๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช |
มงกุฎเกศอยุธยามหาสถาน |
สถิตแท่นแว่นฟ้าโอฬาฬาร |
พร้อมขนานพระสนมประนมกร |
ครั้นสุริยงลงลับเมรุมาศ |
พระจันทร์ผาดเผ่นจำรัสประภัสสร |
ทรงพระแสงเพชรประดับสำหรับกร |
บทจรออกท้องพระโรงคัล |
แสงประทีปโคมแก้วแววสว่าง |
พวกขุนนางหมอบเฝ้าเป็นเหล่าหลั่น |
พระตรัสความตามอย่างเป็นทางธรรม์ |
แม่นมั่นตามระเบียบโบราณมา |
เบือนพระพักตร์มาพบพระกาญจน์บุรี |
ก็ยิ่งมีพระทัยให้หรรษา |
ด้วยต้องการประทานนางสร้อยฟ้า |
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายกาญจน์บุรี |
อ้ายหมื่นไวยกูก็ให้มียศศักดิ |
พร้อมพรักข้าไทเป็นถ้วนถี่ |
ยังเสียอยู่แต่เมียมันไม่มี |
จะยกอีสร้อยฟ้าให้แก่มัน |
จะให้สมกับที่มีความชอบ |
ให้ประกอบยศยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
เป็นขุนนางไม่มีเมียก็เสียครัน |
จะให้มันมีเมียเสียสักคน ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระกาญจน์บุรี |
อัญชลีกราบงามสามหน |
จึงกราบทูลภูวไนยไปบัดดล |
พระคุณเป็นพ้นคณนา |
แต่ซึ่งจมื่นไวยใช่ตัวเปล่า |
ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา |
เมื่อไปทัพได้กับศรีมาลา |
ลูกยาพระพิจิตรบุรี |
แต่รักใคร่ยังมิได้ทำงานการ |
เขาผ่อนผัดนัดงานมาเดือนสี่ |
ได้ทำหมั้นกันไว้ตามประเพณี |
ขอจงทราบธุลีพระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ได้ฟังขุนแผนนั้นมาทูลว่า |
เมียจมื่นไวยมีชื่อศรีมาลา |
เป็นลูกยาพระพิจิตรบุรี |
จึงตรัสว่าอ้ายพลายงามเป็นหมื่นไวย |
มีเมียมากสักเท่าไรก็ควรที่ |
ได้สักสิบคนนั้นมันยิ่งดี |
จึงสั่งพระยาราชสีห์ด้วยทันใด |
จงมีตราหาตัวพระพิจิตรนั้น |
ทั้งลูกสาวมันมาจงได้ |
จะให้แต่งงานกับอ้ายไวย |
ให้รีบรัดเร่งไปในวันนี้ |
สั่งเสร็จพระเสด็จขึ้นข้างใน |
ขุนนางน้อยใหญ่ลุกจากที่ |
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจักรี |
ออกมานั่งสั่งคดีที่ศาลา |
แต่งตราส่งให้นายสวัสดิ |
เอ็งรีบรัดขึ้นไปพิจิตรหวา |
นายสวัสดิกราบกรานรับสารตรา |
ลงเรือกัญญาโยนยาวไป |
ครั้นว่ามาถึงเมืองพิจิตร |
สมคิดวางตราหาช้าไม่ |
พระพิจิตรต้อนรับฉับไว |
กรมการน้อยใหญ่มาฟังตรา ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุรี |
ฟังตราพระราชสีห์ว่าให้หา |
รู้แจ้งว่าจะแต่งศรีมาลา |
จึงบอกบุตรภรรยาให้เตรียมการ |
พร้อมพรักผู้คนบ่าวข้า |
ลงนาวาถอยออกมาจากบ้าน |
ล่องตรงลงทางบางคลาน |
พ้นผ่านบ้านเมืองเนื่องเนื่องมา |
ถึงกรุงจอดบ้านท่านผู้ใหญ่ |
พระพิจิตรคลาไคลขึ้นไปหา |
เจ้าพระยาราชสีห์ผู้ปรีชา |
บอกกิจจาพระพิจิตรให้แจ้งใจ |
บัดนี้มีรับสั่งให้หามา |
เพราะว่าจะจัดแจงแต่งงานให้ |
ศรีมาลาลูกท่านกับจมื่นไวย |
จงรีบไปพบปะพระกาญจน์บุรี ฯ |
๏ พระพิจิตรรับคำแล้วอำลา |
ตรงมาหาขุนแผนขมันขมี |
ขุนแผนกราบไหว้ด้วยยินดี |
เชิญนั่งที่หอนั่งสั่งสนทนา |
เล่าความตามกระแสแก่พระพิจิตร |
ว่าพระองค์ทรงฤทธินั้นตรัสว่า |
จมื่นไวยไม่มีภรรยา |
จะประทานสร้อยฟ้าแก่หมื่นไวย |
ลูกทูลว่าเมียมีชื่อศรีมาลา |
รับสั่งว่ามีอิกก็มีได้ |
ให้มีตราหาเจ้าคุณมากรุงไกร |
จะโปรดให้แต่งงานศรีมาลา |
มาเกิดเป็นเมียสองไม่ต้องใจ |
จะทานทัดขัดพระทัยก็ไม่กล้า |
คุณพ่อขอจงได้เมตตา |
อย่าว่าลูกกลับกลอกทำนอกใจ ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร |
ว่าพระองค์ทรงฤทธินั้นเป็นใหญ่ |
เราเป็นข้าโปรดมาประการใด |
ก็ต้องแล้วแต่พระทัยพระทรงธรรม์ |
