๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าเชียงใหม่ |
แต่ได้นางมาไว้ในกรุงศรี |
ไม่วายเว้นนึกคะนึงถึงไพรี |
เห็นจะมีศึกมาไม่ช้านัก |
ด้วยล้านช้างข้างหนึ่งก็โกรธา |
ฝ่ายข้างอยุธยาก็โกรธหนัก |
ถ้าสองข้างต่างยกมาพร้อมพรัก |
จะหาญหักต่อสู้ดูยากครัน |
จำจะคิดชิงชัยข้างไทยก่อน |
ต้องรีบรัดตัดรอนผ่อนผัน |
ถ้าเสร็จสิ้นศึกไทยข้างใต้นั้น |
ล้านช้างก็คงพรั่นไม่อาจมา |
แต่นิ่งนึกตรึกไตรอยู่ในที่ |
จนสุรศรีเรืองแรงแสงกล้า |
เสด็จออกท้องพระโรงรจนา |
ท้าวพระยานอบน้อมอยู่พร้อมกัน |
จึงปรึกษาเสนาข้าเฝ้า |
ชาวเราจะเห็นเป็นไฉนนั่น |
เดิมเจ้าอยุธยาทำอาธรรม์ |
มาชิงมิ่งเมียขวัญของกูไป |
ฝ่ายเราไปสั่งดักกักทาง |
รับนางจับพวกมันมาได้ |
ถ้ารู้ข่าวราวเรื่องถึงเมืองไทย |
เห็นจะยกทัพใหญ่มาราญรอน |
เราจะเตรียมกำลังตั้งต่อสู้ |
ฤๅจะจู่ลงไปทำไทยก่อน |
จงปรึกษาว่ากันให้แน่นอน |
จะตัดรอนคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ ครานั้นเสนาพระยาลาว |
พระยาท้าวแสนหลวงผู้เป็นใหญ่ |
ปรึกษากันพร้อมมูลแล้วทูลไป |
อันศึกไทยไพรีมีกำลัง |
เห็นจะจู่ลงไปไม่ชนะ |
แต่ถ้าละช้าไว้ให้พร้อมพรั่ง |
จะเป็นศึกใหญ่มาดาประดัง |
ที่จะหวังต่อสู้ดูยากนัก |
ขอให้คิดอ่านการอุบาย |
ท้าทายยั่วไทยให้โกรธหนัก |
ให้รีบมาอย่าทันจะพร้อมพรัก |
จึงจะหักศึกไทยได้ง่ายดาย ฯ |
๏ พระเจ้าเชียงใหม่ได้ฟังทูล |
เค้ามูลเห็นสมอารมณ์หมาย |
จึงให้แต่งสาราว่าท้าทาย |
ให้หยาบคายหมายยั่วให้โกรธา |
เสร็จสรรพพับใส่ลงในกล่อง |
มอบให้แสนกำกองตรีเพชรกล้า |
คุมไพร่ร้อยถ้วนล้วนขี่ม้า |
ไปส่งด่านอยุธยาธานี ฯ |
๏ ครานั้นตรีเพชรแสนกำกอง |
ทั้งสองรับราชสารศรี |
เรียกไพร่ได้ครบตามบาญชี |
แล้วขึ้นขี่ม้าตามกันหลามมา |
ได้ข้าวตากใส่ไถ้ตะพายแล่ง |
เครื่องม้าเสื้อแสงแดงดาษป่า |
ทวนดูพู่ระยับจับนัยน์ตา |
ข้ามท่าน้ำได้ไปลำพูน |
ข้ามห้วยแม่ทามาเมืองนคร |
ไม่หยุดหย่อนขับควบเข้าไพรสูญ |
ค่ำเข้าเขตเถินเดินพร้อมมูล |
แสงจันทร์จำรูญจำรัสฟ้า |
ม้าคนหิวหอบอยู่บอบแบบ |
ขึ้นเขาช่องแคบแล้วลงป่า |
แดดร้อนผ่อนพักเป็นเพลา |
หยุดให้ม้ากินหญ้าหากำลัง |
พอหายเหนื่อยขึ้นม้าพากันไป |
สะบัดย่างวางใหญ่ไม่เหลียวหลัง |
สามวันดั้นมาไม่รอรั้ง |
จนกระทั่งถึงด่านบ้านท่าเกวียน ฯ |
๏ ครานั้นนายบุญเป็นขุนไกร |
เห็นลาวสงสัยว่าศึกเสี้ยน |
จึงเรียกพวกไพร่เวรเกณฑ์จำเนียร |
ออกยืนขวางทางเตียนตรงประตู |
ถือสาตราอาวุธอยู่พร้อมหน้า |
โน่นแน่ลาวขี่ม้ามาเป็นหมู่ |
แต่งตัวโพกหัวพันชมพู |
แลดูแดงเถือกมะเหรือกมา |
บ้างปิดประตูด่านงุ่นง่านไป |
ยัดปืนใหญ่หยิบชุดจุดไว้ท่า |
ไปไหนเหวยเฮ้ยสูอย่าได้ช้า |
ดีร้ายเร่งว่าให้รู้พลัน |
ถ้าดีมานี่แต่สองม้า |
ร้ายแล้วยกมากูไม่พรั่น |
บ้างแกว่งดาบถือปืนออกยืนยัน |
ต่างพากันเตรียมตัวออกทั่วไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าพวกลาวเห็นชาวด่าน |
อาจหาญยืนขวางหนทางใหญ่ |
จึงพากันหยุดยั้งรั้งม้าไว้ |
บอกให้แจ้งใจมิได้ช้า |
เราเป็นแต่ผู้น้อยที่นำสาร |
จะมาเว้าชาวด่านแจ้งการหวา |
เพชรกล้ากำกองแต่สองม้า |
เข้าไปส่งสาราแล้วว่าไป |
เรื่องราวกล่าวด้วยพระท้ายน้ำ |
กับไพร่ต้องจองจำอยู่เชียงใหม่ |
เจ้าเราให้สารมากรุงไทย |
สูจงรีบส่งไปให้กราบทูล ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนด่านรับสารมา |
ไปตามดูหมู่ม้าเข้าป่าสูญ |
เห็นมิใช่กองทัพกลับพร้อมมูล |
ให้นายพูนนายหมวดอยู่ตรวจตรา |
ขุนไกรได้สารขึ้นมาใช้ |
สะบัดย่างวางใหญ่เข้าในป่า |
ข้ามทุ่งซะเลียมเร่งตะเบ็งมา |
บ่ายหน้าม้าตรงลงธานี |
ถึงสังคโลกพลันทันใด |
ลงจูงม้าคลาไคลไปเร็วรี่ |
ขุนนางกรมการนั่งศาลมี |
ปรึกษาคดีอีเม้ยทอง |
จีนแสไม่แก้ยอมให้ปรับ |
ว่าไสบวยพวยรับแต่คล่องคล่อง |
พอเห็นขุนด่านกรมการร้อง |
เยี่ยมมองอยู่ไยไม่เข้ามา |
ขุนไกรตรงมาศาลากลาง |
แหวกทางหมอบคลานเข้าไปหา |
ส่งกล่องใส่ลานสารตรา |
แล้วเล่าแจ้งกิจจาทุกสิ่งอัน ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านเจ้าพระยา |
ทั้งเวียงวังคลังนาอยู่ที่นั่น |
กรมการถ้วนหน้าปรึกษากัน |
เกิดเหตุสำคัญหนักหนานัก |
ชิงนางมิหนำซ้ำจับทหาร |
ทำการอาจองทะนงศักดิ |
แล้วยังมีสารามาฮึกฮัก |
ไม่รู้จักเหมือนริ้นบินเข้าไฟ |
แต่ทว่าหญ้าแพรกจะแหลกก่อน |
ต้องยกทัพขับต้อนจะร้อนไพร่ |
อย่าดูเบาเราต้องรีบส่งไป |
ถ้านิ่งไว้เข้าร้ายตายทีเดียว |
อ้ายลาวเจ้ากรรมทำแล้วหวา |
เขียนบอกปิดตราสักประเดี๋ยว |
เสร็จสรรพใส่กลักถักเป็นเกลียว |
เคี่ยวครั่งติดประจำซ้ำตีตรา |
แต่งให้พันมโนเป็นนายใหญ่ |
ถือบอกไปกับไพร่ยี่สิบห้า |
หาบโพล่แฟ้มยุ่งกรุ่งกริ่งมา |
ลงเรือเก้าวากัญญายาว |
ให้แก้หน้าจากท่าตะเบ็งพาย |
เดือนหงายน้ำฟุ้งเป็นฟองขาว |
ตะละเล่มเต็มเหนี่ยวเสียงเกรียวกราว |
โห่ฉ่าวฉ่าลั่นสนั่นไป |
พอเช้าตรู่ลงมาถึงท่าเกษม |
หุงต้มกินเปรมทั้งนายไพร่ |
อิ่มแล้วรีบร้อนไม่นอนใจ |
พันมโนนายใหญ่นั่งโยกมา |
ครั้นพ้นวัดใหม่ไปบ้านตรุ |
ลุถึงท่ากงลงพิงหวา |
เข้าพิจิตรวังจันทร์น้ำดันซ่า |
รับวาเฮ้ยโขนโดนเรือเจ๊ก |
เออเรือขายเหล้าชาวเราฉวย |
พะซี้ไบใส่บวยฉวยเหวยเด็ก |
ยกขึ้นเรือได้ไหไม่เล็ก |
ถีบเรือเจ๊กเจ้าของร้องโล่ไป |
มึงบึกกูบึกสะอึกคว้า |
เรือกัญญาหน้าโขนเข้าโดนไผ่ |
จะร่ำพรรณนาให้ช้าไย |
เจ็ดวันมาได้ถึงท่าคัน ฯ |
๏ พอเรือจอดทอดถึงที่หน้าท่า |
พันมโนรีบมาขมีขมัน |
ทั้งบ่าวไพร่ตามไปอยู่พร้อมกัน |
เห็นสาวชาววังนั้นก็ชอบเชิง |
จุปากเจาะเจาะกระเดาะลิ้น |
หอมกลิ่นแหงนหงายเหมือนควายเบิ่ง |
ทำกรีดกรายชายตาร่าเริง |
หลงละเลิงลดเลี้ยวเกี้ยวพานมา |
งุ่มง่ามข้ามฉนวนประตูดิน |
ตาถินนายประตูครู่เอาผ้า |
ชายพดหลกลุ่ยหุยหม่อมตา |
ยั่นอ้ายบ้าลอยชายคาดใต้พก |
พ่อเอ๋ยชาวบ้านนอกถือบอกมา |
มึงซ่อนอะไรหวาเอาผ้าปก |
ดูเป็นตะะกร้าใส่ไข่นก |
สกปรกชาวเหนือมันเหลือใจ |
เสียเงินให้สลึงเขาจึงปล่อย |
หน้าจ๋อยกลับมาทั้งนายไพร่ |
เที่ยวถามหาศาลาลูกขุนใน |
เขาชี้บอกให้ก็ตรงมา |
เห็นหัวพันนายเวรเกณฑ์เมืองรั้ง |
พันมโนก็นั่งลงตรงหน้า |
พอนายควรสวนออกนอกศาลา |
กราบไหว้วางตราอยู่ลนลาน |
นายเวรต่อยกลักกับพนักผาง |
ชักบอกออกวางกับราชสาร |
อ่านดูรู้ข้อราชการ |
ก็รีบมาเรียนท่านลูกขุนใน |
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจักรี |
เอกอรรคอธิบดีเป็นใหญ่ |
ทราบเรื่องราชสารรำคาญใจ |
สั่งให้รีบคัดจะกราบทูล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ |
เลิศลบโภไคยมไหศูรย์ |
สถิตในห้องแก้วแพรวไพฑูรย์ |
ไพบูลย์พูนสุขทุกเวลา |
แต่เหตุการราชสารหาทราบไม่ |
ให้รุ่มร้อนฤทัยเป็นหนักหนา |
ด้วยเทพเจ้าสิงสู่อยู่อัตรา |
รักษาพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ประทับอยู่ข้างในได้เวลา |
สามโมงนาฬิกาตีฆ้องลั่น |
จะเสด็จออกท้องพระโรงคัล |
จรจรัลไปสรงพระคงคา |
น้ำกุหลาบอาบอบตรลบกลิ่น |
หอมประทิ่นพระสุคนธ์ปนบุปผา |
ฝ่ายนางพนักงานก็คลานมา |
ถวายภูษาทรงอลงการ |
ทรงเครื่องเสร็จสรรพจับพระขรรค์ |
เพชรกุดั่นพรรณรายฉายฉาน |
นางในใจภักดิ์พนักงาน |
ถวายพานพระศรีแล้วกราบลง |
