ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง

๏ ครานั้นวันทองสยองหัว ความกลัวตัวสั่นอยู่หวั่นไหว
ขุนช้างขุนแผนพระหมื่นไวย ก็ตระหนกตกใจไปทุกคน
บรรดาข้าราชการที่หมอบเฝ้า ต่างสร้อยเศร้าหัวพองสยองขน
จะเพ็ดทูลอย่างไรไม่ชอบกล จำจนด้วยกลัวพระอาญา
พระยายมราชก็สั่งพลัน ให้คุมวันทองจูงไปข้างหน้า
พระหมื่นไวยขุนแผนแล่นตามมา ลูกพ่อคลอน้ำตาด้วยอาลัย
ขุนช้างลุกถลาหน้าคว่ำ ล้มคะมำตำเสาเสือกไถล
ลุกได้จากเสาเหย่าเหย่าไป ร้องไห้งุ่มง่ามมาตามเมีย
ทองประศรีคอยอยู่รู้กิจจา ตีอกตกประหม่าหน้าเสีย
ลุกรีบตามมาแข้งขาเพลีย น้ำตาไหลเรี่ยตัวสั่นงก
ให้ไปบอกลาวทองแก้วกิริยา สร้อยฟ้าศรีมาลาทั้งห้าหก
น้ำตาน้ำมูกตละลูกนก ตีอกตกใจต่างไคลคลา ฯ
๏ ขุนช้างสะดุดอิฐตีนขวิดไป หัวไถลล้มคว่ำตำขี้หมา
ลุกขึ้นไม่เช็ดระเห็จมา แมลงวันฉ่าตอมฉู่เหม็นอู้ไป
อ้ายบ่าวร้องว้ายขุนนายขา เช็ดขี้หมาเสียก่อนเถิดข้าไหว้
ขุนช้างเหลียวหลังอ้ายจังไร ขี้หมาที่ไหนมาติดกู
อ้ายบ่าวมันชี้ว่าขี้หมา ตั้งแต่หน้าตลอดขวัญแมลงวันฉู่
ขุนช้างไม่ฟังว่าชั่งกู ผู้คนตามพรูร้องเหม็นจริง ฯ
๏ ครั้นถึงที่หัวตะแลงแกง คนผู้ดูแดงทั้งชายหญิง
วันทองสิ้นกำลังลงนั่งพิง พระไวยวิ่งเข้าประคองวันทองไว้
ขุนแผนสุดแสนสงสารน้อง นั่งลงข้างวันทองน้ำตาไหล
อัดอั้นนิ่งอึงตะลึงตะไล สะอื้นไห้ไม่ออกซึ่งวาจา
นางแก้วกิริยาเจ้าลาวทอง ทั้งสองโศกเศร้าเป็นหนักหนา
ทั้งนางสร้อยฟ้าศรีมาลา ต่างคนจะษมาหาดอกไม้
คนดูล้อมพร้อมพรั่งดังกำแพง ตะแลงแกงจนหามีที่ยืนไม่
ขุนช้างแหวกคนด้นเข้าไป ว่าอีพ่อข้าไหว้เอาแต่บุญ
ฝูงคนหลีกวิ่งทั้งหญิงชาย เหม็นขี้หมาออกจะตายแล้วพี่ขุน
อ้ายหนุ่มหนุ่มเหม็นนักมันผลักรุน เซซุนเข้าไปถึงวันทอง
พระไวยแลไปเห็นขุนช้าง ความโกรธโดดผางตรงเข้าถอง
แล้วกดหัวลงไว้ฉวยไม้พลอง ทั้งสองมือเปื้อนขี้ตีผลุงลง
พระยายมห้ามว่าอย่าพระไวย จะทุบตีมันไยไอ้คนหลง
ฉวยขุนช้างคร่าออกมานอกวง นั่งลงเหม็นมือก็โกรธา
ถ้ารู้กูหาไปห้ามไม่ อ้ายจัญไรมือกูล้วนขี้หมา
ลุกขึ้นเตะส่งตรงออกมา ขุนช้างว่าลูกตายแล้วคราวนี้
ฝ่ายขุนแผนแล่นไล่ไปชกซ้ำ ขุนช้างล้มหัวตำทองประศรี
แกโกรธาด่าทอใช่พอดี ขุนช้างลุกจากที่หนีออกไป ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองสะอึกสะอื้นไห้
ส้วมกอดลูกยาด้วยอาลัย น้ำตาหลั่งไหลลงรินริน
วันนี้แม่จะลาพ่อพลายแล้ว จะจำจากลูกแก้วไปสูญสิ้น
พอบ่ายก็จะตายลงถมดิน ผินหน้ามาแม่จะขอชม
เกิดมาไม่เหมือนกับเขาอื่น มิได้ชื่นเชยชิดสนิทสนม
แต่น้อยน้อยลอยลิ่วไปตามลม ต้องตรอมตรมพรากแม่แต่เจ็ดปี
ให้แต่เฝ้าทุกข์ถึงคะนึงหา นึกว่าแม่จะไม่ได้เห็นผี
เจ้าก็ไม่สูญหายวายชีวี กลับมาได้เผาผีของมารดา
มิเสียแรงฟักฟูมอุ้มท้อง ข้ามหนองแนวเขาลำเนาป่า
อยู่ในท้องก็เหมือนเพื่อนมารดา ทนทุกข์เวทนาในป่าชัฏ
ผ่าแดดแผดฝนทนลำบาก ปลิงทากร่านริ้นมันกินกัด
หนามไหน่ไขว่เกี่ยวเที่ยวเลี้ยวลัด แม่คอยปัดระวังให้แต่ในครรภ์
พ่อพาขี่ม้าไม่ขับควบ ขยับยวบกลัวเจ้าจะหวาดหวั่น
พอแดดเผาเข้าร่มพนาวัน เห็นจะอ่อนผ่อนผันลงกินน้ำ
ค่อยกลืนแต่พอชื่นไม่กลืนหนัก กลัวลูกจะสำลักทุกเช้าค่ำ
เมื่อเขาส่งลงมาต้องจองจำ แสนระกำก็ระวังจะนั่งนอน
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยในลูกรัก จะเดินหนักเกรงท้องขยักขย่อน
จะนั่งนักเจ้าจักอนาทร ครั้นนอนนักกลัวจะเหนื่อยอนาถตัว
เจ้าคลอดรอดแล้วจึงคลายใจ เฝ้าถนอมกล่อมไกวพ่อทูนหัว
เจ็ดปีแม่ประคองไม่หมองมัว ขุนช้างชั่วลักลูกไปลับตา
เขาตีต่อยปล่อยหลงในดงชัฏ กุศลซัดให้เจ้าคืนมาเห็นหน้า
พอเห็นแล้วก็ต้องพรากจากมารดา แต่นั้นมาช้านานจึงพานพบ
กุศลหนหลังยังค้ำจุน ให้ลูกแก้วมีบุญประจวบจบ
เที่ยวติดตามแม่พ่อพอพร้อมครบ กลับมาต้องทำศพของมารดา
เหมือนอุตส่าห์ดั้นด้นพ้นป่าชัฏ พอเห็นแสงจันทร์จำรัสพระเวหา
สำคัญคิดว่าจะสุขทุกเวลา พอสายฟ้าฟาดล้มจมดินดาน
พ่อจะเห็นมารดาสักครึ่งวัน พ้นนั้นสูญเปล่าเป็นเถ้าถ่าน
จะได้แต่คิดถึงคะนึงนาน กลับไปบ้านเถิดลูกอย่ารอเย็น
เมื่อเวลาเขาฆ่าแม่คอขาด จะอนาถไม่น่าจะแลเห็น
เจ้าดูหน้าเสียแต่แม่ยังเป็น นึกถึงจะได้เห็นหน้ามารดา ฯ
ร่ำพลางนางกอดพระหมื่นไวย น้ำตาไหลซบเซาไม่เงยหน้า
ง่วงหงุบฟุบลงกับพสุธา กอดลูกยาแน่นิ่งไม่ติงกาย ฯ
๏ พระไวยร้องไห้อยู่เคียงแม่ เห็นมารดานิ่งแน่ก็ใจหาย
เข้านวดแม่แก้ไขอยู่วุ่นวาย นางค่อยคลายเจ้าก็ร่ำพิไรวอน
โอ้เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย แม่เคยเลี้ยงลูกแล้วสั่งสอน
ผูกเปลเห่ช้าให้ลูกนอน ป้อนข้าวอาบน้ำให้กินนม
ประโลมลูบจูบจอมกระหม่อมแก้ว อาบน้ำให้แล้วก็มุ่นผม
ขมิ้นทาพาเข้าที่นอนชม แม่ปรารมภ์ระวังซึ่งโพยภัย
คราวลูกเสาะแสะแม่โศกเศร้า หยูกยาปลาข้าวเอาใจใส่
กางมุ้งยุงริ้นทั้งเรือดไร แม่มิให้ลูกน้อยอนาทร
ครั้นลูกเติบใหญ่ได้เจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบตัวลูกถูกหลอกหลอน
ขุนช้างลวงไปในป่าดอน เอาไม้ขอนทุ่มทับไว้กับดิน
ปวดเจ็บเหน็บชาไปทั้งกาย ครั้งนั้นลูกก็หมายว่าสูญสิ้น
จะเป็นเหยื่อเสือสัตว์มันกัดกิน เทพไทไพรสินธุ์ท่านเมตตา
ช่วยฉุดชักผลักขอนขุนช้างให้ ลูกจึงกลับมาได้ไม่สังขาร์
ต้องพลัดพรากจากแม่แต่นั้นมา เดินป่าหนามตำระกำใจ
คนเดียวบุกไปในไพรสัณฑ์ แต่สุพรรณถึงกาญจน์บุรีได้
บุญปลอดรอดสัตว์ในกลางไพร ย่าเลี้ยงดูไว้จึงเป็นคน
แสนยากใครจะยากเท่าลูกน้อย ยากร้อยพันเท่าทุกแห่งหน
ถึงใครจนก็ไม่เหมือนที่ลูกจน ทรพลพ่อแม่ไม่เห็นใคร
ได้เห็นแม่ก็แต่ยังเด็กเด็ก หน้าพ่อเมื่อแต่เล็กหาเห็นไม่
ถามย่าย่าเล่าจึงเข้าใจ หนีย่ามาในพนมชัฏ
ป่ากว้างช้างเสือก็เหลือหลาย ยุงริ้นบินต่ายมันตอมกัด
อดอยากข้าวปลาสารพัด หนามไหน่ไม้ลัดเป็นรอยริ้ว
ยามนอนกลางไพรใจอนาถ น้ำค้างสาดกระเซ็นมาเย็นฉิว
ลมจัดพัดต้องใบไม้ปลิว เดินเดียวเปลี่ยวลิ่วมาถึงกรุง
ครั้นถึงพ่อพ่อก็จนต้องทนทุกข์ ติดคุกขัดสนจนผ้านุ่ง
จึงพากเพียรเรียนวิชามาบำรุง ไปรบพุ่งมีชัยจนได้ดี
