๏ จะกล่าวถึงพระจอมจักรพรรดิ |
ครองสมบัติอยุธยามหาสวรรย์ |
เนาในปราสาทแก้วแพรวพรรณ |
พระกำนัลกราบก้มประนมกร |
ทรงรำพึงถึงเมียจมื่นไวย |
ได้สั่งให้ลุยไฟไว้วันก่อน |
กูจะต้องดูแลให้แน่นอน |
เสด็จออกพระบัญชรด้วยทันใด |
พรั่งพร้อมข้าเฝ้าเจ้าพระยา |
เสนาอำมาตย์ผู้น้อยใหญ่ |
พระกาญจน์บุรีชุมพลจมื่นไวย |
ก็หมอบเฝ้าอยู่ในหน้าพระลาน ฯ |
๏ ฝ่ายว่าท่านย่าทองประศรี |
แจ้งคดีโกรธวุ่นอยู่งุ่นง่าน |
ทุดอีลาวเจ้ากรรมทำจัณฑาล |
แกลนลานลงบันไดรีบไคลคลา |
งกเงิ่นเดินมาตามถนน |
ผู้คนกล่นเกลื่อนเป็นหนักหนา |
โจษกันระเบ็งเซ็งแซ่มา |
ไปดูเล่นเถิดหวาเขาลุยไฟ |
ทั้งเจ๊กจีนแขกฝรั่งมังค่า |
รู้เข้าต่างมาไม่ช้าได้ |
ผู้คนล้นหลามสนามใน |
ทองประศรีเข้าไปกราบบังคม |
พระองค์ทรงเห็นก็ตรัสทัก |
มันแก้มตอบฟันหักเป็นสองผม |
เมื่อยังสาวไหล่ผายท้ายกลม |
น่าสงสารซานซมไปคลับคล้าย |
เมื่อกระนั้นมันเป็นข้าหลวงเก่า |
กูนึกขึ้นมาเล่าก็ใจหาย |
คิดถึงอ้ายขุนไกรให้เสียดาย |
ต้องรับอาญาตายแต่ก่อนมา |
แล้วพระองค์ทรงตรัสไปบัดดล |
อ้ายขุนแผนชุมพลหมื่นไวยหวา |
อย่าให้เขาสงสัยในวิญญาณ์ |
สาบานเสียต่อหน้าอย่าเข้าใคร |
ขุนแผนพระไวยพลายชุมพล |
ทั้งสามคนสาบานถวายให้ |
ถ้าแม้นว่าข้าพเจ้าเข้าข้างใด |
ให้ตกนรกหมกไหม้ในโลกันต์ |
จะตั้งจิตรให้ตรงจงแท้เที่ยง |
ไม่ลำเอียงนึกร้ายหมายมั่น |
ทั้งสร้อยฟ้าศรีมาลาไม่อาธรรม์ |
ทูลแล้วบังคมคัลลงบัดดล ฯ |
๏ พราหมณ์ตรวจบาดแผลที่เท้านาง |
ทั้งสองข้างบริสุทธิไม่ขัดสน |
ให้นั่งข้างรางไฟทั้งสองคน |
พฤฒาจารย์อ่านมนตร์กันกระทำ |
ส่งข้าวตอกดอกไม้ให้สองนาง |
พราหมณ์ทั้งสองข้างบูชาร่ำ |
บายศรีบัดพลีพลีกรรม |
เสกซ้ำสังเวยซึ่งเทวา |
โอมองค์พระสยมภูวญาณ |
องค์บรมพรหมานนาถา |
พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศักดา |
พระคงคาพระเพลิงเถกิงฤทธิ |
พระคเณศร์พระขันธกุมาร |
มัฆวานทั้งพระพายกายสิทธิ |
โลกบาลบริหารทั้งสี่ทิศ |
ขอเชิญมาสถิตทัศนา |
ทั้งเทวารักษากำภูฉัตร |
ปฏิบัติบำรุงพระศาสนา |
เสื้อเมืองทรงเมืองเรืองฤทธา |
พระหลักเมืองอยุธยาวราฤทธิ |
เชิญมารับกระยาสังเวย |
อย่าเข้าด้วยโจทก์จำเลยอันคนผิด |
ถ้าใครเท็จให้ไฟไหม้เป็นพิษ |
จงประจักษ์ศักดิสิทธิแก่ตาตน |
แล้วให้สองนางตั้งอธิษฐาน |
ศรีมาลาชูพานดอกไม้บ่น |
ถ้าร่วมรู้ทำชู้กับชุมพล |
ขอให้เพลิงไหม้ลนจนพังพอง |
ถ้าตัวข้าสัตย์ซื่อต่อสามี |
อย่าให้พิษอัคคีนั้นถูกต้อง |
ขอเชิญเทวามาคุ้มครอง |
ให้เหยียบย่องอย่างน้ำเย็นฉ่ำไป |
เทวาจงรักษาซึ่งความสัตย์ |
ถ้าวิบัติให้ม้วยด้วยเพลิงไหม้ |
นางมิได้ครั่นคร้ามขามใจ |
หน้าตาผ่องใสดังบัวบาน |
ฝ่ายนางสร้อยฟ้านั้นหน้าดำ |
ชูพานพึมพำอธิษฐาน |
ไหลเล่อเพ้อพกอยู่ลนลาน |
เออผีสางปะรางควานมาช่วยดอม |
พวกพราหมณ์หัวเราะฮาดูน่าขัน |
อธิษฐานอย่างนั้นฤๅขาหม่อม |
ทองประศรีร้องด่าอีหน้ามอม |
อธิษฐานลอมปอมให้เห็นตัว |
นางสร้อยฟ้าจึงอธิษฐานใหม่ |
ถ้าข้าทำคุณไสยกับเถรขรัว |
ทำให้พระไวยหลงใหลมัว |
ไปฝังรูปสระหัวกับเถรลาว |
ข้อหนึ่งพลายชุมพลกับศรีมาลา |
ไม่ทำชู้สู่หาเหมือนข้ากล่าว |
ขอให้ไฟไหม้พองทั้งสองเท้า |
ตัวสั่นตาขาวให้หนาวใจ ฯ |
๏ ขุนแผนหมื่นไวยทองประศรี |
พลายชุมพลนั่งที่ริมรางใหญ่ |
จตุสดมภ์กรมเมืองนั่งเนื่องไป |
พวกตำรวจนอกในก็ครบครัน |
ฝูงคนยัดเยียดเบียดเสียดเถียง |
บ้างวัดเหวี่ยงผลักรุนกันหุนหัน |
เอะอะปะทะล้มลงจมกัน |
