ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม

๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง ความสมัครรักนางให้ป่วนปั่น
แต่เวียนคิดถึงพิมนิ่มนวลจันทร์ ตั้งแต่วันฟังเทศน์ไม่บรรเทา
เช้าเย็นเป็นทุกข์ทุกเวลา ไม่เห็นหน้าพิมน้อยก็สร้อยเศร้า
นอนหลับกลับเพ้อละเมอเมา จนล่วงเข้าปลายเดือนไม่เคลื่อนคลา
ให้รุ่มร้อนนอนนั่งไม่เป็นสุข หลับแล้วรื้อลุกขึ้นมืดหน้า
กอดหมอนนอนซึมไม่ลืมตา ข้าวปลาไม่นึกจะอยากกิน
อดเปรี้ยวอดหวานไม่พานไส้ อกใจตึกตึกนึกถวิล
ใครพูดจาว่าไรไม่ได้ยิน มัวถวิลถึงเจ้าพิมพิลาไลย
ข้าไทในเรือนก็เกลื่อนกลาด หาอาจรอหน้าเข้ามาไม่
อีกริมยืนยิ้มอยู่บันได วันนั้นพอใกล้จะรุ่งราง
เจ้าขุนช้างวุ่นวายอยู่ในห้อง เยี่ยมหน้าต่างมองเมื่อจวนสว่าง
แว่วว่าเสียงพิมนิ่มนาง จึงเยื้องย่างเปิดประตูมาดูพลัน
เหลียวแลมองเขม้นไม่เห็นใคร ก็หวนกลับเข้าในที่นอนนั่น
เรียกเจ้าพิมนิ่มเนื้อดังเจือจันทน์ อีกริมคิดว่าเรียกมันขานเข้ามา
เจ้าขุนช้างดีใจได้ยินขาน เสียงหวานจับใจเป็นหนักหนา
จัดแจงแต่งตัวยังมัวตา อีกริมคลานเข้ามาจนข้างมุ้ง
ขุนช้างกอดคอหัวร่อร่า แม่เอ๋ยทำไมมาจนจวนรุ่ง
กอดจูบลูบท้องประคองพุง จะสะดุ้งกระเดื่องดิ้นไปทำไม
อีกริมดีใจว่านายรัก หาพลิกผลักพูดจาอย่างไรไม่
พลอยพริ้งนิ่งแน่ให้ตามใจ ขุนช้างโลมไล้อยู่ไปมา
ฟอนเฟ้นเน้นนมชมสำราญ เห็นย้อยยานยื่นยาวเป็นหนักหนา
ผิดพิมนิ่มน้องที่ต้องตา ยุดถามใครหวามาแปลกปลอม
อีกริมฟังนายสบายยิ้ม ฉันเองอีกริมเจ้าคะหม่อม
เรียกฉันเข้ามาแล้วว่าปลอม ครั้นมิยอมกลัวหม่อมพาโลตี
ขุนช้างนิ่งอึ้งไม่เจรจา มันขะเรอเก้อขะรากะไรนี่
เรียกพิมได้อีกริมมาทันที มันก็ดีครันครันถลันมา
กูเรียกพิมอีกริมมึงรับขาน กำลังพล่านกูไม่ทันได้ดูหน้า
มึงก็มีดอยู่ในเรือนเหมือนกับพร้า เลยไขว่คว้าเคล้าคลึงจนถึงใจ
อัศจรรย์ลั่นเลือนในคงคา เภตราละลอกกระฉอกไหว
ฟูมฝั่งกระทั่งฝาซ่าเซ็นไป ไหลเหลิงดาดฟ้าลงมาริม
ขุนช้างเพลิดเพลินเจริญใจ หยอกเย้าเคล้าไปกระหยิ่มกริ่ม
ตั้งจิตรคิดเอาว่าเจ้าพิม นอนยิ้มอยู่ในมุ้งจนรุ่งราง ฯ
๏ ขุนช้างย่างออกมานอกห้อง ย่องมาล้างหน้าที่หน้าต่าง
อีกริมยิ้มหยิบพานหมากวาง ขุนช้างพลุ่งพล่านรำคาญใจ
อมหมากปากอ้าคาลูกคาง คะนึงนางพลางตะลึงหลงใหล
ออกจากเรือนพลันทันใด เข้าไปกราบไหว้แม่เทพทอง ฯ
๏ ครานั้นเทพทองผู้มารดา เห็นหน้าขุนช้างนั้นมัวหมอง
กิริยาจริตผิดทำนอง ยกสองมือลูบเจ้าขุนช้าง
หน้าคล้ำดำสิ้นดังมินหม้อ ขี้ไคลท่วมคอดูผิดอย่าง
เอวไหล่ไผ่ผอมจนย่อมบาง บอกมาอย่าพรางแก่มารดา
ทุกข์โศกโรคร้อนประการใด เจ้าจึงหม่นหมองไปเป็นหนักหนา
ถามไถ่ก็ไม่ใคร่จะพูดจา ฤๅปวดหัวมัวตาประการใด ฯ
๏ ครานั้นขุนช้างฟังแม่ถาม จะบอกความมิใคร่จะบอกได้
กลุ้มกลัดอัดอั้นให้ตันใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นโฮ
มือเช็ดน้ำตาแล้วว่าพลาง ทุกข์ของลูกช้างนี้อักโข
อกลูกเป็นหนองพองกะโต เหมือนใครโค่นต้นโพธิ์ลงทับกาย
ดังกระดูกลูกแตกแหลกละเอียด เคร่งเครียดร้อยปีไม่มีหาย
ยิ่งหนักลงเห็นคงตัวจะตาย จะช่วยรอดปลอดดายแต่มารดา
แก่นแก้วตายแล้วไม่มีสุข ทุกข์ถึงเมียรักเป็นหนักหนา
เช้าค่ำพร่ำกินแต่น้ำตา เป็นหม้ายทรมามากว่าปี
เงินทองกองเกลื่อนอยู่มากมาย จะหายฤๅจะอยู่ไม่รู้ที่
จะตรวจตราว่าไปทำไมมี เมื่อขัดสนคนที่จะครอบครอง
