๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม |
เพลายามสามหลับอยู่กับหมอน |
กำนัดหนุ่มกลุ้มใจให้อาวรณ์ |
เทพเจ้าจึงสังหรณ์ให้เห็นตัว |
ฝันว่านารีพึ่งรุ่นสาว |
ผิวขาวคมคายมิใช่ชั่ว |
สองเต้าเต่งตั้งดังดอกบัว |
มายืนยิ้มยั่วแล้วเยื้องกราย |
พอภิปรายทายทักชักสนิท |
นางเบือนบิดทำทีจะหนีหน่าย |
ก็ลุกรีบตามติดเข้าชิดกาย |
คว้าเข้าเจ้าก็หายไปกับมือ |
เคลิ้มผวาคว้ากอดขุนแผนพ่อ |
พูดจ้อนี่เจ้าไม่เมตตาฤๅ |
ขุนแผนตื่นฟื้นตัวก็ผลักมือ |
ร้องฮื้อพลายงามทำอะไร |
เจ้าพลายกลัวพ่อใจคอหวั่น |
บอกว่าฝันเห็นผู้หญิงลูกวิ่งไล่ |
รุ่นสาวขาวอร่ามงามสุดใจ |
จึงเผลอไปขอโทษได้โปรดปราน ฯ |
๏ ขุนแผนฟังความพลายงามเล่า |
เอ๊ะออเจ้าช่างฝันดูขันจ้าน |
ฝันเช่นนี้มีตำรับแต่บุราณ |
ใครฝันมักบันดาลได้เมียดี |
ฤๅจะถูกลูกเจ้าบ้านผ่านเมือง |
ทำนายพลางย่างเยื้องออกจากที่ |
บอกกันทั่วหน้าบรรดามี |
วันนี้ถึงพิจิตรไม่ทันเย็น |
ว่าแล้วเตือนกันกินข้าวปลา |
รีบยกยาตราขะมักเขม้น |
ไม่หยุดหย่อนร้อนเหลือเหื่อกระเด็น |
พอแลเห็นเมืองแวะเข้าวัดจันทน์ ฯ |
๏ ฝ่ายว่านวลนางศรีมาลา |
คืนวันนั้นนิทราก็ใฝ่ฝัน |
ว่าลงสระเล่นน้ำสำราญครัน |
เห็นบุษบันดอกหนึ่งดูพึงตา |
ผุดขึ้นพ้นน้ำงามสะอาด |
นางโผนผาดออกไปด้วยหรรษา |
เด็ดได้ดีใจว่ายกลับมา |
กอดแนบแอบอุราประคองดม |
ลืมตาคว้าดูดอกบัวหาย |
เสียดายนี่กะไรไม่ได้สม |
ปลุกอีเม้ยแก้ฝันหวั่นอารมณ์ |
อีเม้ยชมว่าฝันของนายดี |
ดอกบัวคือผัวมิใช่อื่น |
มิพรุ่งนี้ก็มะรืนคงถึงนี่ |
ไม่เหมือนอีเม้ยทายให้นายตี |
ฝันอย่างนี้ได้ทายมาหลายคน |
ศรีมาลาว่าไฮ้อีมอญถ่อย |
เอาผัวผ้อยมาพูดไม่เป็นผล |
อุตริทำนายทายสัปดน |
ถึงใครใครให้จนเทวดา |
ถ้ามีหน้ามาเกี้ยวก็คงเก้อ |
อย่าเพ้อเลยไม่อยากปรารถนา |
อยู่คนเดียวไม่สบายเอาชายมา |
เขาย่อมว่ามันเป็นเจ้าหัวใจ |
อีเม้ยมอญคะนองร้องอุยย่าย |
อย่ามาพูดเลยนายหาเชื่อไม่ |
ยังไม่พบปะก็พูดไป |
ถึงตัวเข้าเมื่อไรได้ดูกัน |
บ่าวนายสัพยอกหยอกเย้า |
รุ่งเช้าศรีมาลาก็ผายผัน |
ไปดูการบ้านเรือนเหมือนทุกวัน |
นึกถึงฝันพรั่นใจไม่รู้วาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
พักอยู่อารามจนตกบ่าย |
จะเข้าไปในจวนชวนลูกชาย |
แล้วย่างกรายบ่าวตามออกหลามไป |
ถือถาดหมากคนโทเป็นยศอย่าง |
เดินมาตามทางกับบ่าวไพร่ |
พลายงามคิดถึงฝันปั่นป่วนใจ |
เข้าในย่านตลาดก็แลชม |
ที่เหล่าร้านขายผ้ามีหน้าถัง |
ลายสุหรัดมัดตั้งทั้งผ้าห่ม |
ร้านถ้วยชามรามไหมมีอุดม |
สะสมสินค้าสารพัด |
สิ่งของทองเหลืองทั้งเครื่องแก้ว |
เป็นถ่องแถวคนผู้ดูแออัด |
พวกลูกสาวชาวร้านพานสันทัด |
ทำเหยาะหยัดกิริยาท่าชาวกรุง |
พวกขมิ้นเหลืองจ้อยสอยไรจุก |
มีแทบทุกหน้าถังบ้างเย็บถุง |
แต่ละหน้าหน้านวลชวนบำรุง |
ใส่กลิ่นหอมฟุ้งสองฟากทาง |
นุ่งลายห่มสีไม่มีเศร้า |
ผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวล่าง |
คนหนึ่งรุ่นสาวขาวสำอาง |
ดูคล้ายนางคืนนี้เป็นนวลจันทร์ |
ครั้นเข้าใกล้แลเขม้นเป็นแต่แม้น |
ไม่อ้อนแอ้นเหมือนนางที่ในฝัน |
ทั้งนมคล้อยหน่อยนึงจึงผิดกัน |
นอกจากนั้นตะละอย่างต่างต่างไป |
นางนิมิตติดใจมิได้ลืม |
ยิ่งป่วนปลื้มถึงฝันให้หวั่นไหว |
สู้เดินเมินหน้าไม่อาลัย |
ล่วงตลาดเข้าไปในจวนพลัน ฯ |
๏ พระพิจิตรนั่งเล่นอยู่หอขวาง |
เห็นคนเดินมาสล้างก็นึกหวั่น |
เอ๊ะข้าหลวงมาทำไมหลายคนครัน |
ที่เดินหน้ามานั่นดังพระยา |
ครั้นดูไปจำได้ว่าขุนแผน |
ดีใจลุกแล่นลงมาหา |
จูงมือขึ้นจวนชวนพูดจา |
ขุนแผนวันทากับลูกชาย |
พระพิจิตรเรียกศรีบุษบา |
ขุนแผนเขามาไปไหนหาย |
บุษบาเยี่ยมหน้าเห็นสองนาย |
ยิ้มพรายออกมาด้วยดีใจ |
นั่งลงไต่ถามความทุกข์ยาก |
แต่ไปจากแม่ได้แต่ร้องไห้ |
มิรู้ที่จะถามข่าวคราวใคร |
ด้วยทางไกลเหลือไกลมิได้รู้ |
จะเป็นตายหายลับไปหลายปี |
วันนี้แลหวังว่ายังอยู่ |
เห็นเจ้าเหมือนใครให้แก้วชู |
ด้วยเอ็นดูเหมือนลูกจึงผูกใจ |
วันทองท้องแก่ไปแต่นี่ |
คลอดง่ายดายดีฤๅเจ็บไข้ |
ลูกเป็นชายหญิงอย่างกะไร |
เดี๋ยวนี้อยู่ไหนไม่พามา ฯ |
๏ ขุนแผนเล่าความไปตามเรื่อง |
เมื่อส่งไปจากเมืองก็สุขา |
เขาผ่อนปรนจนถึงอยุธยา |
โปรดประทานโทษาไม่ฆ่าตี |
เป็นความกับขุนช้างก็ชนะ |
ลูกไปอยู่บ้านพระจมื่นศรี |
เผอิญกรรมตามซัดวิบัติมี |
ไปเห็นชั่วเป็นดีไม่ควรการ |
ให้ทูลขอลาวทองต้องติดคุก |
ทนทุกข์โทษแทบถึงประหาร |
วันทองท้องแก่เหลือกันดาร |
ทรมานว้าเหว่อยู่เอกา |
อ้ายขุนช้างบังอาจฉุดเอาไป |
ก็ไม่มีผู้ใดจะตามว่า |
จนคลอดลูกชายคนนี้มา |
ชันษาเจ้าได้ถึงสิบปี |
มันจะเอาไปฆ่าในป่าใหญ่ |
พลายช่วยไว้ได้ไม่เป็นผี |
หนีไปอยู่บ้านกาญจน์บุรี |
แม่ทองประศรีเลี้ยงไว้ให้เรียนรู้ |
พอมีศึกเจ้าสะอึกเข้าอาสา |
แต่ตัวข้านี้ยังติดคุกอยู่ |
จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงเอ็นดู |
ได้ช่องคูทูลขอพ่ออกมา |
ก็โปรดให้พลายงามด้วยความชอบ |
รับสั่งมอบการศึกให้ปรึกษา |
ประทานคนโทษที่มีวิชา |
สามสิบห้าลูกหาบเจ็ดสิบคน |
ที่มานี่จะยกไปเชียงใหม่ |
ไปจับอ้ายลาวตีให้ปี้ป่น |
นึกถึงคุณปกเกล้าเมื่อคราวจน |
จึงแวะวนเข้ามานมัสการ ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา |
ฟังขุนแผนว่าน่าสงสาร |
อนิจจาเคราะห์ร้ายแทบวายปราณ |
นมนานน้อยฤๅแต่ทนทุกข์ |
นี่หากลูกยากล้าทูลขอ |
หวังจะแทนคุณพ่อสู้บั่นบุก |
หาไม่ก็จะตายอยู่ในคุก |
เจ้าให้พ่อเป็นสุขมิเสียแรง |
ผัวเมียชอบอารมณ์ชมเปาะ |
หน้าตาเหมาะเจาะใจกล้าแข็ง |
ชาติทหารเหมือนพ่อไม่ย่อแยง |
ดูกล้องแกล้งนึกรักเฝ้าทักทาย |
แค้นใจแต่ท้องบุษบา |
เป็นผู้หญิงเสียข้าขันใจหาย |
คิดคิดขึ้นมาน่าเสียดาย |
ถ้าแม้นชายจะให้ไปด้วยพลัน |
ว่าพลางร้องเรียกลูกสาวมา |
ศรีมาลาเอ๋ยนั่งทำไมนั่น |
ออกมาหาพี่ชายอย่าอายกัน |
ศรีมาลาหวั่นหวั่นแล้วแอบมอง |
พี่เชื้อมาแต่ไหนไม่รู้จัก |
ค่อยค่อยผลักบานประตูดูตามช่อง |
เห็นหนุ่มน้อยหน้านวลชวนคะนอง |
สองคนพ่อลูกประหลาดตา |
อีเม้ยรับขยับเข้ายืนชิด |
มือสะกิดเย้าเยาะหัวเราะว่า |
นั่นเป็นไรใครบนเทวดา |
อีเม้ยทายแล้วอย่าว่าไม่ผิดคำ |
ศรีมาลาว่าชิอีขี้เค้า |
ว่าได้ว่าเอาไม่เป็นส่ำ |
ขืนว่าแล้วจะด่าให้ระยำ |
ค้อนชักหน้าคว่ำแล้วยิ้มเมิน |
พอพระพิจิตรเรียกซ้ำมา |
ขานเจ้าขาค่อยเยี่ยมเฟี้ยมแฝงเขิน |
นางอุทัจอัดใจมิใคร่เดิน |
ก้มสะเทิ้นทรุดนั่งบังมารดา |
ยกมือไหว้ขุนแผนกับพลายงาม |
ให้วาบหวามอารมณ์แล้วก้มหน้า |
พลายงามรับไหว้ชายแลมา |
พอสบตาก็ตะลึงตะลานใจ |
คนนี้แลแน่แล้วที่เราฝัน |
รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่ |
น้องเอ๋ยรูปร่างช่างกะไร |
ถึงนางในกรุงศรีไม่มีเทียม |
ดังพระจันทร์วันเพ็ญเมื่อผ่องผุด |
บริสุทธิ์โอภาสสะอาดเอี่ยม |
สองแก้มแย้มเหมือนจะยั่วเรียม |
งามเสงี่ยมราศีผู้ดีจริง |
ทั้งจริตกิริยามารยาท |
ก็ฉลาดไว้วางอย่างผู้หญิง |
อ่อนชะอ้อนเหมือนจะวอนให้ประวิง |
จะยิ้มพรายก็พริ้งยิ่งเพราตา |
ดูไหนไม่ขัดแต่สักอย่าง |
