๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าขุนช้าง |
เขาแถกหัวไว้เป็นทางหาตื่นไม่ |
พอสิ้นสะกดขุนแผนแว่นไว |
ฟื้นสมประดีได้ก็ตื่นตา |
ระบมหัวมัวคลำที่ถกถอน |
เกลี้ยงกล้อนเช่นนี้ผิดทีหวา |
เนื้อตัวล้วนมินหม้อมอลอทา |
เอ๊ะอย่างไรกูมาอยู่ใต้เตียง |
ลุกขึ้นไม่เห็นเจ้าวันทอง |
ตะโกนก้องร้องเรียกจนสุดเสียง |
เมื่อหัวคํ่ายังวอนให้นอนเคียง |
เที่ยงคืนพี่ยังพลิกมากอดนาง |
แลดูเห็นประตูนั้นเปิดโล่ง |
กระโดดโผงมามองช่องหน้าต่าง |
ไม่เห็นน้องย่องออกมาหอกลาง |
เห็นม่านขาดกลาดขวางวางกระจาย |
กอดม่านที่กองร้องไห้จ้า |
อ้ายขุนแผนแล้วมาพาหนีหาย |
เรียกข้าด่าดุอยู่วุ่นวาย |
มุดหัวจนผู้ร้ายมันขึ้นมา |
ข้าคนบนเรือนต่างร้องแรก |
ตื่นแตกว่าเสือเข้ากัดหมา |
ขุนช้างหวดขวับทั้งหลับตา |
มันร้องว่าเสือป่ามากินคน |
อ้ายทองลืมตาว่านี่อะไร |
เสือฤๅมิใช่ไม่มีขน |
เอ๊ะผีฤๅแพะแงะจะชน |
มือตีนเหมือนคนอ่อสมภาร |
สาธุสะจะประสงค์สิ่งอันใด |
ขุนช้างขัดใจไล่งุ่นง่าน |
เที่ยวค้นหาวันทองลงมองคลาน |
เห็นพงพานเกลื่อนกลาดประหลาดใจ |
เปิดหีบผ้าหายไปหลายผืน |
ยิ่งสะอื้นไม่สมประดีได้ |
ทั้งแหวนหัวก็หายไปหลายใบ |
แลไปเห็นหนังสือที่ฝาพลัน |
ในใจความนั้นว่าเจ้าวันทอง |
มัวหมองวิโยคโศกศัลย์ |
ให้เร่งติดตามไปในไพรวัน |
เมื่อไก่ขันขุนแผนแสนศักดา |
สะกดขึ้นเรือนเข้ามาในห้อง |
น้องได้ปลุกผลักเป็นหนักหนา |
ได้ทัดทานเขาไว้เป็นหลายครา |
เขาเงื้อดาบจะฆ่าเสียให้ตาย |
เป็นหญิงจนจริงจึงไปด้วย |
เพราะไม่มีใครช่วยใช่หนีหน่าย |
พ่ออย่าทิ้งไว้ให้วอดวาย |
ถ่ายเทติดตามให้ทันที |
อ่านหนังสือแล้วทูนขึ้นเหนือหัว |
กลิ้งเกลือกเสือกตัวอยู่กับที่ |
ช่างกะไรไม่รู้สมประดี |
ผัวนี้ชั่วแล้วเจ้าแก้วตา |
หลับกะไรช่างไม่รู้สึกตัว |
อ้ายขุนแผนโกนหัวเล่นต่างหมา |
เจ้าปลุกก็ไม่ตื่นฟื้นขึ้นมา |
อีพรายทั้งห้ามันแกล้งกู |
เสียแรงเลี้ยงให้พิทักษ์รักษา |
เซ่นเหล้าข้าวเต่าปลาทั้งไก่หมู |
มันแกล้งเฉยเสียได้ไม่แลดู |
ให้ผู้ร้ายจู่ลู่มาราวี |
กูจะถ่วงทิ้งมึงทั้งโขยง |
ให้ตายโหงตายห่าอีห้าผี |
ร้องเรียกศรพระยาไม่ช้าที |
เอ็งนี้ช่างกะไรมุดหัวนอน |
อ้ายขุนแผนขึ้นมาจนในห้อง |
ลักเอาเจ้าวันทองไปซุ่มซ่อน |
ประตูบ้านอย่างไรไม่ใส่กลอน |
ทั้งผ้าผ่อนเงินทองก็หายไป ฯ |
๏ ศรพระยาว่าฉันอยู่เรือนอื่น |
จะมาขืนโกรธเอาอย่างไรได้ |
แต่มันลักโกนหัวออกเลี่ยนไป |
พ่อยังไม่รู้สึกสมประดี |
จะหลงเอาเขาทำไมอีพ่อคุณ |
เคืองขุ่นร้องไห้ทำไมนี่ |
จะเสียดายตายอยากไปไยมี |
เขาไม่รักจึงหนีอีพ่อไป ฯ |
๏ ขุนช้างตอบไปดังใจจง |
กูหาหลงรักอีวันทองไม่ |
แค้นนักด้วยมันลักเงินทองไป |
ถ้าจับได้ก็จะเชือดให้เลือดนอง |
อ้ายขุนแผนและจะแง้นเอาดาบสับ |
ชิงเอาสินทรัพย์ทั้งข้าวของ |
ฟันฟาดให้มันขาดเป็นกองกอง |
รับแต่แม่วันทองโอ๊ยลืมไป |
ศรพระยาหัวร่ออยู่งองัน |
ขุนช้างหันมาสั่งกับบ่าวไพร่ |
จงบอกพวกชาวดงพงไพร |
ที่เราได้ว่ากล่าวแต่ก่อนมา |
กะเหรี่ยงละว้าในป่าใหญ่ |
ที่เคยมาชั่งเนื้อไม้กฤษณา |
ไปบอกข่าวป่าวร้องเรียกกันมา |
ห้าร้อยคอยท่าจะยกไป ฯ |
๏ ครั้นพวกโยธามาพร้อมพรั่ง |
ขุนช้างสั่งให้เลี้ยงละว้าไพร่ |
เอาเหล้ากรอกช้างวางเข้าไป |
ห้าเทถึงใจไอ้พลายกาง |
แล้วรีบมายังเรือนท่านมารดา |
กราบกับบาทาทั้งสองข้าง |
เล่าความตามจริงไม่อำพราง |
เมื่อกลางคืนอ้ายขุนแผนมา |
มันสะกดเข้าไปจนในห้อง |
ลักเอาข้าวของไปหนักหนา |
ลักไปทั้งวันทองน้องยา |
ลูกจะลาคุณแม่ติดตามไป |
ถ้าทันแล้วจะฟันเสียให้ยับ |
รับวันทองน้องกลับมาจงได้ |
การสงครามลูกไม่ขามเข็ดใคร |
จงอวยชัยให้ลูกสวัสดี ฯ |
