
ต่างพิทักษ์รักษารอบวัดจันทร์ |
ฝ่ายเจ้าพลายงามทรามสวาดิ |
ชาญฉลาดเล่ห์กลมนตร์ขยัน |
ทำเป็นเที่ยวตักเตือนเหมือนทุกวัน |
ตรวจกองนี้กองนั้นทุกชั้นไป |
แต่พอล่วงเวลาสักยามปลาย |
เจ้าพลายลดเลี้ยวเที่ยวไถล |
ไปถึงตรงกุฎีชีต้นไทย |
เห็นจุดไต้ตั้งวงเล่นหมากรุก |
พวกอาสามาเล่นอยู่เป็นหมู่ |
ทั้งพระเถรเณรดูกันสนุก |
บ้างนั่งมองบ้างเบียดเข้าเสียดซุก |
ฉุกละหุกเสียงสนั่นลั่นกุฎี |
เจ้าพลายนิ่งนึกตรึกตรา |
จำจะลวงบิดาว่าอยู่นี่ |
จะทำเป็นเล่นหมากรุกให้คลุกคลี |
จนพ่อหลับจึงจะหนีไปหานาง |
คิดพลางทางขึ้นบนกุฎี |
เฮ้ยขอกูเดินทีแล้วรุกผาง |
อ้ายพวกไพร่ให้นายเข้านั่งกลาง |
ทั้งสองข้างอื้ออึงคะนึงไป |
ฝ่ายว่าขุนแผนพ่อรอเจ้าพลาย |
เห็นไปหายนึกพะวงให้สงสัย |
ย่องลงจากศาลาแล้วคลาไคล |
เห็นแสงไฟที่กุฎีรี่ไปพลัน |
แต่พอใกล้ได้ยินเสียงเฮฮา |
ก็รู้ว่าลูกยาอยู่ที่นั่น |
เห็นกำลังเล่นหมากรุกสนุกครัน |
ก็หันกลับคืนมาศาลาลัย ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
สักสองยามเห็นพอพ่อหลับใหล |
จึงลุกออกจากวงลงบันได |
ลอบไปจัดแจงแต่งกายา |
ลูบตัวทาน้ำอบตลบฟุ้ง |
แป้งปรุงประเจิมเฉลิมหน้า |
สีขี้ผึ้งเสกละลวยด้วยวิชา |
แล้วนุ่งผ้ายกไหมไปล่ปลิว |
ห่มผ้าของประทานส่านสี |
มือขวาคว้าคลี่พัดด้ามจิ้ว |
แหวนทับทิมวงใหม่เอาใส่นิ้ว |
ถือเช็ดหน้าผ้าริ้วแล้วคลาไคล |
มาถึงกลางวัดสงัดคน |
เจ้าพลายร่ายมนตร์ขึ้นมุกใหม่ |
โหงพรายมาพร้อมห้อมล้อมไป |
เข้าในเมืองพิจิตรบุรี |
มินานผ่านมาถึงหน้าจวน |
หน้าหลังทั้งกระบวนล้วนแต่ผี |
เห็นรั้วรอบขอบชิดสนิทดี |
ประตูมีกลอนลั่นไว้ชั้นใน |
เจ้าพลายร่ายมนตร์มหาสะเดาะ |
กลอนหลุดผลุดเผลาะอยู่หวั่นไหว |
ประตูบ้านบานระเบิดเปิดออกไป |
เจ้าพลายเข้าได้ในประตู ฯ |
๏ ฝ่ายว่าทาสีอีเม้ยมอญ |
อยู่บนเรือนถอดกลอนนอนคอยอยู่ |
ประตูบ้านลั่นกรุกลุกขึ้นดู |
พอแลเห็นก็รู้ว่าเจ้าพลาย |
เปิดประตูลงมาพาขึ้นเรือน |
คนนอนเกลื่อนหลีกลอดคอยสอดส่าย |
นำหน้ามาถึงที่เรือนนาย |
แล้วอุบายบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบไป ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง |
ครั้นถึงห้องยินดีจะมีไหน |
ค่อยย่องเหยียบเบาเบาเข้าข้างใน |
