๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิราวีไม่มีสู้ |
เห็นทัพลาวแตกพ่ายกระจายพรู |
ที่เหลืออยู่พวกไทยไล่ตามฟัน |
พอจวนเย็นเรียกทัพกลับเข้าค่าย |
หุงต้มล้มควายกินจ้าละหวั่น |
พวกทหารพูดจาเฮฮากัน |
จนสิ้นแสงสุริยันลงทันใด |
ขุนแผนบอกลูกชายเจ้าพลายกล้า |
จะเฉยช้าอยู่ที่นี่หาดีไม่ |
ควรกรูกรีรี้พลสกลไกร |
เข้าประชิดติดเชียงใหม่ให้ทันที |
อย่าให้มันหยุดยั้งตั้งตัวได้ |
เข้าลุยไล่รีบทำให้ป่นปี้ |
ด้วยเสบียงเลี้ยงไพร่เราไม่มี |
ต้องคลุกคลีเสียให้ได้ในสองวัน ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม |
ฟังความเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จะเนิ่นช้าอาหารกันดารครัน |
ด้วยลาวนั้นที่ไหนจะยกมา |
พอรู้ข่าวก็จะหนาวสะท้านจิตร |
เห็นจะปิดประตูน้ำค้ำประตูท่า |
ถ้าเราไม่เข้าไปถึงพารา |
จะรอให้มันมาเห็นจะลึก |
เอาทัพเราเข้าประชิดติดเวียงชัย |
แล้วสะกดเข้าไปเมื่อยามดึก |
ถ้าจับเจ้าเชียงใหม่ได้สมนึก |
จะตัดศึกสิ้นลำบากไม่ยากใจ |
พ่อลูกพูดจาปรึกษากัน |
พอแสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างไข |
สั่งให้พวกอาสาพากันไป |
ตัดไม้ปลูกศาลขึ้นเพียงตา |
วงสายสิญจน์เสกลงเลขยันต์ |
เครื่องเซ่นสารพันให้จัดหา |
เป็ดไก่เต่าหมูแลสุรา |
ทั้งข้าวปลาอาหารทุกสิ่งอัน |
สั่งแล้วขุนแผนแสนสนิท |
ประชุมฤทธิปลุกตัวขมีขมัน |
ใส่มงคลมนตร์เสกข้าวสารพลัน |
เหน็บมีดหมอจรจรัลมาทันที |
จุดเทียนติดศาลอ่านคาถา |
เรียกบรรดาโหงพรายโขมดผี |
ทั้งปู้เจ้าเขาเขินเนินคีรี |
เชิญมารับบัตรพลีพลีการ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงภูตพรายผีตายโหง |
ที่ป่าโป่งรังรุกข์ทุกสถาน |
ทั้งปู่เจ้าเขาถ้ำทุกลำธาร |
ต้องมนตร์อลหม่านไปทั้งดง |
พวกผีไทยไปทัพกับขุนแผน |
ต่างเที่ยวแล่นเรียกหาทุกป่าระหง |
ผีลาวครั่นคร้ามขามฤทธิรงค์ |
ต่างก็ตรงมาที่พิธีกรรม์ |
แต่ล้วนผีดาษดื่นสักหมื่นแสน |
ดูออกแน่นคั่งคึกพิลึกลั่น |
ล้อมศาลรอบรายเป็นหลายชั้น |
คนทั้งนั้นนั่งเขม้นไม่เห็นกาย |
แต่ขุนแผนแสนสนิทเรืองฤทธี |
เห็นผีสะพรั่งสิ้นทั้งหลาย |
ที่ร้ายกาจผาดแผลงแกล้งอุบาย |
เป็นสัตว์ร้ายต่างต่างวางเข้ามา |
ขุนแผนเสกซัดข้าวสารปราย |
ผีร้ายหมอบกราดลงดาษป่า |
ซ้ำเป่าอาคมลมจินดา |
ให้ฝูงผีมีเมตตาไปทุกตน |
ขุนแผนว่าข้าแต่เทพารักษ์ |
อันเรืองฤทธิสิทธิศักดิทุกแห่งหน |
ท่านจงยกพยุหบาตรปิศาจพล |
ไปประจญอารักษ์หลักเชียงอินท์ |
ด้วยว่าเจ้าเชียงใหม่ไม่ครองธรรม |
ถึงกรรมเมืองจะแหลกแตกสิ้น |
จงช่วยพวกเรามาอาสาแผ่นดิน |
เชิญมากินเครื่องเซ่นอย่าเว้นตัว |
เทพเจ้าเหล่าโขมดมายา |
ต้องมนตร์จินดาก็ยิ้มหัว |
ต่างรับอาสาว่าอย่ากลัว |
จะช่วยท่านเรียงตัวทั่วทั้งนั้น |
กินเครื่องเซ่นเสพสุราแล้วลาแล่น |
ออกเยียดยัดอัดแน่นในไพรสัณฑ์ |
แผลงฤทธิ์บิดร่างต่างต่างกัน |
แผ่นดินลั่นดังจะล่มถล่มทลาย |
สนั่นเมืองเปรื่องเปรี้ยงเสียงปิศาจ |
ดังพสุธาฟ้าฟาดไม่ขาดสาย |
เหมือนจะล่มเมืองคว่ำให้ทำลาย |
เข้ารุมรายล้อมรอบขอบบุรี ฯ |
๏ ฝ่ายว่าอารักษ์หลักเชียงใหม่ |
พระเสื้อเมืองเรืองชัยแลเจ้าผี |
สถิตศาลน้อยใหญ่ในธานี |
ที่ได้รับเครื่องพลีเจ้าเชียงอินท์ |
เห็นผีไพรไทยมาเป็นสามารถ |
ก็เกณฑ์กวาดผีบ้านทุกฐานถิ่น |
ผีป่าช้าอยู่ในใต้แผ่นดิน |
เรียกมาสิ้นให้สู้หมู่ผีไพร |
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธิรุทร |
บ้างพุ่งซัดอาวุธอยู่หวั่นไหว |
บ้างฉวยได้ม้าช้างขว้างออกไป |
คว้าดอกไม้เท่าซุงเอาพุ่งโยน |
ถูกผีป่าล้มคว่ำคะมำกลิ้ง |
ผีไทยผลุนหนุนวิ่งมาผาดโผน |
เอากอหนาดฟาดไล่ดังไฟโชน |
พวกผีป่ากลับกระโจนเข้าโรมรัน ฯ |
๏ เดิมเชียงอินท์เป็นปิ่นเอกราช |
ชะตาขาดนครอ่อนอาถรรพ์ |
จะเสื่อมสิ้นยศอย่างแต่ปางบรรพ์ |
เป็นประจันตประเทศเขตกรุงไทย |
ผีป่าจึงแข็งแรงร้ายกาจ |