บ้างผลักไสพัลวันตัวสั่นรัว |
ไอ้ข้างนอกไม่เห็นเต้นเข้ามา |
จนฝุ่นฝาฟุ้งฟูมขึ้นกลุ้มหัว |
ลูกกระจอมอแมติดแม่พัว |
บ้างขี่บ่าจิกหัวชะโงกดู |
อ้ายเจ๊กขายขนมล้มปั่นเป๋ |
อ้ายพวกโลนเสเพลเหนี่ยวหางหนู |
ไอ๊ย่าลั่นเจี้ยวอย่าเหนี่ยวกู |
ลงหมอบมุดคุดคู้ไม่เข้าไป |
อีมอญเจ้าข้าวเกรียบเหยียบเอาขา |
อ้ายเจ๊กร้องไอ๊ย่าลุกขึ้นได้ |
อีมอญด่าต๊อกย่ายอ้ายจัญไร |
จะดูเขาลุยไฟมาเบียดเคียง |
ตำรวจในรายรอบขอบสนาม |
คอยห้ามปรามมิให้ใครถุ้งเถียง |
ผู้คนสะพรั่งนั่งพร้อมเพรียง |
สงัดเสียงแซ่กันลงทันใด |
จึงองค์สมเด็จพระพันวษา |
ตรัสสั่งลงมาหาช้าไม่ |
เรียกสร้อยฟ้าศรีมาลามาไวไว |
ลุยไฟให้เห็นเป็นสัจจา |
ฝ่ายว่าพระสนมนางกำนัล |
พากันเยี่ยมพระแกลแลหา |
สอดตาตามซี่มู่ลี่มา |
ดูสร้อยฟ้าศรีมาลาจะลุยไฟ ฯ |
๏ ครานั้นสร้อยฟ้าศรีมาลา |
ได้ยินตรัสสั่งมาไม่ช้าได้ |
เข้าคนละข้างหัวรางไฟ |
ถวายบังคมไปมิได้ช้า |
เข้าโบกปัดพัดไฟให้ถ่านแดง |
นางสร้อยฟ้าแสยงเป็นหนักหนา |
ศรีมาลาเพราพริ้มยิ้มแย้มมา |
บังคมแล้วไคลคลาเข้ารางไฟ |
ลีลาศดังราชเหมหงส์ |
เยื้องย่างเหยียบลงหาร้อนไม่ |
นางมิได้หวาดหวั่นพรั่นฤทัย |
ลุยมาลุยไปได้สามที |
เทวดารักษาด้วยความสัตย์ |
พระพายชายพัดอยู่เรื่อยรี่ |
ต้องนางอย่างทิพวารี |
เสียงคนชมมี่ไปทั้งกอง ฯ |
๏ สร้อยฟ้ากระดากอยู่ปากราง |
เปลวไฟร้อนนางยืนจดจ้อง |
ให้ครั่นคร้ามกลัวไฟจะไหม้พอง |
แข็งใจเยื้องย่องซมซานมา |
เหยียบไฟลงได้สองสามก้าว |
ตัวสั่นท้าวท้าวไหม้ตีนฉ่า |
โจนจากรางไฟมิได้ช้า |
อีสังเอ๋ยร้อนหวาจะขาดใจ |
อีไหมเข้าคร่าพาลากถู |
ตีนแดงเป็นลูกหนูเจียวข้าไหว้ |
ผู้คนฉาวฉ่าฮาก้องไป |
พระหมื่นไวยขบฟันตัวสั่นมา |
เอาเท้าป่ายสีข้างเข้าดังผลุง |
ขุนนางห้ามยุ่งว่าอย่าอย่า |
พระไวยว่าไว้ทำไมนา |
เอาไปฆ่าเสียหัวตะแลงแกง ฯ |
๏ ขุนแผนแสนสงสารศรีมาลา |
ไม่ควรเลยสร้อยฟ้ามันกลั่นแกล้ง |
มันเฝ้าแต่เบียนเบียดเสียดแทง |
พ่อแจ้งอยู่แล้วแต่ไรมา |
เพราะคนอื่นเขาไม่รู้จึงสงสัย |
เจ็บช้ำน้ำใจเป็นหนักหนา |
ทีนี้แลจะสิ้นที่นินทา |
ประจักษ์หน้าพระที่นั่งพรั่งพร้อมกัน |
ทองประศรีความแค้นนางสร้อยฟ้า |
แกขบเหงือกเหลือกตาด่าตัวสั่น |
ฉวยได้ดุ้นแสมแร่มาพลัน |
กูจะต่อยหัวมันให้พอใจ |
ทุดอีเจ้ายาแฝดแปดยาช้าง |
มานอนอ้าขากางครางอยู่ได้ |
ร้อนฤๅเอาพิษเสนแก้พิษไฟ |
ให้สาใจเจ้าเสน่ห์เล่ห์กลดี |
ทำผัวตัวแล้วยังมิหนำ |
ซ้ำว่าชุมพลนั้นเอาพี่ |
คบเถรเณรอุบาทว์ชาติอัปรีย์ |
ร้องอี๋อี๋ชี้ขาอยู่ว่าไร |
ชุมพลวิ่งพวยฉวยชายผ้า |
อย่าทำวุ่นคุณย่าเถิดข้าไหว้ |
ทองประศรีโกรธนักผลักมือไป |
จะต่อยให้หัวฟกถกเขมรมา |
เป็นไรเป็นไปกูไม่ฟัง |
พวกผู้คุมรุมรั้งทั้งหลังหน้า |
เหมือนเขาเล่นซักส้าวคนฉาวฮา |
ลงทรุดนั่งยังด่าตาเป็นมัน |
ชุมพลกราบตีนพี่ศรีมาลา |
มือเช็ดน้ำตาแล้วหุนหัน |
มาถึงสร้อยฟ้าร้องด่าพลัน |
อีช้อนตะแกรงแกล้งกันให้ได้อาย |
พี่ศรีมาลาเขารักกูเหมือนลูก |
มาดูถูกมุสาว่าง่ายง่าย |
อีลาวป่าหน้ามึงไม่มีอาย |
มานอนหงายครางร่นคนดูอึง |
แล้วกดคออีไหมใส่ศอกถอง |
มึงคู่คิดปิดป้องกูรู้ถึง |
ฉวยมือสร้อยฟ้าแล้วคร่าดึง |
จะฟันมึงเสียที่หัวตะแลงแกง |
พระหมื่นศรีจูงมือชุมพลมา |
เจ้าฟังพ่อว่าอย่าใจแข็ง |
ฝูงคนพรั่งพร้อมล้อมดูแดง |
ด่าแช่งสร้อยฟ้าทุกหน้าไป ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
กริ้วนางสร้อยฟ้าดังเพลิงไหม้ |
คราวนี้รู้เช่นได้เห็นใจ |