ว่าแล้วสองข้างต่างปรึกษา |
ไปบอกพระไวยมาขมีขมัน |
ลงไปเรือเชื้อเชิญแม่ยายนั้น |
พากันไปยังบ้านจมื่นไวย |
พระพิจิตรบุษบากับลูกรัก |
ก็ขึ้นพักอยู่ที่บ้านประทานใหม่ |
จัดครัวชุลมุนกันวุ่นไป |
ข้าไทอึกทึกทำการงาน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฟ้า |
พระหมื่นศรีลีลามาถึงบ้าน |
ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้นาน |
ก็คิดอ่านจัดแจงแต่งเรือนพลัน |
เอาพรมเจียมเสื่อสาดมาลาดปู |
หมอนอิงพิงอยู่ดูเป็นหลั่น |
ทั้งเครื่องแก้วแถวถั่งตั้งอัฒจันทร์ |
ม่านกั้นแกพับประกับกาง |
อัจกลับใส่ตะเกียงแขวนเรียงไว้ |
ค่ำจะได้จุดไฟให้สว่าง |
ทั้งกระโถนขันน้ำประจำวาง |
พอกลางวันพร้อมเสร็จในทันใด |
พระพิจิตรว่าแก่พระหมื่นศรี |
ท่านปรานีฉันด้วยช่วยแก้ไข |
จะซัดน้ำวันนี้ไม่มีใคร |
วานโปรดให้สาวสาวสักสิบคน |
หล่อนแต่ล้วนชาวในได้เคยเห็น |
แต่พอเป็นเพื่อนสาวกันสักหน |
ได้หุ้มห่อออกไปนั่งฟังสวดมนต์ |
ให้มากมายหลายคนค่อยอุ่นใจ |
พระหมื่นศรีว่าได้เป็นไรมี |
บ่ายวันนี้ดีฉานจะจัดให้ |
สาวสาวบ้านฉันนั้นถมไป |
คุณตาอย่าได้เป็นกังวล ฯ |
๏ ฝ่ายพระไวยอยู่บ้านพระนายศรี |
เลือกมหาดเล็กรูปดีอยู่สับสน |
เอามาเป็นเพื่อนบ่าวได้เก้าคน |
แล้วจัดแจงแต่งตนให้แยบคาย |
จึงอาบน้ำชำระแล้วประแป้ง |
นุ่งยกก้านแย่งดูเฉิดฉาย |
ห่มกรองทองเรืองประเทืองพราย |
ให้พระนายเสมอใจเป็นบ่าวนำ |
เสร็จแล้วออกจากบ้านพระนาย |
ผันผายตามถนนคนดูคล่ำ |
ครั้นถึงก็ขึ้นนั่งฟังพระธรรม |
พระสงฆ์สวดมนต์ร่ำขึ้นพร้อมกัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา |
แต่อยู่กับขุนช้างมาไม่เดียดฉันท์ |
เป็นใหญ่ในบุรีศรีสุพรรณ |
วันนั้นได้ยินข่าวเขากล่าวมา |
ว่าลูกชายพลายงามมีความชอบ |
ได้ประกอบยศศักดิขึ้นหนักหนา |
โปรดปรานประทานนางสร้อยฟ้า |
แล้วจะแต่งศรีมาลาด้วยคราวนี้ |
เป็นผู้ใหญ่จำจะไปช่วยเขาบ้าง |
ให้ขุนนางรู้จักเป็นศักดิศรี |
คิดแล้วก็มาลาสามี |
พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในเมือง |
พระนายพลายงามเขาแต่งงาน |
ฦๅสะท้านทั่วกรุงฟุ้งเฟื่อง |
จะไม่ไปมิดีเป็นทีเคือง |
ไพร่บ้านพลเมืองจะนินทา ฯ |
๏ ขุนช้างได้ฟังนั่งยิ้มแต้ |
เออแม่เจ้าจะไปผัวไม่ว่า |
เขาเป็นนายมหาดเล็กเด็กชา |
เบื้องหน้าจะได้พึ่งเขาขุนนาง |
แม่อย่าไปมือเปล่าเอาเงินทอง |
ข้าวของไปด้วยช่วยเขาบ้าง |
ผัวไม่นิ่งได้เจ้าไปพลาง |
ตัวพี่จะขี่ช้างเข้าไปตาม |
ร้อยชั่งผัวจะสั่งไปหน่อยนะ |
ถ้าพบปะอ้ายขุนแผนมันไต่ถาม |
อย่าพูดจาปราศรัยไอ้บ้ากาม |
ถ้าลวนลามแล้วจงด่าให้สาใจ ฯ |
๏ วันทองบอกว่าอย่าพักสั่ง |
ฉันหานั่งพูดจากับเขาไม่ |
แล้วสั่งข้าหาของข้าวไวไว |
นางเข้าห้องจ้องไขกำปั่นพลัน |
หยิบผ้ายกอย่างดีสีชมพู |
แหวนงูแหวนประดับจับจัดสรร |
เลือกทองลิ่มเอามาสี่ห้าอัน |
ทองนั้นจะได้ให้พระหมื่นไวย |
ผ้ายกอย่างดีสีชมพู |
แหวนงูแหวนประดับไปรับไหว้ |
ตามมีตามจนคนละใบ |
อย่าให้ลูกสะใภ้เขาเย้ยเยาะ |
แล้วให้ขนฟักแฟงแตงร้าน |
ข้าวเม่าข้าวสารลูกตาลเฉาะ |
ทั้งฟักทองเนื้อดีที่กูเพาะ |
อีเจาะไปตัดจัดเอามา |
ให้ข้าคนขนของลงเรือใหญ่ |
บ่าวหลามตามไปอยู่พร้อมหน้า |
วันทองลงเรือได้ไพร่จ้ำมา |
โยนยาวฉาวฉ่าสนั่นไป |
เข้าลัดตัดทางบางยี่หน |
ประเดี๋ยวด้นออกบ้านเจ้าเจ็ดได้ |
ถึงกรุงจอดตะพานบ้านวัดตะไกร |
ให้บ่าวไพร่ขนของขึ้นฉับพลัน |
วันทองเดินหน้ามาตามถนน |
ขึ้นบนเรือนใหญ่พระไวยนั่น |
พระนายน้อมคำนับต้อนรับพลัน |