ผีเมืองมิอาจจะสู้ได้ |
ก็ถอยป่นย่นยับอัปราชัย |
ผีป่าเข้าไปไล่ลุยเมือง |
เทพทุกศาลสิงออกวิ่งพล่าน |
กำภูฉัตรพระกาลโดดศาลเปรื่อง |
ไม่หลอเหลือทั้งพระเสื้อพระทรงเมือง |
หอเครื่องเจตคุกบุกหนีไป |
พวกเหล่าผีเล็กน้อยพลอยวิ่งว่อน |
ทั้งนครเสียงมี่ผีร้องไห้ |
บ้างอุ้มลูกจูงหลานซานเข้าไพร |
เพราะผีป่าเข้าได้ในนคร ฯ |
๏ เวลานั้นเจ้าเชียงใหม่เธอไสยาสน์ |
ครั้นทัพผีวิปลาสเกิดสังหรณ์ |
ทั้งตระกูลประยูรญาติราษฎร |
พากันนอนใฝ่ฝันออกฟั่นเฟือน |
เห็นเป็นกองทัพไทยไล่ฟันลาว |
ขุนนางเจ้าชาวบุรีหนีเข้าเถื่อน |
ตื่นแซ่แก้ฝันกันทุกเรือน |
หลากจิตนิมิตเหมือนกันทั้งนั้น |
บ้างก็ว่าเวลาเคาะระฆัง |
ได้ยินดังคึกคึกพิลึกลั่น |
เห็นชะรอยภูตผีเราหนีมัน |
ต่างวิตกอกสั่นทุกคนไป ฯ |
๏ พระเจ้าเชียงใหม่ฟื้นตื่นนิทรา |
ลุกผวาหวั่นหวาดพระทัยไหว |
ก็ทราบว่าผีบ้านย่านผีไพร |
อยู่ไม่ได้หนีออกนอกบุรี |
แสนวิตกอกเมืองจะเคืองเข็ญ |
ต้องยากเย็นผู้คนจะป่นปี้ |
นี่เพราะกูทำความไม่งามดี |
ไปชักให้ไพรีมีขึ้นมา |
แล้วหวนมานะนึกกลับฮึกเหี้ยม |
อายุกูก็เยี่ยมหกสิบห้า |
ถึงจะครองเมืองไปก็ไม่ช้า |
ไม่ขายหน้ายอมไทยให้อัประมาณ |
อันชาติเสือถึงจะตายลายก็อยู่ |
ให้ใครดูรู้ชาติว่าอาจหาญ |
ชาติกษัตริย์ถึงจะป่นจนวายปราณ |
มิให้พานชื่อชั่วว่ากลัวใคร |
ถึงชีวันบรรลัยจะไว้ยศ |
ให้ปรากฏทั่วโลกวิสัย |
เหมือนทศเศียรสุริวงศ์ทรงฤทธิไกร |
ถูกลักล้วงดวงใจไปให้ราม |
แม้นรักชีวิตรักวงศ์จะส่งนาง |
เธอสู้ตายวายวางไม่คิดขาม |
จึงเลื่องชื่อฦๅยศปรากฏนาม |
มีเรื่องความในนิพนธ์จนทุกวัน |
ถ้ากลัวเขาเราส่งสร้อยทองให้ |
ก็คงไม่เกิดเข็ญเป็นมหันต์ |
สู้บรรลัยไว้ยศเหมือนทศกัณฐ์ |
ให้ฦๅลั่นชั่วหล้าฟ้าแลดิน |
ตริพลางทางเสด็จออกข้างหน้า |
ดำรัสสั่งเสนาทั้งปวงสิ้น |
ให้คอยระวังระไวพวกไพริน |
เราเอาเวียงเชียงอินท์เป็นเรือนตาย ฯ |
๏ อำมาตย์รับโองการคลานออกมา |
ต่างเข้มงวดตรวจตราคนทั้งหลาย |
ทุกค่ายคูปิดประตูหอรบราย |
กะทะทรายตั้งคั่วทั่วกำแพง |
ทั้งหญิงชายก็ให้มาขึ้นหน้าที่ |
กองอัคคีให้สว่างกระจ่างแสง |
ให้เหล่าสารวัตรคอยจัดแจง |
ทั่วตำแหน่งเกณฑ์ตรวจทุกหมวดกรม ฯ |
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลี |
มเหสีเชียงอินท์ปิ่นสนม |
เห็นบ้านเมืองวิปริตผิดนิยม |
จะแหลกล่มเสียกระมังในครั้งนี้ |
จำจะไปเพ็ดทูลมูลเหตุ |
ให้ทรงเดชวินิจฉัยให้ต้องที่ |
คิดพลางย่างเยื้องจรลี |
ไปเฝ้าเจ้าธานีในทันใด |
ครั้นถึงกราบก้มประนมกร |
บังอรซบเศียรสะอื้นไห้ |
แล้วกราบทูลสามีพิรี้พิไร |
ขอพระองค์จงได้กรุณา |
เป็นความสัตย์สุจริตไม่คิดหึง |
หมายจะพึ่งภูวไนยจนสังขาร์ |
อันซึ่งศึกประชิดติดพารา |
ด้วยสาเหตุเนื้อเคราะห์เพราะสร้อยทอง |
จะเอานางไว้ไยในพารา |
ให้ไพร่ฟ้าทุกข์ทนหม่นหมอง |
เคืองระคายบาทาฝ่าละออง |
ขอพระองค์จงตรองในพระทัย |
พระสนมแน่งนวลควรประคอง |
งามกว่าเจ้าสร้อยทองไม่นับได้ |
ไม่ควรจะขุ่นเคืองกับเมืองไทย |
ถ้าส่งสร้อยทองให้กับนายทัพ |
ที่คนเขาเขาก็คืนเอาไปได้ |
เห็นพวกไทยจะเลิกกองทัพกลับ |
ทั้งวังเวียงเชียงใหม่ไม่ย่อยยับ |
เหมือนพระดับความเข็ญเย็นประชา |
ให้หมดสิ้นเสี้ยนหนามได้ความสุข |
ตัดยุคเสียอย่างนี้จะดีกว่า |
ขอพระองค์ทรงพระกรุณา |
ให้ไพร่ฟ้าแผ่นดินสิ้นทุกข์ภัย ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินท์บดินทร์สูร |
ฟังทูลก็สะท้อนถอนใจใหญ่ |
นึกสงสารสายสมรอ่อนพระทัย |
ประเดี๋ยวใจหวนพิโรธโกรธขึ้นมา |
น้องเอ๋ยพี่ไม่เคยให้ใครหยาม |
เจ้าเวียงจันทน์ทำความให้ข้ามหน้า |
ยังมิหนำซ้ำพวกอยุธยา |
หยาบช้ามาประชิดติดนคร |
ถ้าขอนางโดยดีพี่จะให้ |
นี่มันไม่ยำเกรงข่มเหงก่อน |
บังอาจลักช้างม้าฆ่าราษฎร |
ฦๅกระฉ่อนออกดังทั้งแดนไตร |
มันเขียนหนังสือท้าว่าประจาน |
มิใช่พระในวิหารจะอดได้ |
จึงได้เกิดรบพุ่งกันยุ่งไป |
