บทที่ ๒๐

แคว้นโกศลและนครศราวัสตี. เชตวันวิหาร, และวิหารอื่นๆ.

ถาวรวัตถุโบราณและนิยายแห่งพระพุทธศาสนา.

ความกรุณาของภิกษุอันมีต่อสังฆจาริก.

ฟาเหียน ออกเดินทางจากศาจีลงไปทางตอนใต้เป็นระยะทาง ๘ โยชน์ ก็ถึงนครศราวัสตี๒๐๐ (บาลี-สาวัตถี) ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นโกศล.๒๐๑ ในเมืองนี้ประชาชนพลเมืองมีน้อยไปตลอดย่านไกล, มีจำนวนในราว ๒๐๐ ครัวเศษ. พระเจ้าประเสนชิต๒๐๒เป็นผู้ครอบครอง. มีสถานโบราณวัตถุอันเป็นวิหารของพระมหาปชาบดี,๒๐๓ และกำแพง (บ้านของ) เศรษฐีสุทัตตะ.๒๐๔ และสถานที่ที่พระองคุลิมาล๒๐๕สำเร็จเป็นพระอรหันต์, กับสุสานที่เผาศพท่าน (ภายหลัง) ที่ได้ดับขันธปรินิพพานแล้ว. ในสถานที่ทั้งหมดนี้สืบต่อมาได้มีผู้สร้างสตูปขึ้นไว้ทุกแห่ง, ซึ่งยังมีปรากฏอยู่ในเมืองนี้. พวกพราหมณ์ผู้ถือลัทธิอันเป็นปรปักษ์, ซึ่งเต็มไปด้วยความขุ่นแค้นริษยา. ปรารถนาใคร่จะทำการสังหารถาวรวัตถุเหล่านี้เสีย, แต่ก็บังเกิดมีพายุฟ้าผ่าฟ้าแลบ และส่งเสียงกระหึ่มครึมครางมาจากท้องนภากาศ, จนเขาเหล่านั้นไม่สามารถที่จะกระทำให้สำเร็จไปตามความมุ่งหมายได้.

จากประตูเมืองไปทางทิศใต้เป็นระยะ ๑,๒๐๐ ก้าว, เศรษฐีสุทัตตะได้สร้างวิหารขึ้นไว้หลังหนึ่ง, หันหน้าไปทางทิศใต้. และเมื่อเปิดประตูออก, ภายในด้านหนึ่ง (จะแลเห็น) มีเสาหินต้นหนึ่ง, มีรูปล้ออันหนึ่งอยู่บนยอด เป็นด้านซ้าย และ (มีเสาหินอีกต้นหนึ่ง) มีรูปโคตัวหนึ่งอยู่บนยอด, ซึ่งเป็นด้านขวา. ทั้งด้านซ้ายและขวาของวิหารมีสระน้ำอันใสสะอาด, เดียรดาษไปด้วยต้นไม้หนาทึบเสมอกัน, ต่างชูดอกออกช่อเป็นสีต่าง ๆ มากหลายเหลือที่จะคณนานับ, เป็นที่ประกอบไปด้วยสิ่งอันน่ารักเจริญตา. สิ่งที่ปรากฏจากการกระทำโดยครบถ้วนเหล่านี้, รวมเรียกว่า เชตวันวิหาร.๒๐๖

