๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ |
เลิศลบธรณีไม่มีสอง |
เนาในปรางค์มาศปราสาททอง |
ทรงตรองตริราชการเมือง |
ตะวันบ่ายชายแสงพระสุริยา |
ผ่านฟ้าสระสรงทรงเครื่อง |
พรายแพรวแก้วทองรองเรือง |
นางในแน่นเนื่องประนมกร |
เสด็จออกพระที่นั่งบัลลังก์อาสน์ |
หมู่อำมาตย์หมอบเฝ้าแลสลอน |
ดำรัสถามเนื้อความราษฎร |
เป็นตายตัดรอนตามอาญา |
ผันพระพักตร์เหลือบแลแปรไป |
นั่นใครหมอบอยู่ข้างท้ายหวา |
อ้ายขุนช้างฤๅใครไปไหนมา |
อกใจไหล่บ่าเป็นรอยตี |
หน้าผากถลอกเป็นริ้วรอย |
ผมผ้อยย่อยยับดังสับสี |
โล้นเกลี้ยงเพียงหูดูอัปรีย์ |
ใครตีมึงมาฤๅว่าไร ฯ |
๏ ขุนช้างประหม่าอยู่เป็นครู่ |
รับสั่งค้างอยู่ไม่ทูลได้ |
พระจึงมีสีหนาทประภาษไป |
ใครทำไมมึงอ้ายขุนช้าง |
ขุนช้างตัวสั่นอยู่งันงก |
พระหมื่นศรีตีอกเข้าต้ำผาง |
รับสั่งไยมึงจึงนิ่งพราง |
ขุนช้างตัวสั่นพลันทูลไป |
ขอเดชะตัวเกล้ากระหม่อมฉาน |
ชื่อว่าขุนช้างล้านบ้านรั้วใหญ่ |
บิดาชื่อว่าขุนศรีวิชัย |
เทพทองนั้นไซร้เป็นมารดา |
พี่ชายคนหนึ่งชื่อพันศร |
เขาเกิดมาก่อนเป็นลูกป้า |
ถัดนั้นศรพระยาราทยา |
แล้วจึงถึงข้าพระบาทไซ้ |
กระหม่อมฉันมีเมียชื่อแก่นแก้ว |
ลูกท่านตาหมื่นแผ้วบ้านรั้วใหญ่ |
ป่วยเป็นริดสีดวงตากลวงไป |
แต่ตายนั้นก็ได้หลายปีมา ฯ |
๏ พระองค์ทรงขัดพระทัยนัก |
ใครซักสำมะโนครัวมึงเล่าหวา |
ขุนช้างตกใจได้สติมา |
กราบทูลยังประหม่าอยู่วุ่นวาย |
เอาหน้าเป็นหลังหลังเป็นหน้า |
เจ้าวันทองขี่ม้าเข้าป่าหาย |
โจรไพรใหญ่น้อยก็มากมาย |
อาวุธตกกระจายออกเกลื่อนไป |
ขุนแผนลูกยายทองประศรี |
เงินทองของดีเป็นไหนไหน |
กับวันทองสองคนที่ต้นไทร |
ช้างม้าตกใจไล่เข้ามา |
เฆี่ยนด้วยหนามหวายทั้งนายไพร่ |
สายสิญจน์วงไว้รอบเคหา |
จะผูกคอให้ตายวายชีวา |
ศรพระยาโดดช้างวางเข้ารก |
ผู้คนตายยับนับร้อย |
ข้าวของเล็กน้อยก็พลัดตก |
มันขี่ม้าหมอกออกไล่ชก |
ยกศาลขึ้นไว้ใกล้ประตู ฯ |
๏ รับสั่งว่ากูฟังไม่เข้าใจ |
เป็นอย่างไรปลายต้นสับสนอยู่ |
จมื่นศรีถามอ้ายขุนช้างดู |
เป่าหูให้มันว่าอย่าตกใจ |
พระหมื่นศรีรับสั่งแล้วจึงถาม |
แรกเริ่มเดิมความเป็นไฉน |
ขุนช้างค่อยทุเลาเบาใจ |
ปดแนมแกมใส่สอดเนื้อความ |
เดิมทีข้าพเจ้ากับวันทอง |
หลับอยู่ในห้องเมื่อยามสาม |
ผู้ร้ายสะกดโกนหัวเลือดไหลทราม |
เอามินหม้อเขียนปามจนตัวลาย |
ม่านงามงามสามชั้นหั่นลงกอง |
ข้าวของเงินตราก็สูญหาย |
รอยสายสิญจน์วงเรือนไว้รอบราย |
บัตรพลีมากมายศาลเพียงตา |
วันทองภรรยาก็หายไป |
ข้าพเจ้าบ่าวไพร่ออกตามหา |
ไปพบขุนแผนกับอาชา |
พาวันทองภรรยาอยู่ร่มไทร |
ขุนแผนคุมโจรไว้หลายร้อย |
ซุ่มคอยกระโจมโถมไล่ |
ฟันพวกไพร่ตายกระจายไป |
จับได้ข้าพเจ้าเอาตัวตี |
เฆี่ยนด้วยหนามหวายลายจนคอ |
แล้วพูดจาท้าต่อไปอึงมี่ |
ว่าฆ่าเสียลับไปไม่สู้ดี |
ถ้าปล่อยไปกรุงศรีจะยืดยาว |
มาดแม้นพระองค์เสด็จไป |
จะชนช้างชิงชัยให้ฦๅฉาว |
ชิงเอากรุงไกรได้เป็นจ้าว |
ว่ากล่าวหยาบช้าสามานย์ |
มันปลูกตำหนักป่าพลับพลาแรม |
ค่ายป้อมล้อมแหลมเป็นหน้าฉาน |
ตั้งที่ลงบังคนชอบกลการ |
นานไปก็จะเกิดกลีเมือง ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
ทรงตรึกตราเนื้อความไปตามเรื่อง |
เหม่เหม่อ้ายขุนแผนทำแค้นเคือง |
แต่ยักเยื้องอยู่กะไรไอ้ขุนช้าง |
เท็จจริงอย่างไรมิได้เห็น |
จะเป็นเหมือนมันว่าก็ผิดอย่าง |
เกิดรบพุ่งกันที่กลางทาง |
จริงบ้างเท็จบ้างกูคิดดู |
อ้ายขุนแผนพาเมียไปจากข้าง |
อ้ายขุนช้างตามไปมันต่อสู้ |
อ้ายขุนแผนกล้าดีมีความรู้ |
อ้ายขุนช้างเหมือนปูจึงย่อยยับ |
ต่อจะวิ่งกระเจิงเช้าเซิงหวาย |
ใส่ร้ายเอาว่ามันเฆี่ยนขับ |
ฟังความข้างเดียวเห็นเลี้ยวลับ |
จึงตรัสกับจมื่นศรีจมื่นไวย |
เอ็งจงออกไปเป็นแม่ทัพ |
กำกับรี้พลน้อยใหญ่ |
เกณฑ์คนห้าพันเลือกสรรไป |
จงจัดให้พร้อมถ้วนกระบวนทัพ |
ขุนเพชรนั้นให้เป็นปีกขวา |
ขุนรามอินทราปีกซ้ายสรรพ |
ไปดูให้รู้ที่ลึกลับ |
จับคำอ้ายขุนช้างเอาจริงเท็จ |
ตำหนักพลับพลาที่อาศัย |
พิเคราะห์ดูไปให้เห็นเสร็จ |
ฟังคำพูดจากาละเม็ด |
จะขามเข็ดลงบ้างฤๅอย่างไร |
บอกมันว่ากูให้เข้ามา |
ถ้อยความจะว่าชำระให้ |
เกี่ยวข้องหมองกันด้วยอันใด |
อย่าได้กลัวตัวมาไม่ฆ่าตี |
ถ้าแม้นมันดื้อดึงขึงไป |
จับได้จงฆ่าให้เป็นผี |
ตัดหัวเสียบไว้ในพงพี |
เร่งเร็วบัดนี้รีบยกไป ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยพระหมื่นศรี |
รับสั่งอัญชลีบังคมไหว้ |
คลานออกมาพลันด้วยทันใด |
สั่งเวรหมายไปให้พันพุฒ |
จัดแจงเลขผาหาเสบียง |
ฉุดคร่าด่าเถียงกันอุตลุด |
บัตรหมายให้ประแดงแย่งยุด |
ฉุดลูกเมียมาอยู่อัดแอ |
ทหารพลเรือนเกลื่อนกล่น |
ผู้คนเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ |
ม้าช้างวางวงจ่ายธงแพร |
แลดูหอกดาบออกดาษไป |
เสบียงเรียงวางกลางสนาม |
