๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าหมื่นไวย |
อิ่มเอิบกำเริบใจใครจะเหมือน |
ปราโมทย์โชติช่วงดังดวงเดือน |
มิได้เคลื่อนรสรักสักวันคืน |
แต่โฉมเจ้าสร้อยฟ้าพานจะงอน |
หย่อนแต้มลงไม่ได้ให้สะอื้น |
ผัวมานอนตะละช้อนใส่ปากกลืน |
ถ้าผัวคลาศขาดคืนก็ขุ่นมัว |
อันชายหนึ่งเมียสองมักพร่องแรง |
หม่อมเมียพานจะแข่งแย่งหม่อมผัว |
จึงเกิดเป็นเชิงชั้นกันในตัว |
ยิ่งใครเย้าตะละยั่วให้หนักไป |
ข้างศรีมาลาผัวรักมักยิ้มเย้ย |
ข้างสร้อยฟ้าก็เลยทะยานใหญ่ |
เกรงอยู่แต่ท่านย่าระอาใจ |
ใครใครแกไม่ละทั้งลูกเมีย |
ราวกับเสือซ่อนเล็บเจ็บไม่รู้สึก |
ถ้าได้ฮึกแล้วรุ่งก็รุ่งเสีย |
ถ้าใครเถียงเอาใหญ่ดังไฟเลีย |
เขานิ่งเสียแกก็โลดโดดตะกาย ฯ |
๏ วันเมื่อจะก่อเกิดกำเนิดเข็ญ |
พระหมื่นไวยนั่งเล่นตะวันบ่าย |
ที่หอนั่งลมเย็นเห็นสบาย |
กับเจ้าพลายชายชุมพลผู้น้องยา |
ชุมพลหยิบกระดานคลานมาพลัน |
เล่นหมากรุกพนันกันฤๅขา |
แพ้พี่ไวยฉันจะให้ถอนขนตา |
ถ้าหากพี่แพ้ข้าจะว่าไร |
พระไวยว่าถ้าพี่นี้แพ้เจ้า |
จะให้เขาทำขนมมาเสียให้ |
ขนมเบื้องแผ่นน้อยน้อยอร่อยใจ |
ว่าแล้วสั่งไปในทันที |
สร้อยฟ้าศรีมาลาว่าเจ้าคะ |
ตั้งกะทะก่อไฟอยู่อึงมี่ |
ต่อยไข่ใส่น้ำตาลที่หวานดี |
แป้งมีเอามาปรุงกุ้งสับไป |
ศรีมาลาละเลงแผ่นบางบาง |
แซะใส่จานวางออกไปให้ |
สร้อยฟ้าไม่สันทัดอึดอัดใจ |
ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาสิ้นที |
พลายชุมพลจึงว่าพี่สร้อยฟ้า |
ทำขนมเบื้องหนาเหมือนแป้งจี่ |
พระไวยตอบว่าหนาหนาดี |
ทองประศรีว่ากูไม่เคยพบ |
ลาวทำขนมเบื้องผิดเมืองไทย |
แผ่นผ้อยมันกะไรดังต้มกบ |
แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ |
พลายชุมพลดิ้นหรบหัวร่อไป |
ฝ่ายนางศรีมาลาชายตาดู |
ทั้งข้าไทยิ้มอยู่ไม่นิ่งได้ |
อีไหมร้องว้ายข้อยอายใจ |
ลืมไปคิดว่าทำขนมครก |
ชุมพลร้องแซ่แก้ไม่รู้สิ้น |
นานไปก็จะปลิ้นเป็นห่อหมก |
สร้อยฟ้าตัวสั่นอยู่งันงก |
หกแป้งต่อยกะทะผละเข้าเรือน |
ทองประศรีร้องว่าอีห่าลาว |
ทำฉาวเจียวอีหมาขี้เรื้อนเปื้อน |
เทแป้งแกล้งให้เปรอะเลอะทั้งเรือน |
กะทะกะท่อยต่อยเกลื่อนลาวจัญไร |
นางสร้อยฟ้าได้ยินท่านย่าด่า |
ขัดใจแทบน้ำตาจะเล็ดไหล |
ศรีมาลาเลิกเตาเข้าข้างใน |
ชุมพลไปเรือนย่ามิได้ช้า ฯ |
๏ พอค่ำลงลมรวยมาชวยชื่น |
เริงรื่นจิตรพระไวยให้หวนหา |
เดือนสว่างกระจ่างลิ่วปลิวเมฆา |
คิดถึงศรีมาลาละลานใจ |
หอมดอกพุทธชาดสะอาดกลิ่น |
ใส่กระถางวางประทิ่นสดไสว |
วาบหวามทรวงซาบอาบอาลัย |
เดินไปเข้าห้องศรีมาลา |
นั่งแนบแอบน้องประคองนวล |
ยียวนด้วยความเสนหา |
แสงประทีปส่องสว่างกระจ่างตา |
ชวาลาดับเสียชวนเมียนอน |
ศรีมาลาจึงว่าช่างน่าอาย |
ผู้คนทั้งหลายยังตื่นว่อน |
พระไวยปลอบว่าเจ้าอย่างอน |
ความรักพี่นี้ร้อนดังไฟเรือง |
ศรีมาลาว่าชะช่างร้อนจิตร |
พระอาทิตย์ยังไม่ลับดังแสงเหลือง |
เด็กเด็กมันยังตื่นครื้นทั้งเมือง |
ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร ฯ |
๏ ฝ่ายสร้อยฟ้าแว่วว่าขนมเบื้อง |
ให้แค้นเคืองปวดปอดตลอดไส้ |
วับดังดินประสิวปลิวถูกไฟ |
เข้าใจว่าศรีมาลานินทาตัว |
จึงร้องไปว่านางช่างขนมเบื้อง |
ช่างยกเรื่องอวดหม่อมเจ้าจอมผัว |
หม่อมนางช่างละเลงข้าเกรงกลัว |
เมื่อหยุดแล้วยังยั่วกันไปเจียว |
อุแม่เอ๋ยข้าไม่เคยบำรุงรส |
มันจึงเปรอะเลอะหมดไม่มันเขี้ยว |
แซะม้วนเท่าแขนได้แผ่นเดียว |
ผัวจึงไม่กระเสียวกระซิกเลย ฯ |
๏ ศรีมาลาว่าโอ้พุทโธ่เจ้า |
มาโดนเอาเปล่าเปล่าเจ้าแม่เอ๋ย |
ที่เคยคันมันก็คันไปตามเคย |
สัญชาติเตยถึงจะงามก็หนามมี |
เกิดกอเป็นตออยู่ริมคลอง |
เรือขึ้นเรือล่องต้องเสียดสี |
อนิจจาข้าได้ว่าอะไรมี |
ไม่พอที่หุนหันจะคั้นคอ |
เขาก็รู้อยู่ว่าต่อมันรานไฟ |
ข้าไม่พอใจไปที่รังต่อ |
ทั้งคารี้คารมเขาชมปรอ |
เหมือนตอออกมาขวางที่ทางเรือ |
เป็นตระพังวังวนก้นกะทะ |
สวะสะว่อยลอยปะออกฟั่นเฝือ |
เที่ยวแทรกไปทุกทางอย่างดีเกลือ |
ข้านี้เบื่อพูดมากน้ำหมากพรู ฯ |
๏ จริงคะข้าแหละมันเตยหนาม |
ใครพายเรือซุ่มซ่ามสำหรับถู |
สมน้ำหน้าที่ตาไม่แลดู |
หูเหืยงเพียงจะแตกแหกกระจาย |
จริงแล้วข้าดีเกลือเจือทุกขนาน |
ถึงท้องยุ้งพุงมานก็รู้หาย |
ถ้าไม่แทรกสักนิดจะปิดตาย |
ไข้หนักก็คลายเพราะดีเกลือ |
ตำราข้าไม่ถึงขี้ผึ้งฝรั่ง |
ที่เปื่อยพังน้ำฝาดแลดีเหลือ |
เข้าลูกเบญกานีสีเสียดเจือ |
เรียกเนื้อให้ชิดติดกระชับ |
ถึงจะเป็นปรวดปวดอยู่ใน |
ก็ดูดสำรอกออกได้จนในตับ |
หนองไหน่ไหลคันเป็นมันยับ |
ถ้ากระชับแล้วก็แน่นดังแผ่นดิน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมพระหมื่นไวย |
ฟังตอบชอบใจหัวเราะดิ้น |
เออเอาให้ระงมเพราะขนมกิน |
จนสุดสิ้นถึงลูกเบญกานี |
ตำราหมอฝรั่งชั่งสัปดน |
ของเขาฝนไว้ทาเป็นยาฝี |
ถ้าแลแผลพุพองเป็นหนองดี |
ฤๅจะลองดูสักทีเจ้าสร้อยฟ้า |
สร้อยฟ้าร้อยเย่อเออหม่อมไวย |
ข้อยบ่ฮู้จักใส่อีสังว่า |
บาดแผลข้อยนี้บมีมา |
