ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา

๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เพลายามสามหลับอยู่กับหมอน
กำนัดหนุ่มกลุ้มใจให้อาวรณ์ เทพเจ้าจึงสังหรณ์ให้เห็นตัว
ฝันว่านารีพึ่งรุ่นสาว ผิวขาวคมคายมิใช่ชั่ว
สองเต้าเต่งตั้งดังดอกบัว มายืนยิ้มยั่วแล้วเยื้องกราย
พอภิปรายทายทักชักสนิท นางเบือนบิดทำทีจะหนีหน่าย
ก็ลุกรีบตามติดเข้าชิดกาย คว้าเข้าเจ้าก็หายไปกับมือ
เคลิ้มผวาคว้ากอดขุนแผนพ่อ พูดจ้อนี่เจ้าไม่เมตตาฤๅ
ขุนแผนตื่นฟื้นตัวก็ผลักมือ ร้องฮื้อพลายงามทำอะไร
เจ้าพลายกลัวพ่อใจคอหวั่น บอกว่าฝันเห็นผู้หญิงลูกวิ่งไล่
รุ่นสาวขาวอร่ามงามสุดใจ จึงเผลอไปขอโทษได้โปรดปราน ฯ
๏ ขุนแผนฟังความพลายงามเล่า เอ๊ะออเจ้าช่างฝันดูขันจ้าน
ฝันเช่นนี้มีตำรับแต่บุราณ ใครฝันมักบันดาลได้เมียดี
ฤๅจะถูกลูกเจ้าบ้านผ่านเมือง ทำนายพลางย่างเยื้องออกจากที่
บอกกันทั่วหน้าบรรดามี วันนี้ถึงพิจิตรไม่ทันเย็น
ว่าแล้วเตือนกันกินข้าวปลา รีบยกยาตราขะมักเขม้น
ไม่หยุดหย่อนร้อนเหลือเหื่อกระเด็น พอแลเห็นเมืองแวะเข้าวัดจันทน์ ฯ
๏ ฝ่ายว่านวลนางศรีมาลา คืนวันนั้นนิทราก็ใฝ่ฝัน
ว่าลงสระเล่นน้ำสำราญครัน เห็นบุษบันดอกหนึ่งดูพึงตา
ผุดขึ้นพ้นน้ำงามสะอาด นางโผนผาดออกไปด้วยหรรษา
เด็ดได้ดีใจว่ายกลับมา กอดแนบแอบอุราประคองดม
ลืมตาคว้าดูดอกบัวหาย เสียดายนี่กะไรไม่ได้สม
ปลุกอีเม้ยแก้ฝันหวั่นอารมณ์ อีเม้ยชมว่าฝันของนายดี
ดอกบัวคือผัวมิใช่อื่น มิพรุ่งนี้ก็มะรืนคงถึงนี่
ไม่เหมือนอีเม้ยทายให้นายตี ฝันอย่างนี้ได้ทายมาหลายคน
ศรีมาลาว่าไฮ้อีมอญถ่อย เอาผัวผ้อยมาพูดไม่เป็นผล
อุตริทำนายทายสัปดน ถึงใครใครให้จนเทวดา
ถ้ามีหน้ามาเกี้ยวก็คงเก้อ อย่าเพ้อเลยไม่อยากปรารถนา
อยู่คนเดียวไม่สบายเอาชายมา เขาย่อมว่ามันเป็นเจ้าหัวใจ
อีเม้ยมอญคะนองร้องอุยย่าย อย่ามาพูดเลยนายหาเชื่อไม่
ยังไม่พบปะก็พูดไป ถึงตัวเข้าเมื่อไรได้ดูกัน
บ่าวนายสัพยอกหยอกเย้า รุ่งเช้าศรีมาลาก็ผายผัน
ไปดูการบ้านเรือนเหมือนทุกวัน นึกถึงฝันพรั่นใจไม่รู้วาย ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม พักอยู่อารามจนตกบ่าย
จะเข้าไปในจวนชวนลูกชาย แล้วย่างกรายบ่าวตามออกหลามไป
ถือถาดหมากคนโทเป็นยศอย่าง เดินมาตามทางกับบ่าวไพร่
พลายงามคิดถึงฝันปั่นป่วนใจ เข้าในย่านตลาดก็แลชม
ที่เหล่าร้านขายผ้ามีหน้าถัง ลายสุหรัดมัดตั้งทั้งผ้าห่ม
ร้านถ้วยชามรามไหมมีอุดม สะสมสินค้าสารพัด
สิ่งของทองเหลืองทั้งเครื่องแก้ว เป็นถ่องแถวคนผู้ดูแออัด
พวกลูกสาวชาวร้านพานสันทัด ทำเหยาะหยัดกิริยาท่าชาวกรุง
พวกขมิ้นเหลืองจ้อยสอยไรจุก มีแทบทุกหน้าถังบ้างเย็บถุง
แต่ละหน้าหน้านวลชวนบำรุง ใส่กลิ่นหอมฟุ้งสองฟากทาง
นุ่งลายห่มสีไม่มีเศร้า ผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวล่าง
คนหนึ่งรุ่นสาวขาวสำอาง ดูคล้ายนางคืนนี้เป็นนวลจันทร์
ครั้นเข้าใกล้แลเขม้นเป็นแต่แม้น ไม่อ้อนแอ้นเหมือนนางที่ในฝัน
ทั้งนมคล้อยหน่อยนึงจึงผิดกัน นอกจากนั้นตะละอย่างต่างต่างไป
นางนิมิตติดใจมิได้ลืม ยิ่งป่วนปลื้มถึงฝันให้หวั่นไหว
สู้เดินเมินหน้าไม่อาลัย ล่วงตลาดเข้าไปในจวนพลัน ฯ
๏ พระพิจิตรนั่งเล่นอยู่หอขวาง เห็นคนเดินมาสล้างก็นึกหวั่น
เอ๊ะข้าหลวงมาทำไมหลายคนครัน ที่เดินหน้ามานั่นดังพระยา
ครั้นดูไปจำได้ว่าขุนแผน ดีใจลุกแล่นลงมาหา
จูงมือขึ้นจวนชวนพูดจา ขุนแผนวันทากับลูกชาย
พระพิจิตรเรียกศรีบุษบา ขุนแผนเขามาไปไหนหาย
บุษบาเยี่ยมหน้าเห็นสองนาย ยิ้มพรายออกมาด้วยดีใจ
นั่งลงไต่ถามความทุกข์ยาก แต่ไปจากแม่ได้แต่ร้องไห้
มิรู้ที่จะถามข่าวคราวใคร ด้วยทางไกลเหลือไกลมิได้รู้
จะเป็นตายหายลับไปหลายปี วันนี้แลหวังว่ายังอยู่
เห็นเจ้าเหมือนใครให้แก้วชู ด้วยเอ็นดูเหมือนลูกจึงผูกใจ
วันทองท้องแก่ไปแต่นี่ คลอดง่ายดายดีฤๅเจ็บไข้
ลูกเป็นชายหญิงอย่างกะไร เดี๋ยวนี้อยู่ไหนไม่พามา ฯ
๏ ขุนแผนเล่าความไปตามเรื่อง เมื่อส่งไปจากเมืองก็สุขา
เขาผ่อนปรนจนถึงอยุธยา โปรดประทานโทษาไม่ฆ่าตี
เป็นความกับขุนช้างก็ชนะ ลูกไปอยู่บ้านพระจมื่นศรี
เผอิญกรรมตามซัดวิบัติมี ไปเห็นชั่วเป็นดีไม่ควรการ
ให้ทูลขอลาวทองต้องติดคุก ทนทุกข์โทษแทบถึงประหาร
วันทองท้องแก่เหลือกันดาร ทรมานว้าเหว่อยู่เอกา
อ้ายขุนช้างบังอาจฉุดเอาไป ก็ไม่มีผู้ใดจะตามว่า
จนคลอดลูกชายคนนี้มา ชันษาเจ้าได้ถึงสิบปี
มันจะเอาไปฆ่าในป่าใหญ่ พลายช่วยไว้ได้ไม่เป็นผี
หนีไปอยู่บ้านกาญจน์บุรี แม่ทองประศรีเลี้ยงไว้ให้เรียนรู้
พอมีศึกเจ้าสะอึกเข้าอาสา แต่ตัวข้านี้ยังติดคุกอยู่
จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงเอ็นดู ได้ช่องคูทูลขอพ่ออกมา
ก็โปรดให้พลายงามด้วยความชอบ รับสั่งมอบการศึกให้ปรึกษา
ประทานคนโทษที่มีวิชา สามสิบห้าลูกหาบเจ็ดสิบคน
ที่มานี่จะยกไปเชียงใหม่ ไปจับอ้ายลาวตีให้ปี้ป่น
นึกถึงคุณปกเกล้าเมื่อคราวจน จึงแวะวนเข้ามานมัสการ ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา ฟังขุนแผนว่าน่าสงสาร
อนิจจาเคราะห์ร้ายแทบวายปราณ นมนานน้อยฤๅแต่ทนทุกข์
นี่หากลูกยากล้าทูลขอ หวังจะแทนคุณพ่อสู้บั่นบุก
หาไม่ก็จะตายอยู่ในคุก เจ้าให้พ่อเป็นสุขมิเสียแรง
ผัวเมียชอบอารมณ์ชมเปาะ หน้าตาเหมาะเจาะใจกล้าแข็ง
ชาติทหารเหมือนพ่อไม่ย่อแยง ดูกล้องแกล้งนึกรักเฝ้าทักทาย
แค้นใจแต่ท้องบุษบา เป็นผู้หญิงเสียข้าขันใจหาย
คิดคิดขึ้นมาน่าเสียดาย ถ้าแม้นชายจะให้ไปด้วยพลัน
ว่าพลางร้องเรียกลูกสาวมา ศรีมาลาเอ๋ยนั่งทำไมนั่น
ออกมาหาพี่ชายอย่าอายกัน ศรีมาลาหวั่นหวั่นแล้วแอบมอง
พี่เชื้อมาแต่ไหนไม่รู้จัก ค่อยค่อยผลักบานประตูดูตามช่อง
เห็นหนุ่มน้อยหน้านวลชวนคะนอง สองคนพ่อลูกประหลาดตา
อีเม้ยรับขยับเข้ายืนชิด มือสะกิดเย้าเยาะหัวเราะว่า
นั่นเป็นไรใครบนเทวดา อีเม้ยทายแล้วอย่าว่าไม่ผิดคำ
ศรีมาลาว่าชิอีขี้เค้า ว่าได้ว่าเอาไม่เป็นส่ำ
ขืนว่าแล้วจะด่าให้ระยำ ค้อนชักหน้าคว่ำแล้วยิ้มเมิน
พอพระพิจิตรเรียกซ้ำมา ขานเจ้าขาค่อยเยี่ยมเฟี้ยมแฝงเขิน
นางอุทัจอัดใจมิใคร่เดิน ก้มสะเทิ้นทรุดนั่งบังมารดา
ยกมือไหว้ขุนแผนกับพลายงาม ให้วาบหวามอารมณ์แล้วก้มหน้า
พลายงามรับไหว้ชายแลมา พอสบตาก็ตะลึงตะลานใจ
คนนี้แลแน่แล้วที่เราฝัน รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่
น้องเอ๋ยรูปร่างช่างกะไร ถึงนางในกรุงศรีไม่มีเทียม
ดังพระจันทร์วันเพ็ญเมื่อผ่องผุด บริสุทธิ์โอภาสสะอาดเอี่ยม
สองแก้มแย้มเหมือนจะยั่วเรียม งามเสงี่ยมราศีผู้ดีจริง