หมวกเสื้อเหลือหลามทั้งน้อยใหญ่ |
โหรหาฤกษ์ยกพลไกร |
ได้ฤกษ์พรุ่งนี้สี่โมงเช้า |
ให้ไปซ่องสุมชุมนุมคน |
ที่วัดไชยชุมพลเป็นเหล่าเหล่า |
ตัวนายไปบ้านก่อนเถิดเรา |
พรุ่งนี้เช้าเจ้าขุนช้างมาให้ทัน ฯ |
๏ ขุนเพชรอินทรากลับมาเรือน |
เสบียงเรียงเกลื่อนเมียจัดสรร |
ขุนรามก็กลับมาฉับพลัน |
บ่าวไพร่ทั้งนั้นก็เรียกมา |
ผู้คนรายเรียงเสบียงวาง |
ม้าช้างผูกแหล่งไว้แน่นหนา |
ครั้นคํ่าลงพลันมิทันช้า |
ตัวกับภรรยาเข้าเรือนนอน ฯ |
๏ ฝ่ายเมียขุนเพชรอินทราฝัน |
ว่าถูกฟันตัวขาดเป็นสองท่อน |
ผ่าอกขว้างหัวใจไปดงดอน |
ตื่นนอนตัวสั่นประหวั่นใจ |
ปลุกผัวบอกฝันด้วยหวั่นหวาด |
น้องฝันประหลาดหาเคยไม่ |
เล่าความแต่ต้นจนปลายไป |
น้องนี้พรั่นใจอยู่มากมาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนเพชรอินทรา |
ได้ฟังเมียว่าก็ใจหาย |
ครั้นกูจะแก้ว่าฝันร้าย |
จะทุกข์โศกมากมายวุ่นวายไป |
จึงเอาความดีมากลบเกลื่อน |
หลับใหลใจเฟือนหาแน่ไม่ |
เจ้าอย่าสลดรันทดใจ |
แล้วชวนเมียนอนไปในราตรี ฯ |
๏ ฝ่ายว่าเมียขุนรามอินทรา |
ฝันว่าฟันหักเป็นสามซี่ |
ตกใจผวาคว้าสามี |
พ่อเอ๋ยเมียนี้ช่างฝันร้าย |
พ่อจะไปทัพจับขุนแผน |
เมียนี้ทุกข์แทนมิ่งขวัญหาย |
วิปริตเห็นนิมิตเป็นอันตราย |
นางฟายน้ำตาเข้าร่ำไร ฯ |
๏ ครานั้นขุนรามอินทรา |
ได้ฟังเมียว่าไม่นิ่งได้ |
ประคองโฉมโลมเล้าเอาใจ |
แม่อย่าได้หวาดหวั่นพรั่นวิญญาณ์ |
ด้วยตัวพี่นี้จะไปเสียไกลห้อง |
จิตรเจ้าจึงหมองประหวั่นหา |
ผัวไปก็จะได้ขุนแผนมา |
ว่าแล้วก็พากันนอนไป ฯ |
๏ ครั้นรุ่งสว่างกระจ่างฟ้า |
ขุนเพชรอินทราไม่ช้าได้ |
อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล |
ได้ดาบคู่มือก็ถือมา |
เมียยกมือไหว้แลไปดู |
ไม่เห็นหัวผัวอยู่แต่เพียงบ่า |
ตกใจวิ่งไปแล้วโศกา |
พ่อฟังเมียว่าอย่าเพ่อไป |
เดินมาเมื่อตะกี้ไม่มีหัว |
ตัวเมียนี้เห็นเป็นข้อใหญ่ |
สมกับความฝันที่พรั่นใจ |
เข้ากอดตีนผัวไว้ที่กลางเรือน ฯ |
๏ ครานั้นขุนเพชรอินทรา |
ได้ฟังเมียว่าก็หน้าเฝื่อน |
วิปริตผิดนักที่ทักเตือน |
เบือนหน้าดูเมียยิ่งเสียใจ |
เป็นลางขวางอกตกตะลึง |
ยืนขึงตัวสั่นอยู่หวั่นไหว |
ไปทัพหลายครามาแต่ไร |
ก็มิได้เคยเป็นเหมือนเช่นนี้ |
อกเอ๋ยไหนเลยจะได้กลับ |
คงจะยับลงในป่าพนาศรี |
ครั้นมิไปกลัวภัยพระภูมี |
ขับเมียจากที่แข็งใจไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนรามอินทรา |
แต่งตัวนุ่งผ้าหาช้าไม่ |
เอาเครื่องคาดตัวพัวพันไป |
ฉวยได้ดาบคู่มือก็ถือมา |
เมียเดินมาตามด้วยความรัก |
หนักใจแต่ลงจากเคหา |
บันไดไหวยวบหักสวบมา |
ห้าขั้นสะบั้นลงจมดิน |
อัศจรรย์หวั่นไหวข้างในจิตร |
ครั้งนี้ชีวิตจะสูญสิ้น |
จะตายจากพรากเจ้าผู้เพื่อนกิน |
ผินหน้าดูเมียยิ่งเสียใจ |
พลไพร่หน้าหลังสะพรั่งพร้อม |
แวดล้อมตามมาหาช้าไม่ |
พบขุนช้างก็พากันคลาไคล |
บ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งมา |
เยียดยัดอัดไปในถนน |
ผู้คนเอิกเกริกอยู่หนักหนา |
ถึงวัดจัดกันเป็นโกลา |
ท่านแม่ทัพสองราก็พร้อมกัน |
จัดหมวดตรวจถ้วนกระบวนหน้า |
ดาบปืนยืนร่าเป็นเหล่าหลั่น |
พลหอกพลง้าวเกาทัณฑ์ |
ระวังชั้นคอยฤกษ์จะยกทัพ ฯ |
๏ ครั้นได้ฤกษ์ดีให้ตีฆ้อง |
โห่ก้องปืนลั่นสนั่นศัพท์ |
หอกดาบปลาบแปลบแวบวับ |
ขี่ขับม้าช้างสล้างมา |
พระหมื่นศรีขี่ช้างกลางพหล |
พระหมื่นไวยไล่พลมาข้างหน้า |
ขุนเพชรขุนรามตามยาตรา |
ล้วนขี่ช้างงาสัปคับ |
ขุนช้างขี่ช้างอ้ายกางเถ้า |
นั่งเจ่ามาในกูบหัวหงุบหงับ |
ศรพระยาขี่คอขอกระชับ |
ราทยานั่งขับข้างท้ายมา |
ผู้คนแลดูเขาหัวเราะ |
ว่าช้างนั้นล้านเหมาะกันหนักหนา |
ที่ไม่เห็นก็เรียกกันเพรียกมา |
ขุนช้างหลบหน้าไม่เยี่ยมแล |
ข้ามขนอนดอนฟากข้างปากคู |
ผู้คนมาดูอยู่เซ็งแซ่ |
ช้างม้าเยียดยัดอัดแอ |
หมายมุ่งทุ่งแน่เอาตาลาน |
บ้างก็ชิงปลาแห้งแย่งปลาสด |
พบอะไรเอาหมดมาทุกบ้าน |
รีบเร่งรี้พลอลหม่าน |
เย็นลงมินานถึงสามโก้ |
หยุดยั้งตั้งหม้อเสร็จสรรพ |
กินแล้วนอนหลับเช้าตั้งโห่ |
รีบรัดตัดมาเอาท่าโพธิ์ |
แฟ้มโพล่หาบคอนย่อนย่อนมา ฯ |
๏ ครั้นถึงซึ่งที่ท่าต้นไทร |
ขุนช้างพรั่นใจให้ประหม่า |
บอกพระหมื่นศรีพลันมิทันช้า |
ตรงนี้ที่ข้าไล่ฟันมัน |
ผีสางตายกลาดออกดาษดิน |
ล้วนพวกมันสิ้นทีเดียวนั่น |
รอยวิ่งตะเกียกตะกายหนามหวายพัน |
พระหมื่นศรีหัวร่องันคากคากไป |
เออกระนั้นสิกูดูเซิงหวาย |
แหลกทลายระยำไม่เอาสํ่าได้ |
ฝีมือเอ็งฟันนั้นอย่างไร |
ฤๅอ้ายบ่าวถางให้ได้ตัวมา |
ขุนแผนอยู่ไหนก็ไม่เห็น |
จะคิดเป็นอย่างไรให้เร่งว่า |
ขุนช้างฟังความถามบ่าวมา |
บ่าวว่าเห็นรอยม้ามีต่อไป |
จึงพร้อมยอมกันให้ยกตาม |
แลหลามดงลั่นสนั่นไหว |
ถึงจระเข้สามพันเข้าทันใด |
จึงให้รั้งรารอท่าพล |
พอพลพร้อมกันในทันที |
พระหมื่นศรีร้องเฮ้ยอ้ายอกขน |
