บทที่ ๓

ราชอาณาจักร โข-เตน, การแห่พระพุทธปฏิมา.

วัดใหม่ของกษัตริย์

ยุตีน เป็นราชธานีที่เพียบพร้อมไปด้วยความสุขความเจริญ, มีพลเมืองอันกำลังอยู่ในความสดใส สะพรั่งพร้อมหนาแน่นมากมาย, และล้วนแต่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น. ต่างก็ชักชวนรวบรวมพร้อมกันเข้าเล่นดนตรีดีดสีตีเป่า บรรเลงเพลงขับกล่อมตามลัทธิของฝ่ายศาสนา, ด้วยความโสมนัสยินดี๓๒. มีจำนวนพระภิกษุหลายหมื่น, โดยมากเป็นนิกายฝ่ายมหายาน.๓๓ ได้รับอาหารจากสถานโรงร้านสามัญ.๓๔ ตลอดทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยบ้านเรือนของประชาชนพลเมือง, ต่างปลูกสร้างตั้งอยู่เดียรดาษไป ประดุจดวงดาวในอากาศ, และในครอบครัวหนึ่ง ต่างก็สร้างพระสตูปองค์เล็ก ๆ๓๕ ไว้ที่ตรงหน้าประตูบ้าน, สตูปขนาดเล็ก สูงประมาณ ๒๐ ศอกหรือกว่านั้นก็มี. ภายในวัดได้จัดแบ่งส่วนสถานที่ไว้ เพื่อประโยชน์แห่งภิกษุสงฆ์อาคันตุกะ๓๖ผู้จะท่องเที่ยวเดินทางไปขอพักอาศัย, กับทั้งจะได้รับจตุปัจจัยเกื้อหนุนด้วยบ้างตามสมควร.

ผู้ครองนครได้อาราธนาให้ฟาเหียนกับพระภิกษุอื่นๆ พักอยู่ในโคมติอาราม,๓๗ อันเป็นสถานศึกษาในฝ่ายนิกายมหายาน, ด้วยความสุขสบาย, และได้ทรงถวายสิ่งที่จำต้องประสงค์ตามสมควร. ในอารามแห่งนี้มีภิกษุถึง ๓,๐๐๐ รูป ในเวลาพระฉันอาหารมีระฆังตีเรียกเป็นสัญญา. เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นเข้าไปพร้อมกันยังหอฉันแล้ว, ต่างก็สำรวมกิริยามรรยาทนั่งลงโดยมีระเบียบเรียบร้อยสงบนิ่งอยู่, เป็นที่ชวนให้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา, ไม่ได้ยินเสียงอันบังเกิดจากบาตร, หรือภาชนะอย่างอื่น ๆ กระทบกระทั่งกันเลย, เมื่อท่านผู้บริสุทธิ์องค์๓๘ใดมีความประสงค์จะขอรับเครื่องอาหารเพิ่มเติม, ก็มิได้ออกเสียงร้องเรียก (ผู้ปรนนิบัติ) เลย, เพียงแต่จะยกมือขึ้นทำอาณัติสัญญาณเท่านั้น.

ฮุย-กิง, ตาว-จิง, กับ ฮุย-ตะ, คณะหนึ่งได้เริ่มออกเดินล่วงหน้าไปทางเมืองกีห-จา๓๙ก่อน. ฟาเหียนกับภิกษุรูปอื่น ๆ ปรารถนาจะอยู่คอยดูการแห่พระพุทธปฏิมาเสียก่อน, จึงคงรออยู่ต่อไปอีก ๓ เดือน. ในนครนี้มีอารามใหญ่อยู่ ๔ แห่ง,๔๐ โดยมิได้นับจำนวนอารามเล็ก ๆ เข้าร่วมด้วย. ในวันต้นแห่งเดือนที่ ๔, เขาเริ่มต้นทำการปัดกวาดและรดน้ำตามถนน, โดยระดมกันทำการอย่างใหญ่โตไปทั่วทุกถนนหนทาง, ภายนอกประตูเมืองตั้งกระโจมผ้าขนาดใหญ่ไว้แห่งหนึ่ง, และตบแต่งไว้งดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้, ภายในมีพระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีประทับ, กับบรรดาสุภาพสตรีผู้ดีซึ่งประดับกายด้วยเครื่องเพ็ชรพลอย, นั่งเรียงรายกันอยู่ตามลำดับโดยระเบียบเรียบร้อย๔๑ภายในกระโจมนั้น.

