บทที่ ๒๔

สถานที่ที่พระพุทธองค์ปฏิเสธโลกทั้งสิ้น (ตรัสรู้).

และสถานที่ที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน.

จากสถานที่นี่ไปทางทิศตะวันออก ๔ โยชน์, เป็นสถานที่ที่พระรัชทายาทส่งนายฉัณฑกะกับม้าขาวกลับ.๒๖๓ ณ ที่นี้มีสตูปสร้างขึ้นไว้องค์หนึ่ง.

จากสถานที่นี้ต่อไปอีก ๔ โยชน์, ฟาเหียนไปถึงสตูปพระอังคาร,๒๖๔ ณ ที่นี้เป็นอารามแห่งหนึ่งดุจเดียวกัน.

เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกอีก ๑๒ โยชน์, ฟาเหียนกับพวกถึงเมืองกุศานคร,๒๖๕ ซึ่งทางทิศเหนือเป็นระหว่างไม้ทั้งสอง,๒๖๖ อันอยู่บนฝั่งแห่งแม่น้ำเนรัญชรา,๒๖๗ เป็นสถานที่ที่พระบรมโลกนาถบันทมหันเบื้องพระเศียรไปทางทิศเหนือ, (เสด็จดับขันธ์) บัลลุปรินิพพาน, ณ ที่แห่งเดียวกันนี้ เป็นสถานที่ที่พระสุภัทร๒๖๘บรรลุญาณปัญญาเป็นที่สุด (สำเร็จพระอรหัตต์). (และเป็น) สถานที่ที่ประดิษฐานหีบทองไว้ กระทำการสักการบูชาพระบรมโลกนาถ ๗ วัน.๒๖๙ ณ ที่ที่วัชรปาณีวางคธาทองของตน.๒๗๐ และสถานที่ที่กษัตริย์ทั้ง ๘ แบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุ,๒๗๑ เหล่านี้ได้มีพระสตูปและอารามสร้างไว้ทุกแห่ง, ซึ่งทั้งหมดยังคงมีอยู่จนเดี๋ยวนี้.

ในเมืองนี้ประชาชนพลเมืองมีน้อย, และอยู่ในระหว่างห่างๆ กัน, รวมฉะเพาะทั้งครอบครัวที่เป็นของ (ต่างหากจาก) ภิกษุสงฆ์สมาคมทั้งหลายด้วย.

ไปจากสถานที่นี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง ๑๒โยชน์, ถึงสถานที่ที่ชาวลิจฉวีจะติดตามพระพุทธองค์ (ไปให้ถึงสถาน) ที่ที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน. และเมื่อพวกเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว, และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะแยกกับพวกที่ไม่สมัครเหล่านั้นให้พ้นไป, จึงทรงบันดาลให้ปรากฏเป็นคลองทั้งใหญ่และลึก (ขึ้นขวางหน้า), ซึ่งพวกเหล่านั้นไม่สามารถจะข้ามได้. แล้วพระองค์ได้ประทานบาตรของพระองค์ให้แก่พวกเหล่านั้น, เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความเคารพนับถือของตน, แล้วและรับสั่งให้พวกเหล่านั้นกลับคืนไปสู่ครอบครัวของเขาทั้งหลาย. ณ ที่นี้มีเสาหินสร้างไว้ต้นหนึ่ง, ได้แกะสลักตัวอักษรบอกเรื่องราวไว้ที่เสานั้น.