ข้าไทเงินทองก็กองเกลื่อน บ้านเรือนยศศักดิเกษมศรี
ได้เห็นหน้าบิดาทุกราตรี ยังขาดแต่แม่นี้ไปอยู่ไกล
คิดถึงจึงไปรับแม่กลับมา หมายว่าจะยกย่องให้ผ่องใส
มิรู้ว่าพาแม่มาบรรลัย ดังลูกฆ่าแม่ให้มรณา
จึงหันมาว่าเหวยเพชฌฆาต มาฟันฟาดเรานี้จะดีกว่า
ขอตายแทนตัวของมารดา อย่าให้แม่ข้านี้บรรลัย
เป็นเพราะกูรับแม่กลับมา ท่านจึงลงอาญาเป็นข้อใหญ่
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกไป สะอื้นไห้อยู่กับตีนของมารดา ฯ
๏ ครั้นค่อยฟื้นคืนขอขมาโทษ แม่จงได้โปรดซึ่งเกศา
เมื่อเด็กอยู่ยังไม่รู้ซึ่งกิจจา ได้เอื้อมสูงต่ำว่าให้เคืองใจ
หยิกกัดปัดตีแล้วเถียงด่า มารดาจงงดอดโทษให้
อย่าให้เป็นเวรกรรมของลูกไป ไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้าโศกา
โอ้ตะวันกะไรช่างรีบบ่าย จะเร่งให้แม่ตายไม่เห็นหน้า
เจ็บไข้ฤๅจะได้หาหยูกยา รักษาแม่มิให้ได้ร้อนรน
สิ่งของขันเชี่ยนจะซื้อขาย ทั้งข้าไทวัวควายที่เกลื่อนกล่น
จะจำหน่ายให้หมอพอสินบน แต่ชั้นจนตัวลูกกระทั่งเมีย
นี่มิได้รักษาพยาบาล เนื้อกรรมตามผลาญประหารเสีย
พระไวยอกใจดังไฟเลีย ละห้อยละเหี่ยเพียงจะม้วยไปด้วยกัน ฯ
๏ ขุนแผนแสนโศกสงสารน้อง นิ่งนั่งฟังวันทองให้อัดอั้น
นางหันมากอดเท้าเข้าจาบัลย์ ขุนแผนนั้นหน้าซบกับหลังเมีย
สะท้อนสะทึกสะอึกสะอื้นไห้ ออกปากน้ำตาไหลลงราดเรี่ย
เสียแรงทรมานตัวทั้งผัวเมีย เขี่ยดินเลี้ยงกันเหมือนหนึ่งนก
เที่ยวอาศัยในดงพงชัฏ สู้ผลัดผ้านุ่งทำมุ้งปก
ขุดเผือกมันกินตามถิ่นรก ตกยากเท่าไรไม่ไกลกัน
ข้ามห้วยตรวยโตรกชะโงกชะงัก หักใบไม้คลุมเป็นซุ้มกั้น
ระวังนางล้างทัพเสียนับพัน แต่สักวันมิได้พรากไปจากตัว
ถึงสุดแสนลำบากยากไร้ เจ้าสู้ทนได้ไปกับผัว
จนพฤกษาหายากกินรากบัว ชั้นชั่วข้าวสักเม็ดไม่พานพบ
แปดเดือนเรือนชานมิได้เห็น แสนเข็ญพาน้องวันทองหลบ
ครั้นมีครรภ์ลูกยามาสมทบ ก็ปรารภควรระวังแต่ตั้งท้อง
พี่ขับม้าพาพอสะบัดย่าง กลัวกระเทือนครรภ์นางจะหมางหมอง
ค่ำเช้าพี่เฝ้าประคับประคอง จนเห็นท้องแก่เกรงจลาจล
จึงพาเจ้าเข้าหาพระพิจิตร ก็ได้รอดชีวิตไม่ขัดสน
ถ้าเขาฆ่าเสียในป่าทั้งสองคน ไม่น้อยใจเหมือนมาจนในครั้งนี้
ไหนไหนทุกข์ยากนั้นมากมาย ก็ก้มหน้าพากันตายไปเมืองผี
ก็เพอิญไม่ตายวายชีวี ถึงกรุงศรีอยุธยาได้ว่าความ
ครั้นชนะโปรดปรานประทานให้ พี่ดีใจว่าสิ้นซึ่งเสี้ยนหนาม
ไม่เสียทีที่อุตส่าห์พยายาม แต่เวรตามตัวต้องไปติดคุก
ทนลำบากตรากตรำทุกค่ำเช้า ทั้งห่วงเจ้าท้องไส้ไม่มีสุข
อ้ายขุนช้างชิงซ้ำกระหน่ำทุกข์ ดังไฟลุกขึ้นในอกสักหกกอง
เหมือนเจ้าตายจากพี่ทีหนึ่งแล้ว ต้องคลาศแคล้วพี่ตั้งแต่เศร้าหมอง
อยู่ในคุกทุกข์ถึงคะนึงตรอง สองทุกข์สามทุกข์เข้าทับใจ
ทุกข์ถึงเพื่อนยากเจ้าจากพี่ ไปคลอดลูกร้ายดีหาเห็นไม่
หญิงชายตายเป็นประการใด เป็นหลายปีล่วงไปมิได้รู้
ต่อพลายงามตามพบมาบอกเล่า จึงรู้ว่าตัวเจ้านี้ยังอยู่
หมายว่าออกได้จะตามดู สู้กันอิกสักครั้งไม่ฟังเลย
เดชะบุญพลายงามมาตามขอ ก็พอไปเชียงใหม่มิใช่เฉย
กลับมาจากเชียงใหม่ได้เสบย เพอิญเลยลืมเจ้าเสียจวนปี
ครั้นลูกรักชักพาเจ้ามาห้อง เหมือนวันทองเกิดใหม่ได้พบพี่
ก็เย็นใจอยู่ว่าภัยจะไม่มี จะอยู่ดีด้วยกันคุ้มวันตาย
ได้พบผัวพูดกันในกลางคืน พอนอนตื่นไม่ทันตะวันสาย
ก็เกิดความลามวุ่นขุ่นระคาย ลงปลายน้องรักจักวายชนม์
อกเอ๋ยเคยยากก็หนักหนา ศึกเสือสู้มาเป็นหลายหน
ร้อยทัพพันทัพไม่อับจน ไพร่พลกองทัพไม่ยับเยิน
ถึงสาตราอาวุธเป็นห่าฝน ก็คุ้มคนไว้ได้ไม่ฉุกเฉิน
ฝีมือลาวเชียงใหม่ไม่มีเกิน แตกตะเพิ่นเพราะพระเวทวิเศษดี
แต่ชั้นม้าอาวุธก็ไม่เข้า เอาไฟเผาไฟดับลงกับที่
จนเลื่องชื่อฦๅชาทั้งธานี ครั้นนี้คิดมาน่าน้อยใจ
คนอื่นหมื่นแสนก็คุ้มรอด ยอดรักคนเดียวไม่คุ้มได้
จำเพาะเด็ดดวงจิตรปลิดเอาไป ช่างกะไรพ้นที่จะป้องกัน
แม้นข้าศึกสะอึกมาล้อมกรุง อย่าหมายมุ่งว่าจะได้ไอศวรรย์
แต่คนเดียวจะอาสาเข้าฝ่าฟัน ให้สิบพันสิบหมื่นไม่ย่อท้อ
นี่จนใจด้วยพระทูลกระหม่อมแก้ว ได้สั่งแล้วว่ามิให้ผู้ใดขอ
เสด็จกลับเข้าวังไม่รั้งรอ คอน้องเด็ดด้วยพระอาญา
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมของลูกเอ๋ย กะไรเลยกริ้วกราดเป็นหนักหนา
ถ้าโปรดปรานประทานซึ่งชีวา พระจะทรงปรารถนาที่เมืองใด
แขกฝรั่งลาวลื้อฤๅมอญพม่า จะผูกคอมันมาถวายให้
จะขอแต่วันทองที่ต้องใจ เป็นไรก็ตามแต่เวรา
อยู่นี่พี่จะเข้าไปทูลขอ วันทองว่าอย่าพ่ออย่าหาญกล้า
ครั้งขอลาวทองต้องขื่อคา ครั้งนี้อาญาเมียถึงตาย
จะเอาความกระบือไปรื้อรบ เกลื่อนกลบความวัวไม่ทันหาย
จะต้องโทษกับน้องเป็นสองตาย พ่ออย่าหมายเลยว่าเมียจะเป็นตัว
ตายไปเมื่อไรจะได้เกิด อยู่ทำบุญให้เถิดพ่อทูนหัว
นรกมืดมิดเมียคิดกลัว ผัวอยู่จะได้สร้างกุศลไป
ขุนแผนฟังคำที่ร่ำว่า ไม่ออกปากพูดจาต่อไปได้
สุดคิดอัดอั้นให้ตันใจ สุดอาลัยล้มผางลงกลางดิน
ฝูงคนมาดูอยู่ที่นั่น ไม่อาจกลั้นโศกได้ร้องไห้สิ้น
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าชราน้ำตาริน ได้ยินแต่ร้องไห้พิไรครวญ
ดังป่ารังประดังด้วยลมกล้า พัดสาขากิ่งก้านสะท้านป่วน
ที่ใจอ่อนเป็นลมล้มซบซวน ด้วยเห็นจวนตะวันบ่ายลงชายไพร ฯ
๏ นางแก้วลาวทองศรีมาลา สร้อยฟ้าโศกาสะอื้นไห้
ได้เมี่ยงหมากใส่พานคลานเข้าไป กราบไหว้วอนว่าษมาพลัน
นางแก้วว่าข้าษมาพี่ อย่าให้มีเวราเมื่อหน้านั่น
เสียตัวร่วมผัวมาด้วยกัน น้องขึ้งเคียดเดียดฉันท์ประการใด
ขออภัยอย่าได้ผูกเวรน้อง วันทองว่าพี่หาถือไม่
พี่ได้ล่วงเกินบ้างเป็นอย่างไร ขออภัยเจ้าแก้วกิริยา
นางแก้วรับษมาน้ำตานอง ลาวทองโศกเศร้าเข้าไปหา
น้องได้ล่วงเกินแต่ก่อนมา พี่จงอดโทษาในวันนี้
วันทองรับษมาเจ้าลาวทอง น้องเอ๋ยพี่ได้ว่าเป็นถ้วนถี่
พี่ก็ขอษมาอย่าราคี ต่างคนต่างก็มีซึ่งน้ำตา
สร้อยฟ้าศรีมาลาสะอื้นไห้ พิไรพลางทางขอษมาว่า
ลูกได้ผิดพลั้งแต่หลังมา จนถึงวันชีวาแม่บรรลัย
อย่าเป็นเวรกรรมกับตัวข้า ก้มหน้าลงแล้วก็ร้องไห้
วันทองรับษมายิ่งอาลัย น้ำตาไหลโซมหน้าด้วยปรานี ฯ
๏ นางวันทองร้องเรียกเอาดอกไม้ คลานเข้าไปไหว้กราบทองประศรี
