๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าเณรแก้ว |
พอแสงทองผ่องแผ้วพระเวหา |
คิดคะนึงถึงพิมนิ่มนวลตา |
ล้างหน้าแล้วก็นุ่งสบงพลัน |
ห่มดองครองคาดราตคด |
พร้อมหมดแบกบาตรแล้วผายผัน |
ดูทุกตรอกซอกละเมาะเสาะสำคัญ |
เข้าในเมืองสุพรรณด้วยทันใด |
มินานถึงบ้านท่าพี่เลี้ยง |
เดินเมียงชม้ายตาอัชฌาสัย |
เห็นม้าตั้งอยู่ยังไม่มีใคร |
ก็หยุดยืนสำรวมใจจะดูที ฯ |
๏ ครานั้นนางพิมนิ่มน้อง |
อยู่ในห้องกับนางสายทองพี่ |
จัดแจงข้าวปลาทารพี |
ยังไม่มีพระสงฆ์องค์ใดมา |
เปิดหน้าต่างนางพิมเจ้าแลดู |
เห็นเจ้าเณรยืนอยู่ไม่เงยหน้า |
ห่มดองครองแนบกับกายา |
สีกาสาว์จับเนื้อดังนวลจันทร์ |
เดชะพระเวทวิทยามนตร์ |
เพอิญดลใจพิมให้ป่วนปั่น |
ห่มผ้าคว้าขันข้าวบาตรพลัน |
กับสายทองพากันก้าวลงมา |
เปิดประตูอาดเดินนาดกราย |
เณรพลายได้ยินก็เงยหน้า |
พิมน้อยชม้อยพอปะตา |
ก็รู้ว่าเณรแก้วผู้แววไว |
หลบมิดสะกิดพี่สายทอง |
ไฮ้น้องนี้ไม่ลงไปใส่ได้ |
เห็นหน้าเณรพลายฉันอายใจ |
ส่งขันข้าวบาตรให้สายทองมา |
สายทองย่างย่องขยับยิ้ม |
นางพิมหลบเหลื่อมเข้าแอบฝา |
เณรแก้วประสิทธิ์วิทยา |
เป่ามหาละลวยลมประสมนาง |
บันดาลซ่านเสียวสวาดิพิม |
ยืนยิ้มปิ้มจะแล่นลงไปล่าง |
สายทองประคองขันข้าวบาตรพลาง |
วางลงยกมือไหว้เจ้าเณรพลาย |
เณรแก้วลดบาตรลงจากบ่า |
ฉันบุกมาบิณฑบาตจนพานสาย |
ไทยทานบ้านอื่นก็เรียงราย |
ไม่รักรับรีบหมายจำเพาะมา |
เป็นเหตุก็เพราะเทศน์เมื่อวานนี้ |
เจ้ากัณฑ์หนีนึกสำคัญว่าเคืองข้า |
จะใคร่แจ้งคดีที่สีกา |
ทั้งจะใคร่สนทนาด้วยพี่นาง |
สายทองยกของใส่บาตรเณร |
พ้นเพลแล้วนิมนต์มาบ้านบ้าง |
สงบกังวลไว้ในใจพลาง |
ใส่บาตรแล้วก็ย่างขึ้นบันได |
เณรแก้วคลาศแคล้วออกจากรั้ว |
แฝงตัวจะดูพิมพิสมัย |
นางพิมเยี่ยมหน้าทอดตาไกล |
แลไปนอกรั้วเห็นเณรพลาย |
เณรกอดบาตรชิดทำปริศนา |
นางพิมยิ้มหลบหน้าเข้ามาหาย |
เจ้าเณรเดินตามทางย่างกราย |
ไม่ว่างวายแต่คะนึงถึงพิมน้อย |
ยิ่งไกลบ้านก็ให้พล่านให้พลุ่งจิตร |
ยิ่งคิดคิดหลงเหลียวอยู่บ่อยบ่อย |
เอะสายสายทองจะปองคอย |
ก็รีบรอยมายังวัดป่าเลไลย |
ยกบาตรไปอังคาสพระอาจารย์ |
คลานมาเปลื้องผ้าหาช้าไม่ |
ปรนนิบัติมิให้ขัดเคืองใจ |
ฉันแล้วเข้าในที่นอนครวญ ฯ |
๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย |
กำเริบใจไหวหวั่นให้ปั่นป่วน |
เห็นสายทองใส่บาตรทำนาดนวล |
รีรวนรอช้าอยู่ว่าไร |
พยักหน้าสายทองเข้าห้องนอน |
อ้อนวอนกระซิบถามความสงสัย |
ไปใส่บาตรช้านานประการใด |
ข้าเห็นปากไบ่ไบ่กับเณรพลาย |
สายทองว่าพี่พูดอะไรมี |
ไปกินข้าวเสียกับพี่ตะวันสาย |
พร้อมกันปั่นฝ้ายให้สบาย |
ตะวันบ่ายพี่จะพาไปอาบน้ำ |
ถึงข้าวจะให้กินไม่ยินดี |
ไม่บอกจะเซ้าซี้ให้ยังคํ่า |
เห็นยืนยิ้มพรายพูดกันหลายคำ |
แต่เพียงนี้พี่ยังอำไม่บอกกัน |
เมื่อเปล่าๆ พี่จะเดาไปไหนได้ |
ถ้าจริงจะบอกให้ไม่เดียดฉันท์ |
เจ้ากูว่าแต่มานี่ไกลครัน |
แต่เท่านั้นเจ้ากูก็กลับไป |
เถอะแล้วไปเถิดไม่บอกข้า |
เบื้องหน้าคงจะรู้หามิดไม่ |
แล้วลุกออกจากห้องด้วยหมองใจ |
นางไม่กินข้าวด้วยสายทอง |
ต่างคนกินเสร็จสำเร็จอิ่ม |
นางพิมฉวยไนเข้าในห้อง |
ปั่นฝ้ายข้าไทอยู่ก่ายกอง |
จนบ่ายสองโมงแล้วก็เสร็จพลัน |
ต่างคนต่างจัดพัดด้าย |
สายทองเตือนน้องขมีขมัน |
ไปอาบน้ำให้สบายบ่ายลงครัน |
นางพิมว่าฉันไม่รักไป |
สายทองปลอบวอนชะอ้อนว่า |
ไปตีนท่าเถิดจะบอกอะไรให้ |
อย่ามาหลอกจะบอกฉันทำไม |
เต็มใจไว้เถิดแต่คนเดียว |
ข้าร้อนนะอย่างอนประชดให้ |
จะอาบนํ้าก็ไม่ไปเฝ้าโกรธเกรี้ยว |
เต็มใจอะไรข้าว่าไปเจียว |
เจ้ากูเกี้ยวข้าแล้วฤๅเณรพลาย |
ไม่ไปนะเจ้าอย่าเซ้าซี้ |
ไม่พอที่ที่จะช้าตะวันบ่าย |
สายทองจากห้องย่องเยื้องกราย |
บ่าวไพร่ทั้งหลายก็ตามมา |
อีไทอีพรมอีส้มแป้น |
อีแตนตามสายทองไปตีนท่า |
ลงอาบนํ้าดำเล่นเป็นโกลา |
เล่นหาเล่นไล่กันพัลวัน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรพลาย |
ตะวันชายบ่ายเยื้องพระสุริย์ฉัน |
แสนคะนึงถึงพิมนิ่มนวลจันทร์ |
ได้สำคัญไว้จากนางสายทอง |
ปานนี้พิมพี่จะลงท่า |
จะไปหาให้พบประสบสอง |
คิดแล้วหยิบผ้ามาห่มดอง |
ย่องลงบันไดไปสุพรรณ |
ถึงบ้านพิมเข้าพลันมิทันช้า |
ตรงลงไปท่าทันใดนั่น |
เข้าแอบซุ่มพุ่มไม้ได้สำคัญ |
พวกข้าไททั้งนั้นไม่เข้าใจ |
เห็นสายทองสีตัวอยู่ริมตลิ่ง |
เอาดินทิ้งแล้วกระแอมพยักให้ |
สายทองย่องมาหาไวไว |
ก็พากันหลีกไปให้ลับคน |
ครั้นถึงจึงนั่งลงทันใด |
ที่ร่มริมโศกใหญ่ข้างใต้ต้น |
เป็นเซิงซุ้มพุ่มรอบดูชอบกล |
เบื้องบนดอกย้อยระย้าบาน |
เณรแก้วยิ้มแล้วจึงปราศรัย |
ขออภัยเถิดอย่าว่าข้าหักหาญ |
เณรน้องปองป่วนมิควรการ |
แต่ทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน |
แสนยากที่จะพากจะเพียรผ่อน |
ให้หยุดหย่อนร้อนรนเป็นพ้นกลั้น |
มาพบพี่ก็เป็นที่สำคัญครัน |
ข้าหมายมั่นจะมอบชีวาลัย |
อันเณรน้องเหมือนกระต่ายหมายชมจันทร์ |
อยู่ดินฤๅจะดั้นขึ้นไปได้ |
แต่ตรอมตรอมผอมร่างก็บางไป |
ด้วยทางไกลกลางหาวเมื่อคราวปอง |
ได้องค์อินทร์แลจะสิ้นสำเร็จตรม |
จะได้ชมกระต่ายสวรรค์จันทร์ผยอง |
อินทราอุปมาเหมือนสายทอง |
พิมน้องเหมือนกระต่ายในวงจันทร์ |
มาพึ่งพิงถ้าไม่ทิ้งธุระน้อง |
คงเป็นสองกระต่ายชมสมสวรรค์ |
จะขอบคุณที่การุญให้ครามครัน |
กว่าชีวันฉันจะวอดชีวาวาย |
พี่เอ็นดูช่วยชูให้น้องชื่น |
ให้คลายคืนโศกแสนนั้นเสื่อมหาย |
เหมือนชุบชีพอย่าให้รีบถึงเรือนตาย |
เณรพลายนี้ไม่พลั้งไม่แพลงคำ |
แต่วันนี้จนพี่สายทองตาย |
น้องนี้หมายจะโอบอุ้มอุปถัมภ์ |
พูดไว้ฉันใดจงจดจำ |
กำหนดแน่อยู่ไม่พล้ำไม่พลั้งเลย ฯ |
๏ สายทองเมินหน้าว่าไม่ฟัง |
จะพาหลังลายแล้วพ่อแก้วเอ๋ย |
จะชักสื่อสู่หาข้าไม่เคย |
หมายเชยเห็นจะชวดแล้วน้องเณร |
ท่านเจ้าขุนมุลนายก็ร้ายกาจ |
ฉวยพลั้งพลาดสิจะฉาวเป็นกราวเขน |