นี่คู่สร้างของเรากระมังหนา |
พอแลลอดสอดรับจับนัยน์ตา |
ดังว่าเจ้าจะตัดเอาหัททัย |
หญิงอื่นหมื่นแสนที่เคยเห็น |
ก็หาจับใจเป็นเช่นนี้ไม่ |
ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ |
จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว |
นึกพลางเจ้าพลายร่ายพระเวท |
ประสมเนตรเป่าไปให้ซ่านเสียว |
ศรีมาลาต้องมนต์ขนลุกเกรียว |
ชำเลืองเหลียวแลมาประหม่าใจ |
พอสบเนตรให้สะท้านละลานจิต |
ยิ่งต่อตาก็ยิ่งคิดพิสมัย |
อกอ่อนร้อนรุ่มดังสุมไฟ |
ไม่อยู่ได้นางก็ลาเข้ามาเรือน |
แอบช่องมองดูอยู่ข้างใน |
ยิ่งเพ่งพิศพาใจอาลัยเลื่อน |
ความรักมีแต่ชักกระตุ้นเตือน |
ฟั่นเฟือนดังจะคลั่งตั้งตามอง |
ชะชายคนนี้มิเสียแรง |
ดังหนึ่งแกล้งหล่อเหลาไม่เศร้าหมอง |
ดูเนื้อตัวหน้าตาดังทาทอง |
ไม่ขัดข้องสวยสมช่างคมคาย |
รู้สึกตัวนึกอายระคายเขิน |
ไถลเดินเลยเข้าในห้องหาย |
อีเม้ยยิ้มกริ่มตามไปถามนาย |
วันนี้ดูไม่สบายเป็นอย่างไร |
ออกไปไหว้พี่มาแต่กรุง |
แล้ววิ่งกลับเข้ามุ้งเหมือนเป็นไข้ |
ฤๅผีสางทักทายนายตกใจ |
ฉันจะบนบวงให้กระบานกิน |
ผีมาแต่กรุงฤๅบ้านนอก |
อย่าหลอนหลอกจงคลายให้หายสิ้น |
ขอผัดหน่อยคอยตะวันให้ตกดิน |
ปัดยุงริ้นแล้วจะเซ่นในมุ้งนี้ |
ศรีมาลาต่อยหัวลงต้ำเหงาะ |
เฝ้าค่อนเคาะร่ำไปไม่บัดสี |
นี่แลสัญชาติไพร่ที่ไหนมี |
เซ่นผีในมุ้งมอญจัญไร |
เย้ากันจนตะวันนั้นเย็นลง |
ศรีมาลายิ่งพะวงหลงใหล |
บุษบาเห็นช้าจึงเกริ่นไป |
เป็นอย่างไรสำรับไม่จัดแจง |
ศรีมาลาฟังว่าก็ลุกไป |
ช่วยดูแลข้าไทให้ตกแต่ง |
จัดสำรับอุดมทั้งต้มแกง |
ฝาชีแดงปิดปกแล้วยกมา |
นางยกชามข้าวบ่าวยกสำรับ |
ใจวับวับมิใคร่ออกไปนอกฝา |
ครั้นถึงจัดวางข้างบิดา |
ไม่อาจเงยดูหน้าเจ้าพลายงาม |
พระพิจิตรก็ชวนกันกินข้าว |
เจ้าพลายร้อนเร่าประหวั่นหวาม |
ตะลึงแลศรีมาลาคว้าแต่ชาม |
กลืนข้าวเหมือนหนามอยู่ในคอ |
กลัวเนื้อความจะฟุ้งสะดุ้งคิด |
เหลือบดูพระพิจิตรแล้วดูพ่อ |
พระพิจิตรรู้ทีทำตัดพ้อ |
อย่างไรหนอกินอยู่ดูระคาง |
กินอะไรไม่อร่อยฤๅพ่อฤๅ |
ชาวเหนือฝีมือไม่เหมือนล่าง |
รสชาติปิ้งจี่มันจืดจาง |
หัวเราะพลางหยอกเย้าเจ้าพลายงาม |
แล้วจึงชักชวนทั้งสองนาย |
ค้างที่นี่เถิดสบายอย่าเกรงขาม |
บ้านมีอยู่ไยในอาราม |
มาอยู่ตามชอบใจในหอนั้น |
อิ่มเสร็จแล้วสั่งศรีมาลา |
ให้จัดแจงฟูกผ้าทุกสิ่งสรรพ์ |
ที่นอนน้อยกำมะหยี่นั้นสองอัน |
เสื่ออ่อนสองชั้นจัดออกมา ฯ |
๏ ขุนแผนถามพระพิจิตรพลัน |
สีหมอกนั้นอยู่ดีฤๅเจ้าข้า |
พระพิจิตรบอกว่าสีหมอกม้า |
อยู่ดีแต่ชราถนัดใจ |
เนื้อหนังพานติดจะเหี่ยวคร่ำ |
อันหญ้าน้ำค่ำเช้าหาขาดไม่ |
ข้าก็ช่วยเยี่ยมเยียนเวียนมาไป |
เกณฑ์ให้ไอ้จันมันเลี้ยงดู |
ขุนแผนจึงชวนลูกชายพลัน |
ไปเยี่ยมม้าด้วยกันเสียสักครู่ |
ว่าพลางทางออกนอกประตู |
ตรงไปที่อยู่สีหมอกม้า |
อ้ายจันครั้นเห็นยกมือไหว้ |
ฉันเลี้ยงไว้อ้วนพีดีนักหนา |
พ่อลูกเข้าไปใกล้อาชา |
ขุนแผนเสกหญ้าให้ม้ากิน ฯ |
๏ สีหมอกม้าหญ้ามนตร์เข้าดลใจ |
จำได้รู้ภาษาพูดจาสิ้น |
ลงตีนโปกโปกโขกแผ่นดิน |
เพียงจะดิ้นหลุดแหล่งด้วยดีใจ |
เลียชมดมทั่วทั้งกายา |
ขุนแผนกอดม้าน้ำตาไหล |
ลูบหลังสีหมอกแล้วบอกไป |
ข้านี้ต้องราชภัยพึ่งพ้นมา |
ไปติดคุกจนลูกทูลขอโทษ |
ท่านปล่อยโปรดจึงได้มาเห็นหน้า |
เจ้าพลายนี้ลูกวันทองน้องยา |
ที่ท่านรับบุกป่ามากับเรา |
สีหมอกฟังเหลียวหน้าหาวันทอง |
ไม่เห็นน้องอยู่ไหนให้สร้อยเศร้า |
มิรู้ที่จะถามความหนักเบา |
เฝ้าแต่ดูลูกพ่อคลอน้ำตา ฯ |
๏ ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ |
หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา |
เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา |
จะไปได้ฤๅว่าท่านหย่อนแรง |
สีหมอกดีใจจะไปทัพ |
เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้ง |
ดังบอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง |
ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ |
จึงเลือกเด็ดยอดหญ้ามาเต็มมือ |
ถือเสกด้วยพระเวทมุขใหญ่ |
ป้อนม้ากินหญ้าในทันใด |
ระงับโศกโรคภัยให้บรรเทา |
เดชะพระเวทวิเศษขลัง |
สีหมอกมีกำลังขึ้นดังเก่า |
ผูกเครื่องเรืองอร่ามงามเพริศเพรา |
ขุนแผนขี่เหยาะเหย่าออกมาพลัน |
ลองขับน้อยใหญ่ทั้งไล่หนี |
ท่วงทีไวว่องคล่องขยัน |
ถึงม้าหนุ่มจะเปรียบไม่เทียบทัน |
สารพันถูกทำนองด้วยว่องไว |
ขุนแผนดีใจลงจากหลัง |
เรียกอ้ายจันมาสั่งหาช้าไม่ |
เอ็งดูให้อิ่มหนำสำราญใจ |
จะขี่ไปในรุ่งพรุ่งนี้เช้า ฯ |
๏ ครั้นสั่งแล้วขุนแผนแสนศักดา |
เรียกลูกชายมาแถลงเล่า |
พ่อเกรงว่าช้าอยู่เหมือนดูเบา |
เราจะยกในรุ่งขึ้นพรุ่งนี้ |
ด้วยปลอดสิ้นทักทินยมขัน |
เป็นฤกษ์เสาร์เก้าชั้นวิเศษศรี |
มีตระบะจะชนะแก่ไพรี |
เจ้านี้จะเห็นเป็นอย่างไร |
พลายงามความอาลัยศรีมาลา |
ไม่รับมาว่าจะจากพิจิตรได้ |
จะแจ้งข้อกลัวพ่อไม่ตามใจ |
จึงแก้ไขเบือนบิดคิดเจรจา |
ว่าไพร่พลบอบช้ำระกำอก |
จะด่วนยกไปไหนนี่เจ้าขา |
ขอให้ไพร่พักสักเวลา |
พอหายเหนื่อยเมื่อยล้าจึงคลาไคล |
ขุนแผนว่าดูเอาเถิดเจ้าพลาย |
จะหยุดหาความสบายก็เป็นได้ |
การรับสั่งว่ายากลำบากไย |
ที่ไหนจะเหมือนบ้านเรือนตน |
เจ้าพลายงามตอบว่าหามิได้ |
ลูกจะใคร่ปลุกเครื่องอิกสักหน |
ด้วยยังหย่อนฤทธิ์เดชทั้งเวทมนตร์ |
ขอพักพลปลุกเครื่องเสียสักนิด |
ขุนแผนว่าถ้าไปเสียให้ทัน |
พรุ่งนี้เป็นวันมหาสิทธิ์ |
จะปลุกเครื่องก็เรืองอิทธิฤทธิ์ |
ประกอบกิจกับฤกษ์ที่เบิกไพร |
อันพิธีในเรื่องปลุกเครื่องอาน |
ทำในบ้านไม่เหมือนในป่าใหญ่ |
ด้วยบ้านเมืองผู้คนกล่นเกลื่อนไป |
จะระงับดับใจไม่สู้ดี |
เจ้าพลายว่าป่าไม้จะปลุกฤทธิ์ |
ไม่ประสิทธิ์เหมือนหนึ่งป่าช้าผี |
อยู่ในพาราป่าช้ามี |
ก็เป็นที่สงัดเงียบปากคอ |
ขุนแผนรู้ว่าบิดก็คิดเคือง |
เอ็งห่วงเมืองอยู่ทำไมไฉนหนอ |
ธุระสิ่งไรมีจะรีรอ |
พ่อพูดมิฟังช่างกะไร |
พลายงามคร้ามพ่อไม่ต่อเถียง |
พูดเลี่ยงว่าธุระหามีไม่ |
แล้วพ่อลูกก็พากันคลาไคล |
ขึ้นจวนใหญ่พลายน้อยคะนึงนาง |
ขุนแผนพลายงามพระพิจิตร |
ชอบชิดพูดจากันต่างต่าง |
ถึงเรื่องรบพุ่งแลทุ่งทาง |
พูดพลางต่างหัวร่อกันเรื่อยไป ฯ |
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยนสนธยา |
พระจันทราแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
เคลื่อนคล้อยลอยฟ้านภาลัย |
หมดเมฆปัถไหมไม่หมองมอม |
พระพายพามาลาละอองกลิ่น |
รวยรินรสร่อนขจรหอม |
ศรีมาลาอาวรณ์นอนใจตรอม |
ถนอมแนบหมอนข้างเคียงคะนึง |
โอ้พ่อพลายงามของน้องเอ๋ย |
ใครเลยจะเอ็นดูให้รู้ถึง |
ว่าน้องนี้มีจิตคิดรำพึง |
ดังศรตรึงทรวงโศกวิโยคคิด |
พ่อชายตามาสบเมื่อน้องแล |
จะรู้แน่ฤๅจะแหนงแคลงในจิต |
ดูลาดเลาเจ้าก็ใคร่จะเป็นมิตร |
ฤๅวิปริตคิดว่าไม่ปรานี |
อกน้องยากนักด้วยเป็นหญิง |
ต้องซ่อนรักหนักนิ่งอยู่กับที่ |
แม้นเป็นชายพ่อพลายเป็นสตรี |
ค่ำวันนี้เป็นตายจะหมายไป |
นึกพลางนางนอนสะท้อนท้อ |
น้ำตาคลอมิใคร่จะเคลิ้มได้ |