หญิงอื่นหมื่นแสนลูกไม่เห็น ใครจะเป็นแม่เรือนอยู่ร่วมห้อง
จะช่วยรักษาทรัพย์ประคับประคอง ลูกเที่ยวท่องดูทั่วทั้งสุพรรณ
เห็นแต่นางพิมพิลาไลย อยู่เรือนใหญ่บ้านท่าพี่เลี้ยงนั่น
นางเป็นลูกยายศรีประจัน รักกันกับข้ามาช้านาน
รบให้ไปขอเป็นหอห้อง ครั้นมีท้องก็จะอายแก่เพื่อนบ้าน
เร่งเร้าเช้าค่ำลูกรำคาญ แสนสงสารสุดที่จะทำวน
แม่จงปรานีกับลูกช้าง ไปขอนางเป็นทีดูสักหน
ถ้าหม่อมแม่ของหล่อนไม่ผ่อนปรน ลูกจะพาพิมด้นมาจากเรือน
ถ้ายินยอมพร้อมใจให้ปัน ทุนสินกองกันไม่อายเพื่อน
ได้สัญญามาแน่ไม่แชเชือน ในเดือนนี้ขึ้นค่ำเป็นวันดี
ต้องเอกะปาสังเป็นอย่างเอก ลูกจะเสกขี้ผึ้งให้แม่สี
แม่จงเมตตาปรานี วันนี้วันดีแม่จงไป ฯ
๏ ครานั้นเทพทองผู้มารดา ฟังขุนช้างว่าหาเชื่อไม่
ตอบคำลูกพลันทันใด ออพิมพิลาไลยเขารูปงาม
ล้ำคนในสุพรรณภารา รูปเอ็งเหมือนผ้าละว้าย่าม
จะเสียแรงไปว่าพยายาม แม่จะเปรียบเนื้อความให้เข้าใจ
นางพิมพริ้มเพราดังจันทรา เอ็งเหมือนเต่านาอยู่ต่ำใต้
อยากได้ดวงจันทร์สวรรค์ไกล เห็นจะได้แล้วฤๅนะลูกอา
เงินทองกองไว้ทำไมเปล่า ช่วยเอาเถิดลูกฟังแม่ว่า
เข้าไปในกรุงอยุธยา เลือกหางามงามเอาตามใจ
ให้รูปร่างบางแบบดังกินนร อย่าทุกข์ร้อนคงคัดเอาดีได้
เงินทองมีมากยากอะไร งอนง้อขอเขาไยไม่ต้องการ
แล้วก็เป็นเพื่อนเล่นเห็นกันมา เมื่อยังเด็กมันด่าเอ็งฉาดฉาน
คารมข่มขู่กูรำคาญ ผุดขึ้นก็หัวล้านทุกคราวคำ ฯ
๏ ขุนช้างตอบว่าเป็นเมียผัว ไม่กลัวฤๅจะมาด่าเล่นพลํ่าพลํ่า
เป็นเด็กอยู่กูเอ็งไม่เกรงยำ เล่นทำตามประสายังทารก
หนุ่มสาวคราวมีมารยาท ได้สมพาสอิงแอบอยู่แนบอก
ความรักความกลัวที่ชั่วยก จะวิตกข้อนั้นไปไยมี
สงสารเจ้าพิมพิลาไลย ได้สัญญาว่าไว้เป็นถ้วนถี่
ลูกรับคำมาเหมือนพาที ว่าในสามราตรีจะแต่งไป
นางพิมว่าถ้าลูกไม่ไปขอ จะผูกคอตายเสียหาอยู่ไม่
ลูกรักได้ว่าถ้าบรรลัย อย่าสงสัยว่าลูกจะเป็นคน
มีดพร้าจะผ่ากระบานหัว เนื้อตัวสับเสี่ยงให้ปี้ป่น
แม่ไม่ปรานีทีนี้จน ไม่รู้จะผ่อนปรนไปพึ่งใคร
ยกตีนของแม่ขึ้นทูนหัว กลิ้งเกลือกเสือกตัวแล้วร้องไห้
มือชกหัวล้านซมซานไป น้ำตาหลั่งไหลออกนองตา ฯ
๏ ฝ่ายยายเทพทองร้องตวาด อ้ายนอกครูอุบาทว์ไม่ฟังว่า
โกหกยกคอเจรจา ว่าเป็นชู้สู่หามารํ่าไร
ไม่คิดเจียมตัวอ้ายหัวพรุน รูปเป็นกระชุนุ่นน่ารักใคร่
กูไม่เห็นใครเขาจะชอบใจ นางพิมพิลาไลยเขาโสภา
อกเอวอ้อนแอ้นแม้นกินนร ฤๅจะมาสมจรกับหมูหมา
ให้เพื่อนบ้านติฉินนินทา มึงช่างมุสาแต่โดยเดา
กูไม่อยากจะเดินไปให้เหนื่อย เมื่อยหัวแม่ตีนเสียเปล่าเปล่า
ทำร้องไห้เซ้าซี้อ้ายขี้เค้า ไปเรือนไปเหย้าให้พ้นกู ฯ
๏ ครานั้นขุนช้างเห็นแม่ด่า ก็ลุกกลับออกมาไม่หยุดอยู่
ถึงเรือนเข้าไปในประตู เปิดมุ้งคุดคู้เข้าที่นอน
โอ้ว่าพิมนิ่มนวลของช้างเอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้เคียงอยู่เรียงหมอน
อกใจดังไฟเข้าฟอกฟอน พี่จะข้อนตัวตายไม่วายครวญ
รักใครไม่เหมือนพี่รักพิม เจ้างามพริ้มงามดีงามถี่ถ้วน
งามรูปงามจริตกระบิดกระบวน งามล้วนขำคมเจ้าสมงาม
รูปตัวช่างชั่วกะไรเลย ขุนช้างเอ๋ยเลี่ยนโล่งดังโขลงข้าม
ถ้ากูพบฤๅษีชีพราหมณ์ จะชุบให้เหมือนพระรามธเรศตรี
กรีดกรายชายไปให้เห็นหน้า สีดาก็จะพวยมาด้วยพี่
นี่เนื้อตัวชั่วช้าเป็นราคี ไม่มีดีสารพัดขัดระยำ
ลดเลี้ยวเกี้ยวใครก็ไม่เป็น สร้างล่ำมาเล่นแต่รายปล้ำ
กูจะนิ่งทรมาทารกรรม นอนคว่ำอยู่ไยไม่ต้องการ
ตะวันบ่ายชายแสงทินกร พิมพี่ก็จะจรออกจากบ้าน