ลูกจะลามารดาในวันนี้ ขออภัยอย่าให้มีซึ่งโทษทัณฑ์
แต่ลูกอยู่กับพ่อขุนแผน ให้แม่แค้นอย่างไรที่ไหนนั่น
จนถึงเวลาเขาฆ่าฟัน สิ้นเวรกรรมกันเถิดแม่คุณ
ทองประศรีงันงกยกมือรับ ลมจับหกล้มลงจมฝุ่น
พอฟื้นตัวพรํ่าว่าอย่าทิ้งบุญ ภาวนาให้ครุ่นไว้ลูกอา
หาดอกไม้ให้แม่ออไวยเอ๋ย อย่าละเลยคุณพระจะดีกว่า
ออแผนร้องไห้ทำไมนา ไปหาเชี่ยนขันมาให้กรวดน้ำ
ศรีมาลาไปหาข้าวสุกข้าวสาร ทำกระบานเสียผีเถิดจวนคํ่า
แล้วจะได้ทำบุญสุนธรรม ทองประศรีบ่นพรํ่าอยู่รํ่าไร
ชุมพลหลานคลานเข้าไปหาย่า แกยกหลานใส่บ่าน้ำตาไหล
นึกถึงนางวันทองร้องไห้ไป อุ้มชุมพลเข้าไว้ให้ดูดนม
เขาจะล้มจะตายอ้ายพลายน้อย อย่าร้องไห้อ้ายจ้อยกินขนม
คายหมากจากปากให้หลานอม จะเชยชมไม่เป็นสมประดี ฯ
๏ ฝ่ายขุนช้างนั่งเหงาไม่เข้าใกล้ ร้องไห้หน้าขาวราวกับผี
เสียใจใหลเล่อเพ้อพาที คราวนี้ตายแน่แล้วแม่คุณ
พุทโธ่อยู่หลัดหลัดมาพลัดกัน โอ้แม่วันทองตายเพราะอ้ายขุน
เนื้อหนังเจ้าจะพังลงเป็นจุณ เพราะอ้ายตุ่นโง่เง่าเข้ากราบทูล
ลูกเต้าเจ็บไข้แม่ไปเยือน ลูกคิดเชือนว่าแม่แร่ไปสูญ
เขาก็มาบอกเล่าเป็นเค้ามูล อ้ายหัวปูนผมเกลี้ยงขืนเถียงไป
ถึงลูกทูลเหตุผลต้นปลาย ที่จริงหาได้ตายเพราะลูกไม่
พระองค์ทรงซักว่ารักใคร แม่สองใจคิดยากหากเลโล
ให้การใหลหลงทรงโกรธเกรี้ยว ถ้ารักช้างข้างเดียวขนมโก๋
จะได้อยู่เรือนเหย้าเสาโตโต แกงเทโพกินเล่นให้เย็นใจ
แม่มาตายกลางดินเขานินทา แม่ยอดฟ้าฝาบาตรกระจาดใหญ่
จะหาไหนเหมือนแม่แต่นี้ไป แม้นไม่ได้เช่นนี้ไม่มีเมีย
เรือนเหย้าข้าวของถวายพระ จะสละโกนหนวดไปบวชเสีย
ถึงลูกคุณหลานหม่อมจะยอมเยีย มีเมียไปทำไมไม่เหมือนกัน
จะภาวนาให้หนักชักประคำ แต่หัวคํ่ารํ่าไปจนไก่ขัน
ร้อยวษาพันวษาไม่ราวัน ฉันแต่นางทั้งห้ากว่าจะตาย ฯ
๏ ทองประศรีได้ฟังคลั่งนํ้าใจ นั่นร้องไห้เยียใดไอ้ฉิบหาย
อ้ายชาติชั่วหัวล้านกระบานลาย คนจะตายแล้วยังซนบ่นนินทา
ไม่เป็นอันฉันที่จะร้องไห้ ฝาบาตรกระจาดใหญ่ก็รํ่าว่า
พระหมื่นไวยขัดใจลุกออกมา อ้ายชาติข้าหัวล้านประจานกู
วาจาเหมือนหมาสะบัดขี้ มึงกลัวกูจะตีมึงอย่าอยู่
ไม่ไปกูจะถองมึงลองดู ฉุดหูกระชากลากออกมา
ขุนช้างร้องว้ายตะกายกลิ้ง ฉันรักจริงสุดใจพระไวยขา
พระหมื่นไวยถองซ้ำคะมำมา อ้ายขี้ข้ายังไม่ออกไปนอกวง
ขุนช้างลุกโผนโดนคนดู หลีกหลบกันเป็นหมู่แล้วเตะส่ง
ขุนช้างโดดออกมานอกวง ส่งเสียงร้องว่าข้าไม่เคย
ข้ารักเมียของข้าข้าร้องไห้ ถองได้เปล่าเปล่าชาวบ้านเอ๋ย
ได้เล่นกันอิกหละไม่ละเลย พระหมื่นไวยว่าเหวยอ้ายหัวล้าน
ไปฟ้องที่ไหนไสหัวไป ขุนช้างว่าทำไมข้าจะไปบ้าน
กลับเข้ามาแอบคนอยู่ลนลาน เหยียบอีตานลูกอีแตร้องแซ่ไป
อีแตแร่เข้าข่วนเอาข้างฉีก อ้ายหัวล้านมาอีกแล้วข้าไหว้
ขุนแผนร้องว่าอย่าพ่อไวย มาจูงลูกกลับไปในศาลา ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าหมื่นไวย เศร้าใจด้วยแม่เป็นหนักหนา
อาวรณ์ผ่อนคิดกับบิดา ลูกว่าจะเห็นประการใด
ซึ่งจะเฝ้าร้องไห้พิไรว่า เขาจะฆ่าเราจะคิดเป็นไฉน
พ่อจงอยู่รักษาข้าจะไป เฝ้าไททูลองค์พระทรงฤทธิ
จะวิงวอนผ่อนให้คลายพิโรธ ขอโทษแม่ตัวไม่กลัวผิด
จะแทนคุณเมื่อจะสูญสิ้นชิวิต ลูกคิดพ่อจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน ฟังลูกคิดอ่านก็เห็นได้
แต่ครั้นจับยามดูรู้แจ้งใจ จึงว่ากับพระไวยพ่อพลายงาม
อัฐกาลพานขัดอยู่หนักหนา พ่อว่าประหนึ่งจะชิงห้าม
เจ้าจะไปทูลขอดูก็ตาม ในยามว่าองค์พระทรงชัย
เจ้าไปทูลขอโทษคงโปรดแน่ แต่แม่เจ้าหาพ้นจากตายไม่
ดูหน้าหน้าก็นวลจวนบรรลัย จะใกล้ในเวลานี้เข้าสี่โมง
ขีดชะตาลงดูกับแผ่นดิน ก็ขาดสิ้นเคราะห์ร้ายเห็นตายโหง
เสาร์ทับลักขณากาจับโลง ยามลิงล้วงโพรงจระเข้กิน
ใครต้องยามนี้มิได้รอด พระไวยเห็นตลอดอยู่เสร็จสิ้น
น้ำตาอาบหน้าลงรินริน ผินหน้าว่ากับพ่อว่าตามกรรม
เคราะห์ร้ายตายเป็นก็เห็นหมด ลูกจะทดแทนคุณอุปถัมภ์
จะขอแม่จันทองสักสองคำ แล้วแต่บุญกรรมจะนำไป
พ่อจงคุมอยู่ดูมารดา อย่าเพ่อให้เขาฆ่าลงก่อนได้
ว่าแล้วเท่านั้นในทันใด ไปหาพระยายมแล้ววันทา
เจ้าคุณงดโทษจงโปรดเกล้า ดีฉันจะไปเฝ้าพระพันวษา
ทูลขอโทษทัณฑ์ของมารดา เมตตาอย่าเพ่อให้บรรลัย
พระยายมดีใจไปเถิดพ่อ อย่ารั้งรอรีบมาอย่าช้าได้
ถ้านานเนิ่นเกินล่วงเวลาไป จะงดไว้ก็กลัวพระอาญา
พระไวยรับคำอำลาไป รีบเร่งคลาไคลทั้งบ่าวข้า
ถึงวังนั่งพักผ่อนเวลา ระงับใจบ่ายหน้าสู่บูรทิศ
อ่านมนตร์มหาละลวยเล่ห์ เป็นเสน่ห์ผูกพันกระสันจิตร
แป้งผงลงยันต์เทพนิมิต ปิดมือลูบไล้ไม่มีรอย
แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานพระพรชัย ขอพระทัยเคืองกลับขยับถอย
พอได้ลมจันทร์สำคัญคอย ก็คลานคล้อยเข้าพระโรงรัตนา
เห็นกำลังพระองค์ทรงพระโสมนัส ประภาษตรัสสรวลสันต์หรรษา
พระหมื่นไวยกราบงามลงสามลา ภาวนาหมอบชม้อยคอยท่วงที ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ปิ่นปักนัคเรศบุรีศรี
เห็นพระไวยเข้ามาอัญชลี พระภูมีให้ทรงพระเมตตา
ชิกะไรไอ้นี่ช่างพากเพียร เขาฆ่าแม่มันยังเวียนเข้ามาหา
จึงตรัสถามว่าอ้ายไวยไปไหนมา อีวันทองเขาฆ่าแล้วฤๅยัง ฯ
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ ฟังพระราชบัญชานํ้าตาหลั่ง
เห็นพระเวทขลังจริงไม่ชิงชัง ถวายบังคมกราบแล้วทูลไป
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงภพ เลิศลบลํ้าโลกทั้งน้อยใหญ่
จะควรมิควรประการใด ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา
ทรงชุบเกล้าชุบกระหม่อมเป็นหัวหมื่น ทุกวันคืนพระคุณปกเกศา
ผาสุกทุกวันนิรันดร์มา ยังมิได้ขายฝ่าบาทบงสุ์
มารดาข้าพระพุทธเจ้านี้ มิดีแสนชั่วด้วยมัวหลง
กำเริบราคมากใจไม่ตั้งตรง ควรทรงพระพิโรธไม่โปรดปราน
ถ้าเพียงแต่พี่ป้าย่ายาย จะทิ้งเสียให้ตายไม่สงสาร
นี่มารดาอุ้มท้องทรมาน ได้เกิดมาเป็นนานเพราะมารดา
สารพัดพระคุณไม่นับได้ จะทิ้งไว้ไม่ควรเป็นหนักหนา
อนึ่งตั้งแต่กำเนิดเกิดมา ยังมิได้พยาบาลประการใด
ครั้งนี้ที่สุดถึงชีวิต ขอพระองค์จงประสิทธิประสาทให้