ตรงนี้เห็นทีจะชอบกล |
แต่งคนสอดแนมดูเป็นไร |
ขุนช้างได้ฟังพระนายว่า |
ลงจากช้างมาไม่ช้าได้ |
ร้องเรียกศรพระยาพากันไป |
ขึ้นบนต้นไม้สอดมองดู |
แลเห็นสีหมอกออกกินหญ้า |
วันทองน้องยานอนหลับอยู่ |
ขุนแผนกอดกลมชมชู |
จูบจับนมจู้พัลวัน |
ขุนช้างเห็นเจียนหกตกต้นไม้ |
ศรพระยาคว้าได้พอหัวหัน |
กลับยืนป้องหน้าตาเป็นมัน |
ตัวสั่นเต้นหรบขบคำราม ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพวกพรายนายขุนแผน |
เห็นคนก็แล่นมายุ่มย่าม |
หลอกหลอนโดดดิ้นแลบลิ้นพลาม |
ขู่คำรามเกรี้ยวกราดตวาดอึง |
ขุนช้างตกใจไพล่เผลมา |
หลุดมือศรพระยาพลัดตกผึง |
หล่นลงถึงดินดิ้นตึงตึง |
ลุกขึ้นวิ่งตะบึงมาทันที |
บอกว่าข้าไปพบอ้ายขุนแผน |
กอดวันทองน้องแน่นอยู่กับที่ |
แก้มเมียข้าเจ้าแดงดังแป้งจี่ |
พระหมื่นศรีโปรดด้วยช่วยกรุณา ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นไวยจมื่นศรี |
ได้ฟังคดีขุนช้างว่า |
เอ็งนี้ลุกลนพ้นปัญญา |
พอไปเห็นเมียมาว่าแก้มแดง |
เมียมึงถ้าแม้นเป็นแผ่นดิน |
จนสุดสิ้นปีนี้ก็ไม่แห้ง |
มันเหมือนด้วงรวงไม้ถึงไส้แดง |
ปานนี้ก็จะแหว่งสักสองวา |
ว่าพลางทางสั่งพวกกองทัพ |
สูจับอาวุธให้พร้อมหน้า |
วงอ้อมล้อมไว้แต่ไกลตา |
อย่าเพ่อบุกรุกเข้าคลุกคลี |
ปันด้านตรวจตราอย่าให้หนีได้ |
แล้วลั่นฆ้องปืนไฟขึ้นอึงมี่ |
ฝ่ายพรายบอกนายด้วยทันที |
ปัดนี้เขาอ้อมล้อมวงมา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง |
เห็นพลเนืองนองมาหนักหนา |
กอดผัวตัวสั่นพรั่นวญญา |
น้ำตาหลั่งดาโศกาลัย |
ครั้งนี้ไหนเลยจะเป็นตัว |
ทูนหัวพ่อจะคิดเป็นไฉน |
กองทัพเขามาดาดาษไป |
เขาแวดล้อมไว้ทั่วทั้งดง |
พ่อจะรบกับเขาได้แล้วฤๅ |
มันฉีกคนละมือก็เป็นผง |
ไม่ทันทั่วกองทัพจะยับลง |
ถึงอยู่ดงคนเดียวก็เปลี่ยวใจ |
พ่อกับพาชีม้าสีหมอก |
จะหลบลี่หนีออกกะไรได้ |
ยังตัวน้องก็มาหน่วงให้ห่วงใย |
นี่จะทำฉันใดพ่อคิดดู ฯ |
๏ ฟังผัวอย่ากลัวมันเลยเจ้า |
อีกสิบเท่าเข้ามาก็จะสู้ |
มันเหมือนยุงริ้นที่บินวู |
จะมาสู่เปลวไฟไม่รู้ตัว |
ถึงคนเดียวพี่ดุจสิงหราช |
มันเหมือนชาติเนื้อหมู่มาสู้ผัว |
แก้วพี่เจ้าอย่ามีซึ่งความกลัว |
หัวมันจะแหลกเป็นธุลี |
พี่จะพาเจ้าไปให้พ้นก่อน |
จะเร้นซ่อนเจ้าไว้ในไพรศรี |
ว่าแล้วเท่านั้นทันที |
อัญชลีอ่านเวทวิเศษมนตร์ |
รับนางขึ้นนั่งบนหลังม้า |
ขับสีหมอกออกมาจากไพรสณฑ์ |
แกล้งชักม้าผ่านหน้าบรรดาพล |
สองคนขี่ม้าสง่างาม |
ภูตพรายรายล้อมมาพร้อมหน้า |
อ่านคาถาเป่าไปให้คนขาม |
สีหมอกเดินออกด้านขุนราม |
เป่าจังงังให้คร้ามขยาดฤทธิ์ |
พลปืนพลหอกออกเกลื่อนกลาด |
ยืนนิ่งพิงพาดเป็นอักนิษฐ |
ครั้นออกมานอกที่ล้อมชิด |
ขุนแผนสะกิดให้นางดู |
โน่นแน่ะผัวนางอยู่ข้างกูบ |
อวดรูปงามเกลี้ยงจนเพียงหู |
ศรพระยาขี่คอรำขอชู |
ช่างกรูกันมาตามทั้งสามล้าน |
อันตัวพี่กับน้องแต่สองคน |
ไหนจะทนฤทธาเขากล้าหาญ |
เพราะรักเจ้าจะต้องเข้าประจัญบาน |
เป็นตายก็จะด้านดูตามบุญ |
ถ้าแม้นคนอื่นไกลที่ไหนเล่า |
จะส่งไปให้เขาไม่ว้าวุ่น |
ว่าพลางจูบน้องต้องละมุน |
เย้ยขุนช้างเล่นแล้วหลีกมา ฯ |
๏ ครั้นมาถึงต้นไทรใบชิด |
ร่มสนิทแสงส่องไม่ต้องหน้า |
รับเจ้าวันทองลงจากม้า |
แก้วตาจงอยู่ที่ร่มไทร |
พี่จะออกไปดูอ้ายขุนช้าง |
ท่าทางมันจะทำเป็นไฉน |
ถ้าแม้นดีก็จะมีชีวิตไป |
ถ้าแม้นไล่รบเราจะเอาตาย |
สิ้นทัพแล้วจะกลับมารับเจ้า |
ครู่เดียวมันก็เข้าในป่าหาย |
ว่าแล้วอ่านมนตร์สนธยาย |
ร่ายพระเวทผูกจิตรวันทองพลัน |
จึงเอาทรายปรายโปรยโรยล้อม |
เป็นกำแพงเพชรป้อมเขื่อนขันธ์ |
ถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่นพลัน |
ถ้วนพันวางเรียงเคียงกันไป |
แล้วเสกบริกรรมสำทับ |
เกิดเป็นไฟวับวับดังจะไหม้ |
เอานํ้ามนตร์ประหุ่นลงทันใด |
ไฟดับหุ่นหายกลายเป็นคน |
มีอาวุธครบมือถือประจำ |
แต่งตัวกำยำอย่างพหล |
ต่างเคารพนบนอบยอบตน |
ขุนแผนสั่งหุ่นพลไปทันที |
คอยอยู่ต่อกูเรียกให้รบ |
จึงตลบไล่พลให้ป่นปี้ |
ว่าแล้วก็ขับพาชี |
เร็วรี่เร่งออกนอกพนา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกโยธาทั้งหน้าหลัง |
ต้องจังงังดังเสียบเสมอหน้า |
เป็นครู่ใหญ่จึงได้สติมา |
ไต่ถามพูดจากันทันใด |
พระหมื่นศรีว่าเราเมื่อตะกี้ |
ช่างหามีใครจะกระดิกไม่ |
อ้ายขุนแผนขี่ม้าผ่านหน้าไป |
ออกได้ข้างด้านท่านขุนราม |
ขุนรามว่าข้าพเจ้ามิได้แกล้ง |
มันให้แข็งทั้งตัวใช่กลัวขาม |
โน่นแน่ะขี่ม้าสง่างาม |
เราไล่ตามจับฟันให้บรรลัย ฯ |
๏ ขุนช้างว่าลูกนี้แค้นนัก |
มันชักม้ามาเย้ยเล่นใกล้ใกล้ |
จูบเมียข้าพเจ้าเป็นเท่าไร |
ว่าแล้วขับไพร่สะพรั่งมา |
เสียงปืนครื้นครั่นสนั่นดง |
ทวนธงพร้อมกันประชันหน้า |
ขุนช้างหนุนไพร่ไสช้างงา |
ไล่ม้าวุ่นวิ่งเข้าชิงชัย |
ขุนแผนตวาดอำนาจครุฑ |
คนหยุดแข็งเปล่าไม่เข้าใกล้ |