กับข้าไทเล่นน้ำอยู่สำราญ กูจะพาบริวารกูลงไป
เดชะบุญขุนช้างสร้างกุศล พอจะคิดติดสินบนใครเข้าได้
เก้าชั่งสิบชั่งช่างเป็นไร นีตเน้นเข้าไปคงได้การ
คิดแล้วเท่านั้นมิทันช้า ลุกแหงนดูฟ้าอยู่งุ่นง่าน
อุแม่เจ้ากูตายบ่ายพอการ เรียกข้าคนลนลานมาหลายคน
หยิบถุงใส่เงินตราเข้าห้าชั่ง ผุดลุกผุดนั่งอยู่สับสน
นุ่งยกห่มส่านเข้าลานลน น้ำมันจันทน์ทาตนให้หอมฟุ้ง
เข็มขัดรัดเอวดูพลุ่มผลุ อลุฉุไม่สมกับผ้านุ่ง
ขนอกรกเต็มตลอดพุง มุมุ่งด่วนเดินลงจากเรือน
บ่าวไพร่ตามหลังมาพรั่งพรู ขุนช้างเห็นคนดูอยู่กล่นเกลื่อน
ดุบ่าวตามนายทำกรายเชือน กูจะเฆี่ยนหลังเปื้อนระงมไป
ครั้นถึงท่าน้ำนางพิมอาบ ผินหน้ากระซิบกระซาบกับบ่าวไพร่
ให้แอบพุ่มซุ่มดูอยู่แต่ไกล เขามาอย่าให้เขาเห็นตัว
ขุนช้างแอบซุ้มพุ่มชิงชี่ ฉวยผ้าส่านคลี่ขึ้นพันหัว
คอยพิมหน้ากริ่มเป็นใบบัว ยิ้มหัวเบิกบานสำราญใจ ฯ
๏ ครานั้นนางพิมกับสายทอง อยู่ในห้องปักสะดึงกรึงไหม
ตะวันชายบ่ายแสงอโณทัย จะลงไปอาบน้ำด้วยทันที
พร้อมด้วยข้าไทอยู่ก่ายกอง กับนางสายทองผู้เป็นพี่
ถึงท่าผลัดผ้าด้วยยินดี ลงนํ้าแล้วก็สีซึ่งเหงื่อไคล
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเขียดชักชวนกันเล่นไล่
ใครจะซ่อนใครจะหาก็ว่าไป เปรียบหนีเปรียบไล่ให้อยู่โยง
ปะเปิงเลิงแมวแอวออก นอกซ่อนนางจันกระโต้งโห่ง
จำเพาะลงที่อีโคกโยกโก้งโค้ง กระโดดโผงลงน้ำดำผุดไป
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเขียดดำหนีอีโคกไล่
อีรักหนักท้องไม่ว่องไว อีโคกกระโชกใกล้เข้าทุกที
อ้ายโห้งโก้งโค้งอยู่กอแขม แพลมหัวปอหลอหัวร่อฉี่
ขุนช้างขัดใจเอาไม้ตี อ้ายโห้งจึงชี้ให้นายดู
นั่นแน่แม่พิมอยู่ริมตลิ่ง นมโตจริงจริงสีตัวอยู่
ขุนช้างด่ามึงอย่าว่าแม่ของกู อีปูแสมนั่นแหละของมึง
อ้ายโห้งฟังนายสบายจิตร ดีฉันคิดไว้แต่แรกลงมาถึง
ความรักไม่ชั่วจนตัวตึง ค่าตัวชั่งหนึ่งอีคนนี้
รูปราวกับตะโพนโผนลงน้ำ ฉันยักคิ้วเอาคว่ำไปเมื่อกี้
กลับพลิกหงายท้องขึ้นสองที เสน่ห์ของฉันมีครูให้มา
อีโคกกระโชกไล่อีรัก ฉวยขาคว้าชักเอาชายผ้า
จมน้ำดำฟอดกอดกันคา ผุดขึ้นมาตาเหลือกเสือกซวนไป
อีรักสำลักน้ำท่วมปาก รากน้ำออกมาสักชามใหญ่
ร้องด่าว่าอุบาทว์จะขาดใจ นอนไถลผ้านุ่งไม่ติดตัว
อายโห้งโก้งโค้งขึ้นตบมือ อออืออุแหม่แม่ทูนหัว
ราวกับปากปลาม้าดูน่ากลัว สั่นรัวหน้าแหงนชักแอ่นไป ฯ
๏ สายทองนางพิมอยูริมตลิ่ง หัวเราะล้มกลิ้งไม่ลุกได้
ขุนช้างทะยานงุ่นง่านใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้
ขุนช้างเห็นนมกลมตละปั้น มือคั้นหน้าแข้งยืนแยงแย่
โคลงตัวคลุกคลุกเหมือนตุ๊กแก สิแม่เอ๋ยวันนี้นี่กูตาย
นางพิมสายทองร้องเรียกข้า ไปเหวยไปวาตะวันบ่าย
ขึ้นมาผลัดผ้าทั้งบ่าวนาย นาดกรายตามกันเป็นหลั่นไป ฯ
๏ ขุนช้างออกจากพุ่มชิงชี่ บ่าวไพร่ตามมี่ทั้งน้อยใหญ่
ร่วมทางนางพิมที่จะไป เดินเรียงเคียงไหล่ยิ้มไปล่มา
สายทองนางพิมหลีกริมทาง ขุนช้างเดินเกินนางขึ้นมาหน้า
แกล้งอ่านเพลงยาวกล่าวกระทบมา โอ้ว่าดวงดอกฟ้ามณฑาธาร
อ้ายโห้งโก่งคอต่อกลอนนาย พี่เห็นเจ้าเข้าหมายว่าของหวาน
ดูกระเพื่อมตละเชื่อมซึ่งเต้าตาล ขุนช้างเดินผ่านพ้นนางไป
นางพิมโกรธาด่างุ่นง่าน แม่มึงอ้ายหัวล้านกระบานใส
แล้วเดินลัดมาบ้านเสียทันใด บ่าวไพร่ก็ตามมาถึงเรือน ฯ
๏ ฝ่ายขุนช้างออกไปไกลขอบรั้ว แสงแดดแผดหัวจนหน้าเฝื่อน
