- คำนำ
- บทนำ
- ประวัติพระภิกษุฟาเหียน
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- จบ
บทที่ ๑๗
นครสังกาศยะ (สังกัสสะ). พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นไตรตรึงศ์ (ดาวดึงศ์).
และเสด็จกลับจากเทวโลก. กับนิยายอื่น ๆ.
ต่อจากบริเวณที่กล่าวแล้วนี้, ฟาเหียนได้เดินทางต่อลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้, เป็นระยะทาง ๑๘ โยชน์, ก็ได้พบราชอาณาจักรแห่งหนึ่งเรียกว่าสังกาศยะ.
ขณะนั้นนางภิกษุณีอุทปละ
ณ ตำแหน่งซึ่งพระพุทธองค์เสด็จแต่เบื้องสูง จากสวรรค์ชั้นไตรตรึงศ์ลงมาสู่พิภพเบื้องล่างนั้น, ณ ที่นี้ปรากฏว่าได้กระทำเป็นบันไดอันวิเศษประเสริฐ ๓ ทาง. พระพุทธองค์เสด็จตามบันไดกลางซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งอันประเสริฐ ๗ ประการ. และดุจเดียวกันพระราชาแห่งพรหมโลก
ตลอดเวลา ๓ เดือน ที่พระพุทธองค์ทรงรับเสวยทิพยาหารแห่งสวรรค์มาแล้วนั้น, กระทำให้พระสรีรกายของพระองค์ระบายกลิ่นหอมของสวรรค์ออกมา, ซึ่งเป็นเหตุให้ผิดธรรมดากับสามัญชน, พระองค์จึงเสด็จไปสรงน้ำในทันใดนั้น. ณ ตำบลที่พระองค์เสด็จไปสรงน้ำ, ได้มีผู้สร้างเรือนสรงน้ำขึ้นไว้หลังหนึ่ง, และยังคงปรากฏอยู่. ณ สถานที่ที่นางภิกษุณีอุทปละเป็นคนแรกเข้ากระทำการเคารพต่อองค์พระพุทธเจ้านั้น, ก็ได้มีผู้สร้างสตูปขึ้นองค์หนึ่งปรากฏอยู่จนบัดนี้.
ณ สถานที่ ซึ่งเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในโลก, ได้ทรงปลงพระเกษาและตัดพระนขา,
ณ สถานที่นี้อาจจะมีพระภิกษุและนางภิกษุณีอยู่ได้ตั้งพัน. พระภิกษุทั้งปวงได้รับอาหารจากโรงร้านสามัญ, และต่างขวนขวายศึกษาเล่าเรียนทางลัทธินิกายมหายานบ้าง, หินยานบ้าง. ณที่นี้มีพระยานาคหูขาวอยู่ตัวหนึ่ง, ซึ่งกระทำหน้าที่ในส่วนทานบดี
ในนครแห่งนี้ อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร, ประชาชนมีความเจริญสุขสำราญจนเหลือที่จะกล่าวอุทาหรณ์เทียบเคียง. เมื่อมีชาวชนต่างถิ่นมาสู่, ต่างก็เอาใจใส่ต่อผู้เป็นแขกทั้งหลายอย่างดียิ่ง, ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลสิ่งที่ประสงค์, และที่ขาดตกบกพร่องทั้งปวง.
จากอารามแห่งนี้ ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ๕๐ โยชน์, ถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งเรียกว่ากองใหญ่,
ณสถานที่แห่งนี้ มีสตูปที่อุทิศถวายพระพุทธองค์อีกแห่งหนึ่ง. มีปีศาจน้ำใจดีตนหนึ่งคอยรดน้ำปัดกวาดบำรุงรักษาอยู่เป็นนิรันดร์, โดยปราศจากความต้องการคนทำการงาน. ยังมีกษัตริย์น้ำพระหฤทัยชั่วองค์หนึ่ง, มาเห็นการกระทำของปีศาจครั้งหนึ่ง, จึงกล่าวแก่ปีศาจนั้นว่า ‘แต่ก่อนๆ มาเจ้าสามารถกระทำการสิ่งนี้ได้, แต่บัดนี้ข้าจะพาเอากองทหารอันมีจำนวนมากหลายให้มาพักอยู่ ณ ที่นี้, เพื่อให้ทำความเปรอะเปื้อนและโสโครกสกปรกต่าง ๆ สะสมเพิ่มเติมให้มากขึ้น, ดูทีหรือว่าเจ้าจะปัดกวาดเช็ดล้างให้สะอาดได้หรือไม่.’ ในทันใดนั้น ปีศาจก็บันดาลให้บังเกิดลมพายุใหญ่พัดมากระทำให้สถานที่สะอาดบริสุทธิ์ได้.
