- คำนำ
- ตำนานเสภา
- คำอธิบาย
- อธิบายบทเสภา เล่ม ๓
- ตอนที่ ๑ กำเนิดขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน
- ตอนที่ ๓ พลายแก้วบวชเณร
- ตอนที่ ๔ พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม
- ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม
- ตอนที่ ๖ พลายแก้วเข้าห้องนางสายทอง
- ตอนที่ ๗ พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
- ตอนที่ ๘ พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ
- ตอนที่ ๙ พลายแก้วยกทัพ
- ตอนที่ ๑๐ พลายแก้วได้นางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๑ นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย
- ตอนที่ ๑๒ นางศรีประจันยกนางวันทองให้ขุนช้าง
- ตอนที่ ๑๓ พลายแก้วได้เป็นขุนแผน ขุนช้างได้นางวันทอง
- ตอนที่ ๑๔ ขุนแผนบอกกล่าว
- ตอนที่ ๑๕ ขุนแผนต้องพรากนางลาวทอง
- ตอนที่ ๑๖ กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่
- ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา
- ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพานางวันทองหนี
- ตอนที่ ๑๙ ขุนช้างตามนางวันทอง
- ตอนที่ ๒๐ ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นขบถ
- ตอนที่ ๒๑ ขุนแผนลุแก่โทษ
- ตอนที่ ๒๒ ขุนแผนชนะความขุนช้าง
- ตอนที่ ๒๓ ขุนแผนติดคุก
- ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม
- ตอนที่ ๒๕ เจ้าล้านช้างถวายนางสร้อยทองแก่พระพันวษา
- ตอนที่ ๒๖ พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง
- ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
- ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา
- ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
- ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่
- ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนพลายงามยกทัพกลับ
- ตอนที่ ๓๒ ถวายนางสร้อยทอง สร้อยฟ้า
- ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม
- ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ
- ตอนที่ ๓๕ ขุนช้างถวายฎีกา
- ตอนที่ ๓๖ ฆ่านางวันทอง
- ตอนที่ ๓๗ นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๘ พระไวยถูกเสน่ห์
- ตอนที่ ๓๙ ขุนแผนส่องกระจก
- ตอนที่ ๔๐ พระไวยแตกทัพ
- ตอนที่ ๔๑ พลายชุมพลจับเสน่ห์
- ตอนที่ ๔๒ นางสร้อยฟ้าศรีมาลาลุยไฟ
- ตอนที่ ๔๓ จระเข้เถรขวาด
ตอนที่ ๓๘ พระไวยถูกเสน่ห์
๏ จะกลับกล่าวถึงลาวนางสาวไหม | พอพระไวยเดินออกนอกเคหา |
กรุ้มกริ่มยิ้มละไมอยู่ไปมา | กระซิบถามสร้อยฟ้าไปทันใด |
วันนี้เห็นทีค่อยแช่มชื่น | มาเมื่อคืนยังว่าฤๅหาไม่ |
ฤๅดีแล้วเหมือนแต่ก่อนร่อนชะไร | ฉันนอนหวั่นพรั่นใจไม่หลับเลย ฯ |
๏ สร้อยฟ้ายิ้มเมินสะเทิ้นอาย | ที่ดุร้ายหายแล้วละเอ็งเอ๋ย |
กูปรักปรำหลายคำไม่เถียงเลย | มีแต่ปลอบชอบเชยให้ชื่นใจ |
คุณท่านขรัวดับเข็ญเห็นทันตา | จะหักอีศรีมาลาให้จงได้ |
จะพาโลเอาต่อหน้าพระหมื่นไวย | ยุให้ผัวเฆี่ยนให้เจียนตาย |
อีไหมหัวเราะว่าเหมาะจริง | ทีนี้เจ้าจอมหญิงหยิ่งจะหาย |
กำลังลมชักใบให้สบาย | แต่หมายหมายมาก็สมได้ลมดี ฯ |
๏ ครานั้นจึงพระไวยวรนาถ | เสด็จขึ้นอภิวาทลุกจากที่ |
ให้คิดถึงสร้อยฟ้านารี | ทุกนาทีรำพึงถึงแต่นาง |
ให้ขุ่นเคียดเกลียดชังศรรีมาลา | มันจะคิดริษยาอย่างไรบ้าง |
กลับถึงเคหามาหอกลาง | สองนางออกนั่งอยู่พร้อมกัน |
ศรีมาลากำลังยกพานผ้า | สร้อยฟ้าแกล้งเสียดเบียดถลัน |
ทำเซซวนม้วนล้มลงฉับพลัน | เออกระนั้นสิคะหม่อมเจ้าจอมดู |
เอาแขนกั้นไว้ไม่ให้เข้า | ถ่มน้ำลายรดเอาเปื้อนหัวหู |
กระซิบด่าอ้าปากน้ำหมากพรู | ถีบให้ผัวดูเล่นดูตามที |
พระไวยเมินไปไม่ทันดู | ได้ยินเสียงร้องอยู่ออกอึงมี่ |
เหลือบเห็นสร้อยฟ้านารี | ล้มอยู่เคียงที่ศรีมาลานั้น |
ให้พิโรธโกรธใจดังไฟวับ | ยืนขยับระรัวตัวสั่น |
ดูดู๋ทำได้ใจฉกรรจ์ | ถีบยันเขาเล่นเช่นข้าไท |
ช่วยมากี่ชั่งตั้งข่มเหง | จะกลัวเกรงสักนิดก็หาไม่ |
ถ่มถุยทิ่มตำเอาตามใจ | ยิ่งกว่าเจ้าได้เชลยมา |
ศรีมาลาว่าฉันไม่ได้ทำ | ฟ้าผ่าเถิดวิบากกรรมเป็นหนักหนา |
เสแสร้งแกล้งพาลมารยา | ทำล้มลงแล้วก็ว่าข้าถีบทำ |
เอ๊ะเถียงอิกเล่าอีเจ้าเล่ห์ | เมื่อถีบสร้อยฟ้าเซคะมำคว่ำ |
ยังพาโลโกหกไม่ตกคำ | อีมุสาระยำสบถลน |
เห็นอยู่กับตาว่าไม่รับ | สับปลับไม่น้อยนางสร้อยสน |
จับเช่นได้สิ้นลิ้นกะลาวน | แต่ต้นก็หมายว่ามึงดี |