ทั้งจริตกิริยามารยาท ก็ฉลาดไว้วางอย่างผู้หญิง
อ่อนชะอ้อนเหมือนจะวอนให้ประวิง จะยิ้มพรายก็พริ้งยิ่งเพราตา
ดูไหนไม่ขัดแต่สักอย่าง นี่คู่สร้างของเรากระมังหนา
พอแลลอดสอดรับจับนัยน์ตา ดังว่าเจ้าจะตัดเอาหัททัย
หญิงอื่นหมื่นแสนที่เคยเห็น ก็หาจับใจเป็นเช่นนี้ไม่
ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว
นึกพลางเจ้าพลายร่ายพระเวท ประสมเนตรเป่าไปให้ซ่านเสียว
ศรีมาลาต้องมนต์ขนลุกเกรียว ชำเลืองเหลียวแลมาประหม่าใจ
พอสบเนตรให้สะท้านละลานจิต ยิ่งต่อตาก็ยิ่งคิดพิสมัย
อกอ่อนร้อนรุ่มดังสุมไฟ ไม่อยู่ได้นางก็ลาเข้ามาเรือน
แอบช่องมองดูอยู่ข้างใน ยิ่งเพ่งพิศพาใจอาลัยเลื่อน
ความรักมีแต่ชักกระตุ้นเตือน ฟั่นเฟือนดังจะคลั่งตั้งตามอง
ชะชายคนนี้มิเสียแรง ดังหนึ่งแกล้งหล่อเหลาไม่เศร้าหมอง
ดูเนื้อตัวหน้าตาดังทาทอง ไม่ขัดข้องสวยสมช่างคมคาย
รู้สึกตัวนึกอายระคายเขิน ไถลเดินเลยเข้าในห้องหาย
อีเม้ยยิ้มกริ่มตามไปถามนาย วันนี้ดูไม่สบายเป็นอย่างไร
ออกไปไหว้พี่มาแต่กรุง แล้ววิ่งกลับเข้ามุ้งเหมือนเป็นไข้
ฤๅผีสางทักทายนายตกใจ ฉันจะบนบวงให้กระบานกิน
ผีมาแต่กรุงฤๅบ้านนอก อย่าหลอนหลอกจงคลายให้หายสิ้น
ขอผัดหน่อยคอยตะวันให้ตกดิน ปัดยุงริ้นแล้วจะเซ่นในมุ้งนี้
ศรีมาลาต่อยหัวลงต้ำเหงาะ เฝ้าค่อนเคาะร่ำไปไม่บัดสี
นี่แลสัญชาติไพร่ที่ไหนมี เซ่นผีในมุ้งมอญจัญไร
เย้ากันจนตะวันนั้นเย็นลง ศรีมาลายิ่งพะวงหลงใหล
บุษบาเห็นช้าจึงเกริ่นไป เป็นอย่างไรสำรับไม่จัดแจง
ศรีมาลาฟังว่าก็ลุกไป ช่วยดูแลข้าไทให้ตกแต่ง
จัดสำรับอุดมทั้งต้มแกง ฝาชีแดงปิดปกแล้วยกมา
นางยกชามข้าวบ่าวยกสำรับ ใจวับวับมิใคร่ออกไปนอกฝา
ครั้นถึงจัดวางข้างบิดา ไม่อาจเงยดูหน้าเจ้าพลายงาม
พระพิจิตรก็ชวนกันกินข้าว เจ้าพลายร้อนเร่าประหวั่นหวาม
ตะลึงแลศรีมาลาคว้าแต่ชาม กลืนข้าวเหมือนหนามอยู่ในคอ
กลัวเนื้อความจะฟุ้งสะดุ้งคิด เหลือบดูพระพิจิตรแล้วดูพ่อ
พระพิจิตรรู้ทีทำตัดพ้อ อย่างไรหนอกินอยู่ดูระคาง
กินอะไรไม่อร่อยฤๅพ่อฤๅ ชาวเหนือฝีมือไม่เหมือนล่าง
รสชาติปิ้งจี่มันจืดจาง หัวเราะพลางหยอกเย้าเจ้าพลายงาม
แล้วจึงชักชวนทั้งสองนาย ค้างที่นี่เถิดสบายอย่าเกรงขาม
บ้านมีอยู่ไยในอาราม มาอยู่ตามชอบใจในหอนั้น
อิ่มเสร็จแล้วสั่งศรีมาลา ให้จัดแจงฟูกผ้าทุกสิ่งสรรพ์
ที่นอนน้อยกำมะหยี่นั้นสองอัน เสื่ออ่อนสองชั้นจัดออกมา ฯ
๏ ขุนแผนถามพระพิจิตรพลัน สีหมอกนั้นอยู่ดีฤๅเจ้าข้า
พระพิจิตรบอกว่าสีหมอกม้า อยู่ดีแต่ชราถนัดใจ
เนื้อหนังพานติดจะเหี่ยวคร่ำ อันหญ้าน้ำค่ำเช้าหาขาดไม่
ข้าก็ช่วยเยี่ยมเยียนเวียนมาไป เกณฑ์ให้ไอ้จันมันเลี้ยงดู
ขุนแผนจึงชวนลูกชายพลัน ไปเยี่ยมม้าด้วยกันเสียสักครู่
ว่าพลางทางออกนอกประตู ตรงไปที่อยู่สีหมอกม้า
อ้ายจันครั้นเห็นยกมือไหว้ ฉันเลี้ยงไว้อ้วนพีดีนักหนา
พ่อลูกเข้าไปใกล้อาชา ขุนแผนเสกหญ้าให้ม้ากิน ฯ
๏ สีหมอกม้าหญ้ามนตร์เข้าดลใจ จำได้รู้ภาษาพูดจาสิ้น
ลงตีนโปกโปกโขกแผ่นดิน เพียงจะดิ้นหลุดแหล่งด้วยดีใจ
เลียชมดมทั่วทั้งกายา ขุนแผนกอดม้าน้ำตาไหล
ลูบหลังสีหมอกแล้วบอกไป ข้านี้ต้องราชภัยพึ่งพ้นมา
ไปติดคุกจนลูกทูลขอโทษ ท่านปล่อยโปรดจึงได้มาเห็นหน้า
เจ้าพลายนี้ลูกวันทองน้องยา ที่ท่านรับบุกป่ามากับเรา
สีหมอกฟังเหลียวหน้าหาวันทอง ไม่เห็นน้องอยู่ไหนให้สร้อยเศร้า
มิรู้ที่จะถามความหนักเบา เฝ้าแต่ดูลูกพ่อคลอน้ำตา ฯ
๏ ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา
เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา จะไปได้ฤๅว่าท่านหย่อนแรง
สีหมอกดีใจจะไปทัพ เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้ง
ดังบอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ
จึงเลือกเด็ดยอดหญ้ามาเต็มมือ ถือเสกด้วยพระเวทมุขใหญ่
ป้อนม้ากินหญ้าในทันใด ระงับโศกโรคภัยให้บรรเทา
เดชะพระเวทวิเศษขลัง สีหมอกมีกำลังขึ้นดังเก่า
ผูกเครื่องเรืองอร่ามงามเพริศเพรา ขุนแผนขี่เหยาะเหย่าออกมาพลัน
ลองขับน้อยใหญ่ทั้งไล่หนี ท่วงทีไวว่องคล่องขยัน
ถึงม้าหนุ่มจะเปรียบไม่เทียบทัน สารพันถูกทำนองด้วยว่องไว
ขุนแผนดีใจลงจากหลัง เรียกอ้ายจันมาสั่งหาช้าไม่
เอ็งดูให้อิ่มหนำสำราญใจ จะขี่ไปในรุ่งพรุ่งนี้เช้า ฯ
๏ ครั้นสั่งแล้วขุนแผนแสนศักดา เรียกลูกชายมาแถลงเล่า
พ่อเกรงว่าช้าอยู่เหมือนดูเบา เราจะยกในรุ่งขึ้นพรุ่งนี้
ด้วยปลอดสิ้นทักทินยมขัน เป็นฤกษ์เสาร์เก้าชั้นวิเศษศรี
มีตระบะจะชนะแก่ไพรี เจ้านี้จะเห็นเป็นอย่างไร
พลายงามความอาลัยศรีมาลา ไม่รับมาว่าจะจากพิจิตรได้
จะแจ้งข้อกลัวพ่อไม่ตามใจ จึงแก้ไขเบือนบิดคิดเจรจา
ว่าไพร่พลบอบช้ำระกำอก จะด่วนยกไปไหนนี่เจ้าขา
ขอให้ไพร่พักสักเวลา พอหายเหนื่อยเมื่อยล้าจึงคลาไคล
ขุนแผนว่าดูเอาเถิดเจ้าพลาย จะหยุดหาความสบายก็เป็นได้
การรับสั่งว่ายากลำบากไย ที่ไหนจะเหมือนบ้านเรือนตน
เจ้าพลายงามตอบว่าหามิได้ ลูกจะใคร่ปลุกเครื่องอิกสักหน
ด้วยยังหย่อนฤทธิ์เดชทั้งเวทมนตร์ ขอพักพลปลุกเครื่องเสียสักนิด
ขุนแผนว่าถ้าไปเสียให้ทัน พรุ่งนี้เป็นวันมหาสิทธิ์
จะปลุกเครื่องก็เรืองอิทธิฤทธิ์ ประกอบกิจกับฤกษ์ที่เบิกไพร
อันพิธีในเรื่องปลุกเครื่องอาน ทำในบ้านไม่เหมือนในป่าใหญ่
ด้วยบ้านเมืองผู้คนกล่นเกลื่อนไป จะระงับดับใจไม่สู้ดี
เจ้าพลายว่าป่าไม้จะปลุกฤทธิ์ ไม่ประสิทธิ์เหมือนหนึ่งป่าช้าผี
อยู่ในพาราป่าช้ามี ก็เป็นที่สงัดเงียบปากคอ
ขุนแผนรู้ว่าบิดก็คิดเคือง เอ็งห่วงเมืองอยู่ทำไมไฉนหนอ
ธุระสิ่งไรมีจะรีรอ พ่อพูดมิฟังช่างกะไร
พลายงามคร้ามพ่อไม่ต่อเถียง พูดเลี่ยงว่าธุระหามีไม่
แล้วพ่อลูกก็พากันคลาไคล ขึ้นจวนใหญ่พลายน้อยคะนึงนาง
ขุนแผนพลายงามพระพิจิตร ชอบชิดพูดจากันต่างต่าง
ถึงเรื่องรบพุ่งแลทุ่งทาง พูดพลางต่างหัวร่อกันเรื่อยไป ฯ
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยนสนธยา พระจันทราแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
เคลื่อนคล้อยลอยฟ้านภาลัย หมดเมฆปัถไหมไม่หมองมอม
พระพายพามาลาละอองกลิ่น รวยรินรสร่อนขจรหอม
ศรีมาลาอาวรณ์นอนใจตรอม ถนอมแนบหมอนข้างเคียงคะนึง
โอ้พ่อพลายงามของน้องเอ๋ย ใครเลยจะเอ็นดูให้รู้ถึง
ว่าน้องนี้มีจิตคิดรำพึง ดังศรตรึงทรวงโศกวิโยคคิด
พ่อชายตามาสบเมื่อน้องแล จะรู้แน่ฤๅจะแหนงแคลงในจิต
ดูลาดเลาเจ้าก็ใคร่จะเป็นมิตร ฤๅวิปริตคิดว่าไม่ปรานี
อกน้องยากนักด้วยเป็นหญิง ต้องซ่อนรักหนักนิ่งอยู่กับที่