ด้วยเหตุที่พระภิกษุในวัดโคมติเป็นนิกายมหายาน, ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินเคารพนับถืออย่างสูง, จึงเป็นผู้ออกนำหน้าพระภิกษุวัดอื่น ๆ ในกระบวนแห่. ณ สถานที่แห่งหนึ่งห่างจากนครไป ประมาณ ๖๐ หรือ ๘๐ เส้น, เขาสร้างรถ ๔ ล้อขึ้นประดิษฐานพระพุทธปฏิมาคันหนึ่ง, ซึ่งเมื่อเห็นแล้วดูเป็นประดุจศาลาขนาดใหญ่, แลตระหง่านสูงกว่า ๓๐ ศอก, แล้วลากเคลื่อนไป. เพดาน (ภายในหลังคารถ) บุดาดด้วยแพร, และประดับด้วยสัปตรัตน์๔๒ห้อยแขวนทั่วไปโดยรอบ, แลดูเป็นเงาเลื่อมประดุจกระแสน้ำในลำธาร. พระพุทธปฏิมา๔๓ประดิษฐานอยู่กึ่งกลางรถ, กับมีพระโพธิสัตว์๔๔คู่หนึ่งซึ่งเป็นผู้ปรนนิบัติประดิษฐานอยู่เบื้องพระพักต์, และมีเทวดา๔๕ทั้งหลายคอยรับใช้ประดิษฐานอยู่ต่อมา, ภาพทั้งหมดล้วนแต่มีแสงแวววาวอันพราวไปด้วยลวดลายแกะสลักลงในพื้นทองและเงิน, ประดุจภาพอันปรากฏอยู่บนท้องนภากาศ เมื่อ (รถอันประดิษฐานพระพุทธปฏิมา) เคลื่อนเข้ามาห่างจากประตูเมืองประมาณ ๑๐๐ ก้าว, พระเจ้าแผ่นดินทรงถอดพระมงกุฎสำหรับประเทศออก, ทรงเปลี่ยนเครื่องแต่งพระองค์ชุดใหม่, และพระบาทปราศจากเครื่องรองและปิดบัง, พระหัตถ์ทรงถือดอกไม้และเครื่องหอม, (เสด็จออกไปพร้อมด้วยราชบริพารทั้งหลาย) เรียงเป็น ๒ แถว, คอยเข้าสมทบบรรจบกับกระบวนแห่ที่ประตูเมืองแล้วและเสด็จตามไป, เมื่อรถพระพุทธปฏิมามาถึง, พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปบนรถทำการนมัสการ, โดยซบพระเศียรกราบลงแทบพระพุทธบาทยุคล, และทรงโปรยดอกไม้เผาเครื่องหอม, เมื่อรถพระพุทธปฏิมากำลังผ่านเข้าไปในประตูเมือง, พระมเหสีกับสุภาพสตรีทั้งหลาย, ออกไปยังริมเฉลียงของรถโปรยดอกไม้ลงไปโดยรอบ, เป็นประดุจหนึ่งดอกไม้ที่ลอยเกลื่อนกลาดไปตามกระแสน้ำไหล, ล่วงหล่นเดียรดาษอยู่ตามพื้นดินประดุจภาพที่ช่างเขียนวาดไว้, ตามทางทุก ๆ แห่ง ต่างได้ตั้งใจทำกันเป็นอย่างดีสำหรับในเทศกาลนี้. ในพิธีนี้อารามทั้งหลายต่างก็จัดสรรสร้างรถของตน, โดยลักษณะต่าง ๆ กันวัดละ ๑ คันนำไปเข้ากระบวนแห่ด้วยพร้อมกัน. เริ่มต้นในวันที่ ๑ ของเดือนที่ ๔, และไปสิ้นสุดลงในวันที่ ๑๔, พระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหสีจึงเสด็จกลับเข้าพระราชวัง.

จากนครไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง ๑๔๐ หรือ ๑๖๐ เส้น, มีอาวาสอยู่แห่งหนึ่งเรียกว่าวัดใหม่ของกษัตริย์. วัดนี้ได้สร้างกันมาถึง ๘๐ ปี เป็นเวลายืดยาวตลอดถึง ๓ รัชกาลจึงสำเร็จ. มีสตูปองค์หนึ่งสูง ๒๕๐ ศอก, อุดมไปด้วยความงดงามด้วยฝีมือวิจิตรกรรมลวดลายแกะสลัก. สิ่งที่ปิดเบื้องบนประดับไว้ด้วยทองเงินสำเร็จเรียบร้อยตลอดทั่วไป, ซึ่งรวบรวมไว้ด้วยความดีวิเศษโดยประการทั้งปวง. เบื้องหลังแห่งพระสตูปมีสถานที่ที่ได้สร้างไว้เป็นศาลาแห่งพระพุทธเจ้า๔๖หลังหนึ่ง, วิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง, ขื่อ, เสา, ประตู, หน้าต่าง, ล้วนประดับประดาไว้ด้วย (ลาย) ใบไม้ทอง. นอกจากนี้ยังมีห้องที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์, ซึ่งได้สร้างไว้โดยสง่างาม, และประดับประดาตกแต่งไว้เหมาะเจาะ, จนไม่สามารถจะหาถ้อยคำมากล่าวชมให้ถูกถ้วนได้. แต่อย่างไรก็ดี, บรรดาสิ่งอันมีค่าสูงและวิเศษทั้งหลายเหล่านี้, บรรดาพระราชาแห่งแว่นแคว้นทั้ง ๖, ซึ่งอยู่ทางแถบตะวันออกแห่งพืดภูเขา ตฺซุง๔๗ เป็นเจ้าของเดิม, และได้สละมารวมกันเป็นส่วนใหญ่ให้เป็นการช่วยอุปถัมภ์ (สำหรับอาวาสนี้), ด้วยจำนวนผลประโยชน์แห่งละเล็กละน้อยจากขัตติยราช๔๘เหล่านั้น.

  1. ๓๒. เพลงเช่นนี้เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนชาวโข-เตน.

  2. ๓๓. มหายาน, ดูโน๊ตหน้า ๑๘. มหายาน เป็นคำที่เกิดขึ้นภายหลังพระพุทธสมัย, หมายถึงนิกายประเภทที่ ๒, ซึ่งแสดงให้รู้แจ้งและยอมรับว่า พระโพธิสัตว์สามารถจะขนมวลมนุษย์ไปสู่นิพพานได้. ประดุจเกวียนใหญ่ฉะนั้น. (ดูหนังสือพุทธเจดีย์สยามหน้า ๗๒-๗๔, กับหนังสือของ David’s เรื่อง Key note of Great Vehicle และปาฐกถาของ Hibbert หน้า ๒๕๔, หนังสือพระราชวิจารณ์ลัทธิพุทธศาสนาหีนยานกับมหายาน และหนังสือลัทธิของเพื่อน หน้า ๖๕-๖๘).

  3. ๓๔. ฟาเหียนกล่าวไว้ว่า ‘โรงร้านสามัญ’ นั้นอย่างไรกัน ? เป็นสถานที่ที่วัดจัดหาเสบียงสะสมไว้ดั่งนั้นหรือ ? ในบทที่ ๑๖ และ ๓๙ เป็นที่สำหรับผู้เดินทางอื่น ๆ อีกต่างหาก. ขอชักเอาข้อสำคัญในเรื่องการทำทานมาให้เห็นจากหนังสือของ David’s เล่ม ๕, ปาฐกถาของ Hibbert หน้า ๑๗๘ ว่า ‘มีถ้อยคำบางคำที่ย้อมสีพุทธศาสนาเสีย.’ และสมุดที่มีชื่อว่า The Great Decead ได้ทำภาพแสดงประกอบกับคำอธิบายว่า ‘ความยั่งยืนของสมาคมควรจะทำด้วยความเพียรอันบังเกิดจากความเมตตากรุณา, ที่จะกล่าวและนึกคิดของสัตบุรุษทั้งหลายทั้งในทางสาธารณะและโดยเฉพาะ (แห่งทาน), ซึ่งสมควรจะแบ่งสรรปันส่วนของตนโดยปราศจากความลำเอียง, เช่นหุ้นส่วนสามัญซึ่งเป็นการซื่อตรงต่อกันอันปราศจากมลทินโทษ. ดั่งนั้นสิ่งทั้งหมดตามที่ภิกษุทั้งหลายจะได้รับไป, ก็จะเป็นการถูกต้องกับความประสงค์ของการแสวงหาสะเบียงอาหารอันเนื่องจากทาน. ด้วยความเสมอภาคเรียบร้อยเพียงเท่านี้, ย่อมเป็นความอิ่มใจของผู้ที่จะเริ่มต้นถือบาตร, และจะเป็นความยั่งยืนของสังฆสมาคม, ซึ่งมีความหวังอยู่เพียงเท่านี้. ย่อมจะไม่แปรปรวนลดน้อยถอยลง, แต่จะกลับเป็นความเจริญวัฒนาขึ้นสืบต่อไป.’

