- คำนำ
- ตำนานเสภา
- คำอธิบาย
- อธิบายบทเสภา เล่ม ๓
- ตอนที่ ๑ กำเนิดขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๓ พลายแก้วบวชเณร
- ตอนที่ ๔ พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม
- ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม
- ตอนที่ ๖ พลายแก้วเข้าห้องนางสายทอง
- ตอนที่ ๗ พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
- ตอนที่ ๘ พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ
- ตอนที่ ๙ พลายแก้วยกทัพ
- ตอนที่ ๑๐ พลายแก้วได้นางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๑ นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย
- ตอนที่ ๑๒ นางศรีประจันยกนางวันทองให้ขุนช้าง
- ตอนที่ ๑๓ พลายแก้วได้เป็นขุนแผน ขุนช้างได้นางวันทอง
- ตอนที่ ๑๔ ขุนแผนบอกกล่าว
- ตอนที่ ๑๕ ขุนแผนต้องพรากนางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๖ กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่
- ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา
- ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพานางวันทองหนี
- ตอนที่ ๑๙ ขุนช้างตามนางวันทอง
- ตอนที่ ๒๐ ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นขบถ
- ตอนที่ ๒๑ ขุนแผนลุแก่โทษ
- ตอนที่ ๒๒ ขุนแผนชนะความขุนช้าง
- ตอนที่ ๒๓ ขุนแผนติดคุก
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม
- ตอนที่ ๒๕ เจ้าล้านช้างถวายนางสร้อยทองแก่พระพันวษา
- ตอนที่ ๒๖ พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง
- ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
- ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา
- ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
- ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่
- ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนพลายงามยกทัพกลับ
- ตอนที่ ๓๒ ถวายนางสร้อยทอง สร้อยฟ้า
- ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม
- ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ
- ตอนที่ ๓๕ ขุนช้างถวายฎีกา
- ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง
- ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ พระไวยถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๙ ขุนแผนส่องกระจก
- ตอนที่ ๔๐ พระไวยแตกทัพ
- ตอนที่ ๔๑ พลายชุมพลจับเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๒ นางสร้อยฟ้าศรีมาลาลุยไฟ
- ตอนที่ ๔๓ จระเข้เถรขวาด
ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง
๏ ครานั้นวันทองสยองหัว | ความกลัวตัวสั่นอยู่หวั่นไหว |
ขุนช้างขุนแผนพระหมื่นไวย | ก็ตระหนกตกใจไปทุกคน |
บรรดาข้าราชการที่หมอบเฝ้า | ต่างสร้อยเศร้าหัวพองสยองขน |
จะเพ็ดทูลอย่างไรไม่ชอบกล | จำจนด้วยกลัวพระอาญา |
พระยายมราชก็สั่งพลัน | ให้คุมวันทองจูงไปข้างหน้า |
พระหมื่นไวยขุนแผนแล่นตามมา | ลูกพ่อคลอน้ำตาด้วยอาลัย |
ขุนช้างลุกถลาหน้าคว่ำ | ล้มคะมำตำเสาเสือกไถล |
ลุกได้จากเสาเหย่าเหย่าไป | ร้องไห้งุ่มง่ามมาตามเมีย |
ทองประศรีคอยอยู่รู้กิจจา | ตีอกตกประหม่าหน้าเสีย |
ลุกรีบตามมาแข้งขาเพลีย | น้ำตาไหลเรี่ยตัวสั่นงก |
ให้ไปบอกลาวทองแก้วกิริยา | สร้อยฟ้าศรีมาลาทั้งห้าหก |
น้ำตาน้ำมูกตละลูกนก | ตีอกตกใจต่างไคลคลา ฯ |
๏ ขุนช้างสะดุดอิฐตีนขวิดไป | หัวไถลล้มคว่ำตำขี้หมา |
ลุกขึ้นไม่เช็ดระเห็จมา | แมลงวันฉ่าตอมฉู่เหม็นอู้ไป |
อ้ายบ่าวร้องว้ายขุนนายขา | เช็ดขี้หมาเสียก่อนเถิดข้าไหว้ |
ขุนช้างเหลียวหลังอ้ายจังไร | ขี้หมาที่ไหนมาติดกู |
อ้ายบ่าวมันชี้ว่าขี้หมา | ตั้งแต่หน้าตลอดขวัญแมลงวันฉู่ |
ขุนช้างไม่ฟังว่าชั่งกู | ผู้คนตามพรูร้องเหม็นจริง ฯ |
๏ ครั้นถึงที่หัวตะแลงแกง | คนผู้ดูแดงทั้งชายหญิง |
วันทองสิ้นกำลังลงนั่งพิง | พระไวยวิ่งเข้าประคองวันทองไว้ |
ขุนแผนสุดแสนสงสารน้อง | นั่งลงข้างวันทองน้ำตาไหล |
อัดอั้นนิ่งอึงตะลึงตะไล | สะอื้นไห้ไม่ออกซึ่งวาจา |
นางแก้วกิริยาเจ้าลาวทอง | ทั้งสองโศกเศร้าเป็นหนักหนา |
ทั้งนางสร้อยฟ้าศรีมาลา | ต่างคนจะษมาหาดอกไม้ |
คนดูล้อมพร้อมพรั่งดังกำแพง | ตะแลงแกงจนหามีที่ยืนไม่ |
ขุนช้างแหวกคนด้นเข้าไป | ว่าอีพ่อข้าไหว้เอาแต่บุญ |
ฝูงคนหลีกวิ่งทั้งหญิงชาย | เหม็นขี้หมาออกจะตายแล้วพี่ขุน |
อ้ายหนุ่มหนุ่มเหม็นนักมันผลักรุน | เซซุนเข้าไปถึงวันทอง |
พระไวยแลไปเห็นขุนช้าง | ความโกรธโดดผางตรงเข้าถอง |
แล้วกดหัวลงไว้ฉวยไม้พลอง | ทั้งสองมือเปื้อนขี้ตีผลุงลง |
พระยายมห้ามว่าอย่าพระไวย | จะทุบตีมันไยไอ้คนหลง |
ฉวยขุนช้างคร่าออกมานอกวง | นั่งลงเหม็นมือก็โกรธา |
ถ้ารู้กูหาไปห้ามไม่ | อ้ายจัญไรมือกูล้วนขี้หมา |
ลุกขึ้นเตะส่งตรงออกมา | ขุนช้างว่าลูกตายแล้วคราวนี้ |
ฝ่ายขุนแผนแล่นไล่ไปชกซ้ำ | ขุนช้างล้มหัวตำทองประศรี |
แกโกรธาด่าทอใช่พอดี | ขุนช้างลุกจากที่หนีออกไป ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง | เศร้าหมองสะอึกสะอื้นไห้ |
ส้วมกอดลูกยาด้วยอาลัย | น้ำตาหลั่งไหลลงรินริน |
วันนี้แม่จะลาพ่อพลายแล้ว | จะจำจากลูกแก้วไปสูญสิ้น |
พอบ่ายก็จะตายลงถมดิน | ผินหน้ามาแม่จะขอชม |
เกิดมาไม่เหมือนกับเขาอื่น | มิได้ชื่นเชยชิดสนิทสนม |
แต่น้อยน้อยลอยลิ่วไปตามลม | ต้องตรอมตรมพรากแม่แต่เจ็ดปี |
ให้แต่เฝ้าทุกข์ถึงคะนึงหา | นึกว่าแม่จะไม่ได้เห็นผี |
เจ้าก็ไม่สูญหายวายชีวี | กลับมาได้เผาผีของมารดา |
มิเสียแรงฟักฟูมอุ้มท้อง | ข้ามหนองแนวเขาลำเนาป่า |
อยู่ในท้องก็เหมือนเพื่อนมารดา | ทนทุกข์เวทนาในป่าชัฏ |
ผ่าแดดแผดฝนทนลำบาก | ปลิงทากร่านริ้นมันกินกัด |
หนามไหน่ไขว่เกี่ยวเที่ยวเลี้ยวลัด | แม่คอยปัดระวังให้แต่ในครรภ์ |
พ่อพาขี่ม้าไม่ขับควบ | ขยับยวบกลัวเจ้าจะหวาดหวั่น |
พอแดดเผาเข้าร่มพนาวัน | เห็นจะอ่อนผ่อนผันลงกินน้ำ |
ค่อยกลืนแต่พอชื่นไม่กลืนหนัก | กลัวลูกจะสำลักทุกเช้าค่ำ |
เมื่อเขาส่งลงมาต้องจองจำ | แสนระกำก็ระวังจะนั่งนอน |
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยในลูกรัก | จะเดินหนักเกรงท้องขยักขย่อน |
จะนั่งนักเจ้าจักอนาทร | ครั้นนอนนักกลัวจะเหนื่อยอนาถตัว |
เจ้าคลอดรอดแล้วจึงคลายใจ | เฝ้าถนอมกล่อมไกวพ่อทูนหัว |
เจ็ดปีแม่ประคองไม่หมองมัว | ขุนช้างชั่วลักลูกไปลับตา |
เขาตีต่อยปล่อยหลงในดงชัฏ | กุศลซัดให้เจ้าคืนมาเห็นหน้า |
พอเห็นแล้วก็ต้องพรากจากมารดา | แต่นั้นมาช้านานจึงพานพบ |
กุศลหนหลังยังค้ำจุน | ให้ลูกแก้วมีบุญประจวบจบ |
เที่ยวติดตามแม่พ่อพอพร้อมครบ | กลับมาต้องทำศพของมารดา |
เหมือนอุตส่าห์ดั้นด้นพ้นป่าชัฏ | พอเห็นแสงจันทร์จำรัสพระเวหา |