๏ ครานั้นเทพทองผู้มารดา |
ตอบว่ารักใคร่ทำไมนี่ |
มันตามผู้ชายไปใจไม่ดี |
ไม่พอที่ติดตามมันทำไม |
เลือกสรรทั้งสุพรรณบุรี |
ดีดีสู่ขอก็พอได้ |
ฟังแม่เถิดอย่าแร่ตามมันไป |
มันไม่คืนแล้วนะลูกอา ฯ |
๏ ขุนช้างตอบคำรำพันไป |
วันทองไม่ชั่วดอกคุณแม่ขา |
เจ้าได้ปลุกลูกรักเต็มประดา |
เขาเงื้อดาบจะฆ่าเสียให้ตาย |
ตัวเป็นหญิงจนจริงจึงจำไป |
เขียนหนังสือบอกไว้เป็นมากหลาย |
ลูกจึงมีจิตรคิดเสียดาย |
แม่อย่าห้ามลูกชายจงให้พร ฯ |
๏ เทพทองเหลือห้ามก็ตามใจ |
จงมีชัยเรืองฤทธิ์ดังพิษศร |
ไปพบวันทองในป่าดอน |
ให้อาลัยใจอ่อนกลับคืนมา |
ถ้าขุนแผนต่อสู้อย่าสู้ได้ |
ให้บรรลัยแพัฤทธิทุกทิศา |
ให้สมหวังดังประสงค์ของลูกยา |
ขุนช้างรับพรลามาหอกลาง |
จัดแจงแต่งตัวนุ่งยก |
เข็มขัดรัดอกแล้วโจงหาง |
ผูกตัวเข้าเป็นพรวนล้วนเครื่องราง |
พระปรอทขอดหว่างมงคลวง |
ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร |
ไข่เป็ดเป็นหินขมิ้นผง |
ตะกรุดโทนของท่านอาจารย์คง |
แล้วอมองค์พระคะวำลํ้าจังงัง |
ลงยันต์ราชะปะท้ายทอย |
ยังหยอมแหยมหยอกหยอยเหมือนหอยสังข์ |
จับถือของ้าวก้าวเก้กัง |
ขึ้นนั่งคอช้างพลายกางพลัน |
ศรพระยาขี่ท้ายย้ายโยกตาม |
ดูงามราวกับตุ๊กตาปั้น |
บ่าวไพร่เมาหราตาเป็นมัน |
พร้อมกันคอยท่าหน้าบันได |
ครั้นได้พิชัยฤกษ์ดี |
ฆ้องตีต้อนเตือนละว้าไพร่ |
โบกธงตรงเข้าไปราวไพร |
ยิงปืนไฟขานโห่เป็นโกลา |
กะเหรี่ยงละว้าถือหน้าไม้ |
ลูกใส่ยาพิษฤทธินักหนา |
ขุนช้างขับช้างย่างเหย่ามา |
ไม่รั้งราพักพวกพลไกร ฯ |
๏ ครั้นออกมานอกเมืองสุพรรณ |
ให้อัดอั้นพะวงสงสัย |
จะตามไปแห่งหนตำบลใด |
พอแลเห็นพรานไพรนั้นเดินมา |
ขุนช้างเรียกถามเนื้อความไป |
เองเห็นบ้างฤๅไม่อย่างไรหวา |
ผู้ร้ายลักเมียของกูมา |
มันขี่ม้าสองคนด้นหนีไป |
พรานรอดขอรับกราบกราน |
ดีฉานเห็นอยู่จะบอกให้ |
ขุนช้างลงจากช้างด้วยดีใจ |
ยกไหเหล้ารินกินด้วยกัน |
พรานรอดถูกเหล้าเข้าเก้าถ้วย |
งงงวยบอกที่ขมีขมัน |
ฉันได้เห็นเป็นแน่แลดูมัน |
เมื่อไก่ขันมันข้ามแม่น้ำไป |
ขี่ม้าหยอกหยิกกันซิกซี้ |
จับจี้นมจู้ดูไม่ได้ |
นางผู้หญิงแขนอ่อนงอนเหลือใจ |
แข้งขาคว้าไขว่กันบนอาน |
เดี๋ยวนี้มันไปนอนท่าต้นไทร |
ฉันจะนำนายให้ไปกับฉาน |
ขุนช้างได้ฟังคลั่งเดือดดาล |
เหงื่อกาลไหลตกซกซกไป |
ฉวยขอขึ้นคอช้างงา |
พรานรอดนำหน้าเข้าป่าใหญ่ |
เกือบกระทั่งถึงท่าที่ต้นไทร |
เพื่อนชี้ให้รู้แจ้งแห่งสำคัญ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโหงพรายกุมารทอง |
ของขุนแผนรักษาอยู่ที่นั่น |
เห็นกองทัพยกตามมาครามครัน |
ก็พากันวิ่งเข้ามาปลุกนาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิ์พริ้งเพริศเฉิดฉาย |
อาศัยใต้ต้นพระไทรพราย |
แสนสบายชิดชื้อชะอื้อลม |
สนิทหลับอยู่กับวันทองน้อย |
ตะวันบ่ายชายคล้อยสำราญร่ม |
เสียงเรไรหริ่งร้องก้องระงม |
ฟื้นสมประดีด้วยกุมารมา |
พลิกกลับจับดาบปราบณรงค์ |
เห็นพลกลาดดาษดงมาหนักหนา |
จึงปลอบปลุกวันทองน้องพี่อา |
แก้วตาจงฟื้นขึ้นตื่นตัว |
ล้างหน้าเตรียมหาผ้านุ่งห่ม |
คอยชมศึกชู้จะสู้ผัว |
ฤๅว่าเจ้าเศร้าจิตรคิดกลัว |
จะออกตัวเสียก็ตามแต่ความคิด |
ขุนช้างโตใหญ่ไพร่นับร้อย |
พี่คนเดียวเล็กจ้อยกะจิหริด |
ผัวน้องเลื่องชื่อฦๅฤทธิ |
พี่นี้ชีวิตเป็นวันตาย |
หนักอกวิตกด้วยวันทอง |
ขุนช้างมัวหมองเป็นมากหลาย |
เพราะเจ้าทำผิดใจให้ระคาย |
จึงติดตามมุ่งหมายมาป่าชัฏ |
ครั้นพบหลบเลี่ยงไม่ออกหา |
จะโกรธาเรี่ยวแรงที่แข็งขัด |
เขาจับได้จะพิฆาตฟาดฟัด |
ฉีกตัดแล่เนื้อเป็นเหยื่อกา |
คิดเสียใหม่เป็นไรเจ้าวันทอง |
เขารักน้องเขาจึงออกมาตามหา |
ถ้าว่าไปดีดีมิโกรธา |