แกล้งชวนบ่าวข้าพาเที่ยวเชือน หลบเลื่อนไถลให้ช้าที
ครั้นนานประมาณสักครู่หนึ่ง จึงห้ามบ่าวไพร่มิให้มี่
เดินเป็นระเบียบเรียบร้อยดี เข้าบ้านท่านศรีประจันพลัน
หยุดอยู่ที่ประตูแล้วถามหา อีบ่าวบอกว่าท่านอยู่นั่น
แน่ข้ามาหาเมตตากัน บอกคุณแม่ศรีประจันว่าเรามา
อีพวกข้ารับคำขุนช้างไป ถึงบันไดก็ขึ้นบนเคหา
นั่งลงเล่าความตามกิจจา ว่าขุนช้างเขามาหาคุณนาย ฯ
๏ ศรีประจันครั้นเยี่ยมที่หน้าต่าง แลเห็นขุนช้างก็ใจหาย
เหงื่อไหลอาบมาหน้าผากพราย ทั้งแดดนายไยฝ่ามาดังนี้
ร้องเกริ่นเชิญคะขึ้นมาเรือน ช่างทนแดดแผดเผื่อนเหงื่อไหลรี่
ลูบตัวเถิดขาน้ำท่ามี เรียกข้าด่ามี่สับสนไป
ขุนช้างย่างขึ้นบนนอกชาน คุกคลานเข้าไปในเรือนใหญ่
นั่งบนเสื่อพลันในทันใด ยกมือขึ้นไหว้ศรีประจัน
ท่านยายศรีประจันก็รับไหว้ แล้วบอกให้กินหมากขมีขมัน
กินหมากแล้วถามเนื้อความพลัน แดดนายร้อนครันไปไหนมา
ขุนช้างกะอักกะไอมิใคร่บอก อู้อี้ค่อยๆ ออกเนื้อความว่า
ลูกนี้ขัดสนพ้นปัญญา แล้วก้มหน้านิ่งอยู่ไม่พาที ฯ
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน เห็นขุนช้างขยั้นทำอู้อี้
จะใคร่ได้แจ้งแห่งคดี เซ้าซี้ซํ้าถามเนื้อความไป
อนุสนธิ์ทำวนสิ่งใดมี บอกแต่โดยดีอย่าสงสัย
เป็นคนกันเองอย่าเกรงใจ ต้องการอะไรพ่อจึงมา ฯ
๏ ขุนช้างหมอบชิดจนติดหมอน ว่าโปรดก่อนขอรับคุณแม่ขา
ลูกนี้ขัดสนพ้นปัญญา จะปรึกษาใครได้ก็ไม่มี
แก่นแก้วตายแล้วเป็นหลายเดือน เงินทองกองเกลื่อนไม่เป็นที่
มันลักฉกฉวยไปใช่พอดี ตาเดียวเท่านี้ไม่ดูทัน
วันนี้ก็หายไปหลายชั่ง แต่มิใช่เงินฝังเงินกำปั่น
หักกุญแจเข้าง้างเอากลางวัน ผ้าผ่อนสารพันลักเนืองไป
ถ้ามีใครรับจะปกครอง ทรัพย์สินเงินทองทั้งปวงได้
จะยกให้ไร่นาทั้งข้าไท มอบเหย้าเรือนให้เป็นแม่เรือน
แม่หม้ายร้ายทานก็ไม่ว่า แต่พอมีกิริยาไม่อายเพื่อน
ช่วยเก็บช่วยชักช่วยตักเตือน แต่พอเหมือนแม่พิมพิลาไลย ฯ
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ฟังขุนช้างรำพันไม่นิ่งได้
คิดโลภขึ้นมาว่าออกไป มีเงินเหตุใดจะไร้ทอง
พอเลือกคัดจัดหาที่ดีดี ถ้วนถี่รู้เก็บซึ่งข้าวของ
รู้การรอบคอบครอบครอง ปกป้องข้าไททั้งไร่นา
เหมือนอย่างพ่อช้างอย่างนี้นี่ พอจะหาเมียดีได้สมหน้า
ไม่อายแขกไทยที่ไปมา เจรจาอ่อนหวานการผู้ดี
เสมอทั้งสองราบรรดาศักดิ์ รู้ปักเย็บกรองให้ต้องที่
จะเลือกสรรในสุพรรณบุรี เห็นไม่มีใครเสมอกับพ่อช้าง
ที่จริงออพิมพิลาไลย พอจะเป็นผู้ใหญ่ก็ได้บ้าง
แต่พอเพียงสถานปานกลาง ไม่เหมือนอย่างในศรีอยุธยา ฯ
๏ ขุนช้างฟังว่าบานหน้ายิ้ม อันจะหาเหมือนแม่พิมนั้นเหลือหา
ลูกคิดเป็นนิจทุกเวลา จะให้มาว่าเป็นไมตรี
ครั้นหารือกับแม่เทพทอง จะรับคำปรองดองก็ใช่ที่
มิใช่อื่นไกลเห็นไม่ดี ด้วยเล่นกันแต่ก่อนกี้เหมือนพี่น้อง
เมื่อปลงศพบิดาหารือกัน จะให้เด็กผูกพันเป็นหอห้อง
กลัวแม่ข้างนี้มิปรองดอง ข้างแม่เทพทองจึงไม่มา
แม้นแม่มิโกรธถือโทษภัย จะหาท่านผู้ใหญ่ให้มาว่า
ยกทั้งวัวควายแลไร่นา ทั้งเงินทองเสื้อผ้าสารพัน ฯ
๏ ครานั้นนางพิมกับสายทอง ฟังอยู่ในห้องให้ป่วนปั่น
แค้นด้วยมารดาว่ากับมัน อ้ายหัวควั่นลวนลามหยามเต็มที
ทำเปิดหน้าต่างแล้วร้องไป อ้ายผลไปไหนมึงมานี่
อ้ายหัวล้านอกขนคนอัปรีย์ งานการยังมีไม่นำพา
ตาผลหัวล้านร้องขานนาย อะไรวุ่นวายหม่อมแม่ขา
ออกจากทับได้หัวใสมา ยกขาก้าวขึ้นบนบันได ฯ