เมื่อครั้งพระพุทธองค์ เสด็จขึ้นไปประทับอยู่บนสวรรค์,๒๐๗ และทรงแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่พระพุทธมารดา๒๐๘อยู่ ๙๐ วันนั้น, (ในระหว่างที่พระพุทธองค์ไม่อยู่, พระเจ้าประเสนชิตมีความปรารถนาใคร่จะได้เห็นพระพุทธองค์ (อยู่เสมอ), จึงเป็นมูลเหตุให้พระองค์สร้างพระพุทธปฏิมาแทนพระพุทธองค์ขึ้นองค์หนึ่ง, แกะสลักด้วยไม้โคศีรษะจันทน์,๒๐๙ และประดิษฐานไว้ในสถานที่ที่พระพุทธองค์เคยประทับนั่งอยู่เสมอ ๆ นั้น. เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับเข้าไปในวิหาร, ในทันทีนั้นพระพุทธปฏิมาก็ละที่เดิม, เข้าไปบรรจบกับพระพุทธองค์. พระองค์จึงตรัสกับพระปฏิมาว่า ‘ให้กลับไปยังที่นั่งเดิม, ภายหลังเมื่อเราบรรลุปรินิพพานแล้ว, จะเป็นตัวอย่างแก่บริษัท ๔ ซึ่งเป็นศิษย์ของเรา,๒๑๐ ดั่งนั้นแล้ว พระปฏิมาก็เลื่อนกลับไปสู่ที่นั่งเดิม. พระปฏิมาองค์นี้เป็นพระพุทธปฏิมาองค์แรกของพระพุทธปฏิมาทั้งหมด, และซึ่งบุคคลสืบต่อมาได้ถือเอาเป็นตัวอย่าง. พระพุทธองค์ได้เสด็จเลื่อนไปประทับอยู่ในวิหารเล็กทางด้านใต้อีกหลังหนึ่ง, ต่างหากจากสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น, ซึ่งห่างจากกัน ๒๐ ก้าว.

เชตวันวิหารนั้น แต่เดิมทีเดียวมี ๗ ชั้น, บรรดากษัตริย์และประชาชนแห่งนครต่าง ๆโดยรอบ, ต่างประกวดกันจัดหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งถวายเป็นเครื่องสักการบูชา, เบื้องบนโดยรอบแขวนห้อยด้วยธงราวที่ทำด้วยไหม, และผ้าที่ดาดเพดานก็เต็มไปด้วยพวงดอกไม้. (เบื้องล่าง) เผาเครื่องหอม, และแสงสว่างของชวาลาซึ่งตามไว้ในเวลากลางคืนแจ่มแจ้งดุจกลางวัน. ต่างกระทำกันอยู่เช่นนี้ทุก ๆ วัน โดยปราศจากการงดเว้น. (บังเอิญมีเหตุเกิดขึ้น), มีหนูตัวหนึ่งคาบเอาไส้ตะเกียงที่ยังมีไฟติดอยู่, พาเอาขึ้นไปวางไว้ที่ผ้าเพดานและธงราว, เป็นเหตุให้เกิดเพลิงเผาพลาญวิหารทั้ง ๗ ชั้นพินาศหมด. บรรดากษัตริย์และเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลาย. ต่างเศร้าโศกเป็นทุกข์กันยิ่งนัก. ด้วยคิดว่าพระพุทธปฏิมาไม้จันทน์หอมนั้น, จะถูกเพลิงเผาผลาญเสียหมดด้วย. แต่ภายหลังต่อมาอีก ๔ หรือ ๕ วัน, เมื่อประตูวิหารหลังเล็กทางด้านตะวันออกเปิดขึ้น, ในทันใดนั้นก็เห็นพระพุทธปฏิมาองค์เดิมนั้นคงประดิษฐานอยู่. เขาทั้งหลายต่างมีความยินดีกันเป็นล้นพ้น, จึงต่างออกแรงช่วยกันสร้างวิหารให้กลับมีขึ้นอีก. และเมื่อได้กระทำสำเร็จบริบูรณ์เป็น ๒ ชั้นสมประสงค์แล้ว, ต่างก็ช่วยอัญเชิญพระพุทธปฏิมากลับคืนเข้าสู่สถานที่เดิม.

