๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงสวัสดิ |
เนาในปรางค์รัตน์จำรัสหล้า |
ครั้นพระสุริย์ใสได้เวลา |
เสด็จออกข้างหน้าไม่ช้าที |
จึงพระหมื่นศรีเสาวรักษ์ราช |
อภิวาทประนมก้มเกศี |
กราบทูลเบิกความตามคดี |
บัดนี้ได้ตัวขุนแผนมา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
กริ้วดังตละไฟไหม้เวหา |
ยังมิทันทราบความตามสารา |
โกรธากระทืบพระโรงชัย |
อ้ายแสนกลถือตนว่ามีฤทธิ |
ตกมันคิดว่ากูสู้ไม่ได้ |
ลักเมียอ้ายขุนช้างวางเข้าไพร |
ใช้คนออกไปกลับฆ่าฟัน |
มันดีแล้วเป็นไรไม่เหาะเหิน |
มุดหัวเดินมาทำไมนั่น |
เมืองไหนจับได้ให้รางวัล |
จำกันฤๅเปล่าเมื่อเอามา ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระจมื่นศรี |
อัญชลีบังคมก้มเกศา |
ทูลความตามบอกมิทันช้า |
ชีวาอยู่ใต้บาทบงสุ์ |
ขุนแผนเข้าหาพระพิจิตร |
ยอมตัวกลัวผิดให้บอกส่ง |
จองจำทำกันเป็นมั่นคง |
ว่าตัวซื่อตรงไม่คิดคด |
ครั้นถามขุนแผนกับวันทอง |
ก็ให้การถูกต้องกันอยู่หมด |
ว่าขุนช้างทำแค้นจึงแทนทด |
มิได้คิดทรยศขบถใจ |
เดิมวันทองยังชื่อว่าพิมอยู่ |
ได้ขอสู่มารดานั้นยกให้ |
ปลูกหอส่งตัวรู้ทั่วไป |
อยู่ได้สามวันไม่เคลื่อนคลาย |
มีทัพเชียงทองต้องขึ้นไป |
มิได้หย่าร้างระคางขาย |
ขุนช้างมาบอกกับแม่ยาย |
ว่าขุนแผนไปตายเสียกลางทัพ |
แล้วสู่ขอปลูกหอแต่งงาน |
ครั้นว่าเสร็จราชการขุนแผนกลับ |
มิได้ฟ้องชู้เมียให้เสียทรัพย์ |
จึงอยู่กับลาวทองแต่นั้นมา |
ครั้นมาเข้าเวรที่ในวัง |
ขุนช้างชิงชังริษยา |
ทูลว่าปีนกำแพงพระพารา |
มุสาใส่โทษแต่โดยเดา |
ไม่อาจทูลความจริงต้องนิ่งไว้ |
เพราะจนใจด้วยตัวนั้นห้ามเฝ้า |
จึงเลยเป็นคนหลบซบเซา |
ลาวทองก็ต้องเข้าไปอยู่วัง |
ขุนแผนแค้นเคืองนายขุนช้าง |
จึงลักนางวันทองไปเสียมั่ง |
ข้อซึ่งฆ่านายไพร่ในป่ารัง |
ก็รู้ว่าโทษกระทั่งถึงที่ตาย |
มิให้จับกลับมาลุแก่โทษ |
ถ้ามิโปรดชีวิตขอถวาย |
ด้วยคิดถึงพระคุณไม่วุ่นวาย |
สิ้นบอกก็ถวายบังคมพลัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ปิ่นปักนัคเรศรังสรรค์ |
ทรงฟังใบบอกออกสำคัญ |
พระทรงธรรม์เคลื่อนคลายพระโกรธา |
เร่งไปเอาขุนแผนอีวันทอง |
ทั้งสองมากูจะดูหน้า |
ตำรวจรับสั่งถอยหลังมา |
พาตัวขุนแผนวันทองไป |
ครั้นถึงบังคมประนมกร |
พระเคืองค้อนหาทอดพระเนตรไม่ |
ขุนแผนอ่านมนตร์เคยสนใจ |