คงรับขวัญแก้วตาไปชมชู |
ตัวพี่ก็จะหนีเอาตัวรอด |
จะเล็ดลอดป่าไปไม่ต่อสู้ |
ฤๅกะไรใจเจ้าจงคิดดู |
จะอยู่ฤๅจะคืนอย่าเคืองใจ ฯ |
๏ วันทองหมองคำที่ค่อนแค้น |
เหลือแสนสิ้นรักฤๅไฉน |
น้องหากหมายฝากชีวิตไป |
ตัดอาลัยจึงละขุนช้างมา |
ช่างกะไรไม่คิดถึงความหลัง |
เจ้าก็ขลังความรู้อยู่หนักหนา |
เลื่องชื่อฦๅฤทธิทั้งโลกา |
ดังจะพลิกพสุธาให้ทำลาย |
พลเขาเท่านี้มาตามรบ |
จะหลีกหลบหนีหน้าเอาง่ายง่าย |
เรืองฤทธิช่างไม่คิดกับความอาย |
น้องสู้ตายตามบุญไม่กลับไป |
ถึงอย่างไรไว้ชื่อให้ฦๅนาน |
ที่จะไปตายบ้านอย่าสงสัย |
ถ้าหม่อมกลัวแฝงตัวอยู่ต้นไทร |
ส่งฟ้าฟื้นมาให้น้องรบเอง ฯ |
๏ เออว่ากระนี้พี่ชอบใจ |
จะแต่งตัวพิมไปให้เหมาะเหมง |
เสื้อหมวกย้อมว่านยาผ้ากางเกง |
เกรงแต่จะขึ้นม้าขาไม่เคย |
เจ้าจะรำเพลงทวนกระบวนตี |
ท่วงทีขุนช้างคล่องนะน้องเอ๋ย |
หอกมันโตใหญ่กะไรเลย |
เสยแทงถูกเจ้าจะเข้าครัน |
พี่เป็นชายจะตายก็ตามที |
แก้วพี่จะลำบากไปไยนั่น |
ว่าพลางจัดแจงแต่งตัวพลัน |
ตามสำคัญเคยรบณรงค์มา |
ร่ายเวทวิเศษเป่าประทับ |
จบจับฟ้าฟื้นข้างมือขวา |
แล้วร่ายมนตร์ขลังกำบังตา |
ใครมามิให้เห็นเจ้าวันทอง |
ผูกจิตรให้สนิทเสน่ห์อยู่ |
ทั้งอาวุธศัตรูมิให้ต้อง |
เผ่นขึ้นม้าสีหมอกออกคะนอง |
กุมารทองภูตพรายก็ตามมา |
จึงสั่งพรายให้ถอนหญ้าแพรกส่ง |
ปลงอารมณ์โอมอ่านพระคาถา |
กลายเป็นคนพลันมิทันช้า |
สาตราง้าวทวนก็ถ้วนตน |
จึงกำชับยับยั้งอยู่นี่ก่อน |
เร้นซ่อนอยู่ในไพรสณฑ์ |
ต่อกูเรียกเมื่อไรให้ประจญ |
จึงออกไปไล่พลอ้ายขุนช้าง |
สั่งแล้วกระทืบสีหมอกม้า |
โหงพรายล้อมหน้ามาแซงข้าง |
ฟ้าฟื้นปลาบตาม้าวิ่งวาง |
ขุนช้างร้องเอาชาวเรารับ |
ดาบหอกออกยืนยกปืนลั่น |
โห่สนั่นเฮฮาหน้าเพลิงฉับ |
ฉาดเปล่าไม่ไปเป็นไฟวับ |
ขุนแผนขับม้ามาหน้าขุนช้าง |
ตวาดด้วยพระเวทวิเศษมนตร์ |
ผู้คนตื่นวิ่งทั้งปืนผาง |
ดาบถือหลุดมือตะลึงวาง |
ขุนช้างแข็งง่าตั้งท่าทวน |
ถูกมนตร์จังงังทั้งนายไพร่ |
ต่างเกรงฤทธิไกรใจปั่นป่วน |
ขุนช้างตกประหม่าเห็นมาจวน |
ยิงสวนสำทับขับพลมา |
พลปืนพลหอกออกสะพรั่ง |
เสียงดังครื้นครั่นสนั่นป่า |
กรูกันเข้าห้อมล้อมอาชา |
หน้าไม้ไกลั่นสนั่นดัง |
สีหมอกหมุนผกชกขบ |
หลีกหลบเตะถูกลูกคางปั๋ง |
อ้ายละว้าว่าม้าพ้นกำลัง |
เก้กังเข้าไปไล่จับม้า |
ขุนแผนตวาดฟาดด้วยดาบ |
ล้มราบหัวขาดลงดาษป่า |
ขุนช้างร้องเอาอย่าออกมา |
เต้นแร้งเต้นกาบนหลังช้าง |
กลัวมันทำไมไอ้หัวเดียว |
กูแล้วประเดี๋ยวจะเต้นหยาง |
ฟันเล่นเป็นหยวกให้ขาดกลาง |
ศรพระยาไสช้างกูแทงที |
ศรพระยาว่าเออเป้อปังไป |
มันมิใส่เอาล้มลงจมขี้ |
ช้างอยู่ไกลไกลไม่ว่าดี |
คะยิกคะยีเข้าไปไม่ต้องการ |
ขุนช้างเห็นจริงนิ่งไม่เถียง |
ส่งแต่เสียงทำเก่งเร่งทหาร |
เฮ้ยแยกเป็นปีกกาหน้ากระดาน |
เอาปืนยิงกรานให้ตกม้า |
ได้ช่องกองละว้าเข้าล้อมแทง |
ยิงแย้งตึงลั่นสนั่นป่า |
ประดังกันกระชั้นชิดติดมา |
ดูโยธาขุนช้างดังพลมด |
ไล่พวกกุมารพรายซ้ายขวา |
ดาบฟาดฉาดฉ่าก็ผิดหมด |
ขุนช้างร้องเอาวาอย่าละลด |
ถอยช้างกระถดออกยืนไกล |
ขุนแผนครั้นเห็นพวกละว้า |
เกลื่อนกลุ้มกันมาเป็นหมู่ใหญ่ |
จึงเรียกหุ่นพลันทันใด |
ให้ไล่พลขุนช้างกลางที่รบ |
พวกหุ่นโห่ฮึกสะอึกจับ |
รบรับชุลมุนฝุ่นตรลบ |
ละว้าตายก่ายมอญลงนอนซบ |
บ้างตลบลุกแทงเข้าแย้งรับ |
แทงหุ่นหยุ่นหยุ่นไม่ยักเข้า |
หุ่นกลับฟันเอาดังฉาดฉับ |
พวกขุนช้างแตกพ่ายกระจายยับ |
ขุนช้างกลับช้างขี่หนีออกมา |
ขุนแผนขับขี่สีหมอกไล่ |
จะไสช้างไปไหนไอ้ชาติข้า |
ขุนช้างร้องไปทำไมวา |
ไสช้างเข้าป่าสวบสวบไป |
หนามเหนี่ยวเกี่ยวสัปคับยวบ |