ไปว่าวอนเกลือกหล่อนไม่อ่อนเอน |
เหมือนตระเวนตัวไว้ไม่ต้องการ |
ไหนจะด่าโด่งดังหลังจะลาย |
เณรพลายก็รำเล่นนอกม่าน |
ไม่ควรทำข้าไม่ทำให้รำคาญ |
มิใช่คนสำหรับวานของเณรพลาย |
จะเกรงบ้างเป็นไรกับสายทอง |
นินทาน้องให้พี่ฟังเล่นง่ายง่าย |
ได้เมตตาเถิดอย่าให้ข้าอาย |
ข้าตายเถอะเหมือนแกล้งมาฆ่ากัน |
แยบคายเอากระต่ายมากล่าวถ้อย |
ว่าพิมน้อยเหมือนกระต่ายในสวรรค์ |
จะพึ่งพักยักว่าสารพัน |
ไม่เคยเห็นกระต่ายจันทร์เป็นสองตัว |
ถ้าอินทราพากระต่ายให้หายโศก |
ทุกแหล่งโลกก็จะฉินว่าอินทร์ชั่ว |
ดวงจันทร์ผันผยองจะหมองมัว |
ข้ากลัวเสียแล้วเณรอย่าเจรจา |
เนื้อมิได้กินมั่งหนังมิได้ปู |
กระดูกจะแขวนคออยู่เหมือนตัวข้า |
เจ้าได้พิมก็จะยิ้มอยู่อัตรา |
ต้องถูกด่าก็จะอายแต่สายทอง |
เหมือนตีงูมิได้สู่กันแกงกัน |
กาเหยี่ยวเฉี่ยวบินไปคล่องคล่อง |
แต่นี้ไปพ่ออย่าได้คะนึงปอง |
มิใช่ของควรประคิ่นของกินตาย ฯ |
๏ นิจจาไม่เวทนาสีกาพี่ |
ทุกวันนี้เณรน้องคะนึงหมาย |
รักพี่มิได้มีอารมณ์คลาย |
พี่สายทองทิ้งน้องเสียกลางทาง |
เด็ดปลียังมีซึ่งใยเยื่อ |
ได้มาพึ่งแล้วก็เผื่อฉันไว้บ้าง |
ได้พิมเชยฤๅจะเลยทิ้งพี่นาง |
ก็เหมือนอย่างหว่านข้าวลงในดิน |
ถึงนํ้าท่าฟ้าฝนจะแห้งแล้ง |
อย่านึกแหนงว่าจะสูญเสียหมดสิ้น |
แต่ชั้นชั่วถึงว่าตัวมิได้กิน |
นกหกผกผินได้เป็นทาน |
ถ้าหม่อมพี่มีคุณแก่ฉันเล่า |
เห็นจะเปล่าเจียวฤๅน้องมาอยู่บ้าน |
คงจะแทนคุณพี่มิได้นาน |
ให้สมานเสมอพิมผู้นิ่มนวล |
เงินทองของกินสิ้นทั้งนั้น |
จะแบ่งปันคนละครึ่งพอกึ่งส่วน |
ปรานีน้องสายทองช่วยชักชวน |
พอได้พิมจะประมวลสินบนมา |
ถ้วนชั่งตั้งให้พี่สายทอง |
แต่สักเฟื้องหนึ่งน้องไม่ขอว่า |
คํ่าลงพี่จงสนทนา |
ถึงเวลาบิณฑบาตจะคอยฟัง ฯ |
๏ รักจริงฤๅเจ้าเณรจะแกล้งรัก |
เห็นหนักนักนีดเน้นเข้าเป็นชั่ง |
ข้ากลัวแต่ได้คนสินบนยัง |
จะร้องทวงโด่งดังก็ใช่ที |
ถ้าจริงจังดังนั้นเจ้าเณรแก้ว |
มายื่นแมวยื่นหมูให้รู้ที่ |
เจ้ารักษาสัตย์ไว้ให้จงดี |
พรุ่งนี้เจ้าเณรมาฟังดู |
เณรแก้วรับคำแล้วอำลา |
สายทองกลับมาไม่หยุดอยู่ |
ข้าไทตามหลังมาพรั่งพรู |
เณรแก้วก็ไปสู่อารามพลัน ฯ |
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาทิพากร |
ศศิธรเลื่อนลิ่วปลิวสวรรค์ |
ดิเรกดาวขาวกระจ่างดังกลางวัน |
ทรงกลดจรจรัลกระจ่างดวง |
สายทองชวนน้องให้ชมจันทร์ |
ผิวพรรณไพโรจน์โชติช่วง |
ผ่องแสงแจ้งงามดังเงินยวง |
ไยจึงหวงกระต่ายไว้ในวงจันทร์ |
ร้อยปีก็มิได้จะไปไหน |
เหดุใดขังขึงอยู่รึงมั่น |
แต่เห็นมาไม่รู้ว่ากี่พันวัน |
ดูเดือนก็ยิ่งพรั่นอยู่ในใจ |
เหมือนหนึ่งเราพี่น้องทั้งสองคน |
จนเหมือนกระต่ายจันทร์ไม่ไปได้ |
ไร้คู่อยู่กับฟ้าสุราลัย |
กระต่ายไพรพรํ่าแลทุกเวลา |
พี่รักเจ้าฟักฟูมอุ้มประคอง |
จนพิมน้องจำเริญวัยขึ้นใหญ่กล้า |
ทั้งเป็นญาติเป็นทาสท่านช่วยมา |
กลัวอาญากลัวอายเสียดายตัว |
อนิจจาเกิดมาเสียทั้งชาติ |
เป็นอันขาดแล้วไม่รู้ว่าลูกผัว |
ดังแหวนทองผ่องศรีไม่มีมัว |
จนแต่หัวพลอยประดับประดาดี |
พี่รักเจ้าจึงเฝ้าลำบากนัก |
แม้นมิรักก็จะเตร่เที่ยวเร่หนี |
ถึงจับมาฆ่าเสียก็ตามที |
มิตายก็คงจะรอดตลอดไป |
ทั้งนี้พี่ยากก็เพราะเจ้า |
ด้วยยังหามีเหย้ามีเรือนไม่ |
พี่จึงต้องรักษาเป็นตาใจ |
คุณผู้ใหญ่ก็ชราลงทุกวัน |
เหมือนดังไม้ใกล้ฝั่งจะพังล้ม |
พี่ปรารมภ์ร้อนใจให้พรั่นพรั่น |
ถ้าสิ้นบุญคุณแม่ศรีประจัน |
สารพันจะกระจัดกระจายไป |
ชายหนุ่มก็จะกลุ้มกันดูถูก |
ด้วยว่าลูกนั้นหาพ่อหาแม่ไม่ |
พี่คิดพรํ่าคํ่าเช้าให้เศร้าใจ |
ฤๅกะไรแม่คิดดูแต่ดี |
ถ้าได้คู่สู่สมเมื่อแม่ยัง |
เห็นมั่งคั่งสืบสายเป็นเศรษฐี |
อายุคนนี้จะนานสักกี่ปี |
พี่ว่านี้แม่จะเห็นประการใด ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง |
ยังแน่นอนอยู่หาพลั้งหาพล้ำไม่ |
โต้ตอบคดีพี่เลี้ยงไป |
น้องนี้ไม่คิดเลยพี่สายทอง |
ธรรมดาเกิดมาเป็นสตรี |
ชั่วดีคงได้คู่มาสู่สอง |
มารดาย่อมอุตส่าห์ประคับประคอง |
หมายปองว่าจะปลูกให้เป็นเรือน |
อนึ่งเราเขาก็ว่าเป็นผู้ดี |
มั่งมีแม่มิให้ลูกอายเพื่อน |
จะด่วนร้อนก่อนแม่ทำแชเชือน |
ความอายจะกระเทือนถึงมารดา |
ถ้าสิ้นบุญคุณแม่มิได้แต่ง |
จะพลิกแพลงไปก็ตามแต่วาสนา |
จะด่วนร้อนก่อนแม่ไม่เข้ายา |
ใช่ว่าจะไร้ชายที่ชอบพอ |
ถ้ารูปชั่วตัวเป็นมะเร็งเรื้อน |
ไม่เทียมเพื่อนเห็นจะจนซึ่งคนขอ |
ถ้ารูปดีมีเงินเขาชมปรอ |
ไม่พักท้อเลยที่ชายจะหมายตาม |
อดเปรี้ยวกินหวานตระการใจ |
ลูกไม้ฤๅจะสุกไปก่อนห่าม |
มีแต่แป้งแต่งนวลไว้ให้งาม |
ร้อนใจอะไรจะถามทุกเวลา |
ทุกข์ใหญ่เหมือนไฟอยู่ในอก |
ไหม้หมกก็ไหม้อยู่ในหน้า |
ถ้ายามอยากอยู่เหมือนเรากินข้าวปลา |
ถึงกระนั้นจะว่าก็สมควร |
มาชมจันทร์เล่นด้วยกันสบายใจ |
พี่พูดอะไรเช่นนั้นให้ปั่นป่วน |
ถ้ารักนวลสงวนหน้าไว้ให้นวล |
อย่ามากวนข้าไม่พูดไม่พอใจ ฯ |
๏ นึ่ใครกวนชวนแม่ให้มีผัว |
คิดถึงตัวใช่จะชักจะสื่อให้ |
ฤๅอยู่มาแต่ก่อนร่อนชะไร |
พี่ได้ว่ากล่าวอะไรมี |
หาวนอนไปนอนเสียเถิดฤๅ |
จูงมือพิมน้อยไปในที่ |
ส้วมสอดกอดรัดแล้วพัดวี |
นอนเถิดพี่จะกล่อมให้พิมนอน |
โอ้ว่าสงสารกุมารเอ๋ย |
กะไรเลยเตร็ดเตร่เที่ยวเร่ร่อน |
ไม่คิดยากหมายฝากชีวาวอน |
ต่างเมืองอุตส่าห์จรกระเจิงมา |
อกจะหักด้วยความรักไม่เหมือนคิด |
หมายมิตรก็ไม่สมปรารถนา |
จึงหลีกเลี่ยงเลยลัดเข้าวัดวา |
ทรมาบวชเบื่อระบมใจ |
อนึ่งวัดกับบ้านก็พานห่าง |
ไกลทางเที่ยวบิณฑบาตได้ |
พอเห็นสีกาแล้วกลับไป |
แสนอาลัยระลึกทุกเวลา |
พ้นเพลเณรน้อยเข้ามาเล่า |
ซบเซาซ่อนอยู่ที่หน้าท่า |
ไม่มีใครที่จะได้สนทนา |
แต่เวียนมามิได้เหนื่อยอนาถใจ |
เสียดายรูปซูบโศกด้วยแสนรัก |
จะปลํ้าปลักทนทุกข์ไปถึงไหน |
โอ้พิมนิ่มเนื้อนวลละไม |
นอนนะแม่นอนในที่นอนนาง |
โอละเห่โอละช้าพ่อเณรแก้ว |