๏ ขุนช้างได้ฟังนางพิมด่า คิดอายบ่าวข้าไม่ช้าได้
ลายายศรีประจันงกงันไป ย่างเท้าก้าวไวลงเรือนพลัน
ตาผลขึ้นมาคาบันได หลีกขุนช้างไปอยู่ตัวสั่น
ขุนช้างเงยหน้าเหลอเก้อยิงฟัน นานนานนะปะกันแต่สักครั้ง
ตาผลงันงกยกมือไหว้ บาปเพราะชนไก่แต่หนหลัง
ขุนช้างไขหูไม่อยู่ฟัง เก้กังหน้าเง้าเหย่าเหย่าไป ฯ
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยงอัสดงคด เลี้ยวลดลับเหลี่ยมขุนไศล
พระจันทร์เรืองอิทธิ์ฤทธิไกร สถิตในทิพรถอันรูจี
ประดับด้วยแสนสุรางค์นางสวรรค์ ชักรถผยองผันเร็วรี่
พลาหกผกเผ่นด้วยฤทธี เลี้ยวเหลี่ยมคิรียุคันธร
เปล่งแสงสว่างหล้าธาตรี ดิเรกดาราศรีสลับสลอน
บันดาลวงทรงกลดขจายจร งามบวรแสงจันทร์พรรณราย
พิมน้อยแสนละห้อยถึงพลายแก้ว ล่วงหลายวันแล้วไม่เห็นหาย
ครวญเคร่าเช้าคํ่าไม่กลํ้ากราย ปรึกษาสายทองพี่ผู้ปรีชา
เจ้าพลายแก้วไปแล้วหามาไม่ หลายวันหายไปไม่เห็นหน้า
น้องเสียใจครันที่สัญญา ความเดิมที่ว่าเห็นกลับกลาย
จะโทษแต่พี่ก็มิได้ โทษใจของน้องนี้มักง่าย
ไปเชื่อคำที่เพราะเราะราย ซ้ำหลงรูปเจ้าพลายจึงเสียรัก
ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรได้ เจ็บใจวิตกเพียงอกหัก
แม้นซื่อตรงคงเรื่องไม่เยื้องยัก คงเวียนมาให้ประจักษ์แก่น้ำใจ
ร้อนเย็นจะได้เป็นที่ปรึกษา เมื่อไม่มานี่จะทำไฉนได้
จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร พี่เห็นฤๅไม่พี่สายทอง
อ้ายขุนช้างมันกล้ามาหาแม่ ไชแชขอเล่นแต่คล่องคล่อง
กิริยาแม่ว่าเป็นปรองดอง ช่างโลภทรัพย์สิ่งของนี้สุดใจ
จะนิ่งดูอยู่ฉะนี้ฤๅพี่เอ๋ย อย่านึกเลยน้องหาอยู่เป็นคนไม่
พี่สายทองจะคิดประการใด บอกให้น้องแจ้งด้วยเถิดรา ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสายทอง ปลอบน้องกอดแอบแนบหน้า
ช้อนคางพลางช่วยเช็ดน้ำตา อย่าโศกายังไม่เกินกำหนดการ
เจ้าพลายหมายรักแม่พิมพี่ กว่าชีวีจะวายอวสาน
ใช่จะคิดลวงเล่นพอเป็นการ ปฏิญาณสัญญาไว้มากมาย
จะเมื่อยเหน็บเจ็บจุกประจุบัน ฤๅธุระสำคัญนั้นมากหลาย
ฤๅรู้ถึงสมภารท่านวุ่นวาย จึงสูญหายเงียบไปไม่เข้ามา
จะอาวรณ์ร้อนใจไปไยมี พรุ่งนี่พี่จะออกไปตามหา
ให้สิ้นแคลงแจ้งใจในกิจจา จะปรึกษาร้ายดีอย่าด่วนตรอม
แม้นอยู่ดีไม่มีภารธุระ พี่ปะแล้วจะพามาถนอม
จงเสื่อมสร่างกำสรดต้องอดออม จะผ่ายผอมผิดร่างแบบบางไป
ผัดหน้าไว้ท่าเจ้าพลายแก้ว คํ่าพรุ่งนี้แล้วจะหายไข้
ปลอบพลางโลมเล้าเอาใจ กระพือพัดวีให้เจ้าพิมนอน
พิมหลับกลับลุกมาจากห้อง สายทองเอนตัวลงกับหมอน
หลับสนิทนิทราให้อาวรณ์ พอแจ้งแสงทินกรขึ้นทันใด ฯ
๏ ครั้นสว่างกระจ่างแสงทินกร สายทองตื่นนอนหาช้าไม่
บ้วนปากล้างหน้าแล้วคลาไคล เข้าไปหาท่านศรีประจัน
นั่งลงเล่าไปมิได้ช้า คืนนี้ท่านขาแม่พิมฝัน
ประหลาดนักหนักใจฉันครันครัน เรื่องฝันเห็นร้ายไม่ไว้ใจ
ในฝันว่าไปนอนอยู่เรือนอื่น กลางคืนนอนหลับแล้วไฟไหม้
ยุบลงถึงดินสิ้นสูญไป เนื้อตัวถูกไฟออกพองพัง
ไม่รู้ว่าร้ายดีประการใด แม่พิมเศร้าใจเจียนจะคลั่ง
จะไปวัดป่าเลไลยจะใคร่ฟัง เล่าสิ้นเล่ายังกับสมภาร ฯ
๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ได้ฟังเล่าความฝันส่งเสียงฉาน
รีบไปไวไวอย่าได้นาน เล่าขานท่านให้แจงทั้งต้นปลาย
หมากพลูดูหาออพิมเอ๋ย ทั้งขนมนมเนยเอาไปถวาย
ส้มสูกลูกไม้ให้มากมาย จวนจะสายไปให้ทันท่านฉันข้าว
นางพิมยิ้มแต้แม่ไม่รู้ ปอกหมากพันพลูกระปรี้กระเปร่า