แล้วเชิญทั่นมารดาเข้าเรือนใน ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา |
ตะวันบ่ายได้เวลาหาช้าไม่ |
บอกเพื่อนสาวที่หาเอามาไว้ |
ได้สิบคนถ้วนล้วนสำอาง |
ให้อาบน้ำทาแป้งแต่งกาย |
นุ่งลายห่มแพรสีต่างต่าง |
ศรีมาลาผัดหน้าเป็นนวลปราง |
นุ่งลายนอกอย่างห่มสีจันทร์ |
จัดแจงผู้ใหญ่ให้เดินหน้า |
พวกเพื่อนสาวตามมาเป็นหลั่นหลั่น |
เอาหนามส้มเสียดผ้ามาคนละอัน |
สำหรับได้ป้องกันเจ้าหนุ่มกวน |
หุ้มห่อกันออกนอกเคหา |
หอมผ้ากลิ่นอบตลบหวน |
ศรีมาลาเดินกลางอย่างกระบวน |
แต่ละหน้าหน้านวลดังนางใน |
ครั้นถึงน้อมนั่งฟังพระธรรม |
พระสดำจับมงคลคู่ใส่ |
สายสิญจน์โยงศรีมาลามาพระไวย |
พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต |
หนุ่มสาวเคียงคั่งเข้านั่งอัด |
พระสงฆ์เปิดตาลปัตรซัดน้ำโร่ |
ปรำลงข้างสีกาห้าหกโอ |
ท่านยายโพสาวนำน้ำเข้าตา |
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม |
เอาหนามส้มแทงท้องร้องอุยหน่า |
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา |
ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้ |
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก |
โอยพ่อขี้จะแตกไม่ทนได้ |
ท่านยายสาเต็มทีลูกหนีไป |
จนพระไวยศรีมาลามาชิดกัน |
ท่านขรัวหัวร่อซัดต่อไป |
พวกผู้ใหญ่หนาวครางจนคางสั่น |
อย่าเติมน้ำอิกเลยเฮ้ยตาจัน |
เต็มทีเท่านั้นเถิดเจ้าคุณ ฯ |
๏ ท่านขรัวหยุดยั้งนั่งนิ่ง |
พวกผู้หญิงต่างลุกเข้าเรือนวุ่น |
แม่ยายจัดผ้าถักตาชุน |
ปักทองสละปะตุ่นกับผ้ายก |
ใส่พานวางไว้ไปจัดแจง |
เครื่องแป้งอย่างดีหวีกระจก |
พัดจันทน์ตลับทองของแถมพก |
ให้คนยกมาให้พระหมื่นไวย |
พวกเจ้าบ่างผลัดผ้ามาแต่งตัว |
ท่านขรัวยถาสัพพีให้ |
ครั้นเห็นได้เวลาก็คลาไคล |
ต่างองค์ต่างไปยังกุฎี |
พวกเจ้าบ่าวเข้าไปในหอนั่ง |
ผู้คนยกโต๊ะตั้งไว้ตามที่ |
ทั้งของเคียงเรียงเรียบเทียบไว้ดี |
มีกระโถนขันน้ำประจำพาน |
ล้วนแต่พานเงินงามรองชามข้าว |
แล้วเชิญท่านเพื่อนบ่าวกินอาหาร |
ครั้นบริโภคอิ่มหนำสำราญ |
แล้วยกโต๊ะของหวานส่งเข้าไป |
ล้วนแต่ของดีดีเทียบสี่ชั้น |
แกล้งประจงจัดสรรขึ้นซ้อนใส่ |
อิ่มสำเร็จยกสำรับกลับเข้าไป |
ข้างในตั้งพานหมากล้วนนากทอง |
สั่งให้ยกสำรับเลวไปเลี้ยงไพร่ |
อิ่มสำราญบานใจสิ้นทั้งผอง |
จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง |
มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ |
ขับกล่อมซ้อมเสียงสำเนียงนวล |
โหยหวนโอดพันสนั่นหอ |
ฆ้องวงหน่งหนอดสอดเสียงซอ |
ระนาดตอดลอดล้อบรรเลงลอย |
แสนเสนาะเสียงสนั่นสนุกสนาน |
วิเวกหวานคร่ำครวญหวนละห้อย |
พระไวยฟังวังเวงเพลงทยอย |
ละเลิงลืมตัวม่อยผอยหลับพลัน ฯ |
๏ ครั้นอุทัยไขประเทืองเรืองจำรัส |
ส่องสว่างกระจ่างจัดแจ่มสวรรค์ |
พวกคนงานต่างลุกขึ้นปลุกกัน |
บ้างจัดสรรเทียบเคียงของเลี้ยงพระ |
บ้างผ่าฟืนตักน้ำตำพริกขิง |
ชุลมุนวุ่นวิ่งออกเอะอะ |
บ้างซาวหม้อก่อไฟใส่ก้นกะทะ |
บ้างยกกระบะหยิบกระบวยล้างถ้วยชาม ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ |
ดิลกลบล้ำเลิศโลกทั้งสาม |
สถิตแท่นสุรกาญจน์ตระหง่านงาม |
หมื่นหม่อมหมอบตามลำดับไป |
ทรงคะนึงถึงพระไวยจะแต่งงาน |
พร้อมข้าราชการทั้งน้อยใหญ่ |
อีสร้อยฟ้านั้นจะช้าไว้ทำไม |
เอาส่งไปให้มันเสียวันนี้ |
ให้พร้อมหน้าขุนนางกลางสนาม |
จะได้งามเป็นสง่าราศี |
ดำรัสสั่งคลังในไปทันที |
ให้เบิกผ้ามายี่สิบสำรับ |
หวีกระจกเครื่องแป้งแต่งให้ครบ |
แหวนมรฑปนพเก้างูประดับ |
พานหมากนากทองสองสำรับ |