เสวยเสร็จพระเสด็จลีลาศ |
ผุดผาดดังพระยาราชหงส์ |
นางในตามชิดติดพระองค์ |
ตรงขึ้นบรรยงก์รัตนาสน์ |
พระสูตรรูดกร่างขุนนางเฝ้า |
คู้เข่าคึกคักแทบถมปักขาด |
กราบถวายบังคมบรมราช |
ทั้งอำมาตย์เสนาพระยาครู |
แตรสังข์กระทั่งถวายเสียง |
ขุนนางหมอบเรียงเคียงเป็นหมู่ |
ตำรวจในไล่คนพ้นประตู |
คอยดูเข้าออกบอกไปมา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี |
ได้ทีก็ประนมก้มเกศา |
กราบทูลขึ้นพลันมิทันช้า |
อันชีวาอยู่ใต้บาทบงสุ์ |
บัดนี้เชียงใหม่มีราชสาร |
มอบให้นายด่านท่าเกวียนส่ง |
พระยาเกษตรสงครามรามณรงค์ |
ให้พันมโนจำนงนั้นถือมา |
เรื่องราวกล่าวด้วยพระท้ายน้ำ |
เชียงใหม่จับจำยังไม่ฆ่า |
ให้ทรงฟังยังมิทันอ่านสารา |
ก็โกรธากลุ้มกลัดขัดพระทัย |
กระทืบบาทผาดพระสุรเสียงก้อง |
พระแท่นทองสนั่นหวั่นไหว |
เหม่อ้ายลาวจองหองคะนองใจ |
มันพูดจาว่ากะไรให้บอกพลัน ฯ |
๏ ขอเดชะในสารว่าทรงเดช |
ครองนิเวศน์เชียงใหม่มไหศวรรย์ |
ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตธรรม์ |
เป็นมหันต์อิศโรอันโอฬาร |
ฦๅเดชทุกเขตอาณาจักร |
ปรปักษ์ย่อท้อไม่ต่อต้าน |
ในตำรับข้างที่มีมานาน |
จารจารึกไว้ในแผ่นทอง |
ว่าพระเจ้ากษัตริย์ศึกองค์นี้ |
เป็นโมลีเลื่องโลกไม่มีสอง |
ดังอวตารมาผลาญศึกคะนอง |
มิให้ข้องเคืองขุ่นระคายมี |
เดิมให้ราชทูตจำทูลสาร |
ไปขอองค์เยาวมาลย์โฉมศรี |
ตามโบราณราชประเพณี |
บุตรีล้านช้างนางสร้อยทอง |
หวังพระทัยจะได้ซึ่งองค์เอก |
มาอภิเษกสู่สมภิรมย์สอง |
ยังเยาว์อยู่มิควรภิรมย์ครอง |
จึงยังไม่รับรองมาแนบองค์ |
แต่เดิมมากรุงไทยอยู่ในสัตย์ |
มาวิบัติถือจิตรด้วยฤทธิหลง |
ให้พระท้ายน้ำนำจัตุรงค์ |
ดั้นดงล่วงแดนของเรามา |
ไม่เกรงเราผู้เป็นเจ้านัคเรศ |
โอหังบังเหตุแล้วมิสา |
ยังซ้ำกลับรับองค์พระธิดา |
สร้อยทองเสนหาของเราไป |
จึงได้เกณฑ์กองทัพออกรับรบ |
ตีตรลบชิงนางนั้นไว้ได้ |
พระท้ายน้ำนายทัพกับพวกไทย |
เราจับจำคุกไว้ไม่ฆ่าตี |
ครั้นจะไม่บอกมาว่าให้แจ้ง |
จะเคลือบแคลงเราว่าพานางหนี |
อันโฉมยงองค์ราชบุตรี |
รับมาไว้ในที่ตำหนักจันทน์ |
ถ้าประสงค์ซึ่งองค์อัคเรศ |
ละนิเวศน์ยกมาอย่าได้พรั่น |
ขอเชิญเจ้าอยุธยามาประจัญ |
ตัวต่อตัวสู้กันบนหลังช้าง |
มีชัยก็จะได้นางสร้อยทอง |
ไปสมสองสัมผัสไม่ขัดขวาง |
พระท้ายน้ำเราจำเอาไว้พลาง |
เป็นจำนำฝ่ายข้างอยุธยา |
ครบสามเดือนจะฆ่าทั้งห้าร้อย |
เราคอยฟังอย่างไรให้เร่งว่า |
จะไว้ยศให้ปรากฏกัลปา |
ฤๅเกรงภัยไม่มาก็ว่าไป |
จะกำหนดสงครามตามแบบอย่าง |
อันองค์นางยังหาร่วมภิรมย์ไม่ |
กว่าจะได้รบพุ่งเจ้ากรุงไทย |
ให้ประจักษ์ฤทธิไกรใครรุ่งเรือง |
แล้วจึงจะอภิเษกให้ปรากฏ |
เกียรติยศระบือฦๅเลื่อง |
ว่าชนช้างได้นางเป็นศรีเมือง |
อ่านสารสิ้นเรื่องบังคมคัล ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง |
แค้นคั่งเคืองขัดจนอัดอั้น |
ให้ร้อนรุ่มกลุ้มพระทัยดังไฟกัลป์ |
จะเผาผลาญชีวันให้บรรลัย |
เป็นครู่หนึ่งจึงเปล่งสิงหนาท |
กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว |
ฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว |
ข้าเฝ้าน้อยใหญ่ก็ถอยทรุด |
หน้าซีดตัวสั่นอยู่งันงก |
บ้างล่วมหมากพลัดตกพกไม่หยุด |
บ้างแอบเสาท้องพระโรงหมอบโค้งคุด |
อุตลุดหวั่นไหวไปทั้งวัง |
ความกลัวดังจะแทรกแผ่นดินด้น |
บางคนลนลานคลานถอยหลัง |
เปล่งพระสุรเสียงประเปรี้ยงดัง |
นักสนมแน่นนั่งก็ตกใจ |
เหม่เหม่อ้ายเชียงใหม่ใจพาล |
จับพวกพลทหารของกูได้ |
หยาบช้าท้าให้ไปชิงชัย |
กำเริบนี่กะไรใช่พอดี |
อ้ายบ้านเล็กเมืองน้อยร้อยประเทศ |
บังเหตุจะสู้กับกูนี่ |
มันเหมือนหนึ่งลูกมฤคี |
จะมาสู้ราชสีห์ให้วายปราณ |
ตัวกูผู้เป็นหลักนัคเรศ |
ทุกประเทศมิได้รอต่อต้าน |
อ้ายนี่โมหันธ์อันธการ |
กรรมของมันบันดาลให้หลงคิด |
เชียงใหม่ใหญ่เท่าสักหยิบมือ |
ไม่พอครือทัพไทยจะไปติด |
จะพลอยพาโคตรวงศ์ปลงชีวิต |
อวดฤทธิประจญชนช้างกู |
เคลือบแฝงแกล้งว่าขอนางไว้ |
ดังว่าเขายกให้ไม่อดสู |
เมื่อตัวนางล้านช้างเขาให้กู |
ทูตมาก็รู้อยู่ทั่วไป |
ถ้ามันมีอำนาจดังราชสาร |
เขากลัวโพธิสมภารไม่ขัดได้ |
นี่เพราะเขารู้เช่นเห็นจัญไร |
เขาจึงยกลูกให้เสียเมืองนี้ |
ชิงนางกลางคันแล้วมิหนำ |
จับพระท้ายน้ำทำป่นปี้ |
เอาไว้ไยให้หนักพระธรณี |
เหวยพระยาจักรีเร่งเตรียมทัพ |
อีกสามวันกูจะยกไปเชียงใหม่ |
ถ้าตีเมืองไม่ได้กูไม่กลับ |
เกณฑ์เมืองขึ้นน้อยใหญ่อย่าได้นับ |
เร่งขับตามไปให้สิ้นพล |
อ้ายพวกเชียงใหม่อย่าไว้มัน |
พบที่ไหนไล่ฟันเสียให้ป่น |
จนให้เมืองมันร้างว่างผู้คน |
รื้อจนกำแพงล้อมป้อมปราการ ฯ |
๏ ครานั้นจตุสดมภ์กรมทั้งสี่ |
ฟังคดีรับสั่งดั่งศรผลาญ |
สะกิดกันตัวสั่นหวั่นสะท้าน |
ให้ท่านอธิบดีจักรีทูล |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงเดช |
ปิ่นปักนัคเรศมไหศูรย์ |
บารมีทรงบำเพ็ญเห็นไพบูลย์ |
จะเพิ่มพูนปรโยชน์โพธิสมภาร |
ซึ่งพระองค์ทรงคิดกิจสงคราม |
ก็เห็นว่าเสี้ยนหนามไม่ต่อต้าน |
ขอพระราชทานโทษจงโปรดปราน |
จะหนักหน่วงโพธิญาณให้นานไป |
กับข้อราชการแต่เพียงนี้ |
หาควรที่จะถึงเสด็จไม่ |
กับรบพุ่งพวกลาวชาวพงไพร |
ใช่เสนาข้าใช้จะไม่มี |
เห็นพระเกียรติยศจะถดถอย |
เชียงใหม่กลับจะพลอยได้ราศี |
ว่าเป็นคู่สู้พระองค์ทรงธรณี |
ไม่ควรที่แผ่นฟ้าลงมาดิน |
ครั้นเมื่อสมเด็จพระรามา |
หนุมานอาสาก็เสร็จสิ้น |
จนได้นางสีดาคืนธานินทร์ |
อสุรินทร์ย่นย่อท้อทด |
ครั้งนี้ถ้าเสด็จไปเชียงใหม่ |
ตกทหารกรุงไกรนี้สิ้นหมด |
ขอพระองค์ทรงชัยจงไว้ยศ |
ให้ปรากฏเหมือนครั้งพระรามา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ |
ปิ่นปักหลักโลกนาถา |
ได้ฟังคำทูลเป็นมูลมา |
พระตรึกตรานิ่งนึกในพระทัย |
จึงตรัสถามเสนาข้าเฝ้า |
นี่ออเจ้าคิดเห็นเป็นไฉน |
เมื่อมาทานทัดขัดกูไว้ |
ใครจะอาสาไปก็ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นบรรดาท่านผู้ใหญ่ |
จนใจด้วยไม่มีผู้อาสา |
มิรู้ที่จะสนองพระบัญชา |
ก็หมอบนิ่งก้มหน้าไปตามกัน |
พระองค์ทรงพิโรธกระทืบบาท |
สุรเสียงสิงหนาทดังฟ้าลั่น |
อย่างไรเล่าเอาจริงก็นิ่งงัน |
เปล่าทั้งนั้นพูดเล่นไม่เป็นงาน |
ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน |
ปลอกปลิ้นสิ้นลมประสมประสาน |
เลี้ยงเสียเบี้ยหวัดไม่ต้องการ |
มีศฤงคารยศศักดิหนักแผ่นดิน |
กริ้วพลางทางเสด็จเข้าวังใน |
ขุนนางน้อยใหญ่กลับไปสิ้น |
พรั่นตัวทุกคนเป็นมลทิน |
ด้วยได้ยินประภาษคาดโทษทัณฑ์ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพลายงามทรามสวาดิ |
เฉลียวฉลาดแกล้วกล้าวิชาขยัน |
เรืองฤทธิประสิทธิทุกสิ่งอัน |
หมายประจัญสงครามไม่ขามใคร |
อยู่กับพระหมื่นศรีมาปีกว่า |
เจ้าอุตส่าห์ฝากตัวให้รักใคร่ |
จนเธอเลี้ยงเป็นลูกด้วยถูกใจ |
สารพัดจัดให้ได้สุขสบาย |
วันนั้นรู้คดีว่ามีศึก |
คะเนนึกเห็นจะสมอารมณ์หมาย |
จะอ้อนวอนพึ่งบุญคุณพระนาย |
เบี่ยงบ่ายให้ได้รับอาสาไป |
ถ้ากะไรจะได้ทูลขอพ่อ |
คิดขึ้นมาน้ำตาคลอสะอื้นไห้ |
โอ้กรรมพ่อทำมาอย่างไร |
จึงต้องไปทนทุกข์ทรมาน |
ติดคุกมาแต่ลูกอยู่ในท้อง |