สำคัญคิดว่าจะสุขทุกเวลา | พอสายฟ้าฟาดล้มจมดินดาน |
พ่อจะเห็นมารดาสักครึ่งวัน | พ้นนั้นสูญเปล่าเป็นเถ้าถ่าน |
จะได้แต่คิดถึงคะนึงนาน | กลับไปบ้านเถิดลูกอย่ารอเย็น |
เมื่อเวลาเขาฆ่าแม่คอขาด | จะอนาถไม่น่าจะแลเห็น |
เจ้าดูหน้าเสียแต่แม่ยังเป็น | นึกถึงจะได้เห็นหน้ามารดา ฯ |
ร่ำพลางนางกอดพระหมื่นไวย | น้ำตาไหลซบเซาไม่เงยหน้า |
ง่วงหงุบฟุบลงกับพสุธา | กอดลูกยาแน่นิ่งไม่ติงกาย ฯ |
๏ พระไวยร้องไห้อยู่เคียงแม่ | เห็นมารดานิ่งแน่ก็ใจหาย |
เข้านวดแม่แก้ไขอยู่วุ่นวาย | นางค่อยคลายเจ้าก็ร่ำพิไรวอน |
โอ้เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย | แม่เคยเลี้ยงลูกแล้วสั่งสอน |
ผูกเปลเห่ช้าให้ลูกนอน | ป้อนข้าวอาบน้ำให้กินนม |
ประโลมลูบจูบจอมกระหม่อมแก้ว | อาบน้ำให้แล้วก็มุ่นผม |
ขมิ้นทาพาเข้าที่นอนชม | แม่ปรารมภ์ระวังซึ่งโพยภัย |
คราวลูกเสาะแสะแม่โศกเศร้า | หยูกยาปลาข้าวเอาใจใส่ |
กางมุ้งยุงริ้นทั้งเรือดไร | แม่มิให้ลูกน้อยอนาทร |
ครั้นลูกเติบใหญ่ได้เจ็ดขวบ | เคราะห์ประจวบตัวลูกถูกหลอกหลอน |
ขุนช้างลวงไปในป่าดอน | เอาไม้ขอนทุ่มทับไว้กับดิน |
ปวดเจ็บเหน็บชาไปทั้งกาย | ครั้งนั้นลูกก็หมายว่าสูญสิ้น |
จะเป็นเหยื่อเสือสัตว์มันกัดกิน | เทพไทไพรสินธุ์ท่านเมตตา |
ช่วยฉุดชักผลักขอนขุนช้างให้ | ลูกจึงกลับมาได้ไม่สังขาร์ |
ต้องพลัดพรากจากแม่แต่นั้นมา | เดินป่าหนามตำระกำใจ |
คนเดียวบุกไปในไพรสัณฑ์ | แต่สุพรรณถึงกาญจน์บุรีได้ |
บุญปลอดรอดสัตว์ในกลางไพร | ย่าเลี้ยงดูไว้จึงเป็นคน |
แสนยากใครจะยากเท่าลูกน้อย | ยากร้อยพันเท่าทุกแห่งหน |
ถึงใครจนก็ไม่เหมือนที่ลูกจน | ทรพลพ่อแม่ไม่เห็นใคร |
ได้เห็นแม่ก็แต่ยังเด็กเด็ก | หน้าพ่อเมื่อแต่เล็กหาเห็นไม่ |
ถามย่าย่าเล่าจึงเข้าใจ | หนีย่ามาในพนมชัฏ๑ |
ป่ากว้างช้างเสือก็เหลือหลาย | ยุงริ้นบินต่ายมันตอมกัด |
อดอยากข้าวปลาสารพัด | หนามไหน่ไม้ลัดเป็นรอยริ้ว |
ยามนอนกลางไพรใจอนาถ | น้ำค้างสาดกระเซ็นมาเย็นฉิว |
ลมจัดพัดต้องใบไม้ปลิว | เดินเดียวเปลี่ยวลิ่วมาถึงกรุง |
ครั้นถึงพ่อพ่อก็จนต้องทนทุกข์ | ติดคุกขัดสนจนผ้านุ่ง |
จึงพากเพียรเรียนวิชามาบำรุง | ไปรบพุ่งมีชัยจนได้ดี |
ข้าไทเงินทองก็กองเกลื่อน | บ้านเรือนยศศักดิเกษมศรี |
ได้เห็นหน้าบิดาทุกราตรี | ยังขาดแต่แม่นี้ไปอยู่ไกล |
คิดถึงจึงไปรับแม่กลับมา | หมายว่าจะยกย่องให้ผ่องใส |
มิรู้ว่าพาแม่มาบรรลัย | ดังลูกฆ่าแม่ให้มรณา |
จึงหันมาว่าเหวยเพชฌฆาต | มาฟันฟาดเรานี้จะดีกว่า |
ขอตายแทนตัวของมารดา | อย่าให้แม่ข้านี้บรรลัย |
เป็นเพราะกูรับแม่กลับมา | ท่านจึงลงอาญาเป็นข้อใหญ่ |
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกไป | สะอื้นไห้อยู่กับตีนของมารดา ฯ |
๏ ครั้นค่อยฟื้นคืนขอขมาโทษ | แม่จงได้โปรดซึ่งเกศา |
เมื่อเด็กอยู่ยังไม่รู้ซึ่งกิจจา | ได้เอื้อมสูงต่ำว่าให้เคืองใจ |
หยิกกัดปัดตีแล้วเถียงด่า | มารดาจงงดอดโทษให้ |
อย่าให้เป็นเวรกรรมของลูกไป | ไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้าโศกา |
โอ้ตะวันกะไรช่างรีบบ่าย | จะเร่งให้แม่ตายไม่เห็นหน้า |
เจ็บไข้ฤๅจะได้หาหยูกยา | รักษาแม่มิให้ได้ร้อนรน |
สิ่งของขันเชี่ยนจะซื้อขาย | ทั้งข้าไทวัวควายที่เกลื่อนกล่น |
จะจำหน่ายให้หมอพอสินบน | แต่ชั้นจนตัวลูกกระทั่งเมีย |
นี่มิได้รักษาพยาบาล | เนื้อกรรมตามผลาญประหารเสีย |
พระไวยอกใจดังไฟเลีย | ละห้อยละเหี่ยเพียงจะม้วยไปด้วยกัน ฯ |
๏ ขุนแผนแสนโศกสงสารน้อง | นิ่งนั่งฟังวันทองให้อัดอั้น |
นางหันมากอดเท้าเข้าจาบัลย์ | ขุนแผนนั้นหน้าซบกับหลังเมีย |
สะท้อนสะทึกสะอึกสะอื้นไห้ | ออกปากน้ำตาไหลลงราดเรี่ย |
เสียแรงทรมานตัวทั้งผัวเมีย | เขี่ยดินเลี้ยงกันเหมือนหนึ่งนก |
เที่ยวอาศัยในดงพงชัฏ | สู้ผลัดผ้านุ่งทำมุ้งปก |
ขุดเผือกมันกินตามถิ่นรก | ตกยากเท่าไรไม่ไกลกัน |
ข้ามห้วยตรวยโตรกชะโงกชะงัก | หักใบไม้คลุมเป็นซุ้มกั้น |
ระวังนางล้างทัพเสียนับพัน | แต่สักวันมิได้พรากไปจากตัว |
ถึงสุดแสนลำบากยากไร้ | เจ้าสู้ทนได้ไปกับผัว |
จนพฤกษาหายากกินรากบัว | ชั้นชั่วข้าวสักเม็ดไม่พานพบ |
แปดเดือนเรือนชานมิได้เห็น | แสนเข็ญพาน้องวันทองหลบ |
ครั้นมีครรภ์ลูกยามาสมทบ | ก็ปรารภควรระวังแต่ตั้งท้อง |
พี่ขับม้าพาพอสะบัดย่าง | กลัวกระเทือนครรภ์นางจะหมางหมอง |
ค่ำเช้าพี่เฝ้าประคับประคอง | จนเห็นท้องแก่เกรงจลาจล |
จึงพาเจ้าเข้าหาพระพิจิตร | ก็ได้รอดชีวิตไม่ขัดสน |
ถ้าเขาฆ่าเสียในป่าทั้งสองคน | ไม่น้อยใจเหมือนมาจนในครั้งนี้ |
ไหนไหนทุกข์ยากนั้นมากมาย | ก็ก้มหน้าพากันตายไปเมืองผี |
ก็เพอิญไม่ตายวายชีวี | ถึงกรุงศรีอยุธยาได้ว่าความ |
ครั้นชนะโปรดปรานประทานให้ | พี่ดีใจว่าสิ้นซึ่งเสี้ยนหนาม |
ไม่เสียทีที่อุตส่าห์พยายาม | แต่เวรตามตัวต้องไปติดคุก |
ทนลำบากตรากตรำทุกค่ำเช้า | ทั้งห่วงเจ้าท้องไส้ไม่มีสุข |
อ้ายขุนช้างชิงซ้ำกระหน่ำทุกข์ | ดังไฟลุกขึ้นในอกสักหกกอง |
เหมือนเจ้าตายจากพี่ทีหนึ่งแล้ว | ต้องคลาศแคล้วพี่ตั้งแต่เศร้าหมอง |
อยู่ในคุกทุกข์ถึงคะนึงตรอง | สองทุกข์สามทุกข์เข้าทับใจ |
ทุกข์ถึงเพื่อนยากเจ้าจากพี่ | ไปคลอดลูกร้ายดีหาเห็นไม่ |
หญิงชายตายเป็นประการใด | เป็นหลายปีล่วงไปมิได้รู้ |
ต่อพลายงามตามพบมาบอกเล่า | จึงรู้ว่าตัวเจ้านี้ยังอยู่ |
หมายว่าออกได้จะตามดู | สู้กันอิกสักครั้งไม่ฟังเลย |
เดชะบุญพลายงามมาตามขอ | ก็พอไปเชียงใหม่มิใช่เฉย |
กลับมาจากเชียงใหม่ได้เสบย | เพอิญเลยลืมเจ้าเสียจวนปี |
ครั้นลูกรักชักพาเจ้ามาห้อง | เหมือนวันทองเกิดใหม่ได้พบพี่ |
ก็เย็นใจอยู่ว่าภัยจะไม่มี | จะอยู่ดีด้วยกันคุ้มวันตาย |
ได้พบผัวพูดกันในกลางคืน | พอนอนตื่นไม่ทันตะวันสาย |
ก็เกิดความลามวุ่นขุ่นระคาย | ลงปลายน้องรักจักวายชนม์ |
อกเอ๋ยเคยยากก็หนักหนา | ศึกเสือสู้มาเป็นหลายหน |
ร้อยทัพพันทัพไม่อับจน | ไพร่พลกองทัพไม่ยับเยิน |
ถึงสาตราอาวุธเป็นห่าฝน | ก็คุ้มคนไว้ได้ไม่ฉุกเฉิน |
ฝีมือลาวเชียงใหม่ไม่มีเกิน | แตกตะเพิ่นเพราะพระเวทวิเศษดี |
แต่ชั้นม้าอาวุธก็ไม่เข้า | เอาไฟเผาไฟดับลงกับที่ |
จนเลื่องชื่อฦๅชาทั้งธานี | ครั้นนี้คิดมาน่าน้อยใจ |
คนอื่นหมื่นแสนก็คุ้มรอด | ยอดรักคนเดียวไม่คุ้มได้ |
จำเพาะเด็ดดวงจิตรปลิดเอาไป | ช่างกะไรพ้นที่จะป้องกัน |
แม้นข้าศึกสะอึกมาล้อมกรุง | อย่าหมายมุ่งว่าจะได้ไอศวรรย์ |
แต่คนเดียวจะอาสาเข้าฝ่าฟัน | ให้สิบพันสิบหมื่นไม่ย่อท้อ |
นี่จนใจด้วยพระทูลกระหม่อมแก้ว | ได้สั่งแล้วว่ามิให้ผู้ใดขอ |
เสด็จกลับเข้าวังไม่รั้งรอ | คอน้องเด็ดด้วยพระอาญา |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมของลูกเอ๋ย | กะไรเลยกริ้วกราดเป็นหนักหนา |
ถ้าโปรดปรานประทานซึ่งชีวา | พระจะทรงปรารถนาที่เมืองใด |