กองทัพเรรวนป่วนปั่นไป |
มิได้เป็นระเบียบกระบวนทัพ |
กองหลวงล่วงไปเป็นกองหน้า |
ปีกซ้ายปีกขวาก็กลายกลับ |
ที่ไปก่อนต้อนไพร่ออกไปรับ |
ขุนช้างขับไสช้างมากลางพล |
ตีม้าล่อแผ่งแผ่งแซงจมื่นไวย |
จับฆ่าเสียให้ได้ร้องสับสน |
หลบเข้าสัปคับให้ลับคน |
ไสช้างกูจะชนชิงวันทอง ฯ |
๏ ครานั้นหมื่นศรีกับหมื่นไวย |
ขับช้างขึ้นไปแล้วด่าก้อง |
เฮ้ยขุนช้างอย่าทำแต่ลำลอง |
เราทั้งสองเป็นใหญ่มาในทัพ |
ว่าพลางเอาช้างออกยืนหน้า |
โบกมือเรียกม้าขุนแผนกลับ |
ร้องบอกว่ารับสั่งบังคับ |
ให้เรายกทัพมาติดตาม ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เชื่อฤทธิราวีไม่มีขาม |
ชักม้าร่าเริงเชิงสงคราม |
ถามว่านี่ท่านออกมาทำไม |
ไพร่พลพร้อมหน้าล้วนอาวุธ |
เครื่องยุทธสารพันจะไปไหน |
ฤๅเกิดประจามิตรข้างทิศใด |
จงบอกให้รู้แจ้งแห่งคดี |
ขุนเพชรขุนรามก็ออกมา |
โยธาแน่นไปในไพรศรี |
นั่นช้างใครแอบช้างอยู่ข้างนี้ |
ดูแสงแดงริบหรี่เหมือนตามโคม |
ต้องเพ่งเพียงครู่จึงรู้จัก |
ทำไมหลบซบพักตร์ทำอำโฉม |
อ้ายคนนี้แลมันตีม้าล่อโครม |
ฤๅใครจับอ้ายโสมมานำทัพ ฯ |
๏ ขุนช้างขัดใจดังไฟเผา |
ตบเข่ากัดฟันมันตับ |
เหงื่อไหลโซมล้านกระบานซับ |
เออพ่อแลจะจับเอาตัวมึง |
จองหองร้องล้อพ่อเล่นได้ |
ทะนงใจมีหน้ามาทำขึง |
ว่าพลางลั่นฆ้องร้องอึง |
อ้ายพ่อเจ้าเข้าให้ถึงจับเอาตัว ฯ |
๏ พระหมื่นศรีหมื่นไวยขัดใจด่า |
จะพูดจาดีดีมีแต่ยั่ว |
เพื่อนมากอุ่นใจจึงไม่กลัว |
ราวกับตัวกล้าหาญชาญฉกรรจ์ |
พูดพล่ำถลำถลากเลอะ |
เพราะมึงเซอะมันจึงขอดตลอดขวัญ |
ว่าพลางทางตอบขุนแผนพลัน |
ซึ่งถามนั้นจะเล่าให้เข้าใจ |
บัดนี้พระองค์ผู้ทรงเดช |
ปกเกศล้ำโลกทั้งน้อยใหญ่ |
ให้เรายกพหลสกลไกร |
ออกมาไต่สวนทราบซึ่งเท็จจริง |
ด้วยตัวลักเมียขุนช้างมา |
เข้าป่าพ้นกรุงทำสุงสิง |
คบพวกโจรป่ามาพะพิง |
เย่อหยิ่งยกตัวเป็นเจ้านาย |
ให้ปลูกตำหนักป่าพลับพลาแรม |
ค่ายป้อมล้อมแหลมเป็นมากหลาย |
ที่บังคนตั้งวางอย่างเจ้านาย |
ยักย้ายทำเทียมเจ้าชีวิต |
ฆ่าบ่าวขุนช้างเสียร้อยเศษ |
ก่อเหตุตั้งตัวไม่กลัวผิด |
ถือตัวมัวเมาว่ามีฤทธิ์ |
ทำทีราวกับคิดขบถเมือง |
จับขุนช้างเฆี่ยนด้วยหนามหวาย |
อับอายทั่วกรุงฟุ้งเฟื่อง |
แล้วท้าทายถึงพระองค์ให้ทรงเคือง |
ยักเยื้องจะให้ออกมาชนช้าง |
บัดนี้พระองค์ผู้ทรงเดช |
ทราบเหตุทรงนึกอางขนาง |
ข้อที่ทำทุจริตผิดท่าทาง |
ยังคลางแคลงพระทัยจึงใช้เรา |
ให้มาสืบดูที่อยู่ก่อน |
ถ้าเห็นแท้แน่นอนให้จับเจ้า |
ถ้าไม่ต้องฟ้องหาก็ทำเนา |
ให้รับเจ้ากับตัววันทองไป |
เกี่ยวข้องหมองกันด้วยสตรี |
จะปรึกษาคดีตัดสินให้ |
ซึ่งฆ่าคนขุนช้างเสียกลางไพร |
ก็โปรดให้ไม่เอาซึ่งโทษทัณฑ์ |
คำขุนช้างทูลกับเราดู |
ไม่เห็นสิ่งไรอยู่เป็นแม่นมั่น |
เจ้าอย่ากลัวภัยไปด้วยกัน |
วันทองอยู่ไหนไปเอามา ฯ |
๏ ขุนแผนตอบคำพระหมื่นศรี |
ความหลังยังมีอยู่หนักหนา |
จะว่าไปไยเล่าไม่เข้ายา |
นี้เมียข้าฤๅเมียขุนช้างจริง |
ขออภัยเถิดเหนอเกลอกันหมด |
ใครคดก็เห็นอยู่ทุกสิ่ง |
เกิดความใหญ่หลวงเพราะช่วงชิง |
หญิงเดียวเท่านี้จึงมีความ |
ขุนช้างยกมาถึงป่าใหญ่ |
สั่งไพร่พรั่งพร้อมให้ล้อมหลาม |
ว่ากันดีดีมิผ่อนตาม |
ไสช้างงุ่มง่ามเข้าไล่แทง |
จนอยู่ไม่สู้ก็ท่าตาย |
ชาติชายฤๅจะวิ่งทิ้งแหล่ง |
ขับม้าฝ่าพลจนสุดแรง |
แทงข้าหอกหักสักเจ็ดคัน |
เดชะบุญหลังจึงพลั้งพลาด |
พวกขุนช้างขี้ขลาดก็หวาดหวั่น |
แตกหนีมี่ไปในไพรวัน |
ข้าเจ้าได้ไล่ฟันเมื่อไรมี |
ซึ่งนายขุนช้างสีข้างปอก |
หัวถลอกก็เพราะความอารามหนี |
กลับไปทูลเอาว่าเราตี |
ถ้อยทีถ้อยฟันกันทั้งทัพ |
ดีฉันพูดตามจริงทุกสิ่งไป |
สิ่งไรก็มิได้จะกลอกกลับ |
ซึ่งว่ามีรับสั่งมาบังคับ |
ให้ตัวข้าพเจ้ากับวันทองไป |
จวนตัวด้วยกลัวพระอาญา |
เพราะว่าหามีใครจะช่วยไม่ |
เชิญพระนายยกทัพกลับไป |
เพ็ดทูลแก้ไขให้ตามทาง |
ตัวดีฉันจะไปต่อภายหลัง |
ยั้งพอคลายกริ้วลงเสียบ้าง |
จงเมตตากับดีฉันช่วยกั้นกาง |
เพ็ดทูลตามทางที่จริงมา ฯ |
๏ ครานั้นพระหมื่นไวยหมื่นศรี |
ได้ฟังวาทีขุนแผนว่า |
เจ้าก็เป็นคนดีมีวิชา |
เจ้าพูดจาเห็นผิดจริตไป |
จะทรงพระโกรธาว่ามาปะ |
ยังเลยละลี้กลับหาจับไม่ |
ความเก่าของเจ้าจะจมไป |
พระทัยจะเห็นด้วยขุนช้าง |
มาไปเสียด้วยกันก็เป็นไร |
จะแก้ไขมลทินให้สิ้นอย่าง |
ถ้าแม้นเจ้าห้าวหาญทำรานทาง |
จะไสช้างแทงม้าคว้าเอาตัว ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
นิ่งคิดขบฟันสั่นหัว |
เพื่อนมากหากขู่ให้กูกลัว |
ถ้าแม้นชั่วก็จะยับครั้งทัพลาว |
เข้าที่บังคับดับโทโส |
จะเกิดความใหญ่โตไปถึงจ้าว |
จึงเบี่ยงบ่ายตอบความตามเรื่องราว |
ดีฉันกล่าวนั้นด้วยกลัวพระอาญา |
ที่ไปคงไปเป็นไรมี |
ใช่ว่าจะหลบลี้หนีหน้า |
เมื่อพระนายมิได้กรุณา |
พูดจามีแต่จะฆ่าฟัน |
จะไสช้างเข้าแทงแย่งเอาตัว |
ถึงกลัวจะให้ไปอย่างไรนั่น |