แม้นเป็นชายพ่อพลายเป็นสตรี ค่ำวันนี้เป็นตายจะหมายไป
นึกพลางนางนอนสะท้อนท้อ น้ำตาคลอมิใคร่จะเคลิ้มได้
ให้เฟื่องฟุ้งพลุ่งพล่านรำคาญใจ นึกอาลัยไปจนหลับกับที่นอน ฯ
๏ พระพิจิตรขุนแผนพลายงาม พูดกันจนยามไม่หยุดหย่อน
พระพิจิตรว่าเช้าเจ้าจะจร จงพักผ่อนเสียเถิดทั้งสองรา
ว่าแล้วก็ลุกไปเข้าเรือน พลายงามฟั่นเฟือนเป็นหนักหนา
ชวนพ่อเข้านอนวอนพูดจา คุณพ่อขานี่ดึกแล้วกระมัง
ฉันวันนี้อย่างไรไม่สบาย ระส่ำระสายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสันหลัง
จะนอนเสียแต่หัวค่ำเอากำลัง จะได้ตั้งหน้ายกแต่เช้าไป ฯ
๏ ขุนแผนนึกในใจไอ้เจ้าชู้ มันสำคัญว่ากูหารู้ไม่
กรรมกรรมเจียวจะทำเป็นอย่างไร มันจะแกล้งให้ผู้ใหญ่ผิดใจกัน
คิดแล้วก็ทำเป็นมารยา หลับตานอนนิ่งไม่พลิกผัน
คอยจับแยบคายลูกชายนั้น ไม่วางใจให้หวั่นในอารมณ์ ฯ
๏ เจ้าพลายก่ายหมอนทำนอนนิ่ง สุดประวิงอกไหม้ไส้พุงขม
กำเริบรักหนักแน่นแสนระทม โอ้เจ้านมพวงพี่ศรีมาลา
ปานนี้เนื้ออ่อนจะนอนสนิท ฤๅดวงจิตจะนึกเสนหา
ดูทีเหมือนจะมีซึ่งเมตตา แต่ทว่าเป็นหญิงก็นิ่งไว้
อันความรักหนักแน่นในอกพี่ ข้อนี้เจ้าจะรู้ฤๅหาไม่
แม้นรู้เค้าเจ้าก็เห็นจะอาลัย คงมิให้เสียทีพี่หมายชิด
เขาย่อมว่าถ้ามีมิตรใจ แล้วคงไม่สาบสูญมิตรจิต
พี่รักเจ้าเท่าเทียมดวงชีวิต นี่จะคิดฉันใดให้เป็นการ
จะวนเวียนเพียรพูดให้ถึงปาก ก็สุดยากเชิงชักสมัครสมาน
ด้วยพรุ่งนี้ก็จะไปไม่อยู่นาน จะพึ่งพานผู้ใดก็ไม่มี
ถ้าจะไว้สู่ขอต่อขากลับ เห็นตัวพี่นี้จะยับลงเป็นผี
ด้วยความรักหนักใจเสียเต็มที จะทวีขึ้นทุกวันจนบรรลัย
จำจะคิดเข้าสนิทให้สมนึก จึงจะคิดทำศึกต่อไปได้
แม้นมิได้ศรีมาลายาใจ ซึ่งจะไปเชียงใหม่อย่าสงกา
ตามแต่บุญกรรมเถิดน้องแก้ว คนหลับแล้วจะลอบเข้าไปหา
ถ้าแม้นแก้วพี่มิเมตตา ก็ตามแต่เวราจะเป็นไป
ยิ่งนึกยิ่งตรมอารมณ์หมอง แสงเดือนเด่นส่องสว่างไสว
น้ำค้างพร่างพร้อยละห้อยใจ เสียงไก่แก้วขันกระชั้นยาม
ฟังพ่อรอหูดูจนใกล้ ไม่ไว้ใจแคลงคลำแล้วทำถาม
ขุนแผนรู้แยบคายเจ้าพลายงาม ไม่ตอบความนิ่งอยู่จะดูที
เจ้าพลายสำคัญว่าพ่อหลับ ค่อยขยับลุกย่องมาจากที่
พอออกนอกห้องได้ก็ยินดี หมายว่าหนีพ้นพ่อรอบังเงา ฯ
๏ ขุนแผนลุกมองแล้วย่องตาม พอทันถามออกมาทำไมเจ้า
พลายงามแก้เก้อละเมอเดา ฉันจะออกไปเบาที่นอกชาน
วันนี้มันให้ปวดแต่ท้องเยี่ยว หลายเที่ยวแล้วด้วยกล่อนมันสังหาร
จะปลุกพ่อขอยารับประทาน ขุนแผนว่าไม่ได้การแล้วเจ้าพลาย
อ้ายโรคกล่อนเช่นนี้มันขี้ถ่อย หมอสักร้อยรักษาก็ไม่หาย
ว่าพลางทางจูงมือลูกชาย ย่างกรายเข้าห้องต้องระวัง ฯ
๏ เจ้าพลายงามขัดใจไม่เป็นสุข ล้มนอนแล้วลุกทะลึ่งนั่ง
แค้นพ่อเหมือนหัวอกจะฟกพัง กะไรช่างแกล้งได้ไม่เมตตา
เป็นไรมีดีแล้วว่าไม่หลับ จะคอยจับให้ได้ก็ไม่ว่า
พลางร่ายมนตร์ขลังสั่งนิทรา ตั้งสมาธิปลงตรงภวังค์
เป่าต้องขุนแผนแสนสนิท ก็เคลิ้มจิตด้วยพระเวทวิเศษขลัง
หลับสนิทแน่วนิ่งลงจริงจัง พลายงามสมหวังสิ้นอาวรณ์
ขยับเท้าก้าวย่างออกจากห้อง พระจันทร์ส่องแสงจำรัสประภัสสร
พระพายพัดบุปผาพาขจร รวยรินรสอ่อนระรื่นไป ฯ
๏ มาถึงเรือนที่ศรีมาลาอยู่ แอบบังเงาดูด้วยสงสัย
หลังนี้ดอกกระมังยืนชั่งใจ แสงไฟวับวามตามตะเกียง
คิดพลางทางร่ายมนตร์สะกด หลับหมดเงียบดีไม่มีเสียง
สะเดาะกลอนถอนหลุดแล้วมองเมียง เลี่ยงเข้าในห้องย่องเดินมา
อัจกลับตามวางกระจ่างแสง เจ้าตกแต่งเครื่องเรือนไว้หนักหนา
เครื่องแป้งจัดตั้งไว้หลังม้า ขันล้างหน้าพานรองของผู้ดี
เครื่องนากเครื่องทองสองสำรับ เรียงลำดับวางไว้เป็นที่ที่
โถขี้ผึ้งแป้งร่ำน้ำมันตานี โต๊ะหวีตั้งเรียงไว้เคียงกัน
โตกพานหีบปัดจัดตั้งซ้อน ทั้งผ้าผ่อนพับเรียบทุกสิ่งสรรพ์
เครื่องไหว้พระนั้นจัดอัฒจันทร์ คันฉ่องแกะงาเป็นหน้าพรหม
กระจกใหญ่ใส่ตั้งทั้งไม้สอย อุบะห้อยรื่นรวยดูสวยสม
สะอาดสะอ้านลานตาน่านิยม พลางชมม่านกางข้างที่นอน
พื้นไหมใส่ทองเป็นลายปัก น่ารักรูปร่างบางชะอ้อน
ปักระเด่นเป็นไข้ใจอาวรณ์ ทุรนร้อนรักนุชบุษบา
เอาไฟเผาเข้าลักพระน้องนาฏ โอบอุ้มใส่ราชรถา
ระเด่นแกล้งแปลงเป็นจรกา ปักเป็นบุษบาเจ้าจาบัลย์
๏ พระรีบเร่งชักรถถึงคิรี เข้าสู่ถ้ำมณีภิรมย์ขวัญ
สองกษัตริย์เชยชมสมสู่กัน พอรุ่งแสงสุริยันก็จากนาง
เข้ามาเมืองจะเปลื้องความสงสัย สั่งพี่เลี้ยงไว้มิให้ห่าง
ผลกรรมจำจากจะพรากร้าง เผอิญข้างนางนึกนิยมไป
ออกทรงรถชมพรรณบุปผา ปักปะตาระกาหลาอันเป็นใหญ่
ให้ลมเพชรหึงลั่นสนั่นไพร พัดพาอรไทไปทั้งรถ
ครั้นไกลไปตกลงกลางป่า บุษบายิ่งแสนโศกกำสรด
คิดถึงพระองค์ผู้ทรงยศ นางระทดระทวยแทบทำลายชนม์
ปักเป็นระเด่นเที่ยวตามหา ค้นคว้าจบแหล่งทุกแห่งหน
พระวงศาแยกย้ายหลายตำบล แปลงตนเป็นปันจุเหร็จไพร
ฉลาดนักปักงามนี้น้อยฤๅ ช่างฟัดครือเรื่องพี่หาผิดไม่
อันองค์บุษบายาใจ พิเคราะห์ไปเหมือนเจ้าศรีมาลา
อันอกของระเด่นมนตรี เหมือนอกพี่นี้ที่โหยหา
คล้ายระเด่นกับพระนุชบุษบา แต่ไม่มีจรกาจึงผิดกัน
ถ้าใครเป็นจรกาเข้ามาแกล้ง พี่ไม่แปลงอย่างเช่นระเด่นนั่น
จะจิกหัวจรกาเอามาฟัน แล้วสรวลสันต์ผันแปรแลชำเลือง
เตียงจีนตีนตั้งบนตัวสิงห์ ฉลุลายพรายพริ้งพร้อมทั้งเครื่อง
แลวิจิตรปิดทองดูรองเรือง มุ้งเหลืองแพรดอกกกระเด็นลอย
หน้าระบายลายทับสลับสี มุ้งผู้ดีมีแส้หางม้าห้อย
เปิดมุ้งเมียงมองเห็นน้องน้อย เจ้าหลับผอยเพ่งพิศจิตทะยาน
พักตร์พริ้มเหมือนยิ้มอยู่ทั้งหลับ ประทีปจับหน้านวลชวนสมาน
เจ้านิทรามารยาทไม่มีปาน ยิ่งคิดก็ยิ่งซ่านสวาดิเตือน
ค่อยประคองลองจูบเจ้าทั้งหลับ หอมกะไรใจวับขยับเขยื้อน
พอต้องเต้าตัวสั่นให้ฟั่นเฟือน ค่อยลูบเลื่อนโลมเล้าละลานใจ
จับแล้ววางเล่าเฝ้ากลัดกลุ้ม ด้วยรุ่นหนุ่มชู้สาวหาเคยไม่
จะปลุกนางกลัวร้องย่องห่างไป คลายเวทแล้วก็ไอให้สำเนียง ฯ
๏ ครานั้นศรีมาลานารี รู้สึกสมประดีได้ยินเสียง
ลืมตาเห็นชายอยู่ปลายเตียง เจ้ามองเมียงจำได้ว่าพลายงาม
นึกสำคัญในจิตคิดว่าฝัน ไม่หวาดหวั่นยิ้มแล้วก็ทักถาม
นึกอย่างไรใจกล้าเข้ามาตาม จะเกิดความงามหน้าพากันอาย
เจ้าพลายได้ฟังเข้านั่งอิง นางรู้ว่าคนจริงมิ่งขวัญหาย
ตกใจเพียงจะดิ้นสิ้นใจตาย ร้องว้ายแล้วก็ซบสลบไป ฯ
๏ อีเม้ยรับหลับอยู่ที่เฉลียง ได้ยินเสียงนายร้องก็จำได้
ลุกขึ้นด้วยตระหนกตกใจ เข้าห้องในมองเมียงถึงเตียงพลัน
เห็นเจ้าหนุ่มอุ้มนางวางบนตัก รู้จักว่าเจ้าพลายที่หมายมั่น
ก็แจ้งใจในเหตุปัจจุบัน มาฉวยขันน้ำส่งให้เจ้าพลาย
พ่อเอาผ้าชุบน้ำนี้ลูบหน้า ลูบไล้ไปมากว่าจะหาย
แล้วปลอบโยนตามใจให้สบาย ถ้าขืนใจแล้วจะตายในพริบตา