แขกฝรั่งลาวลื้อฤๅมอญพม่า | จะผูกคอมันมาถวายให้ |
จะขอแต่วันทองที่ต้องใจ | เป็นไรก็ตามแต่เวรา |
อยู่นี่พี่จะเข้าไปทูลขอ | วันทองว่าอย่าพ่ออย่าหาญกล้า |
ครั้งขอลาวทองต้องขื่อคา | ครั้งนี้อาญาเมียถึงตาย |
จะเอาความกระบือไปรื้อรบ | เกลื่อนกลบความวัวไม่ทันหาย |
จะต้องโทษกับน้องเป็นสองตาย | พ่ออย่าหมายเลยว่าเมียจะเป็นตัว |
ตายไปเมื่อไรจะได้เกิด | อยู่ทำบุญให้เถิดพ่อทูนหัว |
นรกมืดมิดเมียคิดกลัว | ผัวอยู่จะได้สร้างกุศลไป |
ขุนแผนฟังคำที่ร่ำว่า | ไม่ออกปากพูดจาต่อไปได้ |
สุดคิดอัดอั้นให้ตันใจ | สุดอาลัยล้มผางลงกลางดิน |
ฝูงคนมาดูอยู่ที่นั่น | ไม่อาจกลั้นโศกได้ร้องไห้สิ้น |
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าชราน้ำตาริน | ได้ยินแต่ร้องไห้พิไรครวญ |
ดังป่ารังประดังด้วยลมกล้า | พัดสาขากิ่งก้านสะท้านป่วน |
ที่ใจอ่อนเป็นลมล้มซบซวน | ด้วยเห็นจวนตะวันบ่ายลงชายไพร ฯ |
๏ นางแก้วลาวทองศรีมาลา | สร้อยฟ้าโศกาสะอื้นไห้ |
ได้เมี่ยงหมากใส่พานคลานเข้าไป | กราบไหว้วอนว่าษมาพลัน |
นางแก้วว่าข้าษมาพี่ | อย่าให้มีเวราเมื่อหน้านั่น |
เสียตัวร่วมผัวมาด้วยกัน | น้องขึ้งเคียดเดียดฉันท์ประการใด |
ขออภัยอย่าได้ผูกเวรน้อง | วันทองว่าพี่หาถือไม่ |
พี่ได้ล่วงเกินบ้างเป็นอย่างไร | ขออภัยเจ้าแก้วกิริยา |
นางแก้วรับษมาน้ำตานอง | ลาวทองโศกเศร้าเข้าไปหา |
น้องได้ล่วงเกินแต่ก่อนมา | พี่จงอดโทษาในวันนี้ |
วันทองรับษมาเจ้าลาวทอง | น้องเอ๋ยพี่ได้ว่าเป็นถ้วนถี่ |
พี่ก็ขอษมาอย่าราคี | ต่างคนต่างก็มีซึ่งน้ำตา |
สร้อยฟ้าศรีมาลาสะอื้นไห้ | พิไรพลางทางขอษมาว่า |
ลูกได้ผิดพลั้งแต่หลังมา | จนถึงวันชีวาแม่บรรลัย |
อย่าเป็นเวรกรรมกับตัวข้า | ก้มหน้าลงแล้วก็ร้องไห้ |
วันทองรับษมายิ่งอาลัย | น้ำตาไหลโซมหน้าด้วยปรานี ฯ |
๏ นางวันทองร้องเรียกเอาดอกไม้ | คลานเข้าไปไหว้กราบทองประศรี |
ลูกจะลามารดาในวันนี้ | ขออภัยอย่าให้มีซึ่งโทษทัณฑ์ |
แต่ลูกอยู่กับพ่อขุนแผน | ให้แม่แค้นอย่างไรที่ไหนนั่น |
จนถึงเวลาเขาฆ่าฟัน | สิ้นเวรกรรมกันเถิดแม่คุณ |
ทองประศรีงันงกยกมือรับ | ลมจับหกล้มลงจมฝุ่น |
พอฟื้นตัวพรํ่าว่าอย่าทิ้งบุญ | ภาวนาให้ครุ่นไว้ลูกอา |
หาดอกไม้ให้แม่ออไวยเอ๋ย | อย่าละเลยคุณพระจะดีกว่า |
ออแผนร้องไห้ทำไมนา | ไปหาเชี่ยนขันมาให้กรวดน้ำ |
ศรีมาลาไปหาข้าวสุกข้าวสาร | ทำกระบานเสียผีเถิดจวนคํ่า |
แล้วจะได้ทำบุญสุนธรรม | ทองประศรีบ่นพรํ่าอยู่รํ่าไร |
ชุมพลหลานคลานเข้าไปหาย่า | แกยกหลานใส่บ่าน้ำตาไหล |
นึกถึงนางวันทองร้องไห้ไป | อุ้มชุมพลเข้าไว้ให้ดูดนม |
เขาจะล้มจะตายอ้ายพลายน้อย | อย่าร้องไห้อ้ายจ้อยกินขนม |
คายหมากจากปากให้หลานอม | จะเชยชมไม่เป็นสมประดี ฯ |
๏ ฝ่ายขุนช้างนั่งเหงาไม่เข้าใกล้ | ร้องไห้หน้าขาวราวกับผี |
เสียใจใหลเล่อเพ้อพาที | คราวนี้ตายแน่แล้วแม่คุณ |
พุทโธ่อยู่หลัดหลัดมาพลัดกัน | โอ้แม่วันทองตายเพราะอ้ายขุน |
เนื้อหนังเจ้าจะพังลงเป็นจุณ | เพราะอ้ายตุ่นโง่เง่าเข้ากราบทูล |
ลูกเต้าเจ็บไข้แม่ไปเยือน | ลูกคิดเชือนว่าแม่แร่ไปสูญ |
เขาก็มาบอกเล่าเป็นเค้ามูล | อ้ายหัวปูนผมเกลี้ยงขืนเถียงไป |
ถึงลูกทูลเหตุผลต้นปลาย | ที่จริงหาได้ตายเพราะลูกไม่ |
พระองค์ทรงซักว่ารักใคร | แม่สองใจคิดยากหากเลโล |
ให้การใหลหลงทรงโกรธเกรี้ยว | ถ้ารักช้างข้างเดียวขนมโก๋ |
จะได้อยู่เรือนเหย้าเสาโตโต | แกงเทโพกินเล่นให้เย็นใจ |
แม่มาตายกลางดินเขานินทา | แม่ยอดฟ้าฝาบาตรกระจาดใหญ่ |
จะหาไหนเหมือนแม่แต่นี้ไป | แม้นไม่ได้เช่นนี้ไม่มีเมีย |
เรือนเหย้าข้าวของถวายพระ | จะสละโกนหนวดไปบวชเสีย |
ถึงลูกคุณหลานหม่อมจะยอมเยีย | มีเมียไปทำไมไม่เหมือนกัน |
จะภาวนาให้หนักชักประคำ | แต่หัวคํ่ารํ่าไปจนไก่ขัน |
ร้อยวษาพันวษาไม่ราวัน | ฉันแต่นางทั้งห้ากว่าจะตาย ฯ |
๏ ทองประศรีได้ฟังคลั่งนํ้าใจ | นั่นร้องไห้เยียใดไอ้ฉิบหาย |
อ้ายชาติชั่วหัวล้านกระบานลาย | คนจะตายแล้วยังซนบ่นนินทา |
ไม่เป็นอันฉันที่จะร้องไห้ | ฝาบาตรกระจาดใหญ่ก็รํ่าว่า |
พระหมื่นไวยขัดใจลุกออกมา | อ้ายชาติข้าหัวล้านประจานกู |
วาจาเหมือนหมาสะบัดขี้ | มึงกลัวกูจะตีมึงอย่าอยู่ |
ไม่ไปกูจะถองมึงลองดู | ฉุดหูกระชากลากออกมา |
ขุนช้างร้องว้ายตะกายกลิ้ง | ฉันรักจริงสุดใจพระไวยขา |
พระหมื่นไวยถองซ้ำคะมำมา | อ้ายขี้ข้ายังไม่ออกไปนอกวง |
ขุนช้างลุกโผนโดนคนดู | หลีกหลบกันเป็นหมู่แล้วเตะส่ง |
ขุนช้างโดดออกมานอกวง | ส่งเสียงร้องว่าข้าไม่เคย |
ข้ารักเมียของข้าข้าร้องไห้ | ถองได้เปล่าเปล่าชาวบ้านเอ๋ย |
ได้เล่นกันอิกหละไม่ละเลย | พระหมื่นไวยว่าเหวยอ้ายหัวล้าน |
ไปฟ้องที่ไหนไสหัวไป | ขุนช้างว่าทำไมข้าจะไปบ้าน |
กลับเข้ามาแอบคนอยู่ลนลาน | เหยียบอีตานลูกอีแตร้องแซ่ไป |
อีแตแร่เข้าข่วนเอาข้างฉีก | อ้ายหัวล้านมาอีกแล้วข้าไหว้ |
ขุนแผนร้องว่าอย่าพ่อไวย | มาจูงลูกกลับไปในศาลา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าหมื่นไวย | เศร้าใจด้วยแม่เป็นหนักหนา |
อาวรณ์ผ่อนคิดกับบิดา | ลูกว่าจะเห็นประการใด |
ซึ่งจะเฝ้าร้องไห้พิไรว่า | เขาจะฆ่าเราจะคิดเป็นไฉน |
พ่อจงอยู่รักษาข้าจะไป | เฝ้าไททูลองค์พระทรงฤทธิ |
จะวิงวอนผ่อนให้คลายพิโรธ | ขอโทษแม่ตัวไม่กลัวผิด |
จะแทนคุณเมื่อจะสูญสิ้นชิวิต | ลูกคิดพ่อจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน | ฟังลูกคิดอ่านก็เห็นได้ |
แต่ครั้นจับยามดูรู้แจ้งใจ | จึงว่ากับพระไวยพ่อพลายงาม |
อัฐกาลพานขัดอยู่หนักหนา | พ่อว่าประหนึ่งจะชิงห้าม |
เจ้าจะไปทูลขอดูก็ตาม | ในยามว่าองค์พระทรงชัย |
เจ้าไปทูลขอโทษคงโปรดแน่ | แต่แม่เจ้าหาพ้นจากตายไม่ |
ดูหน้าหน้าก็นวลจวนบรรลัย | จะใกล้ในเวลานี้เข้าสี่โมง |
ขีดชะตาลงดูกับแผ่นดิน | ก็ขาดสิ้นเคราะห์ร้ายเห็นตายโหง |
เสาร์ทับลักขณากาจับโลง | ยามลิงล้วงโพรงจระเข้กิน |
ใครต้องยามนี้มิได้รอด | พระไวยเห็นตลอดอยู่เสร็จสิ้น |
น้ำตาอาบหน้าลงรินริน | ผินหน้าว่ากับพ่อว่าตามกรรม |
เคราะห์ร้ายตายเป็นก็เห็นหมด | ลูกจะทดแทนคุณอุปถัมภ์ |
จะขอแม่จันทองสักสองคำ | แล้วแต่บุญกรรมจะนำไป |
พ่อจงคุมอยู่ดูมารดา | อย่าเพ่อให้เขาฆ่าลงก่อนได้ |
ว่าแล้วเท่านั้นในทันใด | ไปหาพระยายมแล้ววันทา |
เจ้าคุณงดโทษจงโปรดเกล้า | ดีฉันจะไปเฝ้าพระพันวษา |
ทูลขอโทษทัณฑ์ของมารดา | เมตตาอย่าเพ่อให้บรรลัย |
พระยายมดีใจไปเถิดพ่อ | อย่ารั้งรอรีบมาอย่าช้าได้ |
ถ้านานเนิ่นเกินล่วงเวลาไป | จะงดไว้ก็กลัวพระอาญา |
พระไวยรับคำอำลาไป | รีบเร่งคลาไคลทั้งบ่าวข้า |
ถึงวังนั่งพักผ่อนเวลา | ระงับใจบ่ายหน้าสู่บูรทิศ |
อ่านมนตร์มหาละลวยเล่ห์ | เป็นเสน่ห์ผูกพันกระสันจิตร |
แป้งผงลงยันต์เทพนิมิต | ปิดมือลูบไล้ไม่มีรอย |
แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานพระพรชัย | ขอพระทัยเคืองกลับขยับถอย |
