ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน

๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ปรารภจะประพาสพนาศรี
ด้วยข่าวข้างทางสุพรรณบุรี ว่ากระบือเถื่อนมีอยู่มากครัน
จึงดำรัสตรัสสั่งขุนศรีวิชัย มึงเร่งกลับไปสุพรรณนั่น
บอกอ้ายขุนไกรใจฉกรรจ์ ให้คุมไพร่พวกมันไปเตรียมการ
อีกห้าวันกูจะออกไปแรมไพร ล้อมไล่มหิงสากล้าหาญ
ให้หาที่ดอนใหญ่ใกล้ลำธาร จะตั้งค่ายรายด่านลานพลับพลา
อ้ายเหล่าอาสาห้าร้อยปลาย ให้เร่งไล่ฝูงควายมาไว้ท่า
แล้วพระองค์ทรงผินพระพักตร์มา สั่งพระยาเดโชผู้ชัยชาญ
จงเร่งรีบรัดจัดกระบวน เลือกล้วนชาวเจ้าเหล่าทหาร
อิกทั้งพลม้าคชาธาร ให้พร้อมในห้าวารจะยกไป ฯ
๏ ฝ่ายพระยาเดโชผู้รับสั่ง มาทิมดาบกรมวังหาช้าไม่
สั่งการนายชำนาญในทันใด รับสั่งให้หมายทั่วพนักงาน
จะเสด็จประพาสพนาวา ล้อมไล่มหิงสากล้าหาญ
นายเวรกรมวังได้ฟังการ เขียนหมายลนลานลงทันใจ
เขียนแล้วก็ส่งให้นักการ รับหมายเดินงานไม่ช้าได้
ส่งให้นายเวรมหาดไทย เร่งหมายบอกออกไปให้ทั่วกัน
ฝ่ายว่านายควรมหาดไทย เอาหมายไปเรียนท่านผู้ใหญ่นั่น
บัดนี้จะเสด็จเมืองสุพรรณ ให้ห้าวันตามที่มีหมายมา ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี ครั้นแจ้งคดีแล้วให้หา
พันพุฒพันจันท์มิทันช้า พร้อมกันที่ศาลาลูกขุนใน
เรียกทั้งพันเภากับพันภาณ เอาบาญชีคลี่อ่านหาช้าไม่
เกณฑ์ช้างม้าผู้คนสับสนไป พนักงานของใครให้รีบมา
สั่งให้พันจันท์นั้นแต่งทาง ให้ราบรื่นฟื้นถางให้หนักหนา
ประมาณทางกว้างได้สักแปดวา จงเร่งรัดอย่าช้าในห้าวัน ฯ
๏ ฝ่ายว่าขุนศรีวิชัย ขี่ช้างวางไปกับลูกนั่น
ข้ามทุ่งมุ่งมาเมืองสุพรรณ จนตะวันสิ้นแสงลงลับไพร
ให้ขับช้างตะบึงมาถึงบ้าน เขียนหมายลนลานไม่ช้าได้
สั่งให้ทนายนั้นถือไป ถึงท่านขุนไกรผู้ภักดี
ทนายรับหมายแล้วไคลคลา วิ่งมาครู่หนึ่งก็ถึงที่
ส่งให้ขุนไกรในทันที แจ้งเรื่องตามมีในหมายไป ฯ
๏ ครานั้นขุนไกรใจหาญ รับหมายแล้วอ่านหาช้าไม่
สั่งนายหมวดพลันทันใด จงเที่ยวติดตามไพร่ให้รีบมา
สั่งเสร็จพอเวลาเข้าไต้ไฟ ขุนไกรก็เข้าในเคหา
กับนางทองประศรีภิริยา ทั้งบุตรพลายแก้วแววไว
ให้มีลางคืนนั้นสนั่นอึง แมลงมุมตีอกผึงหาหยุดไม่
สยดสยองพองขนทุกคนไป เย็นยะเยือกจับใจไปทุกยาม
ทองประศรีนอนหลับแล้วกลับฝัน ความกลัวตัวสั่นตกใจหวาม
สะดุ้งฟื้นตื่นขึ้นให้ครั่นคร้าม อารามตกใจปลุกซึ่งสามี
ขุนไกรถามไปว่าอะไรเจ้า นางจึงเล่าความฝันนั้นถ้วนถี่
ว่าฟันฉันหักกระเด็นเห็นไม่ดี ช่วยทำนายฝันนี้ให้แจ้งใจ
ขุนไกรได้ฟังดังใครผลาญ เอ๊ะจะมีเหตุการเป็นข้อใหญ่
ถ้ากูทำนายว่าร้ายไป ทองประศรีที่ไหนจะห่างตัว
ไม่ร้ายดอกฝันดีจะมีสุข เจ้าอย่าเป็นทุกข์จงฟังผัว
แต่ใจคิดครั้งนี้มิรอดตัว น่ากลัวกูจะม้วยด้วยกระบือ ฯ
๏ ครั้นรุ่งสางล้างหน้าคว้าพลายแก้ว สว่างแล้วยังไม่ตื่นขึ้นเจียวฤๅ
อุ้มลูกประคองทั้งสองมือ ประจงจูบลูบถือแต่เบาเบา
พลายแก้วลืมตาคว้ากอดคอ หม่อมพ่อจะไปข้างไหนเล่า
ลุกขึ้นทำไมยังไม่เช้า ดังพ่อเจ้าจะหนีลูกนี้ไป
ขุนไกรได้ฟังลูกชายว่า ยกทูนเกศาน้ำตาไหล
อุ้มลูกเข้ากอดทอดถอนใจ พ่อนี้มิใคร่จะไปเลย
ด้วยรับสั่งจำเพาะเจาะมา สุดปัญญาพ่อแล้วพลายแก้วเอ๋ย
น่าที่แต่นี้จะห่างเชย กะไรเลยวิปริตเห็นผิดใจ
จึงเหลียวหน้ามาสั่งทองประศรี ลูกของเราเท่านี้เอาใจใส่
ยังเด็กอ่อนนอนนั่งระวังระไว เจ้าเลี้ยงพลายแก้วไว้ให้จงดี
ถ้าหากว่าผิดพลั้งจงสั่งสอน อย่าสลัดตัดรอนให้หน่ายหนี
อุตส่าห์สอนวิชาบรรดามี ให้ลูกนี้สืบวงศ์พงศ์พลายไป ฯ
๏ ทองประศรีได้ฟังผัวสั่งสอน เห็นผิดกว่าแต่ก่อนก็สงสัย
ทั้งกอดจูบลูกยาเห็นอาลัย ดูพิไรน้ำคำรํ่าสั่งเมีย
จะไปไหนไม่เหมือนดังครั้งนี้ วิปริตผิดทีมาสั่งเสีย
เข้าประคองตีนผัวทูนหัวเมีย ดังไฟเลียลามไหม้ในใจน้อง
ยิ่งคิดยิ่งวิตกเพียงอกหัก ผัวรักจักไปไกลจากห้อง
พอแลดูหน้าผัวขนหัวพอง ทองประศรีเศร้าจิตรคิดแปลกใจ ฯ
๏ ครานั้นขุนไกรใจกล้า นุ่งผ้าคว้าดาบหาช้าไม่
ลุกออกจากห้องย่องเดินไป ให้อาลัยห่วงเมียละเหี่ยนัก
เหลียวหน้ามาดูเจ้าพลายแก้ว สุดใจพ่อแก้วเพียงอกหัก
น้ำตาคลอตาประหม่านัก ตัดรักหักใจแล้วไคลคลา
คุมคนออกจากเมืองสุพรรณ ถึงเขาพระพอตะวันจะลับหล้า
สั่งไพร่ให้สำรวจตรวจตรา คอยท่ารับเสด็จพระภูธร ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงสวัสดิ์ พูนพิพัฒน์ภิญโญสโมสร