ว่าแล้วปิดห้องย่องกลับไป อีเม้ยยิ้มละไมอยู่ในหน้า
คอยดูผู้คนจะไปมา ด้วยสงสารศรีมาลากับพลายงาม ฯ
๏ จะกล่าวถึงท่านพระพิจิตร หลับสนิทเสียงลูกตกใจหวาม
จะเกิดเหตุอะไรไม่รู้ความ จึงร้องถามอีเม้ยเฮ้ยเป็นไร
กูแว่วแว่วเหมือนเสียงศรีมาลา มึงลืมตาขึ้นฟังมั่งฤๅไม่
อีเม้ยเอ่ยตอบไปทันใด นายท่านเรียกฉันไปให้ปัดยุง
ปัดไปปัดมาไม่ทันดู จิ้งจกมันอยู่ที่ในอุ้ง
ฉันปัดมันพลัดลงจากมุ้ง ถูกพุงเธอจึงร้องออกก้องเรือน
พระพิจิตรว่าดูอีมอญถ่อย สักหน่อยอ่อนจะเลยเป็นกลากเกลื้อน
บุษบาว่าฉันก็ได้เตือน มันเชือนไม่ดูแลแต่กลางวัน ฯ
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนพ่ออยู่หอนั่ง สะดุ้งฟื้นตื่นฟังใจหวั่นหวั่น
ออพลายหายแล้วไม่แคล้วกัน อ้ายขี้เค้าคงถลันไปเข้ามุ้ง
อ้ายลูกเจ้ากรรมมาทำเข็ญ พรุ่งนี้ทีเห็นจะเกิดยุ่ง
แต่ตริตรองแก้ไขสิ้นไส้พุง คืนยังรุ่งไม่ระงับหลับนอน ฯ
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา ค่อยฟื้นตื่นมายังเหนื่อยอ่อน
ได้สติลืมตาด้วยอาวรณ์ เห็นเจ้าพลายกอดช้อนไว้ทั้งตัว
มือหนึ่งลูบน้ำชโลมหน้า นางประหม่าขนพองสยองหัว
ใจเต้นหวามหวามด้วยความกลัว ยังมึนมัวมิรู้ที่จะหนีไป
จึงค่อยเคลื่อนเลื่อนตัวลงจากตัก ละอายนักนิ่งนอนถอนใจใหญ่
ค่อยกระดิกพลิกตัวเข้าข้างใน เจ้าแกล้งหันหลังให้ไม่แลดู ฯ
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาดิ ยังไม่อาจถามทักเป็นสักครู่
ด้วยอาการอย่างไรยังไม่รู้ เห็นนอนอยู่ดิบดีค่อยมีใจ
จึงหยิบพัดหางปลามารำเพย น้องเอ๋ยนอนเถิดจะพัดให้
เมื่อตะกี้พี่วิตกนี่กะไร ถ้าบรรลัยพี่ชายจะตายตาม
พี่บนบวงเทวดาคงมาช่วย จึงรอดด้วยเทพไทมิได้ห้าม
ท่านเอ็นดูโฉมฉายกับพลายงาม เพราะเห็นความรักพี่มีต่อน้อง
แต่แลพบสบตาเมื่อมาถึง พี่เหมือนหนึ่งกับปลามาติดข้อง
ทุรนร้อนรักรึงคะนึงปอง ถ้าเจ้าไม่ปรองดองก็ท่าตาย
เหลือที่พี่จะโศกโรครักร้าง ช่วยรักษาพี่บ้างพอห่างหาย
เชิญเจ้าผินหน้ามาหาพี่ชาย พูดภิปรายพอให้พี่มีน้ำใจ ฯ
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา ได้ฟังวาจายิ่งรักใคร่
แต่หากมารยาแกล้งว่าไป นี่อยากรู้ว่าใครให้เข้ามา
เป็นผู้ดีช่างไม่มีอัชฌาสัย ไม่เกรงใจพ่อแม่แต่สักหน้า
รู้จักกันก็ไม่ทันล่วงเวลา จะมาฆ่าแท้แท้แก้ว่ารัก
รักจริงนิ่งไยมิไปขอ บอกแม่พ่อเป็นผู้ใหญ่ให้ประจักษ์
ล่วงเกินแล้วมาเชิญให้ทายทัก นี่จะให้ใครสมัครไปทักทาย ฯ
๏ อนิจจาแก้วตาช่างว่าได้ ไม่เห็นใจฤๅว่ารักสมัครหมาย
พี่กล้ามาถึงตัวไม่กลัวตาย ก็เพราะรักโฉมฉายกว่าชีวิต
ถ้าสามารถอาจขอต่อพ่อแม่ แน่แล้วพี่จะขอต่อพระพิจิตร
ท่วงทีก็จะสมอารมณ์คิด ท่านเป็นมิตรกับบิดามาช้านาน
เมื่อนั่งกินข้าวเย็นเห็นฤๅเปล่า ท่านหยอกเย้าพี่อย่างว่าลูกหลาน
แต่สุดคิดเพราะติดราชการ จะต้องคุมพวกทหารไปพรุ่งนี้
ถ้าร้างรักหักใจไปจากเจ้า ทุกค่ำเช้าจะระทมดังตรมฝี
คงบรรลัยไม่ทันเป็นไมตรี ใช่ว่าพี่จงจิตจะคิดร้าย
เพราะขัดขวางอย่างอื่นไม่คิดเห็น จำเป็นจึงเข้ามาหาโฉมฉาย
ถ้าเจ้าไม่ปรานีพี่ยอมตาย ขอฝากกายไว้ในห้องของน้องรัก ฯ
๏ ศรีมาลาฟังความพลายงามว่า นางตรึกตราทุกสิ่งจริงประจักษ์
นึกถึงตัวกลัวอายยิ่งร้ายนัก เหมือนชวนชักชายไว้ที่ในเรือน
ถึงเพียงนี้แล้วที่ไหนจะไปจาก ยากที่จะผัดวันประกันเลื่อน
ทั้งใจนางความรักก็ตักเตือน จึงลุกเบือนหน้าค้อนเจ้าพลายงาม
อ้อชาวกรุงศรีเช่นนี้เจียว ฉลาดเฉลียวลิ้นลมเป็นคมหนาม
จะว่าไรแก้ไขได้ทุกความ มิน่าหญิงวิ่งตามกันปรอปรอ
ขึ้นมาถึงพิจิตรติดผู้หญิง ครั้นติดทัพกลับนิ่งไม่สู่ขอ
ไปทัพก็ไม่ไปไถลรอ จนแม่พ่อหลับใหลเข้าในเรือน
ไม่คบค้าก็ว่าจะบรรลัย ชาวบ้านนอกที่ไหนใครจะเหมือน
ถ้าหญิงใดใจเบาให้เจ้าเชือน ไม่ถึงเดือนก็จะทิ้งวิ่งไปทัพ
ปล่อยนางร้างเปล่าอยู่ข้างนี้ ต้องให้คอยร้อยปีไม่มีกลับ
ให้เสียตัวชั่วช้ำระยำยับ เพราะสับปลับหลงเสน่ห์เล่ห์ชาวกรุง
ฉันขอบคุณที่อุตส่าห์รักษาไข้ ไปเสียเถิดพ่อไปจะใกล้รุ่ง
ถ้าพ่อแม่รู้ความจะลามนุง จะโกรธยุ่งไม่ให้ดังใจปอง ฯ
๏ น้องเอ๋ยที่จะไปอย่าได้คิด สิ้นชีวิตก็จะตายอยู่ในห้อง
พี่ไม่ลวงหลอกดอกนะน้อง จะครอบครองเป็นคู่อยู่จนตาย
ปรานีพี่เถิดเจ้าอย่าเฝ้าดื้อ ได้ถูกถือแล้วเช่นนี้ไม่หนีหน่าย
ว่าพลางอิงแอบเข้าแนบกาย เจ้าพลายจับต้องจะลองใจ ฯ
๏ ศรีมาลาป้องปัดสะบัดเบี่ยง เขาว่าแล้วยังเมียงเข้ามาใกล้
สัญญาว่าแต่ปากยากอะไร อย่าด่วนได้นะจงยั้งชั่งใจคิด
ถ้าจริงใจก็ให้ความสัตย์ก่อน ให้แน่นอนภายหน้าว่าสุจริต
เชื่อได้จึงจะปลงลงเป็นมิตร ถ้าเบือนบิดอย่าสำรวยให้ป่วยการ ฯ
๏ จริงจริงกระนั้นฤๅน้องแก้ว มันก็แล้วมิให้น้องต้องว่าขาน
พี่จะให้ความสัตย์ปฏิญาณ ขอบันดาลเทพยดาจงมาฟัง
ถ้าพี่นี้ทิ้งขว้างร้างหย่า ไม่เลี้ยงเจ้าศรีมาลาไปวันหลัง
ขอให้มีอันเป็นเห็นจริงจัง ลงนรกตกกระทั่งถึงโลกันต์
พี่ให้สัตย์ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว น้องแก้วยังสงสัยฤๅไรนั่น
เชิญเจ้าช่วยรับรักพี่หนักครัน จะหวาดหวั่นต่อไปไม่ต้องการ ฯ
๏ เห็นแล้วหม่อมพี่ที่รักน้อง คงปรองดองร่วมรักสมัครสมาน
แต่ฉันยังเป็นไข้ให้สะท้าน ขอผัดพอนานนานจะตามใจ
เจ้าพลายรู้ใจไข้มารยา ไม่รอช้ากอดรัดกระหวัดไขว่
ประจงจูบลูบลอดในสไบ นางผลักไสอยู่จนพับกับที่นอน
ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก ไม่ประจักษ์เสนหามาแต่ก่อน
กำเริบรักเหลือทนทุรนร้อน พอร่วมหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์
เหมือนเกิดพายุกล้ามาเป็นคลื่น ครืนครืนฟ้าร้องก้องสนั่น
พอฟ้าแลบแปลบเปรี้ยงลงทันควัน สะเทือนลั่นดินฟ้าจลาจล
นทีตีฟองนองฝั่งฝา ท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝน
โลกธาตุหวาดไหวในกมล ทั้งสองคนรสรักประจักษ์ใจ ฯ
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา เสนหาพะวงหลงใหล
แอบผัวเคียงข้างไม่ห่างไกล เอาสไบซับเนื้อที่เหื่อนอง
พัดพลางถามผัวกลัวอิดโรย หิวโหยฤๅข้าจะหาของ
เจ้าพลายส้วมสอดกอดประคอง ได้แนบน้องเนื้อนิ่มพี่อิ่มทิพย์
กินอยู่ไม่ต้องกล่าวทั้งคาวหวาน ขึ้นสวรรค์เห็นวิมานอยู่หวิบหวิบ
ต่างพนึงคลึงเคล้าเฝ้ากระซิบ งุบงิบกันจนม่อยผอยหลับไป ฯ
๏ จวนอรุณเรื่อฟ้านภาแผ้ว ไก่แก้วขันเร่งปัจจุสมัย
ศรีมาลาตื่นก่อนถอนฤทัย ด้วยจำใจจะต้องพรากจากผัวนั้น
นางล้างหน้าทาแป้งแล้วหวีหัว ค่อยขยับจับตัวผัวปลุกสั่น
ตื่นเถิดจวนจะแจ้งแสงตะวัน อยู่ด้วยกันช้าไปจะได้อาย