วันเมื่อวิวาทกับสร้อยฟ้า | สารพัดจะว่าเป็นถ้วนถี่ |
ยุแยงแกล้งร้องจนต้องตี | แต่เพียงนั้นยังไม่มีจะหนำใจ |
วันนี้ยังมาพาโลอีก | จะให้ฉีกแล่เนื้อไปถึงไหน |
แม้นมิทำบ้างเลยจะเคยใจ | ฉวยไม้ตีต้อนตลบมา |
ขวับขวับยับแตกตลอดหลัง | ศรีมาลาแอบบังข้างคุณย่า |
ทองประศรีร้องอึงมึงอย่ามา | ปากกล้าไม่กลัวจนผัวตี |
แปรดแปร้นแสนถ่อยน้อยไปฤๅ | น่ามัดมือโยงเฆี่ยนให้เป็นผี |
ผัวว่ากลับเถียงเปรี้ยงเปรี้ยงดี | ถีบทำย่ำยีออสร้อยฟ้า |
แกผลักไสว่าออไวยเอาอิกเหวย | ชุมพลว่าอย่าเลยคุณพี่ขา |
ลุกถลันกั้นพี่ศรีมาลา | พระไวยไล่หวดมาจนย่อยยับ |
ตีถูกศรีมาลาก็หลายหน | ถูกชุมพลน้องชายก็หลายขวับ |
ศรีมาลาวิ่งร้องเข้าห้องลับ | ทองประศรีเต้นหรับระงมไป |
พลางอุ้มชุมพลมาด่าอึงบ้าน | มาตีหลานหลานกูทำไมให้ |
เมียมึงหึงกันสนั่นไป | ไยไม่ตีกันอ้ายจันเคอะ |
อ้ายชาติชั่วกลัวเมียเสียน้ำหน้า | อ้ายบ้าโสมมอ้ายจมเปรอะ |
หลับหูหลับตาอ้ายบ้าเฟอะ | งมเงอะเปล่าเปล่าอ้ายเมาเมีย |
ฟักฟูมอุ้มหลานมาอาบน้ำ | ช่างระยำหลังไหล่ดังไก่เขี่ย |
อ้ายจองหองตีน้องประชดเมีย | น้ำตาเรี่ยบ่นพร่ำแกร่ำไร |
อุ้มหลานเข้าห้องยิ่งหมองช้ำ | ดูชุมพลระยำทั้งหลังไหล่ |
แกปลอบเช็ดน้ำตาพลางทาไพล | แล้วพาขึ้นเตียงใหญ่เข้านิทรา ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล | ขึ้นบนเตียงนอนกับท่านย่า |
พอพลบค่ำย่ำแสงสนธยา | นิ่งนึกตรึกตราให้ตรอมใจ |
โอ้ว่าพี่ไวยของน้องเอ๋ย | ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ |
เข้ากับพี่สร้อยฟ้าพาเชือนไป | เขาใส่ไคล้กล่าวเท็จทุกสิ่งอัน |
ไม่ถามไถ่ไปเชื่อแต่คนผิด | น้องนี้คิดสงสัยให้นึกพรั่น |
เห็นจะถูกเสน่ห์เล่ห์กลมัน | ดูหน้าฝ้านั้นออกมอมมัว |
อนึ่งพี่ศรีมาลายาใจ | พี่ไวยรักใคร่มิใช่ชั่ว |
ยังถูกหวายออกลายไปทั้งตัว | คุณย่าก็ยังยั่วให้ตีรัน |
แต่เมียรักเขายังสักเอาด้วยหวาย | เป็นน้องฤๅจะไม่ลายตลอดสัน |
แล้วก็ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน | เขาจะรักเรานั้นสักเพียงไร |
ถ้าขืนอยู่คงเป็นหมูสำหรับแล่ | จะไปหาพ่อแม่ให้จงได้ |
สองคนกับกุมารจะซานไป | คงเดินไพรไปถึงกาญจน์บุรี |
คิดพลางทางกลั้นซึ่งโศกไว้ | ทำกอดจูบลูบไล้ทองประศรี |
เนื้อคุณย่าอ่อนละมุนดังสำลี | วันนี้หลานรักจักไสยา |
ดูน่าชมสมบุญขึ้นล้ำเลิศ | เล่านิยายไปเถิดคุณย่าขา |
ทองประศรีหัวร่อพ่อนี่นา | นอนเถิดย่าจะเล่าให้เจ้าฟัง |
เอาเรื่องไชยเชฐเถิดฤๅเหวย | เป็นกะไรมิรู้เลยลืมไปมั่ง |
กูจำได้แต่เมื่อไปอยู่ป่ารัง | เมียออกลูกข้างหลังกลายเป็นแมว |
เอ๊ะผิดแล้วพ่อต่อจะมิใช่ | กูหลงเล่อเพ้อไปแล้วหลานแก้ว |
ไม่ได้ดูเขาเล่นงานมานานแล้ว | จะเป็นแมวฤๅท่อนไม้ไม่รู้เลย |
พลายชุมพลหัวร่อยอคุณย่า | เพราะหนักหนาย่าเล่าแม่เจ้าเอ๋ย |
ทองประศรีกอดจูบลูบชมเชย | แล้วก็เลยหลับกรนอยู่บนเตียง ฯ |
๏ เจ้าพลายน้อยนอนระวังฟังสดับ | เห็นย่าหลับเงียบเซียบสงัดเสียง |
ค่อยเขยื้อนเลื่อนลุกขึ้นมองเมียง | แสงตะเกียงแก้วกระจ่างสว่างตา |
ให้โศกแสนเสียใจจะไปจาก | น้ำตาพรากพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
ถอดปะหล่ำกำไลสร้อยเสมา | ที่คุณย่าจัดแจงให้แต่งตัว |
กำไลเท้าสองข้างง้างเสียสิ้น | แล้วถอดปิ่นปักจุกออกจากหัว |
พิศดูสิ่งของยิ่งหมองมัว | แม้นติดตัวไปเดี๋ยวนี้จะมีภัย |
เอาสิ่งของกองกับปลายตีนย่า | ซบหน้าลงแล้วก็ร้องไห้ |
โอ้มีกรรมจำเป็นจะจากไป | ด้วยเจ็บใจเหลือที่จะทนทาน |
จะพึ่งบุญคุณย่าอยู่ที่นี่ | พี่ไวยโบยตีข่มเหงหลาน |
จึงจำจากดั้นเดินดงกันดาร | ขึ้นไปกาญจน์บุรีบอกบิดา |
๏ เจ้าประคุณทูนหัวของหลานแก้ว | ตื่นขึ้นแล้วจะหลงร้องเรียกหา |
ไม่เห็นหายก็จะฟายฟูมน้ำตา | เจ้าก็กอดตีนย่าสะอื้นไป |
จนแซ่เสียงไก่ขันกลั้นสะอื้น | กลับจะรู้สึกตื่นไม่หนีได้ |
ลงจากเตียงเมียงมองมาห้องใน | ประจงใส่เสื้อสีกางเกงแดง |
กระหมวดจุกผูกผ้าประเจียดรัด | คาดเข็มขัดผูกเครื่องดูเข้มแข็ง |
ถือกฤชน้อยค่อยย่องไม่เหยียบแรง | แอบแฝงย่องออกมานอกชาน |
เข้าในเรือนพี่ศรีมาลา | เห็นนิทราหลับใหลให้สงสาร |
จะปลุกขึ้นอำลาจะช้าการ | ค่อยแหวกม่านนั่งเคียงบนเตียงนอน |
เจ้ากราบตีนศรีมาลาน้ำตาตก | ระกำอกสะอึกสะอื้นอ้อน |
โอ้มีกรรมจำใจจะจากจร | ค่อยอยู่ก่อนเถิดหนาจะลาไป |
สงสารพี่อยู่เดียวจะเปลี่ยวจิตร | เขาจะพาลผิดตีด่าไม่ปราศรัย |
จะซูบผอมตรอมตรมระกำใจ | น้องจะไปลับพี่วันนี้แล้ว |