ลาวบรรลัยมากมายเป็นหลายคน |
ซึ่งจะส่งองค์นางไปเดี๋ยวนี้ |
เหลือที่จะทำได้ให้ขัดสน |
ไม่ขอส่งคงสู้จนวายชนม์ |
เกิดเป็นคนถึงกรรมก็จำตาย ฯ |
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลี |
ได้ฟังคำสามีก็ใจหาย |
ช่างดึงดันโกรธเกรี้ยวไปเดียวดาย |
จะทานทัดมากมายก็ไม่ควร |
เคารพราบกราบลาพระสามี |
เทวีเสด็จมาโดยด่วน |
ทอดองค์ลงกับแท่นแสนรัญจวน |
ยิ่งปั่นป่วนโศกเศร้าเสียพระทัย |
กรกอดลูกน้อยเจ้าสร้อยฟ้า |
นางโศกาสะอึกสะอื้นไห้ |
แม่ไปทูลพระองค์ผู้ทรงชัย |
เธอดื้อดึงขึงไปไม่นำพา |
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมนำนิยม |
จะให้ล่มโลกลาวตลอดหล้า |
ทั้งหญิงชายก็จะฟายแต่น้ำตา |
คงยากเย็นเป็นข้าพวกไทยแท้ |
แสนวิตกโอ้อกเจ้าแม่เอ๋ย |
จะเป็นเชลยเขาเสียแล้วนะแก้วแม่ |
จึงเผอิญให้กษัตริย์วิบัติแปร |
ที่ชั่วแน่กลับเห็นว่าเป็นดี |
ตรัสทางพลางข้อนพระทรวงร่ำ |
แสนระกำดังจะม้วยไปเป็นผี |
เจ้าครอกน้อยสร้อยฟ้านารี |
ก็โศกีลูกแม่นิ่งแน่ไป |
กำนัลนางต่างเอาสุคนธ์สรง |
ค่อยชุ่มชื่นฟื้นองค์ขึ้นมาได้ |
แต่โศกแล้วโศกเล่าเฝ้าร่ำไร |
ร้องไห้ข้อนอกจนฟกแดง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิฦๅทั่วกลัวแสยง |
พอรุ่งแสงทินกรขึ้นร้อนแรง |
ก็จัดแจงกองทัพกำชับการ |
ให้เร่งผูกอัสดรกุญชรชาติ |
จะยกยาตราพลพหลหาญ |
ล่วงลัดตัดตรงเข้าดงดาน |
ประชิดชานเชียงใหม่ในวันนี้ ฯ |
๏ พวกอาสารับสั่งไม่รั้งรา |
ต่างไปผูกช้างม้าอยู่อึงมี่ |
จับอาวุธวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี |
ประจำที่พยุหบาตรจะยาตรา |
ให้พระนายท้ายน้ำนั้นนำศึก |
ขี่พลายประกายพรึกมาข้างหน้า |
เพี้ยกึงกำกงถัดลงมา |
ขี่พลายพลิกพสุธามากลางพล |
ขุนแผนขี่พลายศรีคชเดช |
พลายงามขี่พลายเกตุต้อนพหล |
พวกอาสาร่าเริงทุกตัวคน |
รีบร้นโยธาคลาไคล |
โห่สนั่นลั่นก้องท้องอรัญ |
ครึ่งวันก็กระทั่งถึงเชียงใหม่ |
ให้หยุดทัพยับยั้งตั้งพลไว้ |
นายไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ |
เอาอ้อแขมมากระหนาบคาบเข้าไว้ |
ซัดข้าวสารหว่านไปเป็นค่ายตับ |
ปักรายหลายชั้นกันหน้าทัพ |
สำหรับรับปืนใหญ่ในบุรี ฯ |
๏ ในชานเวียงเสียงสนั่นออกหวั่นไหว |
เห็นทัพไทยมาประชิดติดกรุงศรี |
พวกลาวระวังตัวทั่วธานี |
เข้าประจำหน้าที่สิ้นทั้งนั้น |
บ้างเคี่ยวชันหลอมตะกั่วคั่วทราย |
ตั้งเตารายบนกำแพงไว้แข็งขัน |
กองไฟรอบเมืองเนื่องเนื่องกัน |
ส่องแสงแดงฉันทั้งเวียงชัย |
องค์พระเจ้าเชียงอินท์ปิ่นนครา |
ออกมาสั่งเสนาผู้น้อยใหญ่ |
ให้ระแวดระวังตั้งใจ |
ดูอย่าให้ผู้คนปนเข้ามา |
เอาหอกดาบปืนผาอาวุธ |
เครื่องยุทธเตรียมไว้ให้แน่นหนา |
ชั้นแมวหมูสุนัขนกกา |
แม้นเข้าเมืองจับฆ่าให้วายชนม์ |
ให้เสนีสี่นายแยกย้ายไป |
ตรวจไพร่โยธาโกลาหล |
รอบจังหวัดอัดแอแต่ล้วนคน |
ทุกถนนหนทางสว่างไฟ ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว |
กับลูกชายพลายงามทรามวัย |
พอดึกได้สามยามตามตำรา |
ฟ้าขาวดาวดวงสะกดแจ่ม |
พระจันทร์แรมรีบดับลงลับหล้า |
พ่อลูกจัดแจงแต่งกายา |
นุ่งผ้าม่วงดำประจำกาย |
สะเอวคาดราตคดก็สีดำ |
คล้องประคำตะกรุดทองทั้งสองสาย |
ใส่เสื้อยันต์ลงองค์นารายณ์ |
เข็มขัดขมองพรายคาดกายพัน |
ประจงจับจบประเจียดประจุพระ |
โพกศีรษะทะมัดทะแมงดูแข็งขัน |
ทั้งพ่อลูกผัดผงที่ลงยันต์ |
แล้วเสกจันทน์เจิมหน้าสง่างาม |
ขึงขังทั้งคู่ดูสง่า |
ดังพระยาสีหราชเรืองสนาม |
จบคำนับจับดาบปราบสงคราม |
บ่ายหน้ามาตามยามอาทิตย์ |
ตรงเข้าไปในป่าแล้วปลุกตัว |
เป่าทั่วด้วยคาถาประกาศิต |
ขยับยืนยกเมฆดูนิมิต |
เห็นรูปนารายณ์เรืองฤทธิ์ติดอัมพร |
สี่หัตถ์ทรงสาตราคทาเพชร |
พร้อมเสร็จจักรสังข์พระแสงศร |
ลมสองคลองคล่องขวาเวลาจร |
ก็ก้าวเท้าขวาก่อนทั้งสองคน |
กุมารทองโหงพรายรายรอบข้าง |
พ่อลูกเยื้องย่างมาทางถนน |