ไสยาสน์เหนืออาสน์อลงกรณ์ ในแท่นที่บรรจถรณ์อันพรายพรรณ
ทรงสดับจำเรียงเสียงขับกล่อม สะพรั่งพร้อมสาวสุรางค์ดังนางสวรรค์
บำเรอราชบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ เกษมสันต์สำราญหฤทัย
รวยรื่นชื่นกลิ่นบุปผากรอง ประทีปแก้วแสงส่องจำรัสไข
ทรงดำริราชการงานเวียงชัย จนประทมหลับไปในราตรี ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าฝ่ายเจ้าพนักงาน เตรียมการโดยกระบวนถ้วนถี่
กรมช้างจัดช้างที่ตัวดี คนขี่ครบทั่วตัวคชา
จ่าดาบขวาซ้ายก็จ่ายเครื่อง ขนเนื่องมาวางไว้ข้างหน้า
กรมช้างพลางผูกมิทันช้า เบาะอานผ่านหน้าดาราราย
สองหูพู่จามรีกรอง ปกตระพองทองพร้อยห้อยตาข่าย
แต่ล้วนช้างพระที่นั่งทั้งพังพลาย หลากหลายเข้ากระบวนส่วนคชา
พระที่นั่งพุดตานสำหรับเสด็จ ผูกเสร็จทอดพระแสงแสนสง่า
นายทรงบาศเป็นควาญชำนาญมา ใส่ครุยกรองนุ่งผ้าสมปักลาย
ผูกทั้งพระที่นั่งกระโจมทอง วงพระสูตรรูดคล้องเป็นสองสาย
เบาะปักหักทองขวางสล้างลาย เขนยอิงพิงฝ่ายประปฤษฎางค์
ผูกทั้งพระที่นั่งเถลิงศอ พระยี่ภู่ปูคอกันกระด้าง
พระที่นั่งประพาสโถงแรมทาง ต่างต่างแลล้วนละกลกัน
หมอควาญนุ่งลายใส่เสื้อ ประจุเจือเวทมนตร์ดลขยัน
เจียระบาดคาดกับปั้นเหน่งพลัน จัดสรรเลือกล้วนแต่ตัวดี
ถัดมาช้างที่นั่งต่างกรม ข้าไทเกณฑ์ระดมอยู่อึงมี่
ทั้งช้างดั้งช้างกันนั้นมากมี หมอควาญขับขี่อยู่ครบครัน
หน้าช้างสล้างล้วนเหล่าทหาร เพียงจะราญรอนรบภพสวรรค์
กระบวนช้างพร้อมสรรพฉับพลัน จึงจัดสรรอัสดรที่ตัวดี
พระยาศีเสาวพ่าห์จัดม้าต้น หลวงทรงพลเตรียมกระบวนเป็นถ้วนถี่
ให้นายม้าผูกม้าพาชี ล้วนขับขี่แคล่วคล่องว่องไว
ม้าต้นพระที่นั่งตัวประเสริฐ ลํ้าเลิศทั้งสองผ่องใส
ผ่านดำขำเหลืองเรืองวิไล สูงได้สามศอกโดยประมาณ
ผูกเครื่องกุดั่นฝรั่งเศส อย่างเทศพรรณรายฉายฉาน
พระแสงปืนซ้ายขวาอาชาชาญ เบาะอานปักเอี่ยมอุไรมี
โกลนทองคล้องห้อยพลอยประดับ วาบวับจับคลุมกำมะหยี่
ไหมทองถักบังเหียนแนบเนียนดี งามสมพาชีที่โสภา
ม้าหนึ่งชื่อว่าพลาหก ม้าหนึ่งชื่อกระหนกภูษา
นายม้าจูงประคองทั้งสองม้า ขุนหมื่นขี่อาชามาในกระบวน
ขุนนางขี่ช้างตามเสด็จ เตรียมเสร็จตามที่ถี่ถ้วน
หัวพันเที่ยวสำรวจตรวจจำนวน เวลาจวนก็พร้อมพลนิกร ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ทุกประเทศฦๅลบสยบสยอน
ครั้นจวนแจ้งแสงศรีรวีวร พระภูธรเสด็จสู่ที่สรงชล
ไขสุหร่ายหยัดย้อยเป็นฝอยฟอง อาบละอองต้องพระองค์ดังสายฝน
น้ำกุหลาบหอมฟุ้งจรุงปน ทรงสุคนธาประทิ่นกลิ่นโอฬาร
สาวสนมกรมในเป็นขนัด รำเพยพัดเสร็จทรงสรงสนาน
จับพระแสงข้างที่มิทันนาน พระภูบาลออกท้องพระโรงชัย
ชาวภูษามาลาก็เชิญเครื่อง คลานเนื่องกันเข้ามาหาช้าไม่
ทรงเครื่องต้นสำหรับประพาสไพร ตามพิชัยฤกษ์กำลังวัน
สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกาบ พระภูษาเข้มขาบริ้วทองคั่น
ฉลององค์ทรงประพาสในวันนั้น กำมะหยี่สีอัญชันพรรณราย
สายรัดพระองค์ทรงข้างนอก ริ้วทองกรองดอกเฉิดฉาย
พระแสงน้อยเหน็บพระองค์ตรงข้างซ้าย พระธำมรงค์เพชรรายอร่ามเรือง
ทรงพระมาลาพื้นดำ ประดับบุษราคัมน้ำเหลือง
พระแสงดาบคาบค่ายทำลายเมือง ย่างเยื้องเสด็จขึ้นเกยพลัน
กลองชนะตีจ้าท้าเชิญเสด็จ กระบวนหน้าเตรียมเสร็จเป็นเหล่าหลั่น
ต่างถวายบังคมลงพร้อมกัน เสด็จจากเกยสุวรรณทันที
ทรงช้างพระที่นั่งพุดตานทอง กระทั่งแตรแซ่ฆ้องซ้องเสียงปี่
กึกก้องทั่วท้องธรณี ให้เคลื่อนโยธีเป็นทิวไป ฯ
๏ เสียงกระดึงคอช้างดังโหน่งโหน่ง โหยงโหยงม้าวางควบย่างใหญ่
เครื่องสูงบังแทรกอยู่ชั้นใน ธงทิวปลิวไสวใบโบกบน
คลายคลี่โยธีอันหาญฮึก ก้องกึกอลหม่านอยู่สับสน
เสียงสนั่นครั่นครื้นภูมิดล เสียงพลเพียงปัถพีพัง
โล่เขนดาบดั้งทั้งหอกทวน ตามกระบวนพยุหบาตรหน้าหลัง
พลม้าร่าเริงด้วยกำลัง พลช้างช้างดั้งทั้งกันแซง
พลปืนถือปืนปลายหอก พลดาบดาบกลอกออกเป็นแสง
พลทวนถือทวนกระบวนแซง พลดั้งเสึ้อแดงดูดาษไป
เสียงเอิกเกริกอึงคะนึงก้อง ทั้งฆ้องกลองดนตรีปี่ไฉน
ออกทุ่งมุ่งป่าพนาลัย ตัดไปข้ามท่าวาริน
ผู้คนช้างม้าดาดาษ ฝูงสัตว์จัตุบาทก็ตื่นสิ้น
นกหกตกใจผวาบิน โผผินร่อนร้องระงมดง ฯ
๏ พระเสด็จโดยทางพนมมาศ ชมเถินเนินสะอาดร่มระหง
ชื้อชิดมิดแสงพระสุริยง วิหคหงส์ร่อนร้องระวังไพร
นกแก้วจับต้นตุมกาพลอด นกกรอดจับเถาตำลึงใหญ่
สาลิกาจับเกดเข้าบังใบ เขาไฟจับต้นรกฟ้าคู
