- คำนำ
- ตำนานเสภา
- คำอธิบาย
- อธิบายบทเสภา เล่ม ๓
- ตอนที่ ๑ กำเนิดขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๓ พลายแก้วบวชเณร
- ตอนที่ ๔ พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม
- ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม
- ตอนที่ ๖ พลายแก้วเข้าห้องนางสายทอง
- ตอนที่ ๗ พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
- ตอนที่ ๘ พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ
- ตอนที่ ๙ พลายแก้วยกทัพ
- ตอนที่ ๑๐ พลายแก้วได้นางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๑ นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย
- ตอนที่ ๑๒ นางศรีประจันยกนางวันทองให้ขุนช้าง
- ตอนที่ ๑๓ พลายแก้วได้เป็นขุนแผน ขุนช้างได้นางวันทอง
- ตอนที่ ๑๔ ขุนแผนบอกกล่าว
- ตอนที่ ๑๕ ขุนแผนต้องพรากนางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๖ กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่
- ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา
- ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพานางวันทองหนี
- ตอนที่ ๑๙ ขุนช้างตามนางวันทอง
- ตอนที่ ๒๐ ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นขบถ
- ตอนที่ ๒๑ ขุนแผนลุแก่โทษ
- ตอนที่ ๒๒ ขุนแผนชนะความขุนช้าง
- ตอนที่ ๒๓ ขุนแผนติดคุก
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม
- ตอนที่ ๒๕ เจ้าล้านช้างถวายนางสร้อยทองแก่พระพันวษา
- ตอนที่ ๒๖ พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง
- ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
- ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา
- ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
- ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่
- ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนพลายงามยกทัพกลับ
- ตอนที่ ๓๒ ถวายนางสร้อยทอง สร้อยฟ้า
- ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม
- ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ
- ตอนที่ ๓๕ ขุนช้างถวายฎีกา
- ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง
- ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ พระไวยถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๙ ขุนแผนส่องกระจก
- ตอนที่ ๔๐ พระไวยแตกทัพ
- ตอนที่ ๔๑ พลายชุมพลจับเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๒ นางสร้อยฟ้าศรีมาลาลุยไฟ
- ตอนที่ ๔๓ จระเข้เถรขวาด
ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าหมื่นไวย | อิ่มเอิบกำเริบใจใครจะเหมือน |
ปราโมทย์โชติช่วงดังดวงเดือน | มิได้เคลื่อนรสรักสักวันคืน |
แต่โฉมเจ้าสร้อยฟ้าพานจะงอน | หย่อนแต้มลงไม่ได้ให้สะอื้น |
ผัวมานอนตะละช้อนใส่ปากกลืน | ถ้าผัวคลาศขาดคืนก็ขุ่นมัว |
อันชายหนึ่งเมียสองมักพร่องแรง | หม่อมเมียพานจะแข่งแย่งหม่อมผัว |
จึงเกิดเป็นเชิงชั้นกันในตัว | ยิ่งใครเย้าตะละยั่วให้หนักไป |
ข้างศรีมาลาผัวรักมักยิ้มเย้ย | ข้างสร้อยฟ้าก็เลยทะยานใหญ่ |
เกรงอยู่แต่ท่านย่าระอาใจ | ใครใครแกไม่ละทั้งลูกเมีย |
ราวกับเสือซ่อนเล็บเจ็บไม่รู้สึก | ถ้าได้ฮึกแล้วรุ่งก็รุ่งเสีย |
ถ้าใครเถียงเอาใหญ่ดังไฟเลีย | เขานิ่งเสียแกก็โลดโดดตะกาย ฯ |
๏ วันเมื่อจะก่อเกิดกำเนิดเข็ญ | พระหมื่นไวยนั่งเล่นตะวันบ่าย |
ที่หอนั่งลมเย็นเห็นสบาย | กับเจ้าพลายชายชุมพลผู้น้องยา |
ชุมพลหยิบกระดานคลานมาพลัน | เล่นหมากรุกพนันกันฤๅขา |
แพ้พี่ไวยฉันจะให้ถอนขนตา | ถ้าหากพี่แพ้ข้าจะว่าไร |
พระไวยว่าถ้าพี่นี้แพ้เจ้า | จะให้เขาทำขนมมาเสียให้ |
ขนมเบื้องแผ่นน้อยน้อยอร่อยใจ | ว่าแล้วสั่งไปในทันที |
สร้อยฟ้าศรีมาลาว่าเจ้าคะ | ตั้งกะทะก่อไฟอยู่อึงมี่ |
ต่อยไข่ใส่น้ำตาลที่หวานดี | แป้งมีเอามาปรุงกุ้งสับไป |
ศรีมาลาละเลงแผ่นบางบาง | แซะใส่จานวางออกไปให้ |
สร้อยฟ้าไม่สันทัดอึดอัดใจ | ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาสิ้นที |
พลายชุมพลจึงว่าพี่สร้อยฟ้า | ทำขนมเบื้องหนาเหมือนแป้งจี่ |
พระไวยตอบว่าหนาหนาดี | ทองประศรีว่ากูไม่เคยพบ |
ลาวทำขนมเบื้องผิดเมืองไทย | แผ่นผ้อยมันกะไรดังต้มกบ |
แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ | พลายชุมพลดิ้นหรบหัวร่อไป |
ฝ่ายนางศรีมาลาชายตาดู | ทั้งข้าไทยิ้มอยู่ไม่นิ่งได้ |
อีไหมร้องว้ายข้อยอายใจ | ลืมไปคิดว่าทำขนมครก |
ชุมพลร้องแซ่แก้ไม่รู้สิ้น | นานไปก็จะปลิ้นเป็นห่อหมก |
สร้อยฟ้าตัวสั่นอยู่งันงก | หกแป้งต่อยกะทะผละเข้าเรือน |
ทองประศรีร้องว่าอีห่าลาว | ทำฉาวเจียวอีหมาขี้เรื้อนเปื้อน |
เทแป้งแกล้งให้เปรอะเลอะทั้งเรือน | กะทะกะท่อยต่อยเกลื่อนลาวจัญไร |
นางสร้อยฟ้าได้ยินท่านย่าด่า | ขัดใจแทบน้ำตาจะเล็ดไหล |
ศรีมาลาเลิกเตาเข้าข้างใน | ชุมพลไปเรือนย่ามิได้ช้า ฯ |
๏ พอค่ำลงลมรวยมาชวยชื่น | เริงรื่นจิตรพระไวยให้หวนหา |
เดือนสว่างกระจ่างลิ่วปลิวเมฆา | คิดถึงศรีมาลาละลานใจ |
หอมดอกพุทธชาดสะอาดกลิ่น | ใส่กระถางวางประทิ่นสดไสว |
วาบหวามทรวงซาบอาบอาลัย | เดินไปเข้าห้องศรีมาลา |
นั่งแนบแอบน้องประคองนวล | ยียวนด้วยความเสนหา |