หลับแล้วฤๅสายทองจะนอนบ้าง |
กล่อมพลางนางพัดให้พิมพลาง |
กางกรกอดพิมยิ้มละไม ฯ |
๏ นางพิมว่าไฮ้พี่สายทอง |
กล่อมน้องเอาเณรมาใส่ให้ |
ลงไปใส่บาตรกันไม่ทันไร |
หลงใหลไปแล้วฤๅสายทอง |
เมื่อเช้าน้องถามไม่อยากรับ |
ไม่ทันจับเดี๋ยวนี้ออกให้คล่องคล่อง |
ไปอาบนํ้าเห็นจะพบสบทำนอง |
ล่องนํ้าฤๅจึงช้ากว่าทุกวัน |
อย่านอนใกล้ไปเสียให้พ้นมุ้ง |
ไม่ทันรุ่งข้าขี้คร้านทำนายฝัน |
แม่คุณต่อจะวุ่นวันนี้ครัน |
จะละเมอกอดกันให้ตกใจ ฯ |
๏ สายทองฟังน้องทำหน้าขึง |
ฟ้าผึ่งเถอะมาเป็นเช่นนี้ได้ |
จริงจริงคะน่าชังฉันพลั้งไป |
มาจะเล่าความให้แม่พิมฟัง |
ไปอาบน้ำวันนี้เจ้าเณรแก้ว |
มาแอบพุ่มนมแมวอยู่ข้างหลัง |
รำคาญใจไฮ้ว่าเป็นน่าชัง |
มิแล้วดอกกระมังมาเย้ยกัน |
ถึงไม่เล่าก็เราไม่ทุกข์โศก |
พี่ไปพบก็เป็นโชคไม่เดียดฉันท์ |
แต่ใส่บาตรประหลาดในตาครัน |
พูดพูดแล้วก็ผันชม้อยมา |
แต่ปากยิ้มกริ่มกันกับสายทอง |
ทำทำนองหางตามาดูข้า |
แต่เทศน์อยู่เจ้ากูยังเล่นตา |
ข้าดูหน้าไม่ได้เจ้าเณรพลาย |
จริงจริงคะแต่ข้าเป็นผู้ใหญ่ |
ดูไม่ได้ตาแหลมนี่ใจหาย |
เหลือบไปปะตาข้านึกอาย |
แยบคายของเจ้ากูดูครันครัน |
เจ้ากูว่าสีกาหาทักไม่ |
เห็นว่าไร้ยากทรัพย์ถึงคับขัน |
เป็นเพื่อนเล่นเห็นหน้ามาด้วยกัน |
เมื่อกระนั้นน้อยๆ กับนวลนาง |
แต่เพียงยากจากบ้านสุพรรณไป |
ถึงกะไรก็จะทักสักคำบ้าง |
ทุกวันนี้จนใจมิได้พราง |
บ้านก็ไกลกับนางต้องค้างคืน |
ไม่ต้องการก็ไม่ซานมาถึงนี่ |
กาญจน์บุรีมีวัดอยู่ดาษดื่น |
อยู่ไม่ได้ดังไก่อันไกลครืน |
อุตส่าห์ฝืนฝ่ามาด้วยความรัก |
น้อยใจจนได้เทศนา |
ควรฤๅสีกาไม่รู้จัก |
เหลือทนแล้วจึงซนเข้ามาทัก |
แม้นจะผลักเสียแล้วก็ตามที |
ถึงคุณยายฝ่ายแม่ศรีประจัน |
ก็ชอบกันกับคุณแม่ทองประศรี |
ก็รู้เช่นเห็นทั่วว่าชั่วดี |
จงปรานีเณรแก้วผู้คนจน |
แม้นมินับรับเรื่องธุระรัก |
ขอพบพักตร์พิมพูดแต่สักหน |
สั่งมาว่าวอนให้ผ่อนปรน |
หมายกุศลเสี่ยงสร้างสำคัญมา |
เมื่อวันเทศน์สังเกตด้วยนิมิต |
ประจักษ์จิตแน่แน่วอยู่หนักหนา |
ว่าเหาะเหินเดินได้ในเมฆา |
เด็ดดวงดาราภิรมย์ชม |
กล้ำกลืนตื่นขึ้นยังเต็มปาก |
ก็หมายมากอยู่ว่าคิดคงจะสม |
จึงบุกบิณฑบาตมาซานซม |
ด้วยปรารมภ์จะใคร่รู้ว่าร้ายดี |
สั่งสอนมาให้วอนแม่พิมดู |
พอตรู่ตรู่จะมาให้ถึงนี่ |
พี่ขับขู่วุ่นวายเป็นหลายที |
ยังเซ้าซี้ว่าวอนให้ผ่อนปรน |
เป็นจนใจไม่รู้ที่จะคิด |
ครั้นพินิจดูก็เห็นจะเป็นผล |
แม้นจะล่อลวงเล่นพอเป็นกล |
กาญจน์บุรีฤๅจะด้นมาสุพรรณ |
เมื่อวันเทศน์สังเกตด้วยนิมิต |
ก็ดลจิตให้แม่พิมเพอิญฝัน |
ต่อจะคู่สู่สมภิรมย์กัน |
แม่นมั่นแม่อย่าแหนงอย่าแคลงใจ ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง |
ก็เพลี่ยงพลั้งตั้งจิตรพิสมัย |
ด้วยสมเนตรเณรแก้วผู้แววไว |
ดังเหล็กเพชรกรึงในสกลกาย |
ถึงสายทองจะมิปองเป็นเชิงชัก |
ก็คิดรักอยู่ไม่ร้างจะห่างหาย |
วันยังคํ่าคร่ำครวญถึงเณรพลาย |
พอสายทองมาพูดก็พึงใจ |
แต่มารยาหากพาให้บิดเบือน |
งำเงื่อนหาให้เห็นกระแสไม่ |
ทำปึ่งขึงข่มไว้ภายใน |
เป็นครู่ใหญ่จึงเยื้อนมาพาที |
ข้าขอบใจใจหายพี่สายทอง |
รักน้องสงวนน้องไว้ถ้วนถี่ |
อุ้มน้องมิให้ต้องเถ้าธุลี |
ปรานีสั่งสอนทุกสิ่งอัน |
ชั้นแต่เดินมิให้เมินไปดูอื่น |
นั่งยืนนอนสอนทุกสิ่งสรรพ์ |
เห็นใครพอใจน้องคอยป้องกัน |
ข้าหมายมั่นจะมอบชีวาลัย |
นี่ข้าทำไมให้สายทอง |
จึงชักน้องนำเณรประเคนให้ |
จะให้ดีฤๅให้ชั่วมายั่วใจ |
ฤๅว่าไปสื่อสารเป็นมารยา |
สมคบคิดกันกับเณรแก้ว |
มิแล้วแล้วฤๅจึงลามมาถึงข้า |
ส่วนใครช่างใครเป็นไรนา |
จะมาพากันเพ้อไปไยมี |
มิใช่ชายตายสิ้นทั้งดินดอน |
จะแค่นค่อนขอดน้องไปพ้องพี่ |
เขาจะหยันทั้งสุพรรณบุรี |
มิรู้ที่จะหลบหน้าไปแห่งไร |
พี่รักก็รักคนเดียวเถิด |
จะช่วยปิดดอกหาเปิดเนื้อความไม่ |
พิมรู้จะนิ่งอยู่แต่ในใจ |
อย่าสงสัยน้องเลยพี่สายทอง ฯ |
๏ อนิจจาแม่พิมมาทิ่มตำ |
เจ็บชํ้าตลอดล้นจนขมอง |
ไม่ควรเลยจะเย้ยว่าสายทอง |
แม่เจ้าเอ๋ยคราวน้องนี้ฤๅเณร |
เป็นทาสฤๅจะอาจเข้าเทียมไท |
ก็เข้าใจอยู่ว่าเกลือกับพิมเสน |
เณรไม่รู้ฤๅจะจู่ลงลุยเลน |
ถึงจะแค่นเข้าประเคนก็คนจน |
แหวนตะกั่วนี้เหมือนตัวของสายทอง |
จะรับรองเรือนเพชรไม่เป็นผล |
แสนอาภัพยับทั่วทั้งตัวตน |
ร้อนรนก็เพราะรักรำคาญใจ |
ด้วยเห็นน้องของตัวนี้มัวหมอง |
สายทองเวทนาไม่นิ่งได้ |
ไม่มีข้อแล้วจะต่อเนื้อความไย |
แล้วไปเถอะทีนี้ไม่เจรจา |
คิดดูแต่ฝันนั้นเถิดน้อง |
จะได้ชมบัวทองก็เพราะข้า |
ถ้าสายทองหมองใจไม่นำพา |
มิต้องกินนํ้าตาก็ดูเอา |
ไปเบื้องหน้าหารือกับสายทอง |
ข้ามิร้องให้แซ่ถึงแม่เถ้า |
ให้ทรมาทารกรรมเสียทำเนา |
กลืนข้าวเป็นกลืนยาน้ำตาพราว |
ชั่วดีพี่ก็อาบน้ำร้อนก่อน |
แต่อ่อนอ่อนอุ้มเลี้ยงมาจนสาว |
อย่าพักเร้นคงจะเห็นกันสักคราว |
ถ้ามิฉาวก็มิใช่อีสายทอง ฯ |
๏ หาหาขันจริงเจ้าจอมพี่ |
อย่าจูจี้เลยจะยอมให้คล่องคล่อง |
ไม่น่าขัดเลยจะแค่นเข้าปรองดอง |
ถึงไม่ผิดก็จะฟ้องให้แม่ตี |
นี่สินบนมาประดนเข้ากี่ชั่ง |
จึงมาตั้งคอขู่อยู่จู้จี้ |
จริงฤๅถือว่าเจ้าเณรดี |
ได้คำมั่นขันตีที่ไหนมา |
จึงปลงใจปลงเนื้อเชื่อเอาหมด |
เจ้ากูสบถฤๅว่าจริงไม่ทิ้งข้า |
จึงอวยเออเร่อรับมาเจรจา |
เบื้องหน้าแล้วจะเจ็บนํ้าใจจน |
จะเสียตัวก็เพราะกลัวจะเคืองข้อง |
ครั้นตรึกตรองดูก็เห็นไม่เป็นผล |
ขืนเชื่อคำเณรพลายจะอายคน |
ยิ่งคิดก็ยิ่งวนยิ่งเวียนใจ |
ถ้าเขาทิ้งเสียไม่จริงดังถ้อยคำ |
ฉันจะทำอะไรสายทองได้ |
ช้าช้าตรึกตราก่อนเป็นไร |
แคะไค้ค้อนติงดูจริงจัง |
ถ้าเหมือนปากมีขันหมากมาขอสู่ |
จะทำชู้น้องนี้กลัวจะร้อนหลัง |
เกิดชาติหนึ่งประมาทไม่จิรัง |
ถ้าเพลี่ยงพลั้งลงแล้วจะจนใจ ฯ |
๏ โอ้แม่พิมนิ่มน้องของพี่เอ๋ย |
อย่ากลัวเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ |
จะพะวงสงกาไปว่าไร |
เจ้าสายใจสุดที่รักของสายทอง |
ถ้าไม่ดีฤๅพี่จะชักพา |
ให้แก้วตาเสียตัวต้องมัวหมอง |
เห็นสมศักดิสมนวลควรจะครอง |
กับพิมน้องเนื้อสุพรรณกำภู |
จะเปรียบยศก็ปรากฏมีคนนับ |
จะเปรียบทรัพย์ก็เสมอสมานอยู่ |
แม้นจะชั่งตั้งใส่ในตราชู |
ก็ควรคู่สมสิ้นทุกสิ่งอัน |
พิศรูปสองรูปก็น่ารัก |
ชะอ้อนอ่อนวรพักตร์เจ้าเฉิดฉัน |
ดังอาทิตย์ชิดรถเข้าเคียงจันทร์ |
ถ้าได้กันแล้วเป็นบุญของสายทอง |
จะนั่งชมนอนชื่นทุกคืนวัน |
จะทำขวัญๆ ตาเจ้าทั้งสอง |
ให้นั่งเรียงเคียงกันบนเตียงทอง |
ยามร้อนจะประคองเข้าพัดวี |
หอห้องของพิมพิลาไลย |
จะตกแต่งตกไว้นักงานพี่ |
ฟูกหมอนที่นอนเตียงเรียบเรียงดี |
ให้มีฉากพับตั้งไว้บังบาน |
มุ้งแพรแลเลิศวิไลตา |
ระบายทองรจนาดูสะอ้าน |
พู่กลิ่นย้อยห้อยพวงสุมามาลย์ |
กระโถนพานหมากตั้งไว้เรียงราย |
เครื่องแป้งแต่งปริกประดับพลอย |
กระจกส่องคันฉ่องน้อยให้เฉิดฉาย |
จะนั่งพึ่งบุญพิมยิ้มสบาย |
กินนอนไม่ระคายระคางใจ |
อย่าเรรวนควรคู่อยู่แล้วน้อง |
จงปรองดองอย่าพะวงสงสัย |
สายทองนี้จะรองเป็นเกือกไป |
ให้สัญญาพิมได้นะดวงตา |
ถ้าเณรแก้วแววไวไม่คงสัตย์ |
ไพล่พลัดกลับกลายไปภายหน้า |
จะเรียกพี่ไยเล่าไม่เข้ายา |
จงตีด่าส่งไปเป็นคนครัว |
ให้ตักน้ำตำข้าวทุกเช้าเย็น |
เคี่ยวเข็ญอย่าให้ได้เงยหัว |
สับทำให้ระยำเสียทั้งตัว |
ชักชั่วแล้วจะเลี้ยงไปไยมี |
รุ่งเช้าเจ้าเณรมาบิณฑบาต |
สุดสวาดิลงไปใส่ด้วยพี่ |
จะนัดเณรเสียให้แจ้งแห่งคดี |
พรุ่งนี้ไปไร่ได้พบกัน |
พอได้พูดกับแม่พิมเสียสักพัก |
รับรักลงใจได้แม่นมั่น |
แล้วทีหลังตั้งปึ่งเสียทุกวัน |
แม้นขยั้นอยู่มิให้ผู้ใดมา |
ตกนักงานพี่เถิดทีหลัง |
ข้ามิพ้อให้น่าฟังก็จึงว่า |
นอนเถิดดึกแล้วนะแก้วตา |
มาพี่จะกอดให้พิมน้อย |
สัพยอกหยอกเย้าให้เจ้านอน |
ชะอ้อนออกชื่อเณรอยู่บ่อยบ่อย |
จนพิมปลงหลงคำด้วยสำออย |
เดือนก็คล้อยเคลื่อนดับระงับกาย ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแผ้วนภางค์สว่างภพ |
กระจ่างจบทั่วจังหวัดจำรัสฉาย |
จับแสงทินกรดูอ่อนพราย |
เสียงสกุณเกริ่นกรายขยับบิน |
พระพายชายพัดเรณูร่อน |
ลอออ่อนรสสุคนธ์ตรลบกลิ่น |
รื่นรื่นชื่นชวยระรวยริน |
เจ้าเณรน้อยนึกถวิลประหวัดนาง |
นิ่งช้าเพลาจะแสงสาย |
ขยับกายลุกเลื่อนมาหน้าต่าง |
ล้างหน้านุ่งผ้าสบงพลาง |
ห่มดองแล้วก็ย่างลงบันได |
ถึงบ้านพิมเข้าพลันมิทันช้า |
สำรวมกิริยาให้ผ่องใส |
บริกรรมสำคัญมั่นในใจ |
หวังจะให้เจ้าพิมนั้นลงมา ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยกับสายทอง |
อยู่ในห้องจัดแจงแต่งหา |
จะใส่บาตรเณรเช้าทั้งข้าวปลา |
บุหรี่หมากพลูยาหาครบครัน |
กลัวแม่จะเห็นสู้เร้นซ่อน |
เอาซองซ้อนเสียดซุกเสียใต้ขัน |
เณรพลายไยจึงช้ากว่าทุกวัน |
ผันเปิดหน้าต่างก็เห็นตัว |
หลบมิดสะกิดเจ้าสายทอง |
ดูเณรน้องช่างสำรวมราวกับขรัว |
ไม่ไปละข้าไหว้ฉันนี้กลัว |
ยิ้มหัวกระซิกกระซี้กัน |
สายทองเตือนน้องให้ลงไป |
นางพิมพิลาไลยประคองขัน |
แอบหลังบังวุ่นพัลวัน |
พรั่นพรั่นก้าวลงบันไดไป |
ทรุดนั่งตั้งขันลงวันทา |
ไม่อาจแลดูหน้าเจ้าเณรได้ |
เทปรำควํ่าขันประหวั่นใจ |
บุหรี่ใส่ปนปลาทั้งหมากพลู |
ก้มหน้าขึ้นมาบนบันได |
อกใจสะทึกสะเทื้อนอยู่ |
ครั้นถึงหอนั่งบังประตู |
นางสายทองเหลียวดูไม่มีใคร |
กระซิบเณรเพลแล้วอย่าบ่ายนัก |
จะพาพิมน้องรักออกไปไร่ |
รีบไปวัดวามาไวไว |
ไหนเล่าเจ้าเณรเอาเงินมา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว |
ยิ้มแล้วตอบคำสายทองว่า |
ไม่ลืมคำดอกที่รํ่าเจรจา |
สำเร็จไร่ฝ้ายข้าจะแทนคุณ |
ถ้าได้แล้วเณรแก้วมิให้พี่ |
ไปตะโกนกุฎีให้ดังวุ่น |
ข้าก็บวชสวดเรียนจะเอาบุญ |
รับศีลครุ่นครุ่นไม่กลับกลาย |
ค่อยอยู่เถิดหนาจะลาก่อน |
แล้วจะย้อนไปไร่มิให้บ่าย |
สายทองย่องเยื้องชำเลืองกราย |
เณรพลายไปวัดป่าเลไลย ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยกับสายทอง |
ทั้งสองกินข้าวปลาหาช้าไม่ |
อิ่มหนำสำราญบานใจ |
จึงพูดจาปราศรัยกับมารดา |
วันนี้ลูกจะไปที่ไร่เหนือ |
ฝ้ายเฝือแตกกระจายเสียหนักหนา |
ลูกจะออกไปดูกับหูตา |
จะไว้ใจกับข้าไม่ต้องการ |
มันลักจำแนกแจกจ่าย |
ซื้อขายกินเล่นไปทั้งบ้าน |
ลูกเห็นกับตามาช้านาน |
จะว่าขานมันก็ไม่ถนัดใจ ฯ |
๏ ท่านยายศรีประจันครั้นได้ฟัง |
แกด่าดังยกโคตรเป็นไหนไหน |
อีขี้ชกฉกลักกูหนักไป |
ไวไวแม่พิมออกไปดู |
จับได้ใส่เอาด้วยไม้ตะบอง |
ให้มันร้องเป็นอ้ายเจ๊กที่ขายหมู |
ทั้งลักทั้งกินนินทากู |
เข้าหูบ่อยบ่อยอีร้อยกล ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยได้ฟังแม่ |
เรียกข้าเซ็งแซ่อยู่สับสน |
ลุกมาวุ่นวายเป็นหลายคน |
แบกกระบุงวิ่งซนลงบันได |
นางพิมสายทองทั้งสองรา |
ลงจากเคหาหาช้าไม่ |
ข้าไทตามหลังสะพรั่งไป |
ถึงไร่เข้าพลันในทันที |
ยับยั้งนั่งพุ่มกระทุ่มใหญ่ |
มึงไปเถิดกูจะอยู่นี่ |
อย่าเผอเรอเพ้อไปให้ดีดี |
บ่ายสี่โมงมึงจึงกลับมา |
อีเม้าเต่าหับอีพลับเทศ |
อีตานเปรตอีควายฟังนายว่า |
ฉวยกระบุงแบกไปพอไกลตา |
ก็ร้องเพลงไก่ป่าเก็บฝ้ายพลาง ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว |
เพลแล้วหลีกเลี่ยงลงมาล่าง |
ห่อผ้ากระหวัดลัดลอดทาง |
ย่างเข้าวิหารสำราญใจ |
ครั้นถึงจึงนิมนต์ชีต้นมี |
ฉันหนีเจ้าคุณลงมาได้ |
ชีต้นเมตตาลาสึกไป |
กลับมาบวชใหม่ให้ฉันที |
ชีต้นตามใจไปเถิดหวา |
หาหมากมาฝากกูทั้งบุหรี่ |
เณรแก้วกราบกรานอัญชลี |
ลาเจ้าชีก็สึกด้วยทันใด |
จับผ้าคฤหัสถ์สะบัดคลี่ |
ผลัดแล้วจรลีหาช้าไม่ |
รีบก้าวสาวตีนไปไวไว |
ถึงไร่เข้าพลันทันที |
แอบพุ่มพฤกษานัยน์ตามอง |
พบนางสายทองผู้เป็นพี่ |
ยิ้มพยักทักไปด้วยไมตรี |
มาอยู่นี่นานแล้วฤๅพี่นาง |
สายทองเหลือบเห็นเจ้าพลายแก้ว |
สึกแล้วยังยืนอยู่ห่างห่าง |
ยิ้มเยื้อนเบือนบอกเจ้าพลายพลาง |