วายุภักษ์จับกิ่งแสลงพัน เบญจวรรณจับหว้าอยู่เคียงคู่
เค้าโมงจับโมกแล้วเมียงดู กระลุมพูจับบนต้นโพบาย
นกเขาจับข่อยขันก้อง ดุเหว่าร้องจับหว้าแล้วผันผาย
ค้อนหอยจับเหียงเรียงราย กระสาจับกระสังส่ายหมายมองปลา
กะทาจับต้นโคนดินสอ ปักก้อพองขนแล้วขันจ้า
อัญชันจับเชิงบรรพตา สร้อยอิร้าคาบลูกพุมเรียงบิน
ชมแถวแนวเถินเนินบรรพต เป็นหลั่นลดซับซ้อนชะง่อนหิน
วุ้งเวิ้งเชิงผาชลาริน ดังเพชรนิลกระจ่างอยู่พร่างพราย
เปลวปล่องช่องผาศิลาชะงัก เป็นตระพักชะโงกเงื้อมดูแหงนหงาย
เต็งรังปริงปรูประดู่ลาย งอกรายริมเชิงบรรพตา
บ้างผลิดอกออกช่ออรชร พระพายพัดขจรกลิ่นบุปผา
บ้างทรงผลหล่นกลาดพสุธา ฝูงทิชาจับจิกเหล่าลิงชิง
ลิงค่างบ่างชะนีก็ครวญร้อง พยัคฆ์มองหมายละมั่งลงหมอบนิ่ง
กระต่ายเต้นเม่นหมีชะนีลิง โดดโผนโจนวิ่งด้วยตกใจ
ชมพลางมาในทางพนมชัฏ เลี้ยวลัดตามเถินเนินไศล
รีบเร่งรี้พลสกลไกร ถึงดอนใหญ่ให้หยุดซึ่งโยธี
ให้ตั้งตำหนักห้างลงกลางไพร แรมอยู่ที่ในพนาศรี
จึงตรัสสั่งขุนไกรไปทันที พรุ่งนี้มึงไปไล่กระบือมา
แล้วสั่งฤทธานนต์ให้ทำคอก เอาไม้ปักรอบนอกให้แน่นหนา
ทั้งสองรับสั่งบังคมลา ออกมาเร่งรัดจัดการ ฯ
๏ หลวงฤทธานนต์ผู้รับสั่ง มาเรียกพวกล้อมวังอลหม่าน
นายหมวดตรวจคนอยู่ลนลาน ปั่นด้านแผ้วถางต่างตรวจตรา
ให้ชำระพุ่มพงดงชัฏ แต่งตัดเริงรามหนามหนา
บ้างจักตอกบ้างออกไปเกี่ยวคา บ้างจุดพงเผาป่าแล้วทำทาง
บ้างฟันบ้างถากบ้างลากฉุด บ้างปักบ้างขุดอยู่ยุ่งย่าง
ให้ตั้งคอกใหญ่ไว้ตรงกลาง บ้างถากถางตัดฟันแล้วบั่นรอน
บ้างไปทิ้งเถาวัลย์ขันชะเนาะ ผูกเป็นเปลาะบ้างรัดมัดเป็นท่อน
ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็อาวรณ์ มุลนายตีต้อนต้องก้าวยาว
บ้างเหนื่อยนักหยุดพักลงนอนกรน ถูกนายหมวดหวดก้นดังขวับขวาว
ตื่นวิ่งตกใจไปเป็นระนาว เกรียวกราวสาละพาฮาเฮโล
บ้างฉวยฉุดยุดลากกระชากอาด พวนขาดไม้ลัดเอาร้องโล่
ทำคอกตอกหลักลงใหญ่โต บ้างโห่บ้างร้องอยู่ก้องไพร
ผู้ตรวจกวดขันรันโบยตี คนละทีสองทียกมือไหว้
ถึงจะเบื่อเหลือทนก็จนใจ น้ำตาไหลหลีกหลบกระทบกัน
ฝนตกห่าใหญ่ลงในดง เดินหลงล้มกลิ้งอยู่ตัวสั่น
บ้างซุกซ่อนเข้าไปนอนในไพรวัน จนสายัณห์หยุดงานสำราญใจ
บ้างเก็บผักหักฟืนบ้างยืนเยี่ยว บ้างก็เที่ยวค้นคว้าหาเป็ดไก่
บ้างหุงข้าวนอนหลับกับเตาไฟ บ้างเหื่อไหลเต็มอ่อนลงนอนกรน ฯ
๏ ครานั้นขุนไกรพลพ่าย ครั้นรุ่งเช้าเรียกทนายอยู่สับสน
แล้วพาพวกอาสาห้าร้อยคน เที่ยวไล่ค้นกระบืออื้ออึงไป
ลอดลัดสกัดทางในกลางดง เวียนวงตามเถินเนินไคล
โห่ร้องก้องสนั่นพนมไพร จุดไฟเผาพงเป็นวงมา
ควันคลุ้มกลุ้มกลบตรลบไป เปลวไฟโพลงพลามลามป่า
ไม้ไหล้ไหม้ยับอรัญวา งูเห่าเต่าฝาก็บรรลัย
เนื้อเบื้อเสือสางกวางทราย หมีหมูหมู่กระต่ายไม่อยู่ได้
ลิงค่างโลดโผนโจนจากไม้ นกหกตกใจไปทั้งดง
กระบือเถื่อนใหญ่น้อยนับร้อยพัน หวาดหวั่นวิ่งกระเจิงละเลิงหลง
ตกใจด้วยไฟนั้นไหม้พง เสียงคนโห่ส่งก็ตรงมา
บ้างแหงนหงายลองเชิงเบิ่งบิด อ้ายเพื่อนกันรันขวิดขึ้นมาหน้า
เสียงเขากระทบกันสนั่นป่า ป่วนปั่นเป็นบ้าละลานใจ
ฝูงกระบือยัดเยียดเบียดกัน เสียงคนโห่สนั่นหวั่นไหว
ทั้งม้าล่อฆ้องกลองตะขาบไฟ อื้ออึงคะนึงไปในไพรวัน ฯ
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา เสด็จบนพลับพลาแล้วผินผัน
เห็นกระบือใหญ่น้อยสักร้อยพัน ยัดเยียดเบียดกันอยู่วุ่นวาย
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนไกร เป็นไรมิต้อนให้เข้าค่าย
มึงไว้ใจแต่ไพร่ให้ไล่ควาย มึงลอยชายอยู่เปล่าไม่เข้ายา ฯ
๏ ขุนไกรได้ยินพระโองการ เผ่นทะยานจับหอกออกยืนหน้า
พวกไพร่โห่ฉาวเกรียวกราวมา ฝูงกระบือเป็นบ้าอยู่ลนลาน
ตื่นครื้นโลดโผนโดนโดด อ้ายงอนโกรธออกหน้ากล้าหาญ
มันไล่ขวิดผู้คนอลหม่าน ขุนไกรก็ทะยานออกยืนรับ
ถีบโดดโลดแทงเป็นกังหัน เสียงหอกสนั่นอยู่ฉับฉับ
ถูกควายตายล้มลงย่อยยับ จะนับก็ได้สักร้อยปลาย
ฝูงกระบือเจ็บคลั่งกำลังตื่น แหกครืนเข้าป่าพากันหาย
วิ่งแยกแตกกระจัดพลัดพราย ที่ตายก็ตายอยู่เต็มไป ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กริ้วโกรธตละพิษเพลิงไหมั
ดังลมกาลพานพัดขัดพระทัย ไขพระสุรเสียงประเปรี้ยงมา
เหม่เหม่ดูดู๋อ้ายขุนไกร แทงกระบือน้อยใหญ่เสียหนักหนา
แกล้งแทงเล่นกูเห็นอยู่ต่อตา จนแตกหนีเข้าป่าพนาลัย
เหวยเหวยเร่งเร็วเพชฌฆาต ฟันให้หัวขาดไม่เลี้ยงได้