คนเดียวเหมือนหนึ่งแมลงวัน |
จะโผผินบินดั้นเข้ากองไฟ |
ก็สำหรับแต่จะยับลงกับที่ |
จะเมตตาปรานีหามีไม่ |
ข้าพเจ้าเท่านี้ก็จนใจ |
ถ้าจะขืนจับไปไม่นิ่งตาย ฯ |
๏ พระหมื่นศรีหมื่นไวยครั้นได้ฟัง |
โกรธสั่งรี้พลสิ้นทั้งหลาย |
เหวยกองทัพจับเป็นอย่าให้ตาย |
ไพร่นายปืนหอกออกประดา |
ให้ยิงปืนตับสำทับโห่ |
ขุนช้างโผล่ตีฆ้องร้องเอาหวา |
หอกดาบวาบแวบแปลบปลาบตา |
ขุนแผนแสนกล้าก็อ่านมนตร์ |
เสกซ้ำตวาดอำนาจครุฑ |
คนหยุดยืนแข็งแสยงขน |
ชักสีหมอกไว้ไม่ประจญ |
กูทำก่อนจะเป็นคนทรยศ ฯ |
๏ ฝ่ายขุนเพชรขุนรามปีกซ้ายขวา |
เห็นผู้คนปืนผาเงียบไปหมด |
เหม่อ้ายแผนอาจจิตรคิดคด |
เป็นขบถจะเอาแผ่นดินแล้ว |
ไสช้างพลหลีกเป็นปีกกา |
ชี้หน้าว่าเหวยอ้ายพลายแก้ว |
โอหังดังกูไม่รู้แกว |
เชื้อแถวของมึงแต่เพียงนั้น |
สาหัสขัดขืนพระโองการ |
เอิบเอื้อมจะผ่านไอศวรรย์ |
เชื่อว่าตัวดีมีฤทธิครัน |
ถึงจะได้ขอบขัณฑเสมา |
ใครเลยเฮ้ยเขาจะไหว้มึง |
เขารู้ถึงว่าไม่สมวาสนา |
กูรู้จักพ่อแม่แต่ไรมา |
พ่อมึงชื่อว่าอ้ายขุนไกร |
แม่มึงอีเถ้าทองประศรี |
ปีนั้นไปล้อมกระบือใหญ่ |
พระทรงภพฆ่าฟันให้บรรลัย |
ตัดหัวเสียบไว้ที่กลางดอน |
ริบสิ้นทั้งโคตรญาติกา |
ตัวมึงแม่พาไปเร้นซ่อน |
ซอนซอกออกจากพระนคร |
ย้อนไปอยู่บ้านกาญจน์บุรี |
มึงอยู่กับอีเถ้าเขาชนไก่ |
บวชที่วัดส้มใหญ่ไอ้ขี้หนี |
ไปรบเชียงทองมาว่าตัวดี |
ได้เป็นที่ขุนแผนแว่นไว |
ได้ดีมิทันจะถึงปี |
หลบหนีมาคิดขบถได้ |
ทำชู้แม่รักลักเข้าไพร |
คบมึงไม่ได้ไว้เป็นมิตร |
เจ้านายรักใคร่ไม่รักตอบ |
ทำชอบกลับระยำมาทำผิด |
อย่าหมายเลยว่าจะปลอดรอดชีวิต |
ไสช้างวางชิดกระชั้นมา ฯ |
๏ ขุนแผนแค้นใจดังไฟวับ |
จับฟ้าฟื้นแกว่งแสงสง่า |
อ้ายปากบอนซ้อนหัวกันเข้ามา |
นินทาผีเปล่าเปล่าเมื่อเข้าโลง |
ถึงมึงก็ไม่ยืนอยู่คํ้าฟ้า |
วันนี้กูจะฆ่าให้ตายโหง |
พลัดตกหลังช้างวางโก้งโค้ง |
เมียเป็นหมายโล้งโต้งเป็นเมียกู |
ว่าพลางทางร่ายพระคาถา |
เรียกหุ่นหนุนมาเป็นหมู่หมู่ |
ออกจากดงรังสะพรั่งพรู |
โห่ร้องก้องกู่เป็นโกลา |
ขุนแผนขับม้าเข้าถาโถม |
จู่โจมหํ้าหั่นฟันทัพหน้า |
พวกหุ่นวิ่งกลมดังลมพา |
แซงสองข้างม้ามาทันใด |
ฤทธิมนตร์บนฟ้าเวหาพยับ |
มืดกลุ้มคลุ้มคลับสะท้านไหว |
แผ่นดินดังจะควํ่าคะมำไป |
เพราะพระมนตร์ดลให้บันดาลเป็น |
อาสาหกเหล่าเข้าต้านต่อ |
หอบหืดขึ้นคอสู้เต็มเข็ญ |
ดังฟันหินบิ่นหักกักกระเด็น |
ไม่เข้าหุ่นหมุนเผ่นเข้าฟาดฟัน |
ดาบหอกตอกป่ายประกายวาบ |
หอกดาบหักร่นจนถึงกั่น |
ปืนจังกาง่านกยกยิงยัน |
โผงถูกลูกนั้นกระดอนมา |
ปืนตับกลับซ้ำเข้าตํ้าตึง |
ไม่หวาดไหวไล่อึงเข้ามาหา |
จนสิ้นสุดอาวุธแลสาตรา |
พวกอาสาย่นแยกแตกกระจุย |
ขุนช้างไสช้างวางเข้าไพร |
ตกใจผ้าผ่อนก็ล่อนลุ่ย |
ช้างตรงเข้าในดงหมามุ้ย |
ศรพระยาร้องอุยเกาแกรกไป |
ช้างวิ่งเข้าไพรไม้ไหล้ลัด |
หมวกพลัดหัวพลามดังตามไต้ |
ขุนช้างพลัดผลุงหลังกุ้งไป |
ช้างตื่นวิ่งใหญ่ขี้ไหลพรู |
ขุนช้างวางขึ้นบนตอไม้ |
ผ้าผ่อนล่อนไปดังอ้ายหู |
ขุนแผนฟันคนร่นกรูกรู |
ถึงขุนรามตรงจู่เข้าประจัน |
ขุนรามแทงกรอกด้วยหอกใหญ่ |
ถูกไหล่ไม่ถนัดสะบัดหัน |
ขุนแผนถาโถมเข้าโรมรัน |
ฟันขุนรามตกช้างลงกลางดิน |
โดดจากหลังม้าฟาดบ่าฉับ |
ล้มพับฟันซ้ำคะมำดิ้น |
ขุนรามสิ้นใจเลือดไหลริน |
สิ้นคนหนึ่งแล้วอ้ายตัวการ |
ขุนเพชรอินทราเข้ามาช่วย |
ชักหอกกรอกกรวยเข้าต่อต้าน |
แทงอกขุนแผนแสนสะท้าน |
อยู่ยงคงปานกับเหล็กเพชร |
ขุนแผนโผนขึ้นช้างง้างคอฟัน |
ฉะฉาดขาดสะบั้นดังมือเด็ด |
ดาบล้วนเลือดฝาดเหมือนชาดเช็ด |
กลับขึ้นม้าระเห็จมากลางทัพ |
พวกหุ่นโห่ฮึกสะอึกไล่ |
ฟันกองทัพยับไปเป็นตับตับ |
พระหมื่นศรีไสช้างวางไปลับ |
สัปคับโยนยวบสวบสวบไป |
ขุนช้างเห็นช้างพระหมื่นศรี |
ร้องว่าช่วยลูกทีอีพ่อข้าไหว้ |
พอช้างเฉียดเข้าไปใกล้ตอไม้ |
เกาะขึ้นท้ายได้ไปตะโพง |
พระหมื่นศรีแลมาเห็นขุนช้าง |
มืดหน้าตาฟางว่าเสือโคร่ง |
เอาด้ามขอป่ายเข้าชายโครง |
ขุนช้างร้องตายโหงดีฉันเอง |
พระหมื่นไวยตกใจว่าขุนแผน |
พลอยเอาด้ามหอกแพ่นเข้าตํ้าเป้ง |
หัวแตกเลือดย้อยห้อยโตงเตง |
ปีนช้างเหยงเหยงแทบตกตาย |
พระไวยไสช้างมาพรวดพรวด |
หางชี้ดังกรวดเข้าเซิงหวาย |
พวกไพร่พลแหลกแตกกระจาย |
วิ่งซมงมงายไปพรูพรู |
บ้างรักตัวกลัวตายตะกายวิ่ง |
ปืนผาปาทิ้งกลิ้งเกลื่อนอยู่ |
เอาหัวมุดเข้าในโพรงโก้งโค้งคู้ |
ไส้กูออกถนัดยัดลนลาน |
บ้างขอขี่เพื่อนกันมันกลับด่า |
อ้ายขี้ข้าสิ้นทีอัปรีย์จ้าน |
บางล้มดิ้นแด่วแด่วดังแมวคลาน |
ว่าอ้ายล้านขี้ครอกมันหลอกเรา |
บ้างกู่ก้องร้องว้ายนํ้าลายฟอด |
กูไปไม่รอดแล้วอีพ่อเจ้า |
สิ้นเรี่ยวสิ้นแรงตะแคงเซา |
ครั้นเห็นเขาจะทิ้งก็วิ่งไว |
บ้างมัวหนีรี่โดนกันตํ้าผาง |
ร้องครางหัวฟกยกมือไหว้ |
สำคัญว่าขุนแผนแหงนบอกไป |