หักกรวบตกช้างข้างไถล |
ศรพระยาโดดปุกวิ่งซุกไป |
ราทยาอยู่ไม่ได้ก็โดดตาม |
ขุนช้างตกช้างลงต้ำผลุง |
หลังกุ้งวิ่งตรงเข้าดงหนาม |
เกี่ยวเนื้อปอกไปเลือดไหลทราม |
อารามกลัวมุดไปไม่หยุดเลย |
เถาวัลย์พันขาลงดิ้นแด่ว |
กูติดบ่วงเข้าแล้วปลดทีเหวย |
อ้ายย่าโม่ทิ้งกูไม่อยู่เลย |
อกเอ๋ยหมดท่าเข้าตาจน |
สิ้นกำลังนั่งลงในดงหนาม |
เลือดฝาดสาดทรามดังฝอยฝน |
ครั้งนี้ที่ไหนจะเป็นคน |
ถ้ามันทันคงป่นไม่พ้นตาย |
รักเมียจะมาเสียถึงชีวิต |
คิดคิดขึ้นมาน่าใจหาย |
ผ้าผ่อนสักนิดไม่ติดกาย |
มาตายเปล่าเปล่าไม่เข้ายา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกขุนช้างที่หลบหนี |
ครั้นเห็นไพรีไม่ตามหา |
ราทยามาพบศรพระยา |
ต่างเรียกบ่าวข้าเที่ยวหานาย |
แยกย้ายกันหาในป่าชัฏ |
ช่วยกันตัดดงรามหนามหวาย |
ช้านานอ่อนใจจึงได้นาย |
ดูยับดังเสือตะกายไปทั้งตัว |
พวกบ่าวกอดนายร้องไห้รัก |
เคราะห์พ่อร้ายนักพ่อทูนหัว |
จะฆ่าลิงปิ้งค่างสักสองตัว |
พอยังชั่วหายแผลจะแก้บน |
เสื้อหมวกหนามหวายเอาไปหมด |
เลือดหยดหยาดย้อยดังฝอยฝน |
ผ้าผ่อนล่อนโล่งไม่ติดตน |
ลางคนเอาผ้ามาให้นาย |
บ้างซับเลือดให้ด้วยผ้าห่ม |
บ้างล้างโคลนตมบ่งหนามหวาย |
กะเหรี่ยงลาวบ่าวไพร่มามากมาย |
หายารักษานายที่กลางไพร ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนแผน |
คลายแค้นกองทัพไม่ขับไล่ |
ห่วงวันทองน้องยารีบคลาไคล |
สั่งไว้ให้พรายคอยสอดมอง |
ครั้นใกล้ร่มพระไทรลงจากม้า |
ทำเป็นป่วยขาเดินจดจ้อง |
หวังจะดูน้ำใจเจ้าวันทอง |
นวลน้องจะว่าประการใด |
ฝ่ายเจ้าวันทองมองคอยผัว |
ซ่อนตัวอยู่ในร่มพระไทรใหญ่ |
เห็นผัวกลับมาก็ดีใจ |
ออกไปรับฉับไวด้วยความรัก |
ขุนแผนแขนพาดบนบ่าน้อง |
กระซิบบอกวันทองพี่ป่วยหนัก |
ถูกปืนข้างละลอกให้ยอกนัก |
เจ้าอย่าเดินให้ขยักขย่อนใจ |
วันทองตกใจให้เศร้าสร้อย |
ค่อยค่อยพยุงเดินมิใคร่ไหว |
ขุนแผนทำล้มที่ต้นไทร |
ประหนึ่งจะบรรลัยด้วยภัยพาล |
บอกว่าปืนถูกพี่ที่ต้นขา |
ปิ้มจะตกม้าน่าสงสาร |
พวกขุนช้างมากมายเหลือประมาณ |
มันตามผลาญพี่เจียนจะบรรลัย |
ขุนช้างแทงพี่เข้าตํ้าอัก |
แทบไส้จะทลักทลายไหล |
ทีทวนมันคล่องว่องไว |
เจ้าช่วยคัดเลือดให้พี่สักที |
แล้วจับมือวันทองกดท้องไว้ |
นี่เลือดฤๅอะไรไหลปรี่ปรี่ |
จุกนักกดไว้ให้จงดี |
อ้ายเส้นเต้นหรุบนี้แลกดไว้ |
วันทองครั้นรู้ว่ามารยา |
เบือนหน้าค้อนควักแล้วผลักไส |
เชิงกระนี้สิเจ้าดีเป็นพ้นใจ |
เหนื่อยมาพ่อจะได้อะไรกิน |
ขุนแผนจึงตอบเจ้าวันทอง |
น้องเอ๋ยข้าวตังยังไม่สิ้น |
ถ้ารักกันเหมือนกระนั้นที่บ้านถิ่น |
จะคะนึงถึงกินไปไยมี |
เจ้ารักพี่เหมือนที่พี่รักน้อง |
ก็จะลืมแสบท้องเหมือนเช่นพี่ |
เสบียงติดมาแต่บ้านกาญจน์บุรี |
เมื่อคืนนี้พี่ไปก็ลืมคิด |
แต่พอไปได้แลเห็นหน้าน้อง |
ที่แสบท้องนั้นก็หายไปเป็นปลิด |
นึกแต่จะอิงแอบแนบชิด |
ด้วยจิตรรักใคร่มิได้วาย |
ให้อิ่มอกอิ่มใจไปในน้อง |
พี่มาดมั่นวันทองก็เหมือนหมาย |
วันทองร้องชะช่างภิปราย |
แยบคายเจ้าไม่น้อยเจ้าร้อยกล ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
รุ่งฤทธิฦๅแจ้งทุกแห่งหน |
เหลียวชะแง้แลดูพระสุริยน |
จรดลจวนลับบรรพตา |
เรื่อยรถรอนรอนลงอ่อนแสง |
เด่นแดงแฝงไม้ไพรพฤกษา |
จึงชวนเจ้าวันทองน้องพี่อา |
ไปชำระกายาให้เย็นใจ |
วันทองค้อนขัดสะบัดหน้า |
ตอบว่าฉันป่วยขาเดินไม่ได้ |
ถูกปืนขี้ปดปวดเหลือใจ |
สักประเดี๋ยวสิจะไปลงเล่นนํ้า |
ขุนแผนว่าอย่าช้านะน้องรัก |
จะสั่นงักหนาวไปด้วยใกล้คํ่า |
รู้แล้วว่าเจ้าเจ็บกองระกำ |
ด้วยเจ้าทำสงครามมาเต็มที |
รบกันที่ร่มไทรได้ฉุกเฉิน |
จะต้องพยุงเดินฤๅไรนี่ |
พี่จะอุ้มน้องลองดูที |