อีจัญไรเจ้ากลมารยา |
ทำยาแฝดใส่อ้ายไวยผัว |
ให้เมามัวหลงเล่ห์เสนหา |
จนเสื่อมเวทเสื่อมฤทธิวิทยา |
จะเป็นบ้าแล้วยังไม่พอใจ |
ยังยุให้ลูกพ่อก่อวิวาท |
ดูบังอาจกำเริบเติบใหญ่ |
จะให้ล้างผลาญกันให้บรรลัย |
พ่อมันนั้นจะได้มาเล่นกู |
แล้วคิดร้ายอ้ายชุมพลศรีมาลา |
แกล้งใส่ไคล้จะให้ฆ่าอิกทั้งคู่ |
คิดอ่านสารพัดเป็นศัตรู |
ดูเป็นขบถแท้เห็นแน่ใจ |
ฮ้าเฮ้ยเหวยพระยายมราช |
จงเอาไปฟันฟาดให้ตักษัย |
ผ่าอกด้วยขวานประจานไว้ |
อย่าให้คนผู้ดูเยี่ยงมัน ฯ |
๏ พระยายมรับพระราชบัญชา |
เรียกทะลวงฟันมาขมีขมัน |
ฉุดมือสร้อยฟ้าคร่าขบฟัน |
นางวอนไหว้ว่าทั่นได้เมตตา |
ดีฉันจะบรรลัยไปเป็นผี |
จะขอลาสามีกับท่านย่า |
จะต้องษมาลาโทษศรีมาลา |
อย่าให้เป็นเวราเมื่อบรรลัย |
ทะลวงฟันเข้าปีกทั้งสองข้าง |
พานางแวะมาหาช้าไม่ |
กราบย่ากราบผัวกราบทั่วไป |
แล้วร้องไห้ไปที่ศรีมาลา |
ยกเอาเท้านางขึ้นทูนหัว |
กลิ้งเกลือกเสือกตัวไม่เงยหน้า |
แม่คุณทูนหัวลูกชั่วช้า |
แม่จงรับษมาอย่าจองภัย |
ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมทำบุญเถิด |
ลูกจะได้ไปเกิดในชาติใหม่ |
ถึงบาปกรรมทำชั่วติดตัวไป |
พอจะได้คลายร้อนด้วยผ่อนเวร |
เพราะว่ากรรมนำไปให้ใจชั่ว |
จึงเมามัวคบหากับเณรเถร |
เอาอิจฉาพยาบาทมาเป็นเกณฑ์ |
ไม่แลเห็นโทษผิดช่างปิดบัง |
แล้วมิหนำซ้ำว่าแม่เป็นชู้ |
ร่วมรู้กับชุมพลแต่หนหลัง |
ใส่ไคล้จะให้เจ้านายชัง |
โกหกโอหังด้วยเมามัว |
ลูกนี้หินชาติอุบาทว์เมือง |
จนฟุ้งเฟื่องคนผู้เขารู้ทั่ว |
อัปยศอดอายขายหน้าตัว |
รู้ว่าชั่วสิเป็นถึงเช่นนี้ |
เทวดาอารักษ์ท่านเล็งเห็น |
ว่าทำเข็ญจึงให้ไปเป็นผี |
ควรท่านประหารผลาญชีวี |
มาปรานีแต่ลูกที่ในครรภ์ |
ไม่มีผิดจะติดตายไปด้วย |
ได้เจ็ดเดือนมาม้วยพลอยอาสัญ |
ยังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน |
ไม่ทันรู้ว่าชายหญิงจะชิงม้วย |
โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย |
อย่าผูกเวรลูกเลยช่วยขอด้วย |
เอาไว้ใช้เป็นข้ากว่าจะม้วย |
นึกว่าช่วยลูกน้อยที่ในครรภ์ ฯ |
๏ ทองประศรีฟังว่าน้ำตาตก |
อียาจกใครทำให้มึงนั่น |
ต่อฟ้าเคืองสันหลังจึงรำพัน |
กูนี้กลั้นน้ำตามิได้เลย |
กูสั่งสอนเท่าไรไม่ใส่หู |
เอาคารมข่มกูเสียอิกเหวย |
ช่างเย่อหยิ่งนี่กะไรกูไม่เคย |
มากอดเกยตีนว่าน่าปรานี |
เห็นกับย่าเถิดศรีมาลาเอ๋ย |
เจ้าละเลยเสียก็เห็นจะเป็นผี |
มันทำเจ้ากับผัวถึงชั่วดี |
จงปรานีลูกน้อยในอุทร ฯ |
๏ ศรีมาลาฟังคำที่ร่ำว่า |
น้ำตาหลั่งไหลด้วยใจอ่อน |
เห็นสารภาพผิดคิดอาวรณ์ |
จะผันผ่อนทูลขอดูตามบุญ |
เกลือกว่าวาสนามิเคยม้วย |
กุศลส่งคงจะช่วยมาอุดหนุน |
ไม่หมายเอาตอบแรนแทนคุณ |
จะเอาบุญช่วยกู้ชีวิตไว้ |
อย่านึกเลยว่าข้าพยาบาท |
อย่าประมาทภาวนาเอาใจใส่ |
นางตั้งอธิษฐานด้วยทันใด |
ขอเดชะข้าได้ทำบุญมา |
ปรารถนาจะให้พ้นจากสงสาร |
เอาทางพระนิพพานภายภาคหน้า |
จะช่วยสัตว์ให้พ้นมรณา |
นางตั้งสัจจาแล้วคลาไคล |
ถึงหน้าพระที่นั่งก็บังคม |
ประนมกรกราบทูลเฉลยไข |
จะควรมิควรประการใด |
ชีวิตอยู่ใต้บทมาลย์ |
บัดนี้สร้อยฟ้าซึ่งต้องโทษ |
รับสั่งโปรดเกล้าให้ไปประหาร |
จะพาบุตรพระไวยไปวายปราณ |
ด้วยมีครรภ์ประมาณเจ็ดเดือนมา |
กระหม่อมฉันมีจิตรคิดสงสาร |
จะติดมารดาม้วยด้วยเข่นฆ่า |
ขอพระราชทานโทษโปรดสร้อยฟ้า |
กับบุตรที่มีมาได้รอดตาย ฯ |
๏ ครานั้นจึงองค์นเรนทร์สูร |
ฟังศรีมาลาทูลพระทัยหาย |