ร่ายเวทจังงังกำบังตน |
ไม่มีคนทายทักแต่สักคำ |
ปีนข้ามเนินคูประตูค่าย |
อ้ายพวกลาวบ่าวนายอยู่คลาคล่ำ |
ล้วนต้องมนตร์ง่วงหงับหลับคะมำ |
ขุนแผนนำหน้าไปใกล้กำแพง |
ยืนมองช่องประตูคนผู้ไขว่ |
กองไฟไว้สว่างกระจ่างแสง |
ทหารปืนยืนเป็นพวกใส่หมวกแดง |
เสียงฆ้องป่องแป่งออกรอบไป |
ขุนแผนกับลูกชายร่ายพระเวท |
อันวิเศษสองนายใช้พรายได้ |
แล้วขึ้นคอผีกุมารอันชาญชัย |
ผีก็แผลงฤทธิไกรวิสัยตน |
ผาดโผนโจนข้ามกำแพงเมือง |
เปรื่องเดียวเข้าได้ไม่ขัดสน |
ขุนแผนเป่าซ้ำกระหน่ำมนตร์ |
สะกดคนหลับรอบขอบนคร |
แล้วตรงมาถึงวังเจ้าเชียงใหม่ |
ขุนแผนใช้พรายลาวเข้าไปก่อน |
ให้ถอนลิ่มถอดสลักชักกลอน |
ทั้งพ่อลูกบทจรเข้าวังใน ฯ |
๏ ผู้หญิงลาวท้าวนางแลโขลนจ่า |
แลมาหาเห็นขุนแผนไม่ |
ทั้งคุณหม่อมจอมเจ้าแลสาวใช้ |
จรลีสีไหล่กันไปมา |
ขุนแผนพลายงามตามกันจร |
เที่ยวทุกตรอกซอกซอนทั้งซ้ายขวา |
ขึ้นตำหนักเจ้าหม่อมจอมมารดา |
จะดูท่าชาววังเป็นอย่างไร |
บ้างซุบซิบสนทนาถึงข้าศึก |
บ้างข้อนอกเข้าสะอึกสะอื้นไห้ |
บ้างจับเบี้ยบนผีพิรี้พิไร |
บ้างเย็บไถ้คาดแน่นใส่แหวนทอง |
ทุกหนแห่งแสยงสยดทั่ว |
ไม่มีหัวมีแต่ไห้ไปทุกห้อง |
พ่อลูกเล็ดลอดเที่ยวสอดมอง |
เห็นหม่นหมองเวทนาในอารมณ์ |
แต่พวกเล่นจับคู่ไม่สู้ทุกข์ |
ยังสนุกรื่นรวยทำสวยสม |
บ้างไปมาหาคู่ที่เคยชม |
เชยแก้มแนมนมกระนี้กระนั้น |
บ้างขึ้นมาหาสู่เหมือนชู้ชาย |
แย้มคายลิ้นลมเป็นคมสัน |
บ้างหวงหึงบึงบอนควักค้อนกัน |
บ้างแดกดันถุ้งเถียงเสียงอลวน |
ที่ลางนางทอดตัวเกาหัวแกรก |
ถ้าเมืองแตกเรานี้คงปี้ป่น |
ลางนางบ้างว่าอย่าร้อนรน |
ของยังมีที่ตนไม่จนนาน |
บ้างว่าถ้าตกไปเมืองใต้ |
ทำอย่างไรจึงจะดีให้วิถาร |
ที่ลางนางนอกคอกบอกอาการ |
อย่าเกียจคร้านโต้ตอบชอบทุกคน |
ที่คนโง่ถามว่าโต้อย่างไรขา |
ถ้าผัวด่าด่าโต้ฤๅยังฉงน |
ใครเขาให้โต้ปากอยากสัปดน |
ให้เอาตนโต้ดอกบอกตามการ |
ซึ่งโต้ตอบอย่างนี้ไม่มีครู |
ด้วยต่างคู่ต่างวิสัยหลายสถาน |
ถ้าโต้ตอบชอบใจแล้วไม่นาน |
ต้องซมซานฝากตัวกลัวจนงอ |
แน่ะพวกเรานะอย่าเอาที่ผัวไพร่ |
เหมือนกับเหยียบขี้ไก่มันไม่ฝ่อ |
ปะนายมุลขุนนางวางให้พอ |
เข้าเคลียคลอเคล้าคลึงให้ถึงใจ |
ทั้งนวดฟั้นปรนนิบัติพัดวี |
ทำให้ดีขี้คร้านจะหลงใหล |
ยิ่งกว่ายาแฝดฝังเข้าบังใจ |
ท่านผู้หญิงทิ้งไล่เสียเลเพ |
ยิ่งงกงันฟันหักยิ่งรักสาว |
กลัวจะซานลานลาวเจ้าเสน่ห์ |
อุตส่าห์เฝ้าเอาใจใช้อุปเทห์ |
แก่ขี้เหร่ดีนักยิ่งรักเมีย |
ระวังแต่อ้ายหนุ่มกระจุ๋มกระจิ๋ม |
มันมักชิมแล้วเฉยเลยทิ้งเสีย |
ถ้าไม่ช่วยตัวได้อย่าให้เยีย |
ทำปัวเปียเสียพอป่องพร่องราคา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนประเสริฐ |
เลื่องชื่อฦๅเลิศตลอดหล้า |
กับลูกชายหงายแหงนดูดารา |
พอเพลาดาวธงเข้าตรงรถ |
ดูอากาศแผ้วผ่องเป็นคลองช้าง |
แจ่มกระจ่างเด่นดาวดวงสะกด |
พระจันทรล่อนดับลับบรรพต |
กำหนดต้องฤกษ์พาตำราเรียน |
พ่อลูกเสกซัดข้าวสารกราว |
พวกแสนสาวล้มเกลือกลงเสือกเศียร |
ที่นั่งขึงแข็งตาน่าวิงเวียน |
จนล้มพาดดาษเดียรลำดับกัน |
ที่ลุกขึ้นกึกกักมาตักน้ำ |
ต้องอาคมล้มคะมำคว่ำทับขัน |
ลางนางเช็ดไรใส่น้ำมัน |
สำลีพันไม้คาหลับตาไป |
ลางนางปักสะดึงตรึงตราชุน |
ง่วงงุนหลับตามือคาไหม |
ที่ปั่นฝ้ายกรอหลอดลงกอดไน |
ที่นั่งยามตามไฟไม่สมประดี |
ขุนแผนสั่งผีโขมดกุมารทอง |
จงเข้าไปในห้องปราสาทศรี |
สะกดพระยาลาวเจ้าธานี |
มเหสีลูกสาวชาวพนักงาน ฯ |
๏ ผีคำนับรับคำทำเดชา |
พอพริบตาเดี๋ยวหนึ่งถึงราชฐาน |
ขึ้นบนตำหนักพลันมิทันนาน |
เข้ากดทับหลับซานไปทุกคน |
ด้วยเทวดารักษากำภูฉัตร |
ผีไทยไล่กำจัดเข้าไพรสณฑ์ |
กุมารจึงเข้าไปได้ใกล้ตน |
ทับเจ้าภูวดลไว้ตรึงตรา |
องค์พระเจ้าเชียงใหม่ชัยศรี |
ครั้นต้องมนตร์ดลผีให้มืดหน้า |
ดังใจปลิดจิตปลิวจากกายา |
ลงนิทราแน่นิ่งไม่ติงองค์ ฯ |