พอได้ลมจันทร์สำคัญคอย | ก็คลานคล้อยเข้าพระโรงรัตนา |
เห็นกำลังพระองค์ทรงพระโสมนัส | ประภาษตรัสสรวลสันต์หรรษา |
พระหมื่นไวยกราบงามลงสามลา | ภาวนาหมอบชม้อยคอยท่วงที ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ปิ่นปักนัคเรศบุรีศรี |
เห็นพระไวยเข้ามาอัญชลี | พระภูมีให้ทรงพระเมตตา |
ชิกะไรไอ้นี่ช่างพากเพียร | เขาฆ่าแม่มันยังเวียนเข้ามาหา |
จึงตรัสถามว่าอ้ายไวยไปไหนมา | อีวันทองเขาฆ่าแล้วฤๅยัง ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ | ฟังพระราชบัญชานํ้าตาหลั่ง |
เห็นพระเวทขลังจริงไม่ชิงชัง | ถวายบังคมกราบแล้วทูลไป |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงภพ | เลิศลบลํ้าโลกทั้งน้อยใหญ่ |
จะควรมิควรประการใด | ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา |
ทรงชุบเกล้าชุบกระหม่อมเป็นหัวหมื่น | ทุกวันคืนพระคุณปกเกศา |
ผาสุกทุกวันนิรันดร์มา | ยังมิได้ขายฝ่าบาทบงสุ์ |
มารดาข้าพระพุทธเจ้านี้ | มิดีแสนชั่วด้วยมัวหลง |
กำเริบราคมากใจไม่ตั้งตรง | ควรทรงพระพิโรธไม่โปรดปราน |
ถ้าเพียงแต่พี่ป้าย่ายาย | จะทิ้งเสียให้ตายไม่สงสาร |
นี่มารดาอุ้มท้องทรมาน | ได้เกิดมาเป็นนานเพราะมารดา |
สารพัดพระคุณไม่นับได้ | จะทิ้งไว้ไม่ควรเป็นหนักหนา |
อนึ่งตั้งแต่กำเนิดเกิดมา | ยังมิได้พยาบาลประการใด |
ครั้งนี้ที่สุดถึงชีวิต | ขอพระองค์จงประสิทธิประสาทให้ |
ให้เลื่องฦๅชื่อเสียงปรากฏไป | ว่าหมื่นไวยได้แทนคุณมารดา |
ชีวิตขอพระราชทานโทษ | โปรดแต่เฆี่ยนตีอย่าเข่นฆ่า |
ตรากตรำจำไว้ให้เวทนา | ให้สาสมกับที่ผิดประเวณี ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังจมื่นไวยทูลเป็นถ้วนถี่ |
ชอบพระทัยให้เมตตาปรานี | กูนี้สงสารอ้ายหมื่นไวย |
เอ็งได้ทำดีมีความชอบ | กูก็ตอบแทนแล้วเป็นไหนไหน |
แต่ยังมิถึงชอบที่ขอบใจ | จะยกโทษแม่ให้เป็นรางวัล |
ถ้าผิดจากมึงแล้วกูไม่ให้ | ใครขอก็จะพลอยมาอาสัญ |
เหวยอ้ายท้ายน้ำจงเร็วพลัน | ออกไปด้วยกันกับหมื่นไวย |
บอกกับเจ้ากรมยมราช | อย่าฟันฟาดวันทองให้ตักษัย |
กูยกโทษโปรดให้จมื่นไวย | รีบไปอย่าให้ทันเขาฟันลง ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระจมื่นไวย | ดีใจชื่นชมสมประสงค์ |
รับพระโองการกรานกราบลง | ตรงหน้าพระที่นั่งแล้วรีบไป |
จึงปรึกษาว่ากับพระท้ายน้ำ | เวลาเย็นจวนคํ่าช้าไม่ได้ |
พระยายมจะฟันแม่บรรลัย | ร้องสั่งบ่าวไพร่ให้ผูกม้า |
ได้แล้วขึ้นขี่คนละตัว | บ่าวไพร่พันพัวมาหนักหนา |
ขับควบผางผางกลางมรรคา | เอาธงขาวโบกมาเป็นสำคัญ ฯ |
๏ ครานั้นทั่นพระยายมราช | เห็นประหลาดก็กลัวอยู่ตัวสั่น |
ผลกรรมวันทองจะต้องฟัน | จึงเพอิญคิดกันให้ผิดไป |
พระไวยเดินไปด้วยบาทา | นี่ใครขี่ม้ามาน่าสงสัย |
โบกธงหลังม้ามาแต่ไกล | มิใช่พระไวยที่กลับมา |
แน่แล้วพระไวยเข้าไปทูล | นเรนทร์สูรกริ้วโกรธว่าไม่ฆ่า |
พวกเราก็ไม่ดีที่ชักช้า | เร็วเหวยเอามารีบฆ่าฟัน |
เพชฌฆาตราชมัลเข้ายื้อยุด | ฉุดวันทองกลัวอยู่ตัวสั่น |
เหลียวมาเรียกผัวกลัวเขาฟัน | ขุนแผนดันโดดข้ามผู้คุมมา |
ขบฟันกั้นกอดวันทองไว้ | ขุนช้างร้องไปชิงไว้หวา |
เพชฌฆาตดาบยาวก้าวย่างมา | ขุนแผนโถมถาคร่อมเมียไว้ |
ฉุดคร่าคว้ากันอยู่ดันดึง | ฟันผึงถูกขุนแผนหาเข้าไม่ |
ดาบยู่บู้พับยับเยินไป | เข้ากลุ้มรุมฉุดได้ขุนแผนมา |
ขุนแผนฮึดฮัดกัดฟันเกรี้ยว | บิดตัวเป็นเกลียววางกูหวา |
เพชฌฆาตแกว่งดาบวาบวาบมา | ย่างเท้าก้าวง่าแล้วฟันลง |
ต้องคอนางวันทองขาดสะบั้น | ชีวิตวับดับพลันเป็นผุยผง |
พอพระไวยถึงโผนโจนม้าลง | ตรงเข้ากอดตีนแม่แน่นิ่งไป |
ขุนแผนก็ล้มลงทั้งยืน | ปิ้มจะไม่คงคืนชีวิตได้ |
ขุนช้างล้มนิ่งกลิ้งอยู่ไกล | บ่าวไพร่ใหญ่น้อยก็วุ่นวาย |
ทองประศรีกลิ้งเกลือกเสือกกายา | สร้อยฟ้าศรีมาลาล้มคว่ำหงาย |
นางแก้วลงกลิ้งทิ้งลูกชาย | ใครจะรู้สึกกายก็ไม่มี |
พวกคนมาดูอยู่อัดแอ | บ้างล้มกลิ้งนิ่งแน่บ้างวิ่งหนี |
บ้างก็เข้านวดฟั้นคั้นคะยี | แก้กันอึงมี่เป็นหมู่ไป |
พระไวยพลายงามกับบิดา | หมอหลวงเข้ารักษานัดยาให้ |
น้ำท่าทาลูบให้ชื่นใจ | ต่างคนค่อยได้สติมา ฯ |
๏ ขุนแผนพระไวยนางลาวทอง | ลูกสะใภ้ทั้งสองละห้อยหา |
ทองประศรีนางแก้วกิริยา | ต่างโศกากอดศพเข้ารํ่าไร |
ขุนแผนว่าโอ้เจ้าวันทอง | นิจจาน้องวอดวายตายจนได้ |
พี่พากเพียรปัดเป่าสักเท่าไร | เวรกรรมทำไว้กะไรนี้ |
พระไวยว่าลูกนี้มั่นหมาย | ว่าแม่จะไม่ตายไปเป็นผี |
ขอได้รีบมาไม่ช้าที | พุทโธ่เอ๋ยถึงนี่ไม่ทันฟัน |
นางแก้วกิริยาน้ำตาตก | โอ้อกน้องนี้ดังใครหั่น |
ลาวทองโศกาเฝ้าจาบัลย์ | ศรีมาลาน้ำตาลั่นละลุมลง |
สร้อยฟ้ากลิ้งเกลือกเสือกสะอื้น | ทองประศรีลุกยืนส่งเสียงหลง |
เสียงก้องร้องไห้อยู่ในวง | ขุนแผนซบลงกอดศพไว้ |
ต่างร้องต่างร่ำคร่ำครวญ | ต่างซวนซุนล้มไม่ลุกได้ |
เลือดเปื้อนตัวแดงทุกแห่งไป | พระไวยคลั่งคลุ้มกลุ้มอุรา |
เห็นพ่อนึกพิโรธโกรธเกรี้ยว | ข้าให้พ่อทีเดียวอยู่รักษา |
ทิ้งกันเสียได้ไม่นำพา | ว่าพ่อก็จะแค้นจะเคืองใจ |
จะอาลัยทำไมกับแม่ข้า | เมียของพ่อพร้อมหน้าอยู่ไสว |
แม้นมีความเมตตาอาลัย | ไหนแม่วันทองจะต้องฟัน |
พ่อก็เรืองพระเวทวิทยา | ลาวหมื่นแสนมายังไม่พรั่น |
ทั้งมนตร์จังงังก็ขลังครัน | ถึงคนร้อยพันก็ซวนซุด |
ทำไมกับอ้ายเพชฌฆาต | พ่อเป่าจังงังปราดมันก็หยุด |
เพราะพ่อไม่ช่วยจึงม้วยมุด | ฤๅว่าสุดสิ้นฤทธิของบิดา |
หากเห็นข้ามาจึงร้องไห้ | หาไม่เจียนพ่อจะเมินหน้า |
ยิ่งว่ายิ่งแค้นแน่นอุรา | เหลียวมาเห็นเจ้ากรมยมราช |
ที่สัญญาว่าไว้อย่างไรเล่า | ควรฤๅฟันแม่เราให้คอขาด |
กลัวเราจะมาทันรีบฟันฟาด | พยาบาทเราด้วยเหตุอันใด |
ชิงชังดังหนึ่งว่าโกรธเกลียด | มาเบียนเบียดแม่ข้าทำไมให้ |
ฟันผู้หญิงล้มตายสบายใจ | จะสู้รบที่ไหนกับสตรี |
เมื่อข้าจะไปก็ได้ว่า | ว่าอย่าเพ่อฟันฆ่าให้เป็นผี |
เผอเรอเอออวยด้วยดิบดี | ทูลขอพระภูมีก็ให้เรา |
เดี๋ยวนี้มารดาข้าบรรลัย | ท่านจะว่ากะไรไปอิกเล่า |
อวดกล้าว่าขยันเข้าฟันเอา | เห็นมือเปล่าถือตัวไม่กลัวใคร |
มิหนำซ้ำฟันเอาพ่อเรา | หากว่าไม่เข้าจึงรอดได้ |
พ่อข้าโทษทัณฑ์เป็นฉันใด | ฤๅว่ารับสั่งให้ท่านฆ่าฟัน |
เราพยาบาทท่านจนวันตาย | ความแค้นไม่วายที่หมายมั่น |
เอาเถิดคงได้ฦๅฝีมือกัน | ไม่ได้ฟันศัตรูกูยอมตาย |
เหลียวเห็นเพชฌฆาตที่ฟาดฟัน | ลุกถลันเตะคว่ำคะมำหงาย |
ฉวยดาบมาจะฆ่าเสียให้ตาย | ผู้คนวุ่นวายวิ่งหนีปรอ |
ขุนช้างตกใจพระไวยถึง | ยกมือร้องอึงฉันทำไมพ่อ |
พระไวยเตะผางเข้าหว่างคอ | พระยายมกลัวงอขออภัย ฯ |
๏ ขุนแผนแล่นยุดฉุดพลายงาม | จงฟังพ่อห้ามอัชฌาสัย |
ผลกรรมจึงจำให้บรรลัย | พ่อนั่งอยู่ใกล้ก็ลืมคิด |
โดดไปคร่อมเจ้าวันทองไว้ | จึงไม่ทันแก้ไขแต่สักหนิด |