ให้เลื่องฦๅชื่อเสียงปรากฏไป ว่าหมื่นไวยได้แทนคุณมารดา
ชีวิตขอพระราชทานโทษ โปรดแต่เฆี่ยนตีอย่าเข่นฆ่า
ตรากตรำจำไว้ให้เวทนา ให้สาสมกับที่ผิดประเวณี ฯ
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังจมื่นไวยทูลเป็นถ้วนถี่
ชอบพระทัยให้เมตตาปรานี กูนี้สงสารอ้ายหมื่นไวย
เอ็งได้ทำดีมีความชอบ กูก็ตอบแทนแล้วเป็นไหนไหน
แต่ยังมิถึงชอบที่ขอบใจ จะยกโทษแม่ให้เป็นรางวัล
ถ้าผิดจากมึงแล้วกูไม่ให้ ใครขอก็จะพลอยมาอาสัญ
เหวยอ้ายท้ายน้ำจงเร็วพลัน ออกไปด้วยกันกับหมื่นไวย
บอกกับเจ้ากรมยมราช อย่าฟันฟาดวันทองให้ตักษัย
กูยกโทษโปรดให้จมื่นไวย รีบไปอย่าให้ทันเขาฟันลง ฯ
๏ ครานั้นจึงพระจมื่นไวย ดีใจชื่นชมสมประสงค์
รับพระโองการกรานกราบลง ตรงหน้าพระที่นั่งแล้วรีบไป
จึงปรึกษาว่ากับพระท้ายน้ำ เวลาเย็นจวนคํ่าช้าไม่ได้
พระยายมจะฟันแม่บรรลัย ร้องสั่งบ่าวไพร่ให้ผูกม้า
ได้แล้วขึ้นขี่คนละตัว บ่าวไพร่พันพัวมาหนักหนา
ขับควบผางผางกลางมรรคา เอาธงขาวโบกมาเป็นสำคัญ ฯ
๏ ครานั้นทั่นพระยายมราช เห็นประหลาดก็กลัวอยู่ตัวสั่น
ผลกรรมวันทองจะต้องฟัน จึงเพอิญคิดกันให้ผิดไป
พระไวยเดินไปด้วยบาทา นี่ใครขี่ม้ามาน่าสงสัย
โบกธงหลังม้ามาแต่ไกล มิใช่พระไวยที่กลับมา
แน่แล้วพระไวยเข้าไปทูล นเรนทร์สูรกริ้วโกรธว่าไม่ฆ่า
พวกเราก็ไม่ดีที่ชักช้า เร็วเหวยเอามารีบฆ่าฟัน
เพชฌฆาตราชมัลเข้ายื้อยุด ฉุดวันทองกลัวอยู่ตัวสั่น
เหลียวมาเรียกผัวกลัวเขาฟัน ขุนแผนดันโดดข้ามผู้คุมมา
ขบฟันกั้นกอดวันทองไว้ ขุนช้างร้องไปชิงไว้หวา
เพชฌฆาตดาบยาวก้าวย่างมา ขุนแผนโถมถาคร่อมเมียไว้
ฉุดคร่าคว้ากันอยู่ดันดึง ฟันผึงถูกขุนแผนหาเข้าไม่
ดาบยู่บู้พับยับเยินไป เข้ากลุ้มรุมฉุดได้ขุนแผนมา
ขุนแผนฮึดฮัดกัดฟันเกรี้ยว บิดตัวเป็นเกลียววางกูหวา
เพชฌฆาตแกว่งดาบวาบวาบมา ย่างเท้าก้าวง่าแล้วฟันลง
ต้องคอนางวันทองขาดสะบั้น ชีวิตวับดับพลันเป็นผุยผง
พอพระไวยถึงโผนโจนม้าลง ตรงเข้ากอดตีนแม่แน่นิ่งไป
ขุนแผนก็ล้มลงทั้งยืน ปิ้มจะไม่คงคืนชีวิตได้
ขุนช้างล้มนิ่งกลิ้งอยู่ไกล บ่าวไพร่ใหญ่น้อยก็วุ่นวาย
ทองประศรีกลิ้งเกลือกเสือกกายา สร้อยฟ้าศรีมาลาล้มคว่ำหงาย
นางแก้วลงกลิ้งทิ้งลูกชาย ใครจะรู้สึกกายก็ไม่มี
พวกคนมาดูอยู่อัดแอ บ้างล้มกลิ้งนิ่งแน่บ้างวิ่งหนี
บ้างก็เข้านวดฟั้นคั้นคะยี แก้กันอึงมี่เป็นหมู่ไป
พระไวยพลายงามกับบิดา หมอหลวงเข้ารักษานัดยาให้
น้ำท่าทาลูบให้ชื่นใจ ต่างคนค่อยได้สติมา ฯ
๏ ขุนแผนพระไวยนางลาวทอง ลูกสะใภ้ทั้งสองละห้อยหา
ทองประศรีนางแก้วกิริยา ต่างโศกากอดศพเข้ารํ่าไร
ขุนแผนว่าโอ้เจ้าวันทอง นิจจาน้องวอดวายตายจนได้
พี่พากเพียรปัดเป่าสักเท่าไร เวรกรรมทำไว้กะไรนี้
พระไวยว่าลูกนี้มั่นหมาย ว่าแม่จะไม่ตายไปเป็นผี
ขอได้รีบมาไม่ช้าที พุทโธ่เอ๋ยถึงนี่ไม่ทันฟัน
นางแก้วกิริยาน้ำตาตก โอ้อกน้องนี้ดังใครหั่น
ลาวทองโศกาเฝ้าจาบัลย์ ศรีมาลาน้ำตาลั่นละลุมลง
สร้อยฟ้ากลิ้งเกลือกเสือกสะอื้น ทองประศรีลุกยืนส่งเสียงหลง
เสียงก้องร้องไห้อยู่ในวง ขุนแผนซบลงกอดศพไว้
ต่างร้องต่างร่ำคร่ำครวญ ต่างซวนซุนล้มไม่ลุกได้
เลือดเปื้อนตัวแดงทุกแห่งไป พระไวยคลั่งคลุ้มกลุ้มอุรา
เห็นพ่อนึกพิโรธโกรธเกรี้ยว ข้าให้พ่อทีเดียวอยู่รักษา
ทิ้งกันเสียได้ไม่นำพา ว่าพ่อก็จะแค้นจะเคืองใจ
จะอาลัยทำไมกับแม่ข้า เมียของพ่อพร้อมหน้าอยู่ไสว
แม้นมีความเมตตาอาลัย ไหนแม่วันทองจะต้องฟัน
พ่อก็เรืองพระเวทวิทยา ลาวหมื่นแสนมายังไม่พรั่น
ทั้งมนตร์จังงังก็ขลังครัน ถึงคนร้อยพันก็ซวนซุด
ทำไมกับอ้ายเพชฌฆาต พ่อเป่าจังงังปราดมันก็หยุด
เพราะพ่อไม่ช่วยจึงม้วยมุด ฤๅว่าสุดสิ้นฤทธิของบิดา
หากเห็นข้ามาจึงร้องไห้ หาไม่เจียนพ่อจะเมินหน้า
ยิ่งว่ายิ่งแค้นแน่นอุรา เหลียวมาเห็นเจ้ากรมยมราช
ที่สัญญาว่าไว้อย่างไรเล่า ควรฤๅฟันแม่เราให้คอขาด
กลัวเราจะมาทันรีบฟันฟาด พยาบาทเราด้วยเหตุอันใด
ชิงชังดังหนึ่งว่าโกรธเกลียด มาเบียนเบียดแม่ข้าทำไมให้
ฟันผู้หญิงล้มตายสบายใจ จะสู้รบที่ไหนกับสตรี
เมื่อข้าจะไปก็ได้ว่า ว่าอย่าเพ่อฟันฆ่าให้เป็นผี
เผอเรอเอออวยด้วยดิบดี ทูลขอพระภูมีก็ให้เรา
เดี๋ยวนี้มารดาข้าบรรลัย ท่านจะว่ากะไรไปอิกเล่า
อวดกล้าว่าขยันเข้าฟันเอา เห็นมือเปล่าถือตัวไม่กลัวใคร
มิหนำซ้ำฟันเอาพ่อเรา หากว่าไม่เข้าจึงรอดได้
พ่อข้าโทษทัณฑ์เป็นฉันใด ฤๅว่ารับสั่งให้ท่านฆ่าฟัน
เราพยาบาทท่านจนวันตาย ความแค้นไม่วายที่หมายมั่น
เอาเถิดคงได้ฦๅฝีมือกัน ไม่ได้ฟันศัตรูกูยอมตาย
เหลียวเห็นเพชฌฆาตที่ฟาดฟัน ลุกถลันเตะคว่ำคะมำหงาย
ฉวยดาบมาจะฆ่าเสียให้ตาย ผู้คนวุ่นวายวิ่งหนีปรอ
ขุนช้างตกใจพระไวยถึง ยกมือร้องอึงฉันทำไมพ่อ
พระไวยเตะผางเข้าหว่างคอ พระยายมกลัวงอขออภัย ฯ
๏ ขุนแผนแล่นยุดฉุดพลายงาม จงฟังพ่อห้ามอัชฌาสัย
ผลกรรมจึงจำให้บรรลัย พ่อนั่งอยู่ใกล้ก็ลืมคิด
โดดไปคร่อมเจ้าวันทองไว้ จึงไม่ทันแก้ไขแต่สักหนิด
มันกลุ้มรุมกันฉุดก็สุดฤทธิ ชีวิตวันทองจึงบรรลัย ฯ
๏ พระไวยฮึดฮัดปัดมือ คำรามฮือฉันจะฟันมันให้ได้
พ่อชิงอาวุธหลุดมือไป ล้มกลิ้งลงใกล้ศพมารดา
โอ้ว่าเจ้าประคุณของลูกแก้ว ลับแล้วทีนี้ไม่เห็นหน้า
ลูกนี้มิได้คิดกับชีวา ขืนพระราชอาชญาเข้ากราบทูล
พระองค์ทรงโปรดประทานให้ ดีใจว่าแม่ไม่ดับสูญ
จะมีชื่อฦๅเลื่องเฟื่องฟูน มิรู้ว่าจะอาดูรด้วยเนื้อเคราะห์
รีบเร่งมากับพระท้ายนํ้า ขับม้าผ่ารํ่าราวกับเหาะ
ที่แท้กรรมนำมาให้จำเพาะ เห็นเขาเฉาะคอขาดกระเด็นไป
ร่ำพลางทางกอดเอาศพแม่ นิ่งแน่ไม่สมประดีได้
ยังรึกรึกสะทึกสะท้อนใจ ล้มซบสลบไสลไม่เจรจา ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน สงสารพระไวยเป็นหนักหนา
เห็นร้องไห้อาลัยถึงมารดา กอดศพโศกาอยู่รํ่าไร
จนซวนซบสลบลงกับที่ จะรู้สึกสมประดีก็หาไม่
ขุนแผนตระหนกตกใจ เข้าแก้ไขนวดฟั้นให้ลูกยา
ครั้นพระไวยค่อยได้สติคืน ปลอบว่าเจ้าหมื่นฟังพ่อว่า
อันคนตายไหนเลยจะคืนมา จะโศกาต่อไปไม่ได้ความ
อุตส่าห์สงบใจเจ้าไวยเอ๋ย อย่าร้องไห้ไปเลยฟังพ่อห้าม
ธรรมดาเกิดมาทุกรูปนาม เราท่านก็คงตามกันตายไป