ไม่รู้ว่ามันจะมาพาลูกตาย |
เสื่อมคลายกริ้วลงด้วยทรงธรรม์ |
วาสนาสร้อยฟ้าจะไม่ม้วย |
กุศลศรีมาลาช่วยค้ำชูนั่น |
ทั้งบุญบุตรในท้องนั้นป้องกัน |
บันดาลให้ไภยันต์นั้นพ้นไป |
จึงตรัสว่าขอบใจอีศรีมาลา |
มึงนี้หาอาฆาตจองเวรไม่ |
อยู่ในสัตย์ธรรมล้ำเหลือใจ |
หากว่าอีจัญไรมันใจพาล |
มึงขอโทษก็จะโปรดชีวิตให้ |
แต่จะเลี้ยงมันไว้อุบาทว์บ้าน |
นานไปมันจะทำให้รำคาญ |
กูขี้คร้านจะดูมึงลุยไฟ |
ตรัสพลางสั่งพระยายมราช |
อีสร้อยฟ้าอุบาทว์ไม่เลี้ยงได้ |
ศรีมาลามาขอชีวิตไว้ |
ก็ขับไปให้พ้นจากพารา ฯ |
๏ ครานั้นท่านเจ้ากรมยมราช |
อภิวาทถอยหลังมาสั่งว่า |
โปรดประทานชีวิตนางสร้อยฟ้า |
ให้ขับพ้นพาราในสามวัน ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
ปรานีศรีมาลาจะทำขวัญ |
ดำรัสไปให้สั่งคลังในพลัน |
ให้จัดสรรเงินทองของนานา |
เงินสองชั่งทั้งผ้าสองสำรับ |
แหวนก้อยพลอยประดับขันล้างหน้า |
หีบหมากลายเทพประนมถมยา |
พระราชทานศรีมาลาเป็นรางวัล |
อิกทั้งปะวะหล่ำกำไลทอง |
ประทานลูกในท้องเป็นของขวัญ |
อีศรีมาลาครั้งนี้มึงดีครัน |
ความชอบมึงนั้นกูตอบแทน |
ที่ได้ไอ้แผนชุมพลมา |
เพราะมึงไปพูดจากับอ้ายแผน |
หาไม่ไหนอ้ายเถ้าจะหายแค้น |
ผิดนักก็จะแล่นเตลิดไป |
แล้วจึงดำรัสตรัสกำชับ |
อ้ายแผนกับอ้ายชุมพลอย่าเขวไขว |
เลิกวิวาทบาดทะเลาะกับอ้ายไวย |
ที่แล้วแล้วกันไปกูขอที |
พระกาญจน์บุรีพระไวยพลายชุมพล |
ทั้งสามคนรับสั่งใส่เกศี |
เสด็จขึ้นออกมาไม่ช้าที |
ตามกันจรลีจากวังใน |
๏ อีเม้ยรับว่ากับนางสร้อยฟ้า |
คิดถึงคุณนายข้าอย่าลืมได้ |
ศรีมาลาเคืองข้องร้องด่าไป |
ทุดอีมอญจัญไรอย่าเจรจา |
ชาวบ้านร้านตลาดต่างชมเชย |
แม่ศรีมาลาเอ๋ยดีหนักหนา |
ไม่ผูกกรรมซ้ำทูลขอสร้อยฟ้า |
จะหาเหมือนแม่นี้นี่ยากครัน |
ลางคนว่าถ้ากูแล้วที่ไหน |
จะให้ตัดหัวเสียบเสียที่นั่น |
นางสร้อยฟ้าเจ็บเท้าค่อยก้าวยัน |
นิ่วหน้าพากันมาถึงเรือน |
เกาะหลังอีไหมเข้าในห้อง |
พิษไฟปวดพองร้องป่นเปื้อน |
ค่อยอยู่เถิดหนาจะลาเฮือน |
ข้าวของกองเกลื่อนต้องทิ้งไว้ ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าสร้อยฟ้านารี |
เข้าไปหาสามีแล้วร้องไห้ |
กราบกรานขอประทานซึ่งโทษภัย |
ลูกได้ทำชั่วใส่ตัวเอง |
งดโทษเถิดหนาจะลาแล้ว |
จะคลาศแคล้วห่างไกลไปเท้งเต้ง |
ได้พึ่งบุญอุ่นอกจะวังเวง |
เจ้าประคุณคุ้มเกรงแต่ลงมา |
ทั้งพ่อแม่ได้พึ่งเมื่อตกไร้ |
พ่อกราบทูลแก้ไขให้หนักหนา |
หาไม่เชียงใหม่ทั้งพารา |
ก็จะมาเป็นจุณวิจุณไป |
จนโปรดให้ลูกมาเคียงคู่ |
ถึงผิดชอบก็เอ็นดูหาว่าไม่ |
เป็นกรรมหนหลังมาบังไว้ |
จึงให้คิดผิดเพอิญเป็น |
จากเมืองพึ่งพ่อพอเห็นหน้า |
กลับคืนพาราจะห่างเห็น |
เช้าค่ำร่ำไห้อกใจเย็น |
แสนเข็ญบุกป่าไปแต่ตัว |
เมื่อลงมาข้าคนก็มากมาย |
จะกลับเดียวเปลี่ยวดายแล้วทูนหัว |
ป่ากว้างช้างเสือก็น่ากลัว |
แรดร้ายควายวัวคะนองทาง |
ไหนห้วยเหวเปลวปล่องต้องเลาะไป |
หนามไหน่รกชัฏอยู่รอบข้าง |
เมื่อลงมาบิดาให้ขี่ช้าง |
นี่จะต้องเดินทางด้วยเท้าไป |
ข้าวของใครจะต้องมาหาบถือ |
ต้องซัดเซตัวฤๅก็ท้องไส้ |
แดดลมจะระทมให้ตรมใจ |
แสนห่วงใยแต่ลูกที่ในครรภ์ |
จะต้องทนลำบากตรากตรำ |
ทั้งข้าวน้ำวิปริตผิดผัน |
จะเป็นหญิงฤๅชายอย่างไรนั้น |
จะตายเป็นไม่เห็นกันกับบิดา |
ค่ำลงจะต้องนั่งบังร่มไม้ |
ฟืนไฟใครเลยจะช่วยหา |
ต้องหนุนขอนนอนแนบพสุธา |
ภาวนากลัวสัตว์ที่ในไพร |
จะฟังแต่เนื้อนกวิหคโหย |