เสียบใส่ขาหยั่งขึ้นถ่างไว้ ริบสมบัติข้าไทอย่าได้ช้า
ฝ่ายพวกเพชฌฆาตอาจอง รับสั่งแล้วตรงเข้าฉุดคร่า
ได้ตัวขุนไกรมัดไพล่มา ตอกหลักแล้วว่าให้ก้มลง ฯ
๏ ครานั้นฝ่ายว่าตาขุนไกร ตกใจดังจะยับเป็นผุยผง
ตัวสั่นขวัญหนีเหมือนผีลง จะดำรงกายได้ก็เต็มที
หน้าซีดผาดเผือดจนเลือดหาย ภูตพรายในตัวก็หลีกหนี
สิ้นสติตัวสั่นขวัญไม่มี ดังจะดับชีวีในทันใด
โอ้ว่าอนิจจานะอกเอ๋ย กะไรเลยเกิดเหตุขึ้นจนได้
เมื่อจะมาวันนั้นก็พรั่นใจ เป็นลางใหญ่กู่ก้องในห้องเรือน
ทองประศรีแก้วพี่ก็ฝันร้าย จึงแกล้งทำนายเสียป่นเปื้อน
กรรมทันพี่แล้วแก้วเพื่อนเรือน เจ้านับวันแล้วจะเลื่อนเป็นปีไป
สุดคิดพี่แล้วแก้วพี่เอ๋ย ที่ไหนเลยจะได้คืนไปรักใคร่
เป็นวิบากจะจากเจ้าจำไกล สุดใจด้วยต้องอาญาตาย
อนิจจาลูกข้ายังเล็กอยู่ ไหนจะรู้ว่าพ่อมาฉิบหาย
ขุนไกรกลิ้งเกลือกลงเสือกกาย ฟูมฟายน้ำตาแล้วพาที
อ้อนวอนเพชฌฆาตทั้งหลายว่า ไหนไหนตัวข้าจะเป็นผี
ท่านจงเอ็นดูด้วยช่วยปรานี บอกนางทองประศรีให้แจ้งใจ
ว่าข้าขุนไกรนั้นถึงกาล ท่านประหารชีวิตให้ตักษัย
ให้เจ้าระวังตัวกลัวภัย ว่าแล้วรํ่าไรไม่สมประดี
โอ้โอ๋อนิจจาตัวกูเอ๋ย กรรมสิ่งไรเลยไม่พอที่
มาตายอยู่ในป่าพนาลี ซากผีจะเป็นเหยื่อแก่แร้งกา
ลูกแก้วก็มิได้มาเห็นผี ทองประศรีก็มิได้มาเห็นหน้า
จึงเรียกฤทธานนต์สหายมา ช่วยบอกกับเมียข้าให้แจ้งใจ
หลวงฤทธานนต์ได้ฟังสั่ง น้ำตาไหลหลั่งไม่กลั้นได้
เกลอเอ๋ยอย่าอาวรณ์ร้อนรนไป จะเป็นห่วงบ่วงใยทำไมมี
อุตส่าห์บริกรรมภาวนา เมื่อเวรามาแล้วก็ถึงที่
ใครจะอยู่คํ้าฟ้าทั้งตาปี ถึงพระศุลีอินทร์จันทร์ย่อมบรรลัย
ต้องจุติจากสวรรค์ชั้นฟ้า เกิดมาแล้วหาพ้นความตายไม่
ขุนไกรฟังสหายค่อยคลายใจ บรรยายสอนให้ทุกสิ่งอัน
ค่อยระงับดับความโศกา ภาวนาประนมมือถือมั่น
คิดถึงคุณพระพุทธพระธรรมนั้น อภิวันท์พระสงฆ์ทรงศีลา
ทั้งคุณบิดามาตุเรศ บังเกิดเกศก่อเกล้าเกศา
ขออำนาจจะประกาศแก่เทวา ให้ทราบทั่วฟากฟ้าสุธาธาร
ด้วยตัวข้าขุนไกรกระทำผิด ถึงชีวิตจะม้วยสังขาร
จะตายด้วยความสัตย์ปฏิญาณ อย่างพงศ์พลายฝ่ายทหารอันชาญชัย
ปากว่าตาปิดจิตรปลง ระงับลงไม่พรั่นหวั่นไหว
ก้มหน้าหลับตาภาวนาไป ได้ที่ให้นิ้วเขาฟันลง
เพชฌฆาตฟาดด้วยดาบอันคมกล้า ขุนไกรชีวาเป็นผุยผง
ดวงจิตรพอระงับดับลง ทำมะรงเอาศพไปเสียบไว้ ฯ
๏ ครานั้นหลวงฤทธานนต์ เห็นสหายของตนนั้นตักษัย
เขียนหนังสือลับพลันทันใด แล้วสั่งนายไหมมิได้ช้า
เอ็งเร่งไปสุพรรณบุรี บอกนางทองประศรีเหมือนกูว่า
รับสั่งให้ริบเอาตัวมา บอกแม่รักอย่าให้นอนใจ
นายไหมรับคำแล้วอำลา จัดแจงย่ามละว้าคว้าหอกใหญ่
ได้มีดเหน็บหลังเก้กังไว้ ประเดี๋ยวใจเข้าป่าพนาลี ฯ
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา เสด็จประทับพลับพลาพนาศรี
ประพาสป่ามาได้หลายราตรี พระภูมีจะคืนเข้าเวียงชัย
จึงตรัสสั่งพระยาเดโชพลัน ให้ประกาศพลขันธ์น้อยใหญ่
จะเลิกประพาสพนาลัย กลับไปในรุ่งพระสุริยา
พระยาเดโชให้บัตรหมาย ทั้งไพร่นายเตรียมกระบวนถ้วนหน้า
ตั้งริ้วผูกระวางช้างม้า คอยท่ารับเสด็จพระภูมี
ครั้นรุ่งรางสางแสงทินกร พระเสด็จบทจรออกจากที่
สระสรงทรงเครื่องเรืองมณี จรลีขึ้นประทับที่เกยชัย
ทรงช้างพระที่นั่งหลังคาทอง ม่านชิดปิดป้องทั้งสองไข
ให้คลายคลี่รี้พลสกลไกร ช้างแซงม้าใช้ก็ตามมา
พลปืนดาบดั้งทั้งทวนทอง เป็นแถวถ่องแต่ล้วนเหล่าอาสา
รีบเร่งพลไกรไคลคลา ถึงกรุงอยุธยาด้วยฉับพลัน ฯ
๏ นายไหมไปถึงบ้านทองประศรี แกไต่ถามทันทีขมีขมัน
มีธุระทำวนสิ่งไรนั้น กินหมากด้วยกันอย่าเกรงใจ
นายไหมพอจะบอกออกปากว่า น้ำตาคลอตาลงหลั่งไหล
ว่าธุระหลวงฤทธานนต์ใช้ แจ้งอยู่ในหนังสือนี้มากมาย
หนังสือว่ามาถึงทองประศรี อันขุนไกรสามีเพื่อนสหาย
ต้องรับพระราชอาญาตาย เสียบไว้หน้าค่ายกระบือนั้น
รับสั่งให้ริบเอาลูกเมีย หนีเสียอย่าอยู่ที่บ้านนั่น
ออกไปให้พ้นแดนสุพรรณ หนังสือมาณวันจงแจ้งใจ ฯ
๏ ทองประศรีแจ้งความตามหนังสือ สองมือข้อนอกเข้าร้องไห้
โศกาปิ้มว่าจะบรรลัย กลิ้งเกลือกเสือกไปไม่สมประดี
นางครวญครํ่ารํ่าว่าอยู่ว้าวุ่น โอ้พ่อคุณสูญหายตายเป็นผี
ไม่เจ็บไข้เมื่อไปยังอ้วนพี ไม่พอที่ถูกฟันจนบรรลัย
เสียแรงพ่ออยู่ยงคงกระพัน ใครใครทั้งนั้นไม่สู้ได้
คืนนั้นเมียฝันไม่พรั่นใจ ครั้นบอกให้ก็ทำนายทายว่าดี
แต่ก่อนร่อนชะไรไม่พลั้งพลาด ควรฤๅมาประมาทไปถึงที่
ทอดทิ้งลูกเมียเสียอย่างนี้ นี่จะให้หันหน้าไปหาใคร