แม่วันทองช่างกะไรไม่สงสาร |
เสียแรงร่วมยากมาเป็นช้านาน |
ครั้นถึงบ้านแล้วแม่ก็แชไป |
เป็นหลายปีดีดักไม่อินัง |
หาคิดถึงความหลังของพ่อไม่ |
แต่ตัวลูกจักแหล่นจะบรรลัย |
เหตุเพราะไอ้ขุนช้างเป็นตัวมาร |
สะอื้นพลางทางคิดถึงคุณพระ |
เดชะความสัตย์อธิษฐาน |
ข้าพเจ้าจะดำริตริการ |
คิดอ่านขอโทษให้บิดา |
ขอให้ได้สมอารมณ์คิด |
อย่าให้ผิดมุ่งมาดปรารถนา |
อธิษฐานเสร็จพลันแล้ววันทา |
พอเพลาพลบค่ำเข้าไต้ไฟ |
เห็นพระหมื่นศรีอยู่หอกลาง |
แสงเทียนสว่างกระจ่างไข |
ลูกเมียหมอบนั่งสะพรั่งไป |
พระหมื่นศรีทีใจไม่สบาย |
เล่าความถึงกริ้วด้วยเรื่องทัพ |
รับสั่งเสร็จสรรพให้บัตรหมาย |
เตรียมทัพหลวงไว้ทั้งไพร่นาย |
วุ่นวายอึกทึกทั้งพารา |
พลายงามแอบฟังพระหมื่นศรี |
พอได้ทีก็คลานเข้าไปหา |
พลางร่ายพระเวทให้เมตตา |
วันทาแล้วถามไปทันที |
ดูคุณพ่อเป็นไรไม่สบาย |
ได้ยินว่าวุ่นวายทั้งกรุงศรี |
เกณฑ์ทัพจับกันเป็นโกลี |
ลูกนี้อยากรู้เป็นอย่างไร ฯ |
๏ พระหมื่นศรีว่าเออพลายงามเอ๋ย |
รบพุ่งเราจะเคยก็หาไม่ |
วันนี้พระองค์ผู้ทรงชัย |
ตรัสไถ่ถามทั่วทุกตัวคน |
นิ่งหมดไม่มีใครอาสา |
กริ้วดังฟ้าผ่าโกลาหล |
เสด็จออกพรุ่งนี้เข้าที่จน |
เอากุศลเสี่ยงสุดแต่บุญกรรม |
ถ้าไม่มีผู้ใดใครอาสา |
พ่อนี้เห็นว่าไม่เป็นส่ำ |
จะพากันวุ่นวายตายระยำ |
หน้าดำอยู่ทั่วทุกตัวคน ฯ |
๏ พลายงามฟังความก็สมคิด |
หมอบชิดแล้วตอบอนุสนธิ์ |
คุณพ่ออย่าได้เป็นทำวน |
จงผ่อนปรนเพ็ดทูลให้ชอบที |
ลูกนี้จะรับอาสาไป |
ทำเมืองเชียงใหม่ให้ป่นปี้ |
จะจับเจ้าเชียงใหม่ไอ้ตัวดี |
มิให้มีลำบากแก่ไพร่พล |
เสียแรงลูกเรียนรู้แต่ครูมา |
จะอาสาทำศึกเสียสักหน |
ให้มีชื่อฦๅทั่วทั้งสากล |
ว่าเป็นคนชาติทหารอันชาญชัย ฯ |
๏ ครานั้นพระหมื่นศรีผู้ปรีชา |
ฟังพลายงามว่ายังสงสัย |
ซึ่งเจ้าจะกล้าอาสาไป |
พ่อนี้ยังไม่ไว้อารมณ์ |
ด้วยตัวเจ้ายังเล็กเด็กนักหนา |
จะทูลความอาสาเห็นไม่สม |
ไม่เคยเห็นวิชาอาคม |
เจ้าสะสมร่ำเรียนไว้อย่างไร |
ลูกเอ๋ยการศึกนี้ลึกนัก |
เอาแต่โวหารหักนั้นไม่ได้ |
ถ้าเหมือนพ่อก็พอจะไว้ใจ |
ฤๅพ่อเจ้าเขาให้ตำรับเรียน |
ไปเพ็ดทูลถ้าดีก็มีหน้า |
เคลื่อนคลาศก็จะพากันถูกเฆี่ยน |
จะเสียทีที่ลำบากพากเพียร |
ไปพลั้งพลาดแล้วเจียนพากันตาย |
ตรองดูให้ดีนะลูกรัก |
จะหาญหักเพ็ดทูลมิใช่ง่าย |
เอ็นดูอยู่ว่าเจ้าเป็นลูกชาย |
พ่อหมายจะปลูกฝังให้เป็นตัว |
มิใช่แกล้งเกียดกันฉันทา |
เกรงแต่ว่าจะไปไม่รอดชั่ว |
อย่าประมาทคาดได้ด้วยไม่กลัว |
จงถ่ายเทดูให้ทั่วถึงทางความ ฯ |
๏ เจ้าพลายนบนอบตอบวาจา |
คุณพ่อว่าเพราะรักจึงหักห้าม |
ด้วยยังไม่เห็นดีของพลายงาม |
มิใช่ลูกว่าตามใจคะนอง |
เป็นลูกศิษย์มีครูรู้เที่ยงแท้ |
ท่านทำนายไว้แน่ไม่เป็นสอง |
ถ้าจะให้ปรากฏจะทดลอง |
ให้ถ่องแท้ได้เห็นเป็นแก่ตา |
ว่าแล้วยกมือขึ้นไหว้ครู |
ให้สิงสู่แล้วอ่านพระคาถา |
หายตัวไปพลันมิทันช้า |
ต่อหน้าคนผู้อยู่ทั้งนั้น |
พระหมื่นศรีค่อยมีน้ำใจมา |
หัวเราะร่าเออเช่นนี้ดีขยัน |
พอจะเอาการได้ไม่เสียพันธุ์ |
คลายเวทพูดกันเถิดลูกยา |
เจ้าพลายก็คลายให้คนเห็น |
กลับเป็นเสือโคร่งตัวคร่ำคร่า |
โตทะมื่นยืนหยัดดัดกายา |
ทำท่าเหมือนจะโดดโลดไล่คน |
แต่บรรดาลูกเมียพระหมื่นศรี |
ตกใจวิ่งหนีอยู่สับสน |
แต่พระหมื่นศรีรู้ทีกล |
ไม่ร้อนรนหัวร่ององันไป |
พลายงามก็คลายฤทธิมนตร์ |
กลับกลายเป็นคนลงนั่งไหว้ |
พระหมื่นศรีเปรมปริ่มยิ้มละไม |
ลูบหลังลูบไหล่เจ้าพลายงาม |
เอาการแน่แล้วลูกแก้วพ่อ |
เจ้าเป็นต่อนักเลงอย่าเกรงขาม |
เมื่อแรกพ่อแคลงใจจึงไม่ตาม |
พึ่งเห็นความรู้ดีฉะนี้เจียว |
อย่างนี้พระองค์ก็คงโปรด |
ไม่พักทรงพิโรธเป็นสองเที่ยว |
ทั้งพระหลวงเจ้าพระยาได้หน้ากรียว |
เพราะเจ้าคนเดียวได้รอดดอน |
พูดกันสองคนจนสว่าง |
สุริยาเยื้องย่างเยี่ยมสิงขร |
ก็เลยเตรียมไปเฝ้าไม่เข้านอน |
ได้เวลาพาจรจากบ้านพลัน ฯ |
๏ พระหมื่นศรีขึ้นขี่คลานหาม |
เจ้าพลายเดินตามขมีขมัน |
เข้าไปในศาลาลูกขุนนั้น |
ท่านผู้ใหญ่พร้อมกันอยู่ศาลา |
กำลังท่านกลาโหมจักรี |
จตุสดมภ์ทั้งสี่นั่งปรึกษา |
จึงพระหมื่นศรีผู้ปรีชา |
ก็พาตัวพลายงามตามเข้าไป |
กราบเรียนความพลันในทันที |
ว่าคนดีจะเข้ามาอาสาได้ |
ลูกขุนแผนแสนสะท้านหลานขุนไกร |
ชื่อพลายงามว่องไวใจคอดี |
วิชากล้าแกล้วแคล่วคล่อง |
ล่องหนหายตัวได้ถ้วนถี่ |
ท่านผู้ใหญ่ได้ฟังก็เปรมปรีดิ์ |
เจ้าพระยาจักรีว่าชอบกล |
หน่วยก้านหาญเหี้ยมดูเจียวเจ้า |
ลาดเลาก็เห็นจะเป็นผล |
เป็นลูกหลานทหารถึงสองคน |
ฤทธิเดชเวทมนตร์คงได้การ |
ดูคมคายคล้ายกับขุนแผนพ่อ |
ทั้งน้ำใจในคอก็อาจหาญ |
นี่แน่เจ้าจะเข้ารับราชการ |
ถ้าเชี่ยวชาญเหมือนว่าแล้วอย่ากลัว |
เราจะช่วยยกย่องให้มียศ |
ปรากฏเลื่องฦๅระบือทั่ว |
ถ้าตีได้เชียงใหม่ไหนครอบครัว |
ทั้งควายวัวเหลือหลายสบายใจ |
พูดจาหารือกันเสร็จสรรพ |
เป็นลำดับแต่ล้วนท่านผู้ใหญ่ |
จวนเสด็จออกท้องพระโรงชัย |
ก็เตรียมเฝ้าเข้าไปได้เวลา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงสวัสดิ์ |
เนาในปรางค์รัตน์จำรัสหล้า |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสีสุริยา |
พระผ่านฟ้าสระสรงทรงเครื่องพลัน |
ให้เร่าร้อนพระทัยด้วยไพรี |
พระเสด็จออกที่สุทธาสวรรย์ |
ขุนนางหมอบราบกราบพร้อมกัน |
เสียงแตรแซ่สนั่นเสนาะวัง |
ทอดพระเนตรเห็นข้าราชการ |
พระพักตร์เผือดเดือดดาลดังจะคลั่ง |
เป็นอย่างไรนิ่งอยู่กูคอยฟัง |
ใครจะอาสามั่งฤๅไม่มี |
อ้ายเลกทาสเลกสมกรมนอกใน |
มันจะอาสาได้กระมังนี่ |
จะได้ตั้งแต่งมันให้ทันที |
ถอดออเจ้าเหล่านี้ลงแทนมัน ฯ |
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช |
อภิวาททูลไปมิได้พรั่น |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
อันชีวันอยู่ใต้พระบาทา |
กระหม่อมฉันออกไปไต่ถาม |
ได้นายพลายงามจะอาสา |
เป็นบุตรขุนแผนแสนศักดา |
ได้ร่ำเรียนวิชามาเชี่ยวชาญ |
กระหม่อมฉันสงสัยได้ทดลอง |
ก็แคล่วคล่องสามารถอาจหาญ |
เป็นคนดีมีวิชาอาการ |
แล้วเหล่าปราณก็เคยสงครามมา ฯ |
๏ พระองค์ทรงฟังพระหมื่นศรี |
เปรมปรีดิ์ดำรัสตรัสให้หา |
ตัวมันอยู่ไหนอย่าได้ช้า |
เรียกให้กูดูหน้าให้เต็มใจ |
พระหมื่นศรีเหลียวหลังสั่งให้เรียก |
เจ้าพลายงามสำเหนียกหาช้าไม่ |
ค่อยคลานผ่านหมู่หุ้มแพรไป |
นายเวรแหวกช่องให้เป็นทางมา |
ถึงหน้าพระที่นั่งก็บังคม |
ปลงอารมณ์ร่ายเวทพระคาถา |
ผูกพระทัยให้ทรงพระเมตตา |
หมอบนิ่งภาวนาอยู่ในใจ ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช |
ทอดพระเนตรพอเห็นให้รักใคร่ |
จึงมีสีหนาทประภาษไป |
เฮ้ยไอ้พลายงามทรามคะนอง |
โคตรเค้าเหล่ามึงเป็นทหาร |
อุตส่าห์ทำราชการให้แคล่วคล่อง |
แม้นมึงทำลาวได้ดังใจปอง |
เงินทองยศอย่างจะรางวัล |
จะได้ฤๅมิได้ให้ว่ามา |
กูดูหน้าตาก็คมสัน |
น้ำใจในคอก็พ่อมัน |
นิ่งอั้นอยู่ไยให้ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
ฟังความรับสั่งใส่เกศา |
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา |
อันชีวาอยู่ใต้ฝ่าละออง |
กระหม่อมฉันจะขอรับอาสา |
เอาพระเดชามาปกป้อง |
จะจับเจ้าเชียงใหม่ใจคะนอง |
มิให้ต้องร้อนใจแก่ไพร่พล |