มันกลุ้มรุมกันฉุดก็สุดฤทธิ | ชีวิตวันทองจึงบรรลัย ฯ |
๏ พระไวยฮึดฮัดปัดมือ | คำรามฮือฉันจะฟันมันให้ได้ |
พ่อชิงอาวุธหลุดมือไป | ล้มกลิ้งลงใกล้ศพมารดา |
โอ้ว่าเจ้าประคุณของลูกแก้ว | ลับแล้วทีนี้ไม่เห็นหน้า |
ลูกนี้มิได้คิดกับชีวา | ขืนพระราชอาชญาเข้ากราบทูล |
พระองค์ทรงโปรดประทานให้ | ดีใจว่าแม่ไม่ดับสูญ |
จะมีชื่อฦๅเลื่องเฟื่องฟูน | มิรู้ว่าจะอาดูรด้วยเนื้อเคราะห์ |
รีบเร่งมากับพระท้ายนํ้า | ขับม้าผ่ารํ่าราวกับเหาะ |
ที่แท้กรรมนำมาให้จำเพาะ | เห็นเขาเฉาะคอขาดกระเด็นไป |
ร่ำพลางทางกอดเอาศพแม่ | นิ่งแน่ไม่สมประดีได้ |
ยังรึกรึกสะทึกสะท้อนใจ | ล้มซบสลบไสลไม่เจรจา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน | สงสารพระไวยเป็นหนักหนา |
เห็นร้องไห้อาลัยถึงมารดา | กอดศพโศกาอยู่รํ่าไร |
จนซวนซบสลบลงกับที่ | จะรู้สึกสมประดีก็หาไม่ |
ขุนแผนตระหนกตกใจ | เข้าแก้ไขนวดฟั้นให้ลูกยา |
ครั้นพระไวยค่อยได้สติคืน | ปลอบว่าเจ้าหมื่นฟังพ่อว่า |
อันคนตายไหนเลยจะคืนมา | จะโศกาต่อไปไม่ได้ความ |
อุตส่าห์สงบใจเจ้าไวยเอ๋ย | อย่าร้องไห้ไปเลยฟังพ่อห้าม |
ธรรมดาเกิดมาทุกรูปนาม | เราท่านก็คงตามกันตายไป |
อันบุรุษสตรีมีชีวิต | เมื่อถึงพรหมลิขิตไม่อยู่ได้ |
ถึงมาดแม้นดินฟ้าคงคาลัย | เพลิงกาลผลาญไหม้ก็แหลกลง |
จะมามัวร้องไห้ไม่ต้องการ | จงคิดอ่านทำส่วนกุศลส่ง |
เดี๋ยวนี้ศพยังค้างอยู่กลางวง | คิดอ่านปลงศพแม่เถิดลูกอา ฯ |
๏ พระไวยได้ฟังบิดาปลอบ | เห็นชอบตามคำที่พ่อว่า |
กลั้นกลืนโศกคลายวายน้ำตา | เบือนหน้ามาสั่งซึ่งข้าไท |
เอาผ้าขาวมาให้ดังใจหวัง | จึงตราสังห่อศพหาช้าไม่ |
ตัดกระดานต่อโลงด้วยทันใด | ก้านตองรองในเข้าฉับพลัน |
ครั้นแล้วยกศพขึ้นใส่ไม้ | ให้หามไปฝังที่ป่าช้านั่น |
เกณฑ์คนเฝ้าศพได้ครบครัน | แล้วพากันร้องไห้กลับไปเรือน |
ทั้งเคหาเยือกเย็นเป็นป่าช้า | เสียงแต่คนโศกากันกล่นเกลื่อน |
เกรียมตรมระทมทุกข์อยู่ฟั่นเฟือน | เพื่อนบ้านร้านตลาดอนาถใจ ฯ |
๏ ฝ่ายว่าเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง | พอเห็นเขาฟันนางไม่อยู่ได้ |
รีบรัดเรียกหาพวกข้าไท | ลงเรือทันใดไปสุพรรณ |
เร่งตะบึงถึงบ้านพอตรู่ตรู่ | กลัวแม่ยายจะรู้เรื่องฟ้องนั่น |
หลบเหลื่อมเข้าไปในเรือนพลัน | สะอื้นอั้นนํ้าตาลงพราวตา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | คิดถึงเมียรักเป็นหนักหนา |
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า | สั่งบ่าวให้ไปหาศรีประจัน |
ไปบอกว่าวันทองน้องบรรลัย | อ้ายสารีบไปขมีขมัน |
ตัดทุ่งมุ่งมาถึงสุพรรณ | เข้าบ้านศรีประจันด้วยทันใด |
พอนางสายทองเดินออกมา | อ้ายสานั่งลงยกมือไหว้ |
สายทองถามว่ามาทำไม | ขุนแผนให้ฉันมาแจ้งแห่งกิจจา |
ว่าเวลากลางคืนวานซืนนั้น | พระไวยหุนหันเป็นหนักหนา |
ไปลอบลักหม่อมแม่วันทองมา | เจ้าขุนช้างโกรธาเข้ากราบทูล |
พระองคทรงพิโรธโปรดให้ฆ่า | แม่วันทองมรณาเสียดับสูญ |
สายทองได้ฟังดังไฟฟูน | อาดูรสลบล้มลงทั้งยืน |
ดังดวงใจจะขาดอนาถนิ่ง | ไม่ไหวติงมีแต่สะอึกสะอื้น |
บ่าวไพร่แก้ไขมิใคร่ฟื้น | พากันตื่นตกใจใช่พอดี ฯ |
๏ ศรีประจันครั้นเห็นสายทองเข้า | ตัวแกสั่นเทาเทาดังลงผี |
ร้องถามไปพลันในทันที | อายนี่มึงทำอะไรมัน |
ออสายทองล้มคะมำลงตํ้าปุบ | มึงตีทุบฤๅอย่างไรไฉนนั่น |
อ้ายสาร้องบอกออกไปพลัน | หม่อมแม่วันทองตายนะเจ้าคะ |
ศรีประจันนั้นได้ยินว่าจะตาย | ตกใจนอนหงายจมกระบะ |
ลุกขึ้นบนข้าวผีตีข้าวพระ | เดชะขอให้รอดอย่าวอดวาย |
นี่มันเจ็บเมื่อไรก็ไม่รู้ | ดูดู๋ขุนช้างอ้ายฉิบหาย |
มาบอกให้อักอ่วนเมื่อจวนตาย | แกวุ่นวายมาเรือนลูกเขยช้าง |
แปลกใจบันไดก็ชักเสีย | ให้อ้ายเบี้ยเอาพะองพาดหน้าต่าง |
ปีนป่ายเข้าไปในหอกลาง | เจ้าขุนช้างนั่งไหว้ร้องไห้งอ |
ศรีประจันครั้งเห็นหน้าลูกเขย | เอ๊ะมันผิดแล้วเหวยตาปอหลอ |
ขุนช้างบอกไปไม่รั้งรอ | เจ้าวันทองไม่พอที่จะตาย |
เหตุเพราะพลายงามตามมาลัก | พระทรงศักดิกริ้วกราดเป็นมากหลาย |
ลูกมิได้ฟ้องร้องกับเจ้านาย | ท่านรู้เข้าฆ่าตายเป็นความจริง |
ศรีประจันครั้นรู้ว่าลูกตาย | นอนหงายลมจับลงพับนิ่ง |
ขุนช้างแก้ไขไม่ไหวติง | ให้บ่าววิ่งตามหมอสอสอไป |
ทั้งหมอนวดหมอยามาพรั่งพร้อม | นั่งล้อมอัดแอเข้าแก้ไข |
บ้างนวดฟั้นนัดยาบีบขาตะไกร | เป็นครู่ใหญ่จึงฟื้นคืนสมประดี |
น่าสงสารท่านยายศรีประจัน | ตัวแกสั่นหน้าขาวราวกับผี |
อาลัยลูกหลงเล่อเพ้อพาที | นํ้าตารี่ไหลหลั่งละลุมลง |
ขุนช้างนั่งรักษาอยู่กว่ายาม | แล้วให้เอาเปลหามตามมาส่ง |
ประคองเดินขึ้นบันไดมิใคร่ตรง | เขาวางลงยังพิไรอยู่ไปมา |
โอ้ว่าเจ้าวันทองของแม่เอ๋ย | ไม่ควรเลยจะเข้าไปให้เขาฆ่า |
ถ้าเจ็บไข้อยู่บ้านกับมารดา | ก็จะได้รักษาพยาบาล |
เมื่อพ่อตายหมายจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ | จนเถ้าแก่ไม่พรากไปจากบ้าน |
เพอิญเนื้อเคราะห์กรรมนำบันดาล | ไปได้ผัวจัณฑาลให้ผลาญตัว |
ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นถึงเช่นนี้ | จะให้บวชเป็นชีที่ท่านขรัว |
ถึงเงินทองกองให้ไม่เมามัว | อันลูกผัวกูมิให้ผู้ใดเชย |
ทั้งอ้ายแผนอ้ายล้านกระบานใส | ล้วนจัญไรได้มาเป็นลูกเขย |
แย่งกันเหมือนหมาหมูกูไม่เคย | เอาจนเลยฉิบหายถึงวายปราณ |
อ้ายลูกชายพลายงามเมื่อยามเด็ก | เห็นเล็กเล็กก็เอ็นดูอยู่ว่าหลาน |
มิรู้ว่าเติบใหญ่จะใจพาล | พลอยล้างผลาญมารดาชีวาวาย |
โอ้อกกูแก่เถ้ามาเปล่าเปลี่ยว | ตัวคนเดียวลูกผัวก็สูญหาย |
จะอยู่ไยให้ยากลำบากกาย | แกฟูมฟายครวญครํ่าอยู่รํ่าไร ฯ |
๏ ครานั้นสายทองผู้เป็นพี่ | ครั้นฟื้นสมประดีขึ้นมาได้ |
คิดถึงน้องน้อยละห้อยใจ | น้ำตาไหลหลั่งหลั่งละสุมลง |
จึงอำลาศรีประจันแล้วครรไล | ลงเรือรํ่าไห้อาลัยหลง |
มาถึงกรุงไกรด้วยใจจง | ตรงไปบ้านขุนแผนผู้แว่นไว |
ครั้นถึงเข้าไปที่ในห้อง | ถามว่าศพวันทองน้องอยู่ไหน |
ขุนแผนบอกว่าฝังวัดตะไกร | แล้วให้คนนำไปในฉับพลัน |
สายทองร้องไห้ลงจากเรือน | ฟั่นเฟือนถ่อกายผายผัน |
ครั้นถึงป่าช้ายิ่งจาบัลย์ | นางโศกศัลย์ซวนซบสลบไป |
ผู้คนข้าไทที่ไปด้วย | ต่างเข้าช่วยผันแปรแก้ไข |
เป็นครู่หนึ่งจึงถอนลมหายใจ | สายทองค่อยได้สมประดี |
ครวญครํ่ารํ่าเรียกแม่วันทองเอ๋ย | เจ้าช่างเฉยเสียได้ไม่ทักพี่ |
แม่มานอนอยู่ไยในปัถพี | ตัดช่องน้อยหนีไปแต่ตัว |
เสียแรงรักกันมาแต่ไร | ร่วมเรือนร่วมใจแล้วร่วมผัว |
สุขทุกข์ปรองดองไม่หมองมัว | พันพัวเลี้ยงกันมาแต่น้อย |
วันทองน้องรักมาหนีไป | เจ้าทิ้งพี่นี้ให้หวนละห้อย |
อันจะคงชีวานั้นอย่าคอย | จะตายตามน้องน้อยไปด้วยกัน |
โอ้แต่นี้นับปีจะแลลับ | นับเดือนจะวิโยกโศกศัลย์ |
จะคร่ำครวญหวนไห้ไปทุกวัน | เมื่อไรนั้นจะได้ไปพานพบ |
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกกาย | ปิ้มประหนึ่งนางจะตายลงทับศพ |