บ่อยากเรียนตำราไม่ต้องการ |
แม้นหม่อมพุพองเป็นหนองใน |
เอายาศรีมาลาใส่จะหายจ้าน |
ยาของเขาดีดีมีมานาน |
ข้อยนี้ย่านหนักหนาตำราไทย ฯ |
๏ ครานั้นท่านยายทองประศรี |
ได้ยินเสียงอึงมี่ไม่นิ่งได้ |
แกเปิดหน้าต่างมองร้องว่าไป |
ตำรายาอะไรออสร้อยฟ้า |
เหวยลาวเลยลาวไปแล้วเหวย |
แง่งอนกะไรเลยเป็นหนักหนา |
ซอกซอนรู้สิ้นอีลิ้นลังกา |
หยูกยาข้างไหนกูไม่เคย |
คนฟังเขานั่งอยู่ตาโหล |
ยิ่งกว่ากรับเจ้าโตเสียอิกเหวย |
ผัวก็นั่งฟังได้กะไรเลย |
เฉยเมยจริงจริงช่างนิ่งมิ |
อย่าเป็นจมื่นไวยเลยหลานเอ๋ย |
ไปไสเคยแม่กลองร้องขายกะปิ |
ช่างไม่อายเพื่อนบ้านอ้ายซานซิ |
ริมีเมียสองอ้ายหนองกรม ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังย่าชักหน้าม่อย |
ว่าคุณย่าละก็คอยพลอยประสม |
คนนั้นว่าคนนี้ว่ามาระดม |
ลมพัดไม่มีไปข้างไหนเลย |
น้ำไหลไยไม่ไหลไปที่ลุ่ม |
ช่างไหลชุ่มไปบนเขาเจ้าแม่เอ๋ย |
ท่านย่าว่าเหม่มาเปรียบเปรย |
เหวยอีลาวปากคอมันหนักนัก |
ก็เพราะมึงอึงฉาวอีลาวโลน |
ร้องตะโกนก้องบ้านอีคานหัก |
อีเจ็ดร้อยหมาเบื่อมันเหลือรัก |
ทำฮึกฮักมี่ฉาวอีลาวดอน |
สร้อยฟ้าได้ฟังท่านย่าด่า |
ม้วนหน้าล้มทับลงกับหมอน |
ทองประศรีร้องแปร้นอีแสนงอน |
ด่าเหนื่อยแล้วก็นอนกรนโครกไป ฯ |
๏ ครั้นอรุณรุ่งรางกระจ่างภพ |
แจ้งจบทั่วทวีปน้อยใหญ่ |
พระอาทิตย์เร่งรถมาไรไร |
สกุณไก่กู่ก้องตะโกนกัน |
กระจิบกระจาบจอแจแกกา |
บินถลาร่าร้องก้องสนั่น |
ศรีมาลาตื่นตาล้างหน้าพลัน |
แล้วจัดสรรของไว้ให้สามี |
ตั้งขันล้างหน้าไว้ท่าผัว |
เครื่องแป้งแต่งตัวกระจกหวี |
ทั้งพานผ้านุ่งผลัดจัดดิบดี |
แล้วลุกรี่ออกมาเรียกข้าไท |
สายสว่างตื่นบ้างเถิดเด็กเอ๋ย |
กะไรเลยช่างนอนนิ่งเสียได้ |
บ่าวลุกล้างหน้ามาทันใด |
เข้าครัวไฟข้าวปลาหาครันครบ |
อีเม้ยลุกขึ้นมองร้องตามนาย |
เฮ้ยมึงอย่านอนสายจะถูกตบ |
ศรีมาลาว่าไฮ้อีบัดซบ |
ไม่เคยพบเป็นบ่าวเอาอย่างนาย |
พระไวยฟื้นตื่นลุกจากเตียงพลัน |
จับขันล้างหน้าให้ฝ้าหาย |
หวีหัวทาแป้งแล้วแต่งกาย |
เยื้องกรายออกมาข้างหน้าเรือน |
สำรับตั้งนั่งลงกินอาหาร |
สาวใช้หมอบคลานอยู่กลาดเกลื่อน |
ศรีมาลาใช้สอยคอยตักเตือน |
เจ้าสร้อยฟ้าหน้าเฝื่อนไม่พูดจา |
ครั้นถึงเวลาเช้าจะเข้าวัง |
พระไวยก็สั่งให้หยิบผ้า |
ผลัดผ้านุ่งพลันมิทันช้า |
แล้วออกจากบ้านมายังวังใน |
บ่าวไพร่เดินตามหลามถนน |
ผู้คนหลีกเลี่ยงอยู่ขวักไขว่ |
ด้วยยำเยงเกรงบุญพระหมื่นไวย |
จนเข้าในพระที่นั่งจักรพรรดิ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระจักรกฤษณ์วิษณุวงศ์ |
ผู้ดำรงอยุธเยศเกศกษัตริย์ |
ครั้นแสงทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ |
กระจ่างจัดทั่วหล้าสุธาธาร |
เสด็จออกสู่ท้องพระโรงมาศ |
ดังเทวราชในทิพพิมานสถาน |
พร้อมด้วยเทพกัญญาสุดามาลย์ |
ให้ชักม่านไขกว้างกระจ่างองค์ |
เสด็จนั่งยังแท่นมณีรัตน์ |
ภายใต้เศวตฉัตรลอยระหง |
สังข์แตรแซ่ซ้องทั้งฆ้องวง |
ซอส่งประสานเสียงเสนาะใน |
ขุนนางต่างประนมบังคมกราบ |
หมอบราบคอยรับสั่งสนองไข |
พระจึงมีสีหนาทประภาษไป |
ว่ากะไรจีนทองร้องฎีกา ฯ |
๏ พระยารักษ์รับสั่งทูลสนอง |
ขอเดชะจีนทองให้การว่า |
เดิมได้สู่ขอต่อมารดา |
ยกให้แล้วก็พาไปเรือนชาน |
จีนทองเข้าหาเป็นห้าครั้ง |
อำแดงสังไม่ยอมทำหักหาญ |
ครั้นเข้าปล้ำร่ำว่าด่าประจาน |
อายกับเพื่อนบ้านเป็นพ้นคิด |
จึงเข้ามาฟ้องร้องฎีกา |
ให้ปรึกษาให้เห็นชอบแลผิด |
ถึงไม่สัจขอถวายซึ่งชีวิต |
ขอพระองค์ทรงฤทธิได้เมตตา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังจบทรงพระสรวลสำรวลร่า |
เจ๊กอัปรีย์สิ้นที่จะเจรจา |
แต่เมียด่าก็มาฟ้องไม่ต้องการ |
ฤๅเมืองจีนมันจะร้องฟ้องกันได้ |
ถองส่งออกไปเสียจากศาล |
แล้วดำรัสถามทั่วถึงรั้วงาน |
ไม่กริ้วกราดราชการสิ่งอันใด |
ครั้นเสร็จพระเสด็จลีลา |
จากพระโรงรัตนาอันผ่องใส |
คืนเข้าพระที่นั่งข้างฝ่ายใน |
สำราญราชหฤทัยพระภูมี ฯ |
๏ ฝ่ายว่าเจ้าพระยาพระหลวง |
ทุกกระทรวงต่างลุกมาเร็วรี่ |
บ้างไปนั่งโรงศาลงานธานี |
ที่ใครว่างหน้าที่ก็กลับมา |
ฝ่ายว่าพระไวยวรนาถ |
เสร็จราชการพลันก็หรรษา |
ออกจากวังในแล้วไคลคลา |
ตรงมาเคหาด้วยทันใด ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า |
เมื่อสุริยาแจ่มแจ้งกระจ่างไข |
ตื่นนอนร้อนจิตรคิดเคืองใจ |
ดังฟืนไฟสุมอกสักหกกอง |
พลุ่งพล่านดาลเดือดไม่เหือดหาย |
เหมือนเสือร้ายรังควานจับขยับจ้อง |
คอยเวลาตาลอดสอดเมียงมอง |
ตามช่องเห็นพระไวยไปจากเรือน |
นางลงเท้าผึงผึงถึงนอกชาน |
ส่งเสียงฉานเรียกข้าด่าเลื่อนเปื้อน |
ช่างมุดหัวอยู่ในห้องต้องให้เตือน |
อีไหมเชือนอยู่ไหนจึงไม่มา |
แต่หัวค่ำร่ำกกไปจนสาย |
ไม่มีอายสอพลอยอตัณหา |
มันน่าสับให้ระยำดังทำปลา |
ช่างลอยหน้าเล่นทรงเป็นหงส์รำ |
ลุกบ้างก็เป็นไรที่ในเรือน |
เมื่อคืนนี้ขันเชื่อนออกหกคว่ำ |
ถาดโถโอแตกแหลกระยำ |
แมวดำที่ไหนไล่กัดกัน |
เฝืองฝาหลังคาก็ยับป่น |