อีพ่อเอ๋ยอย่าทำไมข้าขอตัว |
พระหมื่นศรีไสช้างวางเข้าพง |
บุกชัฏลัดดงไม่เห็นหัว |
ได้ยินเสียงแกรกกรากกระดากกลัว |
พอโพล้เพล้ขมุกขมัวถึงสามโก้ |
ช้างม้าล้าเลื่อยคนเหนื่อยจุก |
คะมอมคะมุกหิวอ่อนนอนตาโหล |
พระหมื่นศรีเห็นขุนช้างข้างต้นโพธิ์ |
ร้องพุทโธ่ถามว่ามาอย่างไร |
ขุนช้างว่าลูกขึ้นท้ายช้าง |
ตีลูกถูกสีข้างจำไม่ได้ |
ตื่นกันว่าเสือร้องเพรื่อไป |
อ้ายขุนแผนมันไล่เอาพอแรง |
โปรดเมตตาภรรยายังตกยาก |
ต้องตรำตรากทอดตัวหัวระแหง |
ข้าวสิ้นจะกินแต่รากแจง |
แสงเดือนจะสว่างต่างไฟโพลง |
พระหมื่นศรีขัดใจเข้าไล่ถอง |
ยังคะนองถึงแม่อ้ายตายโหง |
เตะขุนช้างหกล้มลงโก้งโค้ง |
โอยซี่โครงลูกหักสะบักจม |
พระไวยด่าว่าอ้ายขุนช้างถ่อย |
อย่าสำออยเพราะมึงจึงแหลกล่ม |
นายไพร่บ่นบ้าด่าระงม |
บ้างขุดเผือกมันต้มกินตามมี ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนแผน |
คลายแค้นกองทัพที่กลับหนี |
ชักสีหมอกกลับมาไม่ช้าที |
ลงชำระวารีสำราญใจ |
เปลื้องเครื่องเยื้องย่องลงท้องธาร |
บัวบานก้านชูดูไสว |
หอมกลิ่นรวยรื่นชื่นใจ |
ลูบไล้ขัดสีธุลีละออง |
ล้างดาบที่ปราบณรงค์รบ |
จับจบสอดฝักสะพักต้อง |
ผลัดผ้ามาหาเจ้าวันทอง |
แนบน้องเหนื่อยมาค่อยพาคลาย |
เห็นฤๅไม่เล่าเจ้าวันทอง |
ผัวน้องนำทัพมามากหลาย |
ขุนเพชรอินทราพี่ฆ่าตาย |
สองนายด้วยกันกับขุนราม |
แม้นดีแล้วพี่ไม่หํ้าหั่น |
นี่ถ้อยคำมันนั้นหยาบหยาม |
มันก่อเหตุเภทพาลพี่สานตาม |
จึงเกิดความไพร่ตายเสียหลายพัน |
เว้นแต่สองพระนายกับขุนช้าง |
พี่ไม่ได้ไล่ล้างให้อาสัญ |
กระโดดวิ่งทิ้งของเสียมากครัน |
พาพวกไพร่นั้นระยำไป |
ขุนช้างผัวนางมันแทงพี่ |
หลายทีแทบไส้ทะลักไหล |
ครั้นพี่จะฟันให้บรรลัย |
เกรงใจเจ้าวันทองจะโกรธา |
พี่สู้อดออมถนอมจิตร |
เพราะคิดรอบคอบเป็นหนักหนา |
แม้นไม่คิดถึงวันทองน้องยา |
น่าที่จะยับลงเป็นจุณ |
เชิญเจ้าออกไปในที่รบ |
คงจะพบเสื้อผ้าท่านตาขุน |
ช่วยเก็บกอบหอบห่อไว้เอาบุญ |
กอดนอนหน้าจะอุ่นสบายใจ ฯ |
๏ อกเอ๋ยเมื่อไรเลยจะวายแค้น |
เหลือแสนค่อนขอดพิไรให้ |
ข้าทำวนบ่นถึงเขาเมื่อไร |
เจ็บใจจริงจริงมาเยาะเย้ย |
ตั้งแต่ข้ามาห้าหกวัน |
แต่ชื่อเสียงเขานั้นมิได้เอ่ย |
ยังจะค่อนแคะได้ไม่ลืมเลย |
เคยปากเคยใจเสียจริงเจียว |
ฤๅเห็นว่าน้องนี้มิรักเจ้า |
จึงมาเฝ้านีดเน้นเข่นเขี้ยว |
เว้นแต่ไม่กลืนไว้อย่างเดียว |
เจ้าโกรธแล้วก็เที่ยวจะคอยพาล |
อดอยากหมากพลูไม่มีเคี้ยว |
สู้อดเปรี้ยวเค็มมันทั้งคาวหวาน |
รบพุ่งกันมาก็ช้านาน |
จนอาหารแห้งสดก็หมดแล้ว ฯ |
๏ เจ้าพุ่มพวงดวงตาของพี่เอ๋ย |
อย่ากังวลนักเลยนะน้องแก้ว |
เราก็ทนทุกข์ยากมามากแล้ว |
คงจะต้องผ่องแผ้วสักเวลา |
ผลไม้ในดงยังดกอยู่ |
พอชดเชยชื่นชูประสาป่า |
จะปรารมภ์ไยเล่าไม่เข้ายา |
อุตส่าห์เถิดเจ้าอย่าเศร้าไป |
ว่าพลางอิงแอบแนบน้อง |
ต้องเต้าเตือนจิตรพิสมัย |
ดังยาทิพย์หยิบถูกบรรเทาใจ |
พระพายพัดระบัดใบให้ชวนนอน |
รวยรื่นสุริยาระยับไม้ |
ไขสียอแสงลงอ่อนอ่อน |
จัตุบาทคลาศคลาพนาดร |
ฝูงกุญชรเข้าชัฏระบัดพง |
นำโขลงคลาเคลื่อนมาคลํ่าคลาย |
ทั้งพังพลายเนียมนิลดูระหง |
โคบุตรสังขทันต์คันทรง |
อำนวยพงศ์สุประดิษฐ์ตระหง่านงาม |
ชาติเชื้อเนื้อเกิดในป่าต้น |
เอกทันต์ทอกทนต์พินายหลาม |
สีดอเดินเกริ่นโกรกตะโกรงตาม |
ค่อมข้ามขอนขัดตะโคงคุ้ย |
พยัคฆาหมายฉมันเขม้นหมอบ |
กระโชกหอบโฮกดินกระจุยฉุย |
ฉมันแล่นโลดโดดกระจุย |
ตะกุยคุ้ยควบขึ้นบรรพต |
เยียงผาโผผกตกชะงัก |
นํ้าลายเลียถูกหักก็หายหมด |
กระบือเถื่อนเขางอนดูอ่อนชด |
กระเจิงจดจำกลิ่นสะบัดเกลียง |
สกุณามารังระงมร้อง |
แซ่ซ้องปักษาประสานเสียง |
ปันป้อนผ่อนเหยื่อขยับเคียง |
ส่งเสียงลอยลมระงมไป |
ชะนีน้อยเหนี่ยวไม้พิไรโหย |
วิเวกโวยโยนเล่นเห็นไสว |
จังหรีดกรีดกริ่งที่กิ่งไทร |
เรไรหริ่งรับดังขับร้อง |
สุริยาสายัณห์พระจันทร์เปล่ง |
ประไพเพ่งแจ่มแจ้งด้วยแสงส่อง |
แสงสอดลอดใบพระไทรทอง |
จำเพาะต้องสองเต้าปทุมทิพย์ |
นํ้าค้างค้างใบพระไทรหยัด |
พระพายพัดตกเผาะลงเปราะปริบ |
หนาวลมห่มเนื้อวันทองทิพย์ |
ซุบซิบชื่นชมเมื่อลมชวน |
ดูเดือนเฟือนฟังเรไรร้อง |
แนบน้องแนมนมชมสงวน |
กอดประทับรับขวัญให้รัญจวน |
ถนอมนวลจนระงับหลับไป ฯ |
๏ จะกล่าวถึงกองทัพที่ยับยั้ง |
อยู่ยังสามโก้ต้นโพธิ์ใหญ่ |
แต่คอยกันสองวันที่ในไพร |
ที่รอดตายอยู่ได้ก็กลับมา |
ให้นับได้ถ้วนหน้าสักห้าร้อย |
อยู่น้อยกว่าที่ตายเป็นหนักหนา |
ทั้งขุนเพชรขุนรามอินทรา |
ปีกซ้ายปีกขวาก็ตายเตียน |
เพราะอ้ายขุนช้างอ้ายตายห่า |
พาไปพามาให้ถูกเฆี่ยน |
พ่อแม่ก็จะแผ่ลงเป็นเกวียน |
ไม่ต้องพักหาเทียนบังสุกุล |
ไม่ตายก็หวายแล้วคราวนี้ |
อิกสักทีหมดโคตรแล้วอ้ายขุน |
กลับไปใครเหลือก็เนื้อบุญ |
ฉาวเพราะแม่คุณอ้ายขุนช้าง |
สาตราผ้าผ่อนก็ล่อนแก่น |
คิดขึ้นมาน่าแค้นนี่สุดอย่าง |