แสงไฟส่องงามอร่ามเรือน |
แลเห็นศรีมาลาดวงสมร |
เจ้านิ่งนอนท่วงทีไม่มีเหมือน |
นี่แก้วพี่หลับสนิทฤๅบิดเบือน |
อารมณ์เตือนนั่งเคียงบนเตียงทอง |
ประจงจูบลูบประคองน้องแก้ว |
พี่มาแล้วจงคลายหายหม่นหมอง |
แต่พี่เฝ้าคิดถึงคะนึงน้อง |
ใจปองมิได้คลาศขาดสักวัน |
ถึงยามกินสิ้นรสหมดโอชา |
ครั้นเวลาหลับไปก็ใฝ่ฝัน |
ถ้าไม่เกรงพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
จะผลุนผลันกลับมาเสียช้านาน |
เดชะบุญของเรานะเจ้าพี่ |
มีชัยได้กลับมาถึงบ้าน |
มารู้ข่าวว่าเจ้าไม่เบิกบาน |
พี่รำคาญกลุ้มอุรามาแต่เช้า |
เมื่อนั่งอยู่หน้าเรือนเหมือนกับบ้า |
เฝ้าแลมาแลไปไม่เห็นเจ้า |
พี่มาดหมายตายเป็นก็ทำเนา |
คงจะเข้ามาหาในราตรี |
ต้องรั้งรอจนพ่อนั้นหลับใหล |
จึงดึกไปพี่พึ่งมาถึงนี่ |
ขอเชิญพุ่มพวงดวงชีวี |
ผินหน้ามาทางนี้ให้พี่ชม ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา |
ทำนิ่งนอนหลับตาเอาผ้าห่ม |
ฟังผัวพูดปลอบชอบอารมณ์ |
สมคิดจิตหวามด้วยความรัก |
ลุกขึ้นนั่งเรียงเคียงหน้า |
หันมากราบลงที่ตรงตัก |
นึกว่าหม่อมล้าเลื่อยยังเหนื่อยนัก |
เห็นจะพักเสียก่อนไม่ย้อนมา |
ไปทัพมีชัยได้เมืองลาว |
สาวสาวเหล่าเชลยก็หนักหนา |
ได้ยินฦๅเลิศลอยชื่อสร้อยฟ้า |
มิไขว่คว้าเข้าบ้างฤๅอย่างไร |
ทำไมกับลูกสาวชาวพิจิตร |
มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย |
เหมือนดอกหญ้าเห็นงามเมื่อยามไร้ |
แต่พอมีดอกไม้ไม่ต้องการ |
นี่คงนึกสมเพชเวทนา |
จึงอุตส่าห์บุกมาจนถึงบ้าน |
พอเห็นหน้าก็จะเบื่อเหลือรำคาญ |
ไม่อยู่นานห่วงทัพคงกลับไป ฯ |
๏ ดูซิค่อนว่านิจจาเจ้า |
มาใส่ความเปล่าเปล่าก็เป็นได้ |
เป็นสัตย์จริงหญิงอื่นในแดนไตร |
ทั้งลาวไทยไม่เคยไปคบค้า |
แต่จากไปใจพี่อยู่ที่น้อง |
หม่นหมองเศร้าสร้อยละห้อยหา |
ถึงเห็นลาวก็ไม่รู้ดูหน้าตา |
เห็นแต่รูปศรีมาลาประจำใจ |
อันนางสร้อยฟ้านารี |
เป็นราชบุตรีเจ้าเชียงใหม่ |
เขาถวายพระองค์ผู้ทรงชัย |
กับทรามวัยสร้องทองเป็นสองคน |
ตัวพี่นี้อุตส่าห์รักษาตัว |
ถ้าครองไตรโกนหัวก็ชีต้น |
เคร่งครัดค่ำเช้าเฝ้าสวดมนต์ |
แผ่กุศลให้โยมศรีมาลา |
ได้แหวนแทนส่วนบุญลงมาให้ |
บัดนี้ไซร้ก็ออกพระวษา |
โยมจงปลงใจได้เมตตา |
พี่จะลาสิกขาค่ำวันนี้ |