เจ้าพลายตื่นฟื้นตัวมัวแต่จูบ โลมลูบอยู่มิใคร่จะผันผาย
จะเหินห่างนางไปให้เสียดาย ซังตายลุกมาล้างหน้าพลัน
ศรีมาลามพาไปที่เครื่องแป้ง ตกแต่งแป้งร่ำน้ำดอกไม้กลั่น
เจือกระแจะปรุงประทิ่นกลิ่นจวงจันทน์ นางจัดสรรให้ผัวแต่งตัวไป
เจ้าพลายประแป้งแต่งตัวแล้ว จะคลาศแคล้วก็สะท้อนถอนใจใหญ่
นั่งลงอุ้มนางวางตักไว้ ยังอาลัยนิ่งอนาถไม่อาจจร ฯ
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา เจ้าโศกาสะอึกสะอื้นอ้อน
นึกได้เหลียวหน้ามาว่าวอน คิดก่อนนะจะไปไกลจากน้อง
เรื่องของเราผู้ใหญ่ไม่รู้ความ ต้องคิดอ่านลากหนามไว้จุกช่อง
พ่อไปเผื่อใครจะขอร้อง อย่าให้ต้องขืนขัดคำบิดา
ถึงน้องจะยากเข็ญเป็นอย่างไร ก็คงจะเอาใจไว้รอท่า
เสร็จราชการทัพจงกลับมา อย่าเชือนช้าให้ม้วยด้วยตรอมใจ
พลายงามความอาลัยใจละเหี่ย ฟังเมียไม่กลั้นน้ำตาได้
พี่นี้เหลือที่จะห่วงใย พี่จะไปบอกพ่อให้ขอน้อง
ถึงกะไรให้ขอพอได้หมั้น ป้องกันมิให้ใครเกี่ยวข้อง
ถ้าหากว่าบิดาไม่ปรองดอง ถึงจะต้องฟันคอมิขอไป
อย่าวิตกหมกไหม้เลยน้องแก้ว ไปแล้วพี่หาลืมปลื้มจิตรไม่
เจ้าจงจำคำสัตย์ของพี่ไว้ เสร็จศึกเมื่อไรจะรีบมา
อย่าร้องไห้ไปนักจงฟังพี่ พรุ่งนี้ใครเห็นจะผิดหน้า
ว่าพลางทางช่วยเช็ดน้ำตา แล้วจูบซ้ายย้ายขวาจะลาจร
ศรีมาลาอาลัยใจจะขาด นางมิอาจดูหน้าดังแต่ก่อน
ผละผัวตัวเจ้าเข้าที่นอน ลงแอบหมอนซ่อนหน้าโศกาลัย ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม แลตามเมียขวัญให้หวั่นไหว
รามรามจะใคร่ตามกลับเข้าไป แต่จนใจจะสว่างกระจ่างฟ้า
หักใจเดินออกมานอกห้อง ค่อยค่อยย่องบังเงาเข้าริมฝา
ถึงหอนั่งตั้งใจจะไสยา เห็นบิดาตื่นอยู่ก็ตกใจ ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา เห็นพลายงามถามว่ามาแต่ไหน
เจ้าพลายทำเฉยเอ่ยตอบไป ฉันปวดท้องลงบันไดไปที่เวจ
ขุนแผนว่าเวจไหนในเมืองนี้ ถึงกับมีเครื่องแป้งแต่งไว้เสร็จ
หน้าตาทาแป้งเป็นเม็ดเม็ด กูรู้เช่นเห็นเท็จอย่าหลอกลวง
มาอยู่บ้านพระพิจิตรผู้บิดา พระคุณท่านมีมาเป็นใหญ่หลวง
เอ็งนี้จ้วงจาบละลาบละล้วง บังอาจล่วงลูกท่านผู้มีคุณ
หากว่าติดนิดหนึ่งด้วยการทัพ หาไม่กูจะขับลงใต้ถุน
ไม่ถูกหวายลายพร้อยก็เป็นบุญ ทำวุ่นแล้วจะว่าประการใด ฯ
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาดิ ฟังพ่อบริภาษหาเถียงไม่
คิดไปได้ทีก็ดีใจ กราบไหว้ว่าลูกนี้ผิดจริง
ด้วยความรักอักอ่วนเหลือกำลัง ราวจะคลั่งจะไคล้ไปทุกสิ่ง
มิรู้ที่จะสลัดตัดทิ้ง ถ้าขืนนิ่งไปศึกนึกว่าตาย
จะพึ่งบุญคุณพ่อช่วยขอสู่ ก็ว่าจะไม่อยู่เมื่อตอนบ่าย
คิดไปไม่ตลอดจะวอดวาย จึงปีนป่ายเข้าห้องน้องศรีมาลา
อ่อนก็เป็นมิตรจิตไม่คิดแหนง คุณพ่อก็เห็นแป้งที่ประหน้า
ลูกได้ให้คำมั่นเป็นสัญญา ว่าจะบอกบิดาให้ขอร้อง
ถึงกะไรได้หมั้นพอกันเท็จ การเบ็ดเสร็จไว้ว่าเมื่อขาล่อง
คุณพ่อโปรดด้วยช่วยปรองดอง จะได้คล่องอกใจไปราวี ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท นิ่งคิดใคร่ครวญดูถ้วนถี่
การทั้งปวงล่วงเลยถึงเพียงนี้ จะทิ้งไปไม่ดีเป็นเนรคุณ
อองามก็หลงจนงงงวย ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเจ้าพลายงาม
อ้ายลูกนอกพ่อก่อความร้อน เมื่อแต่ก่อนทำไมไม่ไต่ถาม
เอาแต่ใจหนุ่มตะกรุมตะกราม เกิดความแล้วมาง้อพ่อทำไม
ถ้าไม่รักพระพิจิตรผู้บิดา กูหาพักพูดจาให้มึงไม่
ลูกของท่านท่านรักดังดวงใจ มึงทำให้เสียตัวเหมือนชั่วช้า
ก็จะต้องแก้ไขเสียให้หาย อย่าให้ท่านอับอายขายหน้า
ถ้าวันหน้าทิ้งขว้างนางศรีมาลา กูมิฆ่าอย่านับว่าเป็นชาย
เจ้าพลายดีใจกราบไหว้พ่อ ข้อนั้นมิให้มีที่เสียหาย
ว่าพลางล้างหน้าทั้งสองนาย แล้วเยื้องกรายออกมาอยู่หน้าเรือน ฯ
๏ จะกล่าวถึงนวลนางศรีมาลา โศกาอาลัยใครจะเหมือน
กอดหมอนถอนใจให้ฟั่นเฟือน นอนเชือนอยู่จนเช้าเจ้าไม่ลุก
อีเม้ยเห็นนายยังหายเงียบ ค่อยย่องเกรียบไถลเข้าไปปลุก
เห็นนายเฉยเลยทำเหมือนเป็นทุกข์ ลงนั่งปุกแกล้งสะท้อนแล้วถอนใจ
อนิจจาขัดสนช่างจนยาก แต่จะหาใส่ปากมิใคร่ได้
ยังมาซ้ำฝันเห็นให้เป็นไป ว่าเทพไทเธอมาเมื่อคืนนี้
กลับไปเมื่อใกล้จะสว่าง ไปกลางทางเธออยากหมากบุหรี่
เบี้ยหอยแต่สักร้อยก็ไม่มี จะเอาที่ไหนไปให้เทวดา
นายตื่นจะต้องขึ้นค่าตัวใช้ ด้วยสงสารเทพไทเป็นหนักหนา
น่าเอ็นดูเธอสู้เหาะลงมา ถ้านายไม่เมตตาจะเสียใจ ฯ
๏ ศรีมาลาไม่อินังกำลังเฉย ฟังอีเม้ยแก้ฝันไม่กลั้นได้
ลุกขึ้นต่อยหัวตัวจัญไร ไม่มีเลือกเสือกไปเที่ยวล่วงรู้
มึงอย่าพูดมากปากสำรวย มานั่งช่วยกันทำเสียสักครู่
ว่าพลางเจียนหมากแล้วจีบพลู บุหรี่มีในตู้เอาแก้มัด
เย็บกระทงประจงเจียนฝาชี ใส่หมากพลูบุหรี่ที่นางจัด
ทั้งของกินระหว่างทางอัตคัด ใส่ขวดอัดผูกผ้าตราประทับ
จัดเสร็จซ่อนใส่ในตะกร้า แล้วเอาผ้าซ้อนซ้ำเป็นลำดับ
เอ็งเอาไปให้ดีอีเม้ยรับ ของคำนับเทวดาที่หามึง ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา สั่งผู้คนจนเวลาสักโมงครึ่ง
เบิกเสบียงเลี้ยงกันอึงคะนึง ครั้นเสร็จจึงออกมาหาสองนาย
พอนั่งลงบุษบาก็เรียกไป ศรีมาลาเป็นไรไปไหนหาย
พ่อแผนจะไปแต่ในงาย สายแล้วสำรับไม่ยกมา
อีเม้ยบอกไปใจคอหาย ผงเข้าตานายเมื่อล้างหน้า
ยังปวดแสบเต็มที่เห็นยี่ตา บุษบาว่ามึงเป็นแต่เล่นลิ้น
ทิ้งนายมานั่งตั้งสำออย สักหน่อยตาอ่อนจะบวมปลิ้น
ชาติอีมอญหน้าเป็นเห็นแก่กิน น้ำขมิ้นไม่เอาไปให้หยอดตา ฯ
๏ เจ้าพลายได้ฟังนั่งนึกขัน อีคนนี้สำคัญมันหนักหนา
คงรู้เห็นเป็นใจกับศรีมาลา นึกหน้าได้แล้วเมื่อคืนนี้
ที่เข้าไปช่วยเหลือเมื่อนางแน่ แล้วช่วยปดพ่อแม่เป็นถ้วนถี่
นิ่งนึกตรึกตรองเห็นช่องดี ได้ทีบอกบุษบาพลัน
คุณแม่แก้ผงเข้าตาช้ำ ถ้าลืมตาในน้ำดีขยัน
กระตุกหนังตาช่วยไปด้วยกัน ทำอย่างนั้นก็จะหายระคายตา ฯ
๏ บุษบาได้ฟังนั่งหัวร่อ พ่อคุณอารีดีหนักหนา
อีเม้ยมึงจำเอาตำรา ไปบอกศรีมาลาเหมือนพ่อพลาย
แล้วหันหน้ามาพูดกับขุนแผน แม่นี้แค้นตัวเองมิรู้หาย
มีลูกก็ไม่เห็นเป็นผู้ชาย ยังเสียดายอยากได้ไว้สักคน ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา เห็นสบท่าตอบต่ออนุสนธิ์
ลูกได้พึ่งฝ่าเท้าเมื่อคราวจน มีพระคุณเป็นพ้นคณนา
แต่ตริตรองจะสนองพระคุณตอบ คิดดูรอบคอบเป็นหนักหนา
ยังไม่เห็นสิ่งใดในปัญญา จนขึ้นมาถึงพิจิตรบุรี
มาถึงก็รำพึงแต่เย็นวาน เห็นการสมควรเป็นถ้วนถี่
คุณพ่อแม่ลูกชายนั้นไม่มี อองามนี้ลูกจะยกให้ช่วงใช้
ให้แทนคุณต่างตัวทั้งแม่พ่อ ตามแต่จะตีด่าหาว่าไม่
คุณพ่อจะเห็นเป็นอย่างไร ใจเด็กก็สมัครรักฝ่าเท้า ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบิดา ฟังว่าเต็มใจให้ลูกสาว