มาสิมาพี่จะอุ้มไป |
ฉันเกลียดจริงจริงละคะหม่อม |
ฉันไม่ใช่คนค่อมเดินไม่ได้ |
หม่อมเคยอุ้มฉันเมื่อวันไร |
ว่าแล้วลุกไปด้วยใจงอน |
ขุนแผนชวนชมกระแสสินธุ์ |
มุจลินท์ลมฉํ่าน้ำกระฉ่อน |
ดอกปทุมตูมตั้งอรชร |
บ้างเบิกบานเกสรขจรโปรย |
ภุมรินบินเคล้าเข้าคลอเคียง |
อาบละอองซ้องเสียงอยู่หึ่งโหย |
พระพายชายพัดระบัดโบย |
ที่กลีบโรยหล่นลงชลาลัย |
หอมตรลบอบไปในคงคา |
ดังสุธาทิพรสอันสดใส |
นางกรีดเล็บเก็บบัวทั้งดอกใบ |
มาเจียนตัดกลัดให้เป็นเรือน้อย |
ขุนแผนถอนสายบัวเอามาหัก |
สวมตัวน้องรักต่างสายสร้อย |
วันทองเก็บกลีบบัวที่ร่วงลอย |
เอามาตะบอยเป่าเล่นเป็นพองลม |
นํ้าใสปลาว่ายแลเห็นตัว |
หลีกลัดก้านบัวดูงามสม |
บ้างก็แอบแฝงฝั่งบ้างกินตม |
ชมพลางทางลงเล่นนํ้ากัน |
ต่างหัวเราะระริกกันซิกซี้ |
ยวนยีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ขุนแผนชวนให้ไล่พนัน |
วันทองร้องว่าฉันจะอยู่โยง |
หม่อมอย่าหนีไปให้ไกลนะ |
ฉันตามไปไม่ปะกลัวตะโขง |
ขุนแผนว่าไม่ทันไรไล่ตะโพง |
อยู่โกงดอกเช่นนี้พี่ไม่เอา |
ใครไม่กลัวอสรพิษไม่ปิดตา |
ไล่ข้าขอให้พบปลาปักเป้า |
ให้ปลาซิวกัดที่ไม่มีเบา |
มันดูดเอาเลือดเนื้ออย่าเหลือเลย |
วันทองว่าไม่เล่นละเช่นนี้ |
น่ากลัวสิ้นทีเจ้าแม่เอ๋ย |
เล่นแช่งอย่างนั้นฉันไม่เคย |
อย่าเลยหม่อมกลับมาปิดตา |
ฉันจะหนีไปบ้างให้หม่อมไล่ |
ถ้าโยงได้แล้วจะเย้ยให้หนักหนา |
ว่าพลางนางชำเลืองเยื้องกรายมา |
โผผวาว่ายไปแฝงใบบัว |
ขุนแผนแลไปไม่เห็นน้อง |
วันทองมองเขม้นเร้นซ่อนผัว |
ขุนแผนว่ายเรียงเข้าเคียงตัว |
นางแอบแฝงผัวที่บัวกอ |
ขุนแผนแกล้งเรียกหาตาชม้อย |
วันทองน้อยฤๅไปซ่อนที่ไหนหนอ |
จนจมูกถูกแก้มหัวร่องอ |
โอ๋ยอ่อนี่แก้มเจ้าวันทอง |
ขุนแผนคว้ารัดกระหวัดปลํ้า |
มือขยำกำเต้าเข้าทั้งสอง |
วันทองแกะมือพลางแล้วทางร้อง |
จับน้องสองข้างไข่แตกกัน |
ขุนแผนปรีดิ์เปรมเกษมจิตร |
นั่งแนบแอบชิดแล้วชมขวัญ |
จะสีหลังให้เจ้าเราผลัดกัน |
วันทองหันหน้าค้อนด้วยงอนใจ |
เข้านั่งเรียงเคียงไหล่ใกล้ขุนแผน |
นางเหยียดยื่นแขนออกมาให้ |
ขุนแผนแขนสอดไปทันใด |
เคล้นไคล้ทรวงนางแต่บางเบา |
จะสีแขนเป็นไรจึงไม่ทำ |
มาขยำอะไรที่นี่เล่า |
พี่คิดว่าผงติดสะกิดเกา |
พี่เกือบเป่าอ่อปุ่มเจ้าเป็นเอง |
วันทองร้องว่าอุแม่เอ๋ย |
อย่าค่อนไปนักเลยไม่เหมาะเหมง |
นี่ปุ่มปั้นดอกคะมันไม่สบเพลง |
ไม่เป็นเองเหมือนที่ปีนกำแพงวัง |
ดังดอกอุบลมณฑาทิพย์ |
ครั้นลอยลิบจึงเที่ยวหลงตะลึงคลั่ง |
นี่ดอกฟ้าเข้าไปอยู่ในวัง |
จึงหวังชมดอกหญ้าด้วยจำใจ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนคะนอง |
ฟังวันทองค่อนแคะเข้าแสบไส้ |
แก้เก้อเพ้อว่าอย่าพิไร |
หญิงใดก็ไม่รักเหมือนนวลน้อง |
ว่าพลางชวนนางขึ้นผลัดผ้า |
เดินเรียงเคียงบ่ามาทั้งสอง |
เข้าใต้ร่มใบพระไทรทอง |
สมปองสุขเกษมเปรมใจ ฯ |
๏ ครานั้นขุนช้างอยู่กลางป่า |
ปวดแสบนักหนานอนร้องไห้ |
เป็นเพลาพลบคํ่าลงรำไร |
บ้างหาไม้สีไฟในไพรวัน |
ทำสุมทุมซุ่มซ่อนนอนกลางเถื่อน |
ที่เจ็บป่วยกล่นเกลื่อนก็ครางลั่น |
บ้างกู่ก้องร้องตะโกนเที่ยวหากัน |
จนดึกดื่นไก่ขันอยู่กลางไพร ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิเชี่ยวชาญทหารใหญ่ |
นอนหลับกับวันทองที่ร่มไทร |
ตื่นขึ้นพอได้สามยามปลาย |
เย็นฉํ่าน้ำค้างแนบนางนอน |
เอามือช้อนคางชวนชมเดือนหงาย |
แสงสอดลอดใบพระไทรพราย |
เดือนบ่ายต้องเต้าเจ้าวันทอง |
เคียงคู่ดูดังสัตตบงกช |
น้ำค้างหยดหยัดเย็นกระเซ็นต้อง |
เหมือนเพชรระยับประดับที่นมน้อง |
ค่อยประคองลูบไล้อยู่ไปมา |
ดึกสงัดสัตว์สิงไม่ส่งเสียง |