ชะนีโวยหวีดร้องก้องป่าใหญ่ |
ไหนจะคิดถึงตัวด้วยกลัวภัย |
ไหนจะเฝ้าเศร้าใจถึงพ่อคุณ |
นางยกเท้าผัวทูนหัวไว้ |
ความอาลัยตันอกให้หมกมุ่น |
ร้องไห้ใจจะขาดลงเป็นจุณ |
จนตาขุ่นแดงเดือดเป็นเลือดไป |
อนิจจาเวรกรรมจำวิบาก |
เมียจะจากพ่อไปอย่างไรได้ |
ถึงจะต้องตกลำบากยากไร้ |
ถ้าอยู่ได้แล้วไม่จากพระคุณเลย |
พ่อเจ้าดูเมียเสียยังแล้ว |
พ่อทูลกระหม่อมแก้วของเมียเอ๋ย |
ตั้งแต่นี้มิได้เห็นดังเช่นเคย |
จนลับเลยสุดสิ้นชีวาลัย ฯ |
๏ ครานั้นพระไวยเจ้าพลายงาม |
ได้ฟังความสะท้อนถอนใจใหญ่ |
คิดแสนสงสารเมียเสียน้ำใจ |
น้ำตาไหลรีบเช็ดด้วยความอาย |
แข็งใจปลอบโยนนางสร้อยฟ้า |
จงดับความโศกาให้เหือดหาย |
อันทุกข์สุขมีทั่วทุกหญิงชาย |
ยามเคราะห์ร้ายก็ต้องยากลำบากตัว |
เจ้ารักษาอย่าให้ครรภ์อันตราย |
ถ้าสืบไปไม่ตายคงพบผัว |
อย่าตีตนก่อนไข้ให้หมองมัว |
รักษาตัวไว้เถิดคงพบกัน ฯ |
๏ นางสร้อยฟ้าได้ฟังคำพระไวย |
ค่อยคลายใจที่วิโยคโศกศัลย์ |
คำพ่อสอนสั่งสิ้นทั้งนั้น |
จะจำไว้ให้มั่นจนวันตาย |
แต่น้ำใจอาลัยด้วยความรัก |
ยิ่งหักก็ยิ่งพรั่นยิ่งขวัญหาย |
น้ำตาไหลนองสองมือฟาย |
สยายผมลงเช็ดกับบาทา |
พ่อเจ้าประคุณของเมียแก้ว |
จะจากวันนี้แล้วไม่เห็นหน้า |
พ่ออยู่ดีอย่ามีซึ่งโรคา |
ให้ชันษาอายุพ่อพันปี |
ลาแล้วครวญคร่ำร่ำร้องไห้ |
เข้าไปกราบไหว้ทองประศรี |
เจ้าประคุณคุณย่าได้ปรานี |
ชั่วดีไม่ทิ้งให้หลานตาย |
ให้แม่ศรีมาลามาขอไว้ |
หลานรักจึงไม่ม้วยฉิบหาย |
จะใคร่อยู่แทนคุณจนวอดวาย |
ไม่เหมือนหมายรับสั่งให้ขับไป |
ค่อยอยู่เถิดใจบุญเจ้าประคุณเอ๋ย |
ที่ไหนเลยจะได้กลับมาเมืองใต้ |
เหมือนตายจากคุณย่าจะลาไป |
ทางไกลตายเป็นไม่เห็นกัน ฯ |
๏ ทองประศรีได้ฟังนางสร้อยฟ้า |
น้ำตาไหลรัวอยู่ตัวสั่น |
กูก้อยพลอยรำคาญสงสารครัน |
มึงหุนหันทำได้ช่างไม่คิด |
ยิ่งว่ายิ่งเป็นเล่นยาแฝด |
ร้อยแปดปากคอไม่ต่อติด |
จนความตายจะถึงจึงได้คิด |
เป็นสุดฤทธิ์ที่กูจะช่วยมึง |
กูอยู่กับผัวจนตัวเถ้า |
ยาแฝดยาเมาไม่คิดถึง |
มิรักแล้วไปไม่พรั่นพรึง |
เป็นมึงกูไม่ทำให้รำคาญ ฯ |
๏ สร้อยฟ้าประนมก้มกราบไหว้ |
คุณย่าหวังจะให้เป็นแก่นสาร |
หลานนี้ชั่วจนตัวปิ้มวายปราณ |
กรรมของหลานเองแล้วจะโทษใคร |
ยกเอาเท้าย่าขึ้นทูนหัว |
ตัวสั่นรัวรัวร่ำร้องไห้ |
ขอษมาลาโทษโปรดอภัย |
กราบไหว้ย่าแล้วก็ลามา |
ไปกราบขุนแผนผู้แว่นไว |
คุณพ่อได้งดโทษโปรดเกศา |
ลูกทำชั่วจนตัวจะมรณา |
ให้บิดาเดือดร้อนอย่าผูกเวร |
ลูกนี้โง่เง่าเฉาโฉด |
อารามโกรธไปฟังถ้อยคำเถร |
เอาอิจฉาพยาบาทมาเป็นเกณฑ์ |
กรรมเวรลูกสร้างมาล้างตัว |
ทั้งพ่อพลายชุมพลจงอยู่ดี |
วันนี้พี่จะลาพ่อทูนหัว |
ให้มีสุขสมปองอย่าหมองมัว |
พี่ชั่วแล้วจะลาไปตามกรรม ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนพลายชุมพล |
ได้ฟังยุบลก็บ่นพร่ำ |
เอ็นดูอยู่ดีดีมิฟังคำ |
มาทำกรรมใส่ตัวกลั้วมลทิน |
จนเลื่องฦๅทั้งบ้านสะท้านเมือง |
ฟุ้งเฟื่องเขาตำหนิติฉิน |
ไม่พอที่อึงมี่ทั้งแผ่นดิน |
ไม่ประคิ่นวินชาอุลามก |
จะผูกเวรกันไยไปเถิดเจ้า |
อันความเก่าเจ้าอย่าได้วิตก |
เหมือนหนึ่งสัตว์พลัดตกลงนรก |
เรายกให้แล้วเจ้าอย่ากลัว |
นางสร้อยฟ้าได้ฟังทั้งสองว่า |
สมควรแล้วเจ้าข้าพ่อทูนหัว |
กราบขุนแผนพลันตัวสั่นรัว |
แล้วลาน้องผัวมาทันใด ฯ |
๏ จึงเข้าในห้องศรีมาลา |
กอดเอาบาทาร่ำร้องไห้ |
ครั้งนี้มีกรรมจะจำไกล |
แม่ข้าไหว้ค่อยอยู่ให้จงดี |