ขอพระราชทานโทษโปรดบิดา |
ไปเป็นคู่ปรึกษากันกลางหน |
ทั้งจะได้ช่วยเหลือเผื่ออับจน |
แก้กลศึกสู้ศัตรูนั้น |
แม้นว่าได้ร่วมคิดกับบิดา |
จะขอรับอาสาจนอาสัญ |
ถ้าพ่ายแพ้แก่พวกเชียงใหม่มัน |
ขอถวายชีวันทั้งโคตรปราณ ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร |
ฟังทูลตบพระหัตถ์อยู่ฉัดฉาน |
ทรงพระสรวลร่วนรื่นชื่นบาน |
เออเอ็งเอาการมิเสียที |
อนิจจาอ้ายขุนแผนแสนอาภัพ |
ตกอับเสียคนแทบป่นปี้ |
ติดคุกทุกข์ยากมาหลายปี |
กูนี้ก็ชั่วมัวลืมไป |
ให้บังอกบังใจกะไรหนอ |
อ้ายพลายงามมาขอจึงนึกได้ |
ครั้งขออีลาวทองกูหมองใจ |
จำไว้ช้านานถึงปานนี้ |
ดูดู๋ขุนนางทั้งน้อยใหญ่ |
พากันนิ่งเสียได้ไม่พอที่ |
ทาระกรรมมันมาสิบห้าปี |
ช่างไม่มีผู้ใดใครชอบพอ |
เหตุด้วยอ้ายนี่ไม่มีทรัพย์ |
เนื้อความมันจึงลับไปเจียวหนอ |
ถ้ามั่งมีไม่จนคนก็ปรอ |
มึงขอกูขอไม่เว้นวัน |
นับประสาหาคนไปสู้ศึก |
ก็ไม่มีใครนึกถึงมันนั่น |
ด้วยอิจฉาว่าวิชาไม่เท่ามัน |
มันไล่ฟันเอาเมื่อตามขุนช้างไป |
ความกลัววิ่งหัวเป็นดอกล่อ |
รู้จักฝีมือพ่อฤๅหาไม่ |
พระยายมฟังว่าช้าอยู่ไย |
จงสั่งให้ไปถอดอ้ายแผนมา ฯ |
๏ ท่านเจ้ากรมยมราชได้รับสั่ง |
ถวายบังคมคัลด้วยหรรษา |
รีบออกนอกพระโรงรัตนา |
ให้หานรบาลแล้วสั่งพลัน |
ไปถอดขุนแผนเป็นการด่วน |
เวลาจวนพามาขมีขมัน |
ให้ทันเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ |
นรบาลงกงันรีบออกไป |
ถึงคุกเร่งรัดพัศดี |
ถอดกันทันทีไม่ช้าได้ |
แล้วพาขุนแผนผู้แว่นไว |
เข้าในวังนั่งไหว้ท่านเจ้าคุณ |
ท่านพระยายมราชก็ทักถาม |
บอกความขุนแผนว่าแสนวุ่น |
พลายงามทูลขอพ่อเป็นบุญ |
ทรงการุญยกโทษโปรดประทาน |
อนิจจาผมเผ้ายาวเลื้อยดิน |
ผิดหน้าตาสิ้นน่าสงสาร |
เข้าไปเฝ้าเถิดเจ้าจะช้าการ |
ว่าแล้วก็คลานพาเข้าไป ฯ |
๏ พระองค์ทรงศักดิกวักพระหัตถ์ |
ตรัสเรียกขุนแผนเข้ามาใกล้ |
หมอบหน้าพลายงามทรามวัย |
บังคมไหว้กราบงามลงสามที |
พระองค์ทรงตรัสประภาษไป |
เออไอ้ขุนแผนไม่พอที่ |
มึงจำเพาะเคราะห์ร้ายมาหลายปี |
วันนี้สิ้นเคราะห์เพราะลูกชาย |
บัดนี้มีศึกข้างเชียงใหม่ |
อ้ายลูกมันจะไปตีถวาย |
มันจะขอพ่อไปเป็นเพื่อนตาย |
ปรึกษากับลูกชายก็เป็นไร |
ตัวมึงกูเคยได้เชื่อถือ |
ไม้มือไม่มีใครหักได้ |
กูนี้ชั่วมัวเอามึงจำไว้ |
ลืมไปใช่ว่าจะแค้นเคือง |
มึงจะเอาผู้คนสักกี่หมื่น |
ให้เร่งกะวันคืนอย่าร่ำเรื่อง |
จะเอาไพร่ในกรุงฤๅหัวเมือง |
วัวต่างช้างเครื่องให้หมายไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ |
ก้มกราบแล้วทูลเฉลยไข |
มิต้องให้ไพร่ยากไปมากมาย |
ครั้นกะเกณฑ์วุ่นวายจะช้าการ |
ขอพระราชทานแต่ไพร่ราบ |
พอหามหาบหาเสบียงเลี้ยงอาหาร |
อันพวกพลจะประจญประจัญบาน |
ขอประทานคนโทษที่ในคุก |
มีสามสิบห้าคนล้วนทนคง |
ยืนยงสามารถอาจอุก |
ได้ร่ำเรียนรู้ครบเชิงรบรุก |
เห็นมีทุกความรู้ครูต่างกัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ |
ฟังขุนแผนพูดจบเห็นขบขัน |
เออเขตแขวงเชียงใหม่สิใหญ่ครัน |
คนมันมากมายเป็นหลายเมือง |
ผู้คนเอ็งจะเอาไปเท่านี้ |
ถึงว่าได้คนดีที่ปราดเปรื่อง |
จะรบราฆ่าฟันมันไม่เปลือง |
กูเห็นเครื่องจะยับกลับลงมา |
มันดีดีอย่างไรว่าไวว่อง |
มะรืนนี้เอามาลองกันต่อหน้า |
พระยายมว่าไรอย่าได้ช้า |
ไปถอดทั้งสามสิบห้าให้แก่มัน |
สั่งเสร็จพระเสด็จเข้าในที่ |
ภูมีแสนสุขเกษมสันต์ |
พวกขุนนางออกมาพร้อมหน้ากัน |
ขุนแผนนั้นไหว้ทั่วตัวขุนนาง |
บ้างทักทายปราศรัยเป็นไมตรี |
ล้วนยินดีเชยชมกันต่างต่าง |
ให้สินให้พรสั่งสอนพลาง |
เคราะห์โศกสิ้นสร่างแล้วคราวนี้ |
ท่านเจ้ากรมยมราชก็เรียกหา |
ทั้งพ่อลูกตามมากับจมื่นศรี |
ให้จดหมายรายชื่อลงบาญชี |
ครบคนโทษที่พระราชทาน |
แล้วสั่งให้ประแดงไปถอดมา |
ตรวจตัวทั่วหน้าให้นับอ่าน |
ต่อหน้าขุนแผนแสนสะท้าน |
สอบคำให้การให้ขานมา ฯ |
๏ ข้าพเจ้าอ้ายพุกอยู่ลุกแก |
เมียชื่ออีแตพระเจ้าข้า |
โทษปล้นให้รำระบำป่า |
ให้อีมารำรื้อไปมือเดียว |
ถัดไปอ้ายมีบ้านยี่ล้น |
เมียชื่ออีผลปล้นตาเขียว |
แทงถูกอีชังกำลังเยี่ยว |
ปากเบี้ยวล้มหงายน้ำลายฟด |
ถัดไปไอ้ปานบ้านชีหน |
เมียชื่ออีสนปล้นบางปลากด |
ผูกคอตาจ่ายกับยายรด |
เอาไฟจดจุดขนหล่นร่วงไป |
ถัดนั้นอ้ายจันสามพันตึง |
เมียชื่ออีอึ่งบ้านเหมืองใหม่ |
พวกปล้นขุนศรีวิชัย |
เอาไม้เสียบก้นแกจนตาย |
ถัดมาข้าชื่ออ้ายคงเครา |
เมียชื่ออีเต่าบ้านหนองหวาย |
ปล้นบ้านบางภาษีเมื่อปีกลาย |
ได้ทรัพย์จับควายผูกต่างมา |
ต่อมาข้านี้อ้ายสีอาด |
เมียชื่ออีกงราดพระเจ้าข้า |
คบไทยไล่ปล้นบ้านละว้า |
แล้วเข่นฆ่าตาปานบ้านตาลเอน |
ถัดไปไอ้ทองอยู่ช่องขวาก |
ผัวอีมากฆ่าลาวชื่อท้าวเสน |
ขึ้นย่องเบาเอาบาตรผ้าพาดเณร |
ทุบตาเถนแล้วซ้ำปล้ำหลวงชี |
ที่นั่งถัดไปไอ้ช้างดำ |
อยู่บ้านถ้ำย่องเบาเจ้าภาษี |
เก็บเงินทองของข้าวบรรดามี |
ของดีดีไม่น้อยทั้งพลอยเพชร |
ถัดมาอ้ายบัวหัวกะโหลก |
โทษปล้นชีโคกที่ปากเกร็ด |
แล้วตีอ้ายดูกจมูกเฟ็ด |
ฟันตาสายขายเป็ดบ้านตึกแดง |
ถัดมาข้าชื่ออ้ายแตงโม |
เมียชื่ออีโตบ้านชุมแสง |
ปล้นชีดักขนนขนพอแรง |
ฆ่าขุนทิพแสงเจ้าทรัพย์ตาย |
อ้ายอินเสือเหลืองเมืองชัยนาท |
เมียชื่ออีปาดบ้านขนาย |
เที่ยวปล้นฆ่าคนสักร้อยปลาย |
ลักควายแทงกินสิ้นเป็นเบือ |
อ้ายมอญมือด่างบางโฉลง |
เมียชื่ออีโค่งเป็นชาวเหนือ |
ลักถ้วนลักถี่ทั้งตีเรือ |
ครกกระบากสากกะเบือไล่เก็บครบ |
ถัดไปไอ้ทองอยู่หนองฟูก |
เมียชื่ออีดูกลูกตาจบ |
กลางวันปิดเรือนเหมือนชะมบ |
แต่พอพลบคนเดียวเที่ยวย่องเบา |
อ้ายมากสากเหล็กปล้นเจ๊กกือ |
เมียมันตาปรือชื่ออีเสา |
ถัดไปไอ้กุ้งคุ้งตะเภา |
ฟันผัวแย่งอีเม้าเอาเป็นเมีย |
อ้ายสงผัวอีคงอยู่กงคอน |
ตีชิงผ้าผ่อนฆ่ามอญเสีย |
ถัดไปไอ้กร่างอยู่บางเหี้ย |
หาเมียมิได้ไล่ตีเรือ |
อ้ายกลิ้งผัวอีกลักดักขนน |
ลักควายขายคนปล้นเรือเหนือ |
อ้ายเภาผัวอีพานบ้านนาเกลือ |
เอายาเบื่อหลวงโชฎึกเก็บตึกเตียน |
อ้ายจั่วผัวอีปรางบางน้ำชน |
ขึ้นย่องเบาหมื่นธนขนเอาเลี่ยน |
อ้ายแมวผัวอีมาอยู่ท่าเกวียน |
เข้าบ้านพิตเพียนปล้นปลอมริบ |
พิจารณาเป็นสัตย์ซัดทอดฟ้อง |
เก็บเอาข้าวของนางทองกระหมิบ |
ถัดไปอ้ายมั่นผัวอีจันทิพ |
อยู่น้ำดิบปล้นตีหลวงชีเภา |
หาได้แทงแกไม่ดังให้การ |
นครบาลสอบแก้เป็นแผลเก่า |
อ้ายจันผัวอีจานบ้านกะเพรา |
โทษปล้นจีนเก๊าเผาโรงเจ๊ก |
ยิงปืนปึงปังประดังโห่ |
แล้วเอาสันพร้าโต้ต่อยหัวเด็ก |
ถัดมานั้นอ้ายสานกเล็ก |
อยู่คุ้งถลุงเหล็กผัวอีดี |
สกัดตีโคต่างทางโคราช |
แทงอ้ายชั้วผัวอีปาดล้มกลิ้งคี่ |
อ้ายมากหนวดผัวอีขวดอยู่บางพลี |
โทษตีเดิมบางเอากลางวัน |
อ้ายเกิดกระดูกดำผัวอีคำด่าง |
โทษสะดมกรมช้างกับหมอมั่น |
ปล้นละว้าป่าดงคงกระพัน |
กะหำไขว้ไข่ดันเป็นทองแดง |
สิริคนโทษซึ่งโปรดมา |
ครบสามสิบห้าล้วนกล้าแข็ง |
อยู่ยงคงกระพันทั้งฟันแทง |
เรี่ยวแรงทรหดอดทน |
ทำกรรมต้องจำมาช้านาน |
สิ้นกรรมบันดาลจึงให้ผล |
พลายงามทูลขอพ่อออกพ้น |
จึงปล่อยโปรดโทษคนทั้งนี้มา ฯ |
๏ ครั้นตรวจตราสำเร็จเสร็จทั่ว |
จึงมอบตัวไพร่ทั้งสามสิบห้า |
ให้แก่ขุนแผนแสนศักดา |
ท่านพระยายมราชก็อวยพร |
ให้พ่อชนะมารผลาญศัตรู |