ศรีมาลาสรวลสันต์ไม่กลั้นได้ |
เจ้าพลายคว้าไขว่ขมันขมี |
ภิรมย์รักสุขเกษมเปรมปรีดิ์ |
อยู่ยังที่เตียงทองทั้งสองรา ฯ |
๏ ฝ่ายนางศรีมาลายาใจ |
เตรียมสำรับตั้งไว้ที่ข้างขวา |
จึงชวนสามีให้ลีลา |
มาเลี้ยงดูโภชนาสำราญใจ |
กินพลางต่างคนสนทนา |
ศรีมาลายิ้มย่องผ่องใส |
เจ้าพลายยั่วยวนกวนร่ำไป |
ไม่หลับใหลผัวเมียเฝ้าเคลียเคล้า |
จนดาวเดือนเลื่อนลับเวหาสห้อง |
แซ่ซ้องจำเรียงเสียงดุเหว่า |
จำจากทรามสงวนด้วยจวนเช้า |
จะเวียนมาหาเจ้าทุกคืนไป |
พอคุมทัพกลับถึงอยุธยา |
พี่จะรีบกลับมาหาเจ้าใหม่ |
พอเสร็จงานการวิวาห์ดังว่าไว้ |
เป็นมิให้ห่างหน้าสักราตรี |
ว่าพลางโลมลูบจูบน้อง |
แล้วออกมาจากห้องของโฉมศรี |
อีเม้ยนำหน้าพาจรลี |
เร็วรี่เดินออกมานอกรั้ว |
รีบรัดลัดมาหน้าวัดจันทร์ |
พอถึงนั่นเช้ามืดขมุกขมัว |
หลีกเลี่ยงหลบหน้าบิดาตัว |
ชักผ้าคลุมหัวแล้วหลับไป |
ขุนแผนตื่นนอนขึ้นตอนเช้า |
เห็นเจ้าพลายงามยังหลับใหล |
นึกว่าเล่นหมากรุกสนุกใจ |
ไม่พะวงสงสัยในลูกยา |
ครั้นค่ำลงเจ้าพลายก็หายอีก |
หลบหลีกไปเล่นพอเห็นหน้า |
พอดึกดึกไปที่ศรีมาลา |
ขึ้นหาสมสวาดิไม่ขาดคืน |
ถึงคืนหลังสั่งเสียกันเมียผัว |
เผลอตัวหลับไปไม่ทันตื่น |
จนสางสางเจ้าพลายจึงได้ฟื้น |
ลุกขึ้นล้างหน้าแล้วคลาไคล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงบุษบาผู้มารดร |
คืนนั้นตื่นนอนแต่ก่อนไก่ |
ห่วงสำรับคับค้อนให้ร้อนใจ |
ด้วยขุนแผนจะไปแต่รุ่งเช้า |
ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างจะล้างหน้า |
เจ้าพลายงามเดินมาก็เห็นเข้า |
เอ๊ะเกิดวิปริตผิดแล้วเรา |
ลูกเต้าเห็นจะทำให้รำคาญ |
มาปลุกผัวตัวสั่นท่านเจ้าขา |
เจ้าพลายงามเข้ามาจนในบ้าน |
พึ่งลงจากเรือนไปไม่ทันนาน |
จะเกิดการข้างในอย่างไรแล้ว |
โบราณว่าหมาขี้ที่มูลฝอย |
ดูร่องรอยมันจะถึงซึ่งลูกแก้ว |
เราผัวเมียเสียทีไม่มีแวว |
อย่าสอดแคล้วเลยจะคิดประการใด ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบิดา |
ได้ฟังภรรยาก็นึกได้ |
ตอบว่าข้าก็คิดเห็นผิดใจ |
ดูอย่างไรอยู่ที่ศรีมาลา |
แต่ครั้งกองทัพบกยกขึ้นไป |
เหมือนเจ็บไข้เคืองขุ่นวุ่นหนักหนา |
จะไต่ถามว่ากะไรไม่เข้ายา |
มิรู้ว่าลอบลักไปรักกัน |