ยังจะถูกเขาริบเอาฉิบหาย จะทรงร่างค้างกายที่ไหนได้
แม่ลูกสองคนเป็นจนใจ นางสะอึกสะอื้นไห้อยู่ไปมา
เหลียวหน้ามาเห็นเจ้าพลายแก้ว รู้แล้วฤๅพ่อนั้นสังขาร์
เจ้ากำพร้าพ่อแล้วแก้วแม่อา พลางกอดลูกยาเข้าจาบัลย์
เจ้าพลายแก้วสะอึกสะอื้นอ้อน ไม่หลับนอนก่นแต่จะโศกศัลย์
ทองประศรีแสนเศร้าเฝ้ารำพัน กรรมทันแล้วจะทำฉันใดดี
เหย้าเรือนจะเย็นเป็นป่าช้า ฝูงข้าจะกระจัดกระจายหนี
กรมการสุพรรณจะยํ่ายี ไม่อยู่นี่ได้แล้วแก้วแม่อา
ข้าไทได้ฟังทองประศรี โศกีรํ่าไรไปหนักหนา
ชวนกันไม่กลั้นซึ่งน้ำตา ต่างก็มาร้องไห้อยู่อื้ออึง
อาลัยขุนไกรทุกตัวคน บางก็มาตีตนแล้วบ่นถึง
พ่อไม่ถือโทษโกรธขึ้ง ข้าไทได้พึ่งทุกเวลา
จะไปไหนไม่มีใครข่มเหง เขาเกรงพ่อขุนไกรไปทุกหน้า
แต่นี้มีแต่เขาจะบีฑา พวกบ่าวไพร่บ่นบ้าอยู่วุ่นวาย ฯ
๏ เย็นวันนั้นเวียงวังคลังนา กับตำรวจซ้ายขวามามากหลาย
บ่าวไพร่ใหญ่น้อยสักร้อยปลาย ให้รายรอบรั้วบ้านท่านขุนไกร
ฝ่ายผู้รั้งราชการเมืองสุพรรณ ว่าตะวันพลบคํ่าจะเข้าได้
จะเข้าริบวันนี้ผิดทีไป พรุ่งนี้จึงจะได้ทำบาญชี
ครั้นแล้วจัดกันให้กองไฟ เร่งระวังบ่าวไพร่อย่าให้หนี
ล้อมไว้ในเวลาราตรี พรุ่งนี้เราจึงจะทำการ ฯ
๏ ครานั้นฝ่ายนางทองประศรี เห็นคนอึงมี่อยู่รอบบ้าน
ตกใจลุกล้มซมซาน ลนลานอุ้มเอาเจ้าพลายแก้ว
ฉวยเงินสองถุงกับกระบุงทะลุ เอาผ้าปะปุโดดเรือนแหยว
สองมือแหกช่องทางล่องแมว บังเงาเข้าแนวแถวเสาเรือน
โก้งโค้งลงมองทางช่องรั้ว ลอดตัวออกมาหน้าตาเปื้อน
จูงลูกหลบแลงตามแสงเดือน พบเพื่อนบ้านเก่าเข้าขอทาน
แม่เอ๋ยข้าวปลาข้าหมดสิ้น ไม่มีกินเขาริบเสียทั้งบ้าน
เพื่อนเรือนแผ่เผื่อช่วยเจือจาน ได้ข้าวสารผักปลาแล้วคลาไคล
พ้นบ้านขึ้นต้นไม้ไขว่ห้างนอน อ้อนวอนปลอบลูกอย่าร้องไห้
แม่ลูกเขาจะผูกเอาคอไป นางกอดลูกเข้าไว้แล้วโศกา
โอ้ว่าพลายแก้วของแม่เอ๋ย เกิดมาไม่เคยจะนอนป่า
ตกยากกรากกรำกับมารดา กำพร้าเพื่อนแม่แม่ปรานี
ได้ยินนกยูงทองร้องในไพร เหมือนเสียงตาขุนไกรที่เป็นผี
พ่อคุณช่วยรักษาในราตรี อย่าให้สัตว์เสือหมีมากล้ำกราย
อยู่บ้านห้างยามดึกนางนึกพรั่น ให้หวั่นหวั่นกลัวภัยใจคอหาย
เอาชายผ้ามาผูกเอวลูกชาย จะตกต้นไม้ตายมิไว้ใจ
อิกชายหนึ่งกระหวัดรัดมั่นคง ผูกลงกับกิ่งต้นไม้ใหญ่
ไม่มีผ้าผูกเปลจะเห่ไกว ค่อยเอามือลูบไล้ให้ลูกนอน
พลายแก้วก็เฝ้าแต่โศกี ดังชีวีจะขาดสักร้อยท่อน
คิดถึงพ่อขุนไกรให้รุ่มร้อน อาวรณ์บ่นไปไม่สมประดี
ผุดลุกผุดนั่งไม่ตั้งตัว เกาหัวหน้าบู้ยู่ยี่
มดแดงมดคันมันสิ้นที ยุงริ้นบินหวี่อยู่นี่แน
ลูกหาวนอนจะนอนก็ไม่ได้ คันก้นพ้นใจทีเดียวแม่
เอ็นดูลูกด้วยมาช่วยแล มดรังแกกัดข้าสักห้าตัว
พ่อตายมิได้อยู่เรือนเหย้า อ้ายพวกเหล่ากรมการมันล้อมทั่ว
ลูกตามแม่มาก็น่ากลัว ลอดรั้วมาได้ใช่พอดี
จะหลับจะนอนก็ไม่ได้ ยุงริ้นบินไต่อยู่หวู่หวี่
มดขบแม่ตบให้ฉันที แต่พอรุ่งพรุ่งนี้จะหนีไป
ทองประศรีได้ยินเจ้าพลายว่า แสนสงสารลูกยานํ้าตาไหล
ลูกเอ๋ยมีกรรมทำอย่างไร แม่ไล่มดแล้วแก้วแม่อา
ทั้งสองเหนื่อยอ่อนก็นอนไป ที่บนต้นไม้ไทรสาขา
พากันหลับไปมิได้ช้า ตลอดในเพลาราตรี ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าเวียงวังคลังนา ตำรวจที่มาแต่กรุงศรี
กับกรมการสุพรรณบุรี เข้าบ้านทองประศรีในทันใด
ไล่จับโคกระบือช้างม้า ฝูงข้าชายหญิงวิ่งขวักไขว่
ลูกอ่อนเถ้าแก่แซ่เซ็งไป ตกใจไม่เป็นสมประดี
ได้อีเผื่อนต้นเรือนมาเฆี่ยนถาม มันจึงบอกออกความว่านายหนี
เงินทองของข้าวบรรดามี จึงให้ทำบาญชีทั้งข้าคน
แล้วขึ้นบนเรือนท่านขุนไกร ริบได้เครื่องเรือนเกลื่อนกล่น
พนักงานของใครมิให้ปน ขนมานอกชานทำบาญชี
หอกดาบกระบี่ครํ่าขันน้ำถม แพรพรมสักหลาดกำมะหยี่
ทองขาวทองเหลืองเครื่องดีดี ถ้วยชามตามมีจดหมายไว้
เงินตราห้าพันนั้นใส่กลัก สอดใส่ด้ายถักตีตราใหญ่
กำปั่นเครื่องเงินทองนั้นสองใบ ลั่นกุญแจขนไปประทุกช้าง
หูกฝ้ายด้ายไหมใส่เกวียนลาก ครกสากใส่แพทั้งโอ่งอ่าง
ขนมาตรวจตราที่ศาลากลาง สำเร็จแล้วก็วางขึ้นช้างไป
คืนหนึ่งถึงศรีอยุธยา เข้ามากราบเรียนท่านผู้ใหญ่
ส่งของที่ริบตาขุนไกร เข้าไว้ในคลังดังบาญชี ฯ
๏ ครั้นรุ่งกระจ่างสว่างแล้ว จะกล่าวถึงพลายแก้วกับทองประศรี
นางจะพาลูกไปกาญจน์บุรี ก็รีบรี่ลงจากต้นไม้พลัน
มือกระเดือดกระบุงแล้วจุงลูก จิตรผูกเกรงภัยให้นึกพรั่น
เดินเลียบชายละเมาะเสาะสำคัญ ด้นดั้นลัดป่าพนาลี