แม่เจ้ามีคุณทูลขอไว้ |
หาไม่จะประลัยไปเป็นผี |
คุณของแม่หนอในข้อนี้ |
จะใส่ในเกศีคุ้มวันตาย |
วันนี้แล้วแม่จะแลลับ |
ไปแล้วฤๅจะกลับมาได้ง่าย |
ข้าวของน้องนี้มิเสียดาย |
ช่วยถวายพระสงฆ์ส่งส่วนบุญ |
ถ้ารอดไปได้ถึงเมืองเชียงใหม่ |
พี่น้องก็จะได้ช่วยอุดหนุน |
มาคิดอยู่แต่แม่มีคุณ |
ได้พึ่งบุญแล้วมิได้จะทดแทน |
แม้นว่ามิตายไปภายหน้า |
คงจะกลับลงมาเป็นมั่นแม่น |
ลูกจะได้ก้มหน้ามาทดแทน |
อย่าคุมแค้นลูกเลยจะลาไป ฯ |
๏ ครานั้นฝ่ายนางศรีมาลา |
ตอบคำสร้อยฟ้าหาช้าไม่ |
แม้นข้าคุมแค้นแน่นใจ |
ที่ไหนจะไปทูลขอมา |
จะแทนบุญคุณไปทำไมมี |
ข้านี้มิได้ปรารถนา |
สงสารลูกในท้องของสร้อยฟ้า |
ข้าจะเอาแต่บุญไม่ขุ่นเคือง |
ข้าวของที่อุทิศจะทำให้ |
ผ้าขาวนั้นไซร้จะย้อมเหลือง |
จอกขันข้าวของอยู่นองเนือง |
จะเป็นเครื่องบริขารเจือจานไป |
สร้อยฟ้าฟังนางศรีมาลา |
ยกมือโมทนาแล้วกราบไหว้ |
พระคุณแม่เป็นล้นพ้นไป |
ไม่ผูกภัยก่อกรรมที่ทำมา |
ถ้าแม้นทำได้ให้ส่วนบุญ |
ครึ่งหนึ่งอุดหนุนแทนตัวข้า |
อภัยโทษโปรดเถิดจะขอลา |
ผิดพลั้งแต่หลังมาอย่าเป็นเวร |
ที่ลูกทำวุ่นให้ขุ่นเคือง |
เป็นเรื่องลงมาจนตาเถร |
แต่วันนี้จงระงับดับเวร |
นางประเคนพานข้าวตอกดอกไม้ |
ศรีมาลารับแล้วขอษมา |
ส่งให้สร้อยฟ้าหาช้าไม่ |
สร้อยฟ้ารับษมาแล้วว่าไป |
แม่ปลงใจเถิดหนาอย่าแคลงคลาง ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า |
ษมานางศรีมาลาแล้วเยื้องย่าง |
ครวญคร่ำร่ำไรไปเรือนนาง |
ทอดตัวลงกลางที่นอนพลัน |
เรือนเจ้าเอ๋ยเคยอยู่มาหลายปี |
ล้วนของดีสารพัดให้จัดสรร |
เครื่องแป้งแต่งตั้งไว้ครบครัน |
ฉากกั้นเตียงที่นอนอ่อนละไม |
คิดถึงผัวคิดถึงตัวจะตกยาก |
จะจำจากเปลี่ยวจิตรคิดหวั่นไหว |
คิดถึงเคยเชยชื่นกับหมื่นไวย |
ยิ่งคิดไปเพียงจะดิ้นสิ้นชีวิต |
นางแข็งขืนกลืนโศกกำสรดไว้ |
จะอยู่ช้าไม่ได้ด้วยกลัวผิด |
เพราะโทษทัณฑ์ตัวนั้นถึงชีวิต |
ต้องจำจิตจำจากจะพรากไป |
จึงจัดแจงเงินทองของดีดี |
เอาลงใส่ในที่กระทายใหญ่ |
อิกทั้งผ้าผ่อนท่อนสไบ |
ที่เต็มรักจึงได้เลือกเอามา |
จัดแล้วออกมาสั่งข้าไท |
ไปถอยเรือมาไว้ที่หน้าท่า |
ขนานอ้ายรับคำแล้วอำลา |
เอาเรือประทุนสามวามาจอดไว้ |
อีไหมขนของขลุกบรรทุกเรือ |
พริกเกลือเชิงกรานข้าวสารใส่ |
เครื่องครัวสิ่งของสำรองไป |
สร้อยฟ้าคลาไคลลงเรือพลัน ฯ |
๏ พระไวยเปิดหน้าต่างข้างตีนท่า |
แลเห็นสร้อยฟ้าเจ้าโศกศัลย์ |
ขนานอ้ายกับอีไหมไปด้วยกัน |
ถอยหัวเรือหันออกแจวไป |
รื้อคิดความหลังด้วยยังรัก |
สงสารนักนางน้องเจ้าท้องไส้ |
จะลำบากยากเย็นเข็ญใจ |
ต้องเดินดงพงไพรไกลกันดาร |
ได้ยินเสียงร้องไห้ไปแจ้วแจ้ว |
สนั่นแนวคงคาน่าสงสาร |
โอ้ว่ากรรมเราทำแต่ก่อนกาล |
มาประหารให้กำจัดจึงพลัดพราย |
แม้นไม่เกรงอาญาฝ่าธุลี |
ไหนแก้วพี่จะจากไปง่ายง่าย |
ถึงเจ้าผิดก็ยังคิดแสนเสียดาย |
โอ้ว่าสายสุดสงวนไม่ควรเป็น |
เหลียวชะแง้แลตามเจ้าทรามเชย |
จนเรือเลยลับแหลมแลไม่เห็น |
น้ำตาตกอาบซาบกระเซ็น |
ตั้งแต่นี้จะไม่เว้นวายคะนึง |
หับหน้าต่างย่างเข้ามาในห้อง |
ลงนอนตรองตรมจิตรเฝ้าคิดถึง |
ให้อัดอั้นตันใจดังใครกรึง |
แต่รำพึงจนม่อยผอยหลับไป ฯ |
๏ จะกล่าวถึงสร้อยฟ้าขนานอ้าย |
บ่าวนายสามคนกับอีไหม |
รีบแจวมาตามแนวชลาลัย |
เลยบ้านป้อมไปหัวสะพาน |
อยู่อ่างทองสองคืนกับสองวัน |
แล้วพากันผ่านพ้นตำบลบ้าน |
ถึงบางแก้วแจวมาไม่ช้านาน |
พอสุริฉานเย็นยั้งอยู่บางแมว |