แสงประทีปส่องสว่างกระจ่างตา | ชวาลาดับเสียชวนเมียนอน |
ศรีมาลาจึงว่าช่างน่าอาย | ผู้คนทั้งหลายยังตื่นว่อน |
พระไวยปลอบว่าเจ้าอย่างอน | ความรักพี่นี้ร้อนดังไฟเรือง |
ศรีมาลาว่าชะช่างร้อนจิตร | พระอาทิตย์ยังไม่ลับดับแสงเหลือง |
เด็กเด็กมันยังตื่นครื้นทั้งเมือง | ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร ฯ |
๏ ฝ่ายสร้อยฟ้าแว่วว่าขนมเบื้อง | ให้แค้นเคืองปวดปอดตลอดไส้ |
วับดังดินประสิวปลิวถูกไฟ | เข้าใจว่าศรีมาลานินทาตัว |
จึงร้องไปว่านางช่างขนมเบื้อง | ช่างยกเรื่องอวดหม่อมเจ้าจอมผัว |
หม่อมนางช่างละเลงข้าเกรงกลัว | เมื่อหยุดแล้วยังยั่วกันไปเจียว |
อุแม่เอ๋ยข้าไม่เคยบำรุงรส | มันจึงเปรอะเลอะหมดไม่มันเขี้ยว |
แซะม้วนเท่าแขนได้แผ่นเดียว | ผัวจึงไม่กระเสียวกระซิกเลย ฯ |
๏ ศรีมาลาว่าโอ้พุทโธ่เจ้า | มาโดนเอาเปล่าเปล่าเจ้าแม่เอ๋ย |
ที่เคยคันมันก็คันไปตามเคย | สัญชาติเตยถึงจะงามก็หนามมี |
เกิดกอเป็นตออยู่ริมคลอง | เรือขึ้นเรือล่องต้องเสียดสี |
อนิจจาข้าได้ว่าอะไรมี | ไม่พอที่หุนหันจะคั้นคอ |
เขาก็รู้อยู่ว่าต่อมันรานไฟ | ข้าไม่พอใจไปที่รังต่อ |
ทั้งคารี้คารมเขาชมปรอ | เหมือนตอออกมาขวางที่ทางเรือ |
เป็นตระพังวังวนก้นกะทะ | สวะสะว่อยลอยปะออกฟั่นเฝือ |
เที่ยวแทรกไปทุกทางอย่างดีเกลือ | ข้านี้เบื่อพูดมากน้ำหมากพรู ฯ |
๏ จริงคะข้าแหละมันเตยหนาม | ใครพายเรือซุ่มซ่ามสำหรับถู |
สมน้ำหน้าที่ตาไม่แลดู | หูเหียงเพียงจะแตกแหกกระจาย |
จริงแล้วข้าดีเกลือเจือทุกขนาน | ถึงท้องยุ้งพุงมานก็รู้หาย |
ถ้าไม่แทรกสักนิดจะปิดตาย | ไข้หนักก็คลายเพราะดีเกลือ |
ตำราข้าไม่ถึงขี้ผึ้งฝรั่ง | ที่เปื่อยพังน้ำฝาดแลดีเหลือ |
เข้าลูกเบญกานีสีเสียดเจือ | เรียกเนื้อให้ชิดติดกระชับ |
ถึงจะเป็นปรวดปวดอยู่ใน | ก็ดูดสำรอกออกได้จนในตับ |
หนองไหน่ไหลคันเป็นมันยับ | ถ้ากระชับแล้วก็แน่นดังแผ่นดิน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมพระหมื่นไวย | ฟังตอบชอบใจหัวเราะดิ้น |
เออเอาให้ระงมเพราะขนมกิน | จนสุดสิ้นถึงลูกเบญกานี |
ตำราหมอฝรั่งชั่งสัปดน | ของเขาฝนไว้ทาเป็นยาฝี |
ถ้าแลแผลพุพองเป็นหนองดี | ฤๅจะลองดูสักทีเจ้าสร้อยฟ้า |
สร้อยฟ้าร้องเย่อเออหม่อมไวย | ข้อยบ่ฮู้จักใส่อีสังว่า |
บาดแผลข้อยนี้บมีมา | บ่อยากเรียนตำราไม่ต้องการ |
แม้นหม่อมพุพองเป็นหนองใน | เอายาศรีมาลาใส่จะหายจ้าน |
ยาของเขาดีดีมีมานาน | ข้อยนี้ย่านหนักหนาตำราไทย ฯ |
๏ ครานั้นท่านยายทองประศรี | ได้ยินเสียงอึงมี่ไม่นิ่งได้ |
แกเปิดหน้าต่างมองร้องว่าไป | ตำรายาอะไรออสร้อยฟ้า |
เหวยลาวเลยลาวไปแล้วเหวย | แง่งอนกะไรเลยเป็นหนักหนา |
ซอกซอนรู้สิ้นอีลิ้นลังกา | หยูกยาข้างไหนกูไม่เคย |
คนฟังเขานั่งอยู่ตาโหล | ยิ่งกว่ากรับเจ้าโตเสียอิกเหวย |
ผัวก็นั่งฟังได้กะไรเลย | เฉยเมยจริงจริงช่างนิ่งมิ |
อย่าเป็นจมื่นไวยเลยหลานเอ๋ย | ไปไสเคยแม่กลองร้องขายกะปิ |
ช่างไม่อายเพื่อนบ้านอ้ายซานซิ | ริมีเมียสองอ้ายหนองกรม ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังย่าชักหน้าม่อย | ว่าคุณย่าละก็คอยพลอยประสม |
คนนั้นว่าคนนี้ว่ามาระดม | ลมพัดไม่มีไปข้างไหนเลย |
น้ำไหลไยไม่ไหลไปที่ลุ่ม | ช่างไหลชุ่มไปบนเขาเจ้าแม่เอ๋ย |
ท่านย่าว่าเหม่มาเปรียบเปรย | เหวยอีลาวปากคอมันหนักนัก |
ก็เพราะมึงอึงฉาวอีลาวโลน | ร้องตะโกนก้องบ้านอีคานหัก |
อีเจ็ดร้อยหมาเบื่อมันเหลือรัก | ทำฮึกฮักมี่ฉาวอีลาวดอน |
สร้อยฟ้าได้ฟังท่านย่าด่า | ม้วนหน้าล้มทับลงกับหมอน |
ทองประศรีร้องแปร้นอีแสนงอน | ด่าเหนื่อยแล้วก็นอนกรนโครกไป ฯ |
๏ ครั้นอรุณรุ่งรางกระจ่างภพ | แจ้งจบทั่วทวีปน้อยใหญ่ |
พระอาทิตย์เร่งรถมาไรไร | สกุณไก่กู่ก้องตะโกนกัน |
กระจิบกระจาบจอแจแกกา | บินถลาร่าร้องก้องสนั่น |
ศรีมาลาตื่นตาล้างหน้าพลัน | แล้วจัดสรรของไว้ให้สามี |
ตั้งขันล้างหน้าไว้ท่าผัว | เครื่องแป้งแต่งตัวกระจกหวี |
ทั้งพานผ้านุ่งผลัดจัดดิบดี | แล้วลุกรี่ออกมาเรียกข้าไท |
สายสว่างตื่นบ้างเถิดเด็กเอ๋ย | กะไรเลยช่างนอนนิ่งเสียได้ |
บ่าวลุกล้างหน้ามาทันใด | เข้าครัวไฟข้าวปลาหาครันครบ |
อีเม้ยลุกขึ้นมองร้องตามนาย | เฮ้ยมึงอย่านอนสายจะถูกตบ |
ศรีมาลาว่าไฮ้อีบัดซบ | ไม่เคยพบเป็นบ่าวเอาอย่างนาย |
พระไวยฟื้นตื่นลุกจากเตียงพลัน | จับขันล้างหน้าให้ฝ้าหาย |
หวีหัวทาแป้งแล้วแต่งกาย | เยื้องกรายออกมาข้างหน้าเรือน |
สำรับตั้งนั่งลงกินอาหาร | สาวใช้หมอบคลานอยู่กลาดเกลื่อน |
ศรีมาลาใช้สอยคอยตักเตือน | เจ้าสร้อยฟ้าหน้าเฝื่อนไม่พูดจา |
ครั้นถึงเวลาเช้าจะเข้าวัง | พระไวยก็สั่งให้หยิบผ้า |
ผลัดผ้านุ่งพลันมิทันช้า | แล้วออกจากบ้านมายังวังใน |
บ่าวไพร่เดินตามหลามถนน | ผู้คนหลีกเลี่ยงอยู่ขวักไขว่ |
ด้วยยำเยงเกรงบุญพระหมื่นไวย | จนเข้าในพระที่นั่งจักรพรรดิ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระจักรกฤษณ์วิษณุวงศ์ | ผู้ดำรงอยุธเยศเกศกษัตริย์ |
ครั้นแสงทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ | กระจ่างจัดทั่วหล้าสุธาธาร |
เสด็จออกสู่ท้องพระโรงมาศ | ดังเทวราชในทิพพิมานสถาน |
พร้อมด้วยเทพกัญญาสุดามาลย์ | ให้ชักม่านไขกว้างกระจ่างองค์ |
เสด็จนั่งยังแท่นมณีรัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรลอยระหง |
สังข์แตรแซ่ซ้องทั้งฆ้องวง | ซอส่งประสานเสียงเสนาะใน |