ขนมส้มใส่ลงไม่เบา ข้าวแกงแตงเต้าเอาแต่ดี
สายทองจากห้องไปอาบน้ำ ห่มผ้าแพรดำซับในสี
ลงจากเรือนพลันทันที ข้าไทตามรี่รีบเร่งมา ฯ
๏ ครั้นถึงวัดพลันทันใด ขึ้นบนกุฎีใหญ่ทั้งบ่าวข้า
กราบไหว้มิให้ใครสงกา แล้วว่ากับทาสาพวกข้าไท
เอ็งพากันไปที่วิหาร พิกุลบานหล่นอยู่เป็นไหนไหน
อีพวกข้าพากันไปทันใด สายทองเป็นผู้ใหญ่อยู่บนนั้น
ข้าวแกงแต่งตั้งทั้งของหวาน ถวายสมภารให้ท่านฉัน
หมากพลูบุหรี่ที่สำคัญ แกล้งกลั่นซ่อนไว้ให้เณรพลาย
ส้มสูกลูกไม้เป็นของแห้ง เณรแก้วจัดแจงเอาไปถวาย
สายทองคอยช่องดูแยบคาย สงฆ์ทั้งหลายนั่งฉันจังหันไป
ฉันแล้วต่างลุกไปในห้อง สายทองผู้มีอัชฌาสัย
เห็นลับคนดีไม่มีใคร จึงเข้าในห้องเณรด้วยฉับพลัน
ยื่นให้หมากพลูทั้งบุหรี่ แล้วเล่าคดีขมีขมัน
พิมน้อยคอยท่ามาหลายวัน โศกศัลย์หนักหนาด้วยปรารมภ์
คํ่าวันนี้สั่งให้เข้าไปหา แต่คอยคอยฟังมาไม่เห็นสม
ดูเป็นล่อแต่พอได้เชยชม จะทิ้งไว้ให้ตรมระกำตาย
พิมน้อยคิดแคลงแหนงใจอยู่ เท็จจริงมิได้รู้ซึ่งเงื่อนสาย
จึงใช้ให้มาหาพ่อเณรพลาย มีทุกข์โศกโรคร้ายประการใด
เมื่อกลางวันวานนี้ไปอาบนํ้า อ้ายขุนช้างระยำทำหยาบใหญ่
เดินแซงแข่งหน้าแม่พิมไป นางขัดใจด่าว่าสารพัน
แล้วมันมาหาท่านมารดา พูดจาลวนลามแต่ความขัน
เอื้อมขอต่อคุณแม่ศรีประจัน เห็นจะเป็นการมันทุกสิ่งไป
เพราะเหตุทั้งนี้ที่มีมา พิมจึงว่าสายทองไม่ทนได้
ว่าข้าสื่อชักทำหักใจ ชักให้เสียตัวด้วยเณรพลาย
สารพัดพูดแต่ดีถี่ถ้วน ดูกระบวนทีจะเลื่อมเสื่อมหาย
แกล้งทำให้ช้ำระกำตาย สงสารสุดที่สายสวาดิวอน
ไหนจะสงสารตัวนี้ชั่วแล้ว ไหนเณรแก้วจะคลายสโมสร
ไหนจะทุกข์ไปข้างหน้าอนาทร ไหนข่าวชั่วจะขจรกระจายไป
ไหนอ้ายขุนช้างมาขอสู่ เป็นไม่รู้ที่จะทำกะไรได้
เพื่อนรักหมายจักได้ร่วมใจ ก็ไม่ให้ปรึกษาเมื่อคราวจน
จึงให้ตามมาดูให้รู้เหตุ ด้วยสังเกตผิดเรื่องแต่เบื้องต้น
ซึ่งว่าไว้จะมิให้ได้อายคน จะคิดอ่านผ่อนปรนประการใด
จะสู้หน้าฤๅว่าเอาตัวรอด อย่าอิดออดบอกความแต่ใกล้ใกล้
พ่อเณรพลายก็สบายเพราะอยู่ไกล สายทองเจ็บใจด้วยชิดกัน
อุปมาเหมือนงาระคนถั่ว ประดังไฟใส่คั่วกระเบื้องนั่น
งาร้อนฤๅจะผ่อนให้ถั่วทัน พอถั่วสุกก็จะอันตรายงา
อยู่วัดเหมือนรำเล่นนอกม่าน อยู่บ้านเขาก็ใส่เอาแต่ข้า
จะคิดอ่านฉันใดให้ว่ามา สายแล้วจวนเวลาจะคลาไคล ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรพลาย ยิ้มพรายผันแปรแก้ไข
สารพัดสัตย์จริงทุกสิ่งไป ได้สัญญาว่าไว้กับพี่นาง
ว่าพิมนิ่มนวลกับสายทอง เป็นสองสุดสวาดิไม่แหห่าง
สู้ตายหมายจิตรไม่จืดจาง ซึ่งจะร้างแรมรักอย่ารำพึง
ช้าช้าว่ากันเถิดสายทอง นั่นก็พี่นี่ก็น้องอย่าควรขึ้ง
สงบความอย่าให้ลามเลื่องฦๅอึง ถ้ารู้ถึงหูคนจะแพร่งพราย
ทุกวันกระสันอยู่สุดจิตร รำพึงคิดคิดอยู่ไม่รู้หาย
กีดด้วยสมภารท่านวุ่นวาย ให้สาธยายรํ่าเรียนซึ่งวิชา
แต่กินข้าวเช้าแล้วจนดึกดื่น เที่ยงคืนสามยามไปกว่ากว่า
วันน้องไปหาเจ้าพิมมา ต้องตีด่าผูกมัดท่านตัดรอน
พี่สายทองต้องตีเพราะเณรน้อง ได้รับรองแล้วจงรับธุระก่อน
จะแทนคุณมิให้อนาทร ช่วยว่าวอนกับเจ้าพิมพิลาไลย
แต่พอว่างห่างตาท่านเจ้าคุณ ลงวันใดก็จะผลุนไปจนได้
ความสัตย์สารพัดมาแต่ไร อย่าได้แคลงคดจงจดจำ
ว่าพลางทางเป่าลมละลวย พี่สายทองจงช่วยอุปถัมภ์
เปรี้ยวปากฤๅกินหมากเสียสักคำ เสกซ้ำส่งไปให้ทันที ฯ
๏ สายทองรับหมากใส่ปากเคี้ยว กระสันเสียวสยองพองเกศี