กับเงินห้าชั่งทั้งโต๊ะพาน |
มันจะไปให้ขี่วอม่านลาย |
เจ้าขรัวนายช่วยไปส่งให้ถึงบ้าน |
เร่งรีบไปพลันให้ทันการ |
ของประทานให้คนขนตามไป |
แล้วตรัสว่าสร้อยฟ้าอย่าเป็นทุกข์ |
ถ้าเฉินฉุกเบื้องหน้าหาทิ้งไม่ |
ไปเลี้ยงกันให้ดีอย่ามีภัย |
เมื่อทุกข์ยากอย่างไรมาบอกกู ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า |
รับพระราชบัญชาก้มหน้าอยู่ |
น้ำตาไหลหลั่งลงพรั่งพรู |
แข็งใจจำสู้บังคมลา |
เจ้าขรัวศรีสัจจาพาครรไล |
จึงสั่งให้จัดวอมารอท่า |
นางสร้อยฟ้าขึ้นวอลออตา |
เจ้าขรัวนายนำหน้ามาจากวัง |
พวกนางสาวสาวเหล่าโขลนจ่า |
ก็แบกของตามมาข้างภายหลัง |
นางไหมเดินเมียงเคียงระวัง |
เจ้าสร้อยฟ้านั้นนั่งมาในวอ ฯ |
๏ บ้านพระไวยคนผู้อยู่คับคั่ง |
พระสงฆ์นั่งสวดมนต์อยู่บนหอ |
พวกขุนนางน้อยใหญ่ไปช่วยปรอ |
เจ้าเณรตั้งบาตรรออยู่เรียงรัน |
ท่านผู้หญิงวันทองร้องเรียกบ่าว |
ให้คดข้าวขาวขาวสักค่อนขัน |
เอาทารพีตะทองมาสองคัน |
ช่วยกันยกไปวางกลางนอกชาน |
พระหมื่นศรีเข้าเรือนเตือนศรีมาลา |
ออกมาธารณะเสียหน่อยหลาน |
ศรีมาลาอายคนพ้นประมาณ |
แฝงม่านหน้าม่อยไม่ออกมา |
นางวันทองร้องเรียกลูกสะใภ้ |
แม่แข็งใจไปหน่อยนะแม่หนา |
ทำบุญอย่าให้สูญเสียศรัทธา |
แม่จะเป็นเพื่อนพาเจ้าออกไป ฯ |
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา |
ได้ยินแม่ผัวว่าไม่ขัดได้ |
สำลีพันไม้สอยเช็ดรอยไร |
สอดใส่สร้อยทรงกะทัดรัด |
รู้จัดแจงแป้งผัดพอเรื่อเรื่อ |
ดังนวลเนื้อในผิวใช่นวลผัด |
ใส่แหวนมรฑปนพรัตน์ |
ห่มผ้าอัตลัดนุ่งริ้วทอง |
งามทรงสมหน้าสง่างาม |
เดินตามแม่ผัวออกนอกห้อง |
นางเม้ยรับเคียงข้างคอยประคอง |
นางเยื้องย่องประจงทรงกายา |
เดินออกนอกชานสะท้านใจ |
พระหมื่นไวยตักข้าวไว้คอยท่า |
แล้วส่งคันทารพีให้ศรีมาลา |
พอสบตาเจ้าก็ม่อยละมุนลง |
ศรีมาลาอายใจมิใคร่จะรับ |
วันทองจับข้อศอกคอยเสือกส่ง |
แต่พอกุมเข้าด้วยกันให้มั่นคง |
ประคองค่อยเทลงในบาตรพลัน ฯ |
๏ ศรีมาลากับพระไวยยังใส่ค้าง |
พอวอวางเข้ามาขมีขมัน |
พระหมื่นไวยเรียกหาบิดาพลัน |
ให้เชิญทั่นท้าวนางไปข้างใน |
เจ้าสร้อยฟ้าถึงบ้านแหวกม่านมอง |
เห็นผัวเมียเขาประคองขันข้าวใส่ |
ให้เคืองขุ่นงุ่นง่านทะยานใจ |
แล้วกัดฟันมั่นไว้ไม่วุ่นวาย ฯ |
๏ พระกาญจน์บุรีมารับเจ้าสร้อยฟ้า |
กับเถ้าแก่โขลนจ่าสิ้นทั้งหลาย |
นำหน้าพานางย่างเยื้องกราย |
เชิญขรัวนายไปนั่งข้างหลังโน้น |
ใส่บาตรแล้วศรีมาลาเข้ามาเรือน |
พระไวยเตือนสำรับเลี้ยงจ่าโขลน |
ชุลมุนแม่ครัววิ่งหัวโดน |
จัดสำรับจับกระโถนขันน้ำวาง |
ข้างฝ่ายในไว้ธุระพระกาญจน์บุรี |
จัดแจงมิให้มีที่ขัดขวาง |
พระหมื่นศรีคอยระวังข้างขุนนาง |
พระพิจิตรจัดข้างเลี้ยงพระเณร |
ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วลูกศิษย์ถ่าย |
ถวายจีวรเนื้อดีย้อมสีเสน |
พระพิจิตรจัดกระจาดอังคาสประเคน |
พอจวนเพลพระก็ลาไปอาราม ฯ |
๏ จะกลับกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง |
พอเรื่อรางแสงทองผ่องอร่าม |
สั่งให้ผูกช้างงาสง่างาม |
เชือกพวนล้วนดามผ้าแดงดี |
สั่งแล้วอาบน้ำชำระกาย |
เยื้องกรายเข้าไปจับกระจกหวี |
ให้คิดแค้นใจตัวหัวอัปรีย์ |
วิ่งไปสีเอามินหม้อมาพอแรง |
ปนเข้ากับน้ำมันแล้วปั้นปีก |
ยังไม่ดำซ้ำอีกออกเป็นแสง |
แต่สิ้นมินหม้อกว่าฝาหอยแครง |
แล้วลุกมาทาแป้งเข้าเป็นฟาย |
นุ่งยกอย่างโบราณก้านแย่ง |
ห่มส่านสีแดงดูเฉิดฉาย |
ดูตะวันพอสว่างขึ้นช้างพลาย |
บ่าวไพร่มากมายตามพรูมา ฯ |
๏ ขุนช้างไสช้างมาเงิ่นเงิ่น |