เมื่อเวลาที่ฟาเหียนกับ ตาว-จิงไปถึงเชตวันอารามทีแรกนั้น, บังเกิดความระลึกขึ้นว่า พระบรมโลกนาถได้ทรงประทับพักอาศัยอยู่ที่นี่ในครั้งกระโน้นเป็นเวลาถึง ๒๕ ปี, แล้วกลับหวนระลึกถึงตนเองกับพวก, ที่ได้เพียรพยายามอุตสาหะอดทนต่อความทุกข์ยากมาด้วยกัน, ปรากฏขึ้นในใจว่า ตนกับเพื่อนเกิดอยู่ในแดนไกล, และได้เป็นเพื่อนร่วมใจพากันท่องเที่ยวมาตลอดราชอาณาจักรมากหลาย, เพื่อนบางคนก็กลับ (ถิ่นฐานของตน), และบางคนก็ปรากฏความจริงขึ้นว่า ไม่ถาวรและไม่แน่นอนในชีวิตความเป็นอยู่ (มรณะ). และวันนี้ก็ได้มาเห็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ได้เคยสำนักอาศัย, แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ก็มิได้ทรงใช้สถานที่นี้อีกแล้ว. กระทำให้บังเกิดความหม่นหมองเศร้าโศกปวดร้าวขึ้นในใจตนและเพื่อนทุกคน. จนกระทั่งมีหมู่ภิกษุออกมา, และกล่าวทักถามว่า ‘มาจากประเทศไหนกัน?’ ฟาเหียนกับเพื่อน (ได้สติ) จึงได้ตอบไปว่า ‘มาจากประเทศฮั่น.’ ‘แปลก.’ เป็นคำที่พระภิกษุเหล่านั้นกล่าวแล้วถอนใจใหญ่ (และกล่าวต่อ), ‘บุคคลผู้อยู่ถึงต่างประเทศแดนไกล, ยังอุตสาหะสามารถมาถึงที่นี่, เพื่อสืบเสาะค้นคว้าหาธรรมวินัยของเรา,’ แล้วจึงหันไปกล่าวกับเพื่อนภิกษุอีกองค์หนึ่งว่า ‘ตลอดชั่วสมัยเวลาของเรา, และคณาจารย์หรือภิกษุ๒๑๑ทั้งหลายองค์ใดองค์หนึ่งที่ได้มีมาแล้วโดยลำดับ, เราไม่เคยพบเห็นเลยว่า มีบุคคลจากประเทศฮั่นมาถึงที่นี่.’

ระยะ ๘๐ เส้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของวิหาร, เป็นหมู่ต้นไม้เล็กใหญ่กลุ่มหนึ่งเรียกว่า “การได้ตา.” ในกาลก่อนว่ามีคนตามืดมัว ๕๐๐ คนอาศัยอยู่ที่นี่, โดยพระพุทธดำรัสสั่งให้รวมกันอยู่ให้ใกล้วิหาร๒๑๒เท่าที่สามารถจะอยู่ได้. พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่คนพวกตามืดมัว, จนบุคคลเหล่านั้นกลับเป็นคนตาสว่างได้หมดทุกคน. ด้วยความยินดีอันเต็มเปี่ยม, พวกเขาเหล่านั้นได้เอาไม้เท้าของตนปักลงไว้บนพื้นแผ่นดิน, แล้วน้อมเศียรเกล้าซบหน้าลงกระทำความเคารพยังพื้นพสุธา. ในทันใดนั้นไม้เท้าทั้งหลายเหล่านั้นก็เริ่มเจริญ, และเติบโตขึ้นจนเป็นไม้ใหญ่ ๆ พวกชาวบ้านนับถือไม้เหล่านี้มาก, ไม่มีผู้ใดบังอาจเข้าไปกระทำการตัดฟันหมู่ไม้เหล่านั้นลงให้เสียไป. หมู่ไม้แห่งนี้จึงได้นามตามเหตุผลที่กล่าวแล้ว. โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพระภิกษุในเชตวัน. ภายหลังเวลาเมื่อได้กระทำการฉันอาหารตอนเที่ยงวันเสร็จแล้ว, ต่างก็เข้าไปในหมู่ไม้แห่งนี้ นั่งเจริญภาวนาตรึกตรอง.

หนึ่งร้อยยี่สิบหรือหนึ่งร้อยสี่สิบเส้นจากวิหารเชตวันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ, วิศาขมารดา๒๑๓ได้สร้างวิหารไว้อีกแห่งหนึ่ง, นางได้อาราธนาให้พระพุทธองค์กับสงฆ์สาวกไปพำนักอาศัย, ซึ่งยังคงมีปรากฏอยู่.