ขุนนางต่างประนมบังคมกราบ | หมอบราบคอยรับสั่งสนองไข |
พระจึงมีสีหนาทประภาษไป | ว่ากะไรจีนทองร้องฎีกา ฯ |
๏ พระยารักษ์รับสั่งทูลสนอง | ขอเดชะจีนทองให้การว่า |
เดิมได้สู่ขอต่อมารดา | ยกให้แล้วก็พาไปเรือนชาน |
จีนทองเข้าหาเป็นห้าครั้ง | อำแดงสังไม่ยอมทำหักหาญ |
ครั้นเข้าปล้ำร่ำว่าด่าประจาน | อายกับเพื่อนบ้านเป็นพ้นคิด |
จึงเข้ามาฟ้องร้องฎีกา | ให้ปรึกษาให้เห็นชอบแลผิด |
ถึงไม่สัจขอถวายซึ่งชีวิต | ขอพระองค์ทรงฤทธิได้เมตตา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบทรงพระสรวลสำรวลร่า |
เจ๊กอัปรีย์สิ้นที่จะเจรจา | แต่เมียด่าก็มาฟ้องไม่ต้องการ |
ฤๅเมืองจีนมันจะร้องฟ้องกันได้ | ถองส่งออกไปเสียจากศาล |
แล้วดำรัสถามทั่วถึงรั้วงาน | ไม่กริ้วกราดราชการสิ่งอันใด |
ครั้นเสร็จพระเสด็จลีลา | จากพระโรงรัตนาอันผ่องใส |
คืนเข้าพระที่นั่งข้างฝ่ายใน | สำราญราชหฤทัยพระภูมี ฯ |
๏ ฝ่ายว่าเจ้าพระยาพระหลวง | ทุกกระทรวงต่างลุกมาเร็วรี่ |
บ้างไปนั่งโรงศาลงานธานี | ที่ใครว่างหน้าที่ก็กลับมา |
ฝ่ายว่าพระไวยวรนาถ | เสร็จราชการพลันก็หรรษา |
ออกจากวังในแล้วไคลคลา | ตรงมาเคหาด้วยทันใด ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า | เมื่อสุริยาแจ่มแจ้งกระจ่างไข |
ตื่นนอนร้อนจิตรคิดเคืองใจ | ดังฟืนไฟสุมอกสักหกกอง |
พลุ่งพล่านดาลเดือดไม่เหือดหาย | เหมือนเสือร้ายรังควานจับขยับจ้อง |
คอยเวลาตาลอดสอดเมียงมอง | ตามช่องเห็นพระไวยไปจากเรือน |
นางลงเท้าผึงผึงถึงนอกชาน | ส่งเสียงฉานเรียกข้าด่าเลื่อนเปื้อน |
ช่างมุดหัวอยู่ในห้องต้องให้เตือน | อีไหมเชือนอยู่ไหนจึงไม่มา |
แต่หัวค่ำร่ำกกไปจนสาย | ไม่มีอายสอพลอยอตัณหา |
มันน่าสับให้ระยำดังทำปลา | ช่างลอยหน้าเล่นทรงเป็นหงส์รำ |
ลุกบ้างก็เป็นไรที่ในเรือน | เมื่อคืนนี้ขันเชื่อนออกหกคว่ำ |
ถาดโถโอแตกแหลกระยำ | แมวดำที่ไหนไล่กัดกัน |
เฝืองฝาหลังคาก็ยับป่น | จากหล่นกลอนเลื่อนสะเทือนลั่น |
ช่างนอนนิ่งเสียได้ไม่ไล่มัน | อ้ายสีจันทน์ม้าลาก็ปล่อยไว้ |
มันไล่กันรันวิ่งมาโดนเสา | เรือนเหย้าแทบจะพังกระทั่งไหว |
พรึงรอดออดอ่อนกระฉ่อนไป | น้ำท่าโอ่งไหไหวโครมครืน |
สายตามึงไม่ดูหูไม่ฟัง | อีสองชั่งนั่งเคล้าเฝ้าสะอื้น |
ยามโปรดดังจะโลดขึ้นทั้งยืน | พวกอีตื่นตัณหาตาเป็นมัน ฯ |
๏ อีไหมฟังนายด่ากระทบ | ช่วยประจบเหน็บแนมแกมขยัน |
ลิ้นลมประสมว่าสารพัน | ฉันนอนฝันมัวสบายจึงสายไป |
ฝันว่าพระราหูดูเท่าแขน | ฉวยพระจันทร์รันแง้นอมไว้ได้ |
ลืมตาดูก็ไม่รู้ว่าอะไร | ลุกโพลงราวกับไต้เสม็ดตาม |
จนหม่อมเรียกหาผวาตื่น | ยังสะอื้นด้วยสงสารจันทร์อร่าม |
จะขี้คายอย่างไรไม่แจ้งความ | ฤๅจะปามไปจนค่ำทำท่วงที ฯ |
๏ อีเม้ยรับได้ฟังคำอีไหม | ร้อนอกราวกับไฟเข้าจุดจี้ |
พลอยเจ็บด้วยกับนายอายสิ้นที | ช่างกาลีค่อนว่าสารพัน |
จึงร้องว่าฮ้าเฮ้ยเหวยอีไหม | พระราหูที่ไหนเท่าแขนนั่น |
นายด่าข้าพลอยประสมกัน | ฝันอะไรกลางวันไม่เคยพบ ฯ |
๏ ศรีมาลาร้องเฮ้ยนางเม้ยรับ | มิใช่การวานอย่างับจับประจบ |
ทำปากกล้าร่าร้องก้องกระทบ | สั่นหรบไปเจียวเจ้าเสาโพงพาง |
จะด่าว่าสักเท่าไรทำไมเขา | การของเจ้าฤๅจึงร่าเข้ามาขวาง |
อีส่ำสามราวกับหนามเที่ยวสะทาง | มิใช่การวานอย่าขวางให้เกิดความ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังเรื่องให้เคืองขุ่น | เตือนกระตุ้นใจเจ็บดังเหน็บหนาม |
ลุกออกมาจากห้องร้องคำราม | ข้าแหละหนามสะรั้วตัวโปรดปราน |
อย่าว่าไปเลยเจ้าเขาก็เห็น | สั่นรัวเป็นตัวเต้นเจนจัดจ้าน |
จะว่าไรขึ้นไม่ได้เที่ยวไล่พาล | เสาวิหารก็ไม่แน่นแม้นเสานาง |
ข้าคางคกตกบ่อลงร่อน้ำ | ทิ่มตำเอาเถิดเจ้าไม่ขัดขวาง |
ยามคล่องก็จงล่องไปพลางพลาง | เชิญครองปรางผัดหน้าให้นวลลอย |
จริงแล้วเจ้านี่แลเสาโพงพางปัก | จะเยื้องยักก็ไม่พ้นจึงโดนบ่อย |
ช่างชะอ้อนวอนร่ำทำสำออย | จึงปรอดปร้อยไม่รู้แห้งจุ๊บแจงเอย ฯ |
๏ ศรีมาลานิ่งนั่งได้ฟังคำ | ดูฤๅกรรมมาตามเอาเฉยเฉย |
ว่าข้างนี้ไม่พอที่จะเป็นเลย | เมื่อเจ้าเคยแล้วก็ทำไปตามที |
อนิจจาข้าได้ว่าไรสักหน่อย | มาคอยพาลเอาผิดไม่พอที่ |
จริงละทั่นข้ามันสั่นแต่วานนี้ | ถ้าไม่แก้เสียสักทีไม่หายคัน |
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดใส่ | เลือกเล่นตามใจทำไมนั่น |
หม่อมมาก็มาคร่าเอาตัวทัน | ไปแก้คันไว้ในห้องสักสองคืน |
เกิดเหตุเพราะขนมเมื่อเย็นวาน | จึงพลุ่งพล่านอึกทึกจนดึกดื่น |
ม้าลาว้าวุ่นจนดุ้นฟืน | น้ำน้อยพลอยเป็นคลื่นช่างยืนยัด |
เออใจของใครจะไม่เจ็บ | ช่างแนมเหน็บด่าว่านี่สาหัส |
ยิ่งนิ่งก็ยิ่งว่าสารพัด | นี่จะซัดเสียให้หมดเจียวฤๅเรา |
ทำไมไม่เป็นเจ้าขึ้นในบ้าน | ใครขัดสนจะได้คลานมาพึ่งเจ้า |
อย่าเพ่อเหยียบเสียให้ยับจนสับเงา | มิได้ตีเมืองเรามาเป็นน้อย ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังให้คลั่งจิตร | ดังเอากฤชมาตำที่คอหอย |
เหมือนไฟลุกฟืนซุกเสือกตะบอย | ครั้นเอาฝอยเข้ามาปามก็ลามโพลง |
ตบมือยักคอหัวร่อร่า | หลกผ้าเกาก้นกระโดดโหยง |
ตัวสั่นเทาเทาก้าวตะโกรง | ขึ้นเสียงโผงชี้หน้าร้องว่าไป |
เฮ้ยข้านี้แลมันสั่นทั้งตัว | หม่อมผัวจึงไม่พรากจากห้องได้ |
ข้าไม่ฉุดเธอให้หลุดมาทำไม | จงกำกุมเอาไว้ให้ได้คราว |
จริงอยู่คะข้ามันเชลยเมือง | อย่ายกเรื่องเลยเขาฦๅออกอื้อฉาว |