อัดอั้นสะอื้นอ้อนซอนซบ | ระทวยทบทอดทุ่มอุราครวญ |
อุตส่าห์ฝืนขืนจิตรคิดระงับ | มืดค่ำจำกลับมาโดยด่วน |
เดินพลางโศกศัลย์ยิ่งรัญจวน | กลับทวนมาบ้านพระหมื่นไวย |
จึงสั่งพวกบ่าวข้ามาด้วยกัน | ให้กลับไปสุพรรณหาช้าไม่ |
แต่ตัวยับยั้งยังไม่ไป | จะอยู่ช่วยพระไวยกระทำงาน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งสุริยาจำรัสแสง | แจ่มแจ้งพิภพจบสถาน |
ฝ่ายว่าพระไวยชัยชาญ | คิดอ่านการศพของมารดา |
จะทำให้ใหญ่โตฉะนี้เล่า | จำจะเข้าไปทูลพระพันวษา |
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา | เข้ามาเฝ้าองค์พระภูธร ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ | เสด็จสถิตแท่นสุวรรณบรรจถรณ์ |
สะพรั่งพร้อมสุรางค์นางนิกร | งามงอนพริ้งเพริศเลิศละไม |
แต่ละหน้าหน้านวลควรจะชม | น้อมประนมทุกเหล่าเฝ้าไสว |
เหล่าพวกนางบำเรอเสนอใน | บ้างขับไม้บรรเลงเพลงดนตรี |
เสนาะเสียงพิณพาทย์ระนาดฆ้อง | แซ่ซ้องสังคีตดีดสี |
ครั้นเวลาว่าขานการธานี | พระภูมีออกประทับพระโรงทอง |
ข้าเฝ้าเข้าประจำราชกิจ | ระวังผิดอยู่หมดสยดสยอง |
กราบทูลถ้อยความตามทำนอง | ไม่ขุ่นข้องราชการงานพารา |
ทอดพระเนตรเห็นพระจมื่นไวย | เอออย่างไรแม่มึงเมื่อวานหวา |
ขอได้ดีใจไม่กลับมา | พ่อมึงพูดจาว่าอย่างไร ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ | ฟังพระราชบัญชาน้ำตาไหล |
ประนมนิ้วทูลองค์พระทรงชัย | ไปไม่ทันเห็นใจของมารดา |
พอออกไปถึงเข้าเขาฟันฟาด | คอขาดลงกับดินสิ้นสังขาร์ |
ทูลพลางสะอื้นไห้อยู่ไปมา | ตรงหน้าพระที่นั่งพระทรงชัย ฯ |
๏ ครานั้นภูเบนทร์นเรนทร์สูร | ฟังทูลดังฟ้าฟาดปราสาทไหว |
แข็งขึงอึ้งอั้นตันพระทัย | ตะลึงไปมิได้ตรัสจำนรรจา |
เป็นครู่หนึ่งจึงตรัสออกมาได้ | กูสงสารจมื่นไวยเป็นหนักหนา |
ขอแม่ได้ก็ไม่พ้นจากอาญา | เป็นเวราของมันเท่านั้นเอง |
อย่าทุกข์ไปกูจะให้ซึ่งเงินทอง | ข้าวของแต่งศพให้เหมาะเหม็ง |
ทำให้หลายวันคืนให้ครื้นเครง | อย่าได้เกรงต้องการสิ่งอันใด |
เอ็งมาเอาข้าวของท้องพระคลัง | กูจะสั่งพนักงานให้จ่ายให้ |
จัดแจงให้งามตามแต่ใจ | จะต้องการสิ่งไรอย่าอำปลัง |
มีทั้งโขนละครมอญรำ | มวยปล้ำคํ่าลงจงมีหนัง |
ตีประโคมฆ้องกลองให้ก้องดัง | ให้หีบตั้งใส่ศพให้ครบครัน |
ร้านม้าเครื่องประดับสรรพเสร็จ | การเล่นเบ็ดเดล็ดทุกสิ่งสรรพ์ |
ดอกไม้ไฟช่องระทาสารพัน | ทำให้ทันการของเอ็งอย่าเกรงใจ ฯ |
๏ พระไวยได้ฟังรับสั่งโปรด | ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน |
ก้มกราบบาทมูลแล้วทูลไป | พระคุณใหญ่ยิ่งล้นพ้นประมาณ |
ข้าพระพุทธเจ้านี้ยินดี | ไม่มีที่จะเปรียบเสมอสมาน |
จะเลื่องชื่อฦๅทั่วสุธาธาร | ว่าโปรดปรานเกศาข้าหมื่นไวย |
แต่บรรดาคนโทษที่ต้องฆ่า | ใครไม่กล้าเพ็ดทูลขอร้องได้ |
หมายจิตรว่าชีวิตจะบรรลัย | ก็โปรดให้ด้วยพระกรุณา |
หากไม่สมดังจิตรที่คิดไว้ | มารดามาบรรลัยสิ้นสังขาร์ |
ข้าพระบาทขอสนองคุณมารดา | บังคมลาบวชตัวสักเจ็ดวัน ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังทูลปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
กูขอบใจออไวยเอ็งดีครัน | กตัญญูรู้คุณเป็นพ้นใจ |
จึงตรัสสั่งชาวคลังศุภรัต | จัดผ้าไตรครองของกูให้ |
กุศลกูจะได้ชูช่วยส่งไป | พระไวยก็ถวายบังคมลา ฯ |
๏ แล้วพร้อมกันจัดแจงแต่งเครื่องศพ | ครั้นครบถ้วนถี่ดีหนักหนา |
ให้ขนของรีบรัดไปวัดวา | ญาติกาห้อมล้อมพร้อมเพรียงกัน |
ท่านยายศรีประจันก็มาด้วย | แกมาช่วยปลงศพวันทองนั่น |
เกือบจะบ่ายชายแสงพระสุริยัน | ขุดศพนั้นอาบน้ำแล้วชำระ |
ยกศพใส่หีบพระราชทาน | เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ |
ปี่ชวารํ่าร้องกลองชนะ | นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป |
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก | โปรยข้าวตอกออกหน้าหาช้าไม่ |
พวกพ้องพี่น้องก็รํ่าไร | นุ่งขาวตามไปล้วนผู้ดี |
ศรีประจันมารดาน้ำตาพราย | เดินมากับท่านยายทองประศรี |
ครั้นมาถึงโรงทึมเข้าทันที | อึงมี่ยกศพขึ้นร้านม้า ฯ |
๏ เครื่องศพตบแต่งอยู่ดาษดื่น | ที่พ่างพื้นนั้นให้ผูกเป็นภูผา |
ใครไม่รู้ดูเห็นเป็นศิลา | รจนาแยบคายระบายดี |
เงื้อมเขาเง้าชะโงกเป็นโตรกธาร | มีเชิงชานสำหรับใส่กุฎิฤๅษี |
ตรงเหลี่ยมผาเมขลาล่อมณี | อสุรีขว้างขวานทะยานยัน |
ทำชะง่อนชะโงกเป็นโตรกตรอก | มีซุ้มซอกใส่รูปอรหันต์ |
ทั้งเสือหมีสองสัตว์เข้ากัดกัน | ยิงฟันผันผงะตละเป็น |
มฤคีที่วิ่งกระโดดมา | พรานป่าแอบไม้มิให้เห็น |
ใส่หัวล่อล้อเดินเด่นกระเด็น | มองเขม้นมุ่งมาดมฤคี |
แล้วปั้นเป็นคนป่าทำตากลอก | ทะเลิกหลอกเล่นหน้าเหมือนท่าผี |
โคกระทิงยืนนิ่งอยู่มากมี | บ้างทำทีกินหญ้าท่าพลิกแพลง |
ที่หว่างเวิ้งเชิงผาศิลาลาด | ตัดกระดาษให้สนิทแล้วปิดแผง |
ประสานสีเขียวดำคลํ้าแดง | วงแวงมีมากทั้งนากทอง |
บ้างก็ทำเป็นบ่อก่อเป็นเกาะ | ซอกเซาะสดสีไม่มีสอง |
ตะกุบตะกับเกะกะเป็นก้อนกอง | ทำเปลวปล่องเห็นพิลึกกึกกือ |
ที่เหวนั้นดูลึกเป็นหนักหนา | มองลงมามืดคล้ำดำปึดปื้อ |
ใส่ปักษาท่าทำปีกกระพือ | นกทึดทือจับกระทุ่มเป็นพุ่มชัฏ |
ชั้นต้นหมดจดสดสะอาด | แลลาดตั้งกระถางต้นไม้ดัด |
แล้วจัดแจงผูกแผงราชวัติ | จามรฉัตรงามดีมณีแกม |
บัวทองรองหีบเหมกุดั่น | สามชั้นสามยอดสล้างแหลม |
ดอกไม้ร้อยห้อยพวงพู่กลิ่นแซม | แกมกับระย้าแก้วดูแพรวพราย |
ฝาผนังตั้งเขียนเรื่องอิเหนา | ที่ซุ้มเสาใส่กระจกกระจ่างฉาย |
ม่านขาวปักทองละอองพราย | แล้วก็รายโคมแก้วทั้งแถวเทียน |
สี่มุมยกพื้นดูแยบคาย | เอาแผงบังตั้งรายระบายเขียน |
เป็นระยะที่พระจะสวดเรียน | เอาเสื่อสาดลาดเลี่ยนลออตา ฯ |
๏ ครั้นแสงสุริยันตะวันเย็น | พนักงานการเล่นทุกภาษา |
มาโหมโรงแต่คํ่ายํ่าสนธยา | สาละพาเฮโลโห่เกรียวไป |
ครั้นรุ่งแสงสุริฉานประมาณโมง | ก็ลงโรงเล่นประชันอยู่หวั่นไหว |
โขนละครมอญรำฉํ่าชูใจ | ร้องรับกรับไม้นั้นพร้อมเพรียง |
พวกหุ่นเชิดชักยักย้ายท่า | คนเจรจาสองข้างต่างถุ้งเถียง |
จำอวดเอาอ้ายค้อมเข้าด้อมเมียง | พูดจาฮาเสียงสนั่นโรง |
พวกงิ้วถือล้วนแต่ทวนง้าว | หน้าขาวหน้าแดงแต่งโอ่โถง |
บ้างรบรุกคลุกคลีตีตุ้มโมง | บ้างเข้าโรงบ้างออกกลอกหน้าตา |
นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ | ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า |
รำแต้แก้ไขกับยายมา | เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป |
เครื่องเล่นพร้อมพรักเป็นหนักหนา | ชาวประชามาดูเดินออกไขว่ |
ทั้งผู้ดีขี้ข้าและเข็ญใจ | หลีกหลบกระทบไหล่กันไปมา |
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวบ้านนอก | ห่มขาวมุ้งนุ่งบัวปอกแป้งผัดหน้า |