ให้เฟื่องฟุ้งพลุ่งพล่านรำคาญใจ |
นึกอาลัยไปจนหลับกับที่นอน ฯ |
๏ พระพิจิตรขุนแผนพลายงาม |
พูดกันจนยามไม่หยุดหย่อน |
พระพิจิตรว่าเช้าเจ้าจะจร |
จงพักผ่อนเสียเถิดทั้งสองรา |
ว่าแล้วก็ลุกไปเข้าเรือน |
พลายงามฟั่นเฟือนเป็นหนักหนา |
ชวนพ่อเข้านอนวอนพูดจา |
คุณพ่อขานี่ดึกแล้วกระมัง |
ฉันวันนี้อย่างไรไม่สบาย |
ระส่ำระสายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสันหลัง |
จะนอนเสียแต่หัวค่ำเอากำลัง |
จะได้ตั้งหน้ายกแต่เช้าไป ฯ |
๏ ขุนแผนนึกในใจไอ้เจ้าชู้ |
มันสำคัญว่ากูหารู้ไม่ |
กรรมกรรมเจียวจะทำเป็นอย่างไร |
มันจะแกล้งให้ผู้ใหญ่ผิดใจกัน |
คิดแล้วก็ทำเป็นมารยา |
หลับตานอนนิ่งไม่พลิกผัน |
คอยจับแยบคายลูกชายนั้น |
ไม่วางใจให้หวั่นในอารมณ์ ฯ |
๏ เจ้าพลายก่ายหมอนทำนอนนิ่ง |
สุดประวิงอกไหม้ไส้พุงขม |
กำเริบรักหนักแน่นแสนระทม |
โอ้เจ้านมพวงพี่ศรีมาลา |
ปานนี้เนื้ออ่อนจะนอนสนิท |
ฤๅดวงจิตจะนึกเสนหา |
ดูทีเหมือนจะมีซึ่งเมตตา |
แต่ทว่าเป็นหญิงก็นิ่งไว้ |
อันความรักหนักแน่นในอกพี่ |
ข้อนี้เจ้าจะรู้ฤๅหาไม่ |
แม้นรู้เค้าเจ้าก็เห็นจะอาลัย |
คงมิให้เสียทีพี่หมายชิด |
เขาย่อมว่าถ้ามีมิตรใจ |
แล้วคงไม่สาบสูญมิตรจิต |
พี่รักเจ้าเท่าเทียมดวงชีวิต |
นี่จะคิดฉันใดให้เป็นการ |
จะวนเวียนเพียรพูดให้ถึงปาก |
ก็สุดยากเชิงชักสมัครสมาน |
ด้วยพรุ่งนี้ก็จะไปไม่อยู่นาน |
จะพึ่งพานผู้ใดก็ไม่มี |
ถ้าจะไว้สู่ขอต่อขากลับ |
เห็นตัวพี่นี้จะยับลงเป็นผี |
ด้วยความรักหนักใจเสียเต็มที |
จะทวีขึ้นทุกวันจนบรรลัย |
จำจะคิดเข้าสนิทให้สมนึก |
จึงจะคิดทำศึกต่อไปได้ |
แม้นมิได้ศรีมาลายาใจ |
ซึ่งจะไปเชียงใหม่อย่าสงกา |
ตามแต่บุญกรรมเถิดน้องแก้ว |
คนหลับแล้วจะลอบเข้าไปหา |
ถ้าแม้นแก้วพี่มิเมตตา |
ก็ตามแต่เวราจะเป็นไป |
ยิ่งนึกยิ่งตรมอารมณ์หมอง |
แสงเดือนเด่นส่องสว่างไสว |
น้ำค้างพร่างพร้อยละห้อยใจ |
เสียงไก่แก้วขันกระชั้นยาม |
ฟังพ่อรอหูดูจนใกล้ |
ไม่ไว้ใจแคลงคลำแล้วทำถาม |
ขุนแผนรู้แยบคายเจ้าพลายงาม |
ไม่ตอบความนิ่งอยู่จะดูที |
เจ้าพลายสำคัญว่าพ่อหลับ |
ค่อยขยับลุกย่องมาจากที่ |
พอออกนอกห้องได้ก็ยินดี |
หมายว่าหนีพ้นพ่อรอบังเงา ฯ |
๏ ขุนแผนลุกมองแล้วย่องตาม |
พอทันถามออกมาทำไมเจ้า |
พลายงามแก้เก้อละเมอเดา |
ฉันจะออกไปเบาที่นอกชาน |
วันนี้มันให้ปวดแต่ท้องเยี่ยว |
หลายเที่ยวแล้วด้วยกล่อนมันสังหาร |
จะปลุกพ่อขอยารับประทาน |
ขุนแผนว่าไม่ได้การแล้วเจ้าพลาย |
อ้ายโรคกล่อนเช่นนี้มันขี้ถ่อย |
หมอสักร้อยรักษาก็ไม่หาย |
ว่าพลางทางจูงมือลูกชาย |
ย่างกรายเข้าห้องต้องระวัง ฯ |
๏ เจ้าพลายงามขัดใจไม่เป็นสุข |
ล้มนอนแล้วลุกทะลึ่งนั่ง |
แค้นพ่อเหมือนหัวอกจะฟกพัง |
กะไรช่างแกล้งได้ไม่เมตตา |
เป็นไรมีดีแล้วว่าไม่หลับ |
จะคอยจับให้ได้ก็ไม่ว่า |
พลางร่ายมนตร์ขลังสั่งนิทรา |
ตั้งสมาธิปลงตรงภวังค์ |
เป่าต้องขุนแผนแสนสนิท |
ก็เคลิ้มจิตด้วยพระเวทวิเศษขลัง |
หลับสนิทแน่วนิ่งลงจริงจัง |
พลายงามสมหวังสิ้นอาวรณ์ |
ขยับเท้าก้าวย่างออกจากห้อง |
พระจันทร์ส่องแสงจำรัสประภัสสร |
พระพายพัดบุปผาพาขจร |
รวยรินรสอ่อนระรื่นไป ฯ |
๏ มาถึงเรือนที่ศรีมาลาอยู่ |
แอบบังเงาดูด้วยสงสัย |
หลังนี้ดอกกระมังยืนชั่งใจ |
แสงไฟวับวามตามตะเกียง |
คิดพลางทางร่ายมนตร์สะกด |
หลับหมดเงียบดีไม่มีเสียง |
สะเดาะกลอนถอนหลุดแล้วมองเมียง |
เลี่ยงเข้าในห้องย่องเดินมา |
อัจกลับตามวางกระจ่างแสง |
เจ้าตกแต่งเครื่องเรือนไว้หนักหนา |
เครื่องแป้งจัดตั้งไว้หลังม้า |
ขันล้างหน้าพานรองของผู้ดี |
เครื่องนากเครื่องทองสองสำรับ |
เรียงลำดับวางไว้เป็นที่ที่ |
โถขี้ผึ้งแป้งร่ำน้ำมันตานี |
โต๊ะหวีตั้งเรียงไว้เคียงกัน |
โตกพานหีบปัดจัดตั้งซ้อน |
ทั้งผ้าผ่อนพับเรียบทุกสิ่งสรรพ์ |
เครื่องไหว้พระนั้นจัดอัฒจันทร์ |
คันฉ่องแกะงาเป็นหน้าพรหม |
กระจกใหญ่ใส่ตั้งทั้งไม้สอย |
อุบะห้อยรื่นรวยดูสวยสม |
สะอาดสะอ้านลานตาน่านิยม |
พลางชมม่านกางข้างที่นอน |
พื้นไหมใส่ทองเป็นลายปัก |
น่ารักรูปร่างบางชะอ้อน |
ปักระเด่นเป็นไข้ใจอาวรณ์ |
ทุรนร้อนรักนุชบุษบา |
เอาไฟเผาเข้าลักพระน้องนาฏ |
โอบอุ้มใส่ราชรถา |
ระเด่นแกล้งแปลงเป็นจรกา |
ปักเป็นบุษบาเจ้าจาบัลย์ |
๏ พระรีบเร่งชักรถถึงคิรี |
เข้าสู่ถ้ำมณีภิรมย์ขวัญ |
สองกษัตริย์เชยชมสมสู่กัน |
พอรุ่งแสงสุริยันก็จากนาง |
เข้ามาเมืองจะเปลื้องความสงสัย |
สั่งพี่เลี้ยงไว้มิให้ห่าง |
ผลกรรมจำจากจะพรากร้าง |
เผอิญข้างนางนึกนิยมไป |
ออกทรงรถชมพรรณบุปผา |
ปักปะตาระกาหลาอันเป็นใหญ่ |
ให้ลมเพชรหึงลั่นสนั่นไพร |
พัดพาอรไทไปทั้งรถ |
ครั้นไกลไปตกลงกลางป่า |
บุษบายิ่งแสนโศกกำสรด |
คิดถึงพระองค์ผู้ทรงยศ |
นางระทดระทวยแทบทำลายชนม์ |
ปักเป็นระเด่นเที่ยวตามหา |
ค้นคว้าจบแหล่งทุกแห่งหน |
พระวงศาแยกย้ายหลายตำบล |
แปลงตนเป็นปันจุเหร็จไพร |
ฉลาดนักปักงามนี้น้อยฤๅ |
ช่างฟัดครือเรื่องพี่หาผิดไม่ |
อันองค์บุษบายาใจ |
พิเคราะห์ไปเหมือนเจ้าศรีมาลา |
อันอกของระเด่นมนตรี |
เหมือนอกพี่นี้ที่โหยหา |
คล้ายระเด่นกับพระนุชบุษบา |
แต่ไม่มีจรกาจึงผิดกัน |
ถ้าใครเป็นจรกาเข้ามาแกล้ง |
พี่ไม่แปลงอย่างเช่นระเด่นนั่น |
จะจิกหัวจรกาเอามาฟัน |
แล้วสรวลสันต์ผันแปรแลชำเลือง |
เตียงจีนตีนตั้งบนตัวสิงห์ |
ฉลุลายพรายพริ้งพร้อมทั้งเครื่อง |
แลวิจิตรปิดทองดูรองเรือง |
มุ้งเหลืองแพรดอกกกระเด็นลอย |
หน้าระบายลายทับสลับสี |
มุ้งผู้ดีมีแส้หางม้าห้อย |
เปิดมุ้งเมียงมองเห็นน้องน้อย |
เจ้าหลับผอยเพ่งพิศจิตทะยาน |
พักตร์พริ้มเหมือนยิ้มอยู่ทั้งหลับ |
ประทีปจับหน้านวลชวนสมาน |
เจ้านิทรามารยาทไม่มีปาน |
ยิ่งคิดก็ยิ่งซ่านสวาดิเตือน |
ค่อยประคองลองจูบเจ้าทั้งหลับ |
หอมกะไรใจวับขยับเขยื้อน |
พอต้องเต้าตัวสั่นให้ฟั่นเฟือน |
ค่อยลูบเลื่อนโลมเล้าละลานใจ |
จับแล้ววางเล่าเฝ้ากลัดกลุ้ม |
ด้วยรุ่นหนุ่มชู้สาวหาเคยไม่ |
จะปลุกนางกลัวร้องย่องห่างไป |
คลายเวทแล้วก็ไอให้สำเนียง ฯ |
๏ ครานั้นศรีมาลานารี |
รู้สึกสมประดีได้ยินเสียง |
ลืมตาเห็นชายอยู่ปลายเตียง |
เจ้ามองเมียงจำได้ว่าพลายงาม |
นึกสำคัญในจิตคิดว่าฝัน |
ไม่หวาดหวั่นยิ้มแล้วก็ทักถาม |
นึกอย่างไรใจกล้าเข้ามาตาม |
จะเกิดความงามหน้าพากันอาย |
เจ้าพลายได้ฟังเข้านั่งอิง |
นางรู้ว่าคนจริงมิ่งขวัญหาย |
ตกใจเพียงจะดิ้นสิ้นใจตาย |
ร้องว้ายแล้วก็ซบสลบไป ฯ |
๏ อีเม้ยรับหลับอยู่ที่เฉลียง |
ได้ยินเสียงนายร้องก็จำได้ |
ลุกขึ้นด้วยตระหนกตกใจ |
เข้าห้องในมองเมียงถึงเตียงพลัน |
เห็นเจ้าหนุ่มอุ้มนางวางบนตัก |
รู้จักว่าเจ้าพลายที่หมายมั่น |
ก็แจ้งใจในเหตุปัจจุบัน |
มาฉวยขันน้ำส่งให้เจ้าพลาย |
พ่อเอาผ้าชุบน้ำนี้ลูบหน้า |
ลูบไล้ไปมากว่าจะหาย |
แล้วปลอบโยนตามใจให้สบาย |
ถ้าขืนใจแล้วจะตายในพริบตา |
ว่าแล้วปิดห้องย่องกลับไป |
อีเม้ยยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
คอยดูผู้คนจะไปมา |
ด้วยสงสารศรีมาลากับพลายงาม ฯ |
๏ จะกล่าวถึงท่านพระพิจิตร |