โอ้รู้สึกจะสะอึกสะอื้นหา | ด้วยได้เคยเห็นหน้าแต่น้องแก้ว |
เขาโบยตีพี่น้องยังเป็นแนว | น้องคิดแล้วแสนแค้นแน่นอุรา |
ถึงอยู่ด้วยช่วยพี่ก็มิได้ | จะรีบไปบอกพ่อลงมาหา |
แล้วอัดอั้นกลั้นสะอื้นกลืนน้ำตา | ลุกออกมาห้องกลางสว่างไฟ |
เห็นขนมนมเนยในพานน้อย | ชะรอยพี่ศรีมาลาหาไว้ให้ |
จะได้กินกลางทางในกลางไพร | แล้วหยิบใสไถ้ออกมานอกเรือน |
ฝ่ายผีที่ชื่อกุมารทอง | เดินเรียงเคียงน้องไปเป็นเพื่อน |
ฟ้ากระจ่างแจ่มแจ้งด้วยแสงเดือน | ลงจากเรือนรีบรัดเดินลัดแลง |
มาถึงหนทางที่กลางทุ่ง | พอย่ำรุ่งพระอุทัยเธอไขแสง |
ต้องละอองน้ำค้างที่กลางแปลง | ค่อยมีแรงรีบเดินดำเนินไป |
กุมารทองนำน้องเข้าในป่า | ร่มพฤกษายางยูงสูงไสว |
เจ้าพลายน้อยค่อยคลายสบายใจ | ก็หมายไปยังบ้านกาญจน์บุรี ฯ |
๏ ขอเงือดงดบทพลายชุมพลก่อน | จะกล่าวกลอนถึงท่านย่าทองประศรี |
หลับสนิทนิทราในราตรี | พอไก่ตีปีกขันสนั่นดัง |
แกฝันว่าเสือใหญ่ไล่กระโชก | มันโดดโฮกเข้าตบขบเอาหลัง |
สะดุ้งดิ้นโดนเตียงเสียงดังตัง | ร้องโอยดังขึ้นทั้งหลับกลับฟื้นกาย |
แกลืมตาขึ้นดูรู้ว่าฝัน | ยังนึกกลัวตัวสั่นมิใคร่หาย |
เหลียวซ้ายแลขวาหาหลานชาย | ไม่เห็นพลายน้อยนึกอนาถใจ |
ลุกขึ้นมาร้องเรียกพลายชุมพล | นี่มันลุกซุกซนไปข้างไหน |
แกบ่นพลางทางแลเห็นกำไล | กับใบไม้ปิ่นซ่นสร้อยเสมา |
เห็นข้าวของกองกับปลายตีนเตียง | ตกใจพ่างเพียงจะสังขาร์ |
ชะรอยหลบหนีไปพ่อไม่ลา | โอ้พ่อทูนหัวย่านี่อย่างไร |
แล้วแกเที่ยวค้นคว้าหาไม่เห็น | ฤๅตื่นนอนซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน |
แกลุกลงจากเตียงเสียงโผงไป | ร้องเรียกข้าไทอยู่วุ่นวาย |
เหวยอีมีอีเม้าอีเถ้าโต | ทั้งอ้ายโพแม่มึงช่างนอนสาย |
เอามาเฆี่ยนเสียมั่งให้หลังลาย | อ้ายฉิบหายตายโหงโก้งโค้งนอน |
พวกข้าไทได้ยินเสียงท่านย่า | ตื่นตกใจคว้าหาผ้าผ่อน |
ลุกขึ้นกึกกักชักลิ่มกลอน | ยังมัวนอนเยี่ยมหน้าออกมาดู |
ทองประศรีชี้หน้าด่าเสียงแซ่ | ชกโคตรแม่มึงยังออกมายืนอยู่ |
พลายชุมพลหนีไปก็ไม่รู้ | ไปเที่ยวหาหลานกูเร็วเร็วมา |
ข้าคนอลหม่านทั้งบ้านช่อง | บ้างก็ร้องตระโงนตะโกนหา |
บ้างวิ่งไปไต่ถามตามวัดวา | ไม่พบแล้วกลับมาบอกกับนาย |
ทองประศรีตีอกสะอื้นไห้ | แกเสียใจเป็นลมจนล้มหงาย |
ข้าไทชายหญิงวิ่งวุ่นวาย | เข้าแก้ไขให้คลายฟื้นกายมา ฯ |
๏ ฝ่ายสร้อยฟ้าพระไวยนอนในห้อง | เสียงคนร้องกรีดกราดหวาดผวา |
คิดว่าไฟไหม้ชิดติดหลังคา | ลุกขึ้นคว้าข้าวของร้องอึงไป |
พัลวันกันออกนอกประตู | แลดูหาเห็นไฟไหม้ไม่ |
เห็นคนบนนอกชานวิ่งพล่านไป | ถามว่าใครเป็นไรวิ่งวุ่นวาย ฯ |
๏ ทองประศรีชี้หน้าด่าพระไวย | อ้ายอัปรีย์อีจัญไรนอนจนสาย |
เพราะเมียมึงหึงหวงกันวุ่นวาย | พลอยออพลายต้องตีจึงหนีไป |
ยังจะแค่นมีหน้าออกมาถาม | โคตรแม่มึงไปตามมาให้ได้ |
ไม่ได้หลานกูมาอย่านึกไป | กูจะต่อยหัวให้ลงเป็นเบือ |
แล้วบ่นด่าหลานสะใภ้พิไรร่ำ | มันก่อกรรมเพราะอีลาวอีชาวเหนือ |
ทั้งคารมแปร้นเปรี้ยงจนเสียงเครือ | ล้วนหน้าเนื้อใจเสือไม่เชื่อเลย |
แล้วครวญคร่ำร่ำไห้พิไรบ่น | โอ้พ่อพลายชุมพลของย่าเอ๋ย |
พ่ออยู่บ้านปานฉะนี้ได้ชมเชย | กลางวันเคยวานไหว้ให้ปั้นวัว |
เคยวิ่งเล่นเย็นเช้าเสียงแจ้วแจ้ว | วันนี้เงียบเสียงแล้วพ่อทูนหัว |
ย่าจะอยู่ไปไยให้หมองมัว | แกทอดตัวกลิ้งเกลือกกลางนอกชาน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมพระหมื่นไวย | เห็นย่าร้องไห้ก็สงสาร |
จึงจับยามตามตำราพระอาจารย์ | วันอังคารเศษเสาร์เข้ายามจันทร์ |
จะไปดีมาดีมิเป็นไร | จะพานพบท่านผู้ใหญ่เกษมสันต์ |
จึงเข้าไปไหว้ย่าแล้วว่าพลัน | พ่อพลายนั้นหลานเห็นไม่เป็นไร |
พิเคราะห์ดูฤกษ์ยามตามตำรา | ในฝอยว่าจะไปอยู่กับผู้ใหญ่ |
หล่อนรำลึกถึงแม่นั้นแน่ใจ | เห็นจะไปยังบ้านกาญจน์บุรี |
สิบห้าวันนั้นแลจะรู้ข่าว | จะอื้อฉาวไปไยไม่พอที่ |
ใครจะทำอะไรได้นั้นไม่มี | ไม่ช้าทีหน่อยหนึ่งก็กลับมา ฯ |
๏ ทองประศรีนิ่งนั่งฟังพระไวย | ค่อยคลายใจเห็นจริงแล้วจึงว่า |
เอ็งสิรู้ดูยามตามตำรา | แม้นเหมือนว่าจะค่อยหายวายทำวน |
ถ้าสับปลับกับกูดูไม่แน่ | โคตรแม่มึงจะลงเป็นห่าฝน |
หลานกูยังเด็กเล็กกว่าคน | ไปดั้นด้นเดินดงสันโดษเดียว |
เสือสางกลางดงมันปี้บป๊าบ | จะหวั่นวาบวังเวงไม่วายเสียว |
ที่ทุ่งนาหญ้าดงออกรกเรี้ยว | ทั้งงูเงี้ยวชุมชุกทุกประการ |
แกบ่นพลางทางกลับเข้าห้องใน | เห็นข้าวของก็ยิ่งให้อาลัยหลาน |
เอาเชือกน้อยร้อยเบี้ยเข้าบนบาน | ทุกโรงศาลผีสางสิ้นทั้งปวง |