อันบุรุษสตรีมีชีวิต เมื่อถึงพรหมลิขิตไม่อยู่ได้
ถึงมาดแม้นดินฟ้าคงคาลัย เพลิงกาลผลาญไหม้ก็แหลกลง
จะมามัวร้องไห้ไม่ต้องการ จงคิดอ่านทำส่วนกุศลส่ง
เดี๋ยวนี้ศพยังค้างอยู่กลางวง คิดอ่านปลงศพแม่เถิดลูกอา ฯ
๏ พระไวยได้ฟังบิดาปลอบ เห็นชอบตามคำที่พ่อว่า
กลั้นกลืนโศกคลายวายน้ำตา เบือนหน้ามาสั่งซึ่งข้าไท
เอาผ้าขาวมาให้ดังใจหวัง จึงตราสังห่อศพหาช้าไม่
ตัดกระดานต่อโลงด้วยทันใด ก้านตองรองในเข้าฉับพลัน
ครั้นแล้วยกศพขึ้นใส่ไม้ ให้หามไปฝังที่ป่าช้านั่น
เกณฑ์คนเฝ้าศพได้ครบครัน แล้วพากันร้องไห้กลับไปเรือน
ทั้งเคหาเยือกเย็นเป็นป่าช้า เสียงแต่คนโศกากันกล่นเกลื่อน
เกรียมตรมระทมทุกข์อยู่ฟั่นเฟือน เพื่อนบ้านร้านตลาดอนาถใจ ฯ
๏ ฝ่ายว่าเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง พอเห็นเขาฟันนางไม่อยู่ได้
รีบรัดเรียกหาพวกข้าไท ลงเรือทันใดไปสุพรรณ
เร่งตะบึงถึงบ้านพอตรู่ตรู่ กลัวแม่ยายจะรู้เรื่องฟ้องนั่น
หลบเหลื่อมเข้าไปในเรือนพลัน สะอื้นอั้นนํ้าตาลงพราวตา ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท คิดถึงเมียรักเป็นหนักหนา
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า สั่งบ่าวให้ไปหาศรีประจัน
ไปบอกว่าวันทองน้องบรรลัย อ้ายสารีบไปขมีขมัน
ตัดทุ่งมุ่งมาถึงสุพรรณ เข้าบ้านศรีประจันด้วยทันใด
พอนางสายทองเดินออกมา อ้ายสานั่งลงยกมือไหว้
สายทองถามว่ามาทำไม ขุนแผนให้ฉันมาแจ้งแห่งกิจจา
ว่าเวลากลางคืนวานซืนนั้น พระไวยหุนหันเป็นหนักหนา
ไปลอบลักหม่อมแม่วันทองมา เจ้าขุนช้างโกรธาเข้ากราบทูล
พระองคทรงพิโรธโปรดให้ฆ่า แม่วันทองมรณาเสียดับสูญ
สายทองได้ฟังดังไฟฟูน อาดูรสลบล้มลงทั้งยืน
ดังดวงใจจะขาดอนาถนิ่ง ไม่ไหวติงมีแต่สะอึกสะอื้น
บ่าวไพร่แก้ไขมิใคร่ฟื้น พากันตื่นตกใจใช่พอดี ฯ
๏ ศรีประจันครั้นเห็นสายทองเข้า ตัวแกสั่นเทาเทาดังลงผี
ร้องถามไปพลันในทันที อายนี่มึงทำอะไรมัน
ออสายทองล้มคะมำลงตํ้าปุบ มึงตีทุบฤๅอย่างไรไฉนนั่น
อ้ายสาร้องบอกออกไปพลัน หม่อมแม่วันทองตายนะเจ้าคะ
ศรีประจันนั้นได้ยินว่าจะตาย ตกใจนอนหงายจมกระบะ
ลุกขึ้นบนข้าวผีตีข้าวพระ เดชะขอให้รอดอย่าวอดวาย
นี่มันเจ็บเมื่อไรก็ไม่รู้ ดูดู๋ขุนช้างอ้ายฉิบหาย
มาบอกให้อักอ่วนเมื่อจวนตาย แกวุ่นวายมาเรือนลูกเขยช้าง
แปลกใจบันไดก็ชักเสีย ให้อ้ายเบี้ยเอาพะองพาดหน้าต่าง
ปีนป่ายเข้าไปในหอกลาง เจ้าขุนช้างนั่งไหว้ร้องไห้งอ
ศรีประจันครั้งเห็นหน้าลูกเขย เอ๊ะมันผิดแล้วเหวยตาปอหลอ
ขุนช้างบอกไปไม่รั้งรอ เจ้าวันทองไม่พอที่จะตาย
เหตุเพราะพลายงามตามมาลัก พระทรงศักดิกริ้วกราดเป็นมากหลาย
ลูกมิได้ฟ้องร้องกับเจ้านาย ท่านรู้เข้าฆ่าตายเป็นความจริง
ศรีประจันครั้นรู้ว่าลูกตาย นอนหงายลมจับลงพับนิ่ง
ขุนช้างแก้ไขไม่ไหวติง ให้บ่าววิ่งตามหมอสอสอไป
ทั้งหมอนวดหมอยามาพรั่งพร้อม นั่งล้อมอัดแอเข้าแก้ไข
บ้างนวดฟั้นนัดยาบีบขาตะไกร เป็นครู่ใหญ่จึงฟื้นคืนสมประดี
น่าสงสารท่านยายศรีประจัน ตัวแกสั่นหน้าขาวราวกับผี
อาลัยลูกหลงเล่อเพ้อพาที นํ้าตารี่ไหลหลั่งละลุมลง
ขุนช้างนั่งรักษาอยู่กว่ายาม แล้วให้เอาเปลหามตามมาส่ง
ประคองเดินขึ้นบันไดมิใคร่ตรง เขาวางลงยังพิไรอยู่ไปมา
โอ้ว่าเจ้าวันทองของแม่เอ๋ย ไม่ควรเลยจะเข้าไปให้เขาฆ่า
ถ้าเจ็บไข้อยู่บ้านกับมารดา ก็จะได้รักษาพยาบาล
เมื่อพ่อตายหมายจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ จนเถ้าแก่ไม่พรากไปจากบ้าน
เพอิญเนื้อเคราะห์กรรมนำบันดาล ไปได้ผัวจัณฑาลให้ผลาญตัว
ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นถึงเช่นนี้ จะให้บวชเป็นชีที่ท่านขรัว
ถึงเงินทองกองให้ไม่เมามัว อันลูกผัวกูมิให้ผู้ใดเชย
ทั้งอ้ายแผนอ้ายล้านกระบานใส ล้วนจัญไรได้มาเป็นลูกเขย
แย่งกันเหมือนหมาหมูกูไม่เคย เอาจนเลยฉิบหายถึงวายปราณ
อ้ายลูกชายพลายงามเมื่อยามเด็ก เห็นเล็กเล็กก็เอ็นดูอยู่ว่าหลาน
มิรู้ว่าเติบใหญ่จะใจพาล พลอยล้างผลาญมารดาชีวาวาย
โอ้อกกูแก่เถ้ามาเปล่าเปลี่ยว ตัวคนเดียวลูกผัวก็สูญหาย
จะอยู่ไยให้ยากลำบากกาย แกฟูมฟายครวญครํ่าอยู่รํ่าไร ฯ
๏ ครานั้นสายทองผู้เป็นพี่ ครั้นฟื้นสมประดีขึ้นมาได้
คิดถึงน้องน้อยละห้อยใจ น้ำตาไหลหลั่งหลั่งละสุมลง
จึงอำลาศรีประจันแล้วครรไล ลงเรือรํ่าไห้อาลัยหลง
มาถึงกรุงไกรด้วยใจจง ตรงไปบ้านขุนแผนผู้แว่นไว
ครั้นถึงเข้าไปที่ในห้อง ถามว่าศพวันทองน้องอยู่ไหน
ขุนแผนบอกว่าฝังวัดตะไกร แล้วให้คนนำไปในฉับพลัน
สายทองร้องไห้ลงจากเรือน ฟั่นเฟือนถ่อกายผายผัน
ครั้นถึงป่าช้ายิ่งจาบัลย์ นางโศกศัลย์ซวนซบสลบไป
ผู้คนข้าไทที่ไปด้วย ต่างเข้าช่วยผันแปรแก้ไข
เป็นครู่หนึ่งจึงถอนลมหายใจ สายทองค่อยได้สมประดี
ครวญครํ่ารํ่าเรียกแม่วันทองเอ๋ย เจ้าช่างเฉยเสียได้ไม่ทักพี่
แม่มานอนอยู่ไยในปัถพี ตัดช่องน้อยหนีไปแต่ตัว
เสียแรงรักกันมาแต่ไร ร่วมเรือนร่วมใจแล้วร่วมผัว
สุขทุกข์ปรองดองไม่หมองมัว พันพัวเลี้ยงกันมาแต่น้อย
วันทองน้องรักมาหนีไป เจ้าทิ้งพี่นี้ให้หวนละห้อย
อันจะคงชีวานั้นอย่าคอย จะตายตามน้องน้อยไปด้วยกัน
โอ้แต่นี้นับปีจะแลลับ นับเดือนจะวิโยกโศกศัลย์
จะคร่ำครวญหวนไห้ไปทุกวัน เมื่อไรนั้นจะได้ไปพานพบ
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกกาย ปิ้มประหนึ่งนางจะตายลงทับศพ
อัดอั้นสะอื้นอ้อนซอนซบ ระทวยทบทอดทุ่มอุราครวญ
อุตส่าห์ฝืนขืนจิตรคิดระงับ มืดค่ำจำกลับมาโดยด่วน
เดินพลางโศกศัลย์ยิ่งรัญจวน กลับทวนมาบ้านพระหมื่นไวย
จึงสั่งพวกบ่าวข้ามาด้วยกัน ให้กลับไปสุพรรณหาช้าไม่
แต่ตัวยับยั้งยังไม่ไป จะอยู่ช่วยพระไวยกระทำงาน ฯ
๏ ครั้นรุ่งสุริยาจำรัสแสง แจ่มแจ้งพิภพจบสถาน
ฝ่ายว่าพระไวยชัยชาญ คิดอ่านการศพของมารดา
จะทำให้ใหญ่โตฉะนี้เล่า จำจะเข้าไปทูลพระพันวษา
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา เข้ามาเฝ้าองค์พระภูธร ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ เสด็จสถิตแท่นสุวรรณบรรจถรณ์
สะพรั่งพร้อมสุรางค์นางนิกร งามงอนพริ้งเพริศเลิศละไม