พอกองทัพไปถึงอึงเกรียวกราว | ค่ำลงเขาจับฉาวที่ในเรือน |
ทัพกลับก็จับเชลยซ้ำ | ช่างปิดงำความร้ายให้หายเงื่อน |
สงวนพรหมจารีมิต้องเตือน | พอดึกหน่อยก็ค่อยเคลื่อนเข้าไปเอง ฯ |
๏ ศรีมาลาได้ฟังให้คลั่งใจ | ดังเอาไม้มาต่อยสักร้อยเผง |
ช่างลอยหน้าว่าเล่นออกครื้นเครง | ขึ้นกูขึ้นเอ็งไม่เกรงใจ |
ปากบอนค่อนขอดลอดนินทา | ตบหนาตบมึงเสียให้ได้ |
เมื่อผัวจะไม่เลี้ยงก็แล้วไป | จะเฆี่ยนตีสักเท่าไรก็ตามบุญ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าโผงผางวางเข้ามา | ชักผ้าคาดนมกระโจมมุ่น |
ชุมพลวิ่งเข้ายุดแล้วฉุดรุน | สร้อยฟ้าผลักหมุนตกล่องลง |
พลายชุมพลชักขาทำหน้าซีด | ศรีมาลาร้องกรีดหวีดเสียงหลง |
ทองประศรีวิ่งถลันมางันงง | แกด่าส่งวุ่นวายตายแล้วกู |
เข้ามาใกล้ไต่ถามศรีมาลา | ขามันหักฤๅหวาหาอ้ายหนู |
พลายชุมพลร้องไห้เลือดไหลพรู | สร้อยฟ้ายืนอยู่ไม่พูดจา |
ทองประศรีชี้หน้าแกด่าโผง | อีตายโหงข่มเหงกูหนักหนา |
ทำหลานกูด้วยดังช่วยมา | ยังลอยหน้าหัวร่อคอเป็นเอ็น |
ดูราวกับตำแยเที่ยวแหย่เพื่อน | ด่าเปื้อนไปทีเดียวเที่ยวเคี่ยวเข็ญ |
ยกหัวเป็นกิ้งก่าอีหน้าเป็น | เต้นเจ้าเซ็นมาแต่วานจนปานนี้ |
ราวกับช้างงาบ้าน้ำมัน | เสยกำแพงแทงตะบันจนป่นปี้ |
งาหักงวงยับจนอัปรีย์ | อีกาลีกูจะตบให้ซบไป ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังคุณย่าด่า | โมโหโกรธาหาเหือดไม่ |
คันปากอยากจะว่าให้สาใจ | บ่นพิไรร่ำว่าน้ำตานอง |
จริงคะข้านี้ช้างน้ำมัน | ช่วยกันด่าเล่นเถิดคล่องคล่อง |
หัวเดียวไม่มีทั้งพี่น้อง | ทุบถองเล่นให้สบายใจ |
หลานทั่นวิ่งพันมายุดมือ | ชักยื้อฉุดคร่าไม่ปราศรัย |
เมื่อตกล่องแล้วจะร้องเอากับใคร | ฤๅข้าวานข้าไหว้ให้วิ่งมา ฯ |
๏ ทองประศรีด่าฉาวอีลาวดง | มาแผดส่งเสียงร้องเอาจ้าจ้า |
ผลักเด็กจนกระเด็นเห็นแก่ตา | เป็นหนึ่งว่ากูแกล้งพาโลเอา |
มึงเอ๋ยมึงถึงดีเสียจริงจริง | เต้นเหยงเป็นเพลงฉิ่งไปเจียวเจ้า |
ดังคนทรงผีลงอยู่เทาเทา | นี่พ่อหลวงฤๅเข้าเจ้าปากคลอง ฯ |
๏ พอพระไวยเข้าไปถึงในบ้าน | เสียงฉานทะเลาะกันสนั่นก้อง |
ได้ยินเสียงสร้อยฟ้าออกร่าร้อง | ย่างเท้าก้าวย่องถึงหอกลาง |
สร้อยฟ้ามัวเถียงกับท่านย่า | เหลียวมาค้างปากกระดากขวาง |
ความกลัวตัวผิดคิดระคาง | แข็งกระด้างไปทั้งกายก็คลายฤทธิ |
พระไวยยืนเพ่งเขม็งตา | แลดูสร้อยฟ้าให้กลุ้มจิตร |
ยิ่งกลั้นยิ่งแค้นดังเพลิงพิษ | ยิ่งคิดยิ่งเคืองกระเดื่องใจ |
ถามคุณย่าว่านี่ทำไมกัน | เสียงสนั่นไปทั้งเรือนสะเทือนไหว |
เดิมทีวิวาทกันอย่างไร | ตัวใครก่อเกิดเป็นโกลี ฯ |
๏ ท่านย่าร้องเบื่อกูเหลือเล่า | เจ้าเข้ามันออกแล้วฤๅนี่ |
เต้นหยอยลอยหน้าท่ามันดี | ถ้าเอ็งมาเป่าปี่กูจะตีโทน |
มันเต้นผึงตึงตังดังสนั่น | ราวกับตาบุญจันแกออกโขน |
ใครใครไม่ละปะเป็นโดน | เป็นเรือโกลนออกขวางอยู่กลางคลอง |
เดิมทีวิวาทกับศรีมาลา | มันวิ่งร่ามาจนถึงประตูห้อง |
ชุมพลห้ามมันปามเอาจนร้อง | ตกล่องลงไปคาขาระยำ |
เป็นเหตุพระไชยเชษฐ์อยากขนม | สุวิญชาตากลมจึงด่าพร่ำ |
กูก้อยพลอยสับยับระยำ | มันทิ่มตำเต้นออกมานอกชาน |
เดิมว่ากะไรกันไม่ทันรู้ | ถามศรีมาลาดูเถิดนะหลาน |
ของเอ็งมันเหลือเบื่อรำคาญ | นานไปเอ็งอ้อยก็เหมือนกัน ฯ |
๏ พระไวยถามพลันมิทันช้า | เดิมทีศรีมาลาอย่างไรนั่น |
จึงฉาวไปทั้งเรือนเลื่อนเปื้อนครัน | ทะเลาะกันเรื่องราวเป็นอย่างไร |
ใจคอกะไรหนอช่างไม่คิด | ความอายสักนิดหามีไม่ |
ครั้นไม่ว่าชะล่าชะเลยใจ | ใครผิดก็จะได้ดูสักที ฯ |
๏ ศรีมาลาบอกความที่ถามไถ่ | พอหม่อมลงเรือนไปก็อึงมี่ |
ออกจากห้องร้องด่าเป็นโกลี | ฉันนี้ยังนั่งอยู่ในเรือน |
สารพัดที่จะว่าด่าประจาน | เหลือจะทานทนได้ไม่มีเหมือน |
แมวหมาด่าเปรอะออกเลอะเลือน | ว่าเชี่ยนขันตกเกลื่อนแตกทำลาย |
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดให้ | เสือกซ้ำตำใส่เอาง่ายง่าย |
อีข้าก็พลอยระดมประสมนาย | จันทร์อังคาธพาดปรายป่ายประชด |
ว่าไปทัพจับเชลยในเรือนนอน | ขอดค่อนแคะประจานทุกอย่างหมด |
เห็นหม่อมมาจึงราหยุดพยศ | เหลือจะอดอยู่แล้วคารมนาง ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังความดังหนามยอก | ชะหม่อมเมียช่างบอกเล่นต่างต่าง |
จริงแล้วทั่นฉันนี้มันจืดจาง | ได้ทีนางแล้วก็ว่าให้สาใจ |
ตัวข้าหัวเดียวกระเทียมเน่า | ทีว่าเราใครหาได้ยินไม่ |
ช่วยกันถมให้จมทุกด้านไป | ครั้นเถียงบ้างก็จะไล่เข้าตบตี |
เป็นข้าว่าอีไหมที่ในเรือน | ช่างกระเทือนถึงได้ไม่พอที่ |
เคราะห์ร้ายหมอทายมากว่าปี | อยู่ดีดีก็มาโดนเอาโดยเดา ฯ |
๏ อุเหม่อุแหม่อีแสนงอน | ช่างมาร่อนเสียงร้องออกเร่าเร่า |
เขาถามกันก็ถลันเข้ารับเอา | กูรู้เท่ามึงอยู่สิ้นทุกสิ่งอัน |
แต่ต่อหน้ายังกล้ามาขึ้นเสียง | ลับหลังใครจะเถียงได้ฤๅนั่น |
อีแสนงอนค่อนว่าสารพัน | ใครจะทันมึงเล่าเจ้ามารยา |
แต่เด็กห้ามก็ยังปามเอาจนเจ็บ | แนมเหน็บเอาผู้ใหญ่ไม่คิดหน้า |
ใจคอเหี้ยมโหดโฉดปัญญา | ปากกล้าด่าคนไม่เกรงใจ |
ศรีมาลาช่วยมากี่ตำลึง | กูมึงชี้หน้าว่าเล่นได้ |
มันเหลือเลี้ยงจะเลี้ยงเอาไว้ไย | ฉวยกระชากไม้ได้ไล่ตีมา |
ขวับขวับยับตลอดไปทั้งหลัง | ลายกระทั่งทั่วตัวตลอดบ่า |
สร้อยฟ้ากลัวเต็มทีวิ่งหนีมา | ประทานโทษเมียราแต่ครั้งเดียว |