เป่าไปด้วยเชื่อวิทยา |
บันดาลพระทัยให้เคลื่อนคลาย |
เบือนบ่ายพระพักตร์ผันหา |
อ้ายผัวเมียสองคนพ้นปัญญา |
ลักกันเข้าป่าไม่กลัวใคร |
กลับมาให้การแก้ว่าแม่ยาย |
ยักย้ายให้ลูกมีผัวใหม่ |
เมียมึงเหมือนว่าฤๅกะไร |
จะสู้เขาได้ฤๅจึงมา ฯ |
๏ ขุนแผนแสนสุภาพกราบกราน |
ขอพระราชทานจริงเหมือนอย่างว่า |
ถ้าวันทองนี้มิใช่ภรรยา |
สืบหาไม่สมดังให้การ |
เกล้ากระหม่อมยอมถวายซึ่งชีวิต |
ตามผิดอย่าไว้ให้สังหาร |
ทูลแล้วบังคมก้มกราบกราน |
อยู่ตรงหน้าฉานพระทรงธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบใจความที่ข้อขัน |
กูจะดูมันสู้เนื้อความกัน |
ถ้าใครแพ้จะฟันให้หนำใจ |
ที่มึงฆ่าอ้ายขุนเพชรขุนราม |
ความผิดทั้งนี้กูยกให้ |
ด้วยมิได้คิดคดขบถใจ |
ถอดมันออกให้สู้ความกัน |
พระหมื่นศรีรับสั่งบังคมลา |
พาทั้งสองมาขมีขมัน |
ให้ถอดตรวนผัวเมียเสียฉับพลัน |
แล้วสั่งตำรวจนั้นให้เร่งไป |
ถึงเมืองสุพรรณอย่าทันช้า |
เอาตัวขุนช้างมาให้จงได้ |
ตำรวจขี่ม้ามาทันใจ |
ใกล้บ้านขุนช้างเข้าทันที ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง |
นอนครางอยู่ในห้องให้หมองศรี |
แต่วันทองจากไปได้เกือบปี |
ไม่มีเพื่อนนอนสะท้อนทุกข์ |
มิได้นอนค่อนคืนตื่นสะดุ้ง |
ใกล้รุ่งก่อนไก่ไม่พักปลุก |
กระทั่งถูกฟูกหมอนเหมือนไฟลุก |
แต่เวียนจุกประจุบันทุกวันคืน |
ขณะเมื่อวันทองมาถึงกรุง |
ตลอดรุ่งหลับใหลมิได้ตื่น |
วันนั้นฝันว่าไปตัดฟืน |
น้ำตื้นลุยปะสระหนึ่งโต |
เห็นดอกบัวบานตระการตา |
เกสรครํ่าคร่ากลีบกลวงโหว่ |
จะถอนเอาไม่ถนัดขัดต้นโพธิ์ |
โงหน้าสะดุ้งพอรุ่งราง |
คิดถึงความฝันก็พรั่นอก |
ให้วิตกนิ่งนึกอางขนาง |
ฤๅจะได้กับวันทองน้องนาง |
เกสรร่วงกลวงกลางเพราะชู้ชม |
มันให้คิดวุ่นวายมาหลายวัน |
วันนั้นตะวันบ่ายชายร่ม |
ออกมาหอนั่งเล่นพอเย็นลม |
อารมณ์นึกคะนึงถึงวันทอง ฯ |
๏ ครานั้นจึงนายพันธการ |
ถึงสุพรรณรีบผ่านบ้านช่อง |
ลงม้าหน้าประตูดูเยี่ยมมอง |
เห็นขุนช้างนั่งร้องสักระวา |
ครวญถึงวันทองได้สองคำ |
กลอนผิดติดซ้ำอยู่หนักหนา |
จะลงเอยเลยเลี้ยวไปหลายครา |
คอยท่าให้เอยจนอ่อนใจ |
ขี้คร้านรั้งรอก็เข้ามา |
ขุนช้างทักว่าจะไปไหน |
พันธการบอกพลันทันใด |
เขาได้ตัวขุนแผนวันทองมา |
ให้การแนบเนียนเป็นเสี้ยนหนาม |
จะเป็นความในวังรับสั่งหา |
ไปเสียด้วยกันทันเวลา |