ยิ้มแล้วตอบความตามเรื่องราว อย่าต้องกล่าวอุปไมยไปเป็นเพลง
เจ้าว่าข้าก็เห็นว่าเป็นมิตร ที่จริงจิตคิดดูก็เหมาะเหม็ง
แต่เป็นชาวบ้านนอกยังออกเกรง ลูกข้าเองมันไม่สู้รู้อะไร
เป็นแต่คนซื่อซื่อไม่ดื้อดึง จะเอาถึงชาวกรุงนั้นไม่ได้
ฉวยวันหน้าถ้าลูกไม่ถูกใจ เจ้าจะทำฉันใดอย่าให้อาย ฯ
๏ ขุนแผนนบนอบตอบพระพิจิตร ข้อนั้นลูกก็คิดเป็นเหลือหลาย
เอาทานบาดคาดทานบนจนออพลาย หายวิตกแล้วลูกจึงพูดจา
อันเช่นศรีมาลานารี ถึงที่ในกรุงศรีก็สุดหา
ทั้งรูปร่างท่วงทีกิริยา พอลูกมาเห็นลูกก็ถูกใจ
ถึงอองามจะเป็นเจ้าพระยา แขกไปใครมาก็รับได้
ทั้งตัวลูกก็อยู่จะดูไป คงมิให้อับอายขายฝ่าเท้า ฯ
๏ พระพิจิตรจึงว่าถ้ากระนั้น พอเชื่อกันวางใจที่ในเจ้า
แต่บุษบาจะว่าข้าใจเบา ลูกของเขาเจ้าถามบ้างเป็นไร ฯ
๏ บุษบาได้ฟังนั่งอมยิ้ม ใจสมัครรักปิ้มจะบอกให้
แต่คิดคิดก็ตะขิดตะขวงใจ เป็นผู้ใหญ่จู่ลู่จะดูแคลน
จึงว่าลูกข้าก็คนเดียว ขับเคี่ยวมาแต่น้อยคอยหวงแหน
ขอไปแม่จะได้ที่ไหนแทน พ่อแผนก็จำเพาะมาเจาะจง
เพราะรักเจ้าล้นเหลือเหมือนเนื้อไข ไม่ขัดได้จำตามความประสงค์
แต่ทว่าข้าจะบอกออกตรงตรง ยังนึกสงสัยบ้างทางเจ้าพลาย
มีธุระทางไกลไปเมืองลาว สาวสาวทางนั้นมันมากหลาย
ถ้ากะไรไปถูกลูกเจ้านาย ที่พูดกันมันจะกลายเป็นเหลวเลอะ
จะทำให้เสียหายฝ่ายผู้ใหญ่ เกิดระกำช้ำใจกันไปเถอะ
เขาจะว่าข้านี้เป็นคนเคอะ ช่างซมเซอะไม่รู้จะดูชาย
ที่ว่านี้มิใช่จะตัดรอน รักเจ้ามาแต่ก่อนนั้นเหลือหลาย
จะควักแก้วตาไปให้เจ้าพลาย ก็เบี่ยงบ่ายอย่างไรให้มั่นคง ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม คิดแล้วกล่าวความตามประสงค์
ถ้าหากท่านผู้ใหญ่ได้ตกลง ที่ตรงดีฉันนั้นอย่าแคลง
ถึงจะไปนอกฟ้าป่าหิมพานต์ อันที่การนอกใจอย่าได้แหนง
แม้จะให้สัญญาปิดตราแดง จะขีดแกงไดให้ในสัญญา
ถึงเด็กอยู่รู้พระคุณแต่หนหลัง พ่อแม่เล่าให้ฟังเป็นหนักหนา
จะขอเป็นเกือกทองรองบาทา คุณแม่พ่อขออย่าได้ปรารมภ์
ขุนแผนพ่อพูดต่อเจ้าพลายงาม ความที่มันสัญญาน่าจะสม
เห็นจะไม่โกหกพกลม แต่นานนมหนักไปก็ไม่ดี
ลูกคิดว่าถ้าหมั้นต่อกันไว้ ถึงห่างไกลก็พะวงตรงที่นี่
เหมือนตัวไปใจอยู่ด้วยคู่มี อย่างนี้เป็นทำนองที่ป้องกัน
วันนี้ก็ประเสริฐเลิศดิถี จงปรานีรับรองซึ่งของหมั้น
แล้วจึงทำเหย้าเรือนหาเดือนวัน การเหล่านั้นฝากไว้ในเจ้าคุณ
ด้วยจะต้องไปทัพรับอาสา การของลูกข้างหน้ายังว้าวุ่น
คุณพ่อแม่เมตตาได้การุญ ให้อุ่นอกเช่นครั้งแต่หลังมา ฯ
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร ทั้งบุษบาสมคิดก็หรรษา
รับทองหมั้นไว้มิได้ช้า พระพิจิตรจึงว่าเป็นไรมี
เจ้าคิดอ่านการศึกเอาเชียงใหม่ ถ้าคล่องใจคงสำเร็จราวเดือนยี่
ยังจะต้องคุมทัพกลับธานี ก็เดือนสี่แลประมาณการวิวาห์ ฯ
๏ ครั้นตกลงปลงใจให้กันแล้ว ต่างคนผ่องแผ้วเป็นหนักหนา
สำรับพร้อมล้อมนั่งกินข้าวปลา สนทนาเบิกบานสำราญใจ
เลี้ยงดูกันสำเร็จเสร็จสรรพ พ่อลูกลากลับหาช้าไม่
พระพิจิตรมาส่งลงบันได ออกจากจวนไปยังวัดจันทร์ ฯ
๏ ฝ่ายอีเม้ยดักทางอยู่ห่างบ้าน พอขุนแผนเดินผ่านพ้นที่นั่น
กระแอมไอให้เสียงเป็นสำคัญ เจ้าพลายหันมาดูก็รู้ที
จึงหลีกเข้าข้างทางหว่างต้นไม้ ถามว่ามาทำไมจนถึงนี่
อีเม้ยบอกว่าตะกร้านี้ มีของดีจะขายพ่อพลายงาม
เจ้าพลายยิ้มแล้วว่าข้าอยากได้ จะถูกแพงเท่าไรไม่ต้องถาม
รับตะกร้ามาให้ไพร่แบกตาม เอาเงินสามตำลึงส่งให้อีเม้ย
แล้วค่อยงุบงิบกระซิบสั่ง กลับหลังเข้าเรือนอย่าเชือนเฉย
ถ้านายยังร้องไห้ไม่เสบย เจ้าคนเคยปฏิบัติอยู่อัตรา
ปลอยโยนนางไว้อย่าให้เศร้า ตัวเจ้าจงพิทักษ์รักษา
ให้เป็นสุขค่ำเช้าจนเรามา เงินตราข้าจะเติมเพิ่มรางวัล
ว่าแล้วเท่านั้นก็ผันผาย เจ้าพลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
รีบตามบิดามาวัดจันทร์ แล้วช่วยกันจัดพหลพลโยธี ฯ
๏ ครั้นเรียกคนสำรวจตรวจถ้วน จัดกระบวนหน้าหลังตั้งตามที่
พระพิจิตรมาช่วยอวยสวัสดี แล้วคลายคลี่พหลพลโยธา
กองหน้านายจันสามพันตึง พอฆ้องหึ่งโห่กระหน่ำออกนำหน้า
กองหลวงกองเสบียงเรียงกันมา ราชอาญากองหลังนั้นรั้งพล
พวกชาวบ้านร้านตลาดดาษดื่น แตกตื่นมาดูอยู่สับสน
ที่ตามวัดก็พระประน้ำมนต์ ขุนด่านนำส่งจนพ้นพรมแดน ฯ
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม ขี่ม้ามาตามพ่อขุนแผน
ยังง่วงเหงาหาวนอนนั่งคลอนแคลน ทรวงแสนกระสันโศกวิโยคครวญ
โอ้ว่าศรีมาลาแก้วตาพี่ ปานฉะนี้จะเศร้าเฝ้าโหยหวน
เหมือนใจพี่ที่นึกคะนึงนวล ใครจะชวนโฉมฉายให้คลายใจ
ที่พูดกันเมื่อเช้าถ้าเจ้ารู้ ว่าขอสู่แม่พ่อก็ยกให้
เห็นจะวายหวาดหวั่นพรั่นฤทัย นั่งนับวันไปจนถึงงาน
ค่ำเช้าเจ้าคะนึงถึงตัวพี่ พอมีที่แก้ไขได้คิดอ่าน
ตระเตรียมจัดแจงแต่งเรือนชาน แก้รำคาญแบ่งเบาที่เศร้าใจ
เออเมื่อคิดขึ้นมาก็น่ารู้ ว่าเนื้อคู่คิดเห็นเป็นไฉน
จะตกแต่งหอห้องทำนองใด ใครจะเป็นที่ปรึกษาหารือนาง
คู่คิดเจ้าก็มีแต่อีเม้ย มันเป็นไพร่ไม่เคยคงพานขวาง
จะชวนซื้อหาใหม่ไปทุกทาง ของเก่ามีดีบ้างไม่นำพา
เครื่องเรือนในห้องของน้องแก้ว ล้วนดีดีมีแล้วก็หนักหนา
พี่ยังได้ชมเล่นเห็นแก่ตา จะต้องหาใหม่นั้นมิเพียงไร
เตียงนอนค่อนจะแคบอยู่สักนิด แต่ก็ดีที่ชิดพิสมัย
ถึงหนาวร้อนก็ไม่นอนห่างกันไป อย่าต้องหาเตียงใหม่เลยน้องรัก
ม่านกรองทองทับสลับสี เรื่องระเด่นมนตรีที่เจ้าปัก
มันถูกเรื่องของเราเข้าทีนัก จะเยื้องยักปักใหม่ไม่ต้องการ
ถ้ากะไรปักต่อก็จะดี เติมเมื่อตรงสึกชีอิกสักม่าน
ยังเครื่องแป้งแต่งไว้ไม่มีปาน ขันพานขวดน้อยน้อยน่าเอ็นดู
เมื่อคืนนี้ตอนดึกยังนึกได้ เจ้าพาไปนั่งเรียงอยู่เคียงคู่
เครื่องเชี่ยนหมากนากทองของโฉมตรู ยังติดตาพี่อยู่ทุกสิ่งอัน
พี่จะปลูกหอใหม่ให้ใหญ่กว้าง ทั้งของนางของพี่จะจัดสรร
ของของพี่มีมากหลากหลากกัน เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ก็ดีดี
๏ ยังเครื่องรางปลุกเสกล้วนเลขยันต์ ฤๅขวัญข้าวเจ้ารังเกียจด้วยเกลียดผี
ก็ไว้ที่อื่นได้เป็นไรมี พี่จะสร้างหอน้อยเป็นหอพระ
ที่ในห้องของเราเอาพรมปู วางหมอนคู่เคียงไว้ไม่เกะกะ
ไว้นอนเล่นเย็นเช้านะเจ้านะ พี่จะเฝ้าถนอมกล่อมน้องยา
ถึงจะนั่งกินข้าวทั้งเช้าเย็น เราอย่าให้ใครเห็นจะดีกว่า
ได้หยอกเอินพูดเล่นเจรจา กินข้าวปลาเอิบอิ่มกระหยิ่มใจ
ทำไมกับเรื่องเครื่องเรือนชาน จะเบิกบานก็ที่ชิดพิสมัย
ชั้นชั่วเสื่ออ่อนกับหมอนใบ ก็คงได้ความสุขทุกคืนวัน