๏ ขุนแผนกับลูกยาศักดาเดช |
ร่ายพระเวทเป่าลมประสมส่ง |
แล้วเยื้องย่างอย่างสองพยัคฆยง |
ตรงเข้าเรือนทองห้องสุวรรณ |
อเนกแน่นล้วนแสนสุรางค์ราช |
ต้องอาคมล้มกลาดเป็นหลั่นหลั่น |
ดูงามถ้วนล้วนเหล่าพระกำนัล |
ผิวพรรณพึงชมสมสะคราญ |
ผ้าผวยเทพประนมห่มนอน |
ฟูกหมอนเสื่อสาดสะอาดสะอ้าน |
กลิ่นฟุ้งมุ้งแพรแลละลาน |
พนักงานต่างต่างทุกอย่างไป |
พ่อลูกจรจรัลเข้าชั้นสอง |
ประทีปส่องแสงสว่างกระจ่างไข |
พระสนมล้มหลับระเนนใน |
ล้วนวิไลเลิศล้ำดูสำอาง |
ละม่อมเหมาะเพลาะกรอมหอมห่ม |
บ้างเปิดนมขาวช่วงอล่างฉ่าง |
ดูสองแก้มแจ่มเจียนผิวมะปราง |
ล้วนแต่อย่างสาวใหญ่ไว้ท่วงที |
สนิทนิ่งเหนือหมอนที่นอนนาง |
ดูสำอางอ่อนสะอาดลาดกำมะหยี่ |
มุ้งน้อยน้อยห้อยพู่ประตูมี |
ล้วนแพรบางต่างสีดูสมทรง |
พ่อลูกจรจรัลเข้าชั้นสาม |
ประทีปอัจกลับตามงามระหง |
ทั้งสองย่างยุรยาตรดูอาจอง |
เห็นองค์แน่งน้อยสนิทนอน |
ล้วนรุ่นรุ่นรูปเรี่ยมจำเริญลักษณ์ |
ผิวพักตร์ผ่องเกลี้ยงเพียงอัปสร |
ห่มแพรสีมีวลัยใส่สวมกร |
เอาสร้อยอ่อนทำสายสะอิ้งรัด |
ใส่ตุ้มหูซ้ายขวาระย้าย้อย |
เอวบางร่างน้อยนมถนัด |
ดังปทุมตูมเต่งเคร่งครัด |
จำปาทัดถันได้ไม่ลอดทรวง |
เจ้าพลายงามเดินหลังตั้งตาเขม้น |
เสียดายเป็นที่นั่งรองของหลวง |
เอามือช้อนเข้าที่พุ่มปทุมทรวง |
ไม่โรยร่วงกลีบกลัดกำดัดตึง |
ขุนแผนเห็นลูกเข้าไปเคล้าคลอ |
เอามือห่อป่ายหลังลงดังผึง |
นี่ของหลวงนะอย่าเข้าไปเคล้าคลึง |
ถ้าแม้นนึกลึกซึ้งสิเสียความ |
ไม่ควรนะเจ้าเราเป็นไพร่ |
เขาก็ได้เป็นนางระวางห้าม |
ยิ่งจะให้เชี่ยวชาญการสงคราม |
มาตุคามลามลวนอย่าควรทำ |
เจ้าพลายงามบอกความกับบิดา |
แวะเข้ามาชมเล่นเห็นขำขำ |
เพียงลักหลับลูกต้องประคองคลำ |
ไม่ได้นึกลึกล้ำละเลิงใจ |
เออนะเจ้าเราขอเสียคืนเดียว |
ช่วยกันเคี่ยวแข็งข้อเอาให้ได้ |
ถ้าเสร็จศึกแล้วจะนึกเอานางใด |
เว้นแต่หม่อมยอมให้ทุกนารี ฯ |
๏ พ่อลูกไคลคลามาทั้งสอง |
ถึงห้องทองที่ประทมเจ้ากรุงศรี |
เสกสะเดาะลิ่มลั่นออกทันที |
ตรงขึ้นที่อัฒจันทร์บนชั้นพัก |
เข้าปรางค์ทองชมห้องปราสาทศรี |
เธอเทียบที่พระประทมไว้สมศักดิ |
มีม่านทองสองไขใส่เชือกชัก |
ที่ฝาทำจำหลักเป็นลายลอย |
เพดานเขียนลายทองเป็นถ่องแถว |
ระย้าแก้วแพรวพรายสายโซ่ห้อย |
โคมปัดอัจกลับระยับย้อย |
แสงสว่างพร่างพร้อยดูพรายตา |
หน้าพระแท่นล้วนแต่แสนสาวสุรางค์ |
อนงค์นางอยู่งานขนานหน้า |
ดูรูปเรียบกะทัดรัดจำรัสตา |
โสภานิ่มนวลควรจะชม |
ขนงเนตรเกศแก้มแจ่มจำรัส |
ถันก็ทัดกันทั้งคู่ดูงามสม |
มีสุจหนี่ที่นอนหมอนพรม |
ล้วนแต่ห่มแพรสีมีขลิบริม |
ทองวลัยใส่แขนแหวนสอดก้อย |
ผูกสายสร้อยสิบนิ้วเจ้านุ่มนิ่ม |
ใส่ตุ้มหูเฟื่องห้อยพลอยทับทิม |
ดูหน้าตาจิ้มลิ้มดังลูกจันทน์ |
เหล่านางดีดสีที่ข้างแท่น |
ละม้ายแม้นเหมือนตุ๊กตาปั้น |
งามระหงทรงศรีฉวีวรรณ |
ประดับกายคล้ายกันทุกนารี |
คนระนาดนอนหลับทับคนฆ้อง |
นางคนร้องนอนทับกระจับปี่ |
คนโทนทับหลับใหลไม่สมประดี |
นางคนสีซอทับคนกรับนอน ฯ |
๏ พ่อลูกชมพลางย่างย่อง |
ขึ้นพระแท่นในห้องข้างซ้ายก่อน |
แหวกวิสูตรสุวรรณอันบวร |
เข้าในที่บรรจถรณ์ด้วยทันใด |
เห็นสองนางต่างองค์บรรทมหลับ |
อัจกลับจับผิวดูผ่องใส |
งามจริงพริ้งพร้อมละม่อมละไม |
เป็นนวลปลั่งดังใยสำลีชี |
เพ่งพินิจพิศทรงพระองค์ใหญ่ |
แลวิไลเลิศลักษณ์เป็นศักดิศรี |
ดูผิวพักตร์ก็ยังผ่องละอองดี |
แต่ตรงที่พระถันนั้นพร่องทรวง |
เห็นอนงค์จะเป็นองค์ชนนี |
นางโฉมยงองค์นี้เป็นลูกหลวง |
พึ่งเป็นสาวรุ่นร่างกระจ่างดวง |
ดูสองถันนั้นเป็นพวงผกาทิพย์ |
เหมือนโกมุทพึ่งผุดหลังชลา |
พอต้องตาเตือนใจจะให้หยิบ |
เจ้าพลายแลเล็งเพ่งไม่พริบ |
พ่อกระซิบห้ามปรามก็ขามใจ |
สนิทนิ่งเหนือหมอนดังท่อนแก้ว |
พระพักตร์แผ้วมิได้มีรอยฝีไฝ |
งามขนงก่งค้อมละม่อมละไม |
แต่เนตรหลับยังวิไลประหลาดนาง |