อย่าช้าบัดนี้จงรีบไป ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง |
ทราบว่าได้นางดังเกิดใหม่ |
ผุดลุกขึ้นโลดโดดดีใจ |
วิ่งแร่เข้าไปที่ในเรือน |
ไขกำปั่นเปิดหาผ้านุ่งห่ม |
เรียกข้าระงมอยู่ป่นเปื้อน |
น้ำใจโชติช่วงดังดวงเดือน |
เบือนหน้ามาสั่งกับข้าไท |
อยู่หลังระวังซึ่งบ้านช่อง |
ข้าวของออเจ้าเอาใจใส่ |
สั่งแล้วลุกมาด้วยทันใด |
ขึ้นช้างวางไปอยุธยา ฯ |
๏ ครั้นถึงปลงช้างไว้ทันใด |
อาบน้ำสำราญใจแล้วผลัดผ้า |
เดินตามพันธการลนลานมา |
ขึ้นบนศาลาลูกขุนใน |
เห็นขุนนางน้อยใหญ่ที่อยู่นั่น |
แลเลยไปหาทันเห็นเมียไม่ |
หลีกแทรกแหวกคนด้นเข้าไป |
นั่งไหว้พระหมื่นศรีผู้ปรีชา |
ขุนแผนวันทองก็อยู่นั่น |
ขุนช้างถลันขึ้นนั่งหน้า |
ไหว้พลางทางถามเนื้อความมา |
คุณเจ้าขาเมียฉันอยู่แห่งไร |
พระหมื่นศรีชี้บอกว่านั้นแน |
จะเป็นวันทองแน่ฤๅมิใช่ |
ขุนช้างเหลียวหน้าตาแลไป |
ดีใจผวาคว้าวันทอง |
วันทองหวีดว้ายตะกายอก |
ขุนแผนชกเงื้อศอกแล้วซ้ำถอง |
ถีบไถลไปพลันเข้ากันน้อง |
ขุนช้างร้องบอกกล่าวมี่ฉาวไป |
โอ้ว่าอนิจจาเจ้าวันทอง |
ให้ชู้ถองแล้วมิหนำซ้ำผลักไส |
เจ้าสิ้นรักหักเด็ดกระเด็นไป |
พี่อาลัยมิได้ลืมสักเวลา |
นี่จะมีลูกเต้าเจ้าวันทอง |
สำคัญฤๅว่าท้องมาแต่ป่า |
เมื่อเจ้าอยู่ในห้องของพี่ยา |
เจ้าก็ขาดระดูมากว่าเดือนปลาย |
พี่ฝันสำคัญว่าได้แหวน |
รังแตนรุ้งไฟไม่สลาย |
บริสุทธิ์บุตรเราจะเป็นชาย |
เมื่อเจ้าพรากจากกายพี่แพ้ท้อง |
ข้าวปลาราน้ำไม่กินได้ |
เสียใจเพราะเจ้าจนเศร้าหมอง |
มันให้อยากส้มมะขามผักหนามดอง |
เห็นหน้าน้องวันนี้พี่ดีใจ |
ขอเชิญเจ้าไปเรือนอย่าเชือนช้า |
ผัวหาตีด่าวันทองไม่ |
พลางคว้าข้อมืออย่าถือใจ |
วันทองผลักไสอยู่ไปมา ฯ |
๏ พระหมื่นศรีตวาดอ้ายชาติถ่อย |
ช่างสำออยอ้อยอิ่งไม่อายหน้า |
คราวโกรธราวกับไฟไหม้หลังคา |
มุทะลุดุด่าจนน่ากลัว |
ไหนมึงว่าแค้นวันทองนัก |
ได้มาแล้วไม่รักจะตัดหัว |
ตามของดอกไม่ต้องธุระตัว |
ครั้นเห็นหน้าตามัวก็ลืมแค้น |
มึงกลอกกลับอย่างนี้อ้ายขี้ครอก |
จึงถูกเข่าถูกศอกจนหงายแหงน |
เจรจาว่าเล่นไปตามแกน |
แคะแค่นค่อนว่าจะพาไป |
ไม่รู้ฤๅจะถามความรับสั่ง |
มึงจะรั้งคนกลางไปข้างไหน |
เร่งหานายประกันมาทันใด |
ผู้คุมเหวยรับไว้ทั้งสามรา ฯ |
๏ ครั้นว่าได้เพลามาพร้อมกัน |
ลูกขุนทั้งนั้นก็พร้อมหน้า |