จงพิทักษ์รักษาหลานข้าเจ้า | ทั้งเป็ดไก่เหล้าข้าวจะบวงสรวง |
ศีรษะหมูคู่หนึ่งไม่ล่อลวง | แล้วทำบ่วงห้อยเบี้ยไว้หัวนอน |
เช้าเย็นเป็นทุกข์ถึงหลานน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยส้วมสอดกอดแต่หมอน |
พระสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน | แกอาวรณ์ร้องไห้ไม่วายวัน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเจ้าพลายชายชุมพล | ดั้นด้นเดินป่าพนาสัณฑ์ |
พอเข้าเขตบุรีศรีสุพรรณ | กุมารนั้นก็กลายเป็นเด็กน้อย |
ชวนพูดเล่นเป็นเพื่อนพลายชุมพล | ทั้งสองคนเดินตามกันร่อยร่อย |
พระสุริฉายบ่ายแสงลงอ่อนคล้อย | เจ้าพลายสร้อยเศร้าโศกแสนคะนึง |
โอ้สงสารท่านย่านิจจาเอ๋ย | จะวายเวยร้องไห้อาลัยถึง |
ที่ในบ้านปานนี้จะมี่อึง | โกรธขึ้งถุ้งเถียงกันทั้งเรือน |
โอ้เอ็นดูแต่พี่ศรีมาลา | น้องจากมาแล้วจะได้ใครเป็นเพื่อน |
ชาวบ้านปานฉะนี้จะเยี่ยมเยือน | พี่เคยเตือนเกล้าจุกทุกเวลา |
เคยอาบน้ำทาขมิ้นให้กินอยู่ | ความเอ็นดูน้องรักเป็นหนักหนา |
ถึงเป็นพี่สะใภ้ไม่ฉันทา | เหมือนมารดาเลี้ยงน้องถนอมใจ |
กรรมเอ๋ยกรรมจำพรากให้จากพี่ | ขณะนี้เห็นจะนั่งน้ำตาไหล |
จะแลลับนับวันจากกันไป | เดินร้องไห้ครวญครางมากลางดง ฯ |
๏ กุมารทองเห็นน้องโศกสะอื้น | แกล้งชวนชื่นชมไม้ไพรระหง |
ต้นตุมกากาฝากฝูงกาลง | กาหลงกามองร้องกากา |
โน่นไม้คางข้างเขาล้วนเหล่าค่าง | บ้างเกาคางห่มคางบ้างถ่างขา |
ตะลิงปลิงลิงวิ่งไล่ลิงมา | ลิงถลาโลดไต่ไม้ลางลิง |
หมู่ไม้ใหญ่ยางยูงสูงระดะ | ดูเกะกะเถาวัลย์ขึ้นพันกิ่ง |
บ้างกลมเกลียวเกี่ยวกันขันจริงจริง | บ้างเป็นชิงช้าป่าน่าแกว่งไกว |
กุมารทองชวนน้องขึ้นนั่งเล่น | ลมพัดเย็นเย็นร่มไม้ใหญ่ |
กินขนมนมเนยเลยชื่นใจ | แล้วรีบไปจากนั่นตะวันเย็น |
เห็นไก่ป่าพากันสกัดวิ่ง | เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น |
พอพลบค่ำน้ำค้างพร่างกระเซ็น | เดือนเด่นดวงสว่างกระจ่างตา |
ดาวกระจายรายรอบเรืองระยับ | ดาษประดับในละแวกพระเวหา |
กุมารทองนำน้องดำเนินมา | แล้วพูดจาชวนชี้ให้ชมเดือน |
ดูพระจันทร์นั่นแน่น้องเธอทรงกลด | ดูเหมาะหมดไม่มีสิ่งใดเหมือน |
พ่อโตใหญ่ไปข้างหน้าหาแม่เรือน | ให้ดวงหน้าเหมือนอย่างเดือนแล้วดีจริง |
เจ้าพลายว่าข้าจะเป็นสังฆราช | ไม่อยากปรารถนาหาผู้หญิง |
มีเมียงามแล้วผู้ชายมันหมายชิง | ต้องยุ่งยิ่งหยุกหยิกไม่อยากมี |
ต่างหัวร่อต่อกันทั้งสองข้าง | ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าที่หมองศรี |
ครั้นจะร่ำพรรณนาจะช้าที | มาถึงบ้านกาญจน์บุรีพอรุ่งราง |
กุมารทองนำน้องมาตามถนน | เห็นผู้คนบ้านช่องทั้งสองข้าง |
เห็นจวนท่านกาญจน์บุรีชี้บอกพลาง | ที่เรือนใหญ่ไม้กระถางตั้งอ่างปลา |
เรือนแม่แก้วกิริยาพ่อขุนแผน | จำได้แม่นมั่นคงตรงไปหา |
บอกแล้วหายไปมิได้ช้า | พลายชุมพลเดินมาตามหนทาง |
ตรงขึ้นเรือนใหญ่มิได้ยั้ง | เห็นพ่อแม่ออกนั่งอยู่หอขวาง |
วิ่งเข้ากราบไหว้ร้องไห้พลาง | ช่างทิ้งขว้างลูกไว้ให้ได้อาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา | กับนางแก้วกิริยาก็ใจหาย |
พลางเข้าส้วมสอดกอดลูกชาย | ดูพ่อพลายบุกป่ามาทำไม |
คุณย่าขอพ่อไว้ในกรุงศรี | เออนี่มิเคืองเข็ญเป็นไฉน |
จึงแกล้วกล้าสามารถมาเดินไพร | อย่าร้องไห้บอกพ่อจะขอฟัง ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล | เล่าความแต่ต้นมาจนหลัง |
คุณย่าเลี้ยงลูกไว้ไม่ชิงชัง | ท่านรักดังดวงตาไม่อาธรรม์ |
มาเป็นเหตุเพราะนางลาวเจ้าเสน่ห์ | ทำโว้เว้ว้าวุ่นให้หุนหัน |
พี่สร้อยฟ้าศรีมาลาทะเลาะกัน | พี่ไวยนั้นไปเข้าข้างเมียน้อย |
โบยตีศรีมาลาถึงสาหัส | สารพัดหลังไหล่ก็ยับย่อย |
ลูกขอโทษศรีมาลาเขาว่าพลอย | หวดเอาหลังยังเป็นรอยอยู่นี่แน |
ลูกสุดแสนแค้นใจในเท่านี้ | จึงด้นหนีขึ้นมาหาพ่อแม่ |
เพราะพี่ไวยคุณย่าพากันแช | ไม่มีใครที่จะแก้ให้คลายมนตร์ |
อันเกิดเหตุเภทภัยนั้นใหญ่อยู่ | กุมารทองเขารู้ซึ่งเหตุผล |
เอาไว้ช้าข้าเห็นไม่เป็นคน | มันเป็นต้นเพราะอีลาวทั้งบ่าวนาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | ได้ฟังความแค้นใจมิใคร่หาย |
ทุดอ้ายหมื่นไวยมิใช่ชาย | ช่างงมงายโง่เง่าเหมือนเต่านา |
ความรู้กูก็ให้ไว้ทุกสิ่ง | ยังแพ้รู้ผู้หญิงให้ขายหน้า |
แล้วยังซ้ำโบยตีศรีมาลา | พระพิจิตรบิดาจะน้อยใจ |
เมื่อกูจะมาจากได้ฝากฝัง | น้อยฤๅยังมาเป็นเช่นนี้ได้ |