มาคอยค้างอยู่แต่กินข้าวเช้าแล้ว |
เหลียวๆ เขม้นไม่เห็นหน้า |
คิดว่าจะไม่มาเล่าเจ้าแก้ว |
เสียงแกรกแหวกไม้มาตํ้าแวว |
ถ้าช้าหน่อยก็จะแคล้วไม่พบกัน |
จะอยู่นี่ไม่ได้ใกล้หนทาง |
ไปซ่อนอยู่พลางตรงนั้นนั่น |
ต้นกระทุ่มพุ่มตํ่าเป็นสำคัญ |
จะพาพิมผายผันมาพูดจา ฯ |
๏ ว่าแล้วเท่านั้นนางสายทอง |
เยื้องย่องย่างกลับไปลับหน้า |
เจ้าพลายหมายพุ่มชอุ่มตา |
นวยนาดยาตราทอดตาไป |
แทบต้นกระทุ่มพุ่มชัฏ |
หลีกลัดเริงรามหนามไหน่ |
ค่อยย่องตามช่องพนมไม้ |
เข้าใกล้เห็นพิมผู้ดวงตา |
นั่งร้อยบุปผชาติสะอาดโฉม |
งามประโลมน่ารักเป็นหนักหนา |
จะดูไหนเปล่งปลั่งทั้งกายา |
ดังนางฟ้าลอยฟ้อนชะอ้อนงาม |
จะใคร่ทักด้วยรักกำเริบทรวง |
ยังหนักหน่วงไม่เคยก็คิดขาม |
ปากสั่นหวั่นจิตรแต่คิดความ |
ขยับปากแล้วก็คร้ามประหม่าใจ |
เอาความรักหักจิตรที่คิดกลัว |
กระถดตัวย่างเยื้องมานั่งใกล้ |
เยื้อนยิ้มทักเจ้าพิมพิลาไลย |
สะดุ้งใจตัวแข็งด้วยความอาย |
มาจากบ้านนานแล้วฤๅไรขา |
อนิจจาแม่ออกมาเก็บฝ้าย |
บ่าวไพร่สะพรั่งทั้งหญิงชาย |
ลำบากกายต้องตามเขาออกมา |
เสียดายนวลไม่ควรจะเผือดพักตร์ |
ลมชักชายแดดก็แผดกล้า |
เดินเหนื่อยเมื่อยมึนทั้งกายา |
แสนอุตส่าห์ยอดดีนี่กะไร |
พี่ติดตามมาด้วยความที่รักน้อง |
สายทองบอกบ้างฤๅหาไม่ |
ตั้งแต่วันเทศนายิ่งอาลัย |
ครวญใคร่มิได้เว้นอาวรณ์วาย |
ยามนอนตาตื่นทั้งสี่ยาม |
ดังไฟตามติดอยู่ไม่รู้หาย |
ร้อนโรคโศกเสียวอยู่เดียวดาย |
แม่สบายอยู่ฤๅประการใด ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยได้ฟังว่า |
ตกประหม่าอกพรั่นหวั่นไหว |
ขวยเขินเมินอึ้งตะลึงไป |
ด้วยไม่เคยพูดเคยเจรจา |
จึงหลีกลดกระถดให้ห่างกัน |
นางผินผันหันเมินสะเทิ้นหน้า |
ชม้อยชม้ายชายดูแต่ห่างตา |
ไม่ตอบสั่งสนทนาประการใด ฯ |
๏ โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย |
ไม่พูดเลยเคืองเข็ญเป็นไฉน |
เจ้างามปลื้มลืมแล้วไม่อาลัย |
จงคิดใคร่ครวญดูแต่เดิมมา |
เมื่อเด็กเด็กเล็กเล่นอยู่ด้วยกัน |
สารพันร่วมรักกันหนักหนา |
เมื่อเล่นขอปลูกหอกับแก้วตา |
พี่พาเจ้าหนีขุนช้างไป |
ขุนช้างตามพบมันรบพี่ |
พลั้งตีถูกน้องเจ้าร้องไห้ |
แก้วตามาประหม่าพี่ยาไย |
จงปราศรัยปรองดองสักสองคำ |
เสียแรงสั่งหวังใจกับสายทอง |
มาถึงน้องให้แจ้งที่ความขำ |
กลัวไยใช่พี่จะหยามทำ |
มิให้ชํ้าชอกเชื่อพี่เถิดรา ฯ |
๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง |
ถ้อยคำแต่หลังเจ้าพลายว่า |
ทุกสิ่งจริงใจแต่ไรมา |
เหลียวดูหน้าพลายแก้วแววไว |
ด้วยเป็นเพื่อนเรือนใกล้กันแต่ก่อน |
เสียงหล่อนพูดจาก็จำได้ |
ค่อยเหือดหายคลายพรั่นประหวั่นใจ |
ก็ตอบไปว่าฉันลืมพี่จริงจริง |
เมื่อวันเทศน์สังเกตก็รู้จัก |
ครั้นจะทักตัวน้องนี้เป็นหญิง |
อันน้ำใจใช่ว่าจะชังชิง |
แต่ตรึกกริ่งกลัวคนจะนินทา |
ซึ่งสั่งสายทองมาว่าไม่ทัก |
โกรธฉันนักฤๅจึงพ้อเอาต่อหน้า |
นี่สึกออกทำไมไปไหนมา |
จึงเดินตัดลัดป่ามาไร่น้อง |
ฤๅบวชเรียนเพียรได้วิชาแล้ว |
พี่พลายแก้วจะสึกไปบ้านช่อง |
ฤๅติดใจรักใคร่พี่สายทอง |
ต้นมะต้องต้นใหญ่พี่ไปดู ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วฟังนางพลางตอบว่า |
ที่มาหานี้ด้วยมีธุระอยู่ |
สู้หลีกลี้หนีท่านสมภารครู |
ด้วยรู้ว่าแม่พิมจะออกมา |
ถึงกลับไปได้ผิดไม่คิดตัว |
ไม่กลัวที่จะต้องซึ่งโทษา |
พี่จะเล่าให้ฟังแต่หลังมา |
แจ้งจิตรกิจจาแต่จริงใจ |
เป็นกุศลดลถึงคะนึงหา |
จะอยู่ด้วยมารดานั้นไม่ได้ |
แสนทุกข์สุดทุกข์ระทมใจ |
ดังกองไฟฟอนฟอกอยู่ฟูมฟืน |
จึงคิดอ่านลาท่านมารดาบวช |
เร็วรวดรีบรัดไปวัดอื่น |
แต่สุพรรณไกลกันถึงข้ามคืน |
อุตส่าห์ฝืนท่องเที่ยวผู้เดียวมา |
มาพบพิมแม่ไม่ยิ้มไม่เยื้อนทัก |
ยิ่งทุกข์นักแสนโทมนัสสา |
พบสายทองได้ช่องจึงเจรจา |
สั่งถึงแก้วแววตาค่อยคลายใจ |
พบพักตร์ครั้นจะทักเมื่อใส่บาตร |
ยังขยาดขยั้นนักไม่ทักได้ |
มาพบกันวันนี้ไม่มีใคร |
จะมอบไมตรีพิมผู้นิ่มนวล |
ใช่จะแกล้งแต่งล่อแต่พอได้ |
ที่จริงใจมั่นแม่นสักแสนส่วน |
ขอเป็นคู่อยู่กับน้องประคองนวล |
อย่ารัญจวนที่จะจากจะจืดจาง ฯ |
๏ นิจจาเจ้ายังว่าเขาคนอื่นว่า |
เป็นเพื่อนเล่นเห็นหน้าไม่เกรงบ้าง |
มาผูกจิตรคิดร้ายทำลายทาง |
ครั้นน้องว่าจะระคางรำคาญใจ |
เป็นเพื่อนแล้วจะเชือนเข้าเป็นชู้ |
มิรู้ที่จะคิดอย่างไรได้ |
คิดว่าทักรักกันมาแต่ไร |
จึงเพ้อพาซื่อไปไม่สงกา |
ไม่งามนะข้าห้ามเจ้าพลายแก้ว |
ทีนี้แล้วไปทีหลังอย่าได้ว่า |
นั่งช้าข้าไทจะกลับมา |
ข้าจะลาแล้วลุกขึ้นทันใด ฯ |
๏ พลายแก้วเยื้องย่างพลางปลอบ |
ซึ่งมิชอบคิดผิดจะคิดใหม่ |
เชิญนั่งลงก่อนอย่าเพ่อไป |
พี่ไม่แกล้งแต่งข้อมาล่อลวง |
อันความรักหนักแน่นแสนวิตก |
ระอาอกแทบเท่าภูเขาหลวง |
พรหมินทร์อินทร์จันทร์สิ้นทั้งปวง |
ก็บนบวงสิ้นฟ้าสุราลัย |
เชื้อเชิญเมินหน้าไม่มาช่วย |
เห็นคงม้วยไม่หมายผู้ใดได้ |
เว้นแต่เจ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ |
จะผลักพลิกแพลงให้บรรเทาลง ฯ |
๏ พูดเพราะเสนาะในนํ้าใจเหลือ |
ไม่รู้เช่นก็จะเชื่อด้วยลมหลง |
คำวอนอ่อนระทวยให้งวยงง |
นี่คงตรงแล้วฤๅตรองมาพาที |
แต่แรกรักเพียงจักสู้ตายได้ |
ประโลมใจกว่าจะตายไม่หน่ายหนี |
จึงบุกป่าฝ่าดงพงพี |
เพราะไมตรีตรึงตรอมทุกเวลา |
อันมนุษย์แสนสุดที่โลภเหลือ |
ไม่ควรเชื่อตามความปรารถนา |
เหมือนของกินสิ้นไปทุกเวลา |
ต้องหาเปรี้ยวหาเกลือมาเจือจาน |
ต้มแกงแต่งเจียวทั้งปิ้งจี่ |
เซ้าซี้สารพันที่มันหวาน |
เลือกดิบเลือกสุกทุกประการ |
ถ้าซ้ำสิ่งใดนานก็เบื่อไป |
คิดดูเถิดนะเจ้าแต่เท่านั้น |
ยังไม่กลั้นกลืนเคี้ยวสิ่งเดียวได้ |
ประเวณีเป็นที่กำเริบใจ |
แต่ใหม่ใหม่มุ่งมอบชีวิตกัน |
อุปมาเหมือนผ้าที่นุ่งห่ม |
ซื้อใหม่ก็นิยมว่าเฉิดฉัน |
ยามขัดสนจนมาสารพัน |
ผืนนั้นนุ่งซํ้าประจำกาย |