ผู้คุมก็คุมคู่ความมา |
คัดข้อฟ้องหาแล้วถามไป |
ขุนช้างหาว่านางวันทอง |
ได้สู่ขอหอห้องมารดาให้ |
ซัดน้ำสวดมนต์คนแจ้งใจ |
ขุนแผนแก้ไขว่าไม่รู้ |
ขุนช้างอ้างสืบสักขีพยาน |
ชายหญิงชาวบ้านได้เห็นอยู่ |
ข้อหนึ่งขุนช้างได้เลี้ยงดู |
เป็นคู่ร่วมเรือนกับวันทอง |
อยู่มาประมาณสองเดือนปลาย |
วันทองน้องหายไปจากห้อง |
เก็บเอาทรัพย์สินเงินทอง |
ข้าวของผ้าผ่อนไปมากมาย |
ครั้นตามไปพบที่ต้นไทร |
ขุนแผนคุมโจรไพรไว้มากหลาย |
เห็นวันทองนอนเรียงอยู่เคียงกาย |
จึงรู้ว่าชายชู้จู่ลักไป |
สอบขุนแผนพลันมิทันช้า |
ขุนแผนแก้ว่าหามิได้ |
ขุนช้างอ้างพยานไปทันใด |
สอบข้ออื่นไปมิได้ช้า |
ข้อหนึ่งขุนแผนกับโจรไพร |
เข้าไล่ห้ำหั่นฟันฆ่า |
ขุนเพชรขุนรามก็มรณา |
ขุนแผนรับว่าข้อนี้จริง |
ข้อหนึ่งขุนแผนกับโจรป่า |
ปลูกตำหนักพลับพลาทำสุงสิง |
เห็นขุนช้างเข้าไปก็ไล่ยิง |
ผูกมัดรัดพิงกับต้นไม้ |
เฆี่ยนด้วยหนามหวายลายจนแขน |
ขุนแผนแก้ว่าหามิได้ |
ขุนช้างเวียนวนให้จนใจ |
ระบุไปว่าจะอ้างไม่มีคน |
ด้วยวิ่งแยกแตกทัพยับย่อย |
อาศัยรอยที่หลังยังปี้ป่น |
ขอพิสูจน์ลงดำที่น้ำวน |
สิ้นฟ้องแต่ต้นตลอดปลาย |
จึงคัดคำให้การมิทันช้า |
ข้อคดีมีมาเป็นมากหลาย |
ขุนแผนตัวดีมีแยบคาย |
อ่านมนตร์สนธยายอัดทวาร |
เป่าต้องขุนช้างเข้าหว่างอก |
เหงื่อตกอกใจให้ฟุ้งซ่าน |
หน้าแดงแสยงขนลนลาน |
ขอประทานฉานไม่สบายใจ |
เวียนหัวยิ่งยวดปวดท้องขี้ |
จะแก้ความวันนี้เห็นไม่ได้ |
มันให้อัดพลุ่งพลุ่งพุงพองไป |
งดไว้พรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ ฯ |
๏ พระหมื่นศรีว่านี่ความรับสั่ง |
จะแกล้งรั้งความไว้ให้เกิดวุ่น |
ใครจะงดกดไว้ให้เจ้าคุณ |
อ้ายขุนแม่ตั้งไม่ฟังมัน |
ขุนช้างตาพองร้องแรก |
ขี้จะแตกทนได้ที่ไหนนั่น |
แน่นอัดจะขอผัดไปสักวัน |
ไม่ฟังกันแล้วก็ตามจะถามไป |
ผุดลุกขยับขึ้นจากที่ |
เป็นตายจะไปขี้ให้จงได้ |
ขุนแผนว่าประทานฉานติดใจ |
โจทก์จะหลบหนีไปได้บัญชา |
ขุนช้างอึดอัดให้ขัดใจ |
พอก้าวไปขี้ทะลักออกราดผ้า |
เป็นชามชามปามลงกลางศาลา |
คนฮาแตกเอนระเนนไป |
ลูกขุนวุ่นวิ่งทั้งศาลา |
เหม็นกว่าขี้หมาอ้ายหน้าไพร่ |
ขุนช้างแลดูเมียยิ่งเสียใจ |
ขี้ไหลทรุดนั่งลงทั้งยืน |
โอ้ว่าเจ้าวันทองน้องแก้ว |
ขี้เปื้อนผ้าแล้วสิ้นทั้งผืน |
ช่วยทุเลาผัวบ้างพอค้างคืน |
ชื่นใจแล้วก็ไม่ทุเลาเลย |