นาสิกตละทรงพระแสงขอ |
โอษฐ์ลออเรี่ยมริมเหมือนจิ้มฝาง |
สองปรางอย่างผิวผลมะปราง |
ดูทรงศอคอคางอย่างกลึงกลม |
งามระหงทรงศรีไม่พีผอม |
เพริศพร้อมแต่บาทจนถึงผม |
กระหมวดมุ่นเกศาก็น่าชม |
ปักปิ่นทองถมราชาวดี |
กุณฑลสองข้างพร่างแสงเพชร |
สังวาลประดับสลับเม็ดพลอยต่างสี |
กำไลกรทองร่อนรูปนาคี |
ธำมรงค์เรือนมณีสีพร่างพราย |
ผ้านุ่งถถุงยกกระหนกกรอง |
ห่มแพรริ้วทองจำรัสฉาย |
มเหสีทรงยกกระหนกลาย |
ห่มแพรเหลืองลายมะลิทอง |
พระเทพีมีบุตรจนเป็นสาว |
ยังดูลาวสักสิบหกไม่บกพร่อง |
กะทัดรัดผิวเรี่ยมเอี่ยมละออง |
ควรประคองไว้ถนอมเป็นจอมนาง ฯ |
๏ ชมพลางย่างมาพระแท่นใหญ่ |
ตรงเข้าไปรวบรูดวิสูตรกร่าง |
แต่ล้วนเครื่องทองคำดูสำอาง |
พระแสงวางข้างที่มีหลายองค์ |
แลเห็นเจ้าเชียงอินท์ปิ่นไอศวรรย์ |
สถิตบรรจถรณ์ประเทืองเรืองระหง |
ดูขาวนวลอ้วนกลมสมทรวดทรง |
ควรเป็นวงศ์อิศเรศเกศเชียงอินท์ |
คลุมประทมถมเถือกด้วยทองชุด |
เป็นเครือครุฑยุดนาคดูเฉิดฉิน |
ภูษาทรงพื้นแดงแย่งทรงข้าวบิณฑ์ |
ดูงามสิ้นสมศักดิ์กษัตรา |
พลายงามก็กรายเข้าซ้ายองค์ |
ขุนแผนแสนณรงค์เข้าเบื้องขวา |
หยิบเอาพระแสงวางข้างที่มา |
จนสิ้นราชสาตราจะรอนราญ |
แล้วสองนายเข้าประจำทั้งซ้ายขวา |
ดังพระยาสีหราชอาจหาญ |
ขุนแผนเป่ามนตร์ประทับขับกุมาร |
ผีก็คลานเคลื่อนตนลงพ้นองค์ |
ขุนแผนกระทืบเตียงทองร้องตวาด |
ด้วยอำนาจพระยาครุฑสุดเสียงส่ง |
ฝ่ายว่าท้าวเจ้าฟ้ามลาวงศ์ |
สะดุ้งองค์ตกประหม่าสง่าครุฑ |
ลืมพระเนตรเห็นไทยอยู่ในที่ |
พระอินทรีย์เสียวสั่นพรั่นที่สุด |
นึกมานะจะประจญรณยุทธ |
คว้าหาอาวุธไม่พบพาน |
ดังใครเอาตรีเพชรมาเด็ดเศียร |
พระทัยเจียนจะแยกแตกฉาน |
ชีวิตกูตกอยู่ในมือมาร |
ไม่ช้านานมันคงฆ่าชีวาวาย |
จะออกปากวอนง้อขอชีวิต |
ก็ละอายแก่จิตไม่คิดหมาย |
ลุกขึ้นนั่งนิ่งไม่ติงกาย |
มาดหมายว่าไม่มีชีวาคง ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เห็นเจ้าเชียงอินท์สิ้นคิดตะลึงหลง |
หากมานะนั่งนิ่งไม่ติงองค์ |
ขุนแผนส่งสุรเสียงประเปรี้ยงมา |
ฮ้าเฮ้ยพระยาปัจจามิตร |
ตัวเป็นคนพาลผิดริษยา |
องค์พระจอมมงกุฎอยุธยา |
มิได้มาย่ำยีเมืองเชียงอินท์ |
เจ้าฟ้าสัตนาคนหุต |
ถวายบุตรกรุงไทยดังใจถวิล |
ตัวกระทำจัญไรใจทมิฬ |
ออกชิงไว้ให้สิ้นเสียไมตรี |
ทั้งพวกไทยที่มารับก็จับจำ |
เฆี่ยนขับยับระยำจนป่นปี้ |
แล้วมีสารไปท้าถึงธานี |
ให้กรูกรีรี้พลมาชนช้าง |
ไม่เจียมตัวเป็นประจันตประเทศ |
ช่างโอหังบังเหตุเสียสิ้นอย่าง |
จึงตรัสใช้เราทหารแต่ปานกลาง |
ให้มาล้างชีวันให้บรรลัย |
อย่านั่งก้มหน้านิ่งไม่ติงกาย |
จะยอมตายฤๅจะคิดกลับจิตใหม่ |
แผ่นดินลาวนี้จะเห็นเป็นของใคร |
จะว่าไรว่ามาอย่านิ่งนาน ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ครั้นได้ฟัง |
อุระดังเพลิงไหม้ประลัยผลาญ |
สุดฤทธิที่จะคิดประจัญบาน |
ด้วยทหารกรุงไทยอยู่ใกล้ตน |
จะต่อตีก็ไม่มีอาวุธสู้ |
เป็นสุดรู้สุดฤทธิติดขัดสน |
จะผุดลุกหนีไปก็ไม่พ้น |
ให้อั้นอ้นจนจิตคิดเสียใจ |
กลัวตายคลายมานะละทิฐิ |
ดำริแล้วดำรัสตรัสปราศรัย |
นี่แน่ะท่านสองทหารอันชาญชัย |
ข้อยก็ได้พลั้งจิตผิดเสียแล้ว |
ถ้าท่านไว้ชีวิตคิดเมตตา |
จะเป็นข้าพระทูลกระหม่อมแก้ว |
สร้อยทองข้อยบ่ได้ไปวี่แวว |
มิได้แผ้วพานพ้องประเพณี |
จะอ่อนน้อมยอมถวายเจ้านายแล้ว |
ทั้งลูกแก้วเมียมิ่งมเหสี |
ทั้งเวียงชัยไพร่ฟ้าข้าบุรี |
ถวายไว้ใต้ธุลีพระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนกับพลายงาม |
ได้ฟังความเจ้าเชียงอินท์สิ้นกังขา |
เห็นเต็มหวั่นครั่นคร้ามความมรณา |
ก็รู้ว่ายอมตัวกลัวเป็นแท้ |
จึงตอบว่าวาจาของเจ้าตรัส |
ยังจะสัตย์สุจริตสนิทแน่ |
ฤๅเห็นเข้าที่คับจึงรับแพ้ |
แล้วจะเบือนเชือนแชดอกกระมัง ฯ |
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังจึงตอบถ้อย |
อันคำข้อยเว้าแล้วบ่ถอยหลัง |