เชิดชูพระยศปรากฏกระฉ่อน |
ทั้งลูกชายพลายงามไปราญรอน |
ตีนครเชียงใหม่ให้สมนึก |
แล้วหันหน้ามาสั่งพวกทนาย |
จงเลือกหาผ้าลายที่ในตึก |
ทั้งส้มสูกลูกไม้ให้ครันครึก |
แจกพวกอาสาศึกให้ทั่วกัน |
พวกทนายขนของมากองเกลื่อน |
พระยายมตักเตือนให้เลือกสรร |
ขุนแผนจึงจัดแจงแล้วแบ่งปัน |
แจกให้ไพร่นั้นทุกตัวคน |
ต่างผลัดผ้าเก่าเอาโยนเสีย |
ทุดกูขายหน้าเมียไม่ปิดก้น |
บางคนเปลื้องกระสอบดูชอบกล |
มันช่างจนเหลือจนได้พ้นทุกข์ |
ชวนกันกินของร้องโมทนา |
ตั้งแต่นี้วันหน้าจะเป็นสุข |
ถ้าหากพ่อไม่ขอออกจากคุก |
ก็สิ้นคิดติดกรุกจนตายไป |
จะเป็นข้าของนายจนตายจาก |
ใช้สอยน้อยมากจะทำให้ |
ฝ่ายว่าขุนแผนผู้แว่นไว |
กราบกรานท่านผู้ใหญ่แล้วอำลา |
พระหมื่นศรีขี่ม้านำมาบ้าน |
ผู้คนอลหม่านเป็นหนักหนา |
พลายงามเดินตามขุนแผนมา |
พวกไพร่สามสิบห้าก็มาพลัน |
พระหมื่นศรีจัดที่ให้พักอยู่ |
แต่งสำรับเลี้ยงดูเกษมสันต์ |
พวกไพร่สามสิบห้าเฮฮากัน |
พลุกพล่านจนตะวันลงรอนรอน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนางแก้วกิริยา |
เจ้าติดตามผัวมาอยู่แต่ก่อน |
อาศัยทับหับเผยเคยหลับนอน |
ตั้งอุทรเติบใหญ่ได้สิบเดือน |
ครั้นผัวพ้นทุกข์จากคุกได้ |
หม้อกะละออมโอ่งไหกองไว้เกลื่อน |
ผ้าขี้ริ้วผ่อนขาดกลาดทั้งเรือน |
เคยเป็นเพื่อนเมื่อยากจะจากกัน |
พิษฐานให้ทานคนโทษแล้ว |
ผ่องแผ้วตามมาหาผัวขวัญ |
พระหมื่นศรีดีใจบอกไปพลัน |
อยู่ด้วยกันอย่ากลัวผัวไปทัพ |
แล้วชวนขุนแผนกับเจ้าพลาย |
ทั้งสามนายนั่งพร้อมล้อมลำดับ |
เรียกให้เมียน้อยยกสำรับ |
กินเสร็จสรรพระหมื่นศรีก็ชี้แจง |
เกลอเอ๋ยน่าอดสูดูเผ้าผม |
ทำรุงรังช่างสมอ้ายใจแข็ง |
จะเป็นเจ๊กก็ใช่ไทยก็แคลง |
มันระแวงคล้ายละว้าน่าขันครัน |
ขุนแผนหัวร่อคุณพ่อช่างว่า |
แล้วลุกมาเสกน้ำที่ในขัน |
ชุบตัดมหาดไทยใส่น้ำมัน |
เสร็จพลันอาบน้ำชำระกาย |
ทาแป้งแต่งตัวเอี่ยมสะอาด |
นุ่งลายผ้าคาดดูเฉิดฉาย |
แล้วกลับมาหน้าหอของพระนาย |
ทั้งเจ้าพลายสามคนสนทนา |
ขุนแผนวอนไหว้พระหมื่นศรี |
ว่าลูกนี้ตั้งใจจะอาสา |
ยังเป็นห่วงบ่วงใยด้วยมารดา |
คร่อแคร่แก่ชราลงทุกวัน |
อยู่บ้านกาญจน์บุรีไม่มีสุข |
จะเฝ้าทุกข์ถึงลูกกับหลานขวัญ |
ถ้ารับมาเลี้ยงดูอยู่ด้วยกัน |
ถึงลูกไปทัพนั้นจะนอนใจ |
พระหมื่นศรีฟังคำขุนแผนว่า |
โมทนาข้าจะเป็นธุระให้ |
รับมาจะลำบากยากอะไร |
พรุ่งนี้ข้าจะให้ไปรับมา |
แล้วพูดกันสามคนจนดึกดื่น |
ครั้นเที่ยงคืนก็เข้าในเคหา |
ต่างระงับหลับใหลไสยา |
จนเวลารุ่งแจ้งแสงตะวัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงสมเด็จพระพันวษา |
ตรัสเรียกลาวทองมาขมีขมัน |
อ้ายพลายงามอาสามันกล้าครัน |
แล้วทูลขอพ่อมันพ้นจากคุก |
มึงทรมานมากว่าสิบปี |
กูเห็นมึงนี้ไม่มีสุข |
จะโปรดยกโทษให้พ้นทุกข์ |
อย่าปักสะดึงกรึงกรุกเร่งออกไป |
ลาวทองได้ฟังรับสั่งโปรด |
ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน |
ถวายบังคมลามาทันใด |
ออกไปกราบลาหม่อมป้าโต |
เพื่อนฝูงร้องไปจะได้ลาภ |
ค่อยกระซิบกระซาบนางมีโหว่ |
นางสีนางพรมแม่ส้มโอ |
เพื่อนฝูงอักโขจะลาไป |
แล้วลาเจ้าขรัวนายกรายเข้าห้อง |
หวีหัวกระจกส่องน้ำมันใส่ |
ทั้งกระแจะจันทน์ปรุงจรุงใจ |
หวังจะให้ชื่นอารมณ์ชมชิด |
นุ่งยกดอกกลมห่มม่วงอ่อน |
เทพนมห่มซ้อนดูวิจิตร |
ก้มแลดูกายไม่วายคิด |
ใส่จริตเยื้องย่างสำอางงาม |
จัดแจงหีบหมากเครื่องนากทอง |
ถาดรองขันน้ำทำอย่างห้าม |
ใส่เครื่องประดับวับแวววาม |
ออกประตูข้างข้ามประตูดิน |
อีถึงถือหีบรีบตามนาย |
อิกห้าคนขวนขวายเก็บของสิ้น |
เพื่อนทักถามไถ่ไม่ได้ยิน |
มาถึงถิ่นบ้านขึ้นบนบันได ฯ |
๏ ขุนแผนครั้นเห็นนางลาวทอง |
เจียนจะแปลกเจียวน้องนึกขึ้นได้ |
ร้องเรียกทันทีด้วยดีใจ |
แปลกพี่ไปฤๅเจ้าไม่เข้ามา |
ลาวทองฟังคำจำเสียงได้ |
เข้าใกล้ผัวรักรู้จักหน้า |
กอดตีนร่ำไห้ฟายน้ำตา |
ท่านโปรดโทษข้าข้าจึงรู้ |
ครั้นติดตามมาหาผัวรัก |
แปลกไปไม่รู้จักจึงยืนอยู่ |
ไม่กล้าเข้าไปในประตู |
แลดูพ่อซูบผิดรูปไป |
โอ้โอ๋เจ้าประคุณของเมียแก้ว |
เหมือนตายแล้วเกิดมาหากันใหม่ |
ตั้งแต่เมียถูกขังอยู่วังใน |
เฝ้าแต่ร่ำร้องไห้ไม่วายวัน |
ยามกินกินข้าวไม่เป็นคำ |
ต้องฝืนกลืนกับน้ำร่ำโศกศัลย์ |
ยามนอนนอนคิดจิตผูกพัน |
แทบจะกลั้นใจตายไม่วายเว้น |
ปักสะดึงกรึงไหมมิได้หยุด |
จะสิ้นสุดเมื่อไรไม่แลเห็น |
ได้แต่โศกเศร้าทั้งเช้าเย็น |
ตั้งแต่เป็นทุกข์มาช้านานครัน |
พูดพลางทางแลแล้วถามผัว |
ทูนหัวใครนั่งข้างหลังนั่น |
ขุนแผนจึงบอกออกมาพลัน |
นางนั้นชื่อแก้วกิริยา |
เมียข้าเมื่อพาวันทองหนี |
ครั้นติดคุกนางนี้อยู่รักษา |
นั่นลูกพี่ที่เขาทูลขอมา |
ชื่อพลายงามมารดาคือวันทอง |
ว่าแล้วก็พากันเข้าเรือน |
ข้าวของกองเกลื่อนอยู่ในห้อง |
ต่างปรึกษาหารือตามทำนอง |
ปรองดองมิได้คิดจิตฉันทา ฯ |
๏ ขุนแผนออกมาหน้าหอนั่ง |
พลันสั่งทหารสามสิบห้า |
ให้แต่งตัวตัดผมสมหน้าตา |
เตรียมผ้านุ่งห่มให้คมคาย |
ขาดเหลือพึ่งพระจมื่นศรี |
พรุ่งนี้จะได้ไปลองถวาย |
พระหมื่นศรีขุนแผนกับลูกชาย |
ทั้งสามนายสนทนาจนราตรี ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าข้าวปลาหากินเสร็จ |
จวนเสด็จออกต่างก็เร็วรี่ |
เข้าวังพร้อมกันในทันที |
วันนี้ชาวเมืองนั้นเลื่องฦๅ |
ว่าจะลองความรู้พวกอาสา |
ต่างแตกตื่นกันมาออกอึงอื้อ |
ไทยจีนมอญพม่าข่าลาวลื้อ |
จูงมือลูกหลานซานเข้าไป |
ยัดเยียดเสียดแทรกเข้าประตู |
นมจู้เบียดบีบกันเหลวไหล |
เจ้าหนุ่มหนุ่มที่ลำพองคะนองใจ |
เข้าคว้าไขว่สาวสาวออกกราวเกรียว |
บ้างกระชากผ้าห่มฉวยนมหมับ |
พวกตำรวจหวดขวับเอาเต็มเหนี่ยว |
จับตัวได้ใส่คาทำหน้าเซียว |
ที่เลี่ยงเลี้ยวหลบได้ไพล่เข้าวัง |
ยัดเยียดเบียดกันอยู่ชั้นนอก |
พอเวลาเสด็จออกก็พร้อมพรั่ง |
สังข์แตรแซ่เสียงสนั่นดัง |
ถวายบังคมกราบลงพร้อมกัน ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
เสด็จสถิตพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ |
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างพลัน |
ดังองค์พระสุริยันเมื่อเยี่ยมรถ |
ตรัสเรียกขุนแผนพลายงาม |
ทหารสามสิบห้าเข้ามาหมด |
ต่างคลานเข้าเฝ้าองค์พระทรงยศ |
น้อมประณตดาษดาหน้าพระลาน |
ทนายเลือกตีวงตรงพระที่นั่ง |
เอาเชือกหนังขึงขอบรอบหน้าฉาน |
ข้างในล้วนบรรดาข้าราชการ |
วงนอกไพร่บ้านพลเมือง |
เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ทั้งแก่หนุ่ม |
มามั่วสุมคับคั่งนั่งเนื่อง |
บ้างยงโย่แยงแย่แลชำเลือง |
บ้างยักเยื้องหยุกหยิกคะยิกกัน |
พวกตำรวจเรียงรายถือหวายห้าม |
รอบทั้งท้องสนามเป็นกวดขัน |
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
สั่งขุนแผนให้สรรกันเข้ามา ฯ |
๏ นายบัวหัวกะโหลกบ้านโคกขาม |
ถวายบังคมงามแล้วออกหน้า |
นอนหงายร่ายมนต์ภาวนา |
ให้เอาขวานผ่าเป็นหลายซ้ำ |
โปกโปกขวานกระดอนนอนพยัก |
ไม่แตกหักลุกมาหน้าแดงก่ำ |
นายคงเคราเข้านั่งบริกรรม |
ให้เอาหอกกรอกตำเข้าจำเพาะ |
ถูกตรงยอดอกไม่ฟกช้ำ |
แทงซ้ำหลายทีที่เหมาะเหมาะ |
เสียงอักอักพยักหน้านั่งหัวเราะ |
จนด้ามหอกหักเดาะไม่ทานทน |