๏ กำลังง่วงดวงจิตรคิดเลื่อนเปื้อน เจ้าพลายฟั่นเฟือนเหมือนกับฝัน
สำคัญว่าเนื้อคู่อยู่ด้วยกัน ยิ่งยั่วยวนสรวลสันต์จำนรรจา
พี่ยังทุกข์อยู่นิดคิดไม่ถูก เผื่อเจ้าจะมีลูกในวันหน้า
พี่เห็นเขาเจ็บท้องร้องเต็มประดา แก้วตาจะอย่างไรก็ไม่รู้
เขาว่ามดถ่อหมอตำแย มักเชือนแชข่มขยำทำจู่ลู่
ถ้าหากไม่คอยนั่งระวังดู เคยลากถูจนตายมาหลายคน
พี่จะคอยถือตระบองมองกำกับ ถ้าสับปลับเอาอย่างนี้ตีให้ป่น
เคลิ้มฟาดแส้ม้าปาประดน ถูกก้นม้าพ่อเข้าพอแรง ฯ
๏ ม้าผลุนขุนแผนเจียนจะตก หากแอบอกอยู่ที่ด้วยขี่แข็ง
พอรั้งอยู่เหลียวมาโกรธหน้าแดง นี่มึงแกล้งฤๅไรให้ว่ามา
เจ้าพลายตกใจไม่มีขวัญ บอกความพ่อพลันไม่มุสา
ลูกหลับใหลฝันไปว่าศรีมาลา เจ้าจะคลอดลูกยาเจ็บครวญคราง
เห็นยายหมอตำแยแกมักง่าย ทำจู่ลู่ดูดายเมื่อลูกขวาง
เกรงจะเป็นอันตรายวายวาง ลูกตีแกดังผางพอถูกม้า
เพราะเคลิ้มเขลาเมามัวด้วยความฝัน ใช่จะแกล้งตีรันไม่มุสา
สีหมอกก็ได้มีพระคุณมา คุณพ่อได้เมตตาที่โทษกรณ์ ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ฟังลูกคิดคิดก็ใจอ่อน
นี่แลรักชักพาให้อาวรณ์ ร้อนทั้งหลับตื่นทุกคืนวัน
ว่าแล้วนิ่งนึกตรึกตรา อองามหลงศรีมาลาจนใฝ่ฝัน
ด้วยพึ่งแรกรู้จักความรักนั้น ที่สำคัญทุกอย่างแต่ข้างดี
ลูกเอ๋ยยังไม่เคยรู้รสร้าย ที่ความรักกลับกลายแล้วหน่ายหนี
อันเจ็บปวดยวดยิ่งทุกสิ่งมี ไม่เท่าที่เจ็บช้ำระกำรัก
จะว่าเขาอื่นไกลไปไยเล่า ถึงแม่เจ้าพ่อก็ช้ำระกำหนัก
ต้องทุกข์ยากมากมายมาหลายพัก จักแหล่นเลือดตาตกกระเด็น
เมื่อหนุ่มสาวคราวอยู่เป็นชู้ชื่น ดังจะกลืนไว้ได้มิใช่เล่น
จนร่วมหอคลึงเคล้าทุกเช้าเย็น ไม่คิดเห็นว่าจะพรากไปจากกัน
พอไปทัพกลับมาเห็นหน้านิด มันปลดปลิดผลาญรักหักสะบั้น
ต้องคับแค้นเพียงจะดิ้นสิ้นชีวัน แต่โศกศัลย์โหยหาอยู่กว่าปี
สู้พากเพียรพยายามตามมาได้ เที่ยวบุกป่าฝ่าไพรพากันหนี
ทนลำบากยากไร้ในพงพี ไม่อาลัยชีวีเพราะความรัก
พอพ้นภัยหมายใจว่าพ้นทุกข์ จะร่วมสุขอยู่เย็นเป็นแหล่งหลัก
เกิดวิบากผลกรรมมานำชัก ให้ไอ้มารผลาญรักระยำไป
ความแค้นแสนที่จะชอกช้ำ ก็มิรู้ว่าจะทำอย่างไรได้
เพราะตัวต้องทนทุกข์อยู่คุกใน ต้องเจ็บใจตรมมากว่าสิบปี
โอ้ว่าเจ้าวันทองน้องแก้ว จะลืมพี่เสียแล้วกระมังนี่
ด้วยเริศร้างห่างนานเสียเต็มที ปานนี้จะหลงบุญอ้ายขุนช้าง
ฤๅว่ายังมีจิตคิดคะนึง นึกถึงเพื่อนยากที่จากบ้าง
พี่คิดถึงเช้าเย็นไม่เว้นวาง รำพึงพลางถอนใจอยู่ไปมา ฯ
๏ กองทัพยกออกนอกพิจิตร ต้องเลียบชิดบึงบางทิขวางหน้า
บางแห่งใหญ่โตมโหฬาร์ เป็นที่ปลาอาศัยทั้งใหญ่น้อย
ดูจากหลังม้าเห็นคลาคล่ำ บ้างโดดดำโผล่ผุดแล้วมุดถอย
ชะโดดุกอ้ายด้องขึ้นล่องลอย ฝูงปลาสร้อยเป็นหมู่ดูคลับคล้าย
เทโพเทพาทั้งปลาช่อน เนื้ออ่อนนวลจันทร์พรรณสวาย
สลิดสลาดปลาตะเพียนเวียนกราย หลากหลายว่ายแหวกอยู่ในบึง
ที่บางแห่งปลาชุมเหล่ากุมภา ไล่ปลาฟาดหางดังผางผึง
พอได้ยินเสียงคนข้างบนอึง ก็จมดึ่งหลีกหลบลงกบดาน
ยังเหล่าปักษาทิชาชาติ เกลื่อนกลาดหาปลาเป็นอาหาร
กระทุงทองล่องลอยนทีธาร เหนียงยานปากอ้าเอาราน้ำ
อ้ายงั่วดำด้นลงค้นปลา ทั้งเหล่านกกระสาก็คลาคล่ำ
นกยางยืนมองจ้องประจำ พอพลบค่ำนกแขวกแกรกแกรกร้อง
ฝูงเหยี่ยวเที่ยวว่อนทั้งร่อนบิน โฉบเฉี่ยวปลากินที่ในหนอง
นกตะกรุมหัวเหม่เที่ยวเร่มอง ขามันยาวก้าวท่องย่องสุ่มปลา
นกฝักบัวค้อนหอยแลปากห่าง หลายอย่างต่างพรรณกันหนักหนา
ฝูงนกเกลื่อนกลาดดาษดา ดูมาไม่สิ้นในถิ่นทาง
ยังพืชพรรณบุปผาลดาชาติ ก็ประหลาดมากมายเป็นหลายอย่าง
ล้วนผลิดอกออกใบในบึงบาง ต่างต่างน่าชมภิรมย์ใจ
ที่บางแห่งโกมุทบุษบัน เป็นพืชพรรณติดต่อกอไสว
บ้างชูดอกออกฝักแล้วชักใบ แลไปล้วนกมุทจนสุดตา
เหล่าบัวสายรายกอกันห่างห่าง พอสางสางก็ตระการบานบุปผา
ทั้งกระจับตับเต่าเถาสันตะวา ในคงคาหลายอย่างต่างต่างพรรณ
พอเช้าตรู่หมู่ภมรร่อนมาถึง หึ่งหึ่งฟังจำเรียงเสียงสนั่น
เที่ยวซอกซอนเกสรบุษบัน เสาะสรรรสหวานตระการใจ
ลมพัดเฉื่อยฉ่ำน้ำกระเพื่อม แลละเลื่อมริ้วริ้วปลิวไสว
ถึงแดดร้อนลมรื่นชื่นฤทัย ทั้งนายไพร่เพลิดเพลินเดินชมมา ฯ
๏ พอพ้นแนวหนองคลองบึงบาง ก็เลี้ยวลัดตัดทางมากลางป่า
เป็นพงแขมแกมอ้อกอหญ้าคา ทั้งซ้ายขวาสูงปรกดูรกชัฏ
เห็นแต่นกกระจาบคาบทำรัง ไม่มีทั้งสิงสาราสัตว์
ทางกันดารน้ำท่าสารพัด ก็เร่งรัดรี้พลด้นเดินมา
พ้นป่าพงลงทางข้างตลิ่ง ถึงปากพิงเลี้ยวข้ามไปข้างขวา
เข้าทางป่าไม้ไพรพนา ถึงพาราพิษณุโลกโอฆบุรี
ทั้งนายไพร่ไปวัดมหาธาตุ ไหว้พระชินราชชินสีห์
ขอให้มีชัยสวัสดี แล้วมาที่ศาลากลางวางท้องตรา
เจ้าพระยาพิษณุโลกกรมการ อลหม่านเลี้ยงดูกันทั่วหน้า
พอพักไพร่หายเหนื่อยเลื่อยล้า ก็ยกพลต่อมาเมืองพิชัย
ผู้รั้งกรมการด่านทาง ต่างเมืองต้อนรับไม่นิ่งได้
ยกข้ามฟากจากเมืองพิชัยไป ถึงบ้านไกรป่าแฝกแล้วแยกมา
วันหนึ่งถึงเมืองสัชนาลัย กรมการผู้ใหญ่ก็พร้อมหน้า
เลี้ยงดูรับรองตามท้องตรา พักอยู่สามเวลาในธานี ฯ
๏ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี
เจ้าพลายกระสันพันทวี รำลึกถึงนารีศรีมาลา
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วยพี่ จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา
คิดพลางเดินพลางตามทางมา ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน
โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล บ้างเหมือนกลิ่นพู่ร้อยห้อยเรียงราย
ตรงตะพักเพิงผาศิลาเผิน ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย เป็นวุ้งโว้งโพรงพรายดูลายพร้อย
บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม บ้างโปปมเป็นปุ่มกระปุบกระปิบ
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ โล่งตลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์
เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย ลมชวยหล่นตามกระแสสินธุ์
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า
สัตตบุษย์บัวแดงเข้าแฝงฝัก พรรนผักพาดผ่านก้านบุปผา
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตะวา ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร
สาหร่ายเรียงเคียงทับกระจับจอก ผักบุ้งงอกยอดชูดูสะอ้าน
ภุมรินบินเคล้าสุมามาลย์ ในธาราปลาพล่านตระการตา
ชมพลางทางเดินเนินพนม รื่นร่มพรรณไม้ใบหนา
แลดูหมู่วิหคนกนานา สาลิกาพูดจ้ออยู่จอแจ
คุ่มขาบเขาขันสนั่นป่า กระสาจับกระสังส่งเสียงแซ่
กระลิงจับกิ่งประโลงแล คับแคไต่คางริมทางจร