วันเมื่อกองทัพกลับมาถึง |
ก็อ้ำอึ้งหลบเชือนเหมือนหวาดหวั่น |
นี่คงถึงเนื้อตัวเสียพัวพัน |
หาไม่ไหนมันจะขึ้นมา |
จะไปโกรธโทษลูกก็ใช่ที่ |
อ้ายคนนี้สำคัญมันหนักหนา |
รู้ล่องหนจังงังบังกายา |
สารพัดทั้งเสน่ห์เล่ห์กล |
ถึงมีกำแพงเพชรสักเจ็ดชั้น |
มันเสกเป่าเท่านั้นก็เปิดป่น |
รักใครก็เป่าเอาด้วยมนตร์ |
ต้องหลงมันทุกคนไม่เว้นตัว |
แต่ก็ได้สู่ขอเป็นหอห้อง |
ถึงอย่างไรก็คงต้องมาเป็นผัว |
เพียงแต่มันด่วนได้ไม่เกรงกลัว |
จะมามัวโกรธไปทำไมมี |
ถ้าต่อว่าต่อขานพานอื้อฉาว |
จะรานร้าวถึงขุนแผนไม่พอที่ |
เขาก็ยังซื่อตรงคงภักดี |
เรานี้เป็นผู้ใหญ่อย่าใจเบา |
จะขึ้นชื่อฦๅเสียงศรีมาลา |
ว่าคบชู้สู่หาขายหน้าเขา |
เป็นนมยานกลิ้งชกอกของเรา |
ทำเฉยเลยเถิดเจ้าอย่าแพร่งพราย |
เสร็จปรึกษาหารือกันเมียผัว |
ก็แต่งตัวจะไปมิให้สาย |
ออกมาเรียกหาบ่าวเหล่าทนาย |
แล้วเยื้องกรายตรงมาหน้าวัดจันทร์ ฯ |
๏ นาวามาทอดจอดคับคั่ง |
กรมการพร้อมพรั่งอยู่ที่นั่น |
กำลังลงเรือแพกันแจจัน |
จ้าละหวั่นวุ่นไปในลานวัด |
ส่วนเรือประเทียบทองทั้งสองลำ |
พระท้ายน้ำกำกงลงไปจัด |
ขาดเหลือเรียกระเบ็งเร่งรัด |
เป็นขนัดในส่วนกระบวนนาง |
เรือพระท้ายน้ำให้นำหน้า |
เรือทหารอาสามาสองข้าง |
เรือประเทียบให้พายในสายกลาง |
ส่วนเรือนางสาวใช้ไปข้างท้าย |
ต่อมาถึงกระบวนส่วนแม่ทัพ |
เรือกัญญามารับก็เฉิดฉาย |
พ่อลูกลงประจำลำละนาย |
พลพายล้วนทหารชำนาญยุทธ |
แล้วถึงเรือสิ่งของต้องพัทยา |
ถัดมาเรือลาวเป็นที่สุด |
พวกอาสาคุมมาเป็นชุดชุด |
อุตลุดขับต้อนไม่ผ่อนปรน |
เรือเจ้าเชียงใหม่นั้นไปหน้า |
เรือบุตรภรรยามาตามก้น |
แล้วถึงเรือท้าวพระยาข้าคน |
เรือพลอาสามาข้างท้าย |
ครอบครัวยังเหลือเรือไม่พอ |
ทั้งช้างม้าวัวมอสิ้นทั้งหลาย |
เครื่องสาตราอาวุธก็มากมาย |
หมายฝากให้หัวเมืองรักษาไว้ ฯ |
๏ ครั้นบรรทุกสำเร็จเสร็จสรรพ |
จะให้ล่องกองทัพกลับกรุงใต้ |
ขุนแผนลูกยาพากันไป |
กราบไหว้พระพิจิตรบุษบา |
ลูกจะขอกราบลาฝ่าเท้า |
ลงไปเฝ้าสมเด็จพระพันวษา |
พอเฝ้าแหนเสร็จสรรพจะกลับมา |
ตามสัญญาว่าไว้ให้ทันการ |
พระพิจิตรบุษบานารี |
ใจดีอวยพรสุนทรสาร |
ลงไปให้พระองค์ทรงโปรดปราน |
พระราชทานยศอย่างทั้งรางวัล |
จำเริญจำเริญสุขีศรีสวัสดิ์ |