นายมอญนอนเปลือยเอาเลื่อยชัก |
เลื่อยหักฟันเยินพระเนินย่น |
ให้เปลี่ยนหน้ามาเลื่อยก็หลายคน |
เป็นหลายหนไม่เข้าเปล่าทั้งนั้น |
นายช้างดำกำลังดังช้างสาร |
ถวายบังคมคลานมาไม่พรั่น |
กระโดดสูงสามวาตาเป็นมัน |
แข็งขันข้อลำดำทมิฬ |
นายสีอาดคลาศแคล้วแล้วไม่แตก |
หอกซัดเจ็ดแบกพุ่งจนสิ้น |
ไม่ถูกเพื่อนเชือนไถลไปปักดิน |
นายอินอึดใจแล้วหายตัว |
นายทองลองให้เอาปืนยิง |
ยืนนิ่งคอยรับจับลูกตะกั่ว |
นายจันนั้นแปลกเข้าแบกวัว |
นายบัวทำคล้ายเป็นหลายคน |
นายแตงโมทำโตได้เหมือนยักษ์ |
คึกคักกรอกตาดูหน้าย่น |
นายจั่วหัวหูดูพิกล |
เอาไฟลนทนได้ไฟวับวับ |
ลองถวายสิ้นทั้งสามสิบห้า |
ต่างสำแดงวิชาเป็นลำดับ |
แล้วมาหมอบเรียงเคียงคำนับ |
รับสั่งให้ประทานรางวัลพลัน |
คนหนึ่งเงินตราห้าตำลึง |
กับผ้าสำรับหนึ่งให้จัดสรร |
ทั้งเพิ่มนอกออกไปให้ต่างกัน |
ตามไม้มือมันใครเอกโท |
ยังอ้ายพลายงามจะอาสา |
ดีจริงฤๅว่ามันโยโส |
ดูตัวก็ไม่ใหญ่ใจมันโต |
เฮ้ยอ้ายแผนลองโต้กับลูกดู ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนพลายงาม |
ถวายบังคมตามกันทั้งคู่ |
ที่คนดูลุกยืนตื่นกันกรู |
คอยดูพ่อลูกจะลองกัน |
เจ้าพลายงามขออภัยพ่อขุนแผน |
แล้วจับทวนทอดแขนดูขบขัน |
ขุนแผนดาบสองมือถือยืนยัน |
ชักท่าทางวางหันเข้าสู้ทวน |
กลองแขกติงทั่งตั้งเพลงรำ |
ไม่เพลี่ยงพล้ำถ้อยทีถี่ถ้วน |
ชั้นเชิงกรีดกรายหลายกระบวน |
สับสวนท่าทางสันทัดกัน |
ดูข้างพลายงามก็ไวว่อง |
ดูทำนองขุนแผนก็แข็งขัน |
ได้ทีหนีไล่พัลวัน |
กลับแทงแย้งฟันกันคนละที |
ถูกฉับไม่เข้าเปล่าทั้งนั้น |
เจ้าพลายหันเยื้องย่องทำนองหนี |
แต่พอห่างวางทวนกับปัถพี |
อัญชลีร่ายเวทเป็นไฟกัลป์ |
ลุกโพลงโผงผางกลางสนาม |
เปลวฟู่วู่วามเสียงสนั่น |
ลามไหม้ไล่คนทั้งหลายนั้น |
คนผู้อยู่นั่นก็หนีกรู |
ตกใจหน้าซีดทุกตัวคน |
ขุนแผนอ่านมนตร์ฝนตกซู่ |
เป็นน้ำไหลไฟดับอยู่วับวู |
เสียงคนดูฮาลั่นสนั่นอึง |
ชมปรอพ่อลูกนี้เอาจริง |
วิชาเขายวดยิ่งไม่มีถึง |
ฝ่ายขุนแผนเสกซ้ำพร่ำตะบึง |
ประเดี๋ยวหนึ่งเป็นงูชูโพนเพน |
อ้ายตัวใหญ่มีหงอนเท่าท่อนซุง |
เลื้อยพุ่งตาแดงดังแสงเสน |
บริวารมากมายมาก่ายเกน |
แผ่พังพานพ่านเพ่นสักสองพัน |
เที่ยวเลี้ยวไล่ไชชอนไปทุกแห่ง |
พวกคนดูแอบแฝงเป็นจ้าละหวั่น |
เหล่าผู้หญิงวิ่งหนีพัลวัน |
ตัวสั่นหน้าซีดกรีดกราดไป |
ผ้าผ่อนล่อนหลุดสะดุดล้ม |
เหยียบทับกันจมออกเหลวไหล |
พลายงามขว้างตะกรุดไปทันใด |
เป็นนกกดตัวใหญ่ไล่ตามงู |
ตีนหยิกปากจิกปีกป้องรับ |
งูขยับเลี้ยวฉกนกจิกสู้ |
ฝูงคนกล่นเกลื่อนกันมาดู |
นกกดคาบงูชูร่อนบิน |
บรรดางูบริวารสิ้นทั้งหลาย |
ก็พลอยหายสาบสูญไปหมดสิ้น |
พลายงามตัวเอกเสกก้อนดิน |
นกหายกลายปลิ้นไปเป็นช้าง |
ซับมันชันหูชูงวง |
งายาวขาวช่วงทั้งสองข้าง |
เงยแหงนแปร้นแปร๋มาคว้างคว้าง |
ขุนแผนยืนขวางรำขอรับ |
เหยียบขึ้นปลายงาขาคร่อมคอ |
ช้างร้ายแรงหล่อเอาขอสับ |
ฟันกระชากหน้าผากระยำยับ |
จนตาหลับแหงนหงายท้ายติดดิน |
ช้างหายพลายงามทรามคะนอง |
มีวิชาสำรองไม่รู้สิ้น |
บริกรรมสำแดงแปลงกายิน |
เปลี่ยนปลิ้นกลับกลายเป็นควายรับ |
ขุนแผนหายกลายกลับเป็นเสือโคร่ง |
เขี้ยวโง้งโดดหลอกกลอกกลับ |
ล่อควายบ่ายมาหน้าที่ประทับ |
ตบขวับขวิดผึงทะลึ่งลอย |
ชุลมุนผลุนผลันถลันโดด |
เสือโดดควายขวิดชิดไม่ถอย |
สู้กันฟั่นเฝือจนเหงื่อย้อย |
ต่างปละปล่อยกลายกลับไปฉับพลัน |
พ่อเป็นนกแก้วแจ้วส่งเสียง |
ลูกเลี่ยงเป็นสาลิกานั่น |
บินไปจับต้นไม้อยู่ใกล้กัน |
รู้พูดสารพันภาษาคน |
แต่บรรดาคนผู้ดูจนเพลิน |
สรรเสริญสองนายทุกแห่งหน |
เออช่างศักดิสิทธิฤทธิเวทมนตร์ |
ข้าศึกไหนจะทนฤทธาเธอ |
พระองค์ตบพระหัตถ์อยู่ฉัดฉาน |
เบิกบานทรงพระสรวลสำรวลเร่อ |
อ้ายคู่นี้ใช้ได้ไม่อมเออ |
ฤทธิ์เดชมันเสมอสมานกัน |
ทีนี้จะได้ดูอ้ายเชียงใหม่ |
มันอวดอิทธิ์ฤทธิไกรอย่างไรนั่น |
จะสู้กับลูกกูอยากดูมัน |
ไม่ถึงวันก็จะวิ่งเข้าป่าไป |
สิ้นพุงมึงเท่านั้นแล้วฤๅหวา |
นกแก้วสาลิกาก็ทูลไข |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงชัย |
ยังไม่สิ้นตำราของอาจารย์ |
ทูลแล้วพ่อลูกก็คลายมนตร์ |
กลับเป็นคนมาหมอบอยู่หน้าฉาน |
พระพันวษาปราโมทย์โปรดปราน |
ให้เลื่อนเครื่องประทานแล้วตรัสมา |
ฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนแผนพลายงาม |
มึงลูกพ่อต่อตามกันหนักหนา |
ดูหน้านิ่วหิวเหนื่อยจะเลื่อยล้า |
กินข้าวปลาเสียทีให้มีแรง |
แล้วจึงตรัสสั่งคลังวิเศษ |
ให้จัดเสื้อโหมดเทศอย่างก้านแย่ง |
แพรจีนดวงพุดตานส่านสีแดง |
ทั้งสมปักตามตำแหน่งขุนนางใน |
ให้คลังหาสมบัติจัดเงินตรา |
ห้าชั่งเอามาประทานให้ |
มึงทั้งสองใช้ของเหล่านี้ไป |
กว่าจะได้บำเหน็จเสร็จสงคราม |
ขุนแผนพลายงามความยินดี |
ถวายบังคมอยู่ที่กลางสนาม |
ด้วยทรงพระกรุณาสง่างาม |
คนผู้ดูหลามไปทั้งวัง ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา |
ตรัสเรียกโหราเข้ามาสั่ง |
ให้คูณหารฤกษ์ยามตามกำลัง |
วันไรจะตั้งให้ยาตรา |
พระโหราหาฤกษ์แล้วทูลพลัน |
ขึ้นเจ็ดค่ำนั้นเป็นเศษห้า |
ได้ฤกษ์เบิกพยุหเสนา |
เวลาสี่โมงเช้าเก้านาที |
ปลอดทั้งผีหลวงห่วงวัน |
ยามนั้นได้เมื่อพระฤๅษี |
แค้นขัดมัดมือลิงกาลี |
จะไปตีบ้านเมืองย่อมมีชัย |
พระองค์ทรงฟังก็สั่งพลัน |
ไปให้ทันฤกษ์พาอย่าช้าได้ |
มันขอแต่ไพร่ราบหาบของไป |
ก็เกณฑ์ไพร่ให้มันเจ็ดสิบคน |
สั่งเสร็จพระเสด็จเข้าในวัง |
ขุนนางลุกสะพรั่งอยู่สับสน |
ออกบอบแบบแสบท้องจนเต็มทน |
อลวนกลับบ้านสำราญใจ |
พวกคนดูโจษกันสนั่นมา |
ไม่เลือกหน้าไทยเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ |
เขาดีจริงยิ่งยวดในกรุงไกร |
แปลงตัวไปได้ดังเทวดา |
ชั่วพ่อชั่วแม่ไม่เคยเห็น |
แต่รำเต้นนั้นก็ดูมาหนักหนา |
วันนี้ได้เห็นเป็นบุญตา |
เรากำเนิดเกิดมาไม่เสียที ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนแสนสะท้าน |
กลับมาอยู่บ้านพระหมื่นศรี |
ครั้นรุ่งเช้าเข้าไปอัญชลี |
บอกคดีได้ข่าวบ่าวมันมา |
ว่าบัดนี้คุณแม่ทองประศรี |
มาแต่กาญจน์บุรีอยู่เคหา |
เพราะฝ่าเท้าเจ้าคุณกรุณา |
ลูกกับบุตรภรรยาจะลาไป |
พระหมื่นศรีเมตตาสั่งข้าคน |
ให้ช่วยขนข้าวของไปส่งให้ |
พ่อลูกกราบลาแล้วคลาไคล |
ภรรยาข้าไทก็ไปตาม |
พวกทหารสามสิบห้ามาติดก้น |
เดินดาเต็มถนนจนล้นหลาม |
ชาวตลาดแลดูไม่รู้ความ |
กระซิบถามเพื่อนกันว่านั่นใคร |
บ้างบอกว่าพวกนี้ที่พ้นโทษ |
โปรดให้ไปทัพจับเชียงใหม่ |
ขุนแผนมาถึงบ้านวัดตะไกร |
ก็เข้าไปไหว้กราบท่านมารดา ฯ |
๏ ครานั้นนวลนางทองประศรี |
เห็นลูกยินดีเป็นหนักหนา |
ลูบหน้าลูบหลังถั่งน้ำตา |
เออเหมือนมาเกิดใหม่ได้พบกัน |
กูขอบใจออแก้วกิริยา |
มันอุตส่าห์ติดตัวตามผัวขวัญ |
เอ็งจงเป็นพี่น้องลาวทองนั้น |
อย่าขึ้งเคียดเดียดฉันท์กันวุ่นไป |
อนิจจาน่ารักออพลายงาม |
เพียรติดตามทูลขอพ่อจนได้ |
นี่แลบุราณท่านกล่าวไว้ |
ว่าเป็นชายมิให้ดูหมิ่นชาย |
แล้วหันมาหาขุนแผนแสนสะท้าน |
ยิ่งสงสารดูไปใจคอหาย |
ช่างผอมซูบวิปริตผิดทั้งกาย |
นี่หากว่าไม่ตายเสียในคุก |
สิ้นเคราะห์โศกโรคภัยเถิดแก้วแม่ |
ตั้งแต่นี้มีแต่ให้เป็นสุข |
ร้อยปีพันปีอย่ามีทุกข์ |