จากหล่นกลอนเลื่อนสะเทือนลั่น |
ช่างนอนนิ่งเสียได้ไม่ไล่มัน |
อ้ายสีจันทน์ม้าลาก็ปล่อยไว้ |
มันไล่กันรันวิ่งมาโดนเสา |
เรือนเหย้าแทบจะพังกระทั่งไหว |
พรึงรอดออดอ่อนกระฉ่อนไป |
น้ำท่าโอ่งไหไหวโครมครืน |
สายตามึงไม่ดูหูไม่ฟัง |
อีสองชั่งนั่งเคล้าเฝ้าสะอื้น |
ยามโปรดดังจะโลดขึ้นทั้งยืน |
พวกอีตื่นตัณหาตาเป็นมัน ฯ |
๏ อีไหมฟังนายด่ากระทบ |
ช่วยประจบเหน็บแนมแกมขยัน |
ลิ้นลมประสมว่าสารพัน |
ฉันนอนฝันมัวสบายจึงสายไป |
ฝันว่าพระราหูดูเท่าแขน |
ฉวยพระจันทร์รันแง้นอมไว้ได้ |
ลืมตาดูก็ไม่รู้ว่าอะไร |
ลุกโพลงราวกับไต้เสม็ดตาม |
จนหม่อมเรียกหาผวาตื่น |
ยังสะอื้นด้วยสงสารจันทร์อร่าม |
จะขี้คายอย่างไรไม่แจ้งความ |
ฤๅจะปามไปจนค่ำทำท่วงที ฯ |
๏ อีเม้ยรับได้ฟังคำอีไหม |
ร้อนอกราวกับไฟเข้าจุดจี้ |
พลอยเจ็บด้วยกับนายอายสิ้นที |
ช่างกาลีค่อนว่าสารพัน |
จึงร้องว่าฮ้าเฮ้ยเหวยอีไหม |
พระราหูที่ไหนเท่าแขนนั่น |
นายด่าข้าพลอยประสมกัน |
ฝันอะไรกลางวันไม่เคยพบ ฯ |
๏ ศรีมาลาร้องเฮ้ยนางเม้ยรับ |
มิใช่การวานอย่างับจับประจบ |
ทำปากกล้าร่าร้องก้องกระทบ |
สั่นหรบไปเจียวเจ้าเสาโพงพาง |
จะด่าว่าสักเท่าไรทำไมเขา |
การของเจ้าฤๅจึงร่าเข้ามาขวาง |
อีส่ำสามราวกับหนามเที่ยวสะทาง |
มิใช่การวานอย่าขวางให้เกิดความ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังเรื่องให้เคืองขุ่น |
เตือนกระตุ้นใจเจ็บดังเหน็บหนาม |
ลุกออกมาจากห้องร้องคำราม |
ข้าแหละหนามสะรั้วตัวโปรดปราน |
อย่าว่าไปเลยเจ้าเขาก็เห็น |
สั่นรัวเป็นตัวเต้นเจนจัดจ้าน |
จะว่าไรขึ้นไม่ได้เที่ยวไล่พาล |
เสาวิหารก็ไม่แน่นแม้นเสานาง |
ข้าคางคกตกบ่อลงร่อน้ำ |
ทิ่มตำเอาเถิดเจ้าไม่ขัดขวาง |
ยามคล่องก็จงล่องไปพลางพลาง |
เชิญครองปรางผัดหน้าให้นวลลอย |
จริงแล้วเจ้านี่แลเสาโพงพางปัก |
จะเยื้องยักก็ไม่พ้นจึงโดนบ่อย |
ช่างชะอ้อนวอนร่ำทำสำออย |
จึงปรอดปร้อยไม่รู้แห้งจุ๊บแจงเอย ฯ |
๏ ศรีมาลานิ่งนั่งได้ฟังคำ |
ดูฤๅกรรมมาตามเอาเฉยเฉย |
ว่าข้างนี้ไม่พอที่จะเป็นเลย |
เมื่อเจ้าเคยแล้วก็ทำไปตามที |
อนิจจาข้าได้ว่าไรสักหน่อย |
มาคอยพาลเอาผิดไม่พอที่ |
จริงละทั่นข้ามันสั่นแต่วานนี้ |
ถ้าไม่แก้เสียสักทีไม่หายคัน |
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดใส่ |
เลือกเล่นตามใจทำไมนั่น |
หม่อมมาก็มาคร่าเอาตัวทัน |
ไปแก้คันไว้ในห้องสักสองคืน |
เกิดเหตุเพราะขนมเมื่อเย็นวาน |
จึงพลุ่งพล่านอึกทึกจนดึกดื่น |
ม้าลาว้าวุ่นจนดุ้นฟืน |
น้ำน้อยพลอยเป็นคลื่นช่างยืนยัด |
เออใจของใครจะไม่เจ็บ |
ช่างแนมเหน็บด่าว่านี่สาหัส |
ยิ่งนิ่งก็ยิ่งว่าสารพัด |
นี่จะซัดเสียให้หมดเจียวฤๅเรา |
ทำไมไม่เป็นเจ้าขึ้นในบ้าน |
ใครขัดสนจะได้คลานมาพึ่งเจ้า |
อย่าเพ่อเหยียบเสียให้ยับจนสับเงา |
มิได้ตีเมืองเรามาเป็นน้อย ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังให้คลั่งจิตร |
ดังเอากฤชมาตำที่คอหอย |
เหมือนไฟลุกฟืนซุกเสือกตะบอย |
ครั้นเอาฝอยเข้ามาปามก็ลามโพลง |
ตบมือยักคอหัวร่อร่า |
หลกผ้าเกาก้นกระโดดโหยง |
ตัวสั่นเทาเทาก้าวตะโกรง |
ขึ้นเสียงโผงชี้หน้าร้องว่าไป |
เฮ้ยข้านี้แลมันสั่นทั้งตัว |
หม่อมผัวจึงไม่พรากจากห้องได้ |
ข้าไม่ฉุดเธอให้หลุดมาทำไม |
จงกำกุมเอาไว้ให้ได้คราว |
จริงอยู่คะข้ามันเชลยเมือง |
อย่ายกเรื่องเลยเขาฦๅออกอื้อฉาว |
พอกองทัพไปถึงอึงเกรียวกราว |
ค่ำลงเขาจับฉาวที่ในเรือน |
ทัพกลับก็จับเชลยซ้ำ |
ช่างปิดงำความร้ายให้หายเงื่อน |
สงวนพรหมจารีมิต้องเตือน |
พอดึกหน่อยก็ค่อยเคลื่อนเข้าไปเอง ฯ |
๏ ศรีมาลาได้ฟังให้คลั่งใจ |
ดังเอาไม้มาต่อยสักร้อยเผง |
ช่างลอยหน้าว่าเล่นออกครื้นเครง |
ขึ้นกูขึ้นเอ็งไม่เกรงใจ |
ปากบอนค่อนขอดลอดนินทา |
ตบหนาตบมึงเสียให้ได้ |
เมื่อผัวจะไม่เลี้ยงก็แล้วไป |
จะเฆี่ยนตีสักเท่าไรก็ตามบุญ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าโผงผางวางเข้ามา |
ชักผ้าคาดนมกระโจมมุ่น |
ชุมพลวิ่งเข้ายุดแล้วฉุดรุน |
สร้อยฟ้าผลักหมุนตกล่องลง |
พลายชุมพลชักขาทำหน้าซีด |
ศรีมาลาร้องกรีดหวีดเสียงหลง |
ทองประศรีวิ่งถลันมางันงง |
แกด่าส่งวุ่นวายตายแล้วกู |
เข้ามาใกล้ไต่ถามศรีมาลา |
ขามันหักฤๅหวาหาอ้ายหนู |
พลายชุมพลร้องไห้เลือดไหลพรู |
สร้อยฟ้ายืนอยู่ไม่พูดจา |
ทองประศรีชี้หน้าแกด่าโผง |
อีตายโหงข่มเหงกูหนักหนา |
ทำหลานกูด้วยดังช่วยมา |
ยังลอยหน้าหัวร่อคอเป็นเอ็น |
ดูราวกับตำแยเที่ยวแหย่เพื่อน |
ด่าเปื้อนไปทีเดียวเที่ยวเคี่ยวเข็ญ |
ยกหัวเป็นกิ้งก่าอีหน้าเป็น |
เต้นเจ้าเซ็นมาแต่วานจนปานนี้ |
ราวกับช้างงาบ้าน้ำมัน |
เสยกำแพงแทงตะบันจนป่นปี้ |
งาหักงวงยับจนอัปรีย์ |
อีกาลีกูจะตบให้ซบไป ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังคุณย่าด่า |
โมโหโกรธาหาเหือดไม่ |
คันปากอยากจะว่าให้สาใจ |
บ่นพิไรร่ำว่าน้ำตานอง |
จริงคะข้านี้ช้างน้ำมัน |
ช่วยกันด่าเล่นเถิดคล่องคล่อง |
หัวเดียวไม่มีทั้งพี่น้อง |