อีสร้อยฟ้าเจ้ากรรมทำอย่างไร | กุมารทองไปไหนไม่บอกกู ฯ |
๏ ผีกุมารทองได้ฟังขุนแผนถาม | เข้ากระซิบบอกความที่ริมหู |
สร้อยฟ้าให้อีไหมไปหาครู | เป็นเถรอยู่ที่วัดพระยาแมน |
ชื่อเถรขวาดอาคมของเขาขลัง | มันปั้นรูปรอยฝังทำเหลือแสน |
จึงเกิดเข็ญเป็นเรื่องให้เคืองแค้น | ขอเชิญพ่อขุนแผนรีบลงไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน | ให้สงสารศรีมาลาน้ำตาไหล |
ออไวยไม่พอที่นี่อย่างไร | ประมาทใจให้มันทำจนเมามัว |
จำจะลงไปหาว่ากล่าวเสีย | แก้กระทำยำเยียให้ยังชั่ว |
จะจับอ้ายคนร้ายให้ได้ตัว | ทูลให้ไปตัดหัวตะแลงแกง |
แต่ตรองตรึกนึกสะท้อนถอนจิตร | พระอาทิตย์ส่องฉายขึ้นสายแสง |
แต่บรรดาข้าไทก็จัดแจง | ต้มแกงแต่งสำรับแล้วยกมา |
ขุนแผนชวนเมียกับลูกแก้ว | กินข้าวปลาเสร็จแล้วก็หรรษา |
ลุกลงไปนั่งยังศาลา | กรมการพร้อมหน้าปรึกษาความ |
อ้ายพวกขโมยควายผู้ร้ายซัด | ไม่ได้สัตย์ผูกเข้าแล้วเฆี่ยนถาม |
ที่หลบลี้หนีหายให้ติดตาม | ปรึกษาความสารพัดเป็นสัตย์ธรรม์ ฯ |
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา | เห็นหน้าตาพลายน้อยนั้นโศกศัลย์ |
ทั้งจุกไรก็มิได้ทาน้ำมัน | นางรับขวัญลูกแก้วแล้วเชยชม |
ให้อาบน้ำทาขมิ้นกินข้าวของ | พาเข้าไปในห้องแล้วเกล้าผม |
เจ้ามาแม่สบายคลายอารมณ์ | จะได้ชมลูกชายสบายใจ |
เมื่อแรกย่าว่าขอเจ้าไปเลี้ยง | แม่เกี่ยงอยู่หาใคร่จะให้ไม่ |
แต่พ่อเจ้าเขาให้ก็จนใจ | ต้องจำใจจึงพรากจากเจ้ามา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าชุมพล | เห็นได้ช่องชอบกลแล้วจึงว่า |
อันพี่น้องพวกพ้องของบิดา | อยู่กรุงศรีอยุธยายังเต็มไป |
อันญาติพวกพ้องของคุณแม่ | ไม่มีแต่สักคนนี่เป็นไฉน |
ฤๅอยู่ต่างถิ่นฐานบ้านเมืองไกล | ฤๅว่าไม่มีแล้วแต่สักคน ฯ |
๏ โอ้ลูกเอ๋ยยังอุตส่าห์มาไต่ถาม | เพราะไม่แจ้งเนื้อความตามเหตุผล |
แม่นี้ลำบากด้วยยากจน | จะเล่าเรื่องเบื้องต้นให้เจ้าฟัง |
คุณตาเป็นพระยาสุโขทัย | ต้องเร่งเงินพินัยห้าสิบชั่ง |
เขาจำไว้ในทิมที่ริมคลัง | ได้ส่งไปแล้วยังสิบห้าตำลึง |
เอามารดามาขายขุนช้างไว้ | ต้องลำบากยากไร้อยู่ปีครึ่ง |
เขาช่วงใช้ตรากตรำทำสะดึง | พ่อเจ้าจึงช่วยไถ่ได้แม่มา |
อันพี่น้องของแม่เป็นไหนไหน | แต่อยู่เมืองสุโขทัยไกลหนักหนา |
แม่รำลึกนึกอยู่ทุกเวลา | ถึงคุณยายคุณตาของพ่อพลาย ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล | ฟังแม่เล่าความต้นก็ใจหาย |
นิจจาเอ๋ยตกยากมามากมาย | ต้องแยกย้ายจากญาติอนาถนัก |
ค่ำวันนี้จะหนีขึ้นไปหา | ให้คุณยายคุณตาท่านรู้จัก |
แล้วแกล้งทำพูดจาให้น่ารัก | ขึ้นนั่งตักพร่ำพลอดฉอดฉอเลาะ |
ทำชะอ้อนวอนว่าลูกเปรี้ยวปาก | ช่วยเคี้ยวหมากให้สักคำทำปะเหลาะ |
ฉันจะขับเสภาว่าให้เพราะ | ต่างหัวเราะชอบใจกันไปมา |
ครั้นพระสุริยงลงลับไม้ | พระจันทร์ไขแสงสว่างกลางเวหา |
นอนบนเตียงเคียงกันกับมารดา | ทำหลับตานิ่งไปไม่กะพริบ |
จนดึกดื่นเดือนเที่ยงเสียงไก่ขัน | คนทั้งนั้นหลับเงียบไม่เกรียบกริบ |
เรียกกุมารมาพูดกันซุบซิบ | ขยับหยิบกฤชน้อยมาเหน็บไว้ |
แล้วกราบเท้ามารดาน้ำตาพราก | ลูกจะจากแม่แล้วยังหลับใหล |
จะบอกแม่กลัวแต่จะขืนใจ | จึงจำเป็นหนีไปไม่ทันลา |
โอ้ว่าเจ้าประคุณของลูกแก้ว | ตื่นแล้วจะโศกเศร้าเฝ้าโหยหา |
ลูกไม่ไปไหนจะพบคุณยายตา | ก็หักใจไคลคลามาจากเตียง |
ชวนกุมารร่วมใจมาไปเถิด | ค่อยเปิดประตูย่างออกทางเฉลียง |
ลงมากลางบ้านกุมารเคียง | ค่อยหลีกเลี่ยงลอดออกมานอกรั้ว |
เดินลัดตัดทางถึงกลางทุ่ง | พอย่ำรุ่งเช้ามืดขมุกขมัว |
อันสิงห์เสือเนื้อถึกไม่นึกกลัว | เย้ายั่วหยอกกับกุมารไป ฯ |
๏ ฝ่ายว่าท่านผู้หญิงแก้วกิริยา | ครั้นเวลารุ่งแจ้งขึ้นแสงใส |
เสียงนกร้องพร้องเรียกสนั่นไพร | วิเวกใจแว่วหวาดในวิญญาณ์ |
กอดแต่หมอนอ่อนอุ่นอกประทับ | กำลังหลับคิดว่าลูกเสนหา |
พอตื่นขึ้นแลเหลียวเปลี่ยวอุรา | ไม่เห็นหน้าพลายน้อยอนาถใจ |
หายทั้งเสื้อผ้าสาตรากฤช | เอ๊ะผิดแล้วพ่อพลายหายไปไหน |
นางลุกเดินออกมาถามข้าไท | ใครใครก็ไม่รู้ทุกผู้คน |
กลับเข้าห้องในใจคอหาย | ไปปลุกท่านผู้ชายแจ้งเหตุผล |
คืนนี้ลูกชายพลายชุมพล | นอนอยู่บนเตียงแล้วก็หายไป ฯ |
๏ ขุนแผนฟังเมียให้หวาดจิตร | เอ๊ะนี่ผิดแล้วหล่อนจะไปไหน |
จึงจับยามตามเคยสังเกตใจ | คืนนี้ไปยามจันทร์วันอังคาร |
ในตำราว่าอัมฤคโชค | ไม่มีโศกจะเป็นสุขสนุกสนาน |
จะพานพบท่านผู้ใหญ่ในวงศ์วาน | ไม่ช้านานก็จะมาเห็นหน้ากัน |
พิเคราะห์พลางทางบอกกับเมียแก้ว | พี่จับยามดูแล้วอย่าโศกศัลย์ |