จงเป็นสุขตราบเท่าเข้านิพพาน ฯ |
๏ ขุนแผนรับพรของมารดา |
แล้วออกมาเร่งรัดให้จัดบ้าน |
ขนของขึ้นเรือนเกลื่อนนอกชาน |
ให้ปลูกร้านพวกไพร่จะได้นอน |
เรือนเหย้าเก่าเกเรจะเซคว่ำ |
เอาไม้ค้ำจุนดูพออยู่ก่อน |
ทำกันจนตะวันลงรอนรอน |
ต่างพักผ่อนลืมทุกข์สุขสำราญ ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้ากรมสัสดีก็มีหมาย |
ทุกตัวนายหมวดหมู่อยู่อลหม่าน |
เป็นการจวนด่วนวิ่งไม่นิ่งนาน |
เอาที่บ้านใกล้ใกล้จะได้ทัน |
บ้างเร่งรัดมัดผูกลูกเมียมา |
อุตลุดฉุดคร่าจ้าละหวั่น |
ผัดผ่อนไม่ได้ไม่ฟังกัน |
ครบครันเบ็ดเสร็จเจ็ดสิบคน |
จึงสั่งให้นายสมุห์บาญชี |
ไปส่งที่ขุนแผนออกสับสน |
ลูกเมียหาข้าวสารอยูลานลน |
อลวนจัดแจงประจุบัน |
หาได้ตามยากตามมี |
ให้ทันทีตามส่งกันตัวสั่น |
ที่ในบ้านขุนแผนออกแน่นนันต์ |
พร้อมเพรียงสามวันจะครรไล ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
คิดกับลูกยาหาช้าไม่ |
จะปลุกเครื่องให้เรืองฤทธิไกร |
จึงชวนกันออกไปที่ป่าช้า |
ให้ทหารปลูกศาลขึ้นฉับพลัน |
ตั้งบายศรีสามชั้นทั้งซ้ายขวา |
หัวหมูเป็ดไก่ทั้งเหล้ายา |
เครื่องเซ่นจัดหามาเรียงราย |
เอาผ้าขาวปูลาดดาดเพดาน |
นมัสการจุดธูปเทียนถวาย |
ในมณฑลนั้นให้อยู่แต่ผู้ชาย |
วงสายสิญจน์รอบเป็นขอบคัน |
ทั้งพ่อลูกเข้านั่งกลางมณฑล |
อ่านมนตร์โองการอันกวดขัน |
ชุมนุมเทวดามาพร้อมกัน |
ทุกช่องชั้นอินทร์พรหมยมยักษ์ |
ทั้งพระเพลิงพระพายกรุงพาลี |
พระภูมิเจ้าที่อันมีศักดิ |
อีกพระไพรเจ้าป่าพนารักษ์ |
พระนารายณ์ทรงจักรศิวาทิตย์ |
พระคเณศร์พินายทั้งซ้ายขวา |
ขอเชิญลงมาให้ศักดิสิทธิ์ |
ทั้งคุณแก้วสามประการอันชาญชิต |
บิดามารดาสถาวร |
คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ |
พระโองการบพิตรอดิศร |
ขออันเชิญช่วยมาอวยพร |
ให้เรืองฤทธิขจรทุกสิ่งอัน |
แล้วร่ายคาถามหาเวท |
ปลุกเครื่องวิเศษทุกสิ่งสรรพ์ |
ว่านยาผ้าประเจียดมงคลนั้น |
ตะกรุดโทนน้ำมันอันเรืองฤทธิ |
เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ |
เครื่องอานกลิ้งไปดังใครบิด |
แล้วตั้งกองอัคคีทั้งสี่ทิศ |
เอาเครื่องวางกลางมิดในกองไฟ |
เปลวไฟคึกคึกไม่ขาดสาย |
ชั้นแต่เส้นด้ายหาไหม้ไม่ |
จึงเอาพระภควำที่ทำไว้ |
ใส่ขันสำริดประสิทธิมนตร์ |
ในขันนั้นใส่น้ำมันหอม |
เสกพร้อมเป่าลงไปสามหน |
พระนั่งขึ้นได้ในบัดดล |
น้ำมันนั้นทาทนทั้งทุบตี |
ล่องหนกำบังจังงังครบ |
อุปเท่ห์เล่ห์จบเป็นถ้วนถี่ |
ปลุกเครื่องเสร็จพลันอัญชลี |
อ่านมนตร์เรียกผีพวกภูตพราย |
ผีตายฟ้าผ่าทั้งห่าโหง |
อยู่ในหลุมในโลงสิ้นทั้งหลาย |
ผีตายคลอดลูกผูกคอตาย |
ผีนายผีไพร่ให้รีบมา |
ฝูงผีมิอาจจะซุ่มซ่อน |
ด้วยเร่าร้อนฤทธิเวทพระคาถา |
พากันเกลื่อนกลาดดาษดา |
พร้อมหน้ามาที่พิธีการ |
บรรดาผู้นั่งอยู่ในมณฑล |
เห็นผีทุกคนออกพลุกพล่าน |
พลายงามขุนแผนแสนสำราญ |
เอาเหล้าข้าวใส่กระบานออกเซ่นวัก |
เนื้อพล่าปลายำทำตามมี |
ฝูงผีเข้ามากินหนักกว่าหนัก |
ข้างนอกยังนั่งล้อมอยู่พร้อมพรัก |
ชักชวนกันกินสิ้นทั้งปวง |
ที่อดหยากปากไหม้ไส้ขม |
ต่างชื่นชมรับเอาเครื่องบวงสรวง |
ล้อมกินปลิ้นตาอ้าปากกลวง |
ตวงเหล้าเติมบ่อยอร่อยครัน |
เสร็จแล้วพ่อลูกก็สั่งผี |
ว่าพวกท่านวันนี้จงจัดสรร |
มาอาสาศึกใหญ่ไปด้วยกัน |
ให้ทันฤกษ์พาเวลาเพล |
พวกผีดีใจไปสิพ่อ |
ลูกจะขอเป็นบ่าวให้กราวเขน |
อันทัพผีมิให้ต้องกะเกณฑ์ |
จะเข้านอกออกเวรให้ทันการ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนกับพลายงาม |
เสร็จพิธีมีความเกษมสานต์ |
จึงจัดแจงแบ่งปันซึ่งเครื่องอาน |
แจกทหารกับไพร่ให้ผูกพัน |
พวกพลทั้งสิ้นก็ยินดี |
เห็นอย่างนี้ละคุณพ่อใจคอมั่น |
ถึงจะให้ไปไหนก็ไปกัน |
จะสู้คนร้อยพันไม่พรั่นใจ |
ครั้นเสร็จสรรพกลับพากันมาบ้าน |
ขุนแผนเรียกทหารเข้ามาใกล้ |
สาตราอาวุธจงเลือกใช้ |
ใครถนัดอย่างไหนเอาไปพลัน |
บางคนฉวยดาบชักวาบวับ |
ที่บางคนก็จับเอากั้นหยั่น |
บ้างเข้ามาคว้าปืนถือยืนยัน |
บางคนนั้นร้องบอกขอหอกยาว |
อ้ายเฉยว่าฉันเคยแต่ไม้พลอง |
อ้ายมาว่าฉันคล่องก็เพลงหลาว |
อ้ายเพ็ดว่าพร้าก็พอกับคอลาว |
อ้ายทิดสาคว้าง้าวออกลองรำ |
ต่างคนต่างเลือกหาเครื่องอาวุธ |
อุตลุดสับสนอยู่จนค่ำ |
แล้วแจกจ่ายเสื้อผ้ายาประจำ |
กระบอกน้ำถุงไถ้ใส่ข้าวปลา |
ที่พวกหาบหาไม้มาทำคาน |
จักสานโพล่แฟ้มแซมตะกร้า |
ที่ได้เป็นนายหมวดคอยตรวจตรา |
เสียงเฮฮาครึกครื้นรื่นเริงกัน ฯ |
๏ ฝ่ายนางทองประศรีกระปรี้กระเปร่า |
ตั้งแต่เช้าจัดเสบียงเสียงสนั่น |
พริกเกลือข้าวปลาสารพัน |
ใครเชือนช้าด่าลั่นไม่เลือกตัว |
นางแก้วกิริยากับลาวทอง |
จัดของเครื่องใช้ให้แก่ผัว |
ปรึกษากันปรองดองไม่หมองมัว |
ด้วยความกลัวผัวรักจักทุกข์ร้อน |
หีบหมากเครื่องนากอยู่ในกลี่ |
ซองบุหรี่ย่ามใหญ่ใส่ผ้าผ่อน |
เสื้อผ้าจัดพับที่หลับนอน |
มุ้งหมอนพร้อมสิ้นทุกสิ่งอัน |
ข้าวของขนมาไว้หน้าเรือน |
กองเกลื่อนบ่าวข้าจ้าละหวั่น |
ส่วนว่าของนายพลายงามนั้น |
พระหมื่นศรีจัดสรรทุกสิ่งไป ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าจะเข้าไปทูลลา |
ขุนแผนลูกยาไม่ช้าได้ |
จัดพานธูปเทียนแลดอกไม้ |
ไปหาท่านผู้ใหญ่ที่ในวัง |
เวลาสี่โมงเศษเสด็จออก |
พระโรงนอกเสียงแตรแซ่กระทั่ง |
เสด็จประทับเหนืออาสน์ราชบังลังก์ |
มีรับสั่งไต่ถามความนานา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี |
ได้ทีก็ประนมก้มเกศา |
กราบทูลเบิกไปมิได้ช้า |
ขอเดชะพระบาทามาปกครอง |
ดอกไม้ธูปเทียนทองของถวาย |
ของขุนแผนนายพลายงามทั้งสอง |
กราบถวายบังคมลาฝ่าละออง |
ไปราชการศึกสนองพระเดชา ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร |
ฟังทูลทรงพระสรวลสำรวลร่า |
เฮ้ยขุนแผนพลายงามทั้งสองรา |
ซึ่งอาสาทำชอบกูขอบใจ |
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ |
พ้นวิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้ |
ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร |
มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา |
ตรัสพลางทางสั่งพนักงาน |
พระราชทานเครื่องยศกับเสื้อผ้า |
ทั้งกระบี่บั้งทองของนานา |
เงินตราเตรียมไปใช้การทัพ |
อิกทั้งม้าต้นคนละม้า |
เครื่องอานพานหน้าให้พร้อมสรรพ |
พวกไพร่ให้ผ้าคนละสำรับ |
สั่งเสร็จเสด็จกลับเข้าวังใน ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนกับลูกยา |
เสด็จขึ้นกลับมาหาช้าไม่ |
หาธูปเทียนใส่พานคลานเข้าไป |
กราบไหว้ทองประศรีผู้มารดา |
ลูกหลานจะมาลาคุณแม่ |
จงอยู่ดูแลซึ่งเคหา |
อันลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา |
คุณแม่ได้เมตตาช่วยดูแล |
ถ้าทุกข์ร้อนก่อนลูกกลับมาถึง |
จะหมายพึ่งผู้ใดให้เป็นแน่ |
พระหมื่นศรีแลเธอเป็นเกลอแท้ |
คุณแม่เจ็บไข้จงไหว้วาน |
เหย้าเรือนรุงรังจะพังคว่ำ |
พอจะทำเงินมีอยู่ที่บ้าน |
ขอแต่ให้คุณแม่อยู่สำราญ |
ถึงลูกไปช้านานไม่ร้อนใจ ฯ |
๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา |
ฟังลูกหลานลาน้ำตาไหล |
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป |
อย่าเป็นห่วงบ่วงใยเลยทางนี้ |