  4. ๓๕. ตามสำเนียงจีนเหนือเรียก 塔 ต๊ะ, กวางตุ้งเป็น ตั๊บ. ที่ฟาเหียนกล่าวไว้นั้นไม่ต้องสงสัย, ได้ออกสำเนียงตามภาษาสํสกฤตคือ สตูป หรือในบาลีว่า ถูป. และเพื่อให้การแปลณที่นี้ถูกต้องตรงกับความหมายแห่งรูปร่างลักษณะของวัตถุที่กล่าวถึงนี้ จึงใช้คำว่า สตูป. เรื่องนี้ Cunningham ผู้เชี่ยวชาญในโบราณวัตถุของอินเดียได้แต่งตำราไว้เล่มหนึ่ง. ในบทที่ ๑๓ กล่าวถึงสตูปองค์หนึ่ง ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนมชีพอยู่ได้ทันทอดพระเนตรเห็น, และยังปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้, ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างของสตูปที่จะมีขึ้นในอนาคตกาลสืบไป. พระสตูปนั้นตามธรรมเนียม, ตอนเบื้องบนเป็นรูประฆังตันไม่มีโพรงข้างใน, ต่อจากนั้นค่อยๆ ยาวเรียวเป็นจอมสูงขึ้นไป. ต่อจากนี้ทำเป็นปล้องเรียงลำดับสูงขึ้นไปเป็นเถาต่าง ๆ กันตามจำนวนของปล้องหรือลูกแก้วนั้น. แต่อาจผิดแผกกันกับที่ว่ามานี้จะมีบ้าง. ส่วนพระเจดีย์ในเมืองจีนรูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไปทีเดียว. รูปพระสตูปต่างๆ ในอินเดีย, ที่อ๊อกซฟอร์ดรวบรวมเอาไปจากพุทธคยานั้น, แม้จะเป็นองค์ขนาดใหญ่ก็ยังเล็กกว่าองค์ขนาดเล็กในโข-เตนเสียอีก. พระสตูปทั้งหลายนั้นโดยมากบังเกิดขึ้นจากความมุ่งหมายเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระพุทธเจ้า, อันเป็นพระบรมครูผู้ประสาทพระธรรม-ไตรปิฎกอันขจรอยู่ในโลก. แต่พระบรมสารีริกธาตุอะไรที่ได้บรรจุไว้ภายในพระสตูปตรีรัตนะ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในบทที่ ๑๖ นี้ ? (ดูหนังสือพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๓๓-๓๔).

  5. ๓๖. ความหมายณที่นี้อาจเป็นที่สงสัยก็ได้. แต่ผู้แต่งหนังสือ (ฟาเหียน) มิได้มีความหมายที่จะกล่าวว่า ได้จัดห้องให้ในสถานที่ซึ่งมีพระภิกษุอยู่ประจำแล้วนั้น, ที่จริงฝ่ายอารามได้สร้างที่รับแขกไว้ต่างหาก.

  6. ๓๗. คำในภาษาสํสกฤตใช้เรียกวัดว่า สังฆาราม. แต่เดิมทีเดียวหมายถึงสวนสำหรับการประชุมสงฆ์, โดยเฉพาะก็คือ วโนทยาน ซึ่งจัดให้มีเขตล้อมรอบ. ภายหลังสืบมาเลยอุทิศให้เป็นที่ธรณีสงฆ์โดยเด็ดขาด. (ดูหนังสือ E. H. หน้า ๑๑๘). ‘โคมติ’ เป็นนามของอาราม. แปลตามความหมายว่าอุดมไปด้วยโค. หนังสือพุทธเจดีย์สยามหน้า ๑๖-๑๙ ว่า ต้นเหตุที่จะเกิดมีสังฆารามนั้น. เนื่องจากพวกพุทธศาสนิกชนนิยมไปทำการสักการบูชาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งในอินเดีย

  7. ๓๘. ผู้บริสุทธิ์, เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกพระภิกษุอีกคำหนึ่ง, ดุจดั่งคำว่า วิมล, บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน.