ศรีมาลาสงสารก็สิ้นแค้น | วิ่งแล่นเข้ายุดฉุดไม้เหนี่ยว |
หม่อมตีนี่กะไรเป็นริ้วเรียว | สร้อยฟ้าตลบเลี้ยวเข้าเรือนใน |
ปิดประตูใส่กลอนด้วยความกลัว | กลิ้งเกลือกเสือกตัวลงร้องไห้ |
เจ็บระบมตรมทั่วทั้งตัวไป | นางพิไรร่ำพลางเพียงวางวาย ฯ |
๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวกูเอ๋ย | ไม่คิดเลยเมื่อพ่อพามาถวาย |
จะถูกทั้งตีด่าประดาตาย | แสนอายสุดอย่างแล้วครั้งนี้ |
พ่อแม่อยู่ไกลไม่เหลียวเห็น | จะได้ใครผ่อนเข็ญให้กูนี่ |
จะพึ่งผัวดังเอาตัวทุ่มอัคคี | เขาขยี้เหยียบยับดังสับปลา |
โอ้พ่อร่มโพธิทองของน้องแก้ว | ร่มแล้วหล่นแดดออกแผดจ้า |
กิ่งก้านเขารานเสียโรยรา | ยังแต่ฆ่าตายเปล่าเจ้าประคุณ |
เมื่อแรกเห็นจะเป็นจิรังกาล | มิรู้พาลพวกพกกระเชอนุ่น |
โอ้ชีวิตเห็นจะปลิดลงเป็นจุณ | จะสิ้นบุญปลดปลงลงม้วยมุด |
เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเลไหล | จะว่ายไปพึ่งพิงตลิ่งสุด |
จะพึ่งตอตอหลักก็หักทรุด | จะต้องมุดตัวเร้นเป็นเรือดไร |
โอ้พ่อตราชูทองของน้องเอ๋ย | กะไรเลยเอนเอียงหาเที่ยงไม่ |
ยามร้อนเมียจะผ่อนไปพึ่งใคร | ทั้งญาติวงศ์อยู่ไกลกันต่างเมือง |
ทำไฉนจะให้รู้ไปถึงบ้าง | เห็นสิ้นอย่างสุดหล้าฟ้าเหลือง |
ครั้งนี้เห็นทีจะฝืดเคือง | ใครเลยจะกระเตื้องให้คืนตรง |
มีแต่พวกพาลาพากันซ้ำ | เห็นจะจมมันก็ตำแล้วค้ำส่ง |
กระเดือกดิ้นกว่าจะสิ้นชีวิตลง | อันจะคงคืนรอดเห็นเต็มที |
๏ ดังเพชรนิลบิ่นหลุดออกจากเรือน | ทลายแหลกแตกเปื้อนลงป่นปี้ |
จะมืดคล้ำดำไปไม่มีดี | สักกี่ปีจะได้คืนขึ้นเรือนรอง |
คะนึงครวญป่วนจิตรคิดระคาย | ไม่เหือดหายหันหุนยิ่งขุ่นหมอง |
ให้คิดแค้นศรีมาลาน้ำตานอง | แต่ตรึกตรองตรอมใจไม่ไสยา |
พอดึกนึกได้ในทันที | ขรัวครูของเรามีดีหนักหนา |
นานแล้วมิได้จะไปมา | จะยังอยู่ฤๅว่าเที่ยวเชือนแช |
จำจะเสาะแสวงให้แจ้งความ | ว่าไปอยู่อารามแห่งไหนแน่ |
ได้เถรขวาดเป็นสมอารมณ์แท้ | ถ้าพบแกครั้งนี้มิเป็นไร |
คะนึงครวญจนจวนเข้ายามสาม | ให้วาบหวามจิตรปลงภวงค์ไหว |
มือซ้ายก่ายหน้าตรึกตราไป | จนหลับใหลสิ้นสมปฤดี ฯ |
๏ ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างฟ้า | พระสุริยาแจ่มจำรัสรัศมี |
เจ้าสร้อยฟ้าตื่นพลันทันที | ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา |
กลุ้มกลัดขัดแค้นให้เคืองใจ | ด้วยพระไวยผัวรักเป็นหนักหนา |
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา | มันยุยงเจียนฆ่าให้ม้วยมุด |
แค้นคำที่สน่ำเสนอผัว | ยกเนื้อยอตัวเป็นที่สุด |
ถ้านิ่งให้คงกระหน่ำซ้ำจนทรุด | เอาจนหลุดลอยลิ่วปลิวตามลม |
กูก็ชาติเรือกุไลใบสลัด | ถึงลมพัดก็คงเรียดเสียดประสม |
จะฝ่าฝืนคลื่นไว้มิให้จม | ถึงใบบ้อยจะระทมก็ตามที |
เต็มจนก็จะทนลงทอดสู้ | เมื่อจะอยู่ฤๅมิอยู่ให้รู้ที่ |
จำจะหาต้นหนที่คนดี | มาช่วยชี้ทิศให้ในสายชล |
เถรขวาดเธอฉลาดล้ำมนุษย์ | พอจะยุดเหนี่ยวเถรเป็นต้นหน |
มันทำแค้นกูก่อนให้ร้อนรน | จะแก้แค้นแทนทนในครั้งนี้ |
คิดแล้วจึงเรียกอีไหมเหวย | อย่าช้าเลยออเจ้าเข้ามานี่ |
กูเจ็บช้ำนี่กะไรใช่พอดี | ฤๅจะโจทเจ้าหนีก็ตามใจ |
นี่เจ้าคิดอย่างไรในใจเจ้า | เห็นว่าเราเสียทีฤๅอีไหม |
จะเป็นพวกศรีมาลาฤๅว่าไร | จงบอกไปจริงจริงอย่านิ่งฟัง ฯ |
๏ อีไหมฟังว่าน้ำตาย้อย | ข้าน้อยก็เป็นข้ามาแต่หลัง |
พระแม่เจ้าเลี้ยงไว้ที่ในวัง | ตั้งแต่แม่ยังเป็นข้าไท |
เจ้ายากจากเวียงเชียงใหม่มา | ยังอุตส่าห์สู้ยากหาจากไม่ |
มาเห็นเขาข่มเหงไม่เกรงใจ | ลูกนี้ไม่วายแค้นสักเวลา |
ถ้าวานนี้ช่วยได้ก็ไม่ฟัง | จะเฆี่ยนหลังเสียให้ตายก็ไม่ว่า |
แม่จะคิดฉันใดในปัญญา | แก้แค้นศรีมาลาให้แหลกลง ฯ |
๏ ข้าคิดแล้วนางไหมอย่าได้พรั่น | ขยี้มันให้เป็นแป้งระแนงผง |
ครูเราเจ้าหัวนี้ตัวยง | เพียงดังองค์ปู่เจ้าสมิงพราย |
แม้นว่าใครดีผีก็อยู่ | สู่ใครให้พบก็พบง่าย |
ให้เป็นก็เป็นสะดวกดาย | ถ้าให้ตายก็ตายลงทันตา |
ชำนิชำนาญการเสน่ห์ก็ถนัด | เอ็งเร่งรัดเร็วรีบออกไปหา |
เล่าความตามเข็ญที่เป็นมา | แม้นเถรขวาดนับหน้าอย่านอนใจ |
จงเห็นแก่พระปิ่นเชียงอินท์นั้น | ผ่อนผันแก้แค้นให้จงได้ |
จะให้ทองห้าตำลึงให้ถึงใจ | ตัวเอ็งก็จะให้ถึงส่วนกัน ฯ |
๏ อีไหมว่าไฮ้อย่าว่าเจ้า | ข้อยบ่เอาสินจ้างเป็นอย่างซั่น |
จริงแล้วเจ้าหัวตัวสำคัญ | ตัวของฉันจะลาไม่ช้าที |
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า | วันทาลุกออกไปจากที่ |
ลูบตัวหัวใส่น้ำมันตะนี | ห่มสีนกกาลิงดูพริ้งเพรา |
ผ้านุ่งพุ่งไหมตาตาราง | สอดซับในบางชมพูเข้า |
ส้มสูกเลือกสรรแต่กลั่นเกลา | กินข้าวเช้าอิ่มพลันก็ครรไล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเถรขวาดราชครู | แต่เดิมอยู่วัดเวียงที่เชียงใหม่ |
รู้วิชาสารพัดจัดเจนใจ | ทั้งเวียงชัยขึ้นชื่อระบือฤทธิ |
เมื่อทัพไทยไปประชิดติดเชียงใหม่ | ไปอยู่ป่าหาเหล็กไหลกายสิทธิ |
พอรู้จะมาสู้ปัจจามิตร | ไม่สมคิดเพราะไทยได้พารา |
เจ้าเชียงใหม่ให้สัตย์เสียเสร็จสิ้น | เถรเสียดายดังจะดิ้นดับสังขาร์ |
ครั้นเมื่อต้อนลาวลงอยุธยา | เจ้าเชียงใหม่ให้มาเป็นเพื่อนตน |
ด้วยเชื่อถือความรู้พระครูเถ้า | ไว้ปัดเป่าแก้ววิบัติเมื่อขัดสน |
เอากำลังอุปเท่ห์เล่ห์เวทมนตร์ | ช่วยให้พ้นภัยปลอดรอดกลับไป |
ครั้นว่าเจ้าเชียงใหม่ได้คืนหลัง | แต่สร้อยฟ้านั้นยังต้องอยู่ใต้ |