โด่งเดินชิดเฉียดเข้าชายป่า |
อ้ายเถ้าบัวหัวล้านเป็นควาญมา |
บ่าวข้าตามแน่นแล่นปะเลง |
ข้ามหนองขึ้นเนินดุ่มเดินหรับ |
เหงื่อซับโซมตัวหัวใสเหน่ง |
อ้ายเถ้าล้านควาญท้ายย้ายตามเพลง |
คร่อมท้ายตะโพ้งเก้งตีตะโพง |
ขุนช้างขี่คอกรายขอเกราะ |
ไสช้างเหยาะเหยาะยักเอวโหยง |
ตัดลงตรงกรุงออกทุ่งโทง |
หัวเป็นเงาโง้งโงกเงกมา |
ตัดลงกบเจาเอาช้างข้าม |
เข้าบ้านมหาพราหมณ์เลี้ยวข้างขวา |
ตรงเข้าภูเขาทองเดินท้องนา |
ถึงกรุงศรีอยุธยาพอกลางวัน ฯ |
๏ ขุนช้างวางขึ้นบนหอกลาง |
พร้อมหน้าขุนนางอยู่ที่นั่น |
ขุนนางที่รู้จักทักทายกัน |
พระไวยผันหน้าค้อนด้วยคิดอาย |
ตั้งสำรับเรียงรอบนหอกลาง |
เลี้ยงขุนนางมหาดเล็กสิ้นทั้งหลาย |
ทั้งของเคียงเรียงรินสุราราย |
ขุนช้างซัดส่านกรายนั่งสุดคน |
วางใหญ่ใส่ซ้ำล้วนสามทับ |
จับตาซ่าซ่านทุกเส้นขน |
ปะหมูไก่ใส่สิ้นกินออกซน |
กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นเป็นแป้งไป |
พวกขุนนางเขายุว่าจุ้นจ้าน |
ยิ่งทะยานยงโย่ยกโถใส่ |
ฉวยกระโถนปากแตรแร่ออกไป |
ครอบหัวเข้าไว้เดินเก้กัง |
มือปิดก้นป้องหน้าทำตาปรือ |
เฮ้ยใครดูกูคือท้าวกุฏฐัง |
พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง |
ลุกขึ้นซัดเซซังสิ้นสมประดี ฯ |
๏ วันทองได้ยินฮาออกมาดู |
แสนอดสูดังจะแทรกแผ่นดินหนี |
ออกจากห้องร้องตวาดชาติอัปรีย์ |
ช่างทำได้ไม่มีละอายใจ ฯ |
๏ ขุนช้างฟังเมียว่าทำตาปรือ |
อออือเออข้าหาอายไม่ |
ลุกขึ้นเต้นตึกตักทำหนักไป |
แม่เจ้าไวยช่วยมาเป็นวานรินทร์ |
พี่จะเป็นเจ้าขรัวหัวละมาน |
หางพานตีนหดไปหมดสิ้น |
พี่เคยเป็นตัวนายหลายแผ่นดิน |
แล้วแลบลิ้นเกาขาคว้าวันทอง ฯ |
๏ วันทองผลักไสพระไวยด่า |
มาเรียกข้าว่าเจ้าไวยไอ้จองหอง |
นี่คิดอยู่ข้างหนึ่งจึงลำพอง |
หาไม่กูกดคอถองให้แทบตาย ฯ |
๏ ขุนช้างกำลังเมายืนเกาก้น |
ทุดอ้ายหมาด่าคนเล่นง่ายง่าย |
จองหองจะถองกูฤๅอ้ายพลาย |
ฤๅเชื่อเช่นว่าเป็นนายมหาดเล็ก |
อ้ายชาติอกตัญญูไม่รู้คุณ |
คือใครแคะค่อนขุนมาแต่เด็ก |
ด่าทอพ่อได้อ้ายใจเจ๊ก |
เมื่อเล็กเล็กใครเลี้ยงมึงเป็นตัว ฯ |
๏ พระไวยได้ฟังขุนช้างด่า |
โกรธาตัวสั่นให้คันหัว |
อ้ายล้านจะประจานให้เจ็บตัว |
วาจาชั่วถอดชื่อกูขุนนาง |
เอาละเป็นไรก็เป็นไป |
ขัดใจกำหมัดซัดปากผาง |
วันทองร้องหวีดวิ่งเข้ากลาง |
ขุนช้างล้มคว่ำคะมำไป ฯ |
๏ พวกขุนนางเข้ายึดอยู่อึดอัด |
พระไวยขัดใจด่าไม่ปราศรัย |
วันทองร้องไห้งอว่าพ่อไวย |
อย่าถือใจคนเมาเลยเจ้าคุณ |
ประทานโทษโปรดเถิดพ่อทูนหัว |
ไม่รู้ตัวเต็มประดาจึงว้าวุ่น |
พ่อเงือดงดอดใจจะได้บุญ |
จงอย่าหุนหันเห็นแก่มารดา ฯ |
๏ พระไวยขัดใจว่าเพราะแม่ |
ทำอย่างนี้มีแต่จะขายหน้า |
นี่หากจิตคิดถึงซึ่งมารดา |
หาไม่ไม่คารนากับฝีมือ ฯ |
๏ พระกาญจน์บุรีชี้หน้าว่าวันทอง |
อ่อน้องเจ้าเป็นวานรินทร์ฤๅ |
ช่างไม่อายไม่เจ็บเท่าเล็บมือ |
แค่นมาโลมให้เขาฦๅเล่นกลางคน |
ผัวเจ้าดูถูกด่าลูกข้า |
ช่างไม่ว่าห้ามปรามกันสักหน |
เขาทำผัวตัวเต้นเป็นชักยนต์ |
แต่ลูกชายอายคนนั้นทำเนา ฯ |
๏ วันทองแค้นขัดสะบัดหน้า |
เอาจะฆ่าก็ฆ่าเสียเถิดเจ้า |
หลับหูหลับตามาว่าเดา |
คือใครเล่าเขาโลมให้คนฦๅ |
คะข้าแลอีวานรินทร์โขน |
เป็นคนโลนเคยเล่นไม่เห็นฤๅ |
พูดเหมือนลูกเล็กเล็กเด็กอมมือ |
นี่คนดีเจียวยังดื้อเป็นคนเมา |
ซึ่งว่าชังลูกนักรักสามี |
ข้าเห็นดีด้วยเจ้าช้างเมื่อไรเล่า |
มิควรหมิ่นเขาก็หมิ่นเพราะกินเมา |
เขาต่อยเอาก็พอสมกับหน้าคน ฯ |
๏ ฝ่ายนายขุนช้างค่อยสร่างมึน |
ลุกขึ้นถกเขมรเพียงง่ามก้น |