  8. ๓๙. กีห-จา ไม่ปรากฏว่าเป็นที่ไหน. Rémusat ว่า แคชเมียร์. Beal ว่า การ์ตเจา. Eitel ว่า กัลส. ซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชาติโบราณจำพวกหนึ่ง. ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็น ลาดัก ใน ธิเบต หรือในแถบเหล่านั้น ?

  9. ๔๐. แทนที่จะเป็น ๔, ในฉบับจีนว่ามี ๑๔, แต่ตามที่กล่าวไว้ในฉบับเกาหลีนี้เห็นจะได้แก้ไขไว้ถูกต้องแล้ว.

  10. ๔๑. ณ ที่นั้นควรจะมี, (ตามที่ Giles กล่าว) ‘นางกำนัลสำหรับเกียรติยศ.’ แต่ตามตัวอักษรเท่าที่ปรากฏไม่ได้บ่งถึงดั่งนั้น.

  11. ๔๒. สัปตรัตน์, คือ ทอง, เงิน, พลอยสีดอกตระแบก, หินแก้วแกลบ, เพ็ชรหรือมรกต, โมรา. (ดูหนังสือ Davids’ Sacred Books of the East Buddhism Sutra เล่ม ๑๑ หน้า ๒๔๙).

  12. ๔๓. ไม่ต้องสงสัย พระพุทธรูปอย่างแน่ ๆ. แต่ฟาเหียนใช้คำว่ารูปปั้น.

  13. ๔๔. โพธิสัตว์, คือสัตว์ผู้ทรงปัญญาและคุณธรรมสูง, ประดุจน้ำมันหอมที่กลั่นจากดอกไม้. เมื่อพ้นชาตินี้แล้วจะไปบังเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้า, ได้บรรลุสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า. นามว่า พระโพธิสัตว์ ไม่รวมอยู่ในจำพวกพุทธะ, เพราะยังจะไม่บรรลุถึงพระนิพพาน. กระดานป้ายในประเทศหนึ่ง, มีรูปช้างกำลังเดินลุยข้ามแม่น้ำ. ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องใจของชนทั้งหลายในเมืองจีน, สิ่งนั้นคือตัวอักษรย่อว่า พู-ซา. และรูปปั้นใด ๆ อันเป็นที่เคารพ. เหล่านี้ได้นามว่า โพธิสัตว์ อันเป็นสิ่งสำคัญทั้งนั้น. (ดูหนังสือลัทธิของเพื่อน หน้า ๑๔๓).

  14. ๔๕. คำว่า เทียน, เป็นพหูพจน์. ตัวอักษรจีนเขียนดั่งนี้ 天 , มีความหมายว่า สวรรค์, และคำว่า เทียน มักไปปนสับสนกับคำว่า ตี่, ซึ่งมีความหมายว่า พระเป็นเจ้า ในพุทธศาสนา คำว่า เทว มักหมายถึงพระเป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์, หรือพลเมืองแห่งสวรรค์เทวโลก ๖ ชั้นฟ้า. แต่ตามธรรมดาย่อมสำแดงปรากฏอยู่ว่า ในลัทธิพุทธศาสนากับลัทธิพราหมณ์, มักมีการต่อสู้แข่งขันกันอยู่เสมอ, และกับในระหว่างลัทธิ ขงจื๊อ ก็ด้วยอีกลัทธิหนึ่งเช่นเดียวกัน.