ลุกมาจะคว้าเจ้าวันทอง |
ออกอิกกองหนึ่งแล้วแก้วแม่เอ๋ย |
พระหมื่นศรีร้องมาว่าฮ้าเฮ้ย |
เฉยเสียทีเดียวเจียวผู้คุม |
ผู้คุมตำรวจมารวดเร็ว |
เข้าฉวยฉุดบั้นเอวอยู่เกลื่อนกลุ้ม |
ผลักออกจากศาลาหน้าชุมนุม |
วิ่งกุมเรี่ยราดพรูดพราดมา |
ครั้นถึงตลิ่งวิ่งลงสะพาน |
โผนทะยานโดดน้ำลงต้ำฉ่า |
ดำมุดผุดโผล่เหมือนโลมา |
วิ่งขึ้นหน้าท่าของยายมี |
ยายมีร้องมาว่าอะไร |
กระสือฤๅมิใช่เหม็นกลิ่นขี้ |
ขุนช้างร้องฮ้ายยายอัปรีย์ |
วิ่งรี่เข้ามาศาลาใน |
ผลัดผ้ามานั่งใกล้จำเลย |
ลูกขุนเงยหน้าเหม็นไม่ทนได้ |
กลิ่นมันพ้นกำลังนั่งกลั้นใจ |
ให้เสมียนเขียนถามเนื้อความพลัน |
ข้อหนึ่งขุนแผนให้การว่า |
ได้สู่ขอมารดาเป็นแม่นมั่น |
แต่ยังชื่อพิมอยู่เป็นชู้กัน |
ศรีประจันยกให้ได้แต่งงาน |
ได้อยู่ภิรมย์ประสมสอง |
จนมีทัพเชียงทองไปจากบ้าน |
ขุนช้างแก้ไขมิได้นาน |
ขอประทานข้อนี้ฉันไม่รู้ |
สอบขุนแผนอ้างสักขีพยาน |
ชายหญิงชาวบ้านได้เห็นอยู่ |
ข้อหนึ่งกองทัพกลับพรั่งพรู |
เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา |
ขุนแผนก็กลับขึ้นไปบ้าน |
ขุนช้างทำหักหาญเป็นหนักหนา |
ปลูกหอขอพิมเป็นภรรยา |
ซ้ำทำชู้เมียข้าก็ขัดใจ |
สอบขุนช้างพลันมิทันช้า |
ขุนช้างแก้ว่าหามิได้ |
ขุนแผนอ้างหญิงชายทั้งหลายไป |
ยกข้อความใหม่ออกถามพลัน |
ข้อหนึ่งถึงขุนแผนไม่ร้องฟ้อง |
เป็นเมียของขุนแผนนั้นแม่นมั่น |
มารับก็กลับไปด้วยกัน |
แต่ข้าวของทั้งนั้นไม่เอาไป |
ขุนช้างตาเขียวเหลียวมา |
ขัดใจแก้ว่าหามิได้ |
ขุนแผนว่าจะอ้างเป็นกลางไพร |
ระบุไปขอต่อซึ่งข้อนี้ |
ข้อหนึ่งขุนช้างตามนางไป |
จะไล่ฟันขุนแผนให้เป็นผี |
ขัดใจจึงได้เข้าต่อตี |
ถ้อยทีถ้อยฟันกันในไพร |
ขุนช้างไม่รับสิ้นทั้งข้อ |
ขุนแผนว่าจะต่อก็ต่อได้ |
คัดเอาสำนวนทวนต่อไป |
ชี้สองสถานไว้ตามอัยการ |
รับในสำนวนควรฟังได้ |
ที่ข้อต่องดไว้ไม่ว่าขาน |
ขออ้างให้ดำเนินเชิญพยาน |
เทียบผูกมินานหยิกเล็บไว้ |
แล้วจดคำให้การนางวันทอง |
ต้องด้วยคำขุนแผนหาผิดไม่ |
แต่ข้อความนั้นแยกแตกออกไป |
ว่ามารดาขืนใจให้แต่งงาน |
ครั้นไม่เข้าหอกดคอตี |
อึงมี่ได้ยินสิ้นทั้งบ้าน |
เมื่อขุนแผนขึ้นไปราชการ |
ขุนช้างมาว่าขานขุนแผนตาย |
เอากระดูกห่อผ้ามาให้ดู |
คนนั่งพรั่งพรูอยู่มากหลาย |
ขุนช้างร้องไปช่างไม่อาย |
กลับกลายทุกอย่างนางวันทอง |