ชี้หน้าว่าเฮ้ยอ้ายทรชน |
ต่อยกูปากป่นเพราะตึงตัว |
มึงเหมือนทรพีอ้ายขี้ข้า |
มาไล่ขวิดบิดาบังเกิดหัว |
เมื่อน้อยน้อยยังจะนึกรู้สึกตัว |
กูจิกหัวมึงไปควั่นเอาขอนทับ |
มิเชื่อพ่อก็อ้ายพลายคลำท้ายทอย |
ที่ริมไรนั้นเป็นรอยไม้ซีกสับ |
กูคิดว่าจะฉิบหายตายลี้ลับ |
มิรู้กลับมาได้ทำดุดัน ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยครั้นได้ฟัง |
ลำเลิกถึงความหลังแค้นตัวสั่น |
ษมาแม่แร่ขึ้นบนหอพลัน |
ดิฉันบอกกล่าวท่านทั้งปวงไว้ |
อ้ายใจยักษ์หักคอคนทั้งเป็น |
เพราะบุญมีหนีเร้นจึงรอดได้ |
เหน็บรั้งจังก้าเรียกข้าไท |
เอาหวาอย่าไว้ชีวิตมัน |
พวกทนายหนุ่มหนุ่มเข้ารุมถอง |
เอาจนร้องไม่ออกศอกกลุ้มสัน |
ถีบตกลงดินดิ้นยันยัน |
พวกขุนนางกางกั้นเกะกะไป ฯ |
๏ วันทองโผนโจนจากหอนั่งมา |
วิ่งผวากอดผัวทอดตัวไห้ |
นิ่งแน่แลเห็นไม่หายใจ |
นางร้องไห้โฮโฮโอ้พ่อคุณ |
ทั้งนี้รักเมียจึงมาช่วย |
จนมาม้วยบรรลัยอยู่ใต้ถุน |
เขาทุบดังทุบปลาไม่การุญ |
พ่อสิ้นบุญเสียแล้วกระมังนา |
ให้คนหามไปวางไว้กลางบ้าน |
บ้างทะยานขึ้นเหยียบสองต้นขา |
จะนวดฟั้นเท่าไรไม่ลืมตา |
วันทองทอดกายากับสามี |
โอ้พ่อร่มโพธิเตี้ยของเมียแก้ว |
พ่อตายแล้วเมียเห็นจะเป็นผี |
อันจะหาน้ำใจในบุรี |
เห็นสิ้นดีอยู่เพียงพ่อโพธิทอง |
แต่อยู่มาเป็นสิบห้าสิบหกปี |
คำน้อยหนึ่งไม่มีให้เมียหมอง |
เมื่อคลอดลูกหนุนหลังนั่งประคอง |
เห็นเมียร้องพ่อก็ร่ำพิไรวอน |
เมื่อคราวเมียจับไข้ไม่กินข้าว |
พ่อนั่งเฝ้าเคียงคอยตะบอยป้อน |
เห็นเมียไม่หลับใหลก็ไม่นอน |
ครั้นหน้าร้อนพ่อก็พัดกระพือลม |
หน้าหนาวหนาวแล่นตลอดอก |
พ่อกอดกกให้นอนซ้อนผ้าห่ม |
ครั้นหน้าฝนฝนฝอยลงพรอยพรม |
ให้อยู่ร่มปิดรอบหน้าต่างเรือน |
อันชายใดในพื้นปัถพี |
การรักเมียแล้วไม่มีเสมอเหมือน |
ถึงรูปชั่วใจช่วงดังดวงเดือน |
นี่กรรมเตือนให้ตามเมียมาตาย |
อนิจจาเมื่อมาผัวเป็นเพื่อน |
กลับไปเรือนแต่ตัวดูผัวหาย |
ร่ำพลางกลิ้งเกลือกลงเสือกกาย |
ดังจะวายชีวังไปทั้งเป็น |
ครั้นโศกคลายคลำผัวตัวยังอ่อน |
เทพจรเบื้องหลังยังริกเต้น |
ทรวงอกอุ่นคลายค่อยหายเย็น |
เอ๊ะเห็นฤทธิเมาค่อยเบาบาง |
สั่งบ่าวให้เอาน้ำร้อนรด |
ลูบหมดไปทั้งกายให้หายสร่าง |
จะกรอกปากไม่ถนัดคัดลูกคาง |
ประเดี๋ยวครางออกมาได้หายใจแรง ฯ |
๏ ขุนช้างฟื้นพลันกัดฟันเกรี้ยว |
โกรธาตาเขียวร้องเสียงแข็ง |
เฮ้ยที่กูจะไม่ว่ามึงอย่าแคลง |
จะสู้ซนชนกำแพงกว่าจะตาย |
ถึงตัวกูบรรลัยกระดูกร้อง |
อันจะถองเล่นเปล่าเปล่าเจ้าอย่าหมาย |
มึงพวกมากฝากไว้เถิดอ้ายพลาย |
ถ้าเจ้านายไม่เลี้ยงก็แล้วไป |
ตัวสั่นเทาเทาเรียกบ่าวข้า |
จูงมือเมียมาจากบ้านใหญ่ |
แม่กลับบ้านก่อนอย่าร้อนใจ |
ผัวจะไปคอยเฝ้าเจ้าชีวิต |
วันทองร้องไห้พิไรห้าม |
จะเกิดความเพ็ดทูลไม่กลัวผิด |
คราวนี้เขาโปรดปรานเชี่ยวชาญชิด |
จงหยุดยั้งชั่งจิตให้จงดี |
ขุนช้างว่าถ้าพี่ไม่เมาแล้ว |
น้องแก้วอย่าปรารมภ์ที่ตรงพี่ |
ให้เมียมาสุพรรณในทันที |
ฝ่ายขุนช้างวางรี่เข้าวังใน ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ |
ครั้นเสื่อมคลายวายวิวาทค่อยผ่องใส |
พวกขุนนางต่างคนต่างลาไป |
พระไวยมานั่งที่ท้าวศรีสัจจา |
เจ้าขรัวนายว่าองค์พระทรงเดช |
โปรดเกศตรัสใช้ให้พวกข้า |
พานางนารีศรีสร้อยฟ้า |
ออกมาส่งให้พระนายไวย ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยเจ้าพลายงาม |
ฟังความยินดีจะมีไหน |
น้อมกายกราบถวายบังคมไป |
แล้วสั่งให้ตอบแทนพวกท้าวนาง |
คุณท้าวเจ้าขรัวศรีสัจจา |