ทุบถองเล่นให้สบายใจ |
หลานทั่นวิ่งพันมายุดมือ |
ชักยื้อฉุดคร่าไม่ปราศรัย |
เมื่อตกล่องแล้วจะร้องเอากับใคร |
ฤๅข้าวานข้าไหว้ให้วิ่งมา ฯ |
๏ ทองประศรีด่าฉาวอีลาวดง |
มาแผดส่งเสียงร้องเอาจ้าจ้า |
ผลักเด็กจนกระเด็นเห็นแก่ตา |
เป็นหนึ่งว่ากูแกล้งพาโลเอา |
มึงเอ๋ยมึงถึงดีเสียจริงจริง |
เต้นเหยงเป็นเพลงฉิ่งไปเจียวเจ้า |
ดังคนทรงผีลงอยู่เทาเทา |
นี่พ่อหลวงฤๅเข้าเจ้าปากคลอง ฯ |
๏ พอพระไวยเข้าไปถึงในบ้าน |
เสียงฉานทะเลาะกันสนั่นก้อง |
ได้ยินเสียงสร้อยฟ้าออกร่าร้อง |
ย่างเท้าก้าวย่องถึงหอกลาง |
สร้อยฟ้ามัวเถียงกับท่านย่า |
เหลียวมาค้างปากกระดากขวาง |
ความกลัวตัวผิดคิดระคาง |
แข็งกระด้างไปทั้งกายก็คลายฤทธิ |
พระไวยยืนเพ่งเขม็งตา |
แลดูสร้อยฟ้าให้กลุ้มจิตร |
ยิ่งกลั้นยิ่งแค้นดังเพลิงพิษ |
ยิ่งคิดยิ่งเคืองกระเดื่องใจ |
ถามคุณย่าว่านี่ทำไมกัน |
เสียงสนั่นไปทั้งเรือนสะเทือนไหว |
เดิมทีวิวาทกันอย่างไร |
ตัวใครก่อเกิดเป็นโกลี ฯ |
๏ ท่านย่าร้องเบื่อกูเหลือเล่า |
เจ้าเข้ามันออกแล้วฤๅนี่ |
เต้นหยอยลอยหน้าท่ามันดี |
ถ้าเอ็งมาเป่าปี่กูจะตีโทน |
มันเต้นผึงตึงตังดังสนั่น |
ราวกับตาบุญจันแกออกโขน |
ใครใครไม่ละปะเป็นโดน |
เป็นเรือโกลนออกขวางอยู่กลางคลอง |
เดิมทีวิวาทกับศรีมาลา |
มันวิ่งร่ามาจนถึงประตูห้อง |
ชุมพลห้ามมันปามเอาจนร้อง |
ตกล่องลงไปคาขาระยำ |
เป็นเหตุพระไชยเชษฐ์อยากขนม |
สุวิญชาตากลมจึงด่าพร่ำ |
กูก้อยพลอยสับยับระยำ |
มันทิ่มตำเต้นออกมานอกชาน |
เดิมว่ากะไรกันไม่ทันรู้ |
ถามศรีมาลาดูเถิดนะหลาน |
ของเอ็งมันเหลือเบื่อรำคาญ |
นานไปเอ็งอ้อยก็เหมือนกัน ฯ |
๏ พระไวยถามพลันมิทันช้า |
เดิมทีศรีมาลาอย่างไรนั่น |
จึงฉาวไปทั้งเรือนเลื่อนเปื้อนครัน |
ทะเลาะกันเรื่องราวเป็นอย่างไร |
ใจคอกะไรหนอช่างไม่คิด |
ความอายสักนิดหามีไม่ |
ครั้นไม่ว่าชะล่าชะเลยใจ |
ใครผิดก็จะได้ดูสักที ฯ |
๏ ศรีมาลาบอกความที่ถามไถ่ |
พอหม่อมลงเรือนไปก็อึงมี่ |
ออกจากห้องร้องด่าเป็นโกลี |
ฉันนี้ยังนั่งอยู่ในเรือน |
สารพัดที่จะว่าด่าประจาน |
เหลือจะทานทนได้ไม่มีเหมือน |
แมวหมาด่าเปรอะออกเลอะเลือน |
ว่าเชี่ยนขันตกเกลื่อนแตกทำลาย |
เสาโบสถ์เสาวัดมายัดให้ |
เสือกซ้ำตำใส่เอาง่ายง่าย |
อีข้าก็พลอยระดมประสมนาย |
จันทร์อังคาธพาดปรายป่ายประชด |
ว่าไปทัพจับเชลยในเรือนนอน |
ขอดค่อนแคะประจานทุกอย่างหมด |
เห็นหม่อมมาจึงราหยุดพยศ |
เหลือจะอดอยู่แล้วคารมนาง ฯ |
๏ สร้อยฟ้าฟังความดังหนามยอก |
ชะหม่อมเมียช่างบอกเล่นต่างต่าง |
จริงแล้วทั่นฉันนี้มันจืดจาง |
ได้ทีนางแล้วก็ว่าให้สาใจ |
ตัวข้าหัวเดียวกระเทียมเน่า |
ทีว่าเราใครหาได้ยินไม่ |
ช่วยกันถมให้จมทุกด้านไป |
ครั้นเถียงบ้างก็จะไล่เข้าตบตี |
เป็นข้าว่าอีไหมที่ในเรือน |
ช่างกระเทือนถึงได้ไม่พอที่ |
เคราะห์ร้ายหมอทายมากว่าปี |
อยู่ดีดีก็มาโดนเอาโดยเดา ฯ |
๏ อุเหม่อุแหม่อีแสนงอน |
ช่างมาร่อนเสียงร้องออกเร่าเร่า |
เขาถามกันก็ถลันเข้ารับเอา |
กูรู้เท่ามึงอยู่สิ้นทุกสิ่งอัน |
แต่ต่อหน้ายังกล้ามาขึ้นเสียง |
ลับหลังใครจะเถียงได้ฤๅนั่น |
อีแสนงอนค่อนว่าสารพัน |
ใครจะทันมึงเล่าเจ้ามารยา |
แต่เด็กห้ามก็ยังปามเอาจนเจ็บ |
แนมเหน็บเอาผู้ใหญ่ไม่คิดหน้า |
ใจคอเหี้ยมโหดโฉดปัญญา |
ปากกล้าด่าคนไม่เกรงใจ |
ศรีมาลาช่วยมากี่ตำลึง |
กูมึงชี้หน้าว่าเล่นได้ |
มันเหลือเลี้ยงจะเลี้ยงเอาไว้ไย |
ฉวยกระชากไม้ได้ไล่ตีมา |
ขวับขวับยับตลอดไปทั้งหลัง |
ลายกระทั่งทั่วตัวตลอดบ่า |
สร้อยฟ้ากลัวเต็มทีวิ่งหนีมา |
ประทานโทษเมียราแต่ครั้งเดียว |
ศรีมาลาสงสารก็สิ้นแค้น |
วิ่งแล่นเข้ายุดฉุดไม้เหนี่ยว |
หม่อมตีนี่กะไรเป็นริ้วเรียว |
สร้อยฟ้าตลบเลี้ยวเข้าเรือนใน |
ปิดประตูใส่กลอนด้วยความกลัว |
กลิ้งเกลือกเสือกตัวลงร้องไห้ |
เจ็บระบมตรมทั่วทั้งตัวไป |
นางพิไรร่ำพลางเพียงวางวาย ฯ |
๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวกูเอ๋ย |
ไม่คิดเลยเมื่อพ่อพามาถวาย |
จะถูกทั้งตีด่าประดาตาย |
แสนอายสุดอย่างแล้วครั้งนี้ |
พ่อแม่อยู่ไกลไม่เหลียวเห็น |
จะได้ใครผ่อนเข็ญให้กูนี่ |
จะพึ่งผัวดังเอาตัวทุ่มอัคคี |
เขาขยี้เหยียบยับดังสับปลา |
โอ้พ่อร่มโพธิทองของน้องแก้ว |
ร่มแล้วหล่นแดดออกแผดจ้า |
กิ่งก้านเขารานเสียโรยรา |
ยังแต่ฆ่าตายเปล่าเจ้าประคุณ |
เมื่อแรกเห็นจะเป็นจิรังกาล |
มิรู้พาลพวกพกกระเชอนุ่น |
โอ้ชีวิตเห็นจะปลิดลงเป็นจุณ |
จะสิ้นบุญปลดปลงลงม้วยมุด |
เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเลไหล |
จะว่ายไปพึ่งพิงตลิ่งสุด |
จะพึ่งตอตอหลักก็หักทรุด |
จะต้องมุดตัวเร้นเป็นเรือดไร |
โอ้พ่อตราชูทองของน้องเอ๋ย |
กะไรเลยเอนเอียงหาเที่ยงไม่ |
ยามร้อนเมียจะผ่อนไปพึ่งใคร |
ทั้งญาติวงศ์อยู่ไกลกันต่างเมือง |
ทำไฉนจะให้รู้ไปถึงบ้าง |
เห็นสิ้นอย่างสุดหล้าฟ้าเหลือง |
ครั้งนี้เห็นทีจะฝืดเคือง |
ใครเลยจะกระเตื้องให้คืนตรง |
มีแต่พวกพาลาพากันซ้ำ |