มึงรักแม่ไม่ตลอดกอดตอยาง |
ขึ้นช้างพ่อได้หาไม่ตาย ฯ |
๏ ขุนช้างว่าโทษลูกก็ไม่ได้ |
ของใครทิ้งวิ่งไปก็ของหาย |
ทำกะไรลูกเมียก็เสียดาย |
ปะถูกเมียพระนายก็ลองดู |
กลัวจะแล่นติดตามคำรามก้อง |
ไม่เชื่อใครมาลองมั่งดูดู๋ |
ก็จะวิ่งปะเลงโทษเอ็งกู |
ใครจะสู้ใครจะเร้นได้เห็นกัน |
ขุนเพชรขุนรามปีกซ้ายขวา |
ข้าเป็นกองหน้าฤๅไม่นั่น |
เมื่ออ้ายขุนแผนมันแง้นฟัน |
ข้าแทงถูกมันถึงแปดที |
มันฟันขุนเพชรขุนรามตาย |
ข้าเหลียวเห็นพระนายขับช้างหนี |
ใครจะเรียกหาใครก็ไม่มี |
จนใจแล้วจึงหนีมาด้วยกัน ฯ |
๏ พระหมื่นศรีขัดใจพระไวยด่า |
อ้ายขี้ข้าผีขอดตลอดขวัญ |
กลับว่ากูนี้หนีก่อนมัน |
เมื่อขุนแผนไล่ฟันอ้ายสองคน |
มึงอยู่ไหนได้แทงอ้ายขุนแผน |
ยังจะแค่นมาว่าอ้ายหน้าขน |
มึงฤๅอยู่หลังรั้งไพร่พล |
ใครเล่าวิ่งซนขึ้นท้ายช้าง |
หัวหูเหมือนมึงนี้สิ้นที |
ขึ้นช้างกูตีด้วยขอผาง |
ถีบถองเท่าไรไม่ละวาง |
แม่มันโหนช้างกูขึ้นมา |
ราทยาว่าข้ากับพี่ศร |
แทงฟันมันอ่อนพระนายขา |
หมายจะจับจิกหัวเอาตัวมา |
พอช้างพาข้าหนีก็จนใจ |
พระไวยหัวร่อฮามึงว่าจริง |
ถ้าช้างไม่วิ่งคงตับไหล |
ครั้นผู้คนพร้อมกันในทันใด |
พระหมื่นศรีนายใหญ่ให้เคลื่อนทัพ |
ขุนช้างกับราทยาศรพระยา |
ขี่ช้างวางมาหัวหงุบหงับ |
ต้องแสงตะวันเป็นมันยับ |
พระหมื่นศรีขี่ขับช้างพลายมา |
ครั้นข้ามขนอนปากคู |
ผู้คนแลดูเป็นหนักหนา |
นึกอายรีบลัดเข้าวัดวา |
มิช้าก็เข้าในกรุงไกร |
ปลงช้างปลงม้าอยู่อึกทึก |
สองพระนายตรองตรึกนึกหวั่นไหว |
ตะวันเย็นจวนดับลงลับไพร |
เฝ้าแหนยังไม่ได้ในวันนี้ |
ต่างคนต่างไปยังบ้านเรือน |
พวกเพื่อนมาเยี่ยมกันอึงมี่ |
ลูกเมียมาตามถามคดี |
พูดจาพาทีด้วยความทุกข์ |
ที่ล้มตายไปเสียเมียร้องไห้ |
กลิ้งเกลือกเสือกไปไม่มีสุข |
บ้างลมจับพับไปมิได้ลุก |
นวดคลำปล้ำปลุกกันวุ่นไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าเมียขุนเพชรขุนราม |
ฟังบ่าวบอกความก็ร้องไห้ |
หัวพองสยองสยดใจ |
ทอดตัวลงในที่นอนนึก |
ตีอกโอ้เจ้าประคุณเอ๋ย |
ไม่ควรเลยวอดวายตายกลางศึก |
เมื่อแก้ฝันเมียวิตกอกสะทึก |
ตรองตรึกแต่วันนั้นให้พรั่นใจ |
เห็นศีรษะหายไปเมียได้บอก |
ได้ห้ามว่าอย่าออกเป็นทัพใหญ่ |
พ่อไม่เชื่อเนื้อกรรมที่ทำไว้ |
ขืนไปจนพ่อมรณา |
ใครใครได้กลับมาบ้านเรือน |
พ่อไปตายกลางเถื่อนไม่เห็นหน้า |
ชั้นบ่าวไพร่ไปด้วยก็กลับมา |
แต่พ่อแก้วแววตาเมียลับไป |
ซากศพจะโซมอยู่กลางรก |
เวทนาผ้าจะปกหามีไม่ |
จะเป็นเหยื่อเสือสางที่กลางไพร |
จะทิ้งเน่าเปื่อยไว้อยู่พุพอง |
เนื้อหนังก็จะถมธุลีทราย |
จะกลิ้งเกลือกเสือกหงายอยู่ริมหนอง |
กระดูกกลาดดาษกระเด็นอยู่เป็นกอง |
พี่น้องน้อยใหญ่มิได้พบ |
ถึงสิ้นบุญพ่อคุณก็ตามที |
ถ้าอยู่ที่เหย้าเรือนได้ปลงศพ |
ราชวัติฉัตรชั้นจะครันครบ |
ตบแต่งตั้งไว้ให้สมกัน |
ประทีปจะประเทืองเรืองอร่าม |
ธูปเทียนติดตามแต่งจัดสรร |
แขวนย้อยห้อยดวงพวงสุวรรณ |
กลิ่นชั้นผูกพู่ดูบรรจง |
จำหลักลายโลงฉลุทอง |
กระจังรองรายเรียงเคียงระหง |
ผูกเพดานดาวกระจายลายเบญจรงค์ |
นิมนต์สงฆ์สวดเสนาะเพราะสำเนียง |
กลองคู่มลายูจะก้องกึก |
เวลาดึกแซ่ซ้องประสานเสียง |
พี่ป้าย่ายายจะรายเรียง |
พวกญาติพร้อมเพรียงสะพรั่งพรู |
โอ้เจ้าประคุณของเมียเอ๋ย |
กะไรเลยเด็ดกายไปตายอยู่ |
ดังแกล้งหนีเมียไปไม่เอ็นดู |
เมียมิได้เชิดชูให้ศพงาม |
พฤกษาสล้างจะต่างฉัตร |
เสียงสัตว์กลางป่าพนาหนาม |
เป็นปี่กลองฆ้องยํ่าประจำยาม |
ดาวเดือนเกลื่อนตามต่างธูปเทียน |
เมฆหมอกมัวฟ้าเวหาหน |
ต่างเพดานดาดบนฉวัดเฉวียน |
เขาเขตจะสังเกตเป็นม่านเวียน |
ดินเตียนต่างตะกอนพี่รองกาย |
จะนอนแรมโรยร้างอยู่กลางดง |
ใครจะปลงศพพ่อให้สูญหาย |
ต่างคนต่างกระจัดพลัดพราย |
ต่างคนต่างตายไม่เห็นกัน |
ว่าพลางทางข้อนหัวอกร้อง |
สนั่นห้องเรือนในไห้โศกศัลย์ |
ระบมตรมอกวิตกตัน |
จนนิ่งอั้นหมดเสียงด้วยโศกา ฯ |
๏ ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างแสง |
แจ่มแจ้งจังหวัดพระเวหา |
พระหมื่นศรีหมื่นไวยก็ไคลคลา |
ขุนช้างเข้ามาอยู่พร้อมกัน |
ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ก็ไต่ถาม |
ทราบความเกรงกริ้วให้หวาดหวั่น |
ครั้นได้เวลาก็พากัน |
เข้าท้องพระโรงพลันทันใด ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
ทศทิศฦๅลบพิภพไหว |
สถิตยังปรางค์มาศปราสาทชัย |
นางในแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง |
สำราญราชหฤทัยอยู่ในที่ |
ดนตรีขับขานประสานเสียง |
ฉํ่าเฉื่อยเรื่อยร้องซ้องสำเนียง |
พอยํ่าเที่ยงเสด็จออกนอกห้องทอง |
สระสรงทรงเครื่องเรืองระยับ |
จับพระแสงยุรยาตรผาดผ่อง |
พระสนมเชิญเครื่องมาเนืองนอง |
ประทับท้องพระโรงรจนา |
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์ |