ความรักเร็วแล่นแสนทวี เมื่อกระนี้แล้วมาตกแก่สายทอง
อีคนจนสำหรับทนแต่ฝ่ายทุกข์ คราวสนุกแล้วก็เงียบอยู่ในห้อง
ตัวข้าอุปมาเหมือนใบตอง ประคองห่อหุ้มขนมไว้
แก้สาดเสียสิ้นกินแต่ของ อันใบตองหาทะยาทะแยไม่
เป็นคนจนก็ต้องทนระกำไป มิให้สูญสิ้นทั้งสองรา ฯ
๏ ทำคุณไว้เถิดสีกาพี่ ชั่วดีคงจะเห็นไปภายหน้า
มิทีหนึ่งก็ทีหนึ่งนะสีกา จะออกปากชมว่าเจ้าเณรดี
ซึ่งข้อว่าคำก่อนจงผ่อนโกรธ ขอโทษเสียเถิดสีกาพี่
เวทนาสีกาทุกราตรี ไหนต้องตีขอเปิดผ้าห่มดู
สายทองอึดอัดทำขัดใจ นี่อะไรเจ้าเณรเถนตู้
มาฉกชักผ้าห่มชมชู นมจู้เจ้าเณรนี้ราคี ฯ
๏ ครานั้นเถรไทยไปถานมา ได้ยินเสียงสีกาอยู่อู้อี้
แอบฝาตามองตามช่องมี เห็นเย้ายีหยอกยุดผ้าห่มกัน
เอวกลมนมโตดูโอ่โถง อีตายโหงมาประเคนให้เณรฉัน
ออแก้วสามานย์ก็หาญครัน กลางวี่กลางวันไม่เกรงใคร
ซุกซนบนกะฏิริถาน กูจะบอกสมภารให้มาไล่
มองดูอยู่นานฟุ้งซ่านใจ เถรไทยกลัดกลุ้มเดินดุ่มมา
ครั้นถึงร้องตะโกนมาแต่ไกล เณรแก้วสีไฟพุทธิเจ้าข้า
เห็นพูดเซ้าซี้กับสีกา ฉวยผ้าห่มยุดฉุดชิงกัน ฯ
๏ สมภารได้ฟังเถรไทยว่า ขบเหงือกเหลือกตาโกรธตัวสั่น
ลุกฉวยไม้เท้าก้าวงกงัน ถลันรีบมาเปิดประตูโกรง
เณรแก้วสายทองทั้งสองคน จวนจนเข้าไปแอบอยู่ข้างโอ่ง
แกหวดด้วยไม้เท้าวิ่งตะโพง อ้ายตายโหงอีตายห่าด่าเกนเกน
สายทองลอดล่องมาลับตัว ท่านขรัวร้องเบื่อมันเหลือเถน
ปรนปรือทุกอย่างจนกลางเพล ฝ่ายเจ้าเณรวิ่งวนซุกซนไป
กระโดดลงหน้าต่างวางวิ่งโทง ผ้าผ่อนล่อนโล่งไม่ติดได้
สมภารค้นกุฎีไม่มีใคร ยังขัดใจบ่นบ้าด่าอึงมา
ทุดอ้ายเณรหน้าหมาสีกาผี โสโครกกุฎีกูหนักหนา
นั่งลงตำหมากทิ้งสากคา ตำพลางด่าว่าจนสาใจ ฯ
๏ สายทองลอดล่องหนีสมภาร ลนลานออกนอกกุฎีได้
เหลียวหาเณรพลายก็หายไป ไม่มีใครจะรู้ว่าร้ายดี
ถึงกลางวัดหยุดยืนจัดแจงตัว ด้วยความกลัวท่านสมภารจะรีบหนี
จึงร้องเรียกข้าไทไปทันที อีมีเร็วนะกูจะไป
อีพวกข้าได้ยินนายร้องเรียก จึงสำเหนียกถนัดไม่ช้าได้
เก็บพิกุลห่อผ้ามาทันใด บัดเดี๋ยวใจก็พร้อมกันฉับพลัน ฯ
๏ สายทองส่งกระทายให้บ่าวข้า อีมีรับมาขมีขมัน
รีบกลับไม่นานถึงบ้านพลัน ขึ้นเรือนศรีประจันแล้วยิ้มพราย
ศรีประจันครั้นเห็นสายทองมา เอ็งไปวัดกะไรช้ามาจนสาย
ไปไหนหน่อยแหละแฉะจะตาย ท่านขรัวทายร้ายดีประการใด
สายทองตอบคำของมารดา ช้าอยู่ด้วยท่านฉันจังหันได้
ต้องคอยท่านยถาเป็นเท่าไร ท่านไปถานเป็นนานจึงกลับมา
ท่านได้ทักทายข้อร้ายดี ว่าเคราะห์แม่พิมนี้เป็นหนักหนา
ระวังตัวกลัวภัยในสามเวลา พ้นนั้นท่านว่าสวัสดี
ว่าแล้วลุกลามาในห้อง แนบน้องพลางกระซิบว่าพิมพี่
เณรพลายสู้ตายด้วยพาที ให้สัญญาถ้วนถี่ที่จริงจัง
ถึงอย่างไรคงจะสึกซมมาหา ดาบจะล่อคอฆ่าไม่ถอยหลัง
ไม่ช้าคงจะมาเหมือนสัจจัง แม่จงฟังคำพี่อย่าเสียใจ ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว หนีสมภารไปแล้วไม่กลับได้
ยิ่งคิดเวียนวนให้จนใจ อยู่วัดป่าเลไลยก็ช้านาน
วิชาไม่ชำนาญเชี่ยวชาญแน่ ยังวัดแคนั้นว่าเยี่ยมเหี้ยมหาญ
แม่ทองประศรีบอกมาก็ช้านาน ว่าสมภารชื่อคงเป็นคนดี
อยู่สุพรรณแล้วให้ด้นไปค้นหา เพื่อนสนิทบิดาที่เป็นผี
ไปเรียนต่อพอจะได้ความรู้ดี แต่เป็นห่วงพิมพี่นี้สุดใจ
จะว่าเราหลบลี้หนีสัจจา จะสึกไปก็วิชาหาชะงัดไม่
ถึงรักสัตย์ต้องตัดความอาลัย คิดแล้วห่มสไบรีบเดินมา
ออกทุ่งมุ่งทางต้นไม้เสียด ถึงเพนียดเที่ยวด้นค้นถามหา