ให้ผ้าส่านขาวดอกกับนอกอย่าง |
ให้พวกจ่าตานกแก้วกับขาวบาง |
พวกโขลนเลวลายฉลางกับริ้วญวณ |
นางสาวสาวที่มาตามสามสิบห้า |
แพรผ้าให้จบจนครบถ้วน |
ผู้น้อยผู้ใหญ่ให้งามตามสมควร |
แล้วก็ชวนกันลาเข้ามาวัง ฯ |
๏ พระนายจัดแจงแต่งเคหา |
ให้สร้อยฟ้าอยู่ครองนั้นสองหลัง |
มีม่านฉากชั้นกั้นกำบัง |
เตียงนอนเตียงนั่งห้องอาบน้ำ |
แบ่งปันกันกึ่งครึ่งเคหา |
มิให้พวกศรีมาลามากรายกล้ำ |
ทำฝารอบขอบชิดปิดงำ |
ให้อยู่จำเพาะพวกเจ้าสร้อยฟ้า |
ครั้นงานเสร็จแล้วก็แจกพวกวิเสท |
ทั้งเงินตราผ้าขาวเทศถ้วนหน้า |
มิให้เขาติฉินนินทา |
จนชั้นข้าในเรือนก็ให้ทาน ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพระพิจิตรบุษบา |
ครั้นงานแล้วจะลาขึ้นไปบ้าน |
เข้ามาหาพระไวยไชยชาญ |
ว่าราชการบ้านเมืองนั้นมากมาย |
จะไว้ใจหลวงปลัดกรมการ |
ครั้นนานก็จะพากันฉิบหาย |
พ่อแม่ขึ้นมาลาพระนาย |
แต่ไม่วายทำวนด้วยศรีมาลา |
แต่เกิดมาไม่เคยพรากจากอก |
มาตกอยู่เมืองใต้ไกลหนักหนา |
ถ้าพลาดพลั้งยั้งคิดถึงบิดา |
อนาถาไร้ญาติขาดพงศ์พันธุ์ |
อนึ่งพระไวยเดี๋ยวนี้มีเมียสอง |
เห็นจะต้องหวงหึงเป็นแม่นมั่น |
กลัวจะตั้งหัวคณะระรานกัน |
พ่อจงหมั่นตรองดูอย่าวู่วาม |
อันจตุระเคหาภิริยาสอง |
ดูเห็นต้องสุภาษิตประดิษฐห้าม |
ไหนจะมีความสบายพ่อพลายงาม |
ต้องว่าความเมียรักนั้นร่ำไป |
ลูกข้าพร้าคัดปากพูดไม่ออก |
อยู่บ้านนอกไม่ทะเลาะกับใครได้ |
เพื่อนฝูงเขาด่าว่ากะไร |
ก็เอาแต่ร้องไห้ไม่เถียงเป็น |
เหมือนช้างกล้าป่าเดียวมีสองตัว |
สองเมียร่วมผัวคงเกิดเข็ญ |
ใครเงอะงั่งก็จะนั่งน้ำตากระเด็น |
พ่อจงเป็นตราชูดูให้ดี ฯ |
๏ ครานั้นโฉมพระนายพลายงาม |
ฟังความประนมก้มเกศี |
เจ้าคุณจงไปให้สวัสดี |
อันตรงที่ศรีมาลาอย่าพรั่นท้อ |
ถึงลูกอ่อนไม่ฉลาดจะพลาดผิด |
ฉันคงคิดถึงคุณแม่แลคุณพ่อ |
ฉันรักคนที่ไม่มากปากสอพลอ |
อันคนฉอดพลอดผลอไม่พอใจ |
เจ้าประคุณการุญเป็นหนักหนา |
ฉันหาลืมวาจาที่ว่าไม่ |
ทั้งอุปถัมภ์พ่อแม่มาแต่ไร |
จะสนองคุณไปดังสัญญา ฯ |
๏ เออพ่อกตัญญูรู้จักคุณ |
โมทนาบุญแล้วนะพ่อหนา |
ค่อยอยู่เถิดแม่พ่อจะขอลา |
แล้วลุกมาหาลูกด้วยทันที |
ครั้นถึงส้วมสอดกอดลูกแก้ว |
พ่อจะลาเจ้าแล้วอย่าหมองศรี |
จงตั้งใจจงรักภักดี |
ฝากตัวสามีเจ้าสืบไป ฯ |
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา |
กอดตีนบิดาเข้าร้องไห้ |
ฉวยลำบากยากเย็นจะเห็นใคร |
พ่อแม่อยู่ใกล้ได้ดูแล |
ถึงผัวจะรักสักเท่าไร |
ก็ยังไม่เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ |
ถ้าเธอไม่เป็นธรรม์จะผันแปร |
ตั้งแต่จะระกำทุกค่ำคืน ฯ |
๏ ครานั้นท่านยายบุษบา |
ปลอบลูกสาวว่าอย่าสะอื้น |
พ่อแม่ก็ได้สั่งไว้ยั่งยืน |
หม่อมหมื่นเธอก็รับปฏิญาณ |
แต่ใจแม่นี้ยังกริ่งอยู่สิ่งหนึ่ง |
กลัวจะหึงกันวุ่นวายอายชาวบ้าน |
อันเมียสองต้องห้ามตามโบราณ |
เป็นกับใครก็รำคาญไม่เว้นคน |
แม่สอนเจ้ามาแต่น้อยกว่าร้อยพัน |
สุดสำคัญแต่เพียงอดนั้นเป็นต้น |
อย่าทำชั่วเพราะว่าตัวของตัวจน |
เขาเปรียบเทียบจงสู้ทนต้องเกรงกลัว |
ใครจะด่าเจาะจังก็ชั่งเขา |
จงอดเอาอย่าสำออยคอยฟ้องผัว |
อันคนดีนานดอกจึงออกตัว |
ถ้าคนชั่วเขาคงเห็นเป็นไปเอง |
จงอุตส่าห์เสงี่ยมค่อยเจียมตน |
อย่าให้คนทั้งปวงล่วงข่มเหง |
จงซื่อตรงต่อผัวรู้กลัวเกรง |
อย่าครื้นเครงด่าว่ากับข้าไท |
ปรนนิบัติอย่าให้ขัดน้ำใจเขา |
การเรือนการเหย้าเอาใจใส่ |
ข้าวของสารพันหมั่นเก็บไว้ |
ระวังระไวดูแลอย่าแชเชือน |
สอนลูกแล้วบอกอีเม้ยรับ |
สั่งกำชับอีจูจงอยู่เพื่อน |