  1. ๒๖๓. ในคืนที่สุดเมื่อพระศากยมุนีละจากพระราชวังและพระราชวงศ์ได้สำเร็จตามวิถีที่พระองค์มีความรู้สึกอยู่แล้วนั้น, พระองค์ได้ทรงเรียกนายฉัณฑกะ (บาลี-ฉันนะ), ซึ่งเป็นคนขับรถของพระราชกุมาร, และเป็นผู้ร่วมใจกับพระองค์. รับสั่งให้ผูกม้าขาวกัณฐกอัศวราช, ม้ากัณฐกอัศวราชก็ส่งเสียงร้องขึ้นจนได้ยินถึงเทพดาทั้งหลาย, ต่างก็ชื่นชมโสมนัสยินดี, แล้วพระองค์กับนายฉัณฑกะก็ออกจากนครไป. (ดูหนังสือ M. B. หน้า ๑๕๘-๑๖๑, กับ Davids’ Manual หน้า ๓๒-๓๓). ตามหนังสือปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๑๑๐-๑๒๕, กับ Buddhist Birth Stories หน้า ๘๗, ว่าเสียงกัณฐกะร้องนั้น. เทพดากำบังเสียงเสียไม่ให้ผู้คนได้ยิน. และว่ากัณฐกอัศวราชไม่ได้กลับนคร, ตายลงในระห่างทางกลับเพราะด้วยความเศร้าโศก, และในทันทีนั้นก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรตรึงศ์, เป็นเทพบุตรมีนามว่ากัณฐกะ. คงทิ้งให้นายฉันฑกะกลับคนเดียว.

  2. ๒๖๔. ปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๗๘-๔๗๙, เรียกว่ามกุฎพันธนเจดีย์.

  3. ๒๖๕. ในบาลีเป็นกุสินารา. เดี๋ยวนี้ร้าง, ตั้งอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือของปัตนะ ๗,๒๐๐ เส้นเศษ, ตะวันออกเฉียงเหนือของเพนาเรส (พาราณสี) ๔,๘๐๐ เส้น, ตะวันออกของกบิลพัสดุ ๓,๒๐๐ เส้น.

  4. ๒๖๖. ต้นศาล. The Shorea robuta, ในหนังสือเล่มนี้ Legge อธิบายว่า เป็นไม้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับไม้สัก. ศาล สํสกฤต, บาลีเป็น สาล แปลกันว่าไม้รัง. แต่เดี๋ยวนี้ได้ไปตรวจพบต้นศาลในอินเดียแล้ว, รู้กันว่าไม่ใช่ต้นรังแน่. แต่จะตรงกับต้นไม้อะไรในเมื่องไทย, ยังไม่มีใครพิศูจน์

  5. ๒๖๗. Eitel ว่าแม่น้ำหิรัญวดี, ซึ่งในอดีตมีกระแสน้ำไหลผ่านนครจากเหนือลงใต้. ปฐมสมโพธิ (ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๕๙) ก็เรียกหิรัญวดีเหมือนกัน.

  6. ๒๖๘. ใน Buddhist Suttas หน้า ๑๐๓-๑๑๐ กล่าวว่า สุภัทรเป็นพราหมณ์ชาวเมืองเพนาเรส, กล่าวกันว่าชราอายุถึง ๑๒๐ ปี, มาขอเรียนธรรมจากพระพุทธองค์ในคืนวันที่จะปรินิพพาน. พระอานนท์ห้าม, แต่พระพุทธองค์รับสั่งให้นำเข้าไปเฝ้า. ปัญหาที่สุภัทรยกขึ้นตั้งถามพระพุทธองค์นั้นไม่สำคัญประการใด, พระพุทธองค์จึงทรงเทศนาพระธรรมวินัย, ด้วยความเฉลีบวฉลาดของสุภัทร, ก็เห็นแจ้งสำเร็จบรรลุเป็นพระอรหันต์. ปฐมสมโพธิ (พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๖๕) ไม่มีบอกว่าพระสุภัทรเป็นชาวเมืองไหน, และมิได้กล่าวถึงอายุ. Eitelกล่าวต่อไปว่า เมื่อพระสุภัทรสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว, ก็นิพพานก่อนเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์นิดหน่อย.