ชาวเรือเหนือใต้ครั้นใกล้ค่ำ |
ก็จอดเรียงเคียงลำเป็นทิวแถว |
หุงข้าวต้มแกงแสงไฟแวว |
ครั้นสุกสิ้นกินแล้วเล่ากันอึง |
ว่ามีจระเข้ยาวราวเส้นเศษ |
สำแดงเดชลอยขวางกลางน้ำขึง |
เมื่อจะขึ้นคลื่นลมระดมตึง |
อิกตัวหนึ่งนั้นยาวสักเก้าวา |
แม้นเรือใครพลบค่ำไปลำเดียว |
ปะที่เปลี่ยวแล้วเข้าไล่เอาซึ่งหน้า |
กัดตะกูดแจวหักเสียหนักมา |
แต่มิได้เห็นว่ากินผู้คน ฯ |
นางสร้อยฟ้าจอดเรืออยู่ริมเขา |
ได้ยินเล่าหัวพองสยองขน |
ร้องไห้โฮว่าโอ้ข้อยนี้จน |
ไหนจะพ้นจระเข้จะขบตาย |
เรือที่ขี่มาก็เล็กนัก |
แต่คลื่นหนักก็จะล่มลงจมหาย |
โอ้ครั้งนี้น่าที่จะวอดวาย |
นางกลิ้งเกลือกเสือกกายไม่สมประดี ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเณรกับเถรขวาด |
องอาจล่องหนเที่ยวด้นหนี |
เป็นจระเข้เที่ยวเร่ในวารี |
อยู่ที่หัวย่านบ้านบางแมว |
ครั้นค่ำก็ทำสิงหนาท |
ขึ้นผุดผาดลอยล่องเล่นคล่องแคล่ว |
นัยน์ตาลุกเป็นไฟอยู่ไวแวว |
เรือแจวออกกลาดไม่อาจไป |
คับคั่งจอดดูอยู่ท้ายคุ้ง |
เห็นเรือมุงแกก็เมียงเข้ามาใกล้ |
จะฟังข่าวสร้อยฟ้าว่าอย่างไร |
พอได้ยินร้องไห้เข้าไปฟัง |
ก็รู้เที่ยงว่าเสียงเจ้าสร้อยฟ้า |
แกว่ายมาดำด้นขึ้นบนฝั่ง |
แล้วกลายเพศจระเข้เดินเซซัง |
เจ้าเณรจิ๋วตามหลังตรงลงมา |
จึงร้องเรียกไปนางไหมเอ๋ย |
อย่าช้าเลยถอยเรือรับเร็วหวา |
กูคือเถรกับเณรทั้งสองรา |
หนีมาได้รอดไม่วอดวาย ฯ |
๏ นางไหมแลไปบนตลิ่ง |
เห็นจริงจำได้ด้วยเดือนหงาย |
ลุกขึ้นถอนหลักแล้วชักพาย |
วาดท้ายเข้ารับด้วยฉับไว |
เถรเณรย่างลงในเรือพลัน |
เห็นนางสร้อยฟ้านั้นนั่งร้องไห้ |
จึงเล่าความแต่ต้นจนปลายไป |
รูปรอดตัวมาได้ด้วยวิชา |
ล่องหนออกพ้นที่จองจำ |
ลงน้ำเป็นจระเข้มาคอยท่า |
ฟังข่าวราวเรื่องเจ้าสร้อยฟ้า |
จะมรณาฤๅรอดตลอดไป |
เสียงร้องไห้จำได้ขึ้นมาหา |
เหตุไฉนจึงมาถึงนี่ได้ |
ต้องเป็นโทษนี่โปรดประการใด |
จะไปไหนสามคนซุกซนมา ฯ |
๏ สร้อยฟ้าได้ฟังเถรขวาดถาม |
ก็เล่าความตามสัตย์ไม่มุสา |
ว่าเดิมพระภูมินทร์ปิ่นประชา |
ให้หาไปถามเอาความจริง |
ว่าข้าคบกับเณรเถรเถ้า |
ทำให้ผัวมัวเมาต้องยุ่งยิ่ง |
ข้าให้การแก้เกี้ยวเลี้ยวท้วงติง |
ว่าความจริงชุมพลกับศรีมาลา |
ร่วมรักทำชู้ข้ารู้แน่ |
จึงไปยุพ่อแม่มากล่าวหา |
ไม่มีพยานด้วยกันทั้งสองรา |
พระพันวษาจึงสั่งให้ลุยไฟ |
เพราะเราทำชั่วจึงแพ้เขา |
พระปิ่นเกล้าสั่งให้ฆ่าให้ตักษัย |
ดีเพราะลูกในครรภ์ไม่บรรลัย |
จึงโปรดให้ไล่เสียจากพารา |
ก็ตั้งจิตรคิดจะขึ้นไปเชียงใหม่ |
ดีใจพบพระคุณบุญหนักหนา |
ได้เป็นเพื่อนเหมือนช่วยซึ่งชีวา |
เจ็บไข้จะได้มาเห็นหน้ากัน |
ว่าพลางทางสั่งขนานอ้าย |
ให้คัดท้ายถอยเรือมาจากนั่น |
เถรเณรก็ไปในเรือนั้น |
ช่วยกันแจวถ่อต่อขึ้นไป |
๏ เถรขวาดหวาดหวั่นพรั่นวิญญาณ์ |
เห็นเรือตำรวจตรวจตราขึ้นล่องไขว่ |
อีกทั้งพวกด่านทางวางร้านไฟ |
เขาจับได้ครั้งนี้มิเป็นการ |
จึงไปชักหักกิ่งหิงหายผี |
เสกด้วยเวทฤๅษีปลอมแปลงสาร |
ปักหัวเรือไปมิได้นาน |
ให้ชาวด่านเห็นเป็นคนอื่นไป |
ผ่านปางน้ำบางพุทราคลาเคลื่อน |
เลยเลื่อนข้ามย่านบ้านน้อยใหญ่ |
ไม่มีใครทักทายสบายใจ |
ค่ำหยุดเช้าไปไม่รั้งรา |
เดือนหนึ่งมาถึงเมืองระแหง |
เอาเรือจอดเกยแห้งไว้หน้าท่า |
ขึ้นเดินบกต่อไปในพนา |
น่าสงสารสร้อยฟ้านั้นสุดใจ |
นางไม่เคยยาตราในป่ากว้าง |
ค่อยค่อยย่างเยื้องย่องด้วยท้องไส้ |
ต้องแดดแผดลมระงมไป |
เจ้าหวั่นไหววิเวกอยู่วังเวง |