ทั้งอีมีอีรักช่วยตักเตือน |
เอ็งเป็นคนต้นเรือนมาแต่ไร |
แล้วเรียกข้าผู้ชายที่ใช้ชิด |
ชื่ออ้ายทิดกับอ้ายเต่าเอาไว้ให้ |
เฮ้ยพลัดบ้านเมืองมาอย่าไว้ใจ |
ฉวยเกิดเหตุเภทภัยอย่าทิ้งนาย |
ว่าพลางส้วมสอดกอดลูกแก้ว |
แม่จะลาเจ้าแล้วตะวันสาย |
แล้วลุกลงเรือนมาทั้งตายาย |
พระนายก็ตามส่งลงนาวา |
พระกาญจน์บุรีศรีมาลามาส่งพ่อ |
น้ำตาคลอไหลซาบลงอาบหน้า |
นั่งชะแง้แลตามจนสุดตา |
ลับแหลมแล้วก็มายังห้องนอน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมจมื่นไวย |
จำเดิมได้อยู่ครองสองสมร |
น้ำใจช่วงตละดวงศศิธร |
สถาพรพูนสวัสดิ์ทุกเวลา |
ครั้นสิ้นแสงสุริยงอัสดงดับ |
ลดลับเหลี่ยมพระเมรุภูผา |
พระจันทรจรแจ้งกระจ่างตา |
ดวงดาราไพโรจน์จำรัสแพรว |
เสียงเรไรหริ่งหริ่งนิ่งนอนวัน |
เสนาะนักจักจั่นสนั่นแจ้ว |
หิ่งห้อยพรอยพราวดูวาวแวว |
อยู่ที่แถวไม้กระถางวางเป็นทิว |
แมลงผึ้งคลึงเคล้าเอาเกสร |
ภุมรินบินร่อนมาลิ่วลิ่ว |
เรณูฟูฟ่องละอองปลิว |
พระไวยฉิวฉุนคิดถึงสองนาง |
โอ้ว่าปานฉะนี้ศรีมาลา |
จะนิทรานิ่งนึกคะนึงหมาง |
ว่าพี่นี้คลายรักหักใจจาง |
จะระคางขุ่นแค้นไม่ขาดคิด |
นึกฤๅหนึ่งเล่าเจ้าสร้อยฟ้า |
นิทราอยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าจิต |
อนึ่งนางยังไม่เคยชายเชยชิด |
จะไปก่อนเล่าก็คิดถึงศรีมาลา |
วันเมื่อจะพรากจากพิจิตร |
เจ้าก็คิดขอสัตย์ไว้หนักหนา |
แต่อักอ่วนป่วนใจอยู่ไปมา |
จนเวลาเยื้องเยี่ยมสองยามปลาย |
พระจันทร์ตรงทรงกลดอยู่หมดเมฆ |
อดิเรกแพร้วพร่างกระจ่างฉาย |
พระหมื่นไวยอาบน้ำชำระกาย |
แล้วผันผายเข้าห้องของศรีมาลา |
เห็นขวัญอ่อนนอนนิ่งสนิทหลับ |
อัจกลับแสงส่องต้องนวลหน้า |
งามทรงสมศรีกิริยา |
เป็นนวลปลั่งดังทาน้ำยาทอง |
พระไวยคิดพิศวาสเพียงขาดจิต |
เข้าแนบชิดทรุดลงประจงต้อง |
ลูบไล้ทั้งหลับประคับประคอง |
ไฉนน้องเจ้าจึงนิ่งสนิทนอน ฯ |
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา |
ลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากหมอน |
เห็นพระนายนึกแค้นด้วยแสนงอน |
คมค้อนเบือนหน้ามาพาที |
หม่อมขามาไยจนค่อนคืน |
หลับได้ตื่นแล้วฤๅจึงมานี่ |
เมื่อจะมาลาหล่อนแต่โดยดี |
ฤๅหล่อนหลับลอบหนีมากระมัง ฯ |
๏ อนิจจาแก้วตาของพี่เอ๋ย |
อย่างอนว่าไปเลยเจ้าร้อยชั่ง |
จริงจริงนะจะเล่าให้เจ้าฟัง |
เมื่อกี้นั่งเล่นอยู่ที่หอกลาง |
พระพายพัดหอมหวนรัญจวนใจ |
ก็เพลินชมมิ่งไม้ในกระถาง |
ครั้นหาวนอนแล้วจึงจรมาหานาง |
ไม่ควรคลางแคลงคำระกำใจ |
เมื่อจากมาวันนั้นได้สัญญา |
หาทำหยามข้ามหน้าของน้องไม่ |
นี่เปล่าเปล่าเดาว่าน่าน้อยใจ |
มาปรับไหมจูบนางข้างละที ฯ |
๏ ไฮ้หม่อมอย่ามาเล่นฉันเช่นนั้น |
ไม่น่าขันมาปล้ำทำจู้จี้ |
นี่แลโจรจับได้ไม่เฆี่ยนตี |
ถ้าเบาไม้แล้วไม่มีที่จะรับ |
กระนั้นสิหม่อมหมื่นจึงขึ้นหน้า |
เหตุว่าเขาขี้คร้านจะไปจับ |
เชื่อว่าใครไม่เห็นเป็นที่ลับ |
จึงแกล้งกลับมาพาโลทำโพคลุม |
หม่อมขาอย่ามาทำจำใจอยู่ |
ด้วยรูปฉันมันไม่สู้จะชวยชุ่ม |
ที่น่าพูดจงไปพลอดนั่งกอดกุม |
ที่น่าจูบจงไปจุ้มอยู่จนจาง ฯ |
๏ ชะคารมคารี้เจ้าศรีมาลา |
ช่างเจรจาตัดพ้อเล่นทุกอย่าง |
พี่ยอมแพ้แล้วไม่แก้สำนวนนาง |
พลางก็กางมือกอดไว้กับกาย |
เกิดโกลาฟ้าลั่นสนั่นเสียง |
เปรี้ยงเปรี้ยงอสนีคะนองสาย |
พิรุณโรยโปรยสาดกระเซ็นปราย |
พระพายพัดพ่างเพียงพิภพพัง |
ลั่นพิลึกครึกครื้นคลื่นละลอก |
แฉะกระฉอกฟองเฟอะขึ้นฟูมฝั่ง |
ตลิ่งกระทบกลบกระแทกกระเทือนดัง |
พอฝนถั่งลมก็ถอยผอยนิทรา ฯ |