  7. ๒๖๙. ในการที่พระพุทธองค์ปรินิพพานเช่นนี้, ต้องกระทำกันดุจดั่งพระมหาจักรพรรดิราช. Hardy’s M. A. หน้า ๓๔๗ กล่าวไว้ว่า สถานที่สำหรับถวายพระเพลิงนั้น, กษัตริย์ครองกุสินาราถวายโรงงานพระราชพิธีของประกอบขึ้นด้วยหิน (Sacophagus) ชนิดหนึ่งซึ่งปิดทอง. ดูเรื่องการเผาศพอีกแห่งหนึ่งซึ่งฟาเหียนกล่าวในตอนถึงสิงหลบทที่ ๓๐. ปฐมสมโพธิ (ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๗๗-๔๗๙) ว่า ตั้งทำการบูชาอยู่สาลอุทยาน (ซึ่งเป็นที่เสด็จดับขันธ์) ๖ วัน, แล้วแห่เข้าสู่กลางนครกุสินารา, ประดิษฐานยังมกุฎพันธนเจดีย์, แล้วถวายพระเพลิง. หีบพระบรมศพกล่าวแต่ว่าเป็นหีบทอง, ห่อพระบรมศพด้วยผ้าทุกกุลพัตรห้าร้อยชั้นแล้วจึงบรรจุลงในหีบ.

  8. ๒๗๐. นามว่าวัชรปาณี, มีอรรถาธิบายว่า ผู้ถือคธาเพชรหรือพระขรรค์. วัชรปาณีเป็นนามหนึ่งในจำนวนนามทั้งหลายของอินทรหรือสักก. เป็นเทพผู้ป้องกันพุทธศาสนาอย่างสำคัญองค์หนึ่ง, เพราะฉะนั้น ก็ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของวัชรปาณีในการมาที่นี่. แต่การที่จะวิจารณ์ความที่ฟาเหียนกล่าวไว้ลอย ๆ ในวรรคนี้ว่าหมายถึงอะไรนั้น ไม่ใช่ง่ายนัก. ในปฐมสมโพธิก็ไม่มีกล่าวถึงเรื่องวัชรปาณีมาวางคธาที่นี่, ปรากฏเพียงว่าท้าวมัฆวาฬกล่าวคาถาอนิจจลักษณะอยู่บนสวรรค์. ใน Hardy ก็ไม่ให้ความเข้าใจได้อย่างไร. กษัตริย์แห่งกุศานครได้ป่าวร้องเชิญมัลลกษัตริย์ที่สามารถเข้มแข็ง เช่นปาวาและไวศาลีก็ได้มาในงานนี้, ฟาเหียนจะหมายถึงใครสักคนหนึ่งในพวกกษัตริย์นั้นหรือเปล่าก็เหลือที่จะเดา. ถ้าหมายตรง ๆ ถึงองค์วัชรปาณี, ก็ควรจะให้คำอธิบายเสียด้วยว่าต้องวางคธาเพราะเหตุไร?

  9. ๒๗๑. กุศานคร, ปาวา, ไวศาลี, และราชอาณาจักรอื่นๆ เหล่านี้, ที่ต้องประสงค์พระบรมอัฏฐิพระพุทธองค์ทั้งนั้น. แต่ในที่สุดได้ยอมให้โทณพราหมณาจารย์เป็นผู้แบ่งปันเป็น ๘ ส่วน. (ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๙๒-๔๙๕).

    เป็นประเทศราชเล็กๆ .ที่เข้มแข็งรวมกันสหรัฐ, มีนครไวศาลีเป็นหัวหน้า. ชาวนครเหล่านี้นับถือพระพุทธศาสนาตั้งแต่แรกอุบัติขึ้น, และเคารพนับถือพระพุทธองค์เอาจริงจังอย่างประหลาด. การประชุมทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ก็ทำที่นครไพศาลี, ซึ่งมีกล่าวต่อไปในบทหน้า บัดนี้เป็นนครร้างอยู่พัสสหารทิศเหนือของปัตนะ. และอีกแห่งหนึ่งที่เพสารหะทิศเหนือของหัชชิปุระ. (ดูหนังสือ Beal’s Revised Version หน้า l ๒)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