ได้ใหม่ลืมเก่าอีเจ้าเล่ห์ |
ให้การปรวนเปรทำจองหอง |
ลุกขึ้นถกขานัยน์ตาพอง |
ยั่นกูถองเสียให้ยับอีอัปรีย์ |
วันทองร้องบอกกล่าวตระลาการ |
อ้ายขุนหัวล้านทำจู้จี้ |
ข้าพเจ้าให้การพาลจะตี |
มึงช่วยไถ่กูนี้มาเท่าไร |
ผู้คุมเข้าขวางขุนช้างโกรธ |
ลุกโลดผ้าลุ่ยหานุ่งไม่ |
พระหมื่นศรีร้องด่ามาทันใด |
งามทั้งห้าไร่ไอ้ตาลาย |
ผ้าผ่อนล่อนไปก็ไม่นุ่ง |
แลเห็นไส้พุงอ้ายฉิบหาย |
วันทองร้องบอกกล่าวคุณพระนาย |
ขุนช้างทำวุ่นวายฉันมีคำ |
ขุนช้างอดสูดูต้นขา |
นั่งลงฉวยผ้าปากด่าพรํ่า |
จนใจหาไม่เตะคะมำ |
จะเสียเงินสักขันน้ำกูไม่กล้ว ฯ |
๏ พระหมื่นศรีขัดใจว่าไอ้กาก |
ความยากมันจะถึงกะลาหัว |
ไม่รู้จักหนักเบาเมามัว |
ระวังตัวของมึงอย่าอึงไป |
จึงจดถ้อยคำนางวันทอง |
แต่ต้องคำห้ามไม่ฟังได้ |
ว่าหญิงคนกลางกระด้างใจ |
เพราะตกไปที่ผิดไม่คิดกลัว |
รักชู้ก็เข้าไปข้างชู้ |
อยู่กับผัวก็เข้าไปข้างผัว |
จึงมิให้ฟังเอาด้วยเมามัว |
ให้ผูกหยิกเล็บตัวไว้ฉับพลัน ฯ |
๏ ครั้นเวลารุ่งแจ้งแสงสุริยา |
ให้เผชิญพยานมาขมีขมัน |
สามคนคู่ความเดินตามกัน |
ถึงเรือนศรีประจันเข้าทันใด |
ขุนช้างชี้เอาเถ้าศรีประจัน |
งกงันเดินมาหาช้าไม่ |
สาบานแล้วพลันด้วยทันใด |
ขุนแผนร้องติดใจมิได้ช้า |
ว่าเป็นแม่ยายข้างฝ่ายโจทก์ |
แกโกรธชิงชังข้าหนักหนา |
เป็นคนหลงใหลใจฉันทา |
พรากข้าให้พลัดกับวันทอง |
ยกให้ขุนช้างไปชมเชย |
ชอบพูดกับลูกเขยสองต่อสอง |
เป็นโมหจิตรคิดคะนอง |
ให้ลูกเขยนวดท้องอยู่ในเรือน |
จนเป็นมารหัวขนหล่นจากพุง |
ประคบท้องยังรุ่งจนหน้าเฝื่อน |
จอมปลอมผอมแห้งแร้งมาเตือน |
เป็นพยานร่วมเรือนอาสามา |
ศรีประจันฟ้งค้านก็โกรธงก |
นมยานฟัดอกมือชี้หน้า |
เหม่เหม่อ้ายโลนโพนทะนา |
ตระลาการห้ามว่าอย่าอึงไป |
ศรีประจันรับค้านว่าแม่ยาย |
แต่ข้อความทั้งหลายหารับไม่ |
สิ้นคำแล้วสืบคนอื่นไป |
หมดพยานที่ได้เผชิญมา |
สืบสมไปข้างขุนแผนอ้าง |
พยานโจทก์ต้องบ้างไม่แน่นหนา |
ผูกหยิกเล็บพลันพากันมา |
จึงชำระเข้าหาคำพยาน |
ตัดรอนทอนลงกระทงแถลง |
ปรึกษาชี้แจงออกไปศาล |
ตะวันบ่ายพร้อมกันมิทันนาน |
ทั้งท่านพระมหาราชครู |
หลวงญาณประกาศเทพราชธาดา |
พร้อมหน้านั่งฟังใบสัตย์อยู่ |
เชิญบทพระอัยการออกอ่านดู |
ผู้ปรับทั้งคู่อยู่พร้อมกัน |
จะนำความกราบทูลพระทรงชัย |
ให้คุมคู่ความไว้ในวังนั่น |
แล้วให้ไปเกาะศรีประจัน |