เดินสะดุดซุดเซเขาเฮฮา | หน้าตาตื่นเก้อเลินเล่อพอ |
พวกขี้เมาโมเยเดินเซซวน | เห็นใครชวนชกกันทำขันข้อ |
ใครกีดทางขวางหน้าก็ด่าทอ | เขาผูกคอใส่คาทำตาแดง |
พวกเจ้าชู้ผู้ชายหลายพวกพ้อง | เที่ยวเทียวท่องลอดเลาะเสาะแสวง |
บ้างตัดผมสวยสั้นชันเป็นแปรง | ทำกล้องแกล้งเกี้ยวผู้หญิงทิ้งดอกไม้ |
แต่พอบ่ายชายแสงพระสุริฉาน | ก็จัดแจงทิ้งทานหาช้าไม่ |
ขึ้นต้นปลดผ้าลงวางไว้ | หยิบได้มะนาวโปรยโดยกำลัง |
เสียดแทรกแขกไทยไปคอยชิง | ทั้งชายหญิงวิ่งรับอยู่คับคั่ง |
ไล่ตะครุบทุบถองกันตึงตัง | บ้างหลบหลีกมาข้างหลังแถลบไป |
ที่เรี่ยวแรงแข็งข้อล่อขยับ | โจนประจบตบปับรับเอาได้ |
ถูกมือถือกำขยำไว้ | อึกอักผลักไสกันไปมา |
พอเพลาพลบคํ่าลงรำไร | จึงให้จุดดอกไม้ด้วยหรรษา |
ไฟพะเนียงเสียงพลุช่องระทา | พวกหนึ่งเรียกหามาตั้งจอ |
เหล่าเจ้าพวกหนังแขกแทรกเข้ามา | พิศดูหูตามันปอหลอ |
รูปร่างโสมมผมหยิกงอ | จมูกโด่งโก่งคอเหมือนเปรตยืน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพ้องพี่น้องญาติกา | ชวนกันมาเฝ้าศพสะอึกสะอื้น |
ด้วยรักนางพ่างเพียงจะกล้ำกลืน | ไม่มีชื่นโศกเศร้าเฝ้าซวนซบ |
ฝ่ายยายทองประศรีศรีประจัน | แกร้องไห้โต้กันอยู่ข้างศพ |
ทองประศรีว่าเหวยกูไม่เคยพบ | เพราะมึงคบคิดให้กับไอ้ช้าง |
ศรีประจันว่ามันเป็นเศรษฐี | ชั่วดีก็ได้พึ่งมันหลายอย่าง |
ทองประศรีว่าอีเถ้ามันนอกทาง | พึ่งช้างสิจึงลูกถูกแทงตาย |
ศรีประจันว่ามาว่าข้าเปล่าเปล่า | ลูกอีเถ้าและทำมันฉิบหาย |
พระหมื่นไวยร้องมาห้ามย่ายาย | ทั้งสองเถ้าฟูมฟายอยู่รํ่าไร ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง | รู้ว่าทำศพนางไม่นิ่งได้ |
จะเข้ามาตรงตัวก็กลัวภัย | พระไวยจะข่มเหงให้เกรงนัก |
อ้ายแผนพ่อก็คอยพลอยประสม | ถ้าเพลี่ยงลงคงระดมถึงแตกหัก |
เมื่อสูญสิ้นวันทองน้องรัก | จะไปพักเจ็บไยไม่ต้องการ |
คิดพลางทางสั่งซึ่งบ่าวข้า | ให้ไปถอยเรือมาที่หน้าบ้าน |
จัดประทุกผ้าไตรไทยทาน | เครื่องสการครบอย่างแล้ววางมา |
ครั้นถึงจึงแวะวัดตะไกร | จอดเรือเข้าไว้ที่ตีนท่า |
ขึ้นไปหาสมภารแล้ววันทา | ขรัวตาโปรดด้วยช่วยสักที |
ดิฉันมาเผาเจ้าวันทอง | ข้าวของเตรียมมาเป็นถ้วนถี่ |
แต่เจ้าภาพอริมาหลายปี | เกรงจะพาลทุบตีให้เสียการ |
เจ้าคุณโปรดด้วยช่วยว่ากล่าว | ไกล่เกลี่ยเรื่องราวที่ร้าวฉาน |
ขอนิมนต์ชีต้นเป็นหัวทาน | นึกว่าฉานลูกเต้าเถิดเจ้าคุณ ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านอธิการ | ฟังขุนช้างว่าวานทอดใจครุ่น |
ปลงศพศีลทานเป็นการบุญ | จะตีรันกันให้วุ่นไปทำไม |
เอาเถอะจงไว้ธุระข้า | ด้วยข้างโน้นศิษย์หาพอว่าได้ |
ว่าพลางทางลุกลงบันได | ตรงมาหาพระไวยที่โรงงาน |
ครั้นถึงจึงว่ากับพระไวย | รำคาญใจรูปจะขอบิณฑ์บาตหลาน |
ด้วยเรื่องที่อาระคะคาน | กับอ้ายขุนหัวล้านมานานช้า |
เจ้าก็จะทำบุญสุนธรรม | ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียดีกว่า |
เป็นกุศลผลบุญแก่มารดา | เดี๋ยวนี้ตัวมันมาจะทำบุญ |
มันยังขยาดไม่อาจมา | กลัวว่าเจ้าภาพจะว้าวุ่น |
มันขอให้เมตตาการุญ | ว่าจะคิดถึงคุณไปจนตาย ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ | อภิวาทตอบไปดังใจหมาย |
หลานก็เห็นแก่บุญไม่วุ่นวาย | อันความเก่าขอถวายในวันนี้ |
ซึ่งเกิดเหตุเภทพาลด้วยมารดา | เดี๋ยวนี้ก็มรณาไปเป็นผี |
ให้เป็นยุติกันเท่านั้นที | อย่าให้มีเวราข้างหน้าไป |
เจ้าคุณช่วยบอกนายขุนช้าง | เขาจะทำบุญบ้างก็ทำได้ |
ดีฉันไม่ขัดขวางแต่อย่างไร | สุดแท้แต่นํ้าใจจะศรัทธา ฯ |
๏ ครานั้นท่านสมภารวัดตะไกร | ฟังตอบชอบใจหัวเราะร่า |
ว่าสาธุสุโขโมทนา | แล้วก็กลับขึ้นมายังกุฎี |
ครั้นถึงจึงบอกกับขุนช้าง | ข้าลงไปข้างล่างเมื่อตะกี้ |
ได้ชี้แจงว่ากล่าวยาวรี | เขาปรานีประนอมยอมเลิกแล้ว |
จะระงับดับเวรให้ผู้ตาย | ข้างนายก็ปรองดองให้ผ่องแผ้ว |
อย่าให้เกิดราคีเป็นวี่แวว | ให้เวรกรรมเลิกแล้วแต่นี้ไป ฯ |
๏ ขุนช้างได้ฟังท่านสมภาร | กราบกรานยินดีจะมีไหน |
ว่าดีฉันจะระวังตั้งใจ | มิให้เสียศรัทธาท่านอาจารย์ |
ว่าแล้วลงมาหาพระไวย | ก็ต้อนรับด้วยน้ำใจใสสานต์ |
ขุนช้างบังสุกุลทำบุญทาน | ทั้งสองข้างต่างสมานไม่ค้านติง ฯ |
๏ ครั้นถ้วนคำรบครบสามวัน | บังสุกุลสุนธรรม์เสร็จทุกสิ่ง |
จึงรื้อเครื่องประดับนั้นพับพิง | พระหมื่นไวยก็วิ่งเข้าป่าช้า |
แล้วกำบังนั่งลงสำรวมจิตร | แน่สนิทแล้วก็อ่านพระคาถา |
ถ้วนคำรบจบเป่านํ้ามันงา | เดือดฉ่าทาตัวด้วยฉับพลัน |
ครั้นทาทั่วผ้าผ่อนแลเกศา | พระไวยลุกออกมาขมีขมัน |
ขึ้นนอนบนเชิงตะกอนนั้น | จึงให้ยกศพหันขึ้นวางทับ |
พวกพ้องพี่น้องมาช่วยเผา | จึงเอาท่อนจันทน์ฟันประดับ |
ธูปเทียนดอกไม้จุดไฟวับ | ขุนแผนกับพี่น้องร้องไห้ครวญ |
ไฟลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง | ปี่กลองทั้งปวงประโคมถ้วน |
จุดประทัดโผงผางวางชนวน | พวกผู้หญิงวิ่งสวนออกวุ่นไป |
บ้างว่าพระไวยนอนไฟเผา | จะตายด้วยแม่เปล่าเปล่าก็เป็นได้ |
ที่บางคนนั้นก็ว่าไม่เป็นไร | ประเดี๋ยวใจไฟลุกก็โทรมลง |
โลงโกงฟืนฟ่อยก็ย่อยยับ | พระไวยกลับออกมาน่าพิศวง |
ฝูงคนยืนดูอยู่เป็นวง | ชมว่าช่างอยู่คงทั้งฟืนไฟ ฯ |
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จพลันมิทันช้า | พระไวยผลัดผ้านุ่งห่มใหม่ |
แล้วนิมนต์พระสงฆ์วัดตะไกร | พระหมื่นไวยปลงผมไม่ช้าที |
เข้าโบสถ์พระสงฆ์ก็บวชให้ | ญาติกาข้าไทสาธุมี่ |
เจ้าขุนช้างนึกมาศรัทธามี | วิ่งรี่เข้าไปหาพระหมื่นไวย |
บอกว่าดีฉันจะบวชตัว | ทูนหัวช่วยบวชเป็นเณรให้ |
พระไวยบอกว่าข้าจนใจ | พึ่งบวชใหม่สวดเรียนก็ไม่รู้ |
ขุนช้างวางมาจากพระไวย | เข้าไปกราบไหว้หลวงตาหนู |
ได้เอ็นดูแก่ฉันเถิดท่านครู | บวชเณรเถรตู้ให้ฉันที |
หลวงตาหนูแลดูเจ้าขุนช้าง | ผมยังมีอยู่บ้างประสกพี่ |
จะบรรพชาผ้าไตรก็ไม่มี | จงไปปลงเกศีเอาไตรมา |
ขุนช้างได้ไตรแล้วปลงผม | มือประนมอุ้มไตรเข้าไปหา |
ปากว่าตาพองร้องอุกา | งันงกตกประหม่าอยู่พรํ่าพรู |
แต่เวียนวนป่นเปื้อนไม่จำได้ | พ่อบอกให้ฉันเถิดหลวงตาหนู |
ฉันไม่เคยอุกาตาเอ็นดู | ไตรชูบังหน้าว่าตามไป |
จบแล้วห่มดองครองผ้า | รับศีลออกมาหาช้าไม่ |
นอนค้างอยู่กุฎีที่วัดตะไกร | ครบสามคืนสึกไปเมืองสุพรรณ ฯ |
๏ ครั้นเสร็จงานปลงศพเจ้าวันทอง | จึงฉลองพระไวยเกษมสันต์ |
บวชเรียนครบเสร็จได้เจ็ดวัน | ก็สึกพลันเข้าเฝ้าเจ้าเวียงไชย |
พอเพลาพระองค์ผู้ทรงภพ | ขจรจบในทวีปน้อยใหญ่ |
เสด็จออกยังท้องพระโรงชัย | พระหมื่นไวยก็กราบลงบัดดล |
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท | ขอถวายพระราชกุศล |
ข้าพระพุทธเจ้าได้บวชตน | ตามจนฉลองคุณมารดา ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังทูลทรงพระสรวลสำรวลร่า |