แต่ละหน้าหน้านวลควรจะชม น้อมประนมทุกเหล่าเฝ้าไสว
เหล่าพวกนางบำเรอเสนอใน บ้างขับไม้บรรเลงเพลงดนตรี
เสนาะเสียงพิณพาทย์ระนาดฆ้อง แซ่ซ้องสังคีตดีดสี
ครั้นเวลาว่าขานการธานี พระภูมีออกประทับพระโรงทอง
ข้าเฝ้าเข้าประจำราชกิจ ระวังผิดอยู่หมดสยดสยอง
กราบทูลถ้อยความตามทำนอง ไม่ขุ่นข้องราชการงานพารา
ทอดพระเนตรเห็นพระจมื่นไวย เอออย่างไรแม่มึงเมื่อวานหวา
ขอได้ดีใจไม่กลับมา พ่อมึงพูดจาว่าอย่างไร ฯ
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ ฟังพระราชบัญชาน้ำตาไหล
ประนมนิ้วทูลองค์พระทรงชัย ไปไม่ทันเห็นใจของมารดา
พอออกไปถึงเข้าเขาฟันฟาด คอขาดลงกับดินสิ้นสังขาร์
ทูลพลางสะอื้นไห้อยู่ไปมา ตรงหน้าพระที่นั่งพระทรงชัย ฯ
๏ ครานั้นภูเบนทร์นเรนทร์สูร ฟังทูลดังฟ้าฟาดปราสาทไหว
แข็งขึงอึ้งอั้นตันพระทัย ตะลึงไปมิได้ตรัสจำนรรจา
เป็นครู่หนึ่งจึงตรัสออกมาได้ กูสงสารจมื่นไวยเป็นหนักหนา
ขอแม่ได้ก็ไม่พ้นจากอาญา เป็นเวราของมันเท่านั้นเอง
อย่าทุกข์ไปกูจะให้ซึ่งเงินทอง ข้าวของแต่งศพให้เหมาะเหม็ง
ทำให้หลายวันคืนให้ครื้นเครง อย่าได้เกรงต้องการสิ่งอันใด
เอ็งมาเอาข้าวของท้องพระคลัง กูจะสั่งพนักงานให้จ่ายให้
จัดแจงให้งามตามแต่ใจ จะต้องการสิ่งไรอย่าอำปลัง
มีทั้งโขนละครมอญรำ มวยปล้ำคํ่าลงจงมีหนัง
ตีประโคมฆ้องกลองให้ก้องดัง ให้หีบตั้งใส่ศพให้ครบครัน
ร้านม้าเครื่องประดับสรรพเสร็จ การเล่นเบ็ดเดล็ดทุกสิ่งสรรพ์
ดอกไม้ไฟช่องระทาสารพัน ทำให้ทันการของเอ็งอย่าเกรงใจ ฯ
๏ พระไวยได้ฟังรับสั่งโปรด ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน
ก้มกราบบาทมูลแล้วทูลไป พระคุณใหญ่ยิ่งล้นพ้นประมาณ
ข้าพระพุทธเจ้านี้ยินดี ไม่มีที่จะเปรียบเสมอสมาน
จะเลื่องชื่อฦๅทั่วสุธาธาร ว่าโปรดปรานเกศาข้าหมื่นไวย
แต่บรรดาคนโทษที่ต้องฆ่า ใครไม่กล้าเพ็ดทูลขอร้องได้
หมายจิตรว่าชีวิตจะบรรลัย ก็โปรดให้ด้วยพระกรุณา
หากไม่สมดังจิตรที่คิดไว้ มารดามาบรรลัยสิ้นสังขาร์
ข้าพระบาทขอสนองคุณมารดา บังคมลาบวชตัวสักเจ็ดวัน ฯ
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
กูขอบใจออไวยเอ็งดีครัน กตัญญูรู้คุณเป็นพ้นใจ
จึงตรัสสั่งชาวคลังศุภรัต จัดผ้าไตรครองของกูให้
กุศลกูจะได้ชูช่วยส่งไป พระไวยก็ถวายบังคมลา ฯ
๏ แล้วพร้อมกันจัดแจงแต่งเครื่องศพ ครั้นครบถ้วนถี่ดีหนักหนา
ให้ขนของรีบรัดไปวัดวา ญาติกาห้อมล้อมพร้อมเพรียงกัน
ท่านยายศรีประจันก็มาด้วย แกมาช่วยปลงศพวันทองนั่น
เกือบจะบ่ายชายแสงพระสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ำแล้วชำระ
ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ
ปี่ชวารํ่าร้องกลองชนะ นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออกหน้าหาช้าไม่
พวกพ้องพี่น้องก็รํ่าไร นุ่งขาวตามไปล้วนผู้ดี
ศรีประจันมารดาน้ำตาพราย เดินมากับท่านยายทองประศรี
ครั้นมาถึงโรงทึมเข้าทันที อึงมี่ยกศพขึ้นร้านม้า ฯ
๏ เครื่องศพตบแต่งอยู่ดาษดื่น ที่พ่างพื้นนั้นให้ผูกเป็นภูผา
ใครไม่รู้ดูเห็นเป็นศิลา รจนาแยบคายระบายดี
เงื้อมเขาเง้าชะโงกเป็นโตรกธาร มีเชิงชานสำหรับใส่กุฎิฤๅษี
ตรงเหลี่ยมผาเมขลาล่อมณี อสุรีขว้างขวานทะยานยัน
ทำชะง่อนชะโงกเป็นโตรกตรอก มีซุ้มซอกใส่รูปอรหันต์
ทั้งเสือหมีสองสัตว์เข้ากัดกัน ยิงฟันผันผงะตละเป็น
มฤคีที่วิ่งกระโดดมา พรานป่าแอบไม้มิให้เห็น
ใส่หัวล่อล้อเดินเด่นกระเด็น มองเขม้นมุ่งมาดมฤคี
แล้วปั้นเป็นคนป่าทำตากลอก ทะเลิกหลอกเล่นหน้าเหมือนท่าผี
โคกระทิงยืนนิ่งอยู่มากมี บ้างทำทีกินหญ้าท่าพลิกแพลง
ที่หว่างเวิ้งเชิงผาศิลาลาด ตัดกระดาษให้สนิทแล้วปิดแผง
ประสานสีเขียวดำคลํ้าแดง วงแวงมีมากทั้งนากทอง
บ้างก็ทำเป็นบ่อก่อเป็นเกาะ ซอกเซาะสดสีไม่มีสอง
ตะกุบตะกับเกะกะเป็นก้อนกอง ทำเปลวปล่องเห็นพิลึกกึกกือ
ที่เหวนั้นดูลึกเป็นหนักหนา มองลงมามืดคล้ำดำปึดปื้อ
ใส่ปักษาท่าทำปีกกระพือ นกทึดทือจับกระทุ่มเป็นพุ่มชัฏ
ชั้นต้นหมดจดสดสะอาด แลลาดตั้งกระถางต้นไม้ดัด
แล้วจัดแจงผูกแผงราชวัติ จามรฉัตรงามดีมณีแกม
บัวทองรองหีบเหมกุดั่น สามชั้นสามยอดสล้างแหลม
ดอกไม้ร้อยห้อยพวงพู่กลิ่นแซม แกมกับระย้าแก้วดูแพรวพราย
ฝาผนังตั้งเขียนเรื่องอิเหนา ที่ซุ้มเสาใส่กระจกกระจ่างฉาย
ม่านขาวปักทองละอองพราย แล้วก็รายโคมแก้วทั้งแถวเทียน
สี่มุมยกพื้นดูแยบคาย เอาแผงบังตั้งรายระบายเขียน
เป็นระยะที่พระจะสวดเรียน เอาเสื่อสาดลาดเลี่ยนลออตา ฯ
๏ ครั้นแสงสุริยันตะวันเย็น พนักงานการเล่นทุกภาษา
มาโหมโรงแต่คํ่ายํ่าสนธยา สาละพาเฮโลโห่เกรียวไป
ครั้นรุ่งแสงสุริฉานประมาณโมง ก็ลงโรงเล่นประชันอยู่หวั่นไหว
โขนละครมอญรำฉํ่าชูใจ ร้องรับกรับไม้นั้นพร้อมเพรียง
พวกหุ่นเชิดชักยักย้ายท่า คนเจรจาสองข้างต่างถุ้งเถียง
จำอวดเอาอ้ายค้อมเข้าด้อมเมียง พูดจาฮาเสียงสนั่นโรง
พวกงิ้วถือล้วนแต่ทวนง้าว หน้าขาวหน้าแดงแต่งโอ่โถง
บ้างรบรุกคลุกคลีตีตุ้มโมง บ้างเข้าโรงบ้างออกกลอกหน้าตา
นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า
รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป
เครื่องเล่นพร้อมพรักเป็นหนักหนา ชาวประชามาดูเดินออกไขว่
ทั้งผู้ดีขี้ข้าและเข็ญใจ หลีกหลบกระทบไหล่กันไปมา
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวบ้านนอก ห่มขาวมุ้งนุ่งบัวปอกแป้งผัดหน้า
เดินสะดุดซุดเซเขาเฮฮา หน้าตาตื่นเก้อเลินเล่อพอ
พวกขี้เมาโมเยเดินเซซวน เห็นใครชวนชกกันทำขันข้อ
ใครกีดทางขวางหน้าก็ด่าทอ เขาผูกคอใส่คาทำตาแดง
พวกเจ้าชู้ผู้ชายหลายพวกพ้อง เที่ยวเทียวท่องลอดเลาะเสาะแสวง
บ้างตัดผมสวยสั้นชันเป็นแปรง ทำกล้องแกล้งเกี้ยวผู้หญิงทิ้งดอกไม้
แต่พอบ่ายชายแสงพระสุริฉาน ก็จัดแจงทิ้งทานหาช้าไม่
ขึ้นต้นปลดผ้าลงวางไว้ หยิบได้มะนาวโปรยโดยกำลัง
เสียดแทรกแขกไทยไปคอยชิง ทั้งชายหญิงวิ่งรับอยู่คับคั่ง
ไล่ตะครุบทุบถองกันตึงตัง บ้างหลบหลีกมาข้างหลังแถลบไป
ที่เรี่ยวแรงแข็งข้อล่อขยับ โจนประจบตบปับรับเอาได้
ถูกมือถือกำขยำไว้ อึกอักผลักไสกันไปมา