ทุกสิ่งสิ้นสารพัดเป็นสัจจัง |
ชาติกษัตริย์ตรัสดังว่าช้างงา |
ถ้าขืนคดหดเหี้ยนเหมือนเศียรเต่า |
ขอให้เราสิ้นชีวังสังขาร์ |
แล้วทนทุกข์ท่วมหัวชั่วกัลปา |
ในมหาโลกันต์แต่วันตาย |
จะเชื่อคำข้าเฝ้าเหล่าลูกเมีย |
ยุให้เสียสุจริตอย่าคิดหมาย |
จะถือสัตย์ให้ตลอดจนวอดวาย |
ขอให้ท่านสองนายจงวางใจ ฯ |
๏ ขุนแผนฟังท้าวเจ้าเชียงอินท์ |
ให้ความสัตย์สมถวิลสิ้นสงสัย |
ทั้งสองนายคลายขู่ลงทันใด |
เข้านั่งใกล้แล้วกล่าววาจาพลัน |
ถ้าเที่ยงตรงคงสัตย์ปฏิญญาณ |
ซึ่งโทษท่านนั้นไว้ให้หม่อมฉัน |
จะเบี่ยงบ่ายทูลองค์พระทรงธรรม์ |
มิให้ท่านอันตรายวายชีวิต |
แล้วพ่อลูกก็ถวายพระแสงคืน |
จงชูชื่นเถิดอย่าช้ำระกำจิต |
จะทูลลาพระองค์ผู้ทรงฤทธิ |
คืนไปที่สถิตกองทัพไทย ฯ |
๏ เจ้าเชียงอินท์คำนับรับพระแสง |
พระพักตร์แดงมัวหมองค่อยผ่องใส |
ถ้าแม้นท่านเมตตาเหมือนว่าไว้ |
ก็จะรอดบรรลัยด้วยสองนาย |
ขอมอบชีวิตไว้ที่ในท่าน |
ช่วยโปรดปรานเพ็ดทูลขยับขยาย |
ให้พระองค์ทรงโปรดโทษเคลื่อนคลาย |
จะเป็นตายก็เพราะท่านกรุณา ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม |
กับลูกชายพลายงามงามสง่า |
ได้ฟังเจ้าธานีมีเมตตา |
จึงตอบว่าอย่าแหนงแคลงพระทัย |
ที่ทูลรับกับท่านนั้นทุกสิ่ง |
เป็นคำจริงหามีมุสาไม่ |
แม้นพระองค์คงสัตย์เหมือนตรัสไว้ |
คงมิให้ตัวท่านอันตราย |
ทั้งสองคนพ่อลูกขอษมา |
แล้วลุกลาจรจรัลผันผาย |
ลงจากปรางค์ย่างเยื้องชำเลืองกาย |
กระซิบสั่งโหงพรายกุมารทอง |
เอ็งจงอยู่ดูปรางค์อย่าห่างไกล |
ประจำเจ้าเชียงใหม่อยู่ในห้อง |
สะกดตามทุกรอยคอยสอดมอง |
เธอจะตรองอย่างไรก็ให้รู้ |
ลูกเมียมาตะบอยอ้อยอิ่ง |
เธอตรงไว้ไม่ประวิงให้นิ่งอยู่ |
ถ้าเชื่อเมียเสียสัตย์เป็นศัตรู |
เอ็งรีบออกไปบอกกูอย่านอนใจ |
สั่งพลางทางแก้สะกดคน |
ล่องหนออกทางช่องลูกดาลไข |
ขุนแผนพลายงามตามกันไป |
ถึงกองทัพไทยมิได้ช้า ฯ |
๏ เดินยิ้มเข้าในค่ายไปนั่งลง |
พระท้ายน้ำกำกงพวกอาสา |
ทั้งพวกไพร่ทั้งหลายเห็นนายมา |
ต่างวันทาไต่ถามความณรงค์ |
ขุนแผนเล่าแจ้งแถลงความ |
ที่ไปกับพลายงามตามประสงค์ |
ลอบสะกดเข้าได้จนใกล้องค์ |
แล้วปลุกขึ้นจะปลงชีวิตท้าว |
เธอตกใจจวนตัวกลัวความตาย |
ยอมถวายสร้อยทองกับลูกสาว |
ทั้งเสนาข้าแผ่นดินสิ้นเมืองลาว |
ทั้งไพร่เจ้าเมียมิ่งแลศฤงคาร |
ตัวเธอก็ลงถ่อมยอมเป็นข้า |
ขอขึ้นอยุธยามหาสถาน |
ขอแต่อย่าให้ตายวายปราณ |
ได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้แน่นอน ฯ |
๏ พวกนายไพร่ได้ฟังขุนแผนว่า |
ทั้งไทยลาวราวจะพากันบินร่อน |
เสร็จศึกเชียงอินท์สิ้นทุกข์ร้อน |
จะร้องละครไปบ้านสำราญใจ |
ทั้งนายไพร่พูดจ้อหัวร่อร่า |
จนเวลาจวบจวนประจุสมัย |
ขุนแผนกับพลายงามผู้ทรามวัย |
ก็เข้าในที่สถิตแล้วนิทรา ฯ |
๏ ครั้นอุทัยไขประเทืองเรืองรุ่งราง |
ส่องสว่างทั่วทศทิศา |
ฝ่ายพระจอมเชียงอินท์ปิ่นนครา |
เสด็จมาที่สถิตพระเทพี |
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ |
แล้วดำรัสบอกมิ่งมเหสี |
พี่นอนหลับใหลในราตรี |
ไพรีเข้ามาได้จนใกล้กาย |
ครั้นสะดุ้งจิตฟื้นตื่นผวา |
คว้าหาอาวุธก็สูญหาย |
จะแล่นหนีปัจจามิตรก็คิดอาย |
จึงถวายกรุงลาวกับชาวไทย |
ทั้งองค์นางสร้อยทองของสำคัญ |
พระสนมกำนัลทั้งน้อยใหญ่ |
ทั้งเจ้าข้อยสร้อยฟ้าข้าเวียงชัย |
ถวายไว้ใต้เบื้องบทมาลย์ |
พี่ยอมน้อมคำนับรับความผิด |
ขอแต่ชีวิตอย่าสังหาร |
จะถวายสุวรรณบรรณาการ |
ได้ให้สัตย์ปฏิญาณทุกสิ่งไป |
ก็ขอบใจไพรีที่เข้ามา |
เราสัญญาเขาก็กลับไปทัพใหญ่ |
ดวงจิตรเจ้าอย่าคิดเสียน้ำใจ |
เพราะมีกรรมทำไว้แต่ก่อนมา ฯ |
๏ ครานั้นนางอัปสรมารศรี |
ได้สดับคดีที่ผัวว่า |
ดังพระกาลจะผลาญให้มรณา |
ก็โศกาข้อนทรวงเข้าร่ำไร |
เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของเมียแก้ว |
ได้ทูลแล้วหาฟังคำเมียไม่ |
เพราะรู้แน่แท้เที่ยงจะเกิดภัย |