ณ ที่แห่งนี้ ยังมีสตูปเล็ก ๆ อีก ๑๐๐ องค์. ซึ่งบุคคลคนเดียวจะนับจำนวนให้ครบถ้วนเสร็จในวันเดียว ย่อมไม่สามารถจะทราบจำนวนที่ถูกต้องได้. แม้ว่าจะกระทำให้มั่นคงเพื่อได้ทราบจำนวนโดยไม่ผิดพลาด, จะจัดคนให้ไปอยู่ข้างสตูปองค์ละหนึ่งคน, เมื่อได้กระทำเช่นนี้แล้ว, และนับเอาจำนวนคนเหล่านั้นตามที่มากหรือน้อย, ก็จะยังไม่ทราบ (จำนวนเที่ยงตรง
มีอาวาสอีกแห่งหนึ่ง บางทีจะบรรจุพระภิกษุได้ในราว ๖๐๐ หรือ ๗๐๐ องค์, ในอาวาสนี้ มีสถานที่ที่พระปัจเจกพุทธะ
-
๑๖๖. นามแห่งนี้ยังคงเหลือเป็นหมู่บ้านอยู่ในแขวงซัมกัสซัม, โดยระยะทาง ๑,๘๐๐ เส้นจากตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกะเนาจ์. แลตติจู๊ต ๒๗°๓′ เหนือ. ลองติจู๊ด ๗๙°๕๐′ ตะวันออก. ↩
-
๑๖๗. สวรรค์ของพระอินทร์หรือสักกะ, หมายถึงเทวโลก ๓๓ ชั้น ซึ่งมีคำบรรยายตามหนังสือประวัติศาสตร์กับชุมนุมนิกาย. ดังที่ปรากฏอยู่ในฉบับ Eitel หน้า ๑๔๘ ว่า สวรรค์ชั้นฟ้า เป็นคะแนนของความเคารพนับถือทั้งหลาย. อันเป็นนิยายของพวกพราหมณ์. สวรรค์ตั้งอยู่ในระหว่างยอดทั้ง ๔ แห่งภูเขาพระสุเมรุ, อันประกอบไปด้วยนครของเทวดาทั้งหลาย ๓๒ นคร. ทุก ๆ ๘ นครมีมุมทั้ง ๔ ด้วยภูเขา, นครหลวงของพระอินทร์อยู่ศูนย์กลาง, พระองค์ประทับอยู่เป็นปกติบนพระที่นั่งเสมอ, มีพระเศียรพันหนึ่ง, พระเนตรพันหนึ่ง, มี ๔ พระกร, ทรงถือคุมไว้ซึ่งวัชระ, มีมเหษีรวมทั้งนางกำนัลที่เป็นบาทบริจาริกา (เมียหลวงเมียน้อย) ถึงแสนหนึ่งหมื่นเก้าพัน. พระองค์ได้รับรายงานจากท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทุก ๆ เดือน, ซึ่งว่าด้วยความเป็นไปของโลกมนุษย์ ว่าอยู่กันเป็นสุขเจริญดีหรือมีเหตุเภทภัยประการใด. ↩
-
๑๖๘. พระพุทธมารดา คือพระนางมายาหรือมหามายา เป็นพระราชชนนีอันสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินโทษของพระองค์. ทิวงคตภายหลังเวลาที่พระพุทธองค์อุบัติมาในโลกนี้ได้ ๗ ราตรีเท่านั้น. Eitel กล่าวว่า ‘พระองค์กลับชาติไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต, เมื่อพระราชโอรสตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วได้เสด็จขึ้นไปเยี่ยม. สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นสถานที่ได้พบกันอีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่ไตรตรึงศ์.’ (เป็นสถานที่มีมาแต่เดิม. แต่พึ่งรู้จักกันในภายหลังต่อมากระนั้นหรือ ?). Hardy ใน M. B. หน้า ๒๙๘-๓๐๒, กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปเยี่ยมสวรรค์ชั้นไตรตรึงศ์ไว้ยืดยาว, เรียกสวรรค์ชั้นนี้ว่าตวุติสา, และเรียกนามพระพุทธมารดาว่ามาตรุ, และว่าพระองค์เสวยชาติเป็นเทวดาโดยเปลี่ยนเพศจากสตรี. ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๐๒-๔๑๙. ↩