เห็นจะจมมันก็ตำแล้วค้ำส่ง |
กระเดือกดิ้นกว่าจะสิ้นชีวิตลง |
อันจะคงคืนรอดเห็นเต็มที |
๏ ดังเพชรนิลบิ่นหลุดออกจากเรือน |
ทลายแหลกแตกเปื้อนลงป่นปี้ |
จะมืดคล้ำดำไปไม่มีดี |
สักกี่ปีจะได้คืนขึ้นเรือนรอง |
คะนึงครวญป่วนจิตรคิดระคาย |
ไม่เหือดหายหันหุนยิ่งขุ่นหมอง |
ให้คิดแค้นศรีมาลาน้ำตานอง |
แต่ตรึกตรองตรอมใจไม่ไสยา |
พอดึกนึกได้ในทันที |
ขรัวครูของเรามีดีหนักหนา |
นานแล้วมิได้จะไปมา |
จะยังอยู่ฤๅว่าเที่ยวเชือนแช |
จำจะเสาะแสวงให้แจ้งความ |
ว่าไปอยู่อารามแห่งไหนแน่ |
ได้เถรขวาดเป็นสมอารมณ์แท้ |
ถ้าพบแกครั้งนี้มิเป็นไร |
คะนึงครวญจนจวนเข้ายามสาม |
ให้วาบหวามจิตรปลงภวงค์ไหว |
มือซ้ายก่ายหน้าตรึกตราไป |
จนหลับใหลสิ้นสมปฤดี ฯ |
๏ ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างฟ้า |
พระสุริยาแจ่มจำรัสรัศมี |
เจ้าสร้อยฟ้าตื่นพลันทันที |
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา |
กลุ้มกลัดขัดแค้นให้เคืองใจ |
ด้วยพระไวยผัวรักเป็นหนักหนา |
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา |
มันยุยงเจียนฆ่าให้ม้วยมุด |
แค้นคำที่สน่ำเสนอผัว |
ยกเนื้อยอตัวเป็นที่สุด |
ถ้านิ่งให้คงกระหน่ำซ้ำจนทรุด |
เอาจนหลุดลอยลิ่วปลิวตามลม |
กูก็ชาติเรือกุไลใบสลัด |
ถึงลมพัดก็คงเรียดเสียดประสม |
จะฝ่าฝืนคลื่นไว้มิให้จม |
ถึงใบบ้อยจะระทมก็ตามที |
เต็มจนก็จะทนลงทอดสู้ |
เมื่อจะอยู่ฤๅมิอยู่ให้รู้ที่ |
จำจะหาต้นหนที่คนดี |
มาช่วยชี้ทิศให้ในสายชล |
เถรขวาดเธอฉลาดล้ำมนุษย์ |
พอจะยุดเหนี่ยวเถรเป็นต้นหน |
มันทำแค้นกูก่อนให้ร้อนรน |
จะแก้แค้นแทนทนในครั้งนี้ |
คิดแล้วจึงเรียกอีไหมเหวย |
อย่าช้าเลยออเจ้าเข้ามานี่ |
กูเจ็บช้ำนี่กะไรใช่พอดี |
ฤๅจะโจทเจ้าหนีก็ตามใจ |
นี่เจ้าคิดอย่างไรในใจเจ้า |
เห็นว่าเราเสียทีฤๅอีไหม |
จะเป็นพวกศรีมาลาฤๅว่าไร |
จงบอกไปจริงจริงอย่านิ่งฟัง ฯ |
๏ อีไหมฟังว่าน้ำตาย้อย |
ข้าน้อยก็เป็นข้ามาแต่หลัง |
พระแม่เจ้าเลี้ยงไว้ที่ในวัง |
ตั้งแต่แม่ยังเป็นข้าไท |
เจ้ายากจากเวียงเชียงใหม่มา |
ยังอุตส่าห์สู้ยากหาจากไม่ |
มาเห็นเขาข่มเหงไม่เกรงใจ |
ลูกนี้ไม่วายแค้นสักเวลา |
ถ้าวานนี้ช่วยได้ก็ไม่ฟัง |
จะเฆี่ยนหลังเสียให้ตายก็ไม่ว่า |
แม่จะคิดฉันใดในปัญญา |
แก้แค้นศรีมาลาให้แหลกลง ฯ |
๏ ข้าคิดแล้วนางไหมอย่าได้พรั่น |
ขยี้มันให้เป็นแป้งระแนงผง |
ครูเราเจ้าหัวนี้ตัวยง |
เพียงดังองค์ปู่เจ้าสมิงพราย |
แม้นว่าใครดีผีก็อยู่ |
สู่ใครให้พบก็พบง่าย |
ให้เป็นก็เป็นสะดวกดาย |
ถ้าให้ตายก็ตายลงทันตา |
ชำนิชำนาญการเสน่ห์ก็ถนัด |
เอ็งเร่งรัดเร็วรีบออกไปหา |
เล่าความตามเข็ญที่เป็นมา |
แม้นเถรขวาดนับหน้าอย่านอนใจ |
จงเห็นแก่พระปิ่นเชียงอินท์นั้น |
ผ่อนผันแก้แค้นให้จงได้ |
จะให้ทองห้าตำลึงให้ถึงใจ |
ตัวเอ็งก็จะให้ถึงส่วนกัน ฯ |
๏ อีไหมว่าไฮ้อย่าว่าเจ้า |
ข้อยบ่เอาสินจ้างเป็นอย่างซั่น |
จริงแล้วเจ้าหัวตัวสำคัญ |
ตัวของฉันจะลาไม่ช้าที |
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า |
วันทาลุกออกไปจากที่ |
ลูบตัวหัวใส่น้ำมันตะนี |
ห่มสีนกกาลิงดูพริ้งเพรา |
ผ้านุ่งพุ่งไหมตาตาราง |
สอดซับในบางชมพูเข้า |
ส้มสูกเลือกสรรแต่กลั่นเกลา |
กินข้าวเช้าอิ่มพลันก็ครรไล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเถรขวาดราชครู |
แต่เดิมอยู่วัดเวียงที่เชียงใหม่ |
รู้วิชาสารพัดจัดเจนใจ |
ทั้งเวียงชัยขึ้นชื่อระบือฤทธิ |
เมื่อทัพไทยไปประชิดติดเชียงใหม่ |
ไปอยู่ป่าหาเหล็กไหลกายสิทธิ |
พอรู้จะมาสู้ปัจจามิตร |
ไม่สมคิดเพราะไทยได้พารา |
เจ้าเชียงใหม่ให้สัตย์เสียเสร็จสิ้น |
เถรเสียดายดังจะดิ้นดับสังขาร์ |
ครั้นเมื่อต้อนลาวลงอยุธยา |
เจ้าเชียงใหม่ให้มาเป็นเพื่อนตน |
ด้วยเชื่อถือความรู้พระครูเถ้า |
ไว้ปัดเป่าแก้ววิบัติเมื่อขัดสน |
เอากำลังอุปเท่ห์เล่ห์เวทมนตร์ |
ช่วยให้พ้นภัยปลอดรอดกลับไป |
ครั้นว่าเจ้าเชียงใหม่ได้คืนหลัง |
แต่สร้อยฟ้านั้นยังต้องอยู่ใต้ |
เธอห่วงลูกอาวรณ์ร้อนฤทัย |
จึงสั่งให้ราชครูอยู่เพื่อนนาง |
เผื่อจะเกิดขุกเข็ญเป็นอย่างไร |
ให้เถรคอยแก้ไขเมื่อขัดขวาง |
อย่าให้ใครล่วงรู้ดูท่าทาง |
ให้เป็นอย่างพระธุดงค์ที่ลงมา |
เถรขวาดรับคำแล้วทำตาม |
ไปอยู่วัดพระรามเกือบพรรษา |
แกไม่ทิ้งเพศลาวชาวลานนา |
ฉันสุราเข้าค่ำอยู่ร่ำไป |
ไปลงโบสถ์เมามายทำวายวุ่น |
จนเจ้าคุณพระพิมลไม่ทนได้ |
ว่าเถรตู้ขี้เมาไม่เอาไว้ |
จึงขับไล่จากคณะวัดพระราม |
เถรก็เที่ยวซัดเซระเหระหน |
กับเณรจิ๋วสองคนเที่ยวด้นถาม |
จะหาวัดลับลี้หนีถ้อยความ |
พยายามมาถึงวัดพระยาแมน |
เห็นกุฎีมีร้างข้างป่าช้า |
ทั้งพระเณรศิษย์หาไม่หนาแน่น |
ก็เข้าอยู่อาศัยไปตามแกน |
เที่ยวบิณฑ์บาตขาดแคลนพอเลี้ยงตัว |
แต่เณรจิ๋วนั้นดีมีปัญญา |
เที่ยวบอกเล่าข่าววิชาของท่านขรัว |
ว่าศักดิสิทธิฤทธีภูตผีกลัว |
รักษาใครหายทั่วทุกแห่งมา |
พวกชายหญิงชาวบ้านร้านตลาด |
ก็เกลื่อนกลาดติดตามมาถามหา |