ครั้นได้อื่นผืนใหม่เข้ามาผลัด |
ก็เหยาะหยัดซัดกรุยทำฉุยฉาย |
เป็นสองผืนชื่นจิตรคิดสบาย |
นุ่งห่มกรุยกรายทุกเวลา |
ก็เหมือนกันกับหมายไม่วายรัก |
ที่เก่าก่อนแล้วชักประเชิญหน้า |
ลงประเชิญแล้วก็เมินทุกเวลา |
ลงเป็นผ้าชุบอาบไม่เอื้อเฟื้อ |
แต่ซักซักฟาดฟาดจนขาดวิ่น |
จนเป็นชิ้นเช็ดใช้ไม่หลอเหลือ |
ถึงจะเย็บตะเข็บขาดไม่พาดเจือ |
ให้เป็นเนื้อเดิมได้ดังก่อนมา |
เหมือนหญิงชายว่าจะตายด้วยกันได้ |
จะเห็นใจฤๅไม่จางไปข้างหน้า |
ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันเป็นอัตรา |
ลางเวลาก็กระทบกระทั่งกัน |
เหมือนตัวเจ้ามาเฝ้ารำพันถึง |
มาหมายพึ่งพูดวอนให้ผ่อนผัน |
ก็คิดอยู่เอ็นดูเจ้าครันครัน |
ไม่หักหั่นอาลัยให้เด็ดดาย |
ไปสู่ขอต่อท่านผู้มารดา |
ถ้าเมตตาตามใจเจ้ามุ่งหมาย |
น้องจะยอมพร้อมใจไม่ระคาย |
แม้นว่าชายอื่นเอื้อมมาเจรจา |
ถึงคุณแม่จะมอบให้ครอบครอง |
ไม่ชอบใจน้องจะขอว่า |
จะขืนใจเอาแต่ใจของมารดา |
ก็จงฆ่าฟันเถิดไม่ขอตัว |
ถ้าเจ้าแก้วขอแล้วคุณแม่ให้ |
น้องดีใจให้พ่อมาเป็นผัว |
ทำชู้สู่หาข้านี้กลัว |
ความชั่วเขาติฉินไม่ยินดี |
เจ้าติดตามมาถามด้วยความรัก |
ก็ประจักษ์แจ้งใจอยู่ถ้วนถี่ |
จะอยู่ช้าว่าไรทำไมมี |
อย่าเซ้าซี้รํ่าบ่นสนทนา |
อนึ่งเล่าบ่าวไพร่จะมาเห็น |
จะเป็นเส้นเป็นลายไปภายหน้า |
เมื่อคล่องใจวันใดพ่อจึงมา |
ปรึกษาขอสู่ให้ควรการ |
ตะวันชายบ่ายเย็นลงถนัด |
ไปวัดเถิดน้องจะไปบ้าน |
อย่ารีรวนจวนคํ่าจะรำคาญ |
ขืนฟุ้งซ่านสืบไปจะได้อาย ฯ |
๏ อนิจจาแก้วตาของพี่เอ๋ย |
กะไรเลยด่วนขับเสียง่ายง่าย |
พี่รักพิมปิ้มจะตีให้ตนตาย |
พึ่งเว้นวายวันนี้ได้พบน้อง |
กลับไปกว่าจะได้มาขอสู่ |
ยังไม่รู้ว่าจะได้ประสมสอง |
เกลือกท่านมารดามิปรองดอง |
ยิ่งไกลน้องนับวันจะจืดจาง |
งามปลื้มแม่จะลืมลงทุกวัน |
สารพันรวนเรจะเหห่าง |
ถึงประสบพบกันที่กลางทาง |
คงระคางไปไม่เหมือนแต่ก่อนมา |
ถ้ามั่นคงปลงใจว่ารักแก้ว |
แท้แล้วอย่าให้ห่างเสนหา |
ขอฝากดวงจิตรเจ้าจงเมตตา |
แต่ครั้งคราเดียวเถิดอย่าถือใจ |
ซึ่งเจ้าเปรียบเทียบคิดจิตรมนุษย์ |
หาสิ้นสุดความโลภลงได้ไม่ |
เหมือนของกินหารู้สิ้นไปเมื่อไร |
เป็นวิสัยสังเกตแก่ฝูงคน |
ถึงนั่นหน่อยนี่หน่อยอร่อยรส |
ปรากฏก็แต่ข้าวแลเป็นต้น |
ดุจความเสนหาจลาจล |
ร้อนรนก็ที่รักกำเริบใจ |
เหมือนผ้าเก่าเศร้าทรุดพิรุธนัก |
จะซ้ำซักเสียให้ขาดหาควรไม่ |
เป็นยกทองต้องตาก็อาลัย |
มิใช่ตาบัวปอกแลเมล็ดงา |
กว่าจะได้ห่มนุ่งบำรุงกาย |
มิใช่ง่ายต่อตามกันหนักหนา |
กับอนึ่งก็แพงแรงราคา |
ถึงเก่าแล้วก็อุตส่าห์ถนอมชม |
ประจงใส่หีบหอมถนอมไว้ |
เมื่อมีงานการใหญ่เป็นการสม |
จึงหยิบคลี่ด้วยเป็นที่คนนิยม |
แล้วอบรมกลิ่นฟุ้งจรุงใจ |
ถึงผ้าอื่นผืนใหม่ได้มามาก |
ก็นุ่งลากเสียดอกไม่ดีได้ |
ขอลานวลจวนคํ่าไม่ขืนใจ |
ทั้งอาลัยลำบากจะจากน้อง |
โลมลูบจูบชายสไบห่ม |
ขอชมนิดเถิดเจ้าอย่าเศร้าหมอง |
ช่างน่าชมสมควรเป็นนวลละออง |
นี่กรองเองฤๅเจ้าซื้อมาแห่งใด ฯ |
๏ นางสะบัดปัดชายสไบห่ม |
อย่ามาชมเลยผ้าคุณแม่ให้ |
เลียมชมข่มเหงไม่เกรงใจ |
นี่อะไรเจ้าแก้วไม่ควรการ |
รักน้องสิจะปองให้เป็นผล |
กลางหนฤๅมารักทำหักหาญ |
ไม่รักแต่งดอกจึงแกล้งทำประจาน |
มาด่วนรานรีบได้แต่โดยใจ |
ให้เกรียมตรมจึงจะสมคะเนเจ้า |
ก็หมองเศร้าอยู่หาสู้สนิทไม่ |
เสียทีเจ้าแก้วก็แล้วไป |
อันจะได้พิมนั้นอย่าสงกา |
เหมือนข้าวดิบจะหยิบเข้าใส่ปาก |
กำลังอยากยังกรุบอยู่หนักหนา |
ไม่อร่อยดอกจงปล่อยเสียเร็วรา |
ทำขืนขัดใจข้าแล้วขาดกัน ฯ |
๏ เจ้าเนื้อนิ่มพิมน้อยอนาทร |
มาตัดรอนแรกรักบากบั่น |
จงงดเงือดเหือดโกรธที่โทษทัณฑ์ |
พลางรับขวัญยอดสร้อยอย่าน้อยใจ |
พี่รักนุชสุจริตน้ำจิตรรัก |
ไม่หาญหักก่อนดอกแต่โดยได้ |
ผลักมือรื้อฉวยชายสไบ |
เพราะอาลัยกำเริบที่ในทรวง |
งดโทษพี่เถิดเจ้าจงเอาบุญ |
อย่าเคืองขุ่นคั่งแค้นเฝ้าแหนหวง |
นมเจ้างอนงามปลั่งดังเงินยวง |
ประโลมล่วงน้องหน่อยอย่าน้อยใจ |
พลางกอดน้องประคองขึ้นบนตัก |
จะแพลงผลักพลิกเลื่อนลงไปไหน |
แล้วเปลื้องปลดลดชายให้คลายใจ |
นางฉวยฉุดยุดไว้ไม่วางมือ ฯ |
๏ อนิจจาว่าแล้วหาฟังไม่ |
จะฆ่าพิมเสียที่ไร่นี้แล้วฤๅ |
รักน้องกลางหนให้คนฦๅ |
อย่างนี้น้องไม่ถือว่ารักน้อง |
โดยชั่วถึงตัวมิได้แต่ง |
ก็จัดแจงน้องนี้มีหอห้อง |
พอควรการแล้วฉันจะปรองดอง |
มิให้ข้องขัดเคืองกระเดื่องใจ |
ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย |
จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่ |
พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร |
กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา |
อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย |
ไม่ตายดอกเพราะอดเสนหา |
นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา |
เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม ฯ |
๏ ประจงจูบลูบผมแล้วชมพักตร์ |
น่ารักนวลเนื้อเจ้านิ่มนิ่ม |
น้ำตาคลอเปี่ยมอยู่เรียมริม |
เจ้าเยือนยิ้มสักหน่อยเถิดกลอยใจ |
สงสารไหว้วอนให้ผ่อนวาง |
รักนางมิใคร่จะไกลได้ |
พี่จะหอบเสนหาลาไป |
เหลืออาลัยที่จะทรมาน |
หยิบมือพิมน้อยประทับทรวง |
แม่ดูดวงจิตรพี่ออกฟุ้งซ่าน |
เวลาคํ่าแม่จงจำสังเกตการ |
จะไปบ้านหาพิมพิลาไลย |
ช้อนคางพลางจูบประคองชม |
แนบเนื้อแนมนมเจ้าผ่องใส |
พวงพุ่มตูมตั้งยังเป็นไต |
อาลัยลูบโลมทั้งกายา |
จับมือถือนิ้วเจ้าพิมชม |
สวยสมสิบนิ้วเสนหา |
ซบพักตร์อยู่กับตักไม่เจรจา |
พี่จะลาแล้วแม่ผินมาดีดี ฯ |
๏ ครานั้นอีข้าไทไปเก็บฝ้าย |
ตะวันบ่ายรำไรลงได้ที่ |
อีเต่าหับอีพลับกับอีปลี |
ยัดอัดกระบุงดีร้องเพลงมา |
สายทองระวังน้องอยู่ต้นทาง |
เห็นอีบ่าวเหย่าย่างมาข้างหน้า |
แกล้งร้องอึงให้ถึงเจ้าสองรา |
ไปหวาไปเหวยเฮ้ยจวนเย็น ฯ |
๏ นางพิมกราบไหว้เจ้าพลายแก้ว |