  15. ๔๖. Giles กับ William ว่าเป็น ‘พุทธธรรมสภา.’ แต่ ‘ธรรมสภา’ คิดว่าจะเล็กกว่านี่, และไม่น่าจะเป็นเช่นนี้. ตามนามแห่งนี้ชวนให้คิดเห็นว่าเป็นศาลาใหญ่หลังหนึ่ง, หรืออีกอย่างหนึ่งก็เป็นสถานที่ชุมนุมสงฆ์ ซึ่งใช้สำหรับอารามใหญ่ๆ เช่นนี้ในเมื่อเวลาลงฉันอาหาร คือที่เรียกว่า หอฉัน จึงเป็นสถานที่สูงใหญ่กว้างขวางสง่างาม

  16. ๔๗. พืดเขา ตฺซุง หรือ หัวหอม เรียกนามดุจเดียวกันกับภูเขา เพลูรตัคห ซึ่งรวมอยู่ในจำนวนภูเขา กราโกรัม, และโยงติดต่อกันไปทางทิศเหนือจนจดภูเขา ตีนชัน และ กวุนลุน อันเป็นภาคส่วนเหนือของประเทศธิเบต. ในภูมิประเทศเหล่านี้เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะสันนิษฐานนามจังหวัดทั้ง ๖ แห่งที่ฟาเหียนกล่าวไว้นี้.

  17. ๔๘. อะไรที่เป็นความหมาย ณ ที่นี้ ? ก่อนที่จะได้เขียนข้อความตอนนี้ ได้คำนึงอยู่ว่า (ฟาเหียน) ผู้บันทึกเรื่องนี้ มุ่งหมายที่จะกล่าวให้เข้าใจว่า โดยที่หัวหน้าภิกษุสงฆ์ทำการเรี่ยไรมารวบรวมไว้สำหรับใช้จ่ายในการก่อสร้าง ตามแต่จะได้โดยควรแก่ภูมิประเทศเล็กใหญ่แห่งเขาทั้งหลาย เช่นนั้นหรือ ? ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยลังเลใจยังเพ่งเล็งถึงการแปลอยู่จนบัดนี้.

    เรื่องนี้เป็นเหมือนความตอนหนึ่งใน กุงยัง (供養), ซึ่งเป็นนิยายธรรมดาตลอดเรื่อง. ประโยชน์แห่งการเรี่ยไรนั้น, แท้จริงมิใช่จะเกื้อกูลเฉพาะสำหรับภิกษุหรืออาราม, แต่สำหรับการทั่วไปอันเกี่ยวเนื่องในพระพุทธศาสนาที่เคารพ, แล้วแต่จะควรเป็นครั้งคราวหรือติดต่อกันเรื่อยๆ ไป. ขอนำเอาถ้อยคำที่วิจารณ์ไว้ในหนังสือ Davids’ manual (หน้า ๑๖๘-๑๗๐) มากล่าวสู่กันฟังสักตอนหนึ่ง ซึ่งมีความว่า ‘ภิกษุพุทธบริษัทผู้อยู่ในคำสั่งสอนนั้น เป็นผู้ซึ่งพ้นแล้วจากความประสงค์ ไม่คิดที่จะก่อสร้างแม้แต่โบสถ์วิหาร, จะทำการสักการบูชาด้วยดอกไม้และเครื่องหอมก็เพียงต่อพระศรีมหาโพธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ หรือต่อองค์พระพุทธปฏิมาอันเป็นที่เคารพในพุทธศาสนาเท่านั้น. ไม่ทำการหรือยอมรับผลประโยชน์อันบังเกิดแต่การกระทำทั้งปวง. และในแว่นแคว้นที่มีความอบอุ่นซึ่งพุทธบริษัทครองชีวิตอยู่. แต่เดิมมีกิจวัตรเพียงอ่านเรียนธรรมวินัย, แสดงธรรมเทศนาให้คำสั่งสอนแก่สาธารณชน, ถือเอาสถานที่ ๆ อากาศปลอดโปร่งดีที่สุดเป็นที่อาศัยเช่น ในที่ว่างท่ามกลางแสงแห่งดวงจันทร์ ภายใต้หลังคาธรรมชาติคือร่มไม้ใหญ่หรือใบต้นปาล์ม. บรรดาพุทธบริษัทมีหลักความประพฤติอันสำคัญ ๕ ประการ (ศีล ๕ ?), อันเป็นทางให้บังเกิดความเมตตากรุณาเป็นสังวรอยู่ในใจเสมอ ซึ่งถือเอาเป็นกิจวัตร’ ที่ Dr. Rhys Davids กล่าวไว้นี้, ขอให้พึงเข้าใจว่า หมายถึงบรรดาภิกษุในอินเดียครั้งก่อน ๆ.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