พอเพลาพลบคํ่าลงรำไร จึงให้จุดดอกไม้ด้วยหรรษา
ไฟพะเนียงเสียงพลุช่องระทา พวกหนึ่งเรียกหามาตั้งจอ
เหล่าเจ้าพวกหนังแขกแทรกเข้ามา พิศดูหูตามันปอหลอ
รูปร่างโสมมผมหยิกงอ จมูกโด่งโก่งคอเหมือนเปรตยืน ฯ
๏ ฝ่ายพวกพ้องพี่น้องญาติกา ชวนกันมาเฝ้าศพสะอึกสะอื้น
ด้วยรักนางพ่างเพียงจะกล้ำกลืน ไม่มีชื่นโศกเศร้าเฝ้าซวนซบ
ฝ่ายยายทองประศรีศรีประจัน แกร้องไห้โต้กันอยู่ข้างศพ
ทองประศรีว่าเหวยกูไม่เคยพบ เพราะมึงคบคิดให้กับไอ้ช้าง
ศรีประจันว่ามันเป็นเศรษฐี ชั่วดีก็ได้พึ่งมันหลายอย่าง
ทองประศรีว่าอีเถ้ามันนอกทาง พึ่งช้างสิจึงลูกถูกแทงตาย
ศรีประจันว่ามาว่าข้าเปล่าเปล่า ลูกอีเถ้าและทำมันฉิบหาย
พระหมื่นไวยร้องมาห้ามย่ายาย ทั้งสองเถ้าฟูมฟายอยู่รํ่าไร ฯ
๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง รู้ว่าทำศพนางไม่นิ่งได้
จะเข้ามาตรงตัวก็กลัวภัย พระไวยจะข่มเหงให้เกรงนัก
อ้ายแผนพ่อก็คอยพลอยประสม ถ้าเพลี่ยงลงคงระดมถึงแตกหัก
เมื่อสูญสิ้นวันทองน้องรัก จะไปพักเจ็บไยไม่ต้องการ
คิดพลางทางสั่งซึ่งบ่าวข้า ให้ไปถอยเรือมาที่หน้าบ้าน
จัดประทุกผ้าไตรไทยทาน เครื่องสการครบอย่างแล้ววางมา
ครั้นถึงจึงแวะวัดตะไกร จอดเรือเข้าไว้ที่ตีนท่า
ขึ้นไปหาสมภารแล้ววันทา ขรัวตาโปรดด้วยช่วยสักที
ดิฉันมาเผาเจ้าวันทอง ข้าวของเตรียมมาเป็นถ้วนถี่
แต่เจ้าภาพอริมาหลายปี เกรงจะพาลทุบตีให้เสียการ
เจ้าคุณโปรดด้วยช่วยว่ากล่าว ไกล่เกลี่ยเรื่องราวที่ร้าวฉาน
ขอนิมนต์ชีต้นเป็นหัวทาน นึกว่าฉานลูกเต้าเถิดเจ้าคุณ ฯ
๏ ครานั้นจึงท่านอธิการ ฟังขุนช้างว่าวานทอดใจครุ่น
ปลงศพศีลทานเป็นการบุญ จะตีรันกันให้วุ่นไปทำไม
เอาเถอะจงไว้ธุระข้า ด้วยข้างโน้นศิษย์หาพอว่าได้
ว่าพลางทางลุกลงบันได ตรงมาหาพระไวยที่โรงงาน
ครั้นถึงจึงว่ากับพระไวย รำคาญใจรูปจะขอบิณฑ์บาตหลาน
ด้วยเรื่องที่อาระคะคาน กับอ้ายขุนหัวล้านมานานช้า
เจ้าก็จะทำบุญสุนธรรม ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียดีกว่า
เป็นกุศลผลบุญแก่มารดา เดี๋ยวนี้ตัวมันมาจะทำบุญ
มันยังขยาดไม่อาจมา กลัวว่าเจ้าภาพจะว้าวุ่น
มันขอให้เมตตาการุญ ว่าจะคิดถึงคุณไปจนตาย ฯ
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ อภิวาทตอบไปดังใจหมาย
หลานก็เห็นแก่บุญไม่วุ่นวาย อันความเก่าขอถวายในวันนี้
ซึ่งเกิดเหตุเภทพาลด้วยมารดา เดี๋ยวนี้ก็มรณาไปเป็นผี
ให้เป็นยุติกันเท่านั้นที อย่าให้มีเวราข้างหน้าไป
เจ้าคุณช่วยบอกนายขุนช้าง เขาจะทำบุญบ้างก็ทำได้
ดีฉันไม่ขัดขวางแต่อย่างไร สุดแท้แต่นํ้าใจจะศรัทธา ฯ
๏ ครานั้นท่านสมภารวัดตะไกร ฟังตอบชอบใจหัวเราะร่า
ว่าสาธุสุโขโมทนา แล้วก็กลับขึ้นมายังกุฎี
ครั้นถึงจึงบอกกับขุนช้าง ข้าลงไปข้างล่างเมื่อตะกี้
ได้ชี้แจงว่ากล่าวยาวรี เขาปรานีประนอมยอมเลิกแล้ว
จะระงับดับเวรให้ผู้ตาย ข้างนายก็ปรองดองให้ผ่องแผ้ว
อย่าให้เกิดราคีเป็นวี่แวว ให้เวรกรรมเลิกแล้วแต่นี้ไป ฯ
๏ ขุนช้างได้ฟังท่านสมภาร กราบกรานยินดีจะมีไหน
ว่าดีฉันจะระวังตั้งใจ มิให้เสียศรัทธาท่านอาจารย์
ว่าแล้วลงมาหาพระไวย ก็ต้อนรับด้วยน้ำใจใสสานต์
ขุนช้างบังสุกุลทำบุญทาน ทั้งสองข้างต่างสมานไม่ค้านติง ฯ
๏ ครั้นถ้วนคำรบครบสามวัน บังสุกุลสุนธรรม์เสร็จทุกสิ่ง
จึงรื้อเครื่องประดับนั้นพับพิง พระหมื่นไวยก็วิ่งเข้าป่าช้า
แล้วกำบังนั่งลงสำรวมจิตร แน่สนิทแล้วก็อ่านพระคาถา
ถ้วนคำรบจบเป่านํ้ามันงา เดือดฉ่าทาตัวด้วยฉับพลัน
ครั้นทาทั่วผ้าผ่อนแลเกศา พระไวยลุกออกมาขมีขมัน
ขึ้นนอนบนเชิงตะกอนนั้น จึงให้ยกศพหันขึ้นวางทับ
พวกพ้องพี่น้องมาช่วยเผา จึงเอาท่อนจันทน์ฟันประดับ
ธูปเทียนดอกไม้จุดไฟวับ ขุนแผนกับพี่น้องร้องไห้ครวญ
ไฟลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง ปี่กลองทั้งปวงประโคมถ้วน
จุดประทัดโผงผางวางชนวน พวกผู้หญิงวิ่งสวนออกวุ่นไป
บ้างว่าพระไวยนอนไฟเผา จะตายด้วยแม่เปล่าเปล่าก็เป็นได้
ที่บางคนนั้นก็ว่าไม่เป็นไร ประเดี๋ยวใจไฟลุกก็โทรมลง
โลงโกงฟืนฟ่อยก็ย่อยยับ พระไวยกลับออกมาน่าพิศวง
ฝูงคนยืนดูอยู่เป็นวง ชมว่าช่างอยู่คงทั้งฟืนไฟ ฯ
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จพลันมิทันช้า พระไวยผลัดผ้านุ่งห่มใหม่
แล้วนิมนต์พระสงฆ์วัดตะไกร พระหมื่นไวยปลงผมไม่ช้าที
เข้าโบสถ์พระสงฆ์ก็บวชให้ ญาติกาข้าไทสาธุมี่
เจ้าขุนช้างนึกมาศรัทธามี วิ่งรี่เข้าไปหาพระหมื่นไวย
บอกว่าดีฉันจะบวชตัว ทูนหัวช่วยบวชเป็นเณรให้
พระไวยบอกว่าข้าจนใจ พึ่งบวชใหม่สวดเรียนก็ไม่รู้
ขุนช้างวางมาจากพระไวย เข้าไปกราบไหว้หลวงตาหนู
ได้เอ็นดูแก่ฉันเถิดท่านครู บวชเณรเถรตู้ให้ฉันที
หลวงตาหนูแลดูเจ้าขุนช้าง ผมยังมีอยู่บ้างประสกพี่
จะบรรพชาผ้าไตรก็ไม่มี จงไปปลงเกศีเอาไตรมา
ขุนช้างได้ไตรแล้วปลงผม มือประนมอุ้มไตรเข้าไปหา
ปากว่าตาพองร้องอุกา งันงกตกประหม่าอยู่พรํ่าพรู
แต่เวียนวนป่นเปื้อนไม่จำได้ พ่อบอกให้ฉันเถิดหลวงตาหนู
ฉันไม่เคยอุกาตาเอ็นดู ไตรชูบังหน้าว่าตามไป
จบแล้วห่มดองครองผ้า รับศีลออกมาหาช้าไม่
นอนค้างอยู่กุฎีที่วัดตะไกร ครบสามคืนสึกไปเมืองสุพรรณ ฯ
๏ ครั้นเสร็จงานปลงศพเจ้าวันทอง จึงฉลองพระไวยเกษมสันต์
บวชเรียนครบเสร็จได้เจ็ดวัน ก็สึกพลันเข้าเฝ้าเจ้าเวียงไชย
พอเพลาพระองค์ผู้ทรงภพ ขจรจบในทวีปน้อยใหญ่
เสด็จออกยังท้องพระโรงชัย พระหมื่นไวยก็กราบลงบัดดล
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอถวายพระราชกุศล
ข้าพระพุทธเจ้าได้บวชตน ตามจนฉลองคุณมารดา ฯ
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลทรงพระสรวลสำรวลร่า
จบพระหัตถ์ตรัสว่าโมทนา แล้วประทานเสื้อผ้าพระหมื่นไวย
พระทรงคิดกิจการในด้าวแดน อ้ายขุนแผนพ่อมึงเป็นไฉน
จะให้ครองกาญจน์บุรีลี้อยู่ไย อ้ายไวยเอ็งออกไปบอกกัน ฯ
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ รับพระราชโองการขมีขมัน
กลับบ้านจึงบอกขุนแผนพลัน พระทรงธรรม์ให้เตือนท่านบิดา
ให้ขึ้นไปอยู่เมืองกาญจน์บุรี เกลือกจะมีเหตุการข้างด่านหน้า