แกกลัวตัวสั่นอยู่วุ่นวาย |
เหลียวหน้ามาดูเจ้าขุนช้าง |
พลางด่าอุบอิบอ้ายฉิบหาย |
อ้ายล้านขี้ถ่อยพลอยกูตาย |
ขุนช้างห้ามแม่ยายอย่าอึงไป ฯ |
๏ จวนเวลาพากันเข้าไปเฝ้า |
ทุกเหล่าพระหลวงผู้น้อยใหญ่ |
พระหมื่นศรีได้เวลาก็คลาไคล |
คู่ความอยู่ไหนให้ตามมา |
น่าสงสารท่านยายศรีประจัน |
แกงกงันหอบฮากจนปากอ้า |
ผู้คุมรุมกันเอาตัวมา |
ยายเถ้าขี้ปลาร้ามาไวไว |
ศรีประจันตัวสั่นอยู่งันงก |
เผอเรอเพ้อพกออกเหลวไหล |
นายเสมียนร้องว่าช้าอยู่ไย |
ก็รีบเดินตามไปอยู่ลนลาน |
ครั้นว่ามาถึงทิมดาบใน |
เห็นผู้คนตกใจไส้พุงพล่าน |
ลมจับล้มลงโก้งโค้งคลาน |
ขุนช้างทะยานเข้าบีบคอ |
ไม่ฟังรั้งลงไปไหปลาร้า |
เรอรากปากอ้าตาปอหลอ |
ลุกขึ้นนุ่งผ้าทำหน้างอ |
ร้องขอมะกรูดไปใครเอามา |
วันทองเคี้ยวหมากใส่ปากป้อน |
แกโกรธนักควักค้อนไม่ดูหน้า |
วันทองร้องไม่น่าจะเวทนา |
ขุนแผนเดินเมินหน้าแล้วเลยไป ฯ |
๏ เสด็จออกพากันเข้ามาเฝ้า |
เป็นเหล่าเหล่าขุนนางทั้งน้อยใหญ่ |
ฝ่ายพระองค์ผู้ทรงภพไตร |
สำราญราชหฤทัยเปรมปรีดิ์ |
พระจึงมีสีหนาทประภาษถาม |
ถ้อยความเป็นกะไรจมื่นศรี |
พระหมื่นศรีทูลพลันในทันที |
อันชีวีอยู่ใต้พระบาทา |
ณวันศุกร์เดือนแปดขุนช้างโจทก์ |
ฟ้องหากล่าวโทษใจความว่า |
ได้หาผู้เถ้าผู้แก่มา |
สู่ขอภรรยาชื่อวันทอง |
เถ้าศรีประจันยกลูกให้ |
ทำขันหมากใหญ่ได้ร่วมห้อง |
เป็นคู่ผัวตัวเมียครอบครอง |
ประมาณได้สักสองเดือนตรา |
เที่ยงคืนขุนแผนแสนสะท้าน |
สะกดคนอาจหาญขึ้นเคหา |
ทำชู้ร่วมรักแล้วลักพา |
วันทองภรรยาขุนช้างไป |
ขุนแผนไม่รับในข้อหา |
ว่าหาใช่ภรรยาขุนช้างไม่ |
เดิมวันทองชื่อพิมพิลาไลย |
กับขุนแผนรักใคร่เป็นชู้กัน |
จึงไปสู่ขอต่อมารดา |
ได้เลี้ยงเป็นภรรยาเกษมสันต์ |
นอนหอกับวันทองได้สองวัน |
มีราชการพลันต้องไปทัพ |
ครั้นกลับลงมาแต่เชียงทอง |
เห็นขุนช้างร่วมห้องเข้านอนหลับ |
ขุนแผนไม่ฟ้องปองสินทรัพย์ |
อาลัยเมียก็กลับรับเมียมา |
ขุนแผนนำสืบก็สมอ้าง |
ทั้งต้องคำคนกลางให้การว่า |
ขุนช้างนำเถ้าศรีประจันมา |
ขุนแผนค้านว่าเป็นแม่ยาย |
ลูกขุนปรึกษาให้ลงโทษ |
ว่าเพราะแม่ยายโฉดทำมักง่าย |
ยกลูกให้ครองทั้งสองชาย |
ประจานเถ้าแสนร้ายแทนวันทอง |
ขุนช้างบอกว่าขุนแผนตาย |
จะหมายเมียเขาประสมสอง |
บังอาจรื้อหอเขาเข้าครอบครอง |
ต้องปรับตามบทพระอัยการ |
ให้ยกเอาศักดิ์ขุนแผนปรับ |