เห็นลูกมะละกอสมอไข่ ตกดาษกลาดไปอยู่กับที่
พลายแก้วเห็นแล้วก็ยินดี ชี้บอกทองประศรีไปทันใด
โน่นแน่แม่เอ๋ยลูกไม้ป่า แม่ไปเก็บเอามาเถิดข้าไหว้
ลูกอยากนักจักกินให้สิ้นใบ แม่ก็เก็บส่งให้มิได้ช้า
ครั้นถึงหนองน้ำหยุดอาศัย ค่อยสบายคลายใจขึ้นหนักหนา
เอาข้าวเย็นที่เหลือเมื่อคํ่ามา คดใส่ห่อผ้าให้ลูกกิน
พลายแก้วบิแล้วเอาเข้าเคี้ยว แห้งเหนียวพ้นใจร้องไห้ดิ้น
แกงอยู่ไหนแม่ขาขอทาลิ้น ข้าวติดคอตาปลิ้นไม่กินแล้ว
ทองประศรีฟังว่าน้ำตาไหล จะเอาแกงที่ไหนพ่อพลายแก้ว
วิ่งหนีเขามาตาบ้องแบว แว่วแว่วเหมือนจะเหลือแต่เนื้อปลา
พลายแก้วว่าข้าวเย็นกับปลาแห้ง เรี่ยวแรงมันจะมีฤๅแม่ขา
ไม่ได้แกงก็แบ่งแต่ปลาร้า ละลายน้ำให้ข้าจงไวไว
ทองประศรีกอดลูกเข้าโศกา แม่มิรู้จะเอามาแต่ไหนได้
ลูกเอ๋ยตกลำบากยากไร้ จนใจสิ้นคิดของมารดา
ว่าแล้วก็พากันคลาไคล ตามทางหว่างไม้ไพรพฤกษา
เห็นลูกร้อนแดดนั้นแผดกล้า เอาผ้าคลุมหัวให้ลูกชาย
พลายแก้วเดินหลังรั้งเอวแม่ ห้อแห้หน้านิ่วหิวระหาย
ร้อนเท้าเจ้าเดินเหยียบกรวดทราย เจ้าพลายเหนื่อยอ่อนวอนมารดา
แม่ขาสุดปัญญาของลูกนี้ เหลือที่จะล้าเลื่อยเหนื่อยหนักหนา
คอแห้งคร่องแคร่งแข็งใจมา แม่เดินช้าช้าอย่าให้เร็ว
ลูกก้าวยาวนักก็จักล้ม เจ็บระบมตีนแตกจนแหลกเหลว
แผ่นดินร้อนเหลือใจดังไฟเปลว แม่ก็อุ้มใส่สะเอวต่องแต่งมา
เหนื่อยนักยักให้ขึ้นขี่หลัง เอากระบุงถือบังไปข้างหน้า
ครั้นเมื่อยเข้าก็เอาขึ้นบนบ่า มือหนึ่งจับขาลูกยาไว้
เท้านางพุพองค่อยย่องเดิน ครั้นเมินสะดุดเหเซไถล
ลูกพลัดจากบ่าผวาไป ล้มกลิ้งอยู่ในพนาลี
เจ้าพลายลุกขึ้นยังมึนหน้า ร้องว่าลูกแทบจะเป็นผี
เจ็บขัดแข้งขาข้าสิ้นที ทีนี้แม่ขาอย่าอุ้มเลย
แม่ลูกไปถึงบ้านกาญจน์บุรี ทองประศรีบอกลูกว่าพ่อเอ๋ย
ในเมืองนี้มีคนที่คุ้นเคย แล้วเดินเลยไต่ถามเนื้อความไป
ด้วยผัวเคยบอกเล่าแต่เก่าก่อน ว่าญาติมีที่ดอนเขาชนไก่
ครั้นไปพบพวกพ้องของขุนไกร เขาก็ทำเรือนให้มิได้ช้า
นางค่อยทำมาหากิน เงินทองทรัพย์สินค่อยเก็บหา
ช่วยคนบ่าวไพร่ทำไร่นา ซื้อที่ทางช้างม้าแลวัวควาย
มีคนนับหน้าถือตา ทรัพย์สินได้มาด้วยค้าขาย
ค่อยตั้งตัวทำกินเป็นถิ่นสบาย อยู่กับลูกชายมาหลายปี ฯ
๏ ทีนี้จะกล่าวถึงนายจันศร กล้าหาญมาแต่ก่อนดังราชสีห์
อาจองคงกระพันชาตรี เคหาอยู่ที่บ้านโป่งแดง
เพื่อนชำนิชำนาญในการปล้น รุกร้นโห่ฉาวเกรียวกราวแย่ง
เที่ยวตีเรือเหนือใต้ได้พอแรง คบพวกเมืองกำแพงไว้พร้อมกัน
ตั้งกระพอกจอกจานซานกินเหล้า อ้ายขโมยครั้นเมาก็จ้าละหวั่น
ฟันแทงกันเล่นไม่เว้นวัน ด้วยอยู่ยงคงกระพันไม่พรั่นพรึง
ประจุปืนลูกใส่ไฟจุดชุด ยิงกันอุตลุดอยู่ผางผึง
ถูกใครไม่เข้าเปล่าทุกตึง ต่างกำเริบอื้ออึงคะนึงไป ฯ
๏ ครานั้นจันศรผู้ใจกล้า ว่าอ้ายชาวเราหวากูคิดได้
วันนี้จะไปตีขุนศรีวิชัย ที่บ้านรั้วใหญ่ในสุพรรณ
มันเป็นพ่อของอ้ายขุนช้าง เมียมันชื่อนางเทพทองนั่น
มั่งมีมากมายเป็นหลายพัน ไปช่วยกันขนมาสักห้าลำ
เขาว่าบ่าวมากครันมันเศรษฐี แต่พวกเราเท่านี้เห็นพอปลํ้า
พวกไพร่ยินยอมลงพร้อมคำ ต่างแต่งตัวกำยำไม่ย่อท้อ
บ้างถือหอกดาบปืนคาบหิน เขนงดินเต้าชนวนทวนฮ่อ
เอาช้างมาเหวยเฮ้ยอย่ารอ อ้ายบ่าวฉวยได้ขอเกี่ยวมารับ
นายจันศรขึ้นช้างวางห้อยโหน เพื่อนเอาปลายหอกโยนเข้าต้ำฉับ
ตำก้นรนส่งขึ้นสัปคับ ไสช้างหยับหยับแล้ววางมา ฯ
๏ ครั้นมาถึงชายไพรใกล้สุพรรณ ปลงช้างรวมกันอยู่ในป่า
นายจันศรปลูกศาลขึ้นเพียงตา เอาผ้าขาวลาดดาดเพดาน
ต่างคนเอาประเจียดแลมงคล หอกดาบของตนขึ้นบนศาล
เหล้าข้าวบัตรพลีพลีการ คาวหวานธูปเทียนสว่างตา
ทั้งกระแจะจุณจันทน์นํ้ามันหอม พวกขโมยห้อมล้อมอยู่พร้อมหน้า
นายจันศรตั้งนโมขึ้นวันทา ชุมนุมเทวดาทั้งแปดทิศ
พระอิศวรพระนารายณ์แลพระพรหม โคดมโยคีฤๅษีสิทธิ์
ครูบาอาจารย์ชำนาญฤทธิ์ พระจันทร์พระอาทิตย์เรืองฤทธี
อีกทั้งวิรุฬหกวิรูปักษ์ กุเวรยักษ์ธตรฐทิศทั้งสี่
เทวดาเดินทางนางธรณี ท้าวกรุงพาลีขอทำการ
โอมทรงมหาทรงทุกแหล่งหล้า ปลุกขนายเขี้ยวงาที่บนศาล
เมฆมืดหมอกคลุ้มกลุ้มดินดาน โอมอ่านอาพัดซึ่งสุรา
เสกแล้วให้กินคนละที ใจวับหูฉี่เนื้อหนังหนา
ฤทธิ์เหล้าแล่นขยับจับสายตา ต่างตกแต่งกายาไว้ครบตัว
เสื้อผ้าอาวุธประจำตน ผ้าประเจียดมงคลเอาคาดหัว
ล้วนหยักรั้งจังกาดูน่ากลัว จันศรไม่ชั่วนำหน้ามา
อ้ายขโมยเดินแซงทั้งสองข้าง เร่งทนายขับช้างเร็วเร็วหวา