เธอห่วงลูกอาวรณ์ร้อนฤทัย | จึงสั่งให้ราชครูอยู่เพื่อนนาง |
เผื่อจะเกิดขุกเข็ญเป็นอย่างไร | ให้เถรคอยแก้ไขเมื่อขัดขวาง |
อย่าให้ใครล่วงรู้ดูท่าทาง | ให้เป็นอย่างพระธุดงค์ที่ลงมา |
เถรขวาดรับคำแล้วทำตาม | ไปอยู่วัดพระรามเกือบพรรษา |
แกไม่ทิ้งเพศลาวชาวลานนา | ฉันสุราเข้าค่ำอยู่ร่ำไป |
ไปลงโบสถ์เมามายทำวายวุ่น | จนเจ้าคุณพระพิมลไม่ทนได้ |
ว่าเถรตู้ขี้เมาไม่เอาไว้ | จึงขับไล่จากคณะวัดพระราม |
เถรก็เที่ยวซัดเซระเหระหน | กับเณรจิ๋วสองคนเที่ยวด้นถาม |
จะหาวัดลับลี้หนีถ้อยความ | พยายามมาถึงวัดพระยาแมน |
เห็นกุฎีมีร้างข้างป่าช้า | ทั้งพระเณรศิษย์หาไม่หนาแน่น |
ก็เข้าอยู่อาศัยไปตามแกน | เที่ยวบิณฑ์บาตขาดแคลนพอเลี้ยงตัว |
แต่เณรจิ๋วนั้นดีมีปัญญา | เที่ยวบอกเล่าข่าววิชาของท่านขรัว |
ว่าศักดิสิทธิฤทธีภูตผีกลัว | รักษาใครหายทั่วทุกแห่งมา |
พวกชายหญิงชาวบ้านร้านตลาด | ก็เกลื่อนกลาดติดตามมาถามหา |
บ้างมาขอเครื่องรางบ้างขอยา | บ้างขอผ้าประเจียดลงเป็นองค์พระ |
ที่บ้างถูกคุณไสยมาไหว้บน | ให้ปัดเป่าเอาน้ำมนต์รดศีรษะ |
เขาถวายข้าวปลาธารณะ | ค่อยเปลื้องปละอดอยากลำบากใจ |
แต่ลางวันพ้นเพลตาเถรเถ้า | ยังกินเหล้าเช้าค่ำหาทิ้งไม่ |
จะต้องเลี้ยงหมาไว้เห่าเฝ้าบันได | ใครจู่มาหมาไล่ให้รู้ตัว |
สบเพลากินเหล้ายังเมามาย | เณรก็ช่วยเพทุบายให้ท่านขรัว |
ว่าท่านอาพาธไปให้มึนมัว | พอยังชั่วจะไปบอกให้ออกมา |
เพราะเณรจิ๋วรู้เช่นเห็นความชั่ว | ก็ไม่กลัวขรัวครูจะด่าว่า |
อยู่ด้วยเพราะสมัครรักวิชา | จึงได้เป็นศิษย์หาต่างตาใจ ฯ |
๏ วันนั้นนางไหมไปตอนเช้า | ถึงเข้าถามพระครูอยู่ฤๅไม่ |
พอหมาเห็นเห่าโฮกกระโชกไป | ล้อมนางไหมไล่กระชั้นอยู่พันพัว |
เณรจิ๋วร้องเฉดไอ้เปรตหมา | นั่นใครมาหาข้าฤๅหาขรัว |
นางไหมหนีหมาประหม่ากลัว | ร้องเจ้าหัวจงช่วยข้อยด้วยรา |
เณรจิ๋วไล่หมาคว้าข้อมือ | ลากรื้อขึ้นข้างบนให้พ้นหมา |
เคยรู้จักยักคิ้วทำหลิ่วตา | ฉวยชายผ้าข้าขอเถิดเป็นไร |
นางไหมปัดมือว่าฮือจ้า | ปลาขอดแล้วยังกระดิกได้ |
เณรจิ๋วว่าปลาหมอบ่ท้อใคร | ถึงเกล็ดลอกปอกไปใจยังดี |
นางไหมว่าไฮ้เจ้าเณรจิ๋ว | ฉังจ้าปลาซิวตามตอดขี้ |
ว่าพลางย่างเท้าเข้ากุฎี | เห็นตาชีเถรขวาดขัดสมาธิเอน |
ก็ทรุดนั่งวางกระทายไหว้ท่านขรัว | ว่าเจ้าตัวใช้ข้ามาหาเถร |
ยกส้มสูกลูกไม้ไปประเคน | เจ้าเณรรับถ่ายกระทายคืน ฯ |
๏ เถรขวาดทักว่าสีกาไหม | ช่างนานมานานไปเหมือนคนอื่น |
ให้รูปคอยน้อยฤๅทุกวันคืน | ไม่มีชื่นจนจะหง่อมลงงอมแงม |
สีกาลงมาแต่เชียงใหม่ | ค่อยสบายฤๅไรดูเห็นแจ่ม |
ห่มสอดสีรับสลับแกม | สองแก้มเป็นกระติกน่าเอ็นดู |
ถ้าอยู่เวียงเชียงใหม่ที่ไหนเล่า | จะใส่ต่างวางเข้าจนกบหู |
ลงมาอยู่เมืองใต้ไทยเป็นครู | รูหูแคบเชือนเหมือนกับไทย |
เจ้านายใช้มาเป็นหยังหั้น | อยู่ดีด้วยกันฤๅไฉน |
ฤๅว่าเกิดทุกข์โศกมีโรคภัย | นางไหมมีผัวแล้วฤๅยัง ฯ |
๏ นางไหมไหว้ตอบขรัวตาขวาด | ไร้ญาติบ่เห็นจะเป็นฉัง |
แสนลำบากยากจนพ้นกำลัง | อยู่ลำพังบ่าวนายไม่คลายใจ |
อันลูกผัวตัวข้อยนี้แสนขลาด | แต่ตลาดก็บ่ออกไปเบิ่งได้ |
นับเบี้ยก็บ่เป็นเหมือนเช่นไทย | นี่เจ้าใช้มาดอกจึงออกมา |
ด้วยว่าหม่อมไวยผัวกับตัวนาง | เริศร้างแรมรักเสียหนักหนา |
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา | เขายุให้ตีด่าดังข้าไท |
เจ้าหัวโปรดด้วยไปช่วยกัน | เชิญขวัญหม่อมมาให้จงได้ |
ให้นอนด้วยองค์นางพอสร่างใจ | ท่านจะให้ทองมาห้าตำลึง ฯ |
๏ เถรขวาดหัวร่ออ่อเท่านั้น | ให้เชิญขวัญหม่อมไวยมาให้ถึง |
นอนกับนายของเจ้าได้เคล้าคลึง | ความขึ้งเคียดนั้นจะพลันคลาย |
ข้อธุระสีกามาหาเรา | จะช่วยเจ้าอย่าวิตกให้โศกหาย |
แต่ความทุกข์ของหลวงตาประดาตาย | เจ้านายโปรดบ้างจะบางเบา |
ว่ากันตัวต่อตัวแต่หัวที | ถ้าสิ้นทุกข์โศกดีจะขอเจ้า |
เอาไว้อยู่คู่ชีวิตแทนศิษย์เรา | พอหุงข้าวกลางวันให้ฉันเพล ฯ |
๏ นางไหมว่าไฮ้ขรัวตาขวาด | ข้าบ่ปรารถนาเว้าเอาผัวเถร |
ตาจนเป็นน้ำข้าวมาเร้าเกน | เดนแร้งถามข่าวทุกคราววัน |
หาคิดถึงตัวไม่อยากได้สาว | จะสึกห่อผ้าขาวฤๅไรนั่น |
อายุเก้าสิบปีบ่มีฟัน | แมลงวันตัวเมียบ่บินตอม ฯ |
๏ เถรว่าตัวเราถึงเถ้าแก่ | ก็ชอบชมสาวแส้แก้มหอมหอม |
นี่คนแก่ดอกมิใช่ลูกไม้งอม | ถึงนกหกมาตอมไม่หล่นไป |
อันมนุษย์นี้มันสุดที่ไหนเจ้า | ถึงแก่เถ้าก็เผยอเอออวยได้ |
ยังไม่เหม็นคาวปลาอย่าว่าไป | การงานทำได้เรี่ยวแรงมี |
เป็นแต่ว่าเหนื่อยนักขี้มักหอบ | ต้องวางจอบนั่งพูดดูดบุหรี่ |
น้ำท่าหากินไปตามที | พอแรงมีลุกขึ้นจ้ำจนค่ำลง |
กระถดเข้ามานี่สีกาไหม | วานเข้ามาให้ใกล้หยิบผ้าส่ง |
จริงหนาว่ากันให้มั่นคง | ดูสบงบ้างเป็นไรสุดใจจริง ฯ |
๏ เณรจิ๋วเยี่ยมหน้าคาประตู | ว่าขรัวครูอย่าไปเว้าเอาผู้หญิง |
ข้าบอกให้มิใช่จะช่วงชิง | เห็นนอนนิ่งอยู่แต่วัดมาอัตรา |
จะเข้าเนื้อเข้าใจอันใดนั่น | คอยเว้าเอาแต่ฝันเถิดดีกว่า |
วันนั้นไปบิณฑ์บาตยาจนา | เกี้ยวสีกามันยังก้มถ่มน้ำลาย |
เถรขวาดร้องว่าฮ้าอ้ายจิ๋ว | อ้ายอัปรีย์ขี้ริ้วพูดง่ายง่าย |
เพ้อเจ้อเซ้าซี้ไม่มีอาย | ตะวันบ่ายหาเพลเถิดเณรเคอะ |
เณรจิ๋วขัดใจไพล่ลุกมา | หลวงตานั่งเกี้ยวคนเดียวเถอะ |
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมทำหยำเยอะ | เถรด่าว่าอ้ายเตอะจะต้องตี |