หลับสนิทเสียงลูกตกใจหวาม |
จะเกิดเหตุอะไรไม่รู้ความ |
จึงร้องถามอีเม้ยเฮ้ยเป็นไร |
กูแว่วแว่วเหมือนเสียงศรีมาลา |
มึงลืมตาขึ้นฟังมั่งฤๅไม่ |
อีเม้ยเอ่ยตอบไปทันใด |
นายท่านเรียกฉันไปให้ปัดยุง |
ปัดไปปัดมาไม่ทันดู |
จิ้งจกมันอยู่ที่ในอุ้ง |
ฉันปัดมันพลัดลงจากมุ้ง |
ถูกพุงเธอจึงร้องออกก้องเรือน |
พระพิจิตรว่าดูอีมอญถ่อย |
สักหน่อยอ่อนจะเลยเป็นกลากเกลื้อน |
บุษบาว่าฉันก็ได้เตือน |
มันเชือนไม่ดูแลแต่กลางวัน ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนพ่ออยู่หอนั่ง |
สะดุ้งฟื้นตื่นฟังใจหวั่นหวั่น |
ออพลายหายแล้วไม่แคล้วกัน |
อ้ายขี้เค้าคงถลันไปเข้ามุ้ง |
อ้ายลูกเจ้ากรรมมาทำเข็ญ |
พรุ่งนี้ทีเห็นจะเกิดยุ่ง |
แต่ตริตรองแก้ไขสิ้นไส้พุง |
คืนยังรุ่งไม่ระงับหลับนอน ฯ |
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา |
ค่อยฟื้นตื่นมายังเหนื่อยอ่อน |
ได้สติลืมตาด้วยอาวรณ์ |
เห็นเจ้าพลายกอดช้อนไว้ทั้งตัว |
มือหนึ่งลูบน้ำชโลมหน้า |
นางประหม่าขนพองสยองหัว |
ใจเต้นหวามหวามด้วยความกลัว |
ยังมึนมัวมิรู้ที่จะหนีไป |
จึงค่อยเคลื่อนเลื่อนตัวลงจากตัก |
ละอายนักนิ่งนอนถอนใจใหญ่ |
ค่อยกระดิกพลิกตัวเข้าข้างใน |
เจ้าแกล้งหันหลังให้ไม่แลดู ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาดิ |
ยังไม่อาจถามทักเป็นสักครู่ |
ด้วยอาการอย่างไรยังไม่รู้ |
เห็นนอนอยู่ดิบดีค่อยมีใจ |
จึงหยิบพัดหางปลามารำเพย |
น้องเอ๋ยนอนเถิดจะพัดให้ |
เมื่อตะกี้พี่วิตกนี่กะไร |
ถ้าบรรลัยพี่ชายจะตายตาม |
พี่บนบวงเทวดาคงมาช่วย |
จึงรอดด้วยเทพไทมิได้ห้าม |
ท่านเอ็นดูโฉมฉายกับพลายงาม |
เพราะเห็นความรักพี่มีต่อน้อง |
แต่แลพบสบตาเมื่อมาถึง |
พี่เหมือนหนึ่งกับปลามาติดข้อง |
ทุรนร้อนรักรึงคะนึงปอง |
ถ้าเจ้าไม่ปรองดองก็ท่าตาย |
เหลือที่พี่จะโศกโรครักร้าง |
ช่วยรักษาพี่บ้างพอห่างหาย |
เชิญเจ้าผินหน้ามาหาพี่ชาย |
พูดภิปรายพอให้พี่มีน้ำใจ ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา |
ได้ฟังวาจายิ่งรักใคร่ |
แต่หากมารยาแกล้งว่าไป |
นี่อยากรู้ว่าใครให้เข้ามา |
เป็นผู้ดีช่างไม่มีอัชฌาสัย |
ไม่เกรงใจพ่อแม่แต่สักหน้า |
รู้จักกันก็ไม่ทันล่วงเวลา |
จะมาฆ่าแท้แท้แก้ว่ารัก |
รักจริงนิ่งไยมิไปขอ |
บอกแม่พ่อเป็นผู้ใหญ่ให้ประจักษ์ |
ล่วงเกินแล้วมาเชิญให้ทายทัก |
นี่จะให้ใครสมัครไปทักทาย ฯ |
๏ อนิจจาแก้วตาช่างว่าได้ |
ไม่เห็นใจฤๅว่ารักสมัครหมาย |
พี่กล้ามาถึงตัวไม่กลัวตาย |
ก็เพราะรักโฉมฉายกว่าชีวิต |
ถ้าสามารถอาจขอต่อพ่อแม่ |
แน่แล้วพี่จะขอต่อพระพิจิตร |
ท่วงทีก็จะสมอารมณ์คิด |
ท่านเป็นมิตรกับบิดามาช้านาน |
เมื่อนั่งกินข้าวเย็นเห็นฤๅเปล่า |
ท่านหยอกเย้าพี่อย่างว่าลูกหลาน |
แต่สุดคิดเพราะติดราชการ |
จะต้องคุมพวกทหารไปพรุ่งนี้ |
ถ้าร้างรักหักใจไปจากเจ้า |
ทุกค่ำเช้าจะระทมดังตรมฝี |
คงบรรลัยไม่ทันเป็นไมตรี |
ใช่ว่าพี่จงจิตจะคิดร้าย |
เพราะขัดขวางอย่างอื่นไม่คิดเห็น |
จำเป็นจึงเข้ามาหาโฉมฉาย |
ถ้าเจ้าไม่ปรานีพี่ยอมตาย |
ขอฝากกายไว้ในห้องของน้องรัก ฯ |
๏ ศรีมาลาฟังความพลายงามว่า |
นางตรึกตราทุกสิ่งจริงประจักษ์ |
นึกถึงตัวกลัวอายยิ่งร้ายนัก |
เหมือนชวนชักชายไว้ที่ในเรือน |
ถึงเพียงนี้แล้วที่ไหนจะไปจาก |
ยากที่จะผัดวันประกันเลื่อน |
ทั้งใจนางความรักก็ตักเตือน |
จึงลุกเบือนหน้าค้อนเจ้าพลายงาม |
อ้อชาวกรุงศรีเช่นนี้เจียว |
ฉลาดเฉลียวลิ้นลมเป็นคมหนาม |
จะว่าไรแก้ไขได้ทุกความ |
มิน่าหญิงวิ่งตามกันปรอปรอ |
ขึ้นมาถึงพิจิตรติดผู้หญิง |
ครั้นติดทัพกลับนิ่งไม่สู่ขอ |
ไปทัพก็ไม่ไปไถลรอ |
จนแม่พ่อหลับใหลเข้าในเรือน |
ไม่คบค้าก็ว่าจะบรรลัย |
ชาวบ้านนอกที่ไหนใครจะเหมือน |
ถ้าหญิงใดใจเบาให้เจ้าเชือน |
ไม่ถึงเดือนก็จะทิ้งวิ่งไปทัพ |
ปล่อยนางร้างเปล่าอยู่ข้างนี้ |
ต้องให้คอยร้อยปีไม่มีกลับ |
ให้เสียตัวชั่วช้ำระยำยับ |
เพราะสับปลับหลงเสน่ห์เล่ห์ชาวกรุง |
ฉันขอบคุณที่อุตส่าห์รักษาไข้ |
ไปเสียเถิดพ่อไปจะใกล้รุ่ง |
ถ้าพ่อแม่รู้ความจะลามนุง |
จะโกรธยุ่งไม่ให้ดังใจปอง ฯ |
๏ น้องเอ๋ยที่จะไปอย่าได้คิด |
สิ้นชีวิตก็จะตายอยู่ในห้อง |
พี่ไม่ลวงหลอกดอกนะน้อง |
จะครอบครองเป็นคู่อยู่จนตาย |
ปรานีพี่เถิดเจ้าอย่าเฝ้าดื้อ |
ได้ถูกถือแล้วเช่นนี้ไม่หนีหน่าย |
ว่าพลางอิงแอบเข้าแนบกาย |
เจ้าพลายจับต้องจะลองใจ ฯ |
๏ ศรีมาลาป้องปัดสะบัดเบี่ยง |
เขาว่าแล้วยังเมียงเข้ามาใกล้ |
สัญญาว่าแต่ปากยากอะไร |
อย่าด่วนได้นะจงยั้งชั่งใจคิด |
ถ้าจริงใจก็ให้ความสัตย์ก่อน |
ให้แน่นอนภายหน้าว่าสุจริต |
เชื่อได้จึงจะปลงลงเป็นมิตร |
ถ้าเบือนบิดอย่าสำรวยให้ป่วยการ ฯ |
๏ จริงจริงกระนั้นฤๅน้องแก้ว |
มันก็แล้วมิให้น้องต้องว่าขาน |
พี่จะให้ความสัตย์ปฏิญาณ |
ขอบันดาลเทพยดาจงมาฟัง |
ถ้าพี่นี้ทิ้งขว้างร้างหย่า |
ไม่เลี้ยงเจ้าศรีมาลาไปวันหลัง |
ขอให้มีอันเป็นเห็นจริงจัง |
ลงนรกตกกระทั่งถึงโลกันต์ |
พี่ให้สัตย์ปฏิญาณอย่างนี้แล้ว |
น้องแก้วยังสงสัยฤๅไรนั่น |
เชิญเจ้าช่วยรับรักพี่หนักครัน |
จะหวาดหวั่นต่อไปไม่ต้องการ ฯ |
๏ เห็นแล้วหม่อมพี่ที่รักน้อง |
คงปรองดองร่วมรักสมัครสมาน |
แต่ฉันยังเป็นไข้ให้สะท้าน |
ขอผัดพอนานนานจะตามใจ |
เจ้าพลายรู้ใจไข้มารยา |
ไม่รอช้ากอดรัดกระหวัดไขว่ |
ประจงจูบลูบลอดในสไบ |
นางผลักไสอยู่จนพับกับที่นอน |
ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก |
ไม่ประจักษ์เสนหามาแต่ก่อน |
กำเริบรักเหลือทนทุรนร้อน |
พอร่วมหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์ |
เหมือนเกิดพายุกล้ามาเป็นคลื่น |
ครืนครืนฟ้าร้องก้องสนั่น |
พอฟ้าแลบแปลบเปรี้ยงลงทันควัน |
สะเทือนลั่นดินฟ้าจลาจล |
นทีตีฟองนองฝั่งฝา |
ท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝน |
โลกธาตุหวาดไหวในกมล |
ทั้งสองคนรสรักประจักษ์ใจ ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา |
เสนหาพะวงหลงใหล |
แอบผัวเคียงข้างไม่ห่างไกล |
เอาสไบซับเนื้อที่เหื่อนอง |
พัดพลางถามผัวกลัวอิดโรย |
หิวโหยฤๅข้าจะหาของ |
เจ้าพลายส้วมสอดกอดประคอง |
ได้แนบน้องเนื้อนิ่มพี่อิ่มทิพย์ |
กินอยู่ไม่ต้องกล่าวทั้งคาวหวาน |
ขึ้นสวรรค์เห็นวิมานอยู่หวิบหวิบ |
ต่างพนึงคลึงเคล้าเฝ้ากระซิบ |
งุบงิบกันจนม่อยผอยหลับไป ฯ |
๏ จวนอรุณเรื่อฟ้านภาแผ้ว |
ไก่แก้วขันเร่งปัจจุสมัย |
ศรีมาลาตื่นก่อนถอนฤทัย |
ด้วยจำใจจะต้องพรากจากผัวนั้น |
นางล้างหน้าทาแป้งแล้วหวีหัว |
ค่อยขยับจับตัวผัวปลุกสั่น |
ตื่นเถิดจวนจะแจ้งแสงตะวัน |
อยู่ด้วยกันช้าไปจะได้อาย |
เจ้าพลายตื่นฟื้นตัวมัวแต่จูบ |
โลมลูบอยู่มิใคร่จะผันผาย |
จะเหินห่างนางไปให้เสียดาย |
ซังตายลุกมาล้างหน้าพลัน |
ศรีมาลามพาไปที่เครื่องแป้ง |
ตกแต่งแป้งร่ำน้ำดอกไม้กลั่น |
เจือกระแจะปรุงประทิ่นกลิ่นจวงจันทน์ |
นางจัดสรรให้ผัวแต่งตัวไป |
เจ้าพลายประแป้งแต่งตัวแล้ว |
จะคลาศแคล้วก็สะท้อนถอนใจใหญ่ |
นั่งลงอุ้มนางวางตักไว้ |