ฟังจำเรียงจักจั่นสนั่นป่า |
ดังสังคีตดีดสีปี่ชวา |
ฟังฟังก็ยิ่งพาวังเวงใจ |
พอสางสางพลางชวนเจ้าวันทอง |
จะแนบน้องอยู่นานนักไม่ได้ |
ดีร้ายอ้ายขุนช้างจัญไร |
จะกลับไปใส่โทษพิไรทูล |
ให้ยกกองทัพมาจับเรา |
เคืองพระทัยปิ่นเกล้าเจ้าไอศูรย์ |
ถ้อยความลามใหญ่เป็นไฟฟูน |
เห็นจะยกทัพหนูนหนักออกมา |
จำเราจะลาพระไทรไป |
อยู่เสียให้ไกลที่ในป่า |
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า |
ชวนวันทองน้องลาพระไทรทอง |
รีบมาค้นหาม้าสีหมอก |
พบที่ตรอกตรวยธารละหานหนอง |
ผูกม้าแล้วพาวันทองน้อง |
ทั้งสองขี่ม้ามาในไพร ฯ |
๏ กุมารทองนำหน้าพาจร |
ข้ามดอนเขาเขินเนินไศล |
พระพายพัดเกสรขจรไกล |
หอมตรลบอบไปในพนา |
ดื่นดอกออกช่อบุปผชาติ |
ดาดาษหว่างเวิ้งจังหวัดผา |
จึงชี้ชวนวันทองน้องพี่อา |
เจ้าดูพรรณบุปผาน่ายวนใจ |
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างแจ้ง |
ส่งแสงช่อชูดูไสว |
นางแย้มแย้มยิ้มอยู่ริมไพร |
เหมือนที่ไร่ฝ้ายพิมเจ้ายิ้มแย้ม |
ซ่อนชู้ชูช่ออรชร |
เหมือนเราซ่อนเป็นชู้คู่แฉล้ม |
ซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นประทิ่นแกม |
เหมือนกลิ่นแก้มโฉมยงเมื่อส่งตัว |
เล็บมือนางกางกลีบกะทัดรัด |
เหมือนมือเจ้าปรนนิบัติพัดวีผัว |
บานเย็นบานสะพรั่งฝั่งสระบัว |
เหมือนเย็นเช้าเย้ายั่วอยู่กับน้อง |
มะลิวันพันระกำขึ้นแกมจาก |
ได้สามวันกรรมพรากไปจากห้อง |
จำปีเคียงโศกระย้าผกากรอง |
พี่โศกเศร้าเฝ้าตรองกว่าสองปี |
อบเชยเผยกลิ่นกลั้วสุกรม |
วันนี้ได้เชยชมสมสุขพี่ |
สาวหยุดกุหลาบอาบอวลดี |
ขอหยุดชมจูบทีเถิดสาวน้อย |
นางวันทองร้องว่าช่างน่าชัง |
กำลังฟังเพลินพลอดอยู่พล่อยพล่อย |
ช่างยกข้อยอเล่นจนเลิศลอย |
เชิญชมดงอิกสักหน่อยจะฟังความ |
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมเจ้า |
สบายหายเปลี่ยวเปล่าเมื่อยามสาม |
ดวงเดือนเลื่อนลงลับดงราม |
ดาวตกต่ำตามเมื่อรุ่งฟ้า |
แสงทองส่องพุ่มพยับเหลือง |
สุริยาย่างเยื้องพระเวหา |
ฝูงสัตว์จัตุบาทก็ตื่นตา |
สกุณาลารังระงมร้อง |
ค่างลิงวิ่งไล่เตลิดหนี |
นางชะนีโหยหวนครวญก้อง |
กระต่ายตามคู่เล่นเผ่นคะนอง |
ขุนแผนชักม้าผยองมาในดง ฯ |
๏ ครั้นถึงเชิงเขาเข้าเขตไร่ |
เป็นรอยถางกว้างใกล้ไพรระหง |
ที่ตีนเขาเหล่าบ้านละว้าวง |
พาวันทองน้องตรงเข้าไร่แตง |
พวกละว้าพากันปลูกมันเผือก |
รั้วเรือกหลายชั้นกั้นหลายแห่ง |
ที่ยอดเขาล้วนเหล่าไร่ฟักแฟง |
มะเขือพริกกล้ายแห้งมะแว้งเครือ |
พวกละว้าป่าเถินเดินตามกัน |
สาวสาวทั้งนั้นล้วนใส่เสื้อ |
ทาขมิ้นเหลืองจ้อยลอยผิวเนื้อ |
เป็นชาติเชื้อชาวป่าพนาลี |
บ้างนั่งหยอกแย้มยิ้มกันริมผา |
เห็นคนขี่ม้ามาก็วิ่งหนี |
ขุนแผนชักม้ามาทันที |
หยุดยืนอยู่ที่ริมนอกชาน ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านยายละว้า |
คนชราแก่เถ้าอยู่เฝ้าบ้าน |
เห็นคนขี่ม้ามาลนลาน |
นี่เจ้านายมาบ้านตูทำไม |
ขุนแผนวันทองทั้งสองรา |
ลงจากม้าพลางทางปราศรัย |
เรามาหาว่านยาแลรากไม้ |
เขาว่ามีอยู่ในภูเขานี้ |
ลูกผู้ชายของยายไปไหนหมด |
เห็นรดผักแต่ผู้หญิงเมื่อตะกี้ |
เราจะขออาศัยในบ้านนี้ |
อยู่สักห้าราตรีจะลาไป |
วันทองให้ปัดผูกข้อมือ |
เป็นที่นับถือกะเหรี่ยงไร่ |
ยายเถ้าได้ปัดก็ดีใจ |
แกเรียกไปสาวสาวก็กลับมา |
ทำทีอายเอียงเมียงชม้าย |
ครั้นได้ปัดหายอายหัวร่อร่า |
แต่งทับให้พลันมิทันช้า |
เผือกมันเอามาด้วยดีใจ ฯ |
๏ ขุนแผนสัพยอกหยอกสาวสาว |
คราวหลังเถิดจะหามาให้ใหม่ |
สายสร้อยห้อยหูทั้งกำไล |
แหวนพิรอดสอดใส่ทั้งสองมือ |
เจ้าวันทองน้องยิ้มอยู่ในหน้า |
จะเป็นลูกเขยละว้าฤๅหม่อมฤๅ |
แล้วยื่นแขนให้ยายดูลายมือ |