ขุนแผนทราบความตามกิจจา จึงกะหาคืนวันที่ฤกษ์ดี
แล้วจัดแจงธูปเทียนดอกไม้ จะเข้าไปประณตบทศรี
ครั้นพลบคํ่ายํ่ายามราตรี คิดไปให้มีความห่วงใย
จึงมาบอกเนื้อความทองประศรี ว่าลูกนี้วิตกเป็นไหนไหน
ด้วยบัดนี้พระองค์ผู้ทรงชัย จะให้ลูกขึ้นไปกาญจน์บุรี
เจ้าไวยไปเฝ้าเมื่อเช้านั้น พระทรงธรรม์ตรัสสั่งเป็นถ้วนถี่
สงสารแม่ด้วยแก่ลงเต็มที ลูกนี้จะไปให้รำคาญ
แล้วก็เป็นห่วงด้วยจมื่นไวย อกลูกราวกับไฟมาเผาผลาญ
แต่ห่วงแม่นั่นแลเหลือประมาณ ลูกคิดอ่านจะเชิญคุณแม่ไป ฯ
๏ ทองประศรีฟังว่าน้ำตาหลั่ง นั่งนึกตรึกตราแล้วปราศรัย
จะขืนขัดทัดทานประการใด ก็จนใจด้วยเกรงพระอาญา
ครั้นแม่จะตามเจ้าขึ้นไป ก็สงสารเจ้าไวยเป็นหนักหนา
จะอยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าวิญญาณ์ กำพร้าสารพัดทุกสิ่งไป
ห่วงลูกห่วงหลานปานอกหัก ไม่รู้ที่จะยักไปทางไหน
จำเป็นเห็นต้องอยู่กับเจ้าไวย ไม่มีใครก็จะซ้ำน้ำตาย้อย
ตั้งแต่แม่ตายไม่หายเศร้า พ่อจะจากอิกเล่าเหลือละห้อย
ครั้นไม่ไปก็อาลัยชุมพลน้อย แกอ้อยสร้อยถอนจิตรคิดรีรอ
โอ้เจ้าประคุณทูนหัวแม่ จงเอ็นดูคนแก่เถิดนะพ่อ
อย่าให้แม่ชอกชํ้านํ้าตาคลอ ขอชุมพลให้แม่เถิดเป็นไร
เกรียมตรมจะได้ชมแต่หลานน้อย จึงจะค่อยคลายทุกข์ที่หม่นไหม้
แม่แก้วกิริยาอย่าอาลัย เอ็นดูกูกูไหว้แล้วแม่คุณ ฯ
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา ฟังคำคุณย่าก็ว้าวุ่น
ให้อาลัยลูกยาด้วยการุญ เนื้ออุ่นของแม่จะจากไป
ท่านขอไว้จะมิให้กับคุณย่า ก็กลัวว่าจะขัดอัชฌาสัย
นางแข็งจิตรเจรจาว่าตามใจ คุณแม่จะเอาไว้ก็ตามที
ว่าพลางนางลุกอำลามา นํ้าตาไหลนองยิ่งหมองศรี
พอสุริยนสนธยาเข้าราตรี พาลูกเข้าที่กินนมนอน
โอ้โอ๋อนิจจาแก้วตาแม่ จะห่างแหเจ้าไปใจคออ่อน
แต่กอดลูกร้องไห้ไม่หลับนอน จนอัมพรแจ่มแจ้งแสงอุทัย
ขุนแผนตื่นพลันมิทันช้า แล้วลุกมาล้างหน้าให้หมดใส
กินข้าวผลัดผ้าเรียกข้าไท ก็เข้าในราชวังดังใจจง ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ เฉลิมลบลํ้าเลิศระเหิดระหง
จึงตรัสสั่งขุนแผนแสนณรงค์ เอ็งจงออกไปกาญจน์บุรี
ราชการบ้านเมืองเอาใจใส่ ระวังระไวเขตขอบบุรีศรี
ตรวจตราด่านดงพงพี เองไปจงดีอย่ามีภัย ฯ
๏ ขุนแผนรับพระพรใส่เกศา เสด็จขึ้นกลับมาหาช้าไม่
ครั้นมาถึงเคหาสั่งข้าไท บ่าวไพร่ให้เตรียมเสบียงพลัน
เจ้าแก้วกิริยานางลาวทอง หาของเสร็จสิ้นทุกสิ่งสรรพ์
เตรียมช้างบรรทุกทุกสิ่งอัน ข้างพวกเกวียนนั้นให้ล่วงไป
รุ่งขึ้นเช้านั้นวันอาทิตย์ มหาสิทธิโชคอันผ่องใส
ชวนเจ้าแก้วกิริยาคลาไคล กับลาวทองกราบไหว้ลามารดา ฯ
๏ ทองประศรีตำหมากทิ้งสากผึง แลตะลึงเสียใจเป็นหนักหนา
ให้พรพึมพำทั้งน้ำตา ขออย่ามีโรคาทั้งสามคน
ให้อายุเจ้ายืนสักหมื่นปี สวัสดีมีสุขสถาผล
ให้เกิดลูกสักพันวันละคน ออชุมพลมานี่สิพ่อมา
จะร้องไห้ตามแม่เขาไปไย ไม่กลัวไอ้ลิงแสมตุ๊กแกป่า
อยู่กับย่าย่าจะให้ตุ๊กตา ซื้อขนมส้มซ่าให้เจ้ากิน
นางแก้วรํ่าฝากซึ่งลูกรัก โศกสลักเพิ่มพูนอาดูรดิ้น
คลอน้ำตาปรี่ปรี่ลงรี่ริน ผินหน้ามาสั่งวังเวงใจ
ขุนแผนปลอบน้องประคองขวัญ จะครวญครํ่ารำพันไปถึงไหน
หนทางก็ไม่สู้จะใกล้ไกล ระลึกถึงเมื่อไรจึงค่อยมา
นางแก้วกิริยาคลายอาลัย อุ้มลูกส่งให้แก่คุณย่า
เป็นห่วงใยมิใคร่จะไคลคลา น้ำตานางไหลละลุมลง
ขุนแผนสั่งสอนพระหมื่นไวย กับสองลูกสะใภ้ตามประสงค์
เอาฟ้าฟื้นยื่นให้ดังใจจง แล้วลงยันต์ฝ่ามือไม่ทันช้า
ตบหน้าผากพระไวยแล้วให้พร พระไวยอ่อนเศียรเกล้าด้วยหรรษา
น้อมคำนับรับพรของบิดา วันทาแทบเท้าขุนแผนพลัน
เจ้าสร้อยฟ้าศรีมาลาทั้งสองนาง ไหว้พ่อผัวพลางต่างโศกศัลย์
ฟูมฟายนํ้าตายิ่งจาบัลย์ ต่างรำพันรํ่าสั่งหลั่งน้ำตา
เจ้าแก้วฝากฝังพลายชุมพล ทั้งสองคนฝากน้องด้วยเถิดหนา
ผิดชอบขู่รู่เอาเถิดรา แม่อย่าได้ฉันทารังเกียจน้อง ฯ
๏ รํ่าสั่งกันแล้วก็ขึ้นช้าง สองนางขี่พังมาทั้งสอง
พระกาญจน์บุรีขึ้นขี่พลายจำลอง บ่าวไพร่เนืองนองตามกันไป
แฟ้มโพล่โย้โยนอยู่ยวบยาบ ยกหาบซวนเซเป๋ไป๋
ต้อนพลด้นตรงเข้าพงไพร ชมพรรณมิ่งไม้มาตามทาง
เป็นหมู่หมู่ดูชอุ่มเป็นพุ่มชัฏ ใบระบัดช่อดอกออกสล้าง
สมอทะเลเพกาขานาง นกยางบินขยับจับพะยอม
นกเขาจับข่อยแล้วขันคู แมลงภู่ตอมดอกประดู่หอม
ผลจันทน์ดกจริงจนกิ่งค้อม เหนี่ยวน้อมเด็ดชมภิรมย์ใจ
สัตว์สิงห์วิ่งพล่านในดานดง บ้างบุกชัฏลัดพงมาไสว
โคกระทิงวิ่งเบิ่งกระเจิงไป พยัคฆ์ใหญ่ย่องยอบแล้วหมอบมอง
มุ่งเขม้นหมายจะเล่นกระทิงถึก ออกสะอึกโจนสู้สองต่อสอง
เสือสะบัดกัดติดโลหิตนอง กระทิงร้องคนรู้จู่เข้าไป
เสือผงะปละปล่อยกระทิงทิ้ง วางวิ่งหนีหน้าเข้าป่าใหญ่
กระทิงเจ็บปวดครันแทบบรรลัย ด้วยเกรงภัยหนีออกวิ่งซอกซอน ฯ
๏ รีบรัดตัดทางวางมา บุกแฝกแหวกคาหว่างสิงขร
พระสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน ปักษินบินร่อนเข้ารังราย
นางชะนีเหนี่ยวไม้แล้วไห้โหย วิเวกโวยหวาดหวั่นฤทัยหาย
หวนคิดถึงเมียยิ่งเสียดาย ถ้าไม่ตายจะได้มาพนาลี
โอ้ป่านี้แลหนาเจ้าวันทอง พี่พาน้องมาเมื่อลักขุนช้างหนี
ชวนเจ้าเนื้อเย็นเล่นวารี เห็นที่แล้วยิ่งทุกข์ระทมใจ
โอ้เจ้าวันทองของพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยงามชื่นจะคืนได้
เป็นเวรหลังได้สร้างไว้ปางใด จึงดลใจน้องนางจนวางวาย
ขรัวครูดูแน่เป็นแม่นมั่น พี่จดจำสำคัญกำหนดหมาย
ไม่หลีกเลี่ยงเที่ยงธรรม์เหมือนทั่นทาย เจ้าจึงตายจริงจังประจักษ์ใจ
อุตส่าห์ฝืนขืนจิตรคิดระงับ รีบขับช้างมาหาช้าไม่
แรมร้อนนอนป่าพนาลัย สามคืนเข้าในกาญจน์บุรี
เสบียงลงปลงช้างไว้เสร็จสรรพ กรมการต้อนรับอยู่อึงมี่
เกณฑ์ไพร่ตัดไม้ปลูกเรือนดี จัดแจงแต่งที่ไว้ครบครัน
แสนสำราญอยู่บ้านกาญจน์บุรี เปรมปรีดิ์เป็นสุขเกษมสันต์
ปรึกษาความสารพัดเป็นสัตย์ธรรม์ ทุกคืนวันแสนสุขสำราญเรือน ฯ
  1. ๑. ตอนกำเนิดพลายงามว่านางทองประศรีพาพลายงามไปหาขุนแผน ตอนนี้ว่า พลายงามหนีนางทองประศรีไป เป็นเพราะเมื่อผู้แต่งต่างไม่รู้กัน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