อย่าว่าให้ยืดยาวเลยสาวไหม | เจ้าเชิญให้สร้อยฟ้าออกมานี่ |
พรุ่งนี้ฤกษ์งามยามก็ดี | จงลอบหนีออกมาอย่าวุ่นวาย ฯ |
๏ นางไหมรับคำแล้วอำลา | พรุ่งนี้ข้อยจะมามิให้สาย |
ออกจากวัดลัดทางย่างเยื้องกราย | แลเห็นนายนั่งเยี่ยมหน้าต่างคอย |
สร้อยฟ้าเห็นหน้าพยักยิ้ม | อีไหมกริ่มเข้าห้องย่องค่อยค่อย |
กระซิบเล่าความออกบอกตะบอย | ข้าน้อยไปหาขรัวตาครู |
ท่านขรัวเห็นแน่ว่าแก้ได้ | อย่าให้เสียน้ำใจจะช่วยอยู่ |
พรุ่งนี้ให้ไปหาว่ากันดู | เจ้ากูจะทำให้สำคัญ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า | ฟังว่าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
นอนตรึกนึกสมอารมณ์ครัน | ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันใด |
ไปอาบน้ำชำระราคี | ขัดสีนวลละอองให้ผ่องใส |
เห็นรอยตีที่แขนยังแค้นใจ | หลังไหล่ลูบช้ำระกำกาย |
เจ็บแผลแต่ไม่ถึงที่เจ็บใจ | ไม่แก้แค้นมึงได้ก็ไม่หาย |
ถึงรอยไม้หายแล้วก็ไม่วาย | ยังไม่ตายแล้วจะแก้ไม่แพ้มัน |
ผลัดผ้าลุกมาเข้าห้องนอน | ค่อนค่อนอกใจให้หวั่นหวั่น |
หวีหัวผัดหน้าสียาฟัน | ห่มสไบสองชั้นเข้าทันที |
หยิบหีบหมากส่งให้อีไหมรับ | พลางขยับลุกเลื่อนออกจากที่ |
ข้าวของสมควรล้วนดีดี | ส่งให้ทาสีที่ไว้ใจ |
พอพระไวยไปเฝ้าเจ้าก็มา | ใครหาทันสงกาสังเกตไม่ |
ถึงวัดพระยาแมนเข้าทันใด | ขึ้นไปบนกุฎีด้วยปรีดา |
นั่งราบกราบกรานอาจารย์เจ้า | ของข้าวประเคนให้หนักหนา |
บ่าวไพร่ให้ไปพักอยู่ศาลา | สร้อยฟ้ากับอีไหมอยู่ในนั้น |
สร้อยฟ้าวอนว่าพระอาจารย์ | ความทุกข์ของหลานนี้สุดกลั้น |
ด้วยหม่อมผัวทำโพยโบยรัน | ให้น้อยน้ำหน้ามันศรีมาลา |
ยุแยงแสร้งส่อทุกสิ่งไป | พระไวยเชื่อฟังที่มันว่า |
ละร้างห่างเหทุกเวลา | ปะตามีแต่ค้อนให้เคืองใจ |
ทั้งท่านทองประศรีที่เป็นย่า | ระดมด่าเคี่ยวเข็ญหาเว้นไม่ |
ขรัวปู่เอ็นดูให้พ้นภัย | ให้พระไวยนั้นกลับมาหลับนอน |
ว่าพลางทางแก้ซึ่งถุงทรัพย์ | นับให้ขวัญข้าวเจ้าหัวก่อน |
ถ้าหม่อมไวยเธอมาอย่าอาวรณ์ | จะขนคอนมาให้ทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ เถรขวาดนิ่งนั่งฟังสร้อยฟ้า | แล้วตอบว่าทุกข์ไปทำไมนั่น |
ถ้ารูปทำลงให้ไม่ถึงวัน | พระไวยก็จะหันมาคืนดี |
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า | จุดธูปเทียนบูชาเข้านั่งที่ |
หยิบขันสำริดประสิทธี | ฤกษ์ดีตักน้ำมาเสกพลัน |
อึดใจเป่าไปก็พล่านพลุ่ง | เป็นฝอยฟุ้งฟองฟูขึ้นท่วมขัน |
ส่งไปให้เจ้าสร้อยฟ้านั้น | อธิษฐานเสียให้ทันที่ฤกษ์ดี ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า | รับทูนเกศาเกษมศรี |
ขอพระเวทวิเศษประสิทธี | ให้สูญสิ้นราคีที่ร้ายรอง |
จงเข้าดลใจพระไวยผัว | ให้มืดมัวลุ่มหลงลงมาห้อง |
แล้วชิงชังศรีมาลาอย่านึกปอง | ต้องมนตร์พันพัวให้มัวใจ |
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วสระผม | ที่เกรียมตรมขุ่นหมองค่อยผ่องใส |
นวลหน้าฝ้าจับกระจายไป | สบายใจพูดจากับอาจารย์ ฯ |
๏ ครานั้นเถรขวาดราชครู | พิเคราะห์ดูปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
หยิบขี้ผึ้งปากผีมามินาน | เอาเถ้าพรายมาประสานประสมพลัน |
ลงอักษรเสกซ้อมแล้วย้อมถม | เป่าด้วยอาคมแล้วจึงปั้น |
เป็นสองรูปวางเรียงไว้เคียงกัน | ชักยันต์ลงชื่อศรีมาลา |
อิกรูปหนึ่งลงชื่อคือพระไวย | เอาหลังติดกันไว้ให้ห่างหน้า |
ปักหนามแทงตัวทั่วกายา | แล้วผูกตราสังมั่นขนันไว้ |
ซ้ำลงยันต์พันด้วยใบเต่ารั้ง | ให้เณรจิ๋วไปฝังป่าช้าใหญ่ |
แล้วปั้นรูปสร้อยฟ้ากับพระไวย | เอาใบรักซ้อนใส่กับเลขยันต์ |
เถรนั่งบริกรรมแล้วซ้ำเป่า | พอต้องสองรูปเข้าก็พลิกผัน |
หันหน้าคว้ากอดกันพัลวัน | เอาสายสิญจน์เข้ากระสันไว้ตรึงตรา |
รูปนี้จงฝังไว้ใต้ที่นอน | ไม่ข้ามวันก็จะร่อนลงมาหา |
แล้วเสกแป้งน้ำมันจันทน์ทา | ประสมด้วยว่านยาน้ำมันพราย |
ครั้นเสร็จส่งให้เจ้าสร้อยฟ้า | ไปเถิดสีกาตะวันสาย |
พรุ่งนี้ถ้ากะไรได้แยบคาย | ให้นางไหมขยายมาส่งเพล ฯ |
๏ เจ้าสร้อยฟ้าตอบว่าอย่าร้อนใจ | ขอแต่ให้สมคิดเถิดคะเถร |
ว่าแล้วอำลาทั้งเถรเณร | ออกบริเวณวงวัดลัดกลับไป |
พอถึงเคหาพยายาม | ทำตามเถรสั่งหาช้าไม่ |
ครั้นพลบค่ำร่ำคอยละห้อยใจ | ทอดตัวลงในที่นอนครวญ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าหมื่นไวย | นอนอยู่ในห้องฝันให้ปั่นป่วน |
ว่าสาวน้อยสร้อยฟ้ามาเชิญชวน | ให้ไปนอนแนบนวลที่ห้องนาง |
หลงพูดพึมเพ้อละเมอหา | ตื่นขึ้นเห็นศรีมาลาอยู่เคียงข้าง |
ให้ร้อนวาบปลาบใจดังไฟฟาง | พลิกกระด้างกระเดื่องดูไม่เต็มตา |
สว่างแสงอัจกลับวะวับห้อง | ละเมอมองเงาฉงนชะโงกหา |
พระพายพัดเกสรขจรมา | หวั่นวาบวิญญาณ์สยองใจ |
พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างดวง | โชติช่วงดาวอร่ามวามไสว |
เที่ยวค้นคว้าหาน้องในห้องใน | ต่อเข้าใกล้จึงรู้ว่าผิดคน |
คิดว่าเจ้ามิรู้เงาพฤกษชาติ | ให้หวั่นหวาดหนังพองสยองขน |
ฤๅผีร้ายมันลองคะนองตน | แต่เพ้อพกมาจนถึงเรือนนาง |
เข้าแอบฟังข้างฝาสงัดเงียบ | ไม่ไหวเกรียบประทีปไฟไสวสว่าง |
ผลักบานดาลดึงอยู่กึ่งกลาง | เคาะเคาะคอยพลางจะดูที ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า | ไม่พูดจาจามไอให้อึงมี่ |
เห็นเดชะพระเวทวิเศษดี | ด้วยเถรชีสั่งไว้ทุกสิ่งพร้อม |
ถ้าแม้นผัวมาหาอย่ากลัวผิด | ให้ลองฤทธิพระครูดูใจหม่อม |