สนั่นเสียงสิงห์เสือเนื้อกวาง |
ฝูงช้างหักพงอยู่โผงเผง |
ชะนีบ่างค่างลิงวิ่งปะเลง |
โดดเหยงลงดินดิ้นงักงัก |
เลียงผาโผนผกตกภูเขา |
น้ำลายเลียเข้าก็หายหัก |
หมาในวิ่งไล่ตามพยัคฆ์ |
หมายจักกินเนื้อที่เหลือเดน |
ถึงช่องแคบพอตะวันนั้นเย็นลง |
อัสดงฟ้าแดงดังแสงเสน |
เอาใบไม้มาซ้อนแล้วอ่อนเอน |
ตาเถรภาวนาพากันนอน |
พระจันทร์กระจ่างกลางอากาศ |
ดูโอภาสจำรัสประภัสสร |
รอบเดือนเกลื่อนกลาดดารากร |
น้ำค้างปรายรายร่อนอ่อนลออ |
ต้องพรรณดอกไม้ที่ในป่า |
กลีบผกาเบิกบานตระการช่อ |
หอมระรื่นลมชายค่อยคลายท้อ |
แต่ใจคอห่วงหลังยังตรอมตรม |
คิดถึงพระไวยอาลัยนัก |
เสียดายรักร่วมจิตรสนิทสนม |
ถนอมน้องมิให้หมองในอารมณ์ |
ไม่พอที่จะนิยมให้ยากกาย |
น้อยใจใจชั่วนี้เหลือแสน |
มาผูกแค้นทำเขาเฝ้ามั่นหมาย |
เพราะตัวผิดแทบชีวิตจะวางวาย |
ให้กลัดกลุ้มฟูมฟายฝ่ายน้ำตา |
แต่ร้องไห้ไม่หลับจนรุ่งเช้า |
เถรเถ้าตื่นลุกขึ้นล้างหน้า |
กับเณรจิ๋วหิ้วบาตรไปยาจนา |
ตามบ้านป่าได้ข้าวเหนียวมาเจียวท้อง |
มาก็นานข้าวสารเสบียงสิ้น |
ต้องหากินตามยากจากบ้านช่อง |
แต่พากันเดินไปด้วยใจปอง |
พอได้สองเดือนครึ่งถึงพารา ฯ |
๏ มาข้าจะกล่าวบทไป |
ถึงศรีมาลายาใจเสนหา |
ท้องแก่จะคลอดซึ่งลูกยา |
ญาติกาห้อมล้อมอยู่พร้อมกัน |
ท่านย่าทองประศรีบนผีสาง |
ได้ยินศรีมาลาครางแกตัวสั่น |
เรียกหาข้าไทอยู่งกงัน |
อ้ายนั่นออนี่อึงมี่ไป |
เร็วเข้าเขาจะคลอดมึงอย่าช้า |
ฟืนตองซื้อมาเอาไว้ไหน |
เด็กเอ๋ยตั้งหม้อก่อเตาไฟ |
น้ำร้อนต้มไว้อย่าได้ช้า |
ขมิ้นส้มมะขามน้ำมันดิบ |
สูหยิบมาตำขยำหวา |
ออไวยไปไหนไม่เห็นมา |
อย่าช้าเสกน้ำสะเดาะที ฯ |
๏ พระไวยเสกน้ำให้เมียกิน |
แล้วเอารินรดใส่ในเกศี |
เดชะพระเวทวิเศษดี |
ลูกที่ในครรภ์ก็คลอดมา |
เป็นชายเฉิดโฉมประโลมลักษณ์ |
อวบอ้วนน่ารักเป็นหนักหนา |
ย่าทวดทองประศรีรับรี่มา |
อาบน้ำแล้วทาขมิ้นพลัน |
เรียกบ่าวเอาผ้าที่เนื้อดี |
ทำกระโจมทันทีขมีขมัน |
เบาะเมาะวางรองป้องกัน |
ใส่กระด้งลงพลันกล่อมให้นอน |
ส่วนข้างนางศรีมาลาแม่ |
ท่านย่าแกก็ให้เข้าไฟก่อน |
ขมิ้นแห้งฝนทากินยาร้อน |
ให้ลูกอ่อนกินนมแล้วชมไป |
สามเดือนโกนหัวให้ลูกชาย |
ญาติกาทั้งหลายทำขวัญให้ |
เสมาปะวะหล่ำทั้งกำไล |
ขุนแผนเอามาให้แก่หลานยา |
พระไวยว่ากับพระกาญจน์บุรี |
จะให้ชื่อไรดีคุณพ่อขา |
ให้สมกับเค้ามูลตระกูลมา |
ท่านทวดว่าชื่อแก้วแลแววไว |
ขุนแผนจึงให้ชื่อว่าพลายเพชร |
เอาเคล็ดนามปู่เป็นผู้ใหญ่ |
ญาติวงศ์ยินยอมพร้อมใจ |
ก็อยู่ได้เป็นสุขสนุกสบาย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงฝ่ายข้างนางสร้อยฟ้า |
ท้องแก่หนักหนาเจ็บใจหาย |
ญาติวงศ์พร้อมหน้ามารอบกาย |
คลอดง่ายเป็นชายงามโสภา |
ประพิมพายคล้ายกับพระหมื่นไวย |
พระเจ้าตารักใคร่เป็นหนักหนา |
นางนมพี่เลี้ยงประทานมา |
ให้พิทักษ์รักษาทุกราตรี |
แล้วจัดแจงแต่งของจะทำขวัญ |
เครื่องกระยาสารพันทั้งบายศรี |
ให้ประโคมดุริยางคดนตรี |
พราหมณ์ชีพฤฒามาอวยชัย |
จึงสั่งให้โหราพฤฒาจารย์ |
เร่งคูณหารดวงชะตาหาฤกษ์ให้ |
จะตั้งนามตามวงศ์ตระกูลไทย |
ฤกษ์ดีวันไรให้บอกมา |
ครั้นถึงวันดีเป็นศรีวัน |
พระญาติวงศ์พร้อมกันมาถ้วนหน้า |
เจ้าเชียงใหม่ให้นามแก่นัดดา |
ให้ชื่อว่าพลายยงพงศ์นพรัฐ |
แล้วประทานข้าไทให้ใช้สอย |
เพชรพลอยเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ |
ทั้งเงินทองของเล่นสารพัด |
ชมเชยเสวยสวัสดิทุกวันไป ฯ |