สมบูรณ์พูนสมบัติทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งพ่อลูกอยู่เย็นเป็นนิรันดร์ |
อันตรายขุ่นข้องอย่าพ้องพาน |
เมื่อไปทำราชการงานแผ่นดิน |
เสร็จสิ้นแล้วจึงกลับขึ้นมาบ้าน |
มาปรึกษาหารือเรื่องการงาน |
คิดอ่านให้สำเร็จเสร็จไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ |
กับพลายงามก้มกราบท่านผู้ใหญ่ |
พ่อลูกอำลาแล้วคลาไคล |
ลงในเรือกัญญาที่หน้าวัด |
นายไพร่พร้อมพรั่งทั้งเรือแพ |
ผู้คนเซ็งแซ่อยู่แออัด |
ให้สัญญายิงปืนขึ้นสามนัด |
ออกเรือเป็นขนัดไปทันใด |
เรือกระบวนหน้าหลังคั่งคับ |
เป็นลำดับล่องตามแม่น้ำไหล |
ข้ามบ้านผ่านเมืองเนื่องเนื่องไป |
จนเข้าเขตกรุงไกรใกล้พารา ฯ |
๏ พวกหญิงชายวิ่งพรูดูกองทัพ |
ทั้งสองฝั่งคั่งคับกันหนักหนา |
อึงอื้อยกมือขึ้นวันทา |
ชมบุญญาบารมีพระทรงชัย |
ว่าทรงพระเดชาอานุภาพ |
ปราบได้เมืองลาวเจ้าเชียงใหม่ |
ได้เชลยมาตามออกหลามไป |
เมืองไหนฤๅจะรอต่อบุญฤทธิ์ |
เห็นเรือแม่ทัพมาพากันชี้ |
พ่อลูกคู่นี้ช่างศักดิ์สิทธิ์ |
ขุนแผนเขาเคยดีมีความคิด |
เจ้าชีวิตท่านโปรดยกโทษไป |
บางคนไม่รู้จักก็ซักถาม |
เรือเจ้าพลายงามนั้นลำไหน |
ที่รู้จักบอกกันนั่นเป็นไร |
เรือกัญญาลำใหญ่พนักทอง |
ลำหน้าท่านตาขุนแผนพ่อ |
ลำเจ้าพลายพายต่อมาที่สอง |
ดูแบบบางร่างน้อยนวลละออง |
พวกคนดูต่างมองจ้องดูมา |
ครั้นเรือคล้อยลอยหน้ามาฉนวน |
พวกผู้หญิงปั่นป่วนกันหนักหนา |
เห็นรูปร่างพลายงามอร่ามตา |
บ้างชมว่าเท่านี้ช่างมีฤทธิ์ |
บ้างแลเล็งเพ่งพิศให้ติดใจ |
ถ้าแม้นได้แล้วจะกอดไว้ให้ติด |
ที่บางคนเล่นเพื่อนเคยเชือนชิด |
มากลับใจได้คิดว่าผิดไป |
นางคนหนึ่งใส่ไคล้ใครเห็นบ้าง |
เจ้าพลายช่างเล่นตาเอาข้าได้ |
นี่แกล้งทำให้ประวิงฤๅจริงใจ |
ไม่ทันไรกลับมาจะหาเมีย |
บ้างว่าเช่นเราเขาไม่ขอ |
มีแต่กรอกินเปล่าให้เราเสีย |
อย่าใจเติบเกินตัวไปปัวเปีย |
ละห้อยละเหี่ยถึงเขาก็เปล่าดาย |
ที่ตรงลำเรือกัญญาตาขุนแผน |
ชะแง้แหงนดูแต่พวกแม่หม้าย |
ที่เป็นสาวทึนทึกนึกละอาย |
ได้เจ้าพลายฤๅพ่อก็พอใจ |
คนผู้ดูหลามตามตลิ่ง |
ทั้งชายหญิงไทยเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ |
พวกไปทัพกลับมาเฮฮาไป |
ถึงกรุงไกรพ้นทุกข์สนุกสบาย ฯ |