กุมารทองให้ไว้ไปด้วยกัน | สารพันเภทภัยไม่แผ้วพาน |
บุราณว่าชาติเชื้อเนื้อแถว | คงเป็นแนวน้ำเนื้อเชื้อทหาร |
เติบใหญ่เห็นจะได้ราชการ | อย่าเป็นภารธุระทุกข์ถึงลูกเรา |
พี่คะเนในใจเห็นไม่ช้า | ก็จะพาลูกสะใภ้มาให้เจ้า |
พลางหัวเราะเยาะหยอกยั่วเย้า | ให้นางแก้วสร่างเศร้าถึงลูกยา ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเจ้าพลายชายชุมพล | สองคนกับกุมารมาในป่า |
แสนระลึกนึกถึงบ้านกับมารดา | เดินน้ำตาคลอคลอให้ท้อใจ |
ในทางมาป่าไม้ล้วนไพรชัฏ | กิ่งก้านแกว่งกวัดกระหวัดไหว |
เจ้าเดินพลางวังเวงวิเวกใจ | ขืนอารมณ์ชมไม้มาตามทาง |
ชะลูดเลี้ยวเกี้ยวกอดกิ่งอุโลก | ซึกซากโศกสนสร้อยแคฝอยฝาง |
ต้นยูงสูงใหญ่ไทรมะทราง | ต้นยางโยนเยนอยู่ยวบโย้ |
นกหกบินสล้างในกลางเถื่อน | บ้างพาเพื่อนเที่ยวคะนองบ้างร้องโต้ |
นกแก้วป้อนลูกบนต้นชงโค | แล้วบินโผพูดจ้ออยู่จอแจ |
ดูแม่นกแล้วคะนึงถึงคุณย่า | เคยพูดเล่นเจรจาประจ๋อประแจ๋ |
ฝูงนกเอี้ยงเรียงจับต้นแกแล | เหมือนหม่อมแม่เคียงเราเฝ้าชมเชย |
เห็นนกเปล้าจับเจ่าเปล่าเปลี่ยวอก | โอ้โอ๋นกเหมือนข้านิจจาเอ๋ย |
ต้องเดินเดียวเปลี่ยวใจไม่เสบย | ทุกสิ่งเคยผาสุกมาทุกข์ตรอม |
กุมารทองเข้าประคองปลอบน้องรัก | อย่าโศกนักเลยพ่อพลายจะผ่ายผอม |
โน่นลูกจันทน์ดกจริงจนกิ่งค้อม | ชวนน้องน้อมเด็ดดมชมมาพลาง |
ครั้นจะร่ำไปนักก็ชักช้า | ด้วยผีพารีบรัดไม่ขัดขวาง |
ครั้นสายัณห์หยุดหย่อนลงนอนค้าง | ในกลางทางเภทภัยไม่แผ้วพาน |
สามวันครั้นถึงเมืองสุโขทัย | เสียงชาวเหนือเกื๋อไก๋ไปทุกบ้าน |
แลเห็นจวนเจ้าพระยาฝากระดาน | ผีกุมารบอกพลายชุมพลพลัน |
เรือนที่แขวนกรงนกหกเจ็ดหลัง | ลับแลตั้งปิดประตูดูขึงขัน |
เรือนคุณตาคุณยายพ่อพลายนั้น | ไปหากันเถิดสิพ่ออย่ารอรั้ง |
บอกแล้วหายไปมิให้เห็น | กลับเป็นแต่เงาเข้าตามหลัง |
เจ้าพลายขึ้นนอกชานกุมารบัง | คนที่นั่งแลไปไม่เห็นกาย |
เห็นยายตานั่งอยู่บนหอขวาง | ขยับร่างรีรอใจคอหาย |
ผีที่มาเป็นเพื่อนเตือนเจ้าพลาย | คลานเข้าไปไหว้คุณยายกับคุณตา ฯ |
๏ ครานั้นท่านผู้รั้งสุโขทัย | คิดว่าลูกความใครลอบมาหา |
จะดูให้แน่ใจใส่แว่นตา | มองเขม้นเห็นหน้าพลายชุมพล |
ไม่เห็นของกำนัลทำหันหุน | ฉวยไม้หมุนเข้าไปหวดเอาสองหน |
ทุดอ้ายลูกหัวจุกนี้ซุกซน | ขึ้นมาจนบนเรือนกูทำไม |
ท่านผู้หญิงวิ่งไปยึดไม้ห้าม | ตาถามดูให้แน่มาแต่ไหน |
ผิดกับเด็กเมืองเราชาวสุโขทัย | มันชื่อเรียงเสียงไรไล่เลียงดู |
ท่านตาเถ้าคุกคามถามเสียงอึง | พ่อแม่มึงชื่อไรเฮ้ยอ้ายหนู |
บ้านช่องอยู่ไหนจะใคร่รู้ | ไม่บอกกูกูจะให้เขาใส่คา ฯ |
๏ เจ้าพลายกลัวตัวงอร้องขอโทษ | เจ้าคุณโปรดเถิดจะเล่าไม่มุสา |
หม่อมแม่ฉันทั่นชื่อแก้วกิริยา | ที่ยายตาไปขายขุนช้างไว้ |
เดี๋ยวนี้พ่อขุนแผนแสนณรงค์ | ให้เงินส่งพ้นข้าเขามาได้ |
จึงเกิดหลานอยู่ที่บ้านวัดตะไกร | หม่อมแม่ให้ฉันชื่อพลายชุมพล |
ด้วยบิดาได้กินเมืองกาญจน์บุรี | หลานจึงถามความนี้แจ้งเหตุผล |
ว่าคุณตาเป็นพระยาอยู่เมืองบน | หลานจึงด้นเดินดงสันโดษมา |
ไม่รู้จักมักจี่อยู่ที่ไหน | เห็นเรือนชานโตใหญ่เข้ามาหา |
แม้นเจ้าคุณมิใช่เป็นยายตา | อย่าโกรธาหลานเลยขอโทษตัว ฯ |
๏ ท่านพระยาสุโขทัยยายเพ็ญจันทร์ | รับขวัญว่าอ่อพ่อทูนหัว |
นี่แหละเรือนยายตาพ่ออย่ากลัว | อนิจจาตานี้ชั่วจริงจริงแล้ว |
ไม่ซักไซ้ไต่ถามให้ถ้วนถี่ | มาทำโพยโบยตีเอาหลานแก้ว |
น้อยฤๅหลังยังเห็นอยู่เป็นแนว | รับขวัญแล้วอุ้มพามาในเรือน |
ร้องเรียกหาข้าไททั้งชายหญิง | อีมิ่งอีมีแล้วอ้ายเหมือน |
ไปข้างไหนไม่เห็นหน้าพากันเชือน | พวกผู้คนกล่นเกลื่อนมาพร้อมกัน |
จึงใช้ให้ข้าไทเย็บบายศรี | ลูกหลานมาถึงนี่จะทำขวัญ |
บรรดากรมการในบ้านนั้น | มาพร้อมกันถามข่าวทุกคนไป ฯ |
๏ ครั้นพระสุริยนสนธยา | พอโพล้เพล้เพลาจะเข้าไต้ |
ท่านผู้เถ้าเจ้าเมืองสุโขทัย | กับญาติวงศ์น้อยใหญ่อยู่พร้อมเพรียง |
ทำขวัญหลานชายพลายชุมพล | พวกผู้คนโห่ลั่นสนั่นเสียง |
ท่านยายสุกยายสายกับยายเชียง | เข้านั่งเคียงเรียกขวัญรำพันไป |
ขวัญเอ๋ยขวัญพ่อพลายชายชุมพล | ที่อยู่ต้นไม้ยูงสูงไม้ใหญ่ |
จะอ้างว้างวังเวงวิเวกใจ | ขวัญอย่าไปอยู่เขาลำเนาเนิน |
แต่ล้วนผีโป่งป่าคาแขมรก | ทั้งนกหกหงส์ห่านทะยานเหิน |
ขวัญมาอยู่เรือนเถิดให้เพลิดเพลิน | ขออัญเชิญขวัญพ่อชมเงินทอง |
อายุยืนหมื่นปีหนาพ่อหนา | จงอยู่ด้วยยายตาอย่าเศร้าหมอง |
เป็นสังฆราชบาตรแก้วจีวรกรอง | ถือไม้เท้ายอดทองเที่ยวเทศน์ธรรม์ |