-
๑๖๙. เทียบเคียงดูกับเรื่องราวที่กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่ง, ได้ส่งช่างเขียนแกะสลักขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดุสิตในบทที่ ๕. เป็นสำนวนที่จะกล่าวให้เป็นความพิสดารใหญ่โตลึกซึ้งขึ้นไป. ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๑๖-๔๑๘. ↩
-
๑๗๐. พระอนุรุทธะเป็นพุทธสาวกสำคัญองค์หนึ่งของพระศากยมุนี เป็นราชโอรสของพระเจ้าอมฤโทธนะ ซึ่งเป็นพระปิตุลา (อาว์) ขององค์พระศากยมุนี. จะพบนามท่านนี้บ่อย ๆ ในเรื่องราวที่กล่าวถึงองค์พระพุทธเจ้า. และเป็นผู้ทรงอิทธิพิเศษในทางทิพยจักษุ. ซึ่งเป็นยอดแห่งอภิญญา ๖ ประการ. หรือทางปัญญาเหนือความเป็นธรรมดา. ด้วยฤทธิความสามารถอันลึกลับไพศาลอาจเพ่งเล็งเห็นได้ในที่ทั่วไปทันที, หรือการเพ่งเล็งดูด้วยทางใจอันอาจเห็นได้ทั่วโลก. Hardy กล่าวไว้ใน M. B. หน้า ๒๓๒ ว่า ท่านผู้นี้แลเห็นไปได้ตลอดทั่วทั้งแสนจักรวาล, ซึ่งจะกำเมล็ดพันธุ์ผักกาดไปหว่านลงแห่งละเมล็ดก็ไม่ทั่วได้. ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๑๖-๔๑๘. ↩
-
๑๗๑. Eitel ให้นามว่าอุทปละเหมือนกันกับสำเนียงจีนในฉบับนี้. ในสันสกฤตอธิบายนามคำนี้ว่าดอกบัวสีคราม. และ Hsüan Chwang’s เรียกว่านางชีดอกบัวสี. ซึ่งเหมือนกันกับของ Hardy’s ว่าอุบลวรรณหรืออุบลวรรณา. ↩
-
๑๗๒. บางทีเราอ่านความตอนนี้ ที่ว่าเมื่อนางได้เห็นพระพุทธองค์แล้ว, อาจเข้าใจเอาว่าอุทปละแปลงรูปกลับจากท้าวจักรพรรดิราชเป็นภิกษุณีตามเดิมเอาเองก็ได้. หรือจะเข้าใจเอาว่ายังค้างอยู่ในร่างที่อาศัยอยู่ในขณะนั้นก็ได้. เพราะมิได้ชี้แจงไว้เลยว่านางจะหยุดการกระทำตนกลับจากเป็นท้าวจักรพรรดิได้ก่อน, หรือจะต้องคอยให้พระพุทธเจ้าทรงจัด. การที่วิจารณ์เช่นนี้จะเป็นการสมควร, หรือไม่ควรคิดเสียเลยจะดีกว่านั้น, แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะพิเคราะห์เอาเอง. ↩
-
๑๗๓. จักรพรรดิราช คือ พระราชาอันบริสุทธิ์หมุนล้อกงรถ. โดยนัยว่า กษัตริย์ผู้ชนะทั้งหมดหรือตลอดสากล. Eitel (หน้า ๑๔๒) กล่าวว่า คำยกยอสำหรับจักรพรรดินั้นมีว่า กษัตริย์ผู้ซึ่งจะขึ้นครองราชบัลลังก์จักรพรรดิราชนั้น, ต้องเป็นผู้ที่จุติมาจากสวรรค์, มีเครื่องราชูปโภคล้วนแล้วไปด้วยเงินและทองแดงหรือเหล็ก, และมีพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล. แต่อย่างไรก็ดี