แต่แรกไทยยกมาถึงธานี |
สะกดคุกลักคนปล้นช้างม้า |
เข่นฆ่าผู้คนเสียป่นปี้ |
เพียงคนสามสิบห้ามาเท่านี้ |
แม้นไม่ดีฤๅจะหาญมาราญรอน |
เสนาห้านายไปรบมัน |
ก็แตกตายก่ายทับเป็นไม้ท่อน |
ทั้งทัพผีก็หนีเข้าซอกซอน |
แต่ภูธรดื้อดึงตะบึงไป |
แม้นพระองค์ทรงฤทธิคิดปรองดอง |
ส่งสร้อยทองคืนเสียไปเกลี่ยไกล่ |
กองทัพก็จะกลับไปกรุงไทย |
เชียงใหม่จะดำรงคงจำเริญ |
แต่นี้ไปไหนจะพ้นความฉิบหาย |
ถึงไม่ตายก็จะตกระหกระเหิน |
ฝูงประชาก็ซ้ำระยำเยิน |
ต้องเป็นทุกข์ฉุกเฉินทั้งไพร่นาย |
เหมือนปางหลังครั้งเรื่องนางสีดา |
เกิดมาล้างลงกาให้ฉิบหาย |
ทศพักตร์รักหลงให้วงศ์วาย |
ต้องฆ่าฟันกันตายลงก่ายกอง |
นางมณโฑทูลทัดท้าวขัดเคือง |
จึงบรรลัยไพร่เมืองได้หม่นหมอง |
เหมือนครั้งนี้พระองค์หลงสร้อยทอง |
จึงได้พาพวกพ้องต้องบรรลัย |
นางสร้อยทองก็ทำนองนางสีดา |
เกิดมาล้างผลาญเมืองเชียงใหม่ |
ครั้นเมียห้ามก็ว่าหึงจึงจนใจ |
ร่ำพลางสะอื้นไห้ไม่สมประดี ฯ |
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังนางอัปสร |
ให้เร่าร้อนฤทัยดังไฟจี้ |
จึงดำรัสตรัสตอบพระเทพี |
จะขืนเฝ้าเซ้าซี้ไปทำไม |
ใช่พะวงหลงรักนางสร้อยทอง |
เพราะเคืองข้องเวียงจันทน์นั้นข้อใหญ่ |
ไม่เกรงขามข้ามหน้าไปหาไทย |
เราจึงชิงนางไว้ในพารา |
ถ้าแม้นพี่สมัครรักจริง |
ไหนจะนิ่งเสียไม่ร่วมเสนหา |
เป็นกึ่งปีพี่มิได้จะไปมา |
นิจจาเจ้าเฝ้าว่าให้ช้ำใจ |
ก็รู้ว่าธานีจะมีทัพ |
รบรับหมายจะสู้ศัตรูได้ |
เหมือนเขาเล่นการพนันกันอึงไป |
จะใคร่ดีมีชัยจึงเล่นกัน |
ไม่สมมาดคาดผิดก็แพ้เขา |
จะขืนเฝ้าเสียดแทงมาแกล้งกลั่น |
ไหนไหนก็ได้พลั้งยั้งไม่ทัน |
จะโศกศัลย์เสียเปล่าไม่เข้าการ |
ถ้าร้องร่ำน้ำตาเป็นโลหิต |
ความผิดก็ไม่คลายหายร้าวฉาน |
จะถึงเข็ญมันก็เป็นไปตามกาล |
ถึงที่ตายวายปราณก็คงตาย ฯ |
๏ ตรัสเสร็จเสด็จออกข้างฝ่ายหน้า |
พร้อมเหล่าท้าวพระยาสิ้นทั้งหลาย |
จึงตรัสเล่าอนุสนธิ์ต้นปลาย |
ซึ่งถวายเมืองขึ้นกับกรุงไทย |
สูไปบอกนายไพร่ให้มันรู้ |
ให้รื้อค่ายเปิดประตูเมืองเชียงใหม่ |
ปืนล้อลากกลับเข้าโรงใน |
แล้วเลิกไล่คนออกเสียนอกวัง |
ท้องสนามปราบปรามให้ราบเรียบ |
ปลูกทำเนียบขึ้นให้ดียี่สิบหลัง |
ทำหอกลางขวางรีมีฝาบัง |
ไม้ไผ่ตั้งเรียงรำทำรั้วราย |
สนามเล่นต่างต่างวิ่งช้างม้า |
เป็นข้างหน้าข้างในให้เฉิดฉาย |
เอาผ้าขาวดาดเพดานผูกม่านราย |
แล้วไปเชิญสองนายกับไพร่มา ฯ |
๏ ครานั้นพระยาจันทรังสี |
ได้สดับรับคดีใส่เกศา |
ถอยหลังลนลานคลานออกมา |
สั่งเสนาหลายนายแยกย้ายไป |
บ้างเก็บงำปืนผาเลิกหน้าที่ |
เปิดประตูบุรีอยู่ขวักไขว่ |
ปล่อยประชาชาวนอกให้ออกไป |
ข้างในทำทำเนียบเทียบที่ทาง |
ปลูกเรือนขวางรียี่สิบหลัง |
ระเนียดบังล้อมไว้ให้ใหญ่กว้าง |
ทั้งปลูกโรงน้อยใหญ่ไว้ม้าช้าง |
ถากถางที่ปราบราบรื่นไป |
แล้วบัญชาสั่งเสียพวกเพี้ยกวาน |
ให้ไปเชิญสองท่านเม่ทัพใหญ่ |
เข้ามาอยู่ที่เทียบทำเนียบใน |
ทั้งนายไพร่ไทยลาวชาวเวียงจันทน์ ฯ |
๏ ท้าวหนูผู้เถ้าเหล่าเพี้ยกวาน |
จัดเอาคานหามมาขมีขมัน |
ถึงกองทัพไทยเข้าไปพลัน |
อภิวันท์อัญเชิญทั้งสองนาย |
ว่าพระจอมเชียงอินท์ปิ่นไอศวรรย์ |
ให้มาเชิญสองทั่นนั้นผันผาย |
กับทหารลาวไทยทั้งไพร่นาย |
เข้าไปพักให้สบายในบุรี ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท |
เรืองฤทธิแรงราวกับราชสีห์ |
เห็นเพี้ยกวานคลานมาอัญชลี |
เชิญเข้าไปอยู่ที่ทำเนียบใน |
ชวนเจ้าพลายท้ายน้ำกึงกำกง |
กับอาสาจัตุรงค์ทั้งนายไพร่ |
แล้วขุนแผนนำหน้าคลาไคล |
ขึ้นนั่งในคานหามมาสามนาย |
กำกงขี้ม้ามาข้างหลัง |
สะพรั่งพร้อมโยธามาทั้งหลาย |
ครั้นถึงที่ทำเนียบเขาเรียบราย |
ทั้งนายไพร่ก็เข้าพักสำนักใน |
ออกสะพรั่งนั่งนอนสลอนหลาม |
อยู่กันตามตำแหน่งผู้น้อยใหญ่ |
วิเสทแต่งเครื่องเทียบเพียบไป |
เลี้ยงกองทัพไทยทุกเพลา ฯ |