เขาชี้บอกเห็นวัดถนัดตา หมายศาลารีบตะบึงถึงวัดพลัน
พอเถรอ้นกวาดวัดอยู่คนเดียว เห็นเณรแก้วแกเหลียวขมีขมัน
ถามเถรเอ็นดูอย่าพรางกัน ท่านสมภารคงนั้นอยู่แห่งไร
เถรอ้นฟังคดีที่เณรถาม ไม่พรางความบอกที่แล้วชี้ให้
สามหลังกุฎีมีหอไตร เณรแก้วดีใจรีบไคลคลา
พอขรัวคงลุกออกมานอกชาน เณรแก้วกราบกรานเข้าไปหา
ท่านสมภารถามไปมิได้ช้า เอ็งไปไหนมาออเณรนี้
เณรแก้วตอบคำท่านขรัวไป ฉันคือบุตรขุนไกรที่เป็นผี
ชื่อว่าพลายแก้วผู้ภักดี ท่านทองประศรีเป็นมารดา
บอกไว้ให้มาหาพระอาจารย์ เณรหลานนี้จึงด้นค้นมาหา
เข้าสุพรรณดั้นถามเนื้อความมา จะขอเรียนวิชาสืบต่อไป ฯ
๏ ครานั้นท่านสมภารได้ฟังว่า อออือจริงหวาหาลืมไม่
กูชอบชิดเป็นมิตรกับขุนไกร ยังแค้นใจที่มันม้วยไม่ต่อมือ
โดยจะสิ้นความคิดวิทยา จะซานมาหากูไม่ได้ฤๅ
ถ้าใครกล้าตามมาไม่มีครือ จะฟันเสียให้ฦๅเป็นแทงลาว
ถึงยกทัพนับหมื่นเต็มพื้นภพ จะผูกผ้าพยนต์รบรับให้ฉาว
ไม่ทันล่วงราตรีให้หนีกราว กลัวจะยกธงขาวไม่ชิงชัย
กูคิดคิดเสียใจเป็นหนักหนา ดังเสียลูกตาขวาก็ว่าได้
รำพึงถึงมันทุกวันไป กูหมายใจฝากผีมันทีเดียว
แล้วเหลียวหน้ามาพิศดูพลายน้อย กะจ้อยร่อยดูไม่น่าจะอดเหนียว
กาญจน์บุรีกับสุพรรณไกลกันเจียว อุตส่าห์เที่ยวด้นป่ามาหากู
ทองประศรีอยู่ดีฤๅไฉน ต่างคนต่างไกลถิ่นฐานอยู่
เจ็บไข้สิ่งใดก็ไม่รู้ อยู่กับกูเถิดจะบอกซึ่งวิชา
กูเห็นแก่ขุนไกรที่ตายแล้ว อ้ายเณรแก้วนี่ก็เหมือนมันหนักหนา
อย่าอาวรณ์กูจะสอนสิ้นตำรา มิให้ฆ่าเหมือนพ่อของมึงนี้ ฯ
๏ เณรแก้วบอกท่านสมภารไป พ่อมิใช่สิ้นฤทธิ์คิดถอยหนี
หากรับสัตย์พระพิพัฒน์วารี ไม่ราคีคิดคดขบถใจ
สู้ยอมตายไว้ชื่อเชื้อทหาร มิให้พาลผิดเสียความสัตย์ได้
อาคมจึงเสื่อมทุกสิ่งไป ท่านไม่เลี้ยงแล้วก็ตามบุญ
ถ้าบิดาข้าคดต่อแผ่นดิน ละสัตย์เสียสิ้นก็จะวุ่น
เพราะฉะนั้นเขาจึงฟันเล่นเป็นจุณ พระคุณอย่าละเหี่ยเสียนํ้าใจ
อันซึ่งท่านแม่ทองประศรี ปีนี้ชราลงไหนไหน
แต่ไม่หลงกำลังยังว่องไว ไม่เจ็บไข้เป็นสุขสำราญดี ฯ
๏ สมภารได้ฟังเณรแก้วว่า อ่อชราลงครันฤๅทองประศรี
ไม่เห็นหน้ามาประมาณสักสิบปี เอ็งอยู่นี่กูจะสอนการณรงค์
ความสัตย์ต้องรักษาอย่าให้พลาด เพราะประมาทพ่อมึงจึงเป็นผง
เอ็งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเดินป่าดง จงไปอยู่กุฏิข้างหอกลางไป ฯ
๏ เณรแก้วรับคำแล้วอำลา บ่ายหน้าเข้าห้องหาช้าไม่
พร้อมทั้งเตียงหมอนที่นอนใน ยิ่งเศร้าใจถึงพิมผู้นิ่มนวล
ยิ่งเย็นยิ่งกระสันประหวั่นถึง นอนคะนึงอยู่ในห้องไม่หายหวน
พอสิ้นแสงสุริยาเวลาจวน อุตส่าห์ด่วนหมอบมองเข้าห้องใน
โบกปัดพัดวีพระอาจารย์ ให้สำราญรื่นจิตรพิสมัย
ปฏิบัติมิให้ขัดข้องเคืองใจ สมภารแนะนำให้ไม่ช้าการ
สะกดทัพจับพลทั้งปลุกผี ผูกพยนต์ฤทธีกำแหงหาญ
ปัถมังกำบังตนทนทาน สะเดาะดาลโซ่กุญแจประจักษ์ใจ
ทั้งพิชัยสงครามล้วนความรู้ อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไป ทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน
ชำนาญทั้งกลศึกลึกลับ คุมพลแม่ทัพนับตั้งแสน
สู้ศึกได้สิ้นทั้งดินแดน มหาละลวยสุดแสนเสน่ห์ดี
จังงังขลังคะนองล่องหน ฤทธิรณแรงราวกับราชสีห์
ถอนอาถรรพ์กันประกอบประกับมี เลี้ยงผีพรายกระซิบทุกสิ่งไป
วิชาสารพัดจะเรียนพร้อม ซักซ้อมท่องเล่าทั้งเก่าใหม่
แต่คะนึงถึงพิมมิได้ไป เพราะอาลัยหลงรักเรียนวิชา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