บ้างมาขอเครื่องรางบ้างขอยา |
บ้างขอผ้าประเจียดลงเป็นองค์พระ |
ที่บ้างถูกคุณไสยมาไหว้บน |
ให้ปัดเป่าเอาน้ำมนต์รดศีรษะ |
เขาถวายข้าวปลาธารณะ |
ค่อยเปลื้องปละอดอยากลำบากใจ |
แต่ลางวันพ้นเพลตาเถรเถ้า |
ยังกินเหล้าเข้าค่ำหาทิ้งไม่ |
จะต้องเลี้ยงหมาไว้เห่าเฝ้าบันได |
ใครจู่มาหมาไล่ให้รู้ตัว |
สบเพลากินเหล้ายังเมามาย |
เณรก็ช่วยเพทุบายให้ท่านขรัว |
ว่าท่านอาพาธไปให้มึนมัว |
พอยังชั่วจะไปบอกให้ออกมา |
เพราะเณรจิ๋วรู้เช่นเห็นความชั่ว |
ก็ไม่กลัวขรัวครูจะด่าว่า |
อยู่ด้วยเพราะสมัครรักวิชา |
จึงได้เป็นศิษย์หาต่างตาใจ ฯ |
๏ วันนั้นนางไหมไปตอนเช้า |
ถึงเข้าถามพระครูอยู่ฤๅไม่ |
พอหมาเห็นเห่าโฮกกระโชกไป |
ล้อมนางไหมไล่กระชั้นอยู่พันพัว |
เณรจิ๋วร้องเฉดไอ้เปรตหมา |
นั่นใครมาหาข้าฤๅหาขรัว |
นางไหมหนีหมาประหม่ากลัว |
ร้องเจ้าหัวจงช่วยข้อยด้วยรา |
เณรจิ๋วไล่หมาคว้าข้อมือ |
ลากรื้อขึ้นข้างบนให้พ้นหมา |
เคยรู้จักยักคิ้วทำหลิ่วตา |
ฉวยชายผ้าข้าขอเถิดเป็นไร |
นางไหมปัดมือว่าฮือจ้า |
ปลาขอดแล้วยังกระดิกได้ |
เณรจิ๋วว่าปลาหมอบ่ท้อใคร |
ถึงเกล็ดลอกปอกไปใจยังดี |
นางไหมว่าไฮ้เจ้าเณรจิ๋ว |
ฉังจ้าปลาซิวตามตอดขี้ |
ว่าพลางย่างเท้าเข้ากุฎี |
เห็นตาชีเถรขวาดขัดสมาธิเอน |
ก็ทรุดนั่งวางกระทายไหว้ท่านขรัว |
ว่าเจ้าตัวใช้ข้ามาหาเถร |
ยกส้มสูกลูกไม้ไปประเคน |
เจ้าเณรรับถ่ายกระทายคืน ฯ |
๏ เถรขวาดทักว่าสีกาไหม |
ช่างนานมานานไปเหมือนคนอื่น |
ให้รูปคอยน้อยฤๅทุกวันคืน |
ไม่มีชื่นจนจะหง่อมลงงอมแงม |
สีกาลงมาแต่เชียงใหม่ |
ค่อยสบายฤๅไรดูเห็นแจ่ม |
ห่มสอดสีรับสลับแกม |
สองแก้มเป็นกระติกน่าเอ็นดู |
ถ้าอยู่เวียงเชียงใหม่ที่ไหนเล่า |
จะใส่ต่างวางเข้าจนกบหู |
ลงมาอยู่เมืองใต้ไทยเป็นครู |
รูหูแคบเชือนเหมือนกับไทย |
เจ้านายใช้มาเป็นหยังหั้น |
อยู่ดีด้วยกันฤๅไฉน |
ฤๅว่าเกิดทุกข์โศกมีโรคภัย |
นางไหมมีผัวแล้วฤๅยัง ฯ |
๏ นางไหมไหว้ตอบขรัวตาขวาด |
ไร้ญาติบ่เห็นจะเป็นฉัง |
แสนลำบากยากจนพ้นกำลัง |
อยู่ลำพังบ่าวนายไม่คลายใจ |
อันลูกผัวตัวข้อยนี้แสนขลาด |
แต่ตลาดก็บ่ออกไปเบิ่งได้ |
นับเบี้ยก็บ่เป็นเหมือนเช่นไทย |
นี่เจ้าใช้มาดอกจึงออกมา |
ด้วยว่าหม่อมไวยผัวกับตัวนาง |
เริศร้างแรมรักเสียหนักหนา |
ไปเชื่อถ้อยฟังคำศรีมาลา |
เขายุให้ตีด่าดังข้าไท |
เจ้าหัวโปรดด้วยไปช่วยกัน |
เชิญขวัญหม่อมมาให้จงได้ |
ให้นอนด้วยองค์นางพอสร่างใจ |
ท่านจะให้ทองมาห้าตำลึง ฯ |
๏ เถรขวาดหัวร่ออ่อเท่านั้น |
ให้เชิญขวัญหม่อมไวยมาให้ถึง |
นอนกับนายของเจ้าได้เคล้าคลึง |
ความขึ้งเคียดนั้นจะพลันคลาย |
ข้อธุระสีกามาหาเรา |
จะช่วยเจ้าอย่าวิตกให้โศกหาย |
แต่ความทุกข์ของหลวงตาประดาตาย |
เจ้านายโปรดบ้างจะบางเบา |
ว่ากันตัวต่อตัวแต่หัวที |
ถ้าสิ้นทุกข์โศกดีจะขอเจ้า |
เอาไว้อยู่คู่ชีวิตแทนศิษย์เรา |
พอหุงข้าวกลางวันให้ฉันเพล ฯ |
๏ นางไหมว่าไฮ้ขรัวตาขวาด |
ข้าบ่ปรารถนาเว้าเอาผัวเถร |
ตาจนเป็นน้ำข้าวมาเร้าเกน |
เดนแร้งถามข่าวทุกคราววัน |
หาคิดถึงตัวไม่อยากได้สาว |
จะสึกห่อผ้าขาวฤๅไรนั่น |
อายุเก้าสิบปีบ่มีฟัน |
แมลงวันตัวเมียบ่บินตอม ฯ |
๏ เถรว่าตัวเราถึงเถ้าแก่ |
ก็ชอบชมสาวแส้แก้มหอมหอม |
นี่คนแก่ดอกมิใช่ลูกไม้งอม |
ถึงนกหกมาตอมไม่หล่นไป |
อันมนุษย์นี้มันสุดที่ไหนเจ้า |
ถึงแก่เถ้าก็เผยอเอออวยได้ |
ยังไม่เหม็นคาวปลาอย่าว่าไป |
การงานทำได้เรี่ยวแรงมี |
เป็นแต่ว่าเหนื่อยนักขี้มักหอบ |
ต้องวางจอบนั่งพูดดูดบุหรี่ |
น้ำท่าหากินไปตามที |
พอแรงมีลุกขึ้นจ้ำจนค่ำลง |
กระถดเข้ามานี่สีกาไหม |
วานเข้ามาให้ใกล้หยิบผ้าส่ง |
จริงหนาว่ากันให้มั่นคง |
ดูสบงบ้างเป็นไรสุดใจจริง ฯ |
๏ เณรจิ๋วเยี่ยมหน้าคาประตู |
ว่าขรัวครูอย่าไปเว้าเอาผู้หญิง |
ข้าบอกให้มิใช่จะช่วงชิง |
เห็นนอนนิ่งอยู่แต่วัดมาอัตรา |
จะเข้าเนื้อเข้าใจอันใดนั่น |
คอยเว้าเอาแต่ฝันเถิดดีกว่า |
วันนั้นไปบิณฑ์บาตยาจนา |
เกี้ยวสีกามันยังก้มถ่มน้ำลาย |
เถรขวาดร้องว่าฮ้าอ้ายจิ๋ว |
อ้ายอัปรีย์ขี้ริ้วพูดง่ายง่าย |
เพ้อเจ้อเซ้าซี้ไม่มีอาย |
ตะวันบ่ายหาเพลเถิดเณรเคอะ |
เณรจิ๋วขัดใจไพล่ลุกมา |
หลวงตานั่งเกี้ยวคนเดียวเถอะ |
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมทำหยำเยอะ |
เถรด่าว่าอ้ายเตอะจะต้องตี |
อย่าว่าให้ยืดยาวเลยสาวไหม |
เจ้าเชิญให้สร้อยฟ้าออกมานี่ |
พรุ่งนี้ฤกษ์งามยามก็ดี |
จงลอบหนีออกมาอย่าวุ่นวาย ฯ |
๏ นางไหมรับคำแล้วอำลา |
พรุ่งนี้ข้อยจะมามิให้สาย |
ออกจากวัดลัดทางย่างเยื้องกราย |
แลเห็นนายนั่งเยี่ยมหน้าต่างมอง |
สร้อยฟ้าเห็นหน้าพยักยิ้ม |
อีไหมกริ่มเข้าห้องย่องค่อยค่อย |
กระซิบเล่าความออกบอกตะบอย |
ข้าน้อยไปหาขรัวตาครู |
ท่านขรัวเห็นแน่ว่าแก้ได้ |
อย่าให้เสียน้ำใจจะช่วยอยู่ |
พรุ่งนี้ให้ไปหาว่ากันดู |
เจ้ากูจะทำให้สำคัญ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า |
ฟังว่าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