เป็นทรัพย์ผิดเมียเสียตามฐาน |
ศรีประจันขุนช้างเป็นคนพาล |
ให้เทียบไถ่ค่าประจานแทนวันทอง |
แล้วให้ทวนขุนช้างศรีประจัน |
ยายกลอยยายสานั้นด้วยทั้งสอง |
ถ้าเจ้าผัวกลัวผิดไม่คิดปอง |
ต้องบทให้เอาสินไหมไป |
ถ้าเจ้าผัวไม่กลัวซึ่งเวรา |
จะฟันฆ่าเสียก็ตามอัชฌาสัย |
วันทองส่งคืนขุนแผนไป |
ตามในพระราชกฤษฎีกา ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร |
ฟังทูลตามคำลูกขุนว่า |
เฮ้ยขุนแผนเป็นกะไรให้ว่ามา |
จะฟันฆ่าอ้ายขุนช้างฤๅอย่างไร |
ขุนแผนแสนสุภาพกราบกราน |
กระหม่อมฉานหาให้เป็นเวรไม่ |
ตามแต่สินไหมแลพินัย |
จะโปรดปรับอย่างไรก็อย่างนั้น ฯ |
๏ พระองค์ทรงฟังขุนแผนว่า |
เออจะเป็นเวราเป็นแม่นมั่น |
เอ็งก็ตรงคงคิดว่ามิตรกัน |
อ้ายชาติชั่วหัวควั่นนี้ใจพาล |
ให้เสร็จความตามแต่ลูกขุนปรับ |
จมื่นศรีเร่งกลับออกไปศาล |
พระหมื่นศรีบังคมก้มกราบกราน |
คลานถอยพ้นหน้าที่นั่งมา |
จึงให้ผู้คุมคุมลูกความ |
เดินตามกันออกมาพร้อมหน้า |
ขุนแผนขุนช้างทั้งสองรา |
ยายกลอยยายสาศรีประจัน |
ครั้นว่ามาถึงซึ่งศาลา |
ผู้คุมพร้อมหน้าอยู่ที่นั่น |
จึงอ่านใบปรับขึ้นฉับพลัน |
พร้อมกันได้ยินสิ้นทุกคน |
ขุนช้างเอาเงินออกนับให้ |
ไถ่โทษทวนได้ไม่ขัดสน |
ศรีประจันงันงกอยู่ลุกลน |
สามคนยายสากับยายกลอย |
นับเงินออกให้ใจจะขาด |
น้ำตาหยาดไหลหลั่งลงผอยผอย |
เขามั่งมีดังสำลีที่เลื่อนลอย |
เราคนจนมาพลอยไปเจียนตาย |
เสียทรัพย์แล้วกลับออกไปบ้าน |
ขุนช้างงุ่นง่านไม่สมหมาย |
กระถดคลานเข้ามาหาพระนาย |
เจ้าคุณช่วยเบี่ยงบ่ายให้ฉันที |
เงินทองเสียไปก็ไม่คิด |
เว้นแต่ชีวิตไม่เป็นผี |
เจ้าคุณได้เมตตาปรานี |
อันตรงที่วันทองต้องขอคืน |
จะแทนคุณครั้งนี้ยี่สิบชั่ง |
ยกทูนหัวตั้งให้พระหมื่น |
ถ้าเจ้าคุณรับได้ให้ยั่งยืน |
อย่าให้กลายเป็นอื่นให้เสียใจ ฯ |
๏ พระหมื่นศรีขัดใจว่าไอ้งั่ง |
ใครจะขืนรับสั่งไปอิกได้ |
อย่ามาตะบอยถอยออกไป |
ขุนช้างจนใจก็ออกมา |
นั่งถอนใจใหญ่ใกล้วันทอง |
ด้วยรักใคร่ใจปองเป็นหนักหนา |
นึกอยากปากพลั้งดังออกมา |
โอ้เจ้าดวงดอกฟ้าของพี่เอย |
ผู้คนหญิงชายทั้งหลายฮา |
โปรดอิกเจ้าข้าพ่อคุณเอ๋ย |
มันช่างเพราะจับใจกะไรเลย |
ขุนช้างทำเฉยเลยกลับไป |
ขุนแผนวันทองแก้วกิริยา |
ชนะความงามหน้าก็ผ่องใส |
พระหมื่นศรีชวนพากันคลาไคล |
รีบไปถึงบ้านเข้าทันที ฯ |