แกอออือทักทายมากมายไป |
ขุนแผนจึงสั่งกุมารทอง |
คอยดูกองทัพมาอย่าช้าได้ |
รีบบอกให้รู้แต่อยู่ไกล |
พรายไหว้ลาลุกมาบัดดล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าขุนช้าง |
ครวญครางร้องไห้อยู่ไพรสณฑ์ |
ครั้นรุ่งเช้าหาบ่าวได้หลายคน |
เสื้อหมวกตกหล่นก็ได้มา |
ขุนช้างเจ็บจิตรให้คิดแค้น |
อ้ายขุนแผนมันทำกูหนักหนา |
จะไปทูลพระองค์ทรงศักดา |
คิดหากองทัพมาจับมัน |
คิดพลางทางสั่งศรพระยา |
ผูกช้างเร็วหวาขมีขมัน |
เร่งรัดจัดคนให้พร้อมกัน |
ให้ทันเวลาจะคลาไคล |
ศรพระยาได้ฟังขุนช้างว่า |
รีบผูกช้างมาไม่ช้าได้ |
ผู้คนหาบหามตามกันไป |
ที่เจ็บไข้พวกพ้องประคองกัน |
ขุนช้างขึ้นช้างนอนครางมา |
เจ็บระบมหนักหนาแข้งขาสั่น |
ให้เร่งช้างวางไสไปเร็วพลัน |
ดัดดั้นรีบรัดตัดทางมา |
ขุนช้างเป็นไข้มาในกูบ |
ลูบคลำแผลยับตลอดหน้า |
น้ำตาไหลหลั่งลงถั่งตา |
โอ้ว่ากรรมทำมาเจ้าวันทอง |
ปานฉะนี้แก้วตาน่าสงสาร |
จะเดินดงพงผ่านทั้งห้วยหนอง |
บาทาน้องข้าจะพุพอง |
แหวนทองจะต้องแลกกับเผือกมัน |
อ้ายขุนแผนมันแค้นเจ้าหนักหนา |
ฤๅมันฆ่าดวงใจให้อาสัญ |
ทิ้งศพเจ้าไว้ในไพรวัน |
แหวนทองทั้งนั้นมันเอาไป |
เลือดเนื้อเจ้าจะนองอยู่ในดง |
ใครจะปลงซากศพให้สูญได้ |
กระดูกน้องกองกลาดอนาถใจ |
ว่าพลางสะอื้นไห้อยู่ฮักฮัก ฯ |
๏ ศรพระยาปลอบว่าอย่าร้องไห้ |
จะเป็นห่วงบ่วงใยทำไมหนัก |
วันทองหนีไปเพราะไม่รัก |
มิหนำซํ้าชักให้ชู้ฟัน |
ทำถึงเพียงนี้มิน้อยใจ |
ช่างมีหน้าร้องไห้ทำไมนั่น |
แทบล้มแทบตายหนามหวายพัน |
เพราะวันทองฤๅมิใช่จึงได้ทุกข์ |
ถ้าแม้นว่ามิรักหักใจทิ้ง |
นอนนิ่งอยู่กับเรือนก็เป็นสุข |
ข้าไทในบ้านออกพล่านพลุก |
ฤๅอะไรไม่สนุกเหมือนวันทอง ฯ |
๏ ขุนช้างว่ากูไม่อยากรัก |
แค้นนักร้องไห้เสียดายของ |
เพราะมันยอกยักลักแหวนทอง |
ตัดม่านผลาญกองไว้ย่อยยับ |
กูจึงตามไปด้วยใจแค้น |
พบอ้ายขุนแผนจะโจมจับ |
ฟันเสียทั้งชายหญิงชิงเอาทรัพย์ |
รับแต่แม่วันทองโอ๊ยลืมไป ฯ |
๏ ศรพระยาหัวร่ององออยู่ |
เออจริงพ่อว่ากูหารักไม่ |
เป็นมั่งพลั้งปากไม่จงใจ |
ว่าแล้วไสช้างตามทางมา |
ข้ามป่าละเมาะเกาะแก่ง |
ลัดแลงออกทุ่งมุ่งป่า |
ลงน้ำขึ้นฝั่งไม่รั้งรา |
พอถึงเคหาตะวันชาย ฯ |
๏ ขุนช้างถึงเรือนยิ่งมัวหมอง |
ไม่เห็นวันทองก็ใจหาย |
ก้าวขึ้นเคหานัยน์ตาลาย |
กูจะผูกคอตายเสียในเรือน |
ตรงเข้าในห้องเที่ยวมองดู |
ม่านขาดกลาดอยู่ยังกล่นเกลื่อน |
ที่นอนหมอนทิ้งกลิ้งกลาดเรือน |
เชื่อนขันโต๊ะพานออกพล่านไป |
วันทองไม่อยู่เพียงครู่เดียว |
ก็หามีใครจะเหลียวจะแลไม่ |
สิ้นบุญวันทองของจะไว้ไย |
ทุบต่อยให้แตกไปเสียบัดนี้ |
ฉวยหอกมาทูนไว้เหนือหัว |
กูจะแกล้งแทงตัวให้เป็นผี |
ขอให้เข้าง่ายง่ายตายดีดี |
ข้าวของทั้งนี้จะใส่โลง |
แล้วทิ้งหอกวิ่งออกไปครัวไฟ |
ฉวยสากแพ่นไหปลาร้าโผง |
โยนหม้อข้าวทิ้งวิ่งโกรงโกรง |
ตายโหงตามเมียเสียเถิดรา |
กลับหมุนเข้าไปข้างในห้อง |
เอาเชือกผูกคล้องกับเซนฝา |
แล้วผูกเอวห้อยโหนโยนตัวมา |
ร้องจ้าแก้ด้วยมาช่วยกู ฯ |
๏ ศรพระยาได้ยินก็ตกใจ |
แลไปเห็นเชือกที่ผูกอยู่ |
คิดว่าคอหักผลักประตู |
แลดูเห็นผูกบั้นเอวโยง |
เออเขาผูกคอตายสิ้นทั้งบ้าน |
นี้จะผูกเอวคลานให้ตายโหง |
มือยันตีนยันดันโก้งโค้ง |
ปล่อยให้เต้นโหยงโหยงอย่าแก้เลย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงท่านยายศรีประจัน |
วันนั้นรู้ข่าวเจ้าลูกเขย |
ว่าเสียทัพกลับมาไม่เสบย |
เด็กเอ๋ยอีไทไปกับกู |
ถึงบ้านก็เข้าในเรือนใหญ่ |
เห็นขุนช้างแกว่งไกวโตงเตงอยู่ |
ถามศรพระยาไปจะใคร่รู้ |
เอ็งช่วยดูนั่นขุนช้างมันทำไม |
ศรพระยาว่าแม่ไม่เคยเห็น |