ยังอาลัยนิ่งอนาถไม่อาจจร ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา |
เจ้าโศกาสะอึกสะอื้นอ้อน |
นึกได้เหลียวหน้ามาว่าวอน |
คิดก่อนนะจะไปไกลจากน้อง |
เรื่องของเราผู้ใหญ่ไม่รู้ความ |
ต้องคิดอ่านลากหนามไว้จุกช่อง |
พ่อไปเผื่อใครจะขอร้อง |
อย่าให้ต้องขืนขัดคำบิดา |
ถึงน้องจะยากเข็ญเป็นอย่างไร |
ก็คงจะเอาใจไว้รอท่า |
เสร็จราชการทัพจงกลับมา |
อย่าเชือนช้าให้ม้วยด้วยตรอมใจ |
พลายงามความอาลัยใจละเหี่ย |
ฟังเมียไม่กลั้นน้ำตาได้ |
พี่นี้เหลือที่จะห่วงใย |
พี่จะไปบอกพ่อให้ขอน้อง |
ถึงกะไรให้ขอพอได้หมั้น |
ป้องกันมิให้ใครเกี่ยวข้อง |
ถ้าหากว่าบิดาไม่ปรองดอง |
ถึงจะต้องฟันคอมิขอไป |
อย่าวิตกหมกไหม้เลยน้องแก้ว |
ไปแล้วพี่หาลืมปลื้มจิตรไม่ |
เจ้าจงจำคำสัตย์ของพี่ไว้ |
เสร็จศึกเมื่อไรจะรีบมา |
อย่าร้องไห้ไปนักจงฟังพี่ |
พรุ่งนี้ใครเห็นจะผิดหน้า |
ว่าพลางทางช่วยเช็ดน้ำตา |
แล้วจูบซ้ายย้ายขวาจะลาจร |
ศรีมาลาอาลัยใจจะขาด |
นางมิอาจดูหน้าดังแต่ก่อน |
ผละผัวตัวเจ้าเข้าที่นอน |
ลงแอบหมอนซ่อนหน้าโศกาลัย ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
แลตามเมียขวัญให้หวั่นไหว |
รามรามจะใคร่ตามกลับเข้าไป |
แต่จนใจจะสว่างกระจ่างฟ้า |
หักใจเดินออกมานอกห้อง |
ค่อยค่อยย่องบังเงาเข้าริมฝา |
ถึงหอนั่งตั้งใจจะไสยา |
เห็นบิดาตื่นอยู่ก็ตกใจ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
เห็นพลายงามถามว่ามาแต่ไหน |
เจ้าพลายทำเฉยเอ่ยตอบไป |
ฉันปวดท้องลงบันไดไปที่เวจ |
ขุนแผนว่าเวจไหนในเมืองนี้ |
ถึงกับมีเครื่องแป้งแต่งไว้เสร็จ |
หน้าตาทาแป้งเป็นเม็ดเม็ด |
กูรู้เช่นเห็นเท็จอย่าหลอกลวง |
มาอยู่บ้านพระพิจิตรผู้บิดา |
พระคุณท่านมีมาเป็นใหญ่หลวง |
เอ็งนี้จ้วงจาบละลาบละล้วง |
บังอาจล่วงลูกท่านผู้มีคุณ |
หากว่าติดนิดหนึ่งด้วยการทัพ |
หาไม่กูจะขับลงใต้ถุน |
ไม่ถูกหวายลายพร้อยก็เป็นบุญ |
ทำวุ่นแล้วจะว่าประการใด ฯ |
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาดิ |
ฟังพ่อบริภาษหาเถียงไม่ |
คิดไปได้ทีก็ดีใจ |
กราบไหว้ว่าลูกนี้ผิดจริง |
ด้วยความรักอักอ่วนเหลือกำลัง |
ราวจะคลั่งจะไคล้ไปทุกสิ่ง |
มิรู้ที่จะสลัดตัดทิ้ง |
ถ้าขืนนิ่งไปศึกนึกว่าตาย |
จะพึ่งบุญคุณพ่อช่วยขอสู่ |
ก็ว่าจะไม่อยู่เมื่อตอนบ่าย |
คิดไปไม่ตลอดจะวอดวาย |
จึงปีนป่ายเข้าห้องน้องศรีมาลา |
อ่อนก็เป็นมิตรจิตไม่คิดแหนง |
คุณพ่อก็เห็นแป้งที่ประหน้า |
ลูกได้ให้คำมั่นเป็นสัญญา |
ว่าจะบอกบิดาให้ขอร้อง |
ถึงกะไรได้หมั้นพอกันเท็จ |
การเบ็ดเสร็จไว้ว่าเมื่อขาล่อง |
คุณพ่อโปรดด้วยช่วยปรองดอง |
จะได้คล่องอกใจไปราวี ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
นิ่งคิดใคร่ครวญดูถ้วนถี่ |
การทั้งปวงล่วงเลยถึงเพียงนี้ |
จะทิ้งไปไม่ดีเป็นเนรคุณ |
อองามก็หลงจนงงงวย |
ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น |
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ |
ทำเป็นหุนหันโกรธเจ้าพลายงาม |
อ้ายลูกนอกพ่อก่อความร้อน |
เมื่อแต่ก่อนทำไมไม่ไต่ถาม |
เอาแต่ใจหนุ่มตะกรุมตะกราม |
เกิดความแล้วมาง้อพ่อทำไม |
ถ้าไม่รักพระพิจิตรผู้บิดา |
กูหาพักพูดจาให้มึงไม่ |
ลูกของท่านท่านรักดังดวงใจ |
มึงทำให้เสียตัวเหมือนชั่วช้า |
ก็จะต้องแก้ไขเสียให้หาย |
อย่าให้ท่านอับอายขายหน้า |
ถ้าวันหน้าทิ้งขว้างนางศรีมาลา |
กูมิฆ่าอย่านับว่าเป็นชาย |
เจ้าพลายดีใจกราบไหว้พ่อ |
ข้อนั้นมิให้มีที่เสียหาย |
ว่าพลางล้างหน้าทั้งสองนาย |
แล้วเยื้องกรายออกมาอยู่หน้าเรือน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนวลนางศรีมาลา |
โศกาอาลัยใครจะเหมือน |
กอดหมอนถอนใจให้ฟั่นเฟือน |
นอนเชือนอยู่จนเช้าเจ้าไม่ลุก |
อีเม้ยเห็นนายยังหายเงียบ |
ค่อยย่องเกรียบไถลเข้าไปปลุก |
เห็นนายเฉยเลยทำเหมือนเป็นทุกข์ |
ลงนั่งปุกแกล้งสะท้อนแล้วถอนใจ |
อนิจจาขัดสนช่างจนยาก |
แต่จะหาใส่ปากมิใคร่ได้ |
ยังมาซ้ำฝันเห็นให้เป็นไป |
ว่าเทพไทเธอมาเมื่อคืนนี้ |
กลับไปเมื่อใกล้จะสว่าง |
ไปกลางทางเธออยากหมากบุหรี่ |
เบี้ยหอยแต่สักร้อยก็ไม่มี |
จะเอาที่ไหนไปให้เทวดา |
นายตื่นจะต้องขึ้นค่าตัวใช้ |
ด้วยสงสารเทพไทเป็นหนักหนา |
น่าเอ็นดูเธอสู้เหาะลงมา |
ถ้านายไม่เมตตาจะเสียใจ ฯ |
๏ ศรีมาลาไม่อินังกำลังเฉย |
ฟังอีเม้ยแก้ฝันไม่กลั้นได้ |
ลุกขึ้นต่อยหัวตัวจัญไร |
ไม่มีเลือกเสือกไปเที่ยวล่วงรู้ |
มึงอย่าพูดมากปากสำรวย |
มานั่งช่วยกันทำเสียสักครู่ |
ว่าพลางเจียนหมากแล้วจีบพลู |
บุหรี่มีในตู้เอาแก้มัด |
เย็บกระทงประจงเจียนฝาชี |
ใส่หมากพลูบุหรี่ที่นางจัด |
ทั้งของกินระหว่างทางอัตคัด |
ใส่ขวดอัดผูกผ้าตราประทับ |
จัดเสร็จซ่อนใส่ในตะกร้า |
แล้วเอาผ้าซ้อนซ้ำเป็นลำดับ |
เอ็งเอาไปให้ดีอีเม้ยรับ |
ของคำนับเทวดาที่หามึง ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา |
สั่งผู้คนจนเวลาสักโมงครึ่ง |
เบิกเสบียงเลี้ยงกันอึงคะนึง |
ครั้นเสร็จจึงออกมาหาสองนาย |
พอนั่งลงบุษบาก็เรียกไป |
ศรีมาลาเป็นไรไปไหนหาย |
พ่อแผนจะไปแต่ในงาย |
สายแล้วสำรับไม่ยกมา |
อีเม้ยบอกไปใจคอหาย |
ผงเข้าตานายเมื่อล้างหน้า |
ยังปวดแสบเต็มที่เห็นยี่ตา |
บุษบาว่ามึงเป็นแต่เล่นลิ้น |
ทิ้งนายมานั่งตั้งสำออย |
สักหน่อยตาอ่อนจะบวมปลิ้น |
ชาติอีมอญหน้าเป็นเห็นแก่กิน |
น้ำขมิ้นไม่เอาไปให้หยอดตา ฯ |
๏ เจ้าพลายได้ฟังนั่งนึกขัน |
อีคนนี้สำคัญมันหนักหนา |
คงรู้เห็นเป็นใจกับศรีมาลา |
นึกหน้าได้แล้วเมื่อคืนนี้ |
ที่เข้าไปช่วยเหลือเมื่อนางแน่ |
แล้วช่วยปดพ่อแม่เป็นถ้วนถี่ |
นิ่งนึกตรึกตรองเห็นช่องดี |
ได้ทีบอกบุษบาพลัน |
คุณแม่แก้ผงเข้าตาช้ำ |
ถ้าลืมตาในน้ำดีขยัน |
กระตุกหนังตาช่วยไปด้วยกัน |
ทำอย่างนั้นก็จะหายระคายตา ฯ |
๏ บุษบาได้ฟังนั่งหัวร่อ |
พ่อคุณอารีดีหนักหนา |
อีเม้ยมึงจำเอาตำรา |
ไปบอกศรีมาลาเหมือนพ่อพลาย |
แล้วหันหน้ามาพูดกับขุนแผน |
แม่นี้แค้นตัวเองมิรู้หาย |
มีลูกก็ไม่เห็นเป็นผู้ชาย |
ยังเสียดายอยากได้ไว้สักคน ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
เห็นสบท่าตอบต่ออนุสนธิ์ |
ลูกได้พึ่งฝ่าเท้าเมื่อคราวจน |
มีพระคุณเป็นพ้นคณนา |
แต่ตริตรองจะสนองพระคุณตอบ |
คิดดูรอบคอบเป็นหนักหนา |
ยังไม่เห็นสิ่งใดในปัญญา |
จนขึ้นมาถึงพิจิตรบุรี |
มาถึงก็รำพึงแต่เย็นวาน |
เห็นการสมควรเป็นถ้วนถี่ |
คุณพ่อแม่ลูกชายนั้นไม่มี |
อองามนี้ลูกจะยกให้ช่วงใช้ |
ให้แทนคุณต่างตัวทั้งแม่พ่อ |
ตามแต่จะตีด่าหาว่าไม่ |
คุณพ่อจะเห็นเป็นอย่างไร |
ใจเด็กก็สมัครรักฝ่าเท้า ฯ |
๏ ครานั้นพระพิจิตรบิดา |
ฟังว่าเต็มใจให้ลูกสาว |
ยิ้มแล้วตอบความตามเรื่องราว |
อย่าต้องกล่าวอุปไมยไปเป็นเพลง |
เจ้าว่าข้าก็เห็นว่าเป็นมิตร |
ที่จริงจิตคิดดูก็เหมาะเหม็ง |
แต่เป็นชาวบ้านนอกยังออกเกรง |
ลูกข้าเองมันไม่สู้รู้อะไร |
เป็นแต่คนซื่อซื่อไม่ดื้อดึง |
จะเอาถึงชาวกรุงนั้นไม่ได้ |
ฉวยวันหน้าถ้าลูกไม่ถูกใจ |
เจ้าจะทำฉันใดอย่าให้อาย ฯ |
๏ ขุนแผนนบนอบตอบพระพิจิตร |