จบพระหัตถ์ตรัสว่าโมทนา | แล้วประทานเสื้อผ้าพระหมื่นไวย |
พระทรงคิดกิจการในด้าวแดน | อ้ายขุนแผนพ่อมึงเป็นไฉน |
จะให้ครองกาญจน์บุรีลี้อยู่ไย | อ้ายไวยเอ็งออกไปบอกกัน ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ | รับพระราชโองการขมีขมัน |
กลับบ้านจึงบอกขุนแผนพลัน | พระทรงธรรม์ให้เตือนท่านบิดา |
ให้ขึ้นไปอยู่เมืองกาญจน์บุรี | เกลือกจะมีเหตุการข้างด่านหน้า |
ขุนแผนทราบความตามกิจจา | จึงกะหาคืนวันที่ฤกษ์ดี |
แล้วจัดแจงธูปเทียนดอกไม้ | จะเข้าไปประณตบทศรี |
ครั้นพลบคํ่ายํ่ายามราตรี | คิดไปให้มีความห่วงใย |
จึงมาบอกเนื้อความทองประศรี | ว่าลูกนี้วิตกเป็นไหนไหน |
ด้วยบัดนี้พระองค์ผู้ทรงชัย | จะให้ลูกขึ้นไปกาญจน์บุรี |
เจ้าไวยไปเฝ้าเมื่อเช้านั้น | พระทรงธรรม์ตรัสสั่งเป็นถ้วนถี่ |
สงสารแม่ด้วยแก่ลงเต็มที | ลูกนี้จะไปให้รำคาญ |
แล้วก็เป็นห่วงด้วยจมื่นไวย | อกลูกราวกับไฟมาเผาผลาญ |
แต่ห่วงแม่นั่นแลเหลือประมาณ | ลูกคิดอ่านจะเชิญคุณแม่ไป ฯ |
๏ ทองประศรีฟังว่าน้ำตาหลั่ง | นั่งนึกตรึกตราแล้วปราศรัย |
จะขืนขัดทัดทานประการใด | ก็จนใจด้วยเกรงพระอาญา |
ครั้นแม่จะตามเจ้าขึ้นไป | ก็สงสารเจ้าไวยเป็นหนักหนา |
จะอยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าวิญญาณ์ | กำพร้าสารพัดทุกสิ่งไป |
ห่วงลูกห่วงหลานปานอกหัก | ไม่รู้ที่จะยักไปทางไหน |
จำเป็นเห็นต้องอยู่กับเจ้าไวย | ไม่มีใครก็จะซ้ำน้ำตาย้อย |
ตั้งแต่แม่ตายไม่หายเศร้า | พ่อจะจากอิกเล่าเหลือละห้อย |
ครั้นไม่ไปก็อาลัยชุมพลน้อย | แกอ้อยสร้อยถอนจิตรคิดรีรอ |
โอ้เจ้าประคุณทูนหัวแม่ | จงเอ็นดูคนแก่เถิดนะพ่อ |
อย่าให้แม่ชอกชํ้านํ้าตาคลอ | ขอชุมพลให้แม่เถิดเป็นไร |
เกรียมตรมจะได้ชมแต่หลานน้อย | จึงจะค่อยคลายทุกข์ที่หม่นไหม้ |
แม่แก้วกิริยาอย่าอาลัย | เอ็นดูกูกูไหว้แล้วแม่คุณ ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา | ฟังคำคุณย่าก็ว้าวุ่น |
ให้อาลัยลูกยาด้วยการุญ | เนื้ออุ่นของแม่จะจากไป |
ท่านขอไว้จะมิให้กับคุณย่า | ก็กลัวว่าจะขัดอัชฌาสัย |
นางแข็งจิตรเจรจาว่าตามใจ | คุณแม่จะเอาไว้ก็ตามที |
ว่าพลางนางลุกอำลามา | นํ้าตาไหลนองยิ่งหมองศรี |
พอสุริยนสนธยาเข้าราตรี | พาลูกเข้าที่กินนมนอน |
โอ้โอ๋อนิจจาแก้วตาแม่ | จะห่างแหเจ้าไปใจคออ่อน |
แต่กอดลูกร้องไห้ไม่หลับนอน | จนอัมพรแจ่มแจ้งแสงอุทัย |
ขุนแผนตื่นพลันมิทันช้า | แล้วลุกมาล้างหน้าให้หมดใส |
กินข้าวผลัดผ้าเรียกข้าไท | ก็เข้าในราชวังดังใจจง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ | เฉลิมลบลํ้าเลิศระเหิดระหง |
จึงตรัสสั่งขุนแผนแสนณรงค์ | เอ็งจงออกไปกาญจน์บุรี |
ราชการบ้านเมืองเอาใจใส่ | ระวังระไวเขตขอบบุรีศรี |
ตรวจตราด่านดงพงพี | เองไปจงดีอย่ามีภัย ฯ |
๏ ขุนแผนรับพระพรใส่เกศา | เสด็จขึ้นกลับมาหาช้าไม่ |
ครั้นมาถึงเคหาสั่งข้าไท | บ่าวไพร่ให้เตรียมเสบียงพลัน |
เจ้าแก้วกิริยานางลาวทอง | หาของเสร็จสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ |
เตรียมช้างบรรทุกทุกสิ่งอัน | ข้างพวกเกวียนนั้นให้ล่วงไป |
รุ่งขึ้นเช้านั้นวันอาทิตย์ | มหาสิทธิโชคอันผ่องใส |
ชวนเจ้าแก้วกิริยาคลาไคล | กับลาวทองกราบไหว้ลามารดา ฯ |
๏ ทองประศรีตำหมากทิ้งสากผึง | แลตะลึงเสียใจเป็นหนักหนา |
ให้พรพึมพำทั้งน้ำตา | ขออย่ามีโรคาทั้งสามคน |
ให้อายุเจ้ายืนสักหมื่นปี | สวัสดีมีสุขสถาผล |
ให้เกิดลูกสักพันวันละคน | ออชุมพลมานี่สิพ่อมา |
จะร้องไห้ตามแม่เขาไปไย | ไม่กลัวไอ้ลิงแสมตุ๊กแกป่า |
อยู่กับย่าย่าจะให้ตุ๊กตา | ซื้อขนมส้มซ่าให้เจ้ากิน |
นางแก้วรํ่าฝากซึ่งลูกรัก | โศกสลักเพิ่มพูนอาดูรดิ้น |
คลอน้ำตาปรี่ปรี่ลงรี่ริน | ผินหน้ามาสั่งวังเวงใจ |
ขุนแผนปลอบน้องประคองขวัญ | จะครวญครํ่ารำพันไปถึงไหน |
หนทางก็ไม่สู้จะใกล้ไกล | ระลึกถึงเมื่อไรจึงค่อยมา |
นางแก้วกิริยาคลายอาลัย | อุ้มลูกส่งให้แก่คุณย่า |
เป็นห่วงใยมิใคร่จะไคลคลา | น้ำตานางไหลละลุมลง |
ขุนแผนสั่งสอนพระหมื่นไวย | กับสองลูกสะใภ้ตามประสงค์ |
เอาฟ้าฟื้นยื่นให้ดังใจจง | แล้วลงยันต์ฝ่ามือไม่ทันช้า |
ตบหน้าผากพระไวยแล้วให้พร | พระไวยอ่อนเศียรเกล้าด้วยหรรษา |
น้อมคำนับรับพรของบิดา | วันทาแทบเท้าขุนแผนพลัน |
เจ้าสร้อยฟ้าศรีมาลาทั้งสองนาง | ไหว้พ่อผัวพลางต่างโศกศัลย์ |
ฟูมฟายนํ้าตายิ่งจาบัลย์ | ต่างรำพันรํ่าสั่งหลั่งน้ำตา |
เจ้าแก้วฝากฝังพลายชุมพล | ทั้งสองคนฝากน้องด้วยเถิดหนา |
ผิดชอบขู่รู่เอาเถิดรา | แม่อย่าได้ฉันทารังเกียจน้อง ฯ |
๏ รํ่าสั่งกันแล้วก็ขึ้นช้าง | สองนางขี่พังมาทั้งสอง |
พระกาญจน์บุรีขึ้นขี่พลายจำลอง | บ่าวไพร่เนืองนองตามกันไป |
แฟ้มโพล่โย้โยนอยู่ยวบยาบ | ยกหาบซวนเซเป๋ไป๋ |
ต้อนพลด้นตรงเข้าพงไพร | ชมพรรณมิ่งไม้มาตามทาง |
เป็นหมู่หมู่ดูชอุ่มเป็นพุ่มชัฏ | ใบระบัดช่อดอกออกสล้าง |
สมอทะเลเพกาขานาง | นกยางบินขยับจับพะยอม |
นกเขาจับข่อยแล้วขันคู | แมลงภู่ตอมดอกประดู่หอม |
ผลจันทน์ดกจริงจนกิ่งค้อม | เหนี่ยวน้อมเด็ดชมภิรมย์ใจ |
สัตว์สิงห์วิ่งพล่านในดานดง | บ้างบุกชัฏลัดพงมาไสว |
โคกระทิงวิ่งเบิ่งกระเจิงไป | พยัคฆ์ใหญ่ย่องยอบแล้วหมอบมอง |
มุ่งเขม้นหมายจะเล่นกระทิงถึก | ออกสะอึกโจนสู้สองต่อสอง |
เสือสะบัดกัดติดโลหิตนอง | กระทิงร้องคนรู้จู่เข้าไป |
เสือผงะปละปล่อยกระทิงทิ้ง | วางวิ่งหนีหน้าเข้าป่าใหญ่ |
กระทิงเจ็บปวดครันแทบบรรลัย | ด้วยเกรงภัยหนีออกวิ่งซอกซอน ฯ |
๏ รีบรัดตัดทางวางมา | บุกแฝกแหวกคาหว่างสิงขร |
พระสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน | ปักษินบินร่อนเข้ารังราย |
นางชะนีเหนี่ยวไม้แล้วไห้โหย | วิเวกโวยหวาดหวั่นฤทัยหาย |
หวนคิดถึงเมียยิ่งเสียดาย | ถ้าไม่ตายจะได้มาพนาลี |
โอ้ป่านี้แลหนาเจ้าวันทอง | พี่พาน้องมาเมื่อลักขุนช้างหนี |
ชวนเจ้าเนื้อเย็นเล่นวารี | เห็นที่แล้วยิ่งทุกข์ระทมใจ |
โอ้เจ้าวันทองของพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยงามชื่นจะคืนได้ |
เป็นเวรหลังได้สร้างไว้ปางใด | จึงดลใจน้องนางจนวางวาย |
ขรัวครูดูแน่เป็นแม่นมั่น | พี่จดจำสำคัญกำหนดหมาย |
ไม่หลีกเลี่ยงเที่ยงธรรม์เหมือนทั่นทาย | เจ้าจึงตายจริงจังประจักษ์ใจ |
อุตส่าห์ฝืนขืนจิตรคิดระงับ | รีบขับช้างมาหาช้าไม่ |
แรมร้อนนอนป่าพนาลัย | สามคืนเข้าในกาญจน์บุรี |
เสบียงลงปลงช้างไว้เสร็จสรรพ | กรมการต้อนรับอยู่อึงมี่ |
เกณฑ์ไพร่ตัดไม้ปลูกเรือนดี | จัดแจงแต่งที่ไว้ครบครัน |
แสนสำราญอยู่บ้านกาญจน์บุรี | เปรมปรีดิ์เป็นสุขเกษมสันต์ |
ปรึกษาความสารพัดเป็นสัตย์ธรรม์ | ทุกคืนวันแสนสุขสำราญเรือน ฯ |
-
๑. ตอนกำเนิดพลายงามว่านางทองประศรีพาพลายงามไปหาขุนแผน ตอนนี้ว่า พลายงามหนีนางทองประศรีไป เป็นเพราะเมื่อผู้แต่งต่างไม่รู้กัน ↩