ค้อนทองจับบนต้นกระถิน แก้วจับแก้วกินแล้วบินร่อน
นกยูงจับยางแผ่หางฟ้อน กระทุงทองจับกระท้อนทำอ่อนคอ
กระจาบจ้อยโจนจับกระเจาเจ่า แซงแซวเซาจับสนดูซอมซ่อ
นกกระไนไก่ฟ้าพระยาลอ นกกรอดพรอดจ้ออยู่กิ่งจันทน์
นกเขาจับเงื่อมเขาแล้วเคล้าคู่ จู้หุกกูจู้ฮุกกูเฝ้าคูขัน
อัญชันจับกิ่งต้นชิงชัน เบญจวรรณจับเจ่าเถาวัลย์เปรียง
ไก่ป่าวิ่งกรากกะต๊ากลั่น ตัวผู้ขันเอกอีเอ๊กวิเวกเสียง
เข้ากินขุยคุ้ยเขี่ยตัวเมียเคียง เห็นคนเลี่ยงลัดแลงเข้าแฝงกอ
นกกระทาราแต้แผ่ปีกปัก ขันชักปักกะจาดกะจ้าจ้อ
เห็นตัวเมียเขี่ยจังหรีดเข้ากรีดกรอ ปักก้อป่องร่าดูน่าชม
เดินพลางชมพลางมากลางชัฏ ชักม้าหลีกลัดเข้าร่มร่ม
ตะวันชายบ่ายรังบังพนม เพลาลมตกตัดออกทางเตียน
ไฟป่าครอกหญ้าพึ่งแตกอ่อน แผ่นดินล่อนแลโล่งตลิบเลี่ยน
หมู่สัตว์จัตุบาทออกวาดเวียน บ้างหยอกกันหันเหียนหาคู่เคียง
พยัคฆีมีกำลังทะลวงโลด ทะลึ่งโดดเท้าถีบปีบปะเปรี้ยง
มฤคกลัวตัวลอบลงหมอบเมียง บ้างหลีกเลี่ยงหลบเพริดเตลิดไป
ริมทางกวางทองดูผ่องผุด ยั้งหยุดหย่งกีบปีบเสียงใส
กระทิงถึกโทนเที่ยวอยู่ในไพร กระบือเบิ่งเถลิงไล่กันดาษดง
อีเห็นเม่นหมีหมู่ชะมด กระจงจดจ้องกีบดูหยิบหย่ง
ละมั่งละมาดผาดเผ่นออกจากพง กระซู่ส่งซัดกระทิงออกวิ่งโทง
เสือดาวเดาะเราะรายหมายละมั่ง ช้างพังชักผากกระชากโผง
สมันเมินเดินดุ่มจากพุ่มโพรง ออกเลียดินกินโป่งอร่อยไป
ตัดข้ามเขตระแหงมาแขวงเถิน เดินเลยหาเยื้องเข้าเมืองไม่
สิบสี่วันดั้นเดินตามเนินไพร เกือบจะถึงเชียงใหม่อิกสองวัน
หยุดหนองโคกเต่าไม่เข้าบ้าน พักทหารตั้งกองริมหนองนั่น
ชักหนามวงรอบเป็นขอบคัน กำชับกันมิให้ใครเที่ยวไปมา ฯ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม เรียกลูกชายพลายงามมาปรึกษา
เราเกือบถึงเชียงใหม่ใกล้พารา จะด่วนเข้ายุทธนาไม่สู้ดี
มันจับพระท้ายน้ำจำเอาไว้ เราตรงไปคงหั่นบั่นเกศี
จะคิดลอบเข้าไปในบุรี ดูท่วงทีแก้ไขเอาไทยมา
แล้วจึงเข้าประชิดติดนคร เราผันผ่อนเช่นนี้จะดีกว่า
พ่อกับเจ้าเข้าไปแต่สองรา ไปเที่ยวหาพวกไทยให้พบพาน
ต้องปลอมตัวเป็นลาวพวกชาวเมือง เราหาเครื่องแต่งตัวเอาตามบ้าน
จำจะรีบเข้าไปอย่าได้นาน ฤๅเจ้าจะคิดอ่านประการใด ฯ
๏ เจ้าพลายงามเห็นชอบตอบบิดา คุณพ่อว่าต้องจิตรหาผิดไม่
ถ้าเรายกโยธาผ่าเข้าไป มันเห็นไทยพวกลาวจะร้าวราน
จะระบือฦๅเลื่องทั้งเมืองใหญ่ มิทันได้คนโทษจะฉาวฉาน
อ้ายคนต้องจองจำจะรำคาญ มันประหารตายสิ้นสิเสียที
ถ้าเราลอบเข้าไปให้พบก่อน จะได้ผ่อนผู้คนให้พ้นที่
เป็นกำลังรบลาวชาวบุรี ทั้งไทยลาวราวสักสี่ห้าร้อยคน
ปรึกษากันทั้งสองเห็นต้องใจ แล้วเหลียวไปข้างหลังสั่งพหล
จงซุ่มซ่อนนอนนั่งระวังตน คอยดูผู้คนจะไปมา
ครั้นกำชับสั่งพลทุกคนทั่ว พ่อลูกแต่งตัวงามสง่า
ประจงคาดเครื่องอานทาว่านยา แล้วโพกผ้าประเจียดประจุฤทธิ
พลายงามจับดาบขยับยืน ขุนแผนจับฟ้าฟื้นอันศักดิ์สิทธิ์
บ่ายหน้ามาสู่บูรพาทิศ ตั้งจิตหมายหมาดพิฆาตลาว
ขยับยืนภาวนานัยน์ตาหลับ ตามตำรับบุราณอาจารย์กล่าว
นิมิตดูลมกล้าออกขวายาว ก็ยกก้าวตีนขวาแล้วคลาไคล
พ่อลูกลัดเลาะละเมาะเหมือง แยกเยื้องเสียหาเข้าหนทางไม่
พอแลเห็นไร่แตงเข้าแฝงไม้ ริมทางลาวชาวไร่เดินไปมา ฯ
๏ จะยกจับกลับกล่าวลาวพ่อลูก ออกไปปลูกห้างไร่อยู่ชายป่า
ปลูกผักฟักแฟงทั้งแตงกวา ถั่วงากล้วยกล้ายเป็นหลายพรรณ
เมื่อจะถึงที่ตายวายชีวิต ให้หงุดหงิดง่านใจอยู่ไหวหวั่น
คิดจะคืนกลับหลังแต่ยังวัน ก็ชวนกันออกเดินดำเนินมา
ตาพ่อถือดาบงามย่ามตะพาย ลูกชายถือทวนขึ้นพาดบ่า
เอาน้ำเต้าสอดด้ามซ้ำห้อยมา โพกชมพูดูสง่าพากันเดิน
ตาพ่อเถ้าออกหน้ามาดุ่มดุ่ม เจ้าลูกหนุ่มตามไปไม่ห่างเหิน
เมื่อถึงวันจะบรรลัยให้บังเอิญ เจ้าลูกเพลินรับซอพ่อรับแคน
โอหนออ่อเจ้าสาวคำเอ่ย ข้อยอยากเซ้ยสาวเวียงที่เชียงแสน
ขอให้ข้อยเบิ่งนางที่ต่างแดน ข้อยแค่นใจตายแล้วแก้วพี่อา
เพี้ยงเอ๋ยปู่เจ้าในเขาเขิน ช่วยชักเชิญสาวเวียงมาเคียงข้า
เหล้าเข้มไก่หมูจะบูชา จะเซ่นส้าบวงสรวงเข้าแทรกใจ ฯ
๏ พ่อลูกร้องขับรับกันมา ใกล้พฤกษาที่ขุนแผนเข้าอาศัย
ขุนแผนเห็นลาวซ่องร้องแต่ไกล กระซิบบอกลูกให้ระวังตัว
เห็นฤๅไม่เล่านะเจ้าพ่อ อ้ายลาวซอแลไปไม่มีหัว
มันถึงที่มรณาแล้วอย่ากลัว จิกหัวฟันเสียให้พร้อมกัน
ต่างถอดดาบจากฝักยืนหยักรั้ง พอลาวเดินมากระทั่งถึงที่นั่น
ดังองคตหนุมานชาญฉกกรจ์ ทะลึ่งถลันด้วยกำลังไม่รั้งรอ
ขุนแผนฟันป่ายพลายงามฟาด ฉะฉาดหัวเด็ดกระเด็นปร๋อ
เลือดพุ่งโชนเชี่ยวสองเกลียวคอ ลาวลูกพ่อล้มดิ้นลงสิ้นใจ
เหลือกตาหน้าเผือดเลือดไหลนอง ทั้งสองยินดีจะมีไหน
หยิบเอาหัวมาต่อคอเข้าไว้ สนิทนั่งตั้งใจภาวนา
ขุนแผนซัดข้าวสารอ่านมนตร์ปลุก ผีลาวผุดลุกขึ้นต่อหน้า
เคารพราบกราบเท้าทั้งสองรา ขุนแผนว่าสองผีมีนามใด
สองผีหมอบราบแล้วกราบกราน กระผมชื่อขนานมโนใหญ่
นั่นลูกข้อยชื่อน้อยศรีวิชัย เจ้าประสงค์สิ่งไรจึงขึ้นมา
ขุนแผนว่าขนานมโนใหญ่ เราตั้งใจมุ่งมาดปรารถนา
จะขึ้นไปประจญปล้นพารา เจ้าช่วยพาตัวเราเข้าบุรี
ผีคำนับรับแล้วก็ล้มลง พ่อลูกตรงเข้าเปลื้องเอาผ้าผี
เอาดาบตัดผมพลันด้วยทันที สีชมพูโพกเกล้าก็เอามา
พ่อลูกนุ่งห่มใส่ผมช้อง โพกสะพองเหมือนลาวชาติชาวป่า
ขุนแผนหยิบย่ามใหญ่ใส่ไหล่มา พลายงามคว้าทวนถือติดมือพลัน
ทั้งลูกทั้งพ่อหัวร่อร่า ก็พากันเดินมาขมีขมัน
ถึงโคกเต่าเข้าเพลาจะสายัณห์ พวกอาสาทั้งนั้นก็ตกใจ
บ้างก็เข้าซ่อนซุ่มในพุ่มชิด สำคัญคิดว่าเป็นลาวพวกชาวไร่
ขุนแผนไม่แวะวงตรงเข้าไป พวกอาสาสงสัยว่าลาวจริง
พากันมองดูไม่รู้จัก ไม่มีใครถามทักต่างแอบนิ่ง
ขุนแผนร้องว่าอย่างไรไม่ไหวติง ทหารรู้กรูวิ่งมาวันทา
เจ้าประคุณนุ่งห่มใส่ผมยาว ช่างเหมือนลาวจริงจังไม่กังขา
ลูกได้แอบพินิจพิจารณา ช่างแปลกหน้าแปลกกายคล้ายพุงดำ
พ่อลูกปลดผมแล้วเปลื้องผ้า แล้วสั่งว่าเราจะไปเสียในค่ำ
ถ้าช้าอยู่มันจะรู้ซึ่งเงื่อนงำ ลาวจะร่ำฦๅดังไปทั้งกรุง ฯ
๏ ทหารรับจับจัดผูกช้างม้า แล้วก็ยกโยธามากลางทุ่ง
อย่าอื้อฉาวชาวเมืองจะเฟื่องฟุ้ง พอจวนรุ่งเข้าดงปลงม้าช้าง
ให้แฝงพุ่มซุ่มซ่อนนอนจนค่ำ กลางคืนร่ำรุดไปจนใกล้สว่าง
สองคืนสองวันดั้นเดินทาง กระทั่งถึงบึงกว้างเข้าทันใด
ก็หยุดทัพจับจัดตัดไม้ปัก ชักหนามวงรอบขอบบึงใหญ่
สงบทัพยับยั้งตั้งมั่นไว้ ด้วยทางใกล้จวนถึงสักครึ่งวัน
ช้างม้าหญ้าน้ำก็สำราญ พวกทหารพักผ่อนนอนที่นั่น
เอากูบอานเรียบเรียงเข้าเคียงกัน ให้สองทั่นแม่ทัพนั้นยับยั้ง ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