มันมาแล้วไปเถิดมันจะเห็น |
พ่อจะมาฆ่าน้องเสียทั้งเป็น |
เอ็นดูเถิดพ่อไปเสียไวไว |
เจ้าพลายกอดพิมประทับไว้กับตัก |
เสียดายนักมิใคร่วางนางลงได้ |
เสียงบ่าวข้ามากระชั้นก็จนใจ |
ลุกขึ้นบังต้นไม้แล้วหลีกมา |
นางพิมลุกยืนขึ้นทันใด |
ฝ้ายลีเป็นกะไรอีเด็กหวา |
ตะวันเย็นเห็นจวนควรเวลา |
ออกจากพุ่มพฤกษาแล้วเดินไป |
สายทองเดินชิดสะกิดพิม |
หยอกยิ้มค่อยกระซิบปราศรัย |
แม่พิมพี่วันนี้เป็นไรไป |
หลังไหล่ล้วนต้องละอองดิน |
นางพิมยิ้มค้อนให้พี่เลี้ยง |
ส่งเสียงไปให้มันเข้าหูสิ้น |
จำเพาะจะว่าไปให้ได้ยิน |
ดีใจดังจะบินจะโบยไป |
เมื่อวานเห็นรำคาญไม่รู้วาย |
เดี๋ยวนี้หาเพื่อนตายเข้าไว้ได้ |
อย่าพักว่าเลยข้าไม่เป็นไร |
ปัดไถมหมองมัวไปนิดเดียว |
สายทองฟังน้องก็นิ่งยิ้ม |
นางพิมค้อนให้นัยน์ตาเขียว |
อีพวกข้าแบกฝ้ายตามนายเกรียว |
มาบัดเดี๋ยวถึงบ้านเข้าทันใด |
นางพิมสายทองทั้งบ่าวข้า |
ขึ้นบนเคหาหาช้าไม่ |
จวนคํ่าย่ำเย็นลงไรไร |
พอเก็บฝ้ายลีไว้ก็พลบพลัน |
สายทองชวนน้องเข้าห้องนอน |
ร่วมหมอนกระซิกเกษมสันต์ |
สัพยอกหยอกพิมนิ่มนวลจันทร์ |
เมื่อกลางวันเป็นอย่างไรอย่าได้พราง ฯ |
๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย |
ค้อนให้พลิกแพลงตะแคงข้าง |
ปั่นป่วนข่วนหยิกสายทองพลาง |
เพราะพี่นางแนะนำให้ทำน้อง |
พอเห็นหน้าพูดจากันสองคำ |
กระโจนกอดคอปลํ้าเล่นคล่องคล่อง |
จะแกล้งให้น้องอายพี่สายทอง |
จะใคร่ร้องขึ้นให้ไร่ทลาย |
น้อยใจหนักหนาน้ำตาตก |
เป็นสองยกพลิกคว่ำให้จำหงาย |
ผ้าผ่อนฉวยฉุดให้หลุดกาย |
ถ้าตัวตายเสียก็ดีกว่าเป็นคน |
เนื้อแท้เขาจะปลํ้าทำเล่น |
ข้าแค้นใจไม่เห็นจะเป็นผล |
วันนี้จะเอามีดเข้ากรีดตน |
ให้วายชนม์เสียให้สิ้นที่อายใจ |
คิดนิดหนึ่งว่าพี่ได้เลี้ยงมา |
ฟ้าผ่าเถอะหาไม่แล้วที่ไหน |
จะบอกแม่ให้แซ่เซ็งไป |
ก็จะได้ดูหน้าพี่สายทอง |
เดชะบุญพอวุ่นก็เด็กมา |
ถ้าปะช้าเลยหนึ่งจะถึงสอง |
พูดจามีแต่ว่าไม่ปรองดอง |
เสียแรงพี่เลี้ยงน้องมาใจจาง |
หมายจะแหวะแตระฟันด้วยดาบกรด |
อัปยศตายด้วยดาบทองหลาง |
ยังสั่งซ้ำทำเผื่อเป็นเยื่อยาง |
ว่ากลางคืนวันนี้จะกลับมา |
ว่าพลางทางปิดประตูผาง |
หน้าต่างลิ่มขัดให้แน่นหนา |
มีดถือไว้กับมือไม่เคลื่อนคลา |
น้องแค้นดังเลือดตาจะหยดย้อย |
วันนี้ถ้ามาแล้วอย่าแคลง |
แม้นมิแทงแล้วจึงว่าอีพิมถ่อย |
ไปจากห้องน้องเถิดอย่าพูดพลอย |
วันนี้คอยยังรุ่งไม่หลับนอน ฯ |
๏ สายทองปลอบน้องอย่าแค้นขึ้ง |
รำพึงดูให้แน่ในใจก่อน |
อันความเสนหาอาวรณ์ |
ย่อมแรงร้อนรึงรุมกลุ้มในใจ |
เจ้าพลายแก้วก็ยังหนุ่มกำดัดนัก |
จะรั้งรักรอรีที่ไหนได้ |
ซึมซาบอาบเอิบกำเริบใจ |
ด้วยยังไม่เคยพบกระษัตรี |
การชายความอายนี้น้อยนัก |
ยอดรักแม่จงฟังคำพี่ |
อันใจหญิงถึงกำหนดในโลกีย์ |
ก็ยังมีมารยาอยู่ในใจ |
แม่อย่าด่วนควรถือว่าหยาบช้า |
อันเจรจาหาทิ้งที่จริงไม่ |
สัญญาเบื้องหน้ายังว่าไว้ |
แม่จงพิเคราะห์ใคร่ดูเถิดรา |
เจ้าพลายแก้วเป็นชายบริสุทธิ์ |
ผ่องผุดยังไม่มีที่กังขา |
แม่ก็พรหมจารีศรีโสภา |
แต่รุ่นมาไม่มีใครแผ้วพาน |
พึ่งมาประสบพบพลายแก้ว |
เพียงนี้แล้วฤๅจะผลักหักหาญ |
ให้เคล้าคลึงถึงสองไม่ต้องการ |
เป็นมลทินจะประจานอยู่ในใจ |
ถึงได้อื่นมาชื่นอารมณ์เจ้า |
ถ้าพบเก่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน |
ขึ้นชั่วจะติดตัวจนตายไป |
แม่อย่าได้ด่วนเด็ดเสียเดียวดาย |
หยุดยกที่วิตกไว้เสียก่อน |
อดนอนพรุ่งนี้จะตื่นสาย |
กลัวท่านแม่คุณจะวุ่นวาย |
เจ้าพลายที่ไหนจะกล้ามา |
นอนเถิดน้องพี่จะไปนอนบ้าง |
ว่าแล้วเยื้องย่างมาเคหา |
ถึงห้องของตัวก็นิทรา |
นางพิมตรึกตรายิ่งตรอมใจ |
โอ้ว่าแก้วแววตาของพิมเอ๋ย |
จะล่วงเลยลืมแล้วฤๅไฉน |
ฤๅเคืองน้องข้องแค้นระคางใจ |
จึงทิ้งไว้ว้าเหว่อยู่เอกา |
มิรักน้องก็แต่แรกอย่ารักน้อง |
ทำให้หมองแล้วจะเมินไม่มาหา |
ยังจดจำถ้อยคำที่สัญญา |
ว่าจะมาถึงห้องที่พิมนอน |
ยามหนึ่งถึงแล้วพ่อแก้วเอ๋ย |
ไม่มาเลยใจน้องนี้ค่อนค่อน |
แต่นอนตรึกนึกหายิ่งอาวรณ์ |
พระจันทรจรดับก็หลับไป ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว |
ไปวัดคํ่าแล้วหาบวชไม่ |
คอยดูฤกษ์เวลาจะคลาไคล |
ประมาณได้สักสองยามปลาย |
ดวงเดือนเลื่อนเด่นดาวระยับ |
ยืนขยับเพ่งพิศเมฆฉาย |
ช่วงขาวดุจดาวประกายพราย |
แต่งกายประกอบพร้อมทุกประการ |
พิเคราะห์ดูหลาวเหล็กแลผีหลวง |
ปลอดห่วงดวงใจก็ฮึกหาญ |
สูรย์จันทร์แม่นยำด้วยชำนาญ |
ย่างเท้าก้าวผ่านไปตามทิศ ฯ |
๏ มาถึงบ้านนางพิมหาช้าไม่ |
เสกข้าวสารหว่านไปให้หลับสนิท |
สะเดาะกลอนถอนลั่นทุกชั้นชิด |
ที่บานปิดก็เปิดออกทันใด |
จึงกลิ้งครกเหยียบยืนขึ้นบนเรือน |
ไม่กระเทือนย่องมาหาช้าไม่ |
หมายสำคัญมั่นคงตรงไป |
เข้าในห้องพิมด้วยฉับพลัน |
อัจกลับแสงกระจ่างสว่างห้อง |
มีข้าวของโตกพานทั้งเชี่ยนขัน |
เครื่องแป้งแต่งไว้ดูงามครัน |
อัฒจันทร์สมศักดิจำหลักลาย |
คันฉ่องรองรับกระจกส่อง |
เครื่องทองตั้งไว้ดูเฉิดฉาย |
พานหมากเครื่องนากมีมากมาย |
ม่านสายสอดหูแล้วห้อยกาง |
น่ารักปักไหมเอาทองถม |
สวยสมฝีมือพิมงามกระจ่าง |
เป็นเรื่องศิลป์สุริยาเมื่อพานาง |
ข้ามแนวน้ำกว้างก็พลัดกัน |
รัตนานางอุ้มสิงหรัด |
ท่องเที่ยวแถวพนัสพนาสัณฑ์ |
ถึงศาลาดาบสทศธรรม์ |
อภิวันท์วอนว่าพระอาจารย์ |
อาศัยแล้วให้ชุบสิงหรา |
อำลาลุล่วงจากสถาน |
กับพี่น้องสองราชกุมาร |
มาอยู่บ้านตายายค่อยคลายใจ |
ปักพระศิลป์เธอเที่ยวแสวงหา |
จะพบนางรัตนาก็หาไม่ |
จนพลบคํ่ายํ่าแสงอโณทัย |
อาศัยสวนเจ้าท้าวกุตา |
น้องเอ๋ยกะไรเลยฉลาดลํ้า |
ไม่ชอกช้ำฝีมือเจ้าเหลือหา |
ประจงรูดม่านน้องย่องเยื้องมา |
เปิดมุ้งเห็นหน้าเจ้าพิมนอน |
สนิทหลับรับขวัญเจ้าทั้งหลับ |
ดังยิ้มรับให้พี่รีบมาร่วมหมอน |
โฉมแชล่มแก้มยิ้มพริ้มเพรางอน |
งามเนตรเมื่อเจ้าค้อนพี่ยามชม |