ถึงบ้านรั้วใหญ่ในมิช้า เอาขวานหมูจู่ผ่าประตูตึง
ขาดยับทับพังดังเสียงโครม โห่เร้าเข้าโถมตีเรือนผึง
อ้ายเสือเอาวาปาปืนปึง อึงคะนึงชาวบ้านสะท้านกลัว
เสียงดังเกรียวกราวฉาวฉ่า ตีเร้าเข้ามาเป็นหัวหัว
ชาวบ้านแตกตื่นยังมึนมัว จับตัวให้ได้คบไฟโพลง ฯ
๏ ครานั้นขุนศรีวิชัย ตื่นขึ้นตกใจโดดเรือนโหยง
เทพทองขุนช้างยังโก้งโค้ง ผัวผ้าโล้งโต้งโดดเรือนไป
อ้ายขโมยรุกไล่ไขว่คว้า ตีซ้ายป่ายขวาตะพัดไล่
พุ่งซ้ำตำแทงแกว่งคบไฟ ตีฝาเคาะไม้อยู่อึงคะนึง
ไล่จับผู้คนอลหม่าน เสียงปืนสะท้านสะเทื้อนผึง
ชาวบ้านตื่นแตกแหกรั้วอึง ตกร้านเรือนตึงไม่สมประดี
บางก็วิ่งเสือกสนไปลนลาน อุ้มลูกจูงหลานแล้ววิ่งหนี
แบกลุ้งถุงย่ามไปตามมี อพยพหลบลี้อยู่พันพัว
ยายลาวโดดผลุงหัวทลุงซิ่น ติดดิ้นมือคว้าเที่ยวหาผัว
ยายเต่าวิ่งวนอยู่ก้นรั้ว ร้องโอยเจ้าขรัวกลัวเจ้าคุณ
ยายมอญล้มผลุงกระบุงกลิ้ง อุยย่ายตายจริงตละกุ่น
ชายหญิงวิ่งว่อนไปตามบุญ หลังไหล่เปื้อนฝุ่นผลุนวิ่งโทง
อ้ายเจ๊กก๊วยพวยขึ้นปีนตลิ่ง ทิ้งกางเกงปะเลงวิ่งไปโล้งโต้ง
พลัดตกลงนํ้าดำโก้งโค้ง เสือกตะโพงเต็มหอบเข้าลอบปลา
หลงร้องโลเลว่าตะเข้ฉวย มะจิไบไซบวยซวยไอ๊ย่า
อ้ายตาฟางวางเซ่อเง่องงมา เอาคอผ่าเข้าไปในง่ามยอ
สำคัญว่าขโมยเอาขาหนีบ ตีนถีบไปมาตาปอหลอ
ลูกยอหล่นถูกหลังนั่งวอนง้อ พ่ออย่าถองลูกนักสะบักจม
อีแขนฉิ่งวิ่งโดนอ้ายโจรป่า ฉวยข้อมือฉุดคร่าว่าตาส้ม
อ้ายขโมยว่าเอ๊ะปะเตะล้ม ลุกขึ้นซานซมวิ่งงมไป
พวกโจรสับสนอยู่กล่นเกลื่อน ตีฝาเคาะเรือนทุบโอ่งไห
โห่ฉาวกราวเกรียวเที่ยวค้นไป ครั้นจับได้แม่ลูกให้ผูกคอ
เทพทองร้องขอชีวิตฉัน ขุนช้างกลัวตัวสั่นตาปอหลอ
ยั่นกูอีเถ้าเอาให้พอ เทพทองร้องขอแต่โทษตัว
พวกขโมยจูงมาที่กลางบ้าน อ้ายหัวล้านนี้ฤๅคือเจ้าผัว
เทพทองร้องว่านี่ลูกตัว ผัวกลัวเขาทิ้งวิ่งหนีไป
อ้ายขโมยเอาไฟเข้าลนก้น มึงจะทนฤๅจะบอกออกความให้
เงินทองข้าวของไว้ที่ใด มัดแขนแอ่นไพล่อย่าปิดกู
เทพทองร้องว่าข้าจนใจ ขโมยเอาดินใส่ระเบิดหู
ขุนช้างกราบกรานวานเอนดู ขอโทษแม่ตูจงงดไว้
เงินทองของดีมีห้าพัน อยู่ในกำปั่นจะบอกให้
อ้ายขโมยโห่มี่มันดีใจ ผ่ากำปั่นใบใหญ่ขนออกมา
ทรัพย์มากเอาไปไม่ได้สิ้น เหลือทิ้งเทดินเสียหนักหนา
จันศรว่าพวกเราเอาตัวมา ให้ผู้หญิงมันว่าปรบไก่ไป
จันศรขึ้นนั่งยังก้นครก บ่าวเต้นหยกหยกอยู่ขวักไขว่
ที่บางคนยืนมองส่องคบไฟ ร้องชะฉ่าฮ้าไฮ้มโนพรวด
เฮ้ยอีแม่ลูกลุกขึ้นรำ นิ่งอยู่กูจะตำให้กบหนวด
มิเชื่อกูลองดูเล่นสักรวด เอาด้ามหอกออกหวดมึงรำไป
เจ้าขุนช้างกับนางเทพทอง ว่าไม่มีปี่กลองรำไม่ได้
อ้ายขโมยทั้งกองร้องฮ้าไฮ้ บ้างปากไล่เป็นปี่ตี๋ต๋อยแต
ขุนช้างกับนางเทพทองรำ โจ๋งจะกะโจ๋งครํ่าทำแยงแย่
อ้ายขโมยว่าลูกยักถูกแท้ ตีอีแม่ยังเลวเอวแข็งไป
เทพทองกลัวหนักยักสี่มุม โจ๋งจะกะโจ๋งครุ่มหาหยุดไม่
ตะติงเหน่งติงโหน่งกะโพงใส่ ยักไหล่ไพล่ก้นวนตามโทน
นมยานโยนฟัดตุนัดตุเหน่ง ซัดแขนโก้งเก้งเหมึอนเพลงโขน
ขุนช้างไม่นิ่งตละลิงทะโมน โลดโผนกลอกกลับขึ้นจับลอย ฯ
๏ ครานั้นขุนศรีวิชัย คุมชาวบ้านได้ไม่คิดถอย
พร้อมกันนั่งกองสักสองร้อย ต่างคอยสกัดตัดทางดู
บ้างก็ถือปืนแลหน้าไม้ แกว่งไฟเตรียมชุดจุดดินหู
ทวนหลาวดาบหอกออกพรั่งพรู ยืนซุ่มกลุ้มอยู่เป็นหมู่ไป ฯ
๏ ครานั้นฝ่ายว่านายจันศร ใจคอแน่นอนเป็นนายใหญ่
เสร็จแล้วร้องตะโกนเรียกโจรไพร จับหาบไวไวจะไคลคลา
บ่าวไพร่ได้หาบมาพร้อมกัน นายจันศรนั้นเพื่อนออกหน้า
เจ้าทรัพย์แม่ลูกผูกคอมา ให้ร้องเจ้าข้าใครอย่าตาม
ท่านจะฆ่าข้าเจ้าให้บรรลัย พวกโจรแซงไปเป็นสามง่าม
ยิงปืนสำทับอยู่วับวาม ตูมตามโห่ลั่นสนั่นไป
ขุนศรีวิชัยกับชาวบ้าน กักด่านเห็นโจรเข้ามาใกล้
โห่ร้องครั่นครื้นยิงปืนไฟ กระโชกไล่พวกโจรวิ่งโผนมา
แม่ลูกขุนช้างพลัดจากจุง ขโมยทิ้งหาบผลุงยั่นสู้หวา
กระโชกไล่ชาวบ้านทะยานคว้า ฉาดฉับรับราเข้าฟันกัน
เสียงกริ่งโกร่งกร่างปืนผางผึง เอะอะอึงคะนึงเป็นจ้าละหวั่น
แทงเปล่าไม่เข้าเหล่าขโมยนั้น มันยิ่งโกรธโลดถลันไล่ฟันมา
ชาวบ้านล้มตายลงก่ายกอง บ้างเจ็บปวดเลือดนองร้องเหวยหวา
ขุนศรีวิชัยไล่ฟันฝ่า พบจันศรวิ่งร่าเข้ารบกัน
ถือหอกกลอกกลับทั้งสองข้าง ยกเท้าก้าวย่างดังกังหัน
ท่วงทีหนีไล่พัลวัน รบรุกบุกบั่นประจัญบาน
จนหอกต่อหอกออกเป็นประกาย ทั้งสองนายฤทธาต่างกล้าหาญ
เรี่ยวแรงแทงปะทะระราน ทนทานหักโหมเข้าโรมรัน