ข้อนั้นลูกก็คิดเป็นเหลือหลาย |
เอาทานบาดคาดทานบนจนออพลาย |
หายวิตกแล้วลูกจึงพูดจา |
อันเช่นศรีมาลานารี |
ถึงที่ในกรุงศรีก็สุดหา |
ทั้งรูปร่างท่วงทีกิริยา |
พอลูกมาเห็นลูกก็ถูกใจ |
ถึงอองามจะเป็นเจ้าพระยา |
แขกไปใครมาก็รับได้ |
ทั้งตัวลูกก็อยู่จะดูไป |
คงมิให้อับอายขายฝ่าเท้า ฯ |
๏ พระพิจิตรจึงว่าถ้ากระนั้น |
พอเชื่อกันวางใจที่ในเจ้า |
แต่บุษบาจะว่าข้าใจเบา |
ลูกของเขาเจ้าถามบ้างเป็นไร ฯ |
๏ บุษบาได้ฟังนั่งอมยิ้ม |
ใจสมัครรักปิ้มจะบอกให้ |
แต่คิดคิดก็ตะขิดตะขวงใจ |
เป็นผู้ใหญ่จู่ลู่จะดูแคลน |
จึงว่าลูกข้าก็คนเดียว |
ขับเคี่ยวมาแต่น้อยคอยหวงแหน |
ขอไปแม่จะได้ที่ไหนแทน |
พ่อแผนก็จำเพาะมาเจาะจง |
เพราะรักเจ้าล้นเหลือเหมือนเนื้อไข |
ไม่ขัดได้จำตามความประสงค์ |
แต่ทว่าข้าจะบอกออกตรงตรง |
ยังนึกสงสัยบ้างทางเจ้าพลาย |
มีธุระทางไกลไปเมืองลาว |
สาวสาวทางนั้นมันมากหลาย |
ถ้ากะไรไปถูกลูกเจ้านาย |
ที่พูดกันมันจะกลายเป็นเหลวเลอะ |
จะทำให้เสียหายฝ่ายผู้ใหญ่ |
เกิดระกำช้ำใจกันไปเถอะ |
เขาจะว่าข้านี้เป็นคนเคอะ |
ช่างซมเซอะไม่รู้จะดูชาย |
ที่ว่านี้มิใช่จะตัดรอน |
รักเจ้ามาแต่ก่อนนั้นเหลือหลาย |
จะควักแก้วตาไปให้เจ้าพลาย |
ก็เบี่ยงบ่ายอย่างไรให้มั่นคง ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
คิดแล้วกล่าวความตามประสงค์ |
ถ้าหากท่านผู้ใหญ่ได้ตกลง |
ที่ตรงดีฉันนั้นอย่าแคลง |
ถึงจะไปนอกฟ้าป่าหิมพานต์ |
อันที่การนอกใจอย่าได้แหนง |
แม้จะให้สัญญาปิดตราแดง |
จะขีดแกงไดให้ในสัญญา |
ถึงเด็กอยู่รู้พระคุณแต่หนหลัง |
พ่อแม่เล่าให้ฟังเป็นหนักหนา |
จะขอเป็นเกือกทองรองบาทา |
คุณแม่พ่อขออย่าได้ปรารมภ์ |
ขุนแผนพ่อพูดต่อเจ้าพลายงาม |
ความที่มันสัญญาน่าจะสม |
เห็นจะไม่โกหกพกลม |
แต่นานนมหนักไปก็ไม่ดี |
ลูกคิดว่าถ้าหมั้นต่อกันไว้ |
ถึงห่างไกลก็พะวงตรงที่นี่ |
เหมือนตัวไปใจอยู่ด้วยคู่มี |
อย่างนี้เป็นทำนองที่ป้องกัน |
วันนี้ก็ประเสริฐเลิศดิถี |
จงปรานีรับรองซึ่งของหมั้น |
แล้วจึงทำเหย้าเรือนหาเดือนวัน |
การเหล่านั้นฝากไว้ในเจ้าคุณ |
ด้วยจะต้องไปทัพรับอาสา |
การของลูกข้างหน้ายังว้าวุ่น |
คุณพ่อแม่เมตตาได้การุญ |
ให้อุ่นอกเช่นครั้งแต่หลังมา ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร |
ทั้งบุษบาสมคิดก็หรรษา |
รับทองหมั้นไว้มิได้ช้า |
พระพิจิตรจึงว่าเป็นไรมี |
เจ้าคิดอ่านการศึกเอาเชียงใหม่ |
ถ้าคล่องใจคงสำเร็จราวเดือนยี่ |
ยังจะต้องคุมทัพกลับธานี |
ก็เดือนสี่แลประมาณการวิวาห์ ฯ |
๏ ครั้นตกลงปลงใจให้กันแล้ว |
ต่างคนผ่องแผ้วเป็นหนักหนา |
สำรับพร้อมล้อมนั่งกินข้าวปลา |
สนทนาเบิกบานสำราญใจ |
เลี้ยงดูกันสำเร็จเสร็จสรรพ |
พ่อลูกลากลับหาช้าไม่ |
พระพิจิตรมาส่งลงบันได |
ออกจากจวนไปยังวัดจันทร์ ฯ |
๏ ฝ่ายอีเม้ยดักทางอยู่ห่างบ้าน |
พอขุนแผนเดินผ่านพ้นที่นั่น |
กระแอมไอให้เสียงเป็นสำคัญ |
เจ้าพลายหันมาดูก็รู้ที |
จึงหลีกเข้าข้างทางหว่างต้นไม้ |
ถามว่ามาทำไมจนถึงนี่ |
อีเม้ยบอกว่าตะกร้านี้ |
มีของดีจะขายพ่อพลายงาม |
เจ้าพลายยิ้มแล้วว่าข้าอยากได้ |
จะถูกแพงเท่าไรไม่ต้องถาม |
รับตะกร้ามาให้ไพร่แบกตาม |
เอาเงินสามตำลึงส่งให้อีเม้ย |
แล้วค่อยงุบงิบกระซิบสั่ง |
กลับหลังเข้าเรือนอย่าเชือนเฉย |
ถ้านายยังร้องไห้ไม่เสบย |
เจ้าคนเคยปฏิบัติอยู่อัตรา |
ปลอยโยนนางไว้อย่าให้เศร้า |
ตัวเจ้าจงพิทักษ์รักษา |
ให้เป็นสุขค่ำเช้าจนเรามา |
เงินตราข้าจะเติมเพิ่มรางวัล |
ว่าแล้วเท่านั้นก็ผันผาย |
เจ้าพลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
รีบตามบิดามาวัดจันทร์ |
แล้วช่วยกันจัดพหลพลโยธี ฯ |
๏ ครั้นเรียกคนสำรวจตรวจถ้วน |
จัดกระบวนหน้าหลังตั้งตามที่ |
พระพิจิตรมาช่วยอวยสวัสดี |
แล้วคลายคลี่พหลพลโยธา |
กองหน้านายจันสามพันตึง |
พอฆ้องหึ่งโห่กระหน่ำออกนำหน้า |
กองหลวงกองเสบียงเรียงกันมา |
ราชอาญากองหลังนั้นรั้งพล |
พวกชาวบ้านร้านตลาดดาษดื่น |
แตกตื่นมาดูอยู่สับสน |
ที่ตามวัดก็พระประน้ำมนต์ |
ขุนด่านนำส่งจนพ้นพรมแดน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม |
ขี่ม้ามาตามพ่อขุนแผน |
ยังง่วงเหงาหาวนอนนั่งคลอนแคลน |
ทรวงแสนกระสันโศกวิโยคครวญ |
โอ้ว่าศรีมาลาแก้วตาพี่ |
ปานฉะนี้จะเศร้าเฝ้าโหยหวน |
เหมือนใจพี่ที่นึกคะนึงนวล |
ใครจะชวนโฉมฉายให้คลายใจ |
ที่พูดกันเมื่อเช้าถ้าเจ้ารู้ |
ว่าขอสู่แม่พ่อก็ยกให้ |
เห็นจะวายหวาดหวั่นพรั่นฤทัย |
นั่งนับวันไปจนถึงงาน |
ค่ำเช้าเจ้าคะนึงถึงตัวพี่ |
พอมีที่แก้ไขได้คิดอ่าน |
ตระเตรียมจัดแจงแต่งเรือนชาน |
แก้รำคาญแบ่งเบาที่เศร้าใจ |
เออเมื่อคิดขึ้นมาก็น่ารู้ |
ว่าเนื้อคู่คิดเห็นเป็นไฉน |
จะตกแต่งหอห้องทำนองใด |
ใครจะเป็นที่ปรึกษาหารือนาง |
คู่คิดเจ้าก็มีแต่อีเม้ย |
มันเป็นไพร่ไม่เคยคงพานขวาง |
จะชวนซื้อหาใหม่ไปทุกทาง |
ของเก่ามีดีบ้างไม่นำพา |
เครื่องเรือนในห้องของน้องแก้ว |
ล้วนดีดีมีแล้วก็หนักหนา |
พี่ยังได้ชมเล่นเห็นแก่ตา |
จะต้องหาใหม่นั้นมิเพียงไร |
เตียงนอนค่อนจะแคบอยู่สักนิด |
แต่ก็ดีที่ชิดพิสมัย |
ถึงหนาวร้อนก็ไม่นอนห่างกันไป |
อย่าต้องหาเตียงใหม่เลยน้องรัก |
ม่านกรองทองทับสลับสี |
เรื่องระเด่นมนตรีที่เจ้าปัก |
มันถูกเรื่องของเราเข้าทีนัก |
จะเยื้องยักปักใหม่ไม่ต้องการ |
ถ้ากะไรปักต่อก็จะดี |
เติมเมื่อตรงสึกชีอิกสักม่าน |
ยังเครื่องแป้งแต่งไว้ไม่มีปาน |
ขันพานขวดน้อยน้อยน่าเอ็นดู |
เมื่อคืนนี้ตอนดึกยังนึกได้ |
เจ้าพาไปนั่งเรียงอยู่เคียงคู่ |
เครื่องเชี่ยนหมากนากทองของโฉมตรู |
ยังติดตาพี่อยู่ทุกสิ่งอัน |
พี่จะปลูกหอใหม่ให้ใหญ่กว้าง |
ทั้งของนางของพี่จะจัดสรร |
ของของพี่มีมากหลากหลากกัน |
เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ก็ดีดี |
๏ ยังเครื่องรางปลุกเสกล้วนเลขยันต์ |
ฤๅขวัญข้าวเจ้ารังเกียจด้วยเกลียดผี |
ก็ไว้ที่อื่นได้เป็นไรมี |
พี่จะสร้างหอน้อยเป็นหอพระ |
ที่ในห้องของเราเอาพรมปู |
วางหมอนคู่เคียงไว้ไม่เกะกะ |
ไว้นอนเล่นเย็นเช้านะเจ้านะ |
พี่จะเฝ้าถนอมกล่อมน้องยา |
ถึงจะนั่งกินข้าวทั้งเช้าเย็น |
เราอย่าให้ใครเห็นจะดีกว่า |
ได้หยอกเอินพูดเล่นเจรจา |
กินข้าวปลาเอิบอิ่มกระหยิ่มใจ |
ทำไมกับเรื่องเครื่องเรือนชาน |
จะเบิกบานก็ที่ชิดพิสมัย |
ชั้นชั่วเสื่ออ่อนกับหมอนใบ |
ก็คงได้ความสุขทุกคืนวัน |
๏ กำลังง่วงดวงจิตรคิดเลื่อนเปื้อน |
เจ้าพลายฟั่นเฟือนเหมือนกับฝัน |
สำคัญว่าเนื้อคู่อยู่ด้วยกัน |
ยิ่งยั่วยวนสรวลสันต์จำนรรจา |
พี่ยังทุกข์อยู่นิดคิดไม่ถูก |
เผื่อเจ้าจะมีลูกในวันหน้า |
พี่เห็นเขาเจ็บท้องร้องเต็มประดา |
แก้วตาจะอย่างไรก็ไม่รู้ |
เขาว่ามดถ่อหมอตำแย |
มักเชือนแชข่มขยำทำจู่ลู่ |
ถ้าหากไม่คอยนั่งระวังดู |
เคยลากถูจนตายมาหลายคน |
พี่จะคอยถือตระบองมองกำกับ |
ถ้าสับปลับเอาอย่างนี้ตีให้ป่น |
เคลิ้มฟาดแส้ม้าปาประดน |
ถูกก้นม้าพ่อเข้าพอแรง ฯ |
๏ ม้าผลุนขุนแผนเจียนจะตก |
หากแอบอกอยู่ที่ด้วยขี่แข็ง |