แล้วพี่น้องพ้องญาติสิ้นทั้งหลาย | เอาเงินตราผ้าลายมาทำขวัญ |
ค่อยอยู่เย็นเป็นสุขทุกคืนวัน | ตายายนั้นรักใคร่กะไรเลย |
ค่อยซักไซ้ไต่ถามถึงความหลัง | รู้หนังสือฤๅยังพ่อพลายเอ๋ย |
เจ้าพลายว่าย่าสอนพอถึงเกย | เพียงละเลยเสียก็เฟือนออกเปื้อนไป |
ท่านยายว่าตาช่วยไปฝากวัด | จะให้หัดอ่านเขียนเรียนไปใหม่ |
แล้วสอบถามหลานรักเฝ้าซักไซ้ | เจ้าอยู่วัดยังจะได้ฤๅพ่อคุณ |
เจ้าพลายว่ากระนั้นขยันยิ่ง | เป็นความจริงฉันคิดอยู่ครุ่นครุ่น |
ฉันจะใคร่ไปบวชเอาส่วนบุญ | มาเทศนาให้เจ้าคุณฟังทุกวัน |
ท่านยายตาว่าจงเป็นสังฆราช | ได้โปรดญาติให้ไปสวรรค์ |
ตาจะให้อ้ายพุกลูกอ้ายจัน | ไปอยู่วัดด้วยกันกับพ่อพลาย |
ให้หาธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้ | กับหมากพลูจะได้ไปถวาย |
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งหลานชาย | ให้นุ่งลายห่มแพรม่วงดวงพุดตาน |
ยายเพ็ญจันทร์นั้นนุ่งตารางไหม | ห่มปักตะนาวใหม่สมภูมิฐาน |
เจ้าขรัวตานุ่งผ้าปูมประทาน | แล้วหยิบส่านมาห่มสมตัวครัน |
ชวนหลานชายพลายน้อยออกเดินทาง | ต่างกางร่มปีกค้างคาวกั้น |
บ่าวถือพานทองรองตะบัน | ตามกันออกไปวัดกระพังทอง |
ถึงกุฎีที่ท่านสังฆราชา | ถามเจ้าเณรบอกว่าอยู่ในห้อง |
ท่านยายตาพาหลานถือพานทอง | ค่อยย่างย่องเข้าไปไหว้กราบลง ฯ |
๏ ครานั้นท่านสังฆราชา | แลมามั่นจิตรว่าศิษย์สงฆ์ |
จึงร้องถามไปด้วยใจจง | ชีต้นคงฤๅเป็นไรไม่เข้ามา |
ท่านผู้รั้งฟังถามหัวเราะคัก | ไม่รู้จักผมฤๅเจ้าคุณขา |
ท่านสมภารตกใจใส่แว่นตา | อ่อโยมพระยาดอกฤๅคิดว่าใคร |
ข้างหลังนั่นทั่นผู้หญิงแล้วสินะ | กินหมากคะโยมขยดมาให้ใกล้ |
อาตมาขาแข้งมันขัดไป | จึงมิได้บิณฑบาตยาจนา |
ท่านทั้งสองผ่องแผ้วไม่เจ็บป่วย | ดูกระชุ่มกระชวยอยู่หนักหนา |
รูปพิศดูโฉมโยมพระยา | เหมือนจะหาได้อิกสักสองคน ฯ |
๏ ท่านสุโขทัยได้ฟังนั่งหัวร่อ | จะหาอิกนั้นก็พอไม่ขัดสน |
แต่ท่านยายหึงไม่หยุดเป็นสุดทน | ทั้งสามคนหัวร่ององอไป |
แล้วผินหน้ามาเรียกให้เจ้าพลาย | เอาธูปเทียนไปถวายแล้วกราบไหว้ |
ฉันจะเอาหลานยามาฝากไว้ | จงโปรดให้เรียนธรรมให้ชำนาญ |
เออนี่ลูกใครที่ไหนเล่า | จึงโยมเจ้าพระยาว่าเป็นหลาน |
ท่านสุโขทัยไหว้กราบแล้วแจ้งการ | ขอประทานลูกแก้วกิริยา |
เมื่อโยมต้องเร่งเงินพินัยนั้น | ไปยากอยู่เมืองสุพรรณเป็นหนักหนา |
ขุนแผนเพื่อนรักใคร่ให้เงินตรา | พากันมาอยู่บ้านวัดตะไกร |
จึงเกิดพลายชุมพลคนนี้ | เมื่ออาสาไปตีเมืองเชียงใหม่ |
เดี๋ยวนี้เจ้าขุนแผนผู้แว่นไว | โปรดให้ไปกินเมืองกาญจน์บุรี ฯ |
๏ ท่านสมภารว่าอ่อออทองแก้ว | มันมีลูกผัวแล้วเจียวฤๅนี่ |
เมื่อกระนั้นท่านพามากุฎี | ใส่ตุ้มปี่ลงไม่รอดมันทอดทิ้ง |
เมื่อรูปไปบ้านท่านคราวแล้ว | เห็นออแก้วมันยังผูกกระจับปิ้ง |
ดูคืนวันมันกระชั้นเข้าจริงจริง | ช่างโตเร็วเจียวยิ่งทั้งหญิงชาย |
นี่ฤๅโฉมพระยากับข้าเจ้า | มันจะมิแก่เถ้าน่าใจหาย |
แล้วลูบหลังลูบหน้าว่าออพลาย | ลูกผู้ชายหน้าตาน่าเอ็นดู |
เอ็งอุตส่าห์ร่ำเรียนทั้งเขียนอ่าน | เป็นทหารเหมือนพ่อเถิดออหนู |
จะให้นอนห้องในใกล้กับกู | จะได้ดูมันด้วยช่วยระวัง ฯ |
๏ ท่านพระยาสุโขทัยยายเพ็ญจันทร์ | ต่างรำพันพูดจาแล้วฝากฝัง |
จนจวนสวดมนต์ค่ำย่ำระฆัง | ก็อำลามายังที่บ้านเรือน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนารีศรีมาลา | นางโศกาตรอมใจใครจะเหมือน |
แต่พลายน้อยจากไปไม่ถึงเดือน | เจ้าอยู่เรือนอกร้อนเหมือนนอนไฟ |
เพราะพระไวยไปอยู่กับเมียน้อย | ย่าก็พลอยด่าว่าไม่ปราศรัย |
จนซูบผอมตรอมตรมระทมใจ | ร้องไห้ถึงเจ้าพลายชายชุมพล |
โอ้น้องเอ๋ยเคยอยู่เป็นเพื่อนพี่ | จะร้ายดีพ่อก็แจ้งซึ่งเหตุผล |
เห็นเขาตีพี่แล้วเป็นทำวน | ช่วยฝนไพลให้ทาน้ำตาคลอ |
ความรักพี่นี้แสนสุดสวาดิ | จึงสามารถบุกป่าไปหาพ่อ |
จะแจ้งความตามที่เขาด่าทอ | พี่ห้ามเจ้าเจ้าไม่รออารมณ์เลย |
น่าสงสารปานฉะนี้เจ้าพลายน้อย | จะเศร้าสร้อยมัวหมองแล้วน้องเอ๋ย |
ไปเดินทางกลางป่าเจ้าไม่เคย | น้ำค้างเปรยตกต้องจะหมองมอม |
ทั้งจุกไรใครเล่าจะเกล้าสาง | ที่สำอางกลิ่นอายจะหายหอม |
จะเปลี่ยวอกไปตระกรกตระกรำตรอม | ถึงบ้านพ่อก็จะผอมลงผิดตา |
โอ้พ่อคุณขุนแผนของลูกแก้ว | รู้แล้วน่าจะรีบลงมาหา |
นี่คอยหายหลายวันไม่เห็นมา | ฤๅพ่อลืมศรีมาลาแล้วกระมัง |
อยู่เดียวเหลียวหาใครไม่แลเห็น | เขาเคี่ยวเข็ญตีโบยระบมหลัง |
ทั้งเรือนนี้มีแต่เขาชิงชัง | ทุกวันยังแต่ชีวิตจะวางวาย |