สิ้นท่าคว้าชิดเข้าบิดหอก กลับกลอกกุมจับขยับหัน
เล่นจนสุดฤทธิ์เข้าชิดกัน กอดคอพัลวันล้มกลิ้งไป
พวกอ้ายขโมยพร้อมล้อมจับตัว เอาดาบสับหัวหาเข้าไม่
ผูกคอแทงผึงตึงตึงไป ดังว่าแทงขอนไม้ไม่เข้ามัน
เอาดาบฟันผ่าลงบ่าฉับ เยินยับหักร้นไปจนกั่น
ขโมยว่าอ้ายนี่มันดีครัน หอกดาบหักสะบั้นยับเยินไป
จึงมัดตีนคุดคู้ดังหมูปิ้ง ทั้งแทงทั้งยิงหาเข้าไม่
อ้ายขโมยอิดหนาระอาใจ นี่จะทำอย่างไรพอได้คิด
จึงเอาหลาวตำรูทวารไป ขุนศรีวิชัยก็ดับจิตร
ตายอยู่กลางป่าหลับตามิด อ้ายขโมยทำฤทธิ์ยิงปืนไฟ
พากันโห่ร้องไปก้องป่า ข้าวของตกบ่าหาเก็บไม่
ชาวบ้านครั้นคร้ามไม่ตามไป เที่ยวซุกซ่อนนอนไพรด้วยความกลัว ฯ
๏ ครั้นเวลารุ่งสว่างนางเทพทอง ชวนพวกพ้องเข้าป่าหาผีผัว
แม่ลูกงกงันตัวสั่นรัว เที่ยวค้นคว้าหาทั่วทั้งชายไพร
มาประสบพบผีตีอกผลุง นมยานฟัดพุงรํ่าร้องไห้
โอ้พ่อเพื่อนยากจากเมียไป มาทิ้งลูกเมียไว้ให้เอกา
กรรมจริงสิ่งใดให้ตายโหง กลิ้งอยู่โล้งโต้งที่กลางป่า
ชาติก่อนเห็นพ่อจะเสียบปลา ชาตินี้เขาจึงฆ่าเสียบพ่อไว้
ดูสมเพชเวทนาหนักหนานัก ช่วยกันชักหลาวผลุดหลุดออกได้
ขุนช้างกอดศพซบรํ่าไร กลิ้งเกลือกเสือกไปไห้โศกา
โอ้ว่าเจ้าประคุณผู้เพื่อนยาก ตายจากลูกไปไม่เห็นหน้า
พ่อทิ้งลูกไว้ให้กำพร้า ควรฤๅโจรป่ามันฆ่าตาย ฯ
๏ ที่นี้จะกล่าวถึงบ่าวข้า วิ่งกรูกันมาเป็นมากหลาย
ร้องไห้รักวุ่นถึงมุลนาย ฟูมฟายน้ำตาอยู่อึงคะนึง
เสียงหวีดหวาดเหวยหวายที่ชายป่า บ้างบ่นบ้าตีอกอยู่ผึงผึง
สิ้นบุญมุลนายร้องไห้อึง ที่พึ่งสิ้นแล้วรำพันไป
ครั้นว่าค่อยคลายวายโศกา หามศพเข้ามาหาช้าไม่
ฝังไว้ป่าช้าแล้วคลาไคล กลับเข้าไพรตรวจตราหาทรัพย์พลัน
แต่บรรดาข้าวของขโมยทิ้ง ตกกลิ้งกลางป่าพนาสัณฑ์
เก็บมาได้จบครบครัน ก็ชวนกันขนกลับไปฉับไว ฯ
๏ จะกล่าวกลอนถึงพันศรโยธา เพื่อนไปค้าละว้ามาเป็นไข้
ศรีประจันรักษาระอาใจ แต่คลายคลายแล้วก็ให้ป่วยหนักมา
ด้วยปิศาจมันเข้าประจำตัว ให้อยากหมูเนื้อวัวอั่วพล่า
ยัดคำโตโตโม้เต็มประดา แลบลิ้นปลิ้นตาเจียนบรรลัย
นางศรีประจันตกใจจ้าน ไปนิมนต์สมภารหาทันไม่
พันศรโยธาก็สิ้นใจ บ่าวข้าร้องไห้อยู่อึงคะนึง
นางพิมตกใจร้องไห้จ้า มือเช็ดน้ำตาวิ่งมาถึง
ศรีประจันล้มคะมำลงต้ำตึง ตีอกผางผึงทูนหัวเมีย
พ่อไม่คิดถึงออพิมพิลาไลย ช่างสลัดตัดใจทิ้งไปเสีย
สงสารลูกน้อยละห้อยละเหี่ย พ่อมาทิ้งลูกเมียให้เอกา
แต่ก่อนร่อนชะไรไปร้อยทิศ พ่อยังครองชีวิตมาเห็นหน้า
ครั้งนี้ชะล่าใจให้มรณา ตั้งแต่จะลับตาไปทุกวัน
นางพิมพิลาไลยร้องไห้งอ เข้ากอดศพพ่อแล้วโศกศัลย์
พ่อเอ๋ยเคยเห็นอยู่ทุกวัน ถึงเจ็บไข้เช่นนั้นก็ยังดี
พอได้ฝนหยูกยาหาให้กิน มาตายสูญสิ้นไปเมืองผี
ลูกมิได้ปฏิบัติพัดวี ค่ำวันนี้ลูกรักจักเห็นใคร
เหย้าเรือนจะเย็นเป็นป่าช้า หม้อยาจะราแล้วพ่อข้าไหว้
ฟูกผ้าเสื่อสาดกลาดเต็มไป จะปูไว้ให้ใครเล่าพ่ออา
ฝ่ายว่าวงศาคณาญาติ ตกใจหวีดหวาดร้องเหวยหวา
พากันรํ่าไรอยู่ไปมา ครั้นคลายโศกาก็พร้อมกัน
อาบน้ำศพแล้วทาขมิ้น ผ้าขาวหุ้มสิ้นตราสังมั่น
เข้าไม้ไว้ในเรือนใหญ่นั้น คํ่าสวดทุกวันหลายคืนมา ฯ
๏ อยู่มาศรีประจันเทพทอง ทั้งสองตรองตรึกแล้วปรึกษา
ผัวเราสิม้วยมรณา ครั้นจะนิ่งไว้ช้าก็ไม่ดี
จำจะแต่งการศพเสียให้ได้ อย่าให้ลำบากแก่ซากผี
คิดพร้อมใจกันในทันที นิมนต์สมีขรัวส้มท่านสมภาร
จึงให้แต่งการศพที่วัดเขา ช่างเชาฉลุฉลักจักสาน
บ้างก็ทำตาชะแลงแผงเพดาน ปลูกเมรุผูกม่านไว้เบื้องบน
ช่างระทาดอกไม้ไฟพะเนียง แต่งแม่ครัวเลี้ยงไม่ขัดสน
พลุประทัดจัดสรรจังหันกล จุดบนทิ้งนํ้าดำผุดไป
แบบโลงทำด้วยทองอังกฤษ ติดลวดหนวดโตดอกไม้ไหว
เป็นกนกรกเรี้ยวเกี่ยวกันไป กระจกขาวเขียวใส่ไว้แวววาม
ที่หน้าบันปั้นภาพอร่ามตา เป็นอินทราขี่คชเศียรสาม
รัดเกล้าเหมทองผ่องเพรางาม กระจังตามบัวแย้มแกมกันไป
ครั้นเสร็จก็ชักทั้งสองศพ เวียนประจบแล้วตั้งในเมรุใหญ่
ปี่กลองครํ่าเคร่งโหม่งเหม่งไป ค่ำจุดดอกไม้ไฟพะเนียง
ประทัดพลุผลุตึงอยู่ผึงผาง จังหันกรวดวางครางส่งเสียง
โป้งปีบตับราวปิ๊วป๊าวเปรี้ยง จอหนังตั้งเรียงเล่นครื้นไป
ครั้นแสงทองส่องฟ้าเพลาสว่าง พระสงฆ์ลงสามสร้างไม่ช้าได้
มีโขนหุ่นชักอยู่ขวักไขว่ เลี้ยงพระถวายไตรไทยทาน
ครั้นครบสามวันก็ปลงศพ ญาติกามาครบอลหม่าน
ฉลองธาตุถวายกระจาดท่านสมภาร แล้วเลิกกลับเข้าบ้านในทันที ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