พอรั้งอยู่เหลียวมาโกรธหน้าแดง |
นี่มึงแกล้งฤๅไรให้ว่ามา |
เจ้าพลายตกใจไม่มีขวัญ |
บอกความพ่อพลันไม่มุสา |
ลูกหลับใหลฝันไปว่าศรีมาลา |
เจ้าจะคลอดลูกยาเจ็บครวญคราง |
เห็นยายหมอตำแยแกมักง่าย |
ทำจู่ลู่ดูดายเมื่อลูกขวาง |
เกรงจะเป็นอันตรายวายวาง |
ลูกตีแกดังผางพอถูกม้า |
เพราะเคลิ้มเขลาเมามัวด้วยความฝัน |
ใช่จะแกล้งตีรันไม่มุสา |
สีหมอกก็ได้มีพระคุณมา |
คุณพ่อได้เมตตาที่โทษกรณ์ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
ฟังลูกคิดคิดก็ใจอ่อน |
นี่แลรักชักพาให้อาวรณ์ |
ร้อนทั้งหลับตื่นทุกคืนวัน |
ว่าแล้วนิ่งนึกตรึกตรา |
อองามหลงศรีมาลาจนใฝ่ฝัน |
ด้วยพึ่งแรกรู้จักความรักนั้น |
ที่สำคัญทุกอย่างแต่ข้างดี |
ลูกเอ๋ยยังไม่เคยรู้รสร้าย |
ที่ความรักกลับกลายแล้วหน่ายหนี |
อันเจ็บปวดยวดยิ่งทุกสิ่งมี |
ไม่เท่าที่เจ็บช้ำระกำรัก |
จะว่าเขาอื่นไกลไปไยเล่า |
ถึงแม่เจ้าพ่อก็ช้ำระกำหนัก |
ต้องทุกข์ยากมากมายมาหลายพัก |
จักแหล่นเลือดตาตกกระเด็น |
เมื่อหนุ่มสาวคราวอยู่เป็นชู้ชื่น |
ดังจะกลืนไว้ได้มิใช่เล่น |
จนร่วมหอคลึงเคล้าทุกเช้าเย็น |
ไม่คิดเห็นว่าจะพรากไปจากกัน |
พอไปทัพกลับมาเห็นหน้านิด |
มันปลดปลิดผลาญรักหักสะบั้น |
ต้องคับแค้นเพียงจะดิ้นสิ้นชีวัน |
แต่โศกศัลย์โหยหาอยู่กว่าปี |
สู้พากเพียรพยายามตามมาได้ |
เที่ยวบุกป่าฝ่าไพรพากันหนี |
ทนลำบากยากไร้ในพงพี |
ไม่อาลัยชีวีเพราะความรัก |
พอพ้นภัยหมายใจว่าพ้นทุกข์ |
จะร่วมสุขอยู่เย็นเป็นแหล่งหลัก |
เกิดวิบากผลกรรมมานำชัก |
ให้ไอ้มารผลาญรักระยำไป |
ความแค้นแสนที่จะชอกช้ำ |
ก็มิรู้ว่าจะทำอย่างไรได้ |
เพราะตัวต้องทนทุกข์อยู่คุกใน |
ต้องเจ็บใจตรมมากว่าสิบปี |
โอ้ว่าเจ้าวันทองน้องแก้ว |
จะลืมพี่เสียแล้วกระมังนี่ |
ด้วยเริศร้างห่างนานเสียเต็มที |
ปานนี้จะหลงบุญอ้ายขุนช้าง |
ฤๅว่ายังมีจิตคิดคะนึง |
นึกถึงเพื่อนยากที่จากบ้าง |
พี่คิดถึงเช้าเย็นไม่เว้นวาง |
รำพึงพลางถอนใจอยู่ไปมา ฯ |
๏ กองทัพยกออกนอกพิจิตร |
ต้องเลียบชิดบึงบางทิขวางหน้า |
บางแห่งใหญ่โตมโหฬาร์ |
เป็นที่ปลาอาศัยทั้งใหญ่น้อย |
ดูจากหลังม้าเห็นคลาคล่ำ |
บ้างโดดดำโผล่ผุดแล้วมุดถอย |
ชะโดดุกอ้ายด้องขึ้นล่องลอย |
ฝูงปลาสร้อยเป็นหมู่ดูคลับคล้าย |
เทโพเทพาทั้งปลาช่อน |
เนื้ออ่อนนวลจันทร์พรรณสวาย |
สลิดสลาดปลาตะเพียนเวียนกราย |
หลากหลายว่ายแหวกอยู่ในบึง |
ที่บางแห่งปลาชุมเหล่ากุมภา |
ไล่ปลาฟาดหางดังผางผึง |
พอได้ยินเสียงคนข้างบนอึง |
ก็จมดึ่งหลีกหลบลงกบดาน |
ยังเหล่าปักษาทิชาชาติ |
เกลื่อนกลาดหาปลาเป็นอาหาร |
กระทุงทองล่องลอยนทีธาร |
เหนียงยานปากอ้าเอาราน้ำ |
อ้ายงั่วดำด้นลงค้นปลา |
ทั้งเหล่านกกระสาก็คลาคล่ำ |
นกยางยืนมองจ้องประจำ |
พอพลบค่ำนกแขวกแกรกแกรกร้อง |
ฝูงเหยี่ยวเที่ยวว่อนทั้งร่อนบิน |
โฉบเฉี่ยวปลากินที่ในหนอง |
นกตะกรุมหัวเหม่เที่ยวเร่มอง |
ขามันยาวก้าวท่องย่องสุ่มปลา |
นกฝักบัวค้อนหอยแลปากห่าง |
หลายอย่างต่างพรรณกันหนักหนา |
ฝูงนกเกลื่อนกลาดดาษดา |
ดูมาไม่สิ้นในถิ่นทาง |
ยังพืชพรรณบุปผาลดาชาติ |
ก็ประหลาดมากมายเป็นหลายอย่าง |
ล้วนผลิดอกออกใบในบึงบาง |
ต่างต่างน่าชมภิรมย์ใจ |
ที่บางแห่งโกมุทบุษบัน |
เป็นพืชพรรณติดต่อกอไสว |
บ้างชูดอกออกฝักแล้วชักใบ |
แลไปล้วนกมุทจนสุดตา |
เหล่าบัวสายรายกอกันห่างห่าง |
พอสางสางก็ตระการบานบุปผา |
ทั้งกระจับตับเต่าเถาสันตะวา |
ในคงคาหลายอย่างต่างต่างพรรณ |
พอเช้าตรู่หมู่ภมรร่อนมาถึง |
หึ่งหึ่งฟังจำเรียงเสียงสนั่น |
เที่ยวซอกซอนเกสรบุษบัน |
เสาะสรรรสหวานตระการใจ |
ลมพัดเฉื่อยฉ่ำน้ำกระเพื่อม |
แลละเลื่อมริ้วริ้วปลิวไสว |
ถึงแดดร้อนลมรื่นชื่นฤทัย |
ทั้งนายไพร่เพลิดเพลินเดินชมมา ฯ |
๏ พอพ้นแนวหนองคลองบึงบาง |
ก็เลี้ยวลัดตัดทางมากลางป่า |
เป็นพงแขมแกมอ้อกอหญ้าคา |
ทั้งซ้ายขวาสูงปรกดูรกชัฏ |
เห็นแต่นกกระจาบคาบทำรัง |
ไม่มีทั้งสิงสาราสัตว์ |
ทางกันดารน้ำท่าสารพัด |
ก็เร่งรัดรี้พลด้นเดินมา |
พ้นป่าพงลงทางข้างตลิ่ง |
ถึงปากพิงเลี้ยวข้ามไปข้างขวา |
เข้าทางป่าไม้ไพรพนา |
ถึงพาราพิษณุโลกโอฆบุรี |
ทั้งนายไพร่ไปวัดมหาธาตุ |
ไหว้พระชินราชชินสีห์ |
ขอให้มีชัยสวัสดี |
แล้วมาที่ศาลากลางวางท้องตรา |
เจ้าพระยาพิษณุโลกกรมการ |
อลหม่านเลี้ยงดูกันทั่วหน้า |
พอพักไพร่หายเหนื่อยเลื่อยล้า |
ก็ยกพลต่อมาเมืองพิชัย |
ผู้รั้งกรมการด่านทาง |
ต่างเมืองต้อนรับไม่นิ่งได้ |
ยกข้ามฟากจากเมืองพิชัยไป |
ถึงบ้านไกรป่าแฝกแล้วแยกมา |
วันหนึ่งถึงเมืองสัชนาลัย |
กรมการผู้ใหญ่ก็พร้อมหน้า |
เลี้ยงดูรับรองตามท้องตรา |
พักอยู่สามเวลาในธานี ฯ |
๏ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก |
ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี |
เจ้าพลายกระสันพันทวี |
รำลึกถึงนารีศรีมาลา |
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วยพี่ |
จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา |
คิดพลางเดินพลางตามทางมา |
ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร |
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก |
เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน |
โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ |
พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์ |
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก |
แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน |
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล |
บ้างเหมือนกลิ่นพู่ร้อยห้อยเรียงราย |
ตรงตะพักเพิงผาศิลาเผิน |
ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย |
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย |
เป็นวุ้งโว้งโพรงพรายดูลายพร้อย |
บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ |
ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย |
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย |
บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ |
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม |
บ้างโปปมเป็นปุ่มกระปุบกระปิบ |
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ |
โล่งตลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์ |
เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย |
ลมชวยหล่นตามกระแสสินธุ์ |
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน |
ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า |
สัตตบุษย์บัวแดงเข้าแฝงฝัก |
พรรนผักพาดผ่านก้านบุปผา |
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตะวา |
ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร |
สาหร่ายเรียงเคียงทับกระจับจอก |
ผักบุ้งงอกยอดชูดูสะอ้าน |
ภุมรินบินเคล้าสุมามาลย์ |
ในธาราปลาพล่านตระการตา |
ชมพลางทางเดินเนินพนม |
รื่นร่มพรรณไม้ใบหนา |
แลดูหมู่วิหคนกนานา |