พวกขุนนางกราบลงไม่เงยหน้า |
อันพวกไปทัพที่กลับมา |
ภาวนาร้อนตัวด้วยกลัวภัย ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรแลมาหาช้าไม่ |
เห็นพระหมื่นศรีกับหมื่นไวย |
ไม่เห็นขุนเพชรและขุนราม |
ขุนช้างหมอบข้างพระหมื่นศรี |
พระพันปีจึงดำรัสตรัสถาม |
ด้วยเรื่องขุนแผนแสนสงคราม |
ตามไปได้มาฤๅว่าไร ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช |
แหลมฉลาดปัญญาอัชฌาสัย |
กราบทูลไปพลันทันใด |
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา |
ได้ยกกองทัพขับพลไป |
ถึงตำบลต้นไม้ไทรสาขา |
ยังห่างป่าต้นพ้นมา |
ขุนช้างชี้ว่าที่ตรงนี้ |
พบขุนแผนวันทองทั้งสองคน |
อาศัยใต้ต้นพระไทรศรี |
แลไปสิ่งไรก็ไม่มี |
ทั้งที่ฉนวนแลพลับพลา |
โดยถ้ารื้อคาแฝกจะแหลกอยู่ |
นี่ดูไปไม่เหมือนขุนช้างว่า |
จึงยกต่อไปในพนา |
จนถึงป่าห้วยจระเข้สามพัน |
ให้ขึ้นต้นไม้ลอดสอดแนมดู |
เห็นม้าปล่อยอยู่ในป่านั่น |
ทั้งตัวขุนแผนแสนฉกรรจ์ |
สองคนเท่านั้นกับวันทอง |
อันพวกโจรป่าหาเห็นไม่ |
ได้ใช้ไพร่เล็ดลอดเที่ยวสอดส่อง |
ทั้งที่ทางห่างชิดเที่ยวด้อมมอง |
ทั่วท้องป่าใหญ่ก็ไม่มี |
ทั้งตำหนักพลับพลาหาเห็นไม่ |
จึงสั่งไพร่ให้อ้อมล้อมที่ |
ขุนแผนวันทองขึ้นพาชี |
ขับขี่หักออกนอกกองทัพ |
กระหม่อมฉันจึงเร่งพวกโยธา |
ถ้วนหน้าไล่หลามให้ตามจับ |
วันทองขุนแผนก็แล่นลับ |
ขับพลไปทันกระชั้นล้อม |
วันทองซ่อนเร้นหาเห็นไม่ |
แต่ขุนแผนอยู่ในตำแหน่งอ้อม |
พอปีกซ้ายปีกขวามาพรั่งพร้อม |
เกล้ากระหม่อมจึงบอกขุนแผนไป |
โดยข้อคดีซึ่งมีเหตุ |
ว่าโปรดเกศให้หาอย่าช้าได้ |
เกี่ยวข้องหมองกันด้วยอันใด |
จะทรงตัดสินให้เป็นทางธรรม์ |
ขุนแผนตอบมาว่าวันทอง |
เป็นเมียของขุนแผนเป็นแม่นมั่น |
ได้สู่ขอปลูกหออยู่ด้วยกัน |
จนตัวขุนแผนนั้นไปเชียงทอง |
ขุนช้างลวงว่าขุนแผนตาย |
แม่ยายยกเมียให้สมสอง |
ขุนแผนมาพบนางวันทอง |
เมียของขุนแผนก็เอาไป |
ขุนช้างยกทัพขับพล |
ปะกันที่ต้นพระไทรใหญ่ |
สั่งไพร่ไล่ฟันให้บรรลัย |
ขุนแผนขัดใจจึงตอบตี |
ฝ่ายว่าขุนเพชรกับขุนราม |
หยาบหยามไม่ว่าให้ต้องที่ |
ลำเลิกเบิกกล่าวยาวรี |
ว่าขุนแผนทำกระลีลักวันทอง |
มิหนำซ้ำว่าทรยศ |
เป็นขบถคดโท่ทำจองหอง |
ลำเลิกถึงโคตรปราณเป็นหว่านกอง |
ว่าพ่อของมึงชื่ออ้ายขุนไกร |
แม่มึงชื่ออีเถ้าทองประศรี |
มึงหนีไปบวชวัดส้มใหญ่ |
พ่อมึงตายโหงเสียแต่ไร |
มึงบังอาจใจไม่เกรงกลัว |
ว่าแล้วขับไพร่ไสช้าง |
เข้าลุยล้างขุนแผนจะตัดหัว |
ขุนช้างร้องสำทับจะจับตัว |
ไพร่พลมุ่งมัวเข้าฟาดฟัน |
ขุนแผนหลีกหนีถึงสามครั้ง |
กองทัพไม่ยั้งไล่หํ้าหั่น |
ขุนแผนจึงขับม้ามาประจัน |
ฟันถูกขุนรามอินทราตาย |
ขุนเพชรอินทราก็ตายด้วย |
ไพร่พลมอดม้วยเสียมากหลาย |
แตกวิ่งกระจัดพลัดพราย |
อาวุธหลุดหายไม่ได้มา |
เดิมคนยกไปได้ห้าพัน |
ตายเสียนั้นสี่พันห้าร้อยกว่า |
เหลือพวกกองทัพกลับพารา |
แต่สี่ร้อยกับห้าสิบห้าคน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ฟังเหตุสงครามมาแต่ต้น |
ให้เคืองขุ่นพระทัยดังไฟลน |
กระทืบบนพระที่นั่งเพียงพังพับ |
ดังสายฟ้าผ่าฟาดพระสุเมรุ |
เอนถึงดินดอนสะท้อนกลับ |
เหวยอ้ายนายทัพปลัดทัพ |
ไพร่พลกูยับระยำไป |
ช้างม้าอาวุธก็นับพัน |
มันคนเดียวเท่านั้นไม่สู้ได้ |
แสนขลาดชาติชั่วตัวจัญไร |
ทุดอ้ายใจผู้หญิงเที่ยววิ่งซุก |
เสียแรงเลี้ยงไว้ไม่ได้การ |
หนักบาญชีเปล่าเปลืองข้าวสุก |
ชอบแต่เฆี่ยนส่งลงไปคุก |
ยังมีหน้าวิ่งบุกมาบอกกู |
หากว่ามิใช่หาไหนมา |
ถ้าข้าศึกอื่นไกลให้ไปสู้ |
ไม่ทันเห็นรอยตีนพวกศัตรู |
เห็นแต่ผงคลีวู่ก็วิ่งเกรียว |
อ้ายชาติหมากาลีเห็นขี้เสือ |
วิ่งแหกแฝกเฝือไม่แลเหลียว |
ดีแต่จะเย่อหยิ่งนั้นสิ่งเดียว |
ลอยลากหางเกี้ยวประตูดิน |
หวีผมหย่งหน้าอ้ายบ้ากาม |
ศึกเสือสงครามไม่เอาสิ้น |
ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน |
เล่นลิ้นเหลาะแหละแกะเลือดปู |
ชอบแต่ตัดหัวให้สิ้นโคตร |
อ้ายคนโฉดชั่วช้าอย่าให้อยู่ |
เลี้ยงมึงไว้ไยขายหน้ากู |
ดูก่อนกลาโหมมหาดไทย |
เร่งมีตราอายัติด่านขนอน |
แว่นแคว้นแดนนครน้อยใหญ่ |
ทั่วทั้งจังหวัดสังกัดไป |
เมืองใหญ่เอกโทตรีจัตวา |
แม้นอ้ายขุนแผนอยู่แห่งไร |
จับตัวให้ได้อย่าเข่นฆ่า |
จำให้มั่นคงส่งตัวมา |
ในท้องตราชื่อเสียงให้บอกไป |
รูปร่างสูงต่ำดำขาว |
หนุ่มสาวสำคัญ่ให้รู้ได้ |
สั่งเสร็จพระเสด็จคลาไคล |
เข้าในแท่นที่ศรีไสยา ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ |
ไม่นอนใจเรียกเสมียนมาพร้อมหน้า |
เขียนหนังสือครบฉบับประทับตรา |
เอามาส่งให้ตำรวจไป |
ถึงหัวเมืองไหนให้กำชับ |
จับขุนแผนจำส่งมาจงได้ |
ตำรวจรับท้องตราพากันไป |
ยังปากใต้ฝ่ายเหนือด้วยทันที |
เมืองเอกโทตรีจัตวา |
ก็ทำตามท้องตราทุกหน้าที่ |
ด่านซ่องกองป่าบรรดามี |
แจ้งคดีบอกไปให้ทั่วกัน ฯ |