ณ สถานที่ทำการอันสูงสุดของพระมหาจักรพรรดิราช, ผู้ขว้างกงล้อของพระองค์ไปในระหว่างปัจจามิตรทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้น้อยบังเกิดความสงบสุขราบคาบนั้น คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งถ่อมพระองค์ลงมาหมุนกงล้อไปตามธรรมวินัย, และถึงความมีชัยแล้วทั่วสากลโลกโดยฐานะแห่งพระบรมศาสดาจารย์. ↩
-
๑๗๔. พระพรหมเป็นมนุษย์คนแรกแห่งพราหมณ์ตฺริมูรติ. ในพระพุทธศาสนายอมรับไว้เหมือนกัน, แต่ใส่ไว้ในตำแหน่งผู้น้อยตำแหน่งหนึ่ง, สูงกว่านักบวชที่บรรลุเพียงโพธิทุกๆ องค์. ดูปทานุกรมธรรมการ หน้า ๔๙๑. ↩
-
๑๗๕. ดูหน้า ๔๘ บทที่ ๙ โน๊ต ๒. ↩
-
๑๗๖. ดูหน้า ๒๖ บทที่ ๓ โน๊ต ๔. ↩
-
๑๗๗. เป็นธรรมดาของน้ำที่อยู่ใต้บาดาล. ในบ่อที่ขุดหาแร่ลงไปลึกๆ ก็พบน้ำสีเหลือง. ↩
-
๑๗๘. ความสูงที่ให้ไว้ในฉบับจีนว่าเท่ากับ ๓๐ เจา, เจาหนึ่งมีระยะแต่ข้อศอกถึงปลายนิ้วมือ. ↩
-
๑๗๙. ในโน๊ตหนึ่งของ Mr. Beal กล่าวไว้ดังนี้ ‘นายพลคันนิงแฮมเป็นผู้ได้ไปเยี่ยมถึงตำบลนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕, ได้พบเสาหินต้นนี้แล้ว. สำแดงลักษณะชัดเจนว่าเป็นในสมัยพระเจ้าอโศกราช, มีรูปจำลองที่แกะสลักเป็นช้างตัวหนึ่งอยู่บนยอดเสา, แต่ว่าไม่เห็นมีงวงและหาง.’ เขาคาดคะเนเอาว่าเป็นเสาต้นเดียวกันนี้ที่ฟาเหียนได้ดูแล้ว และสำคัญผิดไปว่าสิ่งที่อยู่บนยอดนั้นเป็นสิงห์. สิ่งที่เป็นไปทั้งนี้ต้องเป็นการสำคัญผิด, ดุจเรื่องราวของเสาต้นหนึ่งที่นครสาวัตถี, ฟาเหียนกล่าวว่าเป็นโค, แต่ฝ่าย Hsüan Chwang เรียกว่าช้าง. (หน้า ๑๙. Arch. Survey). ↩
-
๑๘๐. ตั้งไว้ในช่องทุกด้าน. เสาศิลาต้นนี้จะต้องเป็น ๔ เหลี่ยม. ↩
-
๑๘๑. เป็นช่องเท่ากันและทะลุตลอดถึงกันทั้ง ๔ ด้าน. ↩
-
๑๘๒. ความตรงนี้ต้องแปลอยู่เสมอๆ. อาจารย์ผู้สอนลัทธิที่ผิด. สถานศึกษาและสมาคมใด ๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา, ลัทธิพราหมณ์, หรือลัทธิเท็จใด ๆ ที่ฟาเหียนเห็นว่าเป็นเช่นนั้น. ในสำนวนจีนใช้ว่า ‘ภายนอกหรือต่างประเทศ.’ ในบาลีว่า อฺติตฺถิยา. สถานการศึกษาฝึกสอนของคนอื่นๆ. ↩
-
๑๘๓. ดูบทที่ ๑๓, ↩
-
๑๘๔. พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นี้ตรัสรู้มาก่อนองค์พระศากยมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในสมัยมหาภัทรกัลป. พระศากยมุนีเป็นองค์ที่ ๔, คือในสมัยปัจจุบันนี้. พระไมเตรย (ศรีอริยเมตตรัย) เป็นองค์ที่ ๕ ยุคสุดท้าย. พระพุทธเจ้าในอดีตทั้ง ๓ คือ ๑. กรกุจันท (บาลี