เมียเจ้านั้นไซร้ไว้ธุระแม่ |
จะดูแลสารพัดให้ถ้วนถี่ |
ทั้งเรือนเหย้าข้าวของบรรดามี |
ได้พึ่งพระหมื่นศรีก็ดีแล้ว |
แม่ขัดขวางอย่างไรจะไปหา |
เจ้าตั้งหน้าไปเถิดนะลูกแก้ว |
ทุกข์โศกโรคภัยให้คลาศแคล้ว |
จงผ่องแผ้วพูนสุขทุกเวลา |
ให้เจ้าชนะมารผลาญศัตรู |
ใครอย่ารอต่อสู้ได้สักหน้า |
อองามเจ้าอย่าห่างข้างบิดา |
ยังเด็กนักเด็กหนาย่าห่วงนัก |
อย่าประมาททอาจหาญการรบสู้ |
ขุนไกรปู่นั้นแต่หนุ่มคุ้มฟันหัก |
แกมิได้หมิ่นศึกทำฮึกฮัก |
เบาหนักตรองดูให้รู้ความ |
อนึ่งพวกพลไพร่ที่ไปด้วย |
ใครเดือดร้อนผ่อนช่วยอย่าหยาบหยาม |
อุตส่าห์เอาอกใจให้งดงาม |
ไปรบพุ่งเหมือนตามกันไปตาย |
ถ้าใจเดียวเกลียวกลมกันหนึ่งแน่ |
ถึงน้อยก็ไม่แพ้ที่มากหลาย |
ท่านว่าป่าพึ่งเสือเรือพึ่งพาย |
เราเป็นนายก็ต้องพึ่งซึ่งไพร่พล |
อนึ่งความกตัญญูรู้คุณเจ้า |
ทุกค่ำเช้านึกไว้จะให้ผล |
ให้รุ่งเรืองฤทธิเดชทั้งเวทมนตร์ |
เจ้าจงสนใจจำคำย่าไว้ ฯ |
๏ ขุนแผนพลายงามความยินดี |
รับพรทองประศรีแล้วกราบไหว้ |
ขุนแผนกลับมาสั่งข้าไท |
แล้วเข้าไปในห้องทั้งสองนาง |
เจ้าลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา |
จงอุตส่าห์ปรองดองอย่าหมองหมาง |
ไปทัพถ้าข้างบ้านเกิดรานทาง |
มักเป็นลางให้ร้ายฝ่ายผู้ไป |
การกินอยู่ดูแลแม่ทองประศรี |
อย่าให้มีทุกข์ยากลำบากได้ |
เจ้าแก้วก็อลักเอลื่ออยู่เหลือใจ |
ท้องไส้จงระวังจะนั่งนอน |
เมื่อคลอดลูกลาวทองน้องช่วยดู |
ทั้งฟืนไฟให้อยู่แลผ้าผ่อน |
ให้บ่าวมันคั้นส้มต้มน้ำร้อน |
เอาผ้าซ้อนเปลลูกผูกเห่ช้า |
อันที่จะทำมิ่งสิ่งขวัญ |
เรื่องนั้นมอบไว้ให้คุณย่า |
ด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ได้เคยมา |
ถึงหยูกยาสารพันทั่นเข้าใจ |
อนึ่งพี่นึกได้ไปคราวนี้ |
ท่วงทีจะได้พบท่านผู้ใหญ่ |
ด้วยเดินทางไม่ห่างสุโขทัย |
ไปเชียงใหม่ก็จะผ่านบ้านจอมทอง |
จะสั่งเสียอย่างไรไปถึงบ้าง |
ฤๅสองนางเจ้าอยากฝากข้าวของ |
พี่จะรับไปให้ดังใจปอง |
ถ้าได้ช่องคงพบประสบกัน ฯ |
๏ ครานั้นลาวทองแก้วกิริยา |
ฟังว่าอกใจให้ไหวหวั่น |
จะร้องไห้กลัวลางในกลางคัน |
อุตส่าห์กลั้นโศกาแล้วว่าไป |
พ่ออย่าได้รำพึงถึงตัวน้อง |
จะปรองดองผูกสมัครรักใคร่ |
รับการงานให้ท่านคุณแม่ใช้ |
จะตั้งใจปฏิบัติเป็นอัตรา |
ถ้าขึ้นไปได้พบกับพ่อแม่ |
จงบอกแต่ว่าลูกเป็นสุขา |
แล้วผัวเมียต่างคนสนทนา |
ด้วยสนิทเสนหาต่างอาลัย ฯ |
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนแสนศักดา |
ตื่นขึ้นแต่เวลาปัจจุสมัย |
บ้วนปากล้างหน้าแล้วคลาไคล |
ชวนลูกออกไปตระเตรียมทัพ |
ที่ตำบลวัดใหม่ไชยชุมพล |
เป็นมงคลเคยตั้งตามตำรับ |
ผู้คนพร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ |
ขุนแผนกับลูกยาตรวจตราการ |
ทองประศรีลาวทองแก้วกิริยา |
ก็ตามมาจัดเสบียงเลี้ยงอาหาร |
ทั้งบ่าวไพร่พวกพงศ์วงศ์วาร |
ตามไปส่งพลุกพล่านทั้งลานวัด |
พระหมื่นศรีดีจริงไม่นิ่งได้ |
พาลูกเมียบ่าวไพร่ไปเป็นขนัด |
ขาดเหลือเจือจานสารพัด |
แล้วช่วยจัดของข้าวจะเอาไป |
ของใหญ่ให้เอาขึ้นหลังช้าง |
วัวต่างนั้นบรรทุกเสบียงใส่ |
ที่เบาเบาเหล่าของต้องการใช้ |
ให้พวกไพร่หาบหามตามติดนาย |
ครั้นจัดเสร็จเรียบร้อยคอยเวลา |
โหราเหยียบเงาเอาชั้นฉาย |
พอถ้วนนาทีสี่โมงปลาย |
ถึงฤกษ์จะขยายกระบวนพล ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา |
แต่เช้ามาหาสำรับอยู่สับสน |
ท้องแก่อลักเอลื่อก็เหลือทน |
เจ็บท้องร้องทุรนจะขาดใจ |
ทองประศรีว้าวุ่นเรียกขุนแผน |
แล้วลุกแล่นมาประคองทั้งสองไหล่ |
ขุนแผนทำน้ำสะเดาะให้ทันใด |
กลืนเข้าไปพอตลอดคลอดลูกชาย |
ประจวบฤกษ์ดิถีกรีธาทัพ |
ต้องตำรับว่าประเสริฐเลิศหลาย |
ทองประศรีอุ้มแอบไว้แนบกาย |
ให้ชื่อพลายชุมพลรณรงค์ |
แล้วเรียกเรือมารับกลับเข้าบ้าน |
ด้วยห่วงหลานลูกสะใภ้ไม่อยู่ส่ง |
พระหมื่นศรีรับว่าอย่าพะวง |
จงวางใจให้ฉันไว้ทางนี้ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา |
ดูท้องฟ้าเห็นจำรัสรัศมี |
สบยามตามตำราว่าฤกษ์ดี |
สั่งให้ตีฆ้องชัยไว้เดโช |
ยกจากวัดใหม่ไชยชุมพล |
พวกพหลพร้อมพรั่งตั้งโห่ |
พระสงฆ์ส่งสวดชยันโต |
ออกทุ่งโพธิ์สามต้นขับพลมา |
โห่ร้องฆ้องลั่นมาหึ่งหึ่ง |
นายจันสามพันตึงเป็นกองหน้า |
กองหลังศรีอาจราชอาญา |
พวกทหารสามสิบห้าต่างคลาไคล |
บ้างคอนกระสอบหอบกัญชา |
ตุ้งก่าใส่ย่ามตามเหงื่อไหล |
บ้างเหล้าใส่กระบอกหอกคอนไป |
ล้าเมื่อไรใส่อึกไม่อื้ออึง |
บ้างห่อใบกระท่อมตะพายแล่ง |
เงี่ยนยาหน้าแห้งตะแคงขึง |
ถุนกระท่อมในห่อพอตึงตึง |
ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกัน ฯ |
๏ ขุนแผนพลายงามตามกันมา |
ชักม้าข้ามทุ่งมุ่งไพรสัณฑ์ |
พอพ้นถิ่นก็สิ้นแสงตะวัน |
ผ่อนผันหยุดพักพิตเพียน |
นายกำนันก็ชวนลูกบ้านช่อง |
แบกสำรับเนืองนองไม่ต้องเฆี่ยน |
ไฟฟืนดื่นไปทั้งไต้เทียน |
เยี่ยมเยียนกองทัพสับสนกัน |
พวกกองทัพทั้งสิ้นกินข้าวปลา |
ชาวบ้านเอามาเลี้ยงที่นั่น |
แล้วกำนันไปจัดที่วัดพลัน |
ให้พวกกองทัพนั้นอาศัยนอน |
รุ่งเช้าข้าวปลาหากินสรรพ |
ขับกันรีบไปไม่หยุดหย่อน |
พ้นทุ่งเข้าป่ามาทางดอน |
พอแดดกล้าหน้าร้อนอ่อนระทม |
มาถึงบ้านดาบก่งธนู |
พักร้อนเข้าอยู่อาศัยร่ม |
พ่อลูกนั่งเล่นเย็นเย็นลม |
เชยชมลูกชายสบายใจ ฯ |
๏ ขุนแผนจึงเรียกเจ้าพลายงาม |
เดินตามไปที่ต้นไทรใหญ่ |
หมากพลูธูปเทียนเอาถือไป |
ถึงต้นพระไทรก็กราบลง |
บอกลูกว่าฟ้าฟื้นของพ่อฝัง |
ไว้แต่ครั้งพระพิจิตรเขาบอกส่ง |
ดาบนี้มีฤทธิปราบณรงค์ |
ฝังไว้ตรงกิ่งทิศบูรพา |
พลายงามก็ขุดดินลงไป |
พบดาบดีใจเป็นหนักหนา |
ส่งให้พ่อชักวาบปลาบนัยน์ตา |
ขุนแผนทูนเกศาด้วยสุดรัก |
ดาบนี้ต่อไปจะให้เจ้า |
รบพุ่งจะได้เอาไปเป็นหลัก |
อันฟ้าฟื้นเล่มนี้ดียิ่งนัก |
ดาบอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเลย |
ถึงพระแสงทรงองค์กษัตริย์ |
ไม่เทียมทัดของเราดอกเจ้าเอ๋ย |
จะฝึกเจ้าให้ใช้เสียให้เคย |
ชมเชยดาบพลางทางเดินมา ฯ |
๏ กลับถึงที่สำนักแล้วพักผ่อน |
ตะวันรอนแดดบ่ายลงชายป่า |
เตือนกันทั้งสิ้นกินข้าวปลา |
พอเพลาลมตกยกต่อไป |
ค่ำลงหยุดนอนลพบุรี |
เช้ายกจากที่อิกพักใหญ่ |
ตัดบางขามข้ามบ้านด่านโพธิ์ชัย |
ล่วงเข้าแขวงใกล้อู่ตะเภา |
ตรงมาหัวแดนภูเขาทอง |
หนองบัวห้วยเฉียงเลี่ยงชายเขา |
ตัดลงชายดอนร้อนไม่เบา |
พอย่างเข้าทุ่งหลวงเพลาพลบ |
ขุนแผนก็สั่งให้หยุดพัก |
ที่ล้าเลื่อยเหนื่อยหนักนอนสลบ |
บรรดาพวกพหลพลรบ |
จุดคบกองไฟไว้เป็นวง |
ลางคนหาเขียงหั่นกัญชา |
นั่งชักตุ้งก่าจนคอก่ง |
บ้างมีแต่กัญชามานั่งลง |
ผลัดกันหั่นส่งใส่ไฟโพลง |
ที่ไม่มีขอซื้อสามมื้อสลึง |
พอส่งถึงรับหั่นชักควันโขมง |
อยากหวานเมาง่วงล้วงกระโปรง |
บ้างโก้งโค้งค้นหาพุทรากวน |
พวกขี้ยาขึงผ้าขึ้นบังมิด |
ลงนอนชิดกองไฟใส่กล้องง่วน |
สิ้นเนื้อเหลือขี้ลงรีรวน |
จวนหมดอตส่าห์สงวนไว้ |
เพื่อนกันขอปันหุนละบาท |
คราวขาดกลัวตายหาขายไม่ |
อ้ายที่เงี่ยนเต็มอ่อนวอนร่ำไร |
ได้แต่ขี้สองชั้นพอกันตาย |
เอาดาบหอกออกแลกกับขี้ยา |
จนชั้นขันล้างหน้าก็ยื่นขาย |
พอแก้เงี่ยนเหียนห้อยค่อยสบาย |
กินอยู่พูวายแล้วหลับนอน ฯ |