พ่อขุนช้างหล่อนเล่นกาฟักไข่ |
ขุนช้างร้องเบื่อเชื่อมันไย |
แก้บั้นเอวได้ลุกออกมา |
ยกมือขึ้นไหว้แม่ยายพลาง |
ครั้งนี้สุดอย่างแล้วแม่ขา |
อ้ายขุนแผนทำแค้นเหลือปัญญา |
มันลักพาเจ้าวันทองน้องเข้าไพร |
ลักเครื่องเงินทองของสำคัญ |
ทั้งเงินตราผ้าพรรณเป็นไหนไหน |
ตามมันทันพบที่ต้นไทร |
เข้าอาศัยสองคนกับวันทอง |
มันคุมโจรไพรไว้หลายร้อย |
ซุ่มคอยรายป่าคอยท่าจ้อง |
ลูกแทงโจรตายลงก่ายกอง |
จะคว้าเอาเจ้าวันทองไม่ทันที |
ด้วยช้างเป็นบ้ามันตะบันแทง |
ม้ามันเรี่ยวแรงตลบหนี |
ลูกไล่หวิดๆ พอชิดดี |
ช้างขี่แปร๋แปร้นแล่นเข้าไพร |
หนามเหนี่ยวเกี่ยวพลัดสะบัดหัน |
ลูกถูกหนามครามครันจนเลือดไหล |
ม้าขุนแผนแล่นหนีเข้าป่าไป |
ลูกจึงมิได้วันทองมา |
ศรพระยายกข้อปดต่อไป |
ลูกก็ได้ไล่ยิงสกัดหน้า |
หนามไหน่ไม่คิดไล่ติดมา |
ถ้าแม้นทันก็จะคว้าแต่วันทอง |
เพราะโจรป่ามันกั้นหาทันไม่ |
แต่มันแทงลูกได้สักพันสอง |
หอกหักลงเพราะข้าสักห้ากอง |
ขุนช้างร้องว่าสุดแล้วคราวนี้ |
แต่พอดีพอร้ายเห็นตายมัน |
นี่พวกเราขยันมันจึงหนี |
มันแต่ล้วนยืนยงคงชาตรี |
เก้าทีสิบทีอย่าแทงเลย |
ศรีประจันบุ้ยปากกูไม่อยากเชื่อ |
การปดแล้วเอ็งเหลืออีพ่อเอ๋ย |
พลายแก้วมันเจนจบรบพุ่งเคย |
แน่ะเฮ้ยเอ็งจะคิดประการใด ฯ |
๏ ขุนช้างว่าลูกไม่วายแค้น |
จะตามฆ่าอ้ายขุนแผนให้จงได้ |
ลูกจะไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงช้ย |
ทูลขอทัพใหญ่ไปติดตาม |
ฟ้าผ่าลูกเถิดแม่ไม่เชื่อ |
การกล้าลูกนี้เหลือไม่เข็ดขาม |
แม้นแม่ไปได้เห็นในสงคราม |
จะชมว่าลูกงามเมื่อรำทวน |
ว่าพลางทางสั่งศรพระยา |
ผูกช้างเร็วหวาเป็นการด่วน |
กูจะไปอยุธยาเวลาจวน |
ในใจหวนคิดคะนึงถึงวันทอง |
ลุกไปอาบน้ำแล้วผลัดผ้า |
ตรงเข้ามาฉวยเอากระจกส่อง |
หน้าเหมือนสับยับไปเลือดไหลนอง |
ผมเขาถากเป็นร่องพึ่งรำไร |
โอ้ตั้งแต่นี้เมื่อไรเลย |
อกเอ๋ยผมกูจะขึ้นใหม่ |
นี่เป็นหัวของตนก็จนใจ |
ถ้าแลกเปลี่ยนใครได้จะแลกเอา |
ถึงจะเสียสิบชั่งกูไม่ว่า |
จะก้มหน้าทูนหัวให้แก่เขา |
อกเอ๋ยใครเลยจะเหมือนเรา |
นี่แลเจ้าวันทองจึงสองใจ |
ลุกหนีจากกระจกนุ่งยกทอง |
ราคาสิบสองซื้อใหม่ใหม่ |
ห่มส่านพื้นเหลืองย่างเยื้องไป |
ขึ้นคอช้างไสเหย่าเหย่ามา |
ข้ามป่าละเมาะเกาะแก่ง |
ลัดแลงดงรามหนามหนา |
วันหนึ่งก็ถึงอยุธยา |
ปลงช้างข้างป่าช้าวัดหน้าพระเมรุ |
แล้วเดินตรงลงมาหาเรือจ้าง |
ใครเห็นขุนช้างว่าหลวงเถน |
ข้ามถึงพาราเวลาเพล |
โจงกระเบนงกเงิ่นเดินดุ่มมา |
เด็กเด็กแลเห็นเต้นเซ็งแซ่ |
แม่แม่อะไรมาโน่นขา |
หัวแดงตละแร้งที่กลางนา |
มันจะกินตับข้าตาลุกโพลง |
อีแม่ด่าอึงมี่อ้ายขี้ครอก |
มาหลอกลูกกูไยไอ้ตายโหง |
ขุนช้างทำเมินเดินหัวโคลง |
ดุ่มโด่งเข้ามาศาลาใน ฯ |
๏ เพื่อนขุนนางเห็นเข้าเขาลูบอก |
ท่านเจ้ากรมผมดกจะไปไหน |
เนื้อตัวหัวหูเป็นไรไป |
ดูรอยไม้เป็นแนวเหมือนแมวฟัด |
ขนอกถกไปไม่ติดอยู่ |
ฤๅไปเที่ยวเกี้ยวชู้คางคกกัด |
ห่มส่านนุ่งยกปกซ่นซัด |
ขัดสนสิ่งไรจึงได้มา ฯ |
๏ ขุนช้างบอกไปร้องไห้งอ |
อ้ายพ่อเอ๋ยสิ้นที่ครั้งนี้หวา |
อ้ายแผนมันทำเหลือตำรา |
มันลักพาวันทองของกูไป |
ลักทั้งแหวนทองของสำคัญ |
เงินตราผ้าพรรณเป็นไหนไหน |
ตามกันไปทันที่ต้นไทร |
อ้ายแผนคบโจรไพรไว้มากมาย |
แต่ล้วนถือทวนหอกออกสะพรั่ง |
โล่ดั้งแหลนหลาวเป็นมากหลาย |
กูไสช้างไล่รุกบุกกระจาย |
ฆ่าตายหลายร้อยผอยผอยลง |
จะจับอ้ายขุนแผนมันแล่นหนี |
หลบลี้เข้าในไพรระหง |
กูตามไปไม่พบพอพลบลง |
จึงกลับมาเฝ้าองค์เจ้านายเรา |
จะทูลขอกองทัพไปจับตัว |
ทูนหัวช่วยทีอีพ่อเจ้า |
เงินทองของอื่นก็ทำเนา |
ถ้าได้ตัวก็จะเอาแต่วันทอง ฯ |