จะเกรี้ยวกราดเหมือนแต่ก่อนฤๅหย่อนยอม | ใครมาด้อมอยู่นี่ผีฤๅคน |
ช่างไม่เกรงน้ำใจพระไวยผัว | ตัวข้อยสร้อยฟ้านี้ยับป่น |
ต้องโบยตีเหลือที่จะทานทน | ฤๅผีปู่สู่ตนจะบนบวง |
ยังอุตส่าห์มาเยียนต้องเฆี่ยนตี | พรุ่งนี้จะเชิญไปกินขวง |
คงจะให้แก่เจ้าบ่เว้าลวง | อย่าเป็นห่วงมาห้องน้องจะนอน ฯ |
๏ โอ้ว่าสร้อยฟ้าแก้วตาพี่ | มิใช่ผีสางดอกมาหลอกหลอน |
ดวงจิตรเจ้าอย่าคิดอนาทร | ขวัญอ่อนเจ้าอย่าอาลัยครวญ |
เจ้าหวาดหวั่นวันตีเมื่อต้องโทษ | ขวัญแม่โลดผาดผันจึงปั่นป่วน |
มาจะรับขวัญน้องประคองควร | ให้คืนเข้าร่างนวลสนิทกาย |
งามแช่มแม่จงแย้มใบดาลรับ | อย่าหวนหับห้องเมินเชิญขยาย |
จงคลายโศกเสื่อมทุกข์สุขสบาย | เหือดหายที่โทษบรรเทาใจ ฯ |
๏ หม่อมดอกฤๅฉันไม่ทันรู้ | ฉันคิดอยู่ว่ามาจะไม่ได้ |
นี่หม่อมมาได้ลาแล้วฤๅไร | ไม่เกรงใจแม่ศรีมาลาเลย |
ถ้าหล่อนฟื้นตื่นขึ้นไม่พานพบ | จะเต้นหรบอยู่แล้วแก้วแม่เอ๋ย |
จะตามหาท่านผู้ชายร้องวายเวย | นิจจาเอ๋ยก็จะชวดที่ชมกัน |
เชิญกลับไปห้องอย่าหมองมัว | ฉันคนชั่วดอกมิใช่สาวสวรรค์ |
สารพัดชั่วช้าทุกสิ่งอัน | เถิดเท่านั้นเมื่อแล้วก็แล้วไป |
หลังน้องพองพังไปทั้งกาย | หารู้ที่จะสบายด้วยหม่อมไม่ |
รอยไม้ลายทั่วทั้งตัวไป | เจ็บทั้งในนอกเนื้อก็เหลือทน |
ยังจะมาก่อกรรมให้ซ้ำเสีย | หน่อยหม่อมเมียจะมาด่าเล่นจ้นจ้น |
แต่กระนี้ยังไม่วายจะอายคน | จะก่อกวนให้เขาก่นกะไรไป ฯ |
๏ โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย | อย่านึกเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ |
พี่รักเจ้าเท่าเทียมกับดวงใจ | มิได้วายรักสักเวลา |
ผิดพลั้งมั่งก็ตีกันซีเจ้า | ฤๅเปล่าเปล่าผัวพาลพาโลว่า |
เจ้าขึ้นเสียงเปรี้ยงชี้ไม่พริบตา | โกรธาดอกจึงถึงทุบตี |
เป็นเหตุเพราะเจ้าห้าวหาญนัก | ฮึกฮักไม่เกรงน้ำใจพี่ |
คลายแค้นก็ยังแสนจะปรานี | เจ้าถือโทษประหนึ่งพี่จะเด็ดไป |
ผัวผิดคิดมั่งเมื่อครั้งรัก | จะหาญหักเคียดขึ้งไปถึงไหน |
จงเสื่อมโศกสร่างเศร้าให้เบาใจ | อย่าตัดไมตรีพี่นี้จริงจริง ฯ |
๏ อย่าพักวอนให้อ่อนไม่หายแค้น | เหลือแสนฝังใจไว้ทุกสิ่ง |
ยามดีมีแต่จะชังชิง | คุณหญิงยิ่งยั่วให้หยามใจ |
หม่อมด่าสารพัดจะตัดรอน | แคะค่อนขอดว่าไม่ปราศรัย |
รอดด้วยพ่อชุมพลจึงพ้นภัย | ไม่หลบเข้าห้องได้ก็วายปราณ |
แต่กระนั้นยังขยับจับกระบี่ | หม่อมศรีมาลาซ้ำเอาฉานฉาน |
ด่าให้เมียฟังตั้งประจาน | เพื่อนบ้านเบื่อฟังกำลังมัว |
ไม่หนำใจใส่ความว่าทะเลาะ | ฉวยดาบมาจะเฉาะกะลาหัว |
ว่าเล่นว่าได้จะให้กลัว | เพราะหม่อมหญิงหล่อนยั่วให้ยวนใจ |
เออเมื่อกอดจูบกันทำหยันเย้ย | หัวอกใครไหนเลยจะอดได้ |
มากล่าวแต่ลมลวงให้ลืมไป | ฉันเข้าใจไม่มีเปล่าทุกเช้าเย็น |
ถึงกรางทองให้กินไม่ยินดี | ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ขอเห็น |
ผู้ชายปราบปรามเมียก็ไม่เป็น | เอ็นลิ้นสิ้นดีแต่เล่ห์กล ฯ |
๏ เออน่าฟังน้อยฤๅถ้อยคำ | ช่างจะร่ำไรเรื่องแต่เบื้องต้น |
เมื่อขึ้นเสียงย่อนย่อนไม่ผ่อนปรน | เจ้าก่อก่อนแล้วมาบ่นเอากับใคร |
ผัวห้ามเจ้าจะยั้งมั่งแล้วฤๅ | กลับดึงดื้อเอาเสียอีกหาหลีกไม่ |
กระทบกระเทียบเปรียบปรายมากมายไป | คือว่าใครได้สลัดถึงตัดรอน |
ผัวห้ามก็ยิ่งพกโมโหฮึก | กลับสะอึกเข้ามาเถียงเอาย่อนย่อน |
ผัวมาหากลับว่าเป็นแง่งอน | ความที่ร้อนรักนุชนี้สุดทน |
พี่เรียกหาแก้วตาไม่เปิดรับ | ยังมากลับว่าพี่จนปี้ป่น |
ว่าพลางทางร่ายพระเวทมนตร์ | สะเดาะกลอนถอนหล่นลงทันที ฯ |
๏ สร้อยฟ้าผลักกรานใบดาลเปิด | ดูเอาเถิดหม่อมไวยอะไรนี่ |
แกล้งกวนโมโหเป็นโกลี | ประเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็เป็นไป ฯ |
๏ ชิต้าฉาแต้เจ้าแม่เอ๋ย | คารี้คารมกะไรเลยหาเหือดไม่ |
คันมือเถิดฤๅให้สมใจ | ทำเป็นคว้าหาไม้จะตีเอา ฯ |
๏ กล้าดีตีซิไม่ฟังกัน | หุนหันหดมือไปไหนเล่า |
มิข่วนให้เลือดพรูก็ดูเอา | ทำผลักไสไม่ให้เข้ามาไยดี ฯ |
๏ ชะกะไรใจน้องดื้อจริงหนอ | สะพ้านคอเอนเอียงลงกับที่ |
อุ้มขึ้นที่นอนวอนพาที | ผัวไม่ตีให้เจ้าช้ำระกำใจ |
น้องเอ๋ยเลิกทีที่ขุ่นเคือง | จะกระเดื่องกระดากดิ้นผินไปไหน |
ว่าพลางสอดคล้องทำนองใน | สำราญใจจนหลับไปกับนาง ฯ |
๏ ครั้นแสงทองส่องฟ้าเวหาเหลือง | อร่ามเรืองเหนือใต้ไสวสว่าง |
แดดส่องเข้าช่องหน้าต่างกาง | พระไวยนางสร้อยฟ้าก็ตื่นพลัน |
ลุกจากเตียงชวนกันบ้วนปาก | อีไหมคลานเอาพานหมากมาตั้งนั่น |
ปะตาสร้อยฟ้าให้ตากัน | ฝ่ายพระไวยผายผันจะเข้าวัง |
ผลัดผ้าคว้าร่มลงจากเรือน | ทนายหนุ่มกลุ้มเกลื่อนมาตามหลัง |
คิดถึงสร้อยฟ้าพะว้าพะวัง | จนกระทั่งท้องพระโรงเข้าทันใด |
เจ้าพระยาพระหลวงแลหมื่นขุน | ว้าวุ่นเข้าเฝ้าอยู่ไสว |
ปางพระองค์ผู้ดำรงภพไตร | สำราญราชหฤทัยเปรมปรีดิ์ |
พระจึงมีสีหนาทประภาษถาม | อ้ายพลายงามเป็นกะไรจึงหมองศรี |
ดูหน้าตาฝ้าคล้ำไม่มีดี | เอ็งนี้ไม่สบายด้วยอันใด |
ฤๅเมียมึงหึงหวงจ้วงจาบ | หยามหยาบเกินเลยฤๅไฉน |
ใครมีเมียสองมักหมองใจ | จะหาความสบายได้มิใคร่มี |
ถ้าแม้นมีสามสี่เสียดีกว่า | ต้องตำราว่าเป็นสุขเกษมศรี |
แน่ะกูว่าแล้วเอ็งตรองดูให้ดี | มันจะเป็นราคีข้างหน้าไป ฯ |
๏ พระหมื่นไวยบังคมก้มเกล้า | ให้มัวเมาหมกมุ่นไม่ทูลได้ |
ไม่สว่างสร่างมนตร์ที่ดลใจ | จึงมิได้กราบทูลพระกรุณา ฯ |