นอนตรึกนึกสมอารมณ์ครัน |
ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันใด |
ไปอาบน้ำชำระราคี |
ขัดสีนวลละอองให้ผ่องใส |
เห็นรอยตีที่แขนยังแค้นใจ |
หลังไหล่ลูบช้ำระกำกาย |
เจ็บแผลแต่ไม่ถึงที่เจ็บใจ |
ไม่แก้แค้นมึงได้ก็ไม่หาย |
ถึงรอยไม้หายแล้วก็ไม่วาย |
ยังไม่ตายแล้วจะแก้ไม่แพ้มัน |
ผลัดผ้าลุกมาเข้าห้องนอน |
ค่อนค่อนอกใจให้หวั่นหวั่น |
หวีหัวผัดหน้าสียาฟัน |
ห่มสไบสองชั้นเข้าทันที |
หยิบหีบหมากส่งให้อีไหมรับ |
พลางขยับลุกเลื่อนออกจากที่ |
ข้าวของสมควรล้วนดีดี |
ส่งให้ทาสีที่ไว้ใจ |
พอพระไวยไปเฝ้าเจ้าก็มา |
ใครหาทันสงกาสังเกตไม่ |
ถึงวัดพระยาแมนเข้าทันใด |
ขึ้นไปบนกุฎีด้วยปรีดา |
นั่งราบกราบกรานอาจารย์เจ้า |
ของข้าวประเคนให้หนักหนา |
บ่าวไพร่ให้ไปพักอยู่ศาลา |
สร้อยฟ้ากับอีไหมอยู่ในนั้น |
สร้อยฟ้าวอนว่าพระอาจารย์ |
ความทุกข์ของหลานนี้สุดกลั้น |
ด้วยหม่อมผัวทำโพยโบยรัน |
ให้น้อยน้ำหน้ามันศรีมาลา |
ยุแยงแสร้งส่อทุกสิ่งไป |
พระไวยเชื่อฟังที่มันว่า |
ละร้างห่างเหทุกเวลา |
ปะตามีแต่ค้อนให้เคืองใจ |
ทั้งท่านทองประศรีที่เป็นย่า |
ระดมด่าเคี่ยวเข็ญหาเว้นไม่ |
ขรัวปู่เอ็นดูให้พ้นภัย |
ให้พระไวยนั้นกลับมาหลับนอน |
ว่าพลางทางแก้ซึ่งถุงทรัพย์ |
นับให้ขวัญข้าวเจ้าหัวก่อน |
ถ้าหม่อมไวยเธอมาอย่าอาวรณ์ |
จะขนคอนมาให้ทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ เถรขวาดนิ่งนั่งฟังสร้อยฟ้า |
แล้วตอบว่าทุกข์ไปทำไมนั่น |
ถ้ารูปทำลงให้ไม่ถึงวัน |
พระไวยก็จะหันมาคืนดี |
ว่าแล้วเท่านั้นมิทันช้า |
จุดธูปเทียนบูชาเข้านั่งที่ |
หยิบขันสำริดประสิทธี |
ฤกษ์ดีตักน้ำมาเสกพลัน |
อึดใจเป่าไปก็พล่านพลุ่ง |
เป็นฝอยฟุ้งฟองฟูขึ้นท่วมขัน |
ส่งไปให้เจ้าสร้อยฟ้านั้น |
อธิษฐานเสียให้ทันที่ฤกษ์ดี ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า |
รับทูนเกศาเกษมศรี |
ขอพระเวทวิเศษประสิทธี |
ให้สูญสิ้นราคีที่ร้ายรอง |
จงเข้าดลใจพระไวยผัว |
ให้มืดมัวลุ่มหลงลงมาห้อง |
แล้วชิงชังศรีมาลาอย่านึกปอง |
ต้องมนตร์พันพัวให้มัวใจ |
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วสระผม |
ที่เกรียมตรมขุ่นหมองค่อยผ่องใส |
นวลหน้าฝ้าจับกระจายไป |
สบายใจพูดจากับอาจารย์ ฯ |
๏ ครานั้นเถรขวาดราชครู |
พิเคราะห์ดูปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
หยิบขี้ผึ้งปากผีมามินาน |
เอาเถ้าพรายมาประสานประสมพลัน |
ลงอักษรเสกซ้อมแล้วย้อมถม |
เป่าด้วยอาคมแล้วจึงปั้น |
เป็นสองรูปวางเรียงไว้เคียงกัน |
ชักยันต์ลงชื่อศรีมาลา |
อิกรูปหนึ่งลงชื่อคือพระไวย |
เอาหลังติดกันไว้ให้ห่างหน้า |
ปักหนามแทงตัวทั่วกายา |
แล้วผูกตราสังมั่นขนันไว้ |
ซ้ำลงยันต์พันด้วยใบเต่ารั้ง |
ให้เณรจิ๋วไปฝังป่าช้าใหญ่ |
แล้วปั้นรูปสร้อยฟ้ากับพระไวย |
เอาใบรักซ้อนใส่กับเลขยันต์ |
เถรนั่งบริกรรมแล้วซ้ำเป่า |
พอต้องสองรูปเข้าก็พลิกผัน |
หันหน้าคว้ากอดกันพัลวัน |
เอาสายสิญจน์เข้ากระสันไว้ตรึงตรา |
รูปนี้จงฝังไว้ใต้ที่นอน |
ไม่ข้ามวันก็จะร่อนลงมาหา |
แล้วเสกแป้งน้ำมันจันทน์ทา |
ประสมด้วยว่านยาน้ำมันพราย |
ครั้นเสร็จส่งให้เจ้าสร้อยฟ้า |
ไปเถิดสีกาตะวันสาย |
พรุ่งนี้ถ้ากะไรได้แยบคาย |
ให้นางไหมขยายมาส่งเพล ฯ |
๏ เจ้าสร้อยฟ้าตอบว่าอย่าร้อนใจ |
ขอแต่ให้สมคิดเถิดคะเถร |
ว่าแล้วอำลาทั้งเถรเณร |
ออกบริเวณวงวัดลัดกลับไป |
พอถึงเคหาพยายาม |
ทำตามเถรสั่งหาช้าไม่ |
ครั้นพลบค่ำร่ำคอยละห้อยใจ |
ทอดตัวลงในที่นอนครวญ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าหมื่นไวย |
นอนอยู่ในห้องฝันให้ปั่นป่วน |
ว่าสาวน้อยสร้อยฟ้ามาเชิญชวน |
ให้ไปนอนแนบนวลที่ห้องนาง |
หลงพูดพึมเพ้อละเมอหา |
ตื่นขึ้นเห็นศรีมาลาอยู่เคียงข้าง |
ให้ร้อนวาบปลาบใจดังไฟฟาง |
พลิกกระด้างกระเดื่องดูไม่เต็มตา |
สว่างแสงอัจกลับวะวับห้อง |
ละเมอมองเงาฉงนชะโงกหา |
พระพายพัดเกสรขจรมา |
หวั่นวาบวิญญาณ์สยองใจ |
พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างดวง |
โชติช่วงดาวอร่ามวามไสว |
เที่ยวค้นคว้าหาน้องในห้องใน |
ต่อเข้าใกล้จึงรู้ว่าผิดคน |
คิดว่าเจ้ามิรู้เงาพฤกษชาติ |
ให้หวั่นหวาดหนังพองสยองขน |
ฤๅผีร้ายมันลองคะนองตน |
แต่เพ้อพกมาจนถึงเรือนนาง |
เข้าแอบฟังข้างฝาสงัดเงียบ |
ไม่ไหวเกรียบประทีปไฟไสวสว่าง |
ผลักบานดาลดึงอยู่กึ่งกลาง |
เคาะเคาะคอยพลางจะดูที ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า |
ไม่พูดจาจามไอให้อึงมี่ |
เห็นเดชะพระเวทวิเศษดี |
ด้วยเถรชีสั่งไว้ทุกสิ่งพร้อม |
ถ้าแม้นผัวมาหาอย่ากลัวผิด |
ให้ลองฤทธิพระครูดูใจหม่อม |
จะเกรี้ยวกราดเหมือนแต่ก่อนฤๅหย่อนยอม |
ใครมาด้อมอยู่นี่ผีฤๅคน |
ช่างไม่เกรงน้ำใจพระไวยผัว |
ตัวข้อยสร้อยฟ้านี้ยับป่น |
ต้องโบยตีเหลือที่จะทานทน |
ฤๅผีปู่สู่ตนจะบนบวง |
ยังอุตส่าห์มาเยียนต้องเฆี่ยนตี |
พรุ่งนี้จะเชิญไปกินขวง |
คงจะให้แก่เจ้าบ่เว้าลวง |
อย่าเป็นห่วงมาห้องน้องจะนอน ฯ |