คอคางบางแบบกะทัดรัด |
เล็บยาวขาวขัดดูงามสม |
ไม่พร่องบกอกนางอล่างนม |
ค่อยผงมสงวนต้องประคองทรวง |
เลื่อนลดแก้สะกดให้พิมตื่น |
เป่าต้องน้องก็ฟื้นสงบง่วง |
เจ้าอย่าแหนงแคลงจิตรว่าพี่ลวง |
ดวงใจแม่จงตื่นขึ้นเถิดรา ฯ |
๏ นางพิมนิ่มนวลนอนสนิท |
กระทั่งนิดก็ฟื้นตื่นผวา |
พลิกกายชายเนตรชำเลืองมา |
เห็นหน้าพลายแก้วแววไว |
คิดพรั่นหวั่นใจชม้ายค้อน |
ดูดู๋กลอนขัดอยู่จู่มาได้ |
นี่เนื้อว่าข่มเหงไม่เกรงใจ |
แต่กลางไร่ไม่สามาถึงเรือน |
แต่เพียงนั้นยังว่าไม่น่าแค้น |
จวนเจียนจักแหล่นจะอายเพื่อน |
รบให้ขอต่อแม่ทำแชเชือน |
กลบเกลื่อนว่ากล่าวให้กลับกลาย |
คิดว่ารักฤๅที่หักมาถึงบ้าน |
อย่าสมานเลยข้าแค้นไม่รู้หาย |
แต่ที่ไร่เจ้ายังปลํ้าทำให้อาย |
ใยฝ้ายเกลือกคันไปทั้งตัว |
มือหนักชักยื้อทำหยาบหยาม |
งามหน้าน่ารับมาเป็นผัว |
สมสู่อยู่บ้านดีฉันกลัว |
ตัวมิตายก็หลังคงเลือดย้อย |
เพียงจับมือถือแขนก็แสนเจ็บ |
คมเล็บเลือดเหยาะลงเผาะผอย |
แต่หยอกกันสารพันเป็นริ้วรอย |
เชิญถอยไปเสียเถิดไม่ไยดี ฯ |
๏ เจ้างามปลอดยอดรักของพลายแก้ว |
ได้มาแล้วแม่อย่าขับให้กลับหนี |
พี่สู้ตายไม่เสียดายแก่ชีวี |
แก้วพี่อย่าเพ่อพรํ่ารำพันความ |
พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ |
จงคลายโกรธแม่อย่าถือว่าหยาบหยาม |
พี่ชมโฉมโลมลูบด้วยใจงาม |
ทรามสวาดิดิ้นไปไม่ไยดี |
รอยเล็บแม่จึงเจ็บด้วยจับต้อง |
ติดข้องเพราะเจ้าปัดสลัดพี่ |
ค้อนควักผลักพลิกแล้วหยิกตี |
ถ้อยทีถูกข่วนแต่ล้วนเล็บ |
ติดตามมาด้วยความพี่รักน้อง |
กลัวจะหมองต้องเนื้อเจ้าจะเจ็บ |
ไหนผืนผ้ามาพี่จะชุนเย็บ |
ที่ตะเข็บขาดไปจะให้ดี |
ขอพี่ดูชูมือมาสักหน่อย |
เจ็บน้อยฤๅมากกว่าแขนพี่ |
จับจูบลูบแผลที่ไหนมี |
เย้ายีหยอกยั่วให้ยวนใจ ฯ |
๏ นี่ใครวอนให้มาถามฤๅ |
ถึงเจ็บมือก็หาเชิญเจ้ามาไม่ |
จะดูแลแผลน้องไปทำไม |
ใครเจ็บก็ใครรักษาตัว |
มาจับมือถือแขนเอาง่ายง่าย |
ไม่มีอายทำเล่นเช่นเมียผัว |
ที่นี่เรือนมิใช่ไร่ข้าไม่กลัว |
ถึงดีชั่วเพื่อนบ้านพยานมี |
ยังเซ้าซี้มิไปให้พ้นห้อง |
มาจู้จี้นี้ก็ร้องให้อึงมี่ |
ไม่วางแขนแค้นใจใช่พอดี |
จะทำทีเหมือนที่ไร่ไม่ได้แล้ว ฯ |
๏ ไม่เมตตาก็ฆ่าเสียเถิดน้อง |
กระทุ้งห้องร้องไปให้แจ้วแจ้ว |
จงเอามีดมากรีดให้เป็นแนว |
อย่านึกเลยพลายแก้วจะกลัวตาย |
อึงแซ่หม่อมแม่จะมาจับ |
ผิดก็ยับอยู่กับที่ไม่หนีหาย |
จะกอดพิมนิ่มนางไม่ห่างกาย |
ตามแต่สายสุดสวาดิจะปรานี |
ว่าพลางทางกอดกระหวัดรัด |
อย่าสะบัดเลยไม่พ้นฝีมือพี่ |
ทั้งสองแก้มแย้มยวนให้ยินดี |
ขอจูบทีเถิดเจ้าจงเมตตา ฯ |
๏ ประเดี๋ยวจับประเดี๋ยวจูบเฝ้าลูบชม |
แก้มกับนมนี่เจ้าซื้อมาฤๅขา |
ทำเล่นเหมือนเป็นเชลยมา |
ฟ้าผ่าเถอะไม่ยั้งไม่ฟังกัน |
จะหยิกเท่าไรก็ไม่เจ็บ |
ฉวยเล็บมาจะหักให้สะบั้น |
อุยหน่าอย่าทำที่สำคัญ |
ฟาดฟันเอาเถิดไม่น้อยใจ |
ทำเล็บหักเหมือนไม่รักพี่จริงจัง |
ถึงเงินชั่งหนึ่งหารักเท่าเล็บไม่ |
เข้าชิดสะกิดพิมยิ้มละไม |
อุ้มแอบอกไว้ด้วยปรีดา |
เอนอิงพิงประทับลงกับหมอน |
สะอื้นอ้อนอ่อนแอบลงแนบหน้า |
กระเดือกเสือกดิ้นอยู่ไปมา |
เกิดมหาเมฆมืดโพยมบน |
ฮือฮืออื้อเสียงพายุพัด |
กลิ้งกลัดเกลื่อนกลุ้มชอุ่มฝน |
เป็นห่าแรกแตกพยับโพยมบน |
ไม่ทานทนทั่วกระทั่งทั้งแดนไตร ฯ |
๏ ครานั้นนางพิมนิ่มนวล |
ยียวนด้วยความพิสมัย |
เสนหารึงรุมกลุ้มใจ |
สนิทแนบหน้าในที่นอนนาง |
พัดวีวอนพลอดแล้วกอดแก้ว |
ไม่คลาศแคล้วเคลื่อนคลาไปห่างข้าง |
ซับเหงื่อด้วยเนื้อสไบบาง |
กระแจะจวงจันทน์นางละลายทา |
ของหวานวอนให้เจ้าแก้วกิน |
คอยประคิ่นโต๊ะตั้งทั้งซ้ายขวา |
ให้หมากพลูบุหรี่ด้วยปรีดา |
แล้วซุบซิบสนทนาเสนาะใน |
ถ้อยทีถ้อยมีเสนหา |
กำเริบรสกามาหมื่นไหม้ |
ฟักฟูมอุ้มแอบด้วยอาลัย |
ต่างมิใคร่จะสนิทนิทรา |
พระจันทร์แจ่มกระจ่างนภากาศ |
เทวราชเร่งราชรถา |
สถิตในทิพรัตน์ลีลามา |
จับแสงดาราดิเรกราย |
สกุณากาไก่สนั่นก้อง |
นํ้าค้างต้องบุปผชาติแย้มขยาย |
แมลงภู่เคล้าเกสรขจรจาย |
พระสุริย์ฉายเร่งรีบรถทะยาน |
เผยอแย้มแจ่มกระจ่างสว่างทิศ |
สะดุ้งจิตรกล่าวเกลี้ยงด้วยคำหวาน |
จะลาพิมนิ่มสนิทคิดรำคาญ |
ปิ้มปานจะตายจากพรากพิมไป |
พอคํ่ายํ่าแสงสุริยา |
พี่จะมามั่นคงอย่าสงสัย |
ค่อยอยู่เถิดแก้วตาจะลาไป |
ใจพี่นี้จะขาดลงรอนรอน ฯ |
๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย |
ถอนใจสะอึกสะอื้นอ้อน |
ระทวยทอดกอดแก้วยิ่งอาวรณ์ |
พ่อมานอนให้พิมนี้ตรอมใจ |
ก็สาสมที่อารมณ์เราโฉดชั่ว |
รักตัวแล้วหารักสบายไม่ |
เช้าคํ่าจะรํ่าโศกเสมอไป |
สักเมื่อไรจะหายวายรำคาญ |
รักพิมพิมรักพี่พลายแก้ว |
รักแล้วปลูกรักมาหักหาญ |
มาหักต้นโค่นทิ้งทรมาน |
โอ้รักก็จะรานไปแรมไกล |
แม่ตีฤๅพี่สายทองด่า |
จะปรึกษาปรารภกับใครได้ |
ถึงทรวงร้อนเหมือนนอนในกองไฟ |
พ่ออยู่ไกลไหนจะแจ้งซึ่งกิจจา |
พ่ออยู่วัดขัดเคืองขึ้นข้างบ้าน |
สุดที่พิมจะด้านออกไปหา |
คํ่าแล้วพ่อแก้วจงกลับมา |
ให้เห็นหน้าทุกคืนพอชื่นใจ ฯ |
๏ เจ้าพลายแก้วปลอบแล้วลูบประโลม |
พี่รักโฉมหาให้ห่างระคางไม่ |
ไก่แก้วขันแจ้วจะจำไกล |
อย่าเสียใจพี่จะมาหาทุกคืน |
พอพลบจะหลบมาโลมน้อง |
ถึงแห่งห้องให้หายโศกสะอื้น |
จากพิมปิ้มพี่นี้ต้องปืน |
ขยับยืนส่งพี่พอพ้นเรือน |
ปลอบพลางทางโอบกระหวัดอุ้ม |
ฟักฟูมฟายน้ำตาหน้าเฝื่อน |
ถึงประตูหรุบรู่ด้วยแสงเดือน |
นี่เนื้อเหมือนกรรมวิบากระบมใจ |
แสงทองส่องฟ้ามาเหลืองเหลือง |
จะย่างเยื้องจากนางไม่ย่างได้ |
ทรุดนั่งพะวังพะว้าด้วยอาลัย |
ประโลมจูบลูบไล้ไม่สมประดี |
ปิดประตูอยู่เถิดนะน้องเอ๋ย |
อย่าโศกเลยลุกเลื่อนออกจากที่ |
แสนสวาดิไม่น้อยร้อยทวี |
ยิ่งเหลียวหลังยิ่งมีอาลัยลาน |
พิมน้อยละห้อยหับประตูแล้ว |
พลายแก้วแข็งใจไปจากบ้าน |
ถึงวัดลัดหนีท่านสมภาร |
นมัสการชีต้นให้บวชพลัน ฯ |