สาลิกาพูดจ้ออยู่จอแจ |
คุ่มขาบเขาขันสนั่นป่า |
กระสาจับกระสังส่งเสียงแซ่ |
กระลิงจับกิ่งประโลงแล |
คับแคไต่คางริมทางจร |
ค้อนทองจับบนต้นกระถิน |
แก้วจับแก้วกินแล้วบินร่อน |
นกยูงจับยางแผ่หางฟ้อน |
กระทุงทองจับกระท้อนทำอ่อนคอ |
กระจาบจ้อยโจนจับกระเจาเจ่า |
แซงแซวเซาจับสนดูซอมซ่อ |
นกกระไนไก่ฟ้าพระยาลอ |
นกกรอดพรอดจ้ออยู่กิ่งจันทน์ |
นกเขาจับเงื่อมเขาแล้วเคล้าคู่ |
จู้หุกกูจู้ฮุกกูเฝ้าคูขัน |
อัญชันจับกิ่งต้นชิงชัน |
เบญจวรรณจับเจ่าเถาวัลย์เปรียง |
ไก่ป่าวิ่งกรากกะต๊ากลั่น |
ตัวผู้ขันเอกอีเอ๊กวิเวกเสียง |
เข้ากินขุยคุ้ยเขี่ยตัวเมียเคียง |
เห็นคนเลี่ยงลัดแลงเข้าแฝงกอ |
นกกระทาราแต้แผ่ปีกปัก |
ขันชักปักกะจาดกะจ้าจ้อ |
เห็นตัวเมียเขี่ยจังหรีดเข้ากรีดกรอ |
ปักก้อป่องร่าดูน่าชม |
เดินพลางชมพลางมากลางชัฏ |
ชักม้าหลีกลัดเข้าร่มร่ม |
ตะวันชายบ่ายรังบังพนม |
เพลาลมตกตัดออกทางเตียน |
ไฟป่าครอกหญ้าพึ่งแตกอ่อน |
แผ่นดินล่อนแลโล่งตลิบเลี่ยน |
หมู่สัตว์จัตุบาทออกวาดเวียน |
บ้างหยอกกันหันเหียนหาคู่เคียง |
พยัคฆีมีกำลังทะลวงโลด |
ทะลึ่งโดดเท้าถีบปีบปะเปรี้ยง |
มฤคกลัวตัวลอบลงหมอบเมียง |
บ้างหลีกเลี่ยงหลบเพริดเตลิดไป |
ริมทางกวางทองดูผ่องผุด |
ยั้งหยุดหย่งกีบปีบเสียงใส |
กระทิงถึกโทนเที่ยวอยู่ในไพร |
กระบือเบิ่งเถลิงไล่กันดาษดง |
อีเห็นเม่นหมีหมู่ชะมด |
กระจงจดจ้องกีบดูหยิบหย่ง |
ละมั่งละมาดผาดเผ่นออกจากพง |
กระซู่ส่งซัดกระทิงออกวิ่งโทง |
เสือดาวเดาะเราะรายหมายละมั่ง |
ช้างพังชักผากกระชากโผง |
สมันเมินเดินดุ่มจากพุ่มโพรง |
ออกเลียดินกินโป่งอร่อยไป |
ตัดข้ามเขตระแหงมาแขวงเถิน |
เดินเลยหาเยื้องเข้าเมืองไม่ |
สิบสี่วันดั้นเดินตามเนินไพร |
เกือบจะถึงเชียงใหม่อิกสองวัน |
หยุดหนองโคกเต่าไม่เข้าบ้าน |
พักทหารตั้งกองริมหนองนั่น |
ชักหนามวงรอบเป็นขอบคัน |
กำชับกันมิให้ใครเที่ยวไปมา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
เรียกลูกชายพลายงามมาปรึกษา |
เราเกือบถึงเชียงใหม่ใกล้พารา |
จะด่วนเข้ายุทธนาไม่สู้ดี |
มันจับพระท้ายน้ำจำเอาไว้ |
เราตรงไปคงหั่นบั่นเกศี |
จะคิดลอบเข้าไปในบุรี |
ดูท่วงทีแก้ไขเอาไทยมา |
แล้วจึงเข้าประชิดติดนคร |
เราผันผ่อนเช่นนี้จะดีกว่า |
พ่อกับเจ้าเข้าไปแต่สองรา |
ไปเที่ยวหาพวกไทยให้พบพาน |
ต้องปลอมตัวเป็นลาวพวกชาวเมือง |
เราหาเครื่องแต่งตัวเอาตามบ้าน |
จำจะรีบเข้าไปอย่าได้นาน |
ฤๅเจ้าจะคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ เจ้าพลายงามเห็นชอบตอบบิดา |
คุณพ่อว่าต้องจิตรหาผิดไม่ |
ถ้าเรายกโยธาผ่าเข้าไป |
มันเห็นไทยพวกลาวจะร้าวราน |
จะระบือฦๅเลื่องทั้งเมืองใหญ่ |
มิทันได้คนโทษจะฉาวฉาน |
อ้ายคนต้องจองจำจะรำคาญ |
มันประหารตายสิ้นสิเสียที |
ถ้าเราลอบเข้าไปให้พบก่อน |
จะได้ผ่อนผู้คนให้พ้นที่ |
เป็นกำลังรบลาวชาวบุรี |
ทั้งไทยลาวราวสักสี่ห้าร้อยคน |
ปรึกษากันทั้งสองเห็นต้องใจ |
แล้วเหลียวไปข้างหลังสั่งพหล |
จงซุ่มซ่อนนอนนั่งระวังตน |
คอยดูผู้คนจะไปมา |
ครั้นกำชับสั่งพลทุกคนทั่ว |
พ่อลูกแต่งตัวงามสง่า |
ประจงคาดเครื่องอานทาว่านยา |
แล้วโพกผ้าประเจียดประจุฤทธิ |
พลายงามจับดาบขยับยืน |
ขุนแผนจับฟ้าฟื้นอันศักดิ์สิทธิ์ |
บ่ายหน้ามาสู่บูรพาทิศ |
ตั้งจิตหมายหมาดพิฆาตลาว |
ขยับยืนภาวนานัยน์ตาหลับ |
ตามตำรับบุราณอาจารย์กล่าว |
นิมิตดูลมกล้าออกขวายาว |
ก็ยกก้าวตีนขวาแล้วคลาไคล |
พ่อลูกลัดเลาะละเมาะเหมือง |
แยกเยื้องเสียหาเข้าหนทางไม่ |
พอแลเห็นไร่แตงเข้าแฝงไม้ |
ริมทางลาวชาวไร่เดินไปมา ฯ |
๏ จะยกจับกลับกล่าวลาวพ่อลูก |
ออกไปปลูกห้างไร่อยู่ชายป่า |
ปลูกผักฟักแฟงทั้งแตงกวา |
ถั่วงากล้วยกล้ายเป็นหลายพรรณ |
เมื่อจะถึงที่ตายวายชีวิต |
ให้หงุดหงิดง่านใจอยู่ไหวหวั่น |
คิดจะคืนกลับหลังแต่ยังวัน |
ก็ชวนกันออกเดินดำเนินมา |
ตาพ่อถือดาบงามย่ามตะพาย |
ลูกชายถือทวนขึ้นพาดบ่า |
เอาน้ำเต้าสอดด้ามซ้ำห้อยมา |
โพกชมพูดูสง่าพากันเดิน |
ตาพ่อเถ้าออกหน้ามาดุ่มดุ่ม |
เจ้าลูกหนุ่มตามไปไม่ห่างเหิน |
เมื่อถึงวันจะบรรลัยให้บังเอิญ |
เจ้าลูกเพลินรับซอพ่อรับแคน |
โอหนออ่อเจ้าสาวคำเอ่ย |
ข้อยอยากเซ้ยสาวเวียงที่เชียงแสน |
ขอให้ข้อยเบิ่งนางที่ต่างแดน |
ข้อยแค่นใจตายแล้วแก้วพี่อา |
เพี้ยงเอ๋ยปู่เจ้าในเขาเขิน |
ช่วยชักเชิญสาวเวียงมาเคียงข้า |
เหล้าเข้มไก่หมูจะบูชา |
จะเซ่นส้าบวงสรวงเข้าแทรกใจ ฯ |
๏ พ่อลูกร้องขับรับกันมา |
ใกล้พฤกษาที่ขุนแผนเข้าอาศัย |
ขุนแผนเห็นลาวซ่องร้องแต่ไกล |
กระซิบบอกลูกให้ระวังตัว |
เห็นฤๅไม่เล่านะเจ้าพ่อ |
อ้ายลาวซอแลไปไม่มีหัว |
มันถึงที่มรณาแล้วอย่ากลัว |
จิกหัวฟันเสียให้พร้อมกัน |
ต่างถอดดาบจากฝักยืนหยักรั้ง |
พอลาวเดินมากระทั่งถึงที่นั่น |
ดังองคตหนุมานชาญฉกกรจ์ |
ทะลึ่งถลันด้วยกำลังไม่รั้งรอ |
ขุนแผนฟันป่ายพลายงามฟาด |
ฉะฉาดหัวเด็ดกระเด็นปร๋อ |
เลือดพุ่งโชนเชี่ยวสองเกลียวคอ |
ลาวลูกพ่อล้มดิ้นลงสิ้นใจ |
เหลือกตาหน้าเผือดเลือดไหลนอง |
ทั้งสองยินดีจะมีไหน |
หยิบเอาหัวมาต่อคอเข้าไว้ |
สนิทนั่งตั้งใจภาวนา |
ขุนแผนซัดข้าวสารอ่านมนตร์ปลุก |
ผีลาวผุดลุกขึ้นต่อหน้า |
เคารพราบกราบเท้าทั้งสองรา |
ขุนแผนว่าสองผีมีนามใด |
สองผีหมอบราบแล้วกราบกราน |
กระผมชื่อขนานมโนใหญ่ |
นั่นลูกข้อยชื่อน้อยศรีวิชัย |
เจ้าประสงค์สิ่งไรจึงขึ้นมา |
ขุนแผนว่าขนานมโนใหญ่ |
เราตั้งใจมุ่งมาดปรารถนา |
จะขึ้นไปประจญปล้นพารา |
เจ้าช่วยพาตัวเราเข้าบุรี |
ผีคำนับรับแล้วก็ล้มลง |
พ่อลูกตรงเข้าเปลื้องเอาผ้าผี |
เอาดาบตัดผมพลันด้วยทันที |
สีชมพูโพกเกล้าก็เอามา |
พ่อลูกนุ่งห่มใส่ผมช้อง |
โพกสะพองเหมือนลาวชาติชาวป่า |
ขุนแผนหยิบย่ามใหญ่ใส่ไหล่มา |
พลายงามคว้าทวนถือติดมือพลัน |
ทั้งลูกทั้งพ่อหัวร่อร่า |
ก็พากันเดินมาขมีขมัน |
ถึงโคกเต่าเข้าเพลาจะสายัณห์ |
พวกอาสาทั้งนั้นก็ตกใจ |
บ้างก็เข้าซ่อนซุ่มในพุ่มชิด |
สำคัญคิดว่าเป็นลาวพวกชาวไร่ |
ขุนแผนไม่แวะวงตรงเข้าไป |
พวกอาสาสงสัยว่าลาวจริง |
พากันมองดูไม่รู้จัก |
ไม่มีใครถามทักต่างแอบนิ่ง |
ขุนแผนร้องว่าอย่างไรไม่ไหวติง |
ทหารรู้กรูวิ่งมาวันทา |
เจ้าประคุณนุ่งห่มใส่ผมยาว |
ช่างเหมือนลาวจริงจังไม่กังขา |
ลูกได้แอบพินิจพิจารณา |
ช่างแปลกหน้าแปลกกายคล้ายพุงดำ |
พ่อลูกปลดผมแล้วเปลื้องผ้า |
แล้วสั่งว่าเราจะไปเสียในค่ำ |
ถ้าช้าอยู่มันจะรู้ซึ่งเงื่อนงำ |
ลาวจะร่ำฦๅดังไปทั้งกรุง ฯ |
๏ ทหารรับจับจัดผูกช้างม้า |
แล้วก็ยกโยธามากลางทุ่ง |
อย่าอื้อฉาวชาวเมืองจะเฟื่องฟุ้ง |
พอจวนรุ่งเข้าดงปลงม้าช้าง |
ให้แฝงพุ่มซุ่มซ่อนนอนจนค่ำ |
กลางคืนร่ำรุดไปจนใกล้สว่าง |
สองคืนสองวันดั้นเดินทาง |
กระทั่งถึงบึงกว้างเข้าทันใด |
ก็หยุดทัพจับจัดตัดไม้ปัก |
ชักหนามวงรอบขอบบึงใหญ่ |
สงบทัพยับยั้งตั้งมั่นไว้ |
ด้วยทางใกล้จวนถึงสักครึ่งวัน |
ช้างม้าหญ้าน้ำก็สำราญ |
พวกทหารพักผ่อนนอนที่นั่น |
เอากูบอานเรียบเรียงเข้าเคียงกัน |
ให้สองทั่นแม่ทัพนั้นยับยั้ง ฯ |