๏ โอ้ว่าสร้อยฟ้าแก้วตาพี่ |
มิใช่ผีสางดอกมาหลอกหลอน |
ดวงจิตรเจ้าอย่าคิดอนาทร |
ขวัญอ่อนเจ้าอย่าอาลัยครวญ |
เจ้าหวาดหวั่นวันตีเมื่อต้องโทษ |
ขวัญแม่โลดผาดผันจึงปั่นป่วน |
มาจะรับขวัญน้องประคองควร |
ให้คืนเข้าร่างนวลสนิทกาย |
งามแช่มแม่จงแย้มใบดาลรับ |
อย่าหวนหับห้องเมินเชิญขยาย |
จงคลายโศกเสื่อมทุกข์สุขสบาย |
เหือดหายที่โทษบรรเทาใจ ฯ |
๏ หม่อมดอกฤๅฉันไม่ทันรู้ |
ฉันคิดอยู่ว่ามาจะไม่ได้ |
นี่หม่อมมาได้ลาแล้วฤๅไร |
ไม่เกรงใจแม่ศรีมาลาเลย |
ถ้าหล่อนฟื้นตื่นขึ้นไม่พานพบ |
จะเต้นหรบอยู่แล้วแก้วแม่เอ๋ย |
จะตามหาท่านผู้ชายร้อยวายเวย |
นิจจาเอ๋ยก็จะชวดที่ชมกัน |
เชิญกลับไปห้องอย่าหมองมัว |
ฉันคนชั่วดอกมิใช่สาวสวรรค์ |
สารพัดชั่วช้าทุกสิ่งอัน |
เถิดเท่านั้นเมื่อแล้วก็แล้วไป |
หลังน้องพองพังไปทั้งกาย |
หารู้ที่จะสบายด้วยหม่อมไม่ |
รอยไม้ลายทั่วทั้งตัวไป |
เจ็บทั้งในนอกเนื้อก็เหลือทน |
ยังจะมาก่อกรรมให้ซ้ำเสีย |
หน่อยหม่อมเมียจะมาด่าเล่นจ้นจ้น |
แต่กระนี้ยังไม่วายจะอายคน |
จะก่อกวนให้เขาก่นกะไรไป ฯ |
๏ โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย |
อย่านึกเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ |
พี่รักเจ้าเท่าเทียมกับดวงใจ |
มิได้วายรักสักเวลา |
ผิดพลั้งมั่งก็ตีกันซีเจ้า |
ฤๅเปล่าเปล่าผัวพาลพาโลว่า |
เจ้าขึ้นเสียงเปรี้ยงชี้ไม่พริบตา |
โกรธาดอกจึงถึงทุบตี |
เป็นเหตุเพราะเจ้าห้าวหาญนัก |
ฮึกฮักไม่เกรงน้ำใจพี่ |
คลายแค้นก็ยังแสนจะปรานี |
เจ้าถือโทษประหนึ่งพี่จะเด็ดไป |
ผัวผิดคิดมั่งเมื่อครั้งรัก |
จะหาญหักเคียดขึ้งไปถึงไหน |
จงเสื่อมโศกสร่างเศร้าให้เบาใจ |
อย่าตัดไมตรีพี่นี้จริงจริง ฯ |
๏ อย่าพักวอนให้อ่อนไม่หายแค้น |
เหลือแสนฝังใจไว้ทุกสิ่ง |
ยามดีมีแต่จะชังชิง |
คุณหญิงยิ่งยั่วให้หยามใจ |
หม่อมด่าสารพัดจะตัดรอน |
แคะค่อนขอดว่าไม่ปราศรัย |
รอดด้วยพ่อชุมพลจึงพ้นภัย |
ไม่หลบเข้าห้องได้ก็วายปราณ |
แต่กระนั้นยังขยับจับกระบี่ |
หม่อมศรีมาลาซ้ำเอาฉานฉาน |
ด่าให้เมียฟังตั้งประจาน |
เพื่อนบ้านเบื่อฟังกำลังมัว |
ไม่หนำใจใส่ความว่าทะเลาะ |
ฉวยดาบมาจะเฉาะกะลาหัว |
ว่าเล่นว่าได้จะให้กลัว |
เพราะหม่อมหญิงหล่อนยั่วให้ยวนใจ |
เออเมื่อกอดจูบกันทำหยันเย้ย |
หัวอกใครไหนเลยจะอดได้ |
มากล่าวแต่ลมลวงให้ลืมไป |
ฉันเข้าใจไม่มีเปล่าทุกเช้าเย็น |
ถึงกรางทองให้กินไม่ยินดี |
ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ขอเห็น |
ผู้ชายปราบปรามเมียก็ไม่เป็น |
เอ็นลิ้นสิ้นดีแต่เล่ห์กล ฯ |
๏ เออน่าฟังน้อยฤๅถ้อยคำ |
ช่างจะร่ำไรเรื่องแต่เบื้องต้น |
เมื่อขึ้นเสียงย่อนย่อนไม่ผ่อนปรน |
เจ้าก่อก่อนแล้วมาบ่นเอากับใคร |
ผัวห้ามเจ้าจะยั้งมั่งแล้วฤๅ |
กลับดึงดื้อเอาเสียอีกหาหลีกไม่ |
กระทบกระเทียบเปรียบปรายมากมายไป |
คือว่าใครได้สลัดถึงตัดรอน |
ผัวห้ามก็ยิ่งพกโมโหฮึก |
กลับสะอึกเข้ามาเถียงเอาย่อนย่อน |
ผัวมาหากลับว่าเป็นแง่งอน |
ความที่ร้อนรักนุชนี้สุดทน |
พี่เรียกหาแก้วตาไม่เปิดรับ |
ยังมากลับว่าพี่จนปี้ป่น |
ว่าพลางทางร่ายพระเวทมนตร์ |
สะเดาะกลอนถอนหล่นลงทันที ฯ |
๏ สร้อยฟ้าผลักกรานใบดาลเปิด |
ดูเอาเถิดหม่อมไวยอะไรนี่ |
แกล้งกวนโมโหเป็นโกลี |
ประเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็เป็นไป ฯ |
๏ ชิต้าฉาแต้เจ้าแม่เอ๋ย |
คารี้คารมกะไรเลยหาเหือดไม่ |
คันมือเถิดฤๅให้สมใจ |
ทำเป็นคว้าหาไม้จะตีเอา ฯ |
๏ กล้าดีตีซิไม่ฟังกัน |
หุนหันหดมือไปไหนเล่า |
มิข่วนให้เลือดพรูก็ดูเอา |
ทำผลักไสไม่ให้เข้ามาไยดี ฯ |
๏ ชะกะไรใจน้องดื้อจริงหนอ |
สะพ้านคอเอนเอียงลงกับที่ |
อุ้มขึ้นที่นอนวอนพาที |
ผัวไม่ตีให้เจ้าช้ำระกำใจ |
น้องเอ๋ยเลิกทีที่ขุ่นเคือง |
จะกระเดื่องกระดากดิ้นผินไปไหน |
ว่าพลางสอดคล้องทำนองใน |
สำราญใจจนหลับไปกับนาง ฯ |
๏ ครั้นแสงทองส่องฟ้าเวหาเหลือง |
อร่ามเรืองเหนือใต้ไสวสว่าง |
แดดส่องเข้าช่องหน้าต่างกาง |
พระไวยนางสร้อยฟ้าก็ตื่นพลัน |
ลูกจากเตียงชวนกันบ้วนปาก |
อีไหมคลานเอาพานหมากมาตั้งนั่น |
ปะตาสร้อยฟ้าให้ตากัน |
ฝ่ายพระไวยผายผันจะเข้าวัง |
ผลัดผ้าคว้าร่มลงจากเรือน |
ทนายหนุ่มกลุ้มเกลื่อนมาตามหลัง |
คิดถึงสร้อยฟ้าพะว้าพะวัง |
จนกระทั่งท้องพระโรงเข้าทันใด |
เจ้าพระยาพระหลวงแลหมื่นขุน |
ว้าวุ่นเข้าเฝ้าอยู่ไสว |
ปางพระองค์ผู้ดำรงภพไทร |
สำราญราชหฤทัยเปรมปรีดิ์ |
พระจึงมีสีหนาทประภาษถาม |
อ้ายพลายงามเป็นกะไรจึงหมองศรี |
ดูหน้าตาฝ้าคล้ำไม่มีดี |
เอ็งนี้ไม่สบายด้วยอันใด |
ฤๅเมียมึงหึงหวงจ้วงจาบ |
หยามหยาบเกินเลยฤๅไฉน |
ใครมีเมียสองมักหมองใจ |
จะหาความสบายได้มิใคร่มี |
ถ้าแม้นมีสามสี่เสียดีกว่า |
ต้องตำราว่าเป็นสุขเกษมศรี |
แน่ะกูว่าแล้วเอ็งตรองดูให้ดี |
มันจะเป็นราคีข้างหน้าไป ฯ |
๏ พระหมื่นไวยบังคมก้มเกล้า |
ให้มัวเมาหมกมุ่นไม่ทูลได้ |
ไม่สว่างสร่างมนตร์ที่ดลใจ |
จึงมิได้กราบทูลพระกรุณา ฯ |