กกุสนฺธ), ท่านผู้นี้ตรัสรู้ตัดข้อวิมุติทั้งหลายได้โดยเร็ว. เป็นหน่อเนื้อคนหนึ่งในวงศ์พระกัศยปะ. ชีวิตมนุษย์ในครั้งนั้นยืนนานถึงสี่หมื่นปี, ดังนั้น บุคคลมากหลายจึงกลับความประพฤติได้เพราะพระองค์ท่าน. ๒. กนกมุนี (บาลี โกนาคมนะ), พระกายมีแสงและวรรณประดุจทองคำอันบริสุทธิ์, อยู่ในสกุลวงศ์เดียวกับพระองค์ก่อน. ชีวิตมนุษย์ในยุคนั้นยืนนานถึงสามหมื่นปี, ดั่งนั้น บุคคลมากหลายจึงกลับความประพฤติได้เพราะพระองค์ท่าน. ๓. กัศยปะ (บาลี กสฺสป) ผู้กลืนแสงสว่าง. ชีวิตมนุษย์ในยุคนั้นยาวสองหมื่นปี, ดั่งนั้น บุคคลมากหลายจึงกลับความประพฤติได้เพราะพระองค์ท่าน (ดูหนังสือ Eitel ในคำนามเหล่านี้. กับ Hardy’s M. B. หน้า ๙๕-๙๗. และ Davids’ Buddhist Birth Stories หน้า ๕๑). ↩
-
๑๘๕. เป็นการเดินตรึกตรอง. ดั่งที่เรียกว่าจงกรม. เดินตากลมบนเฉลียงหรือระเบียงหรือรอบๆ วัด. กระทำเป็นครั้งคราว, เพื่อความมุ่งหมายที่จะไตร่ตรองพิจารณาธรรมวิทยา. การเพ่งใจตรึกตรองด้วยอาการเช่นนี้, เมื่อหยุดพักนั่งจะไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือต้องหยุดลงในกลางคันเลย. ดูหนังสือ E. H. หน้า ๑๔๔. ↩
-
๑๘๖. ดูหน้า ๑๔ บทที่ ๑ โน๊ต ๑. ↩
-
๑๘๗. ตัวอักษรในฉบับเกาหลีเป็น 虵 แต่ในฉบับจีนเป็น 蛇 ซึ่งคงจะผิดพลาดไป, หากจะหมายถึงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ในทะเลชนิดหนึ่ง. ↩
-
๑๘๘. คำตรงนี้ในฉบับจีนว่าแดนไฟ. คำที่พระพุทธองค์กล่าวนั้นว่า 本, มารของพระองค์ละพยศร้าย. ตามตัวอักษรจีน Beal ยอมรับมาแต่แรกแล้วว่าเป็นภาคหนึ่งของพระองค์. แต่ได้ตีความในการแปลเอาใหม่ว่าพระองค์เอง. ในระหว่างคำว่า 本 กับ 昔 ตามธรรมดาฟาเหียนใช้ในความหมายต่างกัน ตามในเรื่องราวของฟาเหียนตลอดทั้งเรื่อง. 本 ย่อมเล็งถึงว่าเป็นการกำลังกระทำขององค์พระศากยมุนีเสมอไป. แต่คำว่า 昔 เป็นเก่าก่อน. คำนี้มีบ่อยๆ ที่ใช้ในคราวอื่น ๆ เช่นในวัยก่อนหรือเกิดมาก่อน. ↩
-
๑๘๙. Hardy M. B. หน้า ๑๙๔, มีความตอนหนึ่งว่า เป็นที่ระลึกสำคัญในการมอบอุทยานให้โดยเด็ดขาด, โดยพระราชาได้ทรงหลั่งน้ำลงบนพระหัตถ์แห่งองค์พระพุทธเจ้า. และต่อจากเวลานี้ไปเป็นหลักฐานอันแสดงว่า สถานที่นี้เป็นอาวาสของพระองค์สืบต่อไป. ↩
-
๑๙๐. ความตรงนี้ดูไม่น่าจะเชื่อถือ. แต่ความประสงค์ของผู้เขียน (ฟาเหียน) แสดงชัดว่า ชวนให้คิดเห็นเป็นไปในทางลึกลับบางประการของจำนวนสตูปทั้งหมด. ↩
-
๑๙๑. ดูหน้า ๖๗ บทที่ ๑๓ โน๊ต ๓. ↩
-
๑๙๒. ดูเหมือนความหมายจะเป็นเช่นนี้, เพราะพระภิกษุที่มรณภาพ. ตามธรรมเนียมต้องเผาทั้งหมด. ดู Hardy’s E. M. หน้า ๓๒๒-๓๒๔. ↩