ทั้งแม่พ่อเล่าก็อยู่ถึงพิจิตร | โอ้คิดคิดขึ้นมาน่าใจหาย |
สะอื้นอ้อนอ่อนทอดระทวยกาย | ไม่เว้นวายวันทุกข์ทรมาน ฯ |
๏ จำจะให้ไปบอกถึงแม่พ่อ | ลงมาต่อว่ากันให้แตกฉาน |
แม้นหม่อมไวยไม่รักทำหักราน | จะก้มหน้าไปบ้านบวชเป็นชี |
นางจึงเรียกข้าเก่าชาวพิจิตร | อ้ายทิดเอ๋ยอยู่ไหนเข้ามานี่ |
อ้ายทิดขานเจ้าขามาทันที | หม่อมแม่ศรีมาลาเรียกฉันทำไม |
ศรีมาลาว่ากระถดมาให้ชิด | กระซิบบอกอ้ายทิดแล้วร้องไห้ |
เอ็งเอ็นดูข้าด้วยช่วยขึ้นไป | บอกพ่อแม่แก้ไขตามปัญญา |
ว่าข้านี้เจ็บไข้ใจจะขาด | ที่วิวาทตีรันนั้นอย่าว่า |
ช่วยลวงล่อพ่อแม่ให้ลงมา | เนื้อความใหญ่ไว้ข้าจะบอกเอง ฯ |
๏ อ้ายทิดสงสารนายร้องไห้ด้วย | หม่อมแม่เหมือนเขาช่วยมาข่มเหง |
ทั้งตีด่าสารพัดไม่ยำเกรง | ดีฉันเองกับเมียพลอยเสียใจ |
ลูกจะรอดขึ้นไปมิให้วุ่น | บอกเจ้าคุณสองรามาให้ได้ |
แล้วเดินมาข้างนอกไม่บอกใคร | จับถุงย่ามใหญ่ใส่ข้าวปลา |
ทั้งหมากพลูบุหรี่มีทุกอย่าง | ลายฉลางคาดพุงหม้อตุ้งก่า |
ครั้นเสร็จสรรพแล้วจับหอกละว้า | เอาย่ามใหญ่ใส่บ่ารีบคลาไคล |
ขัดเขมรจังกาตามุ่งหมาย | หนทางขโมยควายมันจำได้ |
ออกทุ่งโพธิ์สามต้นด้นป่าไป | ค่ำนอนบนต้นไม้ไหว้คุณครู |
ครั้นเช้ากลับลงมาหาห้วยหนอง | เอาฟืนกองก่อไฟตั้งหม้อหนู |
แต่พอปลงหม้อข้าวเผาปลาทู | กินอยู่แล้วก็ไปไม่รั้งรอ |
ครั้นแดดร้อนผ่อนพักชักตุ้งก่า | เมากัญชางกเงิ่นเดินหัวร่อ |
เสียงแกรกกรากก็กลัวจนตัวงอ | ใบไม้สวบควบห้อตะบึงไป |
เดินสามวันครึ่งถึงพิจิตร | เพื่อนทักว่าอ้ายทิดจะไปไหน |
มันแกล้งทำไขหูไม่ดูใคร | ตรงขึ้นเรือนใหญ่ไม่รอรั้ง |
พระพิจิตรนั่งชิดกับบุษบา | เห็นพูดจากันจ้อที่หอนั่ง |
เข้าไปทั้งย่ามถุงพะรุงพะรัง | กราบแล้วนั่งก้มหน้าทำตาปรอย ฯ |
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร | เห็นอ้ายทิดขึ้นมาทำหน้าจ๋อย |
แกด่าว่าน่าเฆี่ยนสักแปดร้อย | ดูโคลนคล่อยช่างพาขึ้นมาเลอะ |
นี่อะไรในถุงอ้าวตุ้งก่า | อ้ายทิดสูบกัญชาจนตาเปรอะ |
มันช่างเมายังค่ำทำหยำเยอะ | นี่เที่ยวเซอะมาทำไมไอ้ขี้คุก |
ทำไมมึงจึงไม่อยู่กับมุลนาย | มึงมาเที่ยวขโมยควายหมายสนุก |
เขาจับได้ฤๅหวานำหน้าทุกข์ | ให้เขาเอาเข้าคุกสาแก่ใจ ฯ |
๏ อ้ายทิดนิ่งนั่งฟังนายด่า | ทำเกาหัวขยี้ตาแล้วร้องไห้ |
อันวัวควายฉันไม่หมายขโมยใคร | นายผู้หญิงท่านใช้มากราบท้าว |
ด้วยเดี๋ยวนี้แม่ศรีมาลาเจ็บ | เนื้อเย็นเป็นเหน็บสะท้านหนาว |
ไม่มีสุขจุกเสียดเป็นคราวคราว | ให้ลงมดลงท้าวว่าถูกคุณ |
หมอหลวงหมอราษฎร์ออกกลาดเกลื่อน | มาแน่นเรือนรักษากันว้าวุ่น |
ข้าวปลาไม่กินเห็นสิ้นบุญ | เชิญฝ่าเท้าเจ้าคุณรีบลงไป ฯ |
๏ พระพิจิตรบุษบาน้ำตาตก | ตีอกผางผางพลางร้องไห้ |
พ่อทิดเอ๋ยพ่อทิดแม่ผิดใจ | เป็นอะไรจึงมาเป็นถึงเช่นนี้ |
แล้วเรียกหาข้าคนอลหม่าน | เหวยอ้ายปานอ้ายเป้าอ้ายเถ้าศรี |
ไปถอยเรือกัญญาออกมาที | จะลงไปกรุงศรีอยุธยา |
ผู้คนอลหม่านทั้งบ้านช่อง | ที่ไม่อยู่กู่ก้องตะโกนหา |
บ้างฉวยได้พายถ่อวิ่งสอมา | ลงถอยเรือกัญญาอยู่วุ่นวาย |
มาจอดท่าหน้าบ้านสะพานใหญ่ | เอาแคร่ใส่ผูกพนักจักตอกหวาย |
ล้วนชาวเหนือเรือแพไม่เคยพาย | เกี่ยงกันถือท้ายเอะอะไป |
พวกผู้หญิงริงเรือหอบเสื่อสาด | ทั้งโต๊ะถาดถ้วยชามรามไหม |
ข้าวสุกข้าวสารเชิงกรานไฟ | ขนส่งลงไปใส่ข้างท้าย |
พระพิจิตรบุษบาละล้าละลัง | กำชับสั่งบ่าวไพร่สิ้นทั้งหลาย |
อยู่รักษาเรือนเหย้าเฝ้าวัวควาย | ทั้งหญิงชายชวนกันหมั่นระวัง |
สั่งพลางทางลงจากเรือนใหญ่ | อ้ายทิดถือชุดไฟเดินตามหลัง |
ครั้นถึงท่าลงเรือไม่รอรั้ง | ท่านพระพิจิตรนั่งเอกเขนกไป |
อ้ายทิดโบกมือบอกให้ออกเรือ | พลพายชาวเหนือเสียงเกื๋อไก๋ |
ยังไม่เคยเลยพ่อพายอย่างไร | ทำขวักไขว่เกะกะกีดกันเอง |
คนหนึ่งยาวคนหนึ่งไล่ไม่ถนัด | ข้างหัววาดท้ายคัดตุนัดตุเหน่ง |
น้ำเพรื่อเรือโคลงอยู่โงงเงง | ไม่เป็นบทเป็นเพลงโก้งเก้งมา |
อ้ายทิดนั่งยองยองร้องเกนเกน | พลพายเหลือเถนเจ้าคุณขา |
พระพิจิตรถือหวายกรายหวดมา | อ้ายลูกหมามึงไม่วาดหัวลงไว้ |
พวกบ่าวเห็นนายถือหวายจ้อง | ลุกขึ้นนั่งยองยองขยุ้มใหญ่ |
อ้ายทิดลุกชะเง้อเออนั่นเป็นไร | ประเดี๋ยวโดนกอไผ่เข้าต้ำตึง |
โขนพนักหักพับกัญญาย่น | พระพิจิตรล้มก้นกระแทกผึง |
ลุกขึ้นนิ่วหน้าด่าเสียงอึง | อ้ายทิดลุกทะลึ่งไปถือท้าย |
แล้วเปลี่ยนผลัดหัดกันมากลางน้ำ | กว่าจะพร้อมทั้งลำจนเที่ยงสาย |
รีบเร่งเร็วรุดไม่หยุดพาย | ล่องน้ำตามสบายมากรุงไกร ฯ |