บรรดาอาศรมใหญ่ ๆ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ทุก ๆ หลังในบริเวณเชตวันมหาวิหารมีประตู ๒ ทาง, หันหน้าไปทางตะวันออกทางหนึ่ง, และไปทางเหนืออีกทางหนึ่ง. มีอุทยานคั่นอยู่ในระหว่างพื้นที่ที่ว่าง, ตัววิหารตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางทีเดียว. ทั้งนี้ มหาเศรษฐีสุทัตตะได้จัดซื้อถวายไว้ด้วยค่าของทองและเงินตรา. สถานที่นี้พระพุทธองค์ทรงประทับพักอาศัยอยู่นานกว่าสถานที่ใด ๆ, และได้ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดบุคคลให้เปลี่ยนความประพฤติเป็นอันมาก. ในสถานที่ที่พระพุทธองค์เคยเสด็จประพาส, และสถานที่ที่พระองค์เคยประทับนั่ง, ในที่สุดได้มีผู้สร้างสตูปขึ้นไว้ทุกๆ แห่ง, และให้นามโดยเฉพาะสิ่งนั้นๆ. และที่นี่ยังมีสถานที่ของสุนทรี๒๑๔ผู้ร้ายฆ่าคนผู้หนึ่ง, แล้วและมากล่าวคำมุสาวาทใส่ไคล้ลงเอาว่าเป็นพระพุทธองค์. ภายนอกประตูบริเวณเชตวัน. เป็นระยะทางห่างออกไปอีก ๗๐ ก้าวทางทิศเหนือด้านตะวันตกของถนน, มีสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมสากัจฉา (ซึ่งมีผู้เสนอ) ด้วยหัวข้อพฤติการณ์ ๙๖ ประการแห่งโอวาทที่มักจะทำให้หลงผิด. ซึ่งเมื่อครั้งกระนั้นได้มีกษัตริย์และเสนาข้าราชการมหาดเล็กเด็กชา, และประชาชนพลเมืองเนืองแน่นกันมาประชุมฟัง ณ ที่นี้. และมีหญิงผู้หนึ่งเป็นคนอยู่ในลำดับของพวกที่หลงคิดผิดนั้น. มีนามว่าจัญจมาน๒๑๕เข้าไปร้องตักเตือนชวนด้วยความริษยาขุ่นแค้นอยู่ในใจ, และใส่ผ้าเข้าไว้ข้างหน้าของตน, ดุจดั่งให้ปรากฏว่าตนกำลังเป็นผู้มีครรภ์, แล้วและร้องกล่าวโทษด้วยคำเท็จว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะมาสู่ที่ชุมชนทุกแห่งนั้น, พระองค์ได้ไปกระทำความอันไม่ชอบธรรม (แก่นาง). ดั่งนี้ ท้าวสักกเทวราชกับเทวดาบางองค์ก็จำแลงแปลงกายเป็นหนูหริ่งเผือก, เข้าไปกัดเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่รัดรอบเอวนาง, และเมื่อเป็นเช่นนั้น, ผ้าซึ่งนางใส่ไว้ก็ขาดหลุดร่วงลงยังพื้นดิน. และในเวลาเดียวกันนั้นพระธรณีก็แยกออก, (สูบ) นางลงไปสู่นรก๒๑๖ทั้งๆ เป็น. ณ สถานที่แห่งเดียวกันนี้ เทวทัตต์๒๑๗ ผู้คิดวางยาพิษและประทุษร้ายต่อพระองคุลีบาทของพระพุทธองค์, ก็ได้ลงไปสู่นรกทั้ง ๆ เป็นจุดเดียวกัน. สืบต่อมาได้มีผู้สร้างสถานที่ไว้เป็นเครื่องหมายซึ่งจะสังเกตเห็นได้ตามเหตุการณ์ทั้งสองเรื่อง.

ไกลจากสถานที่ที่ทรงแสดงธรรมสากัจฉา, มีผู้สร้างวิหารไว้อีกหลังหนึ่ง, สูงกว่า ๖๐ ศอกเล็กน้อย, ภายในมีพระพุทธรูปนั่งองค์หนึ่งประดิษฐานไว้เฉพาะเป็นประธาน. ทางเบื้องตะวันออกของถนนเป็นสถานเทวาลัย๒๑๘ (หลังหนึ่ง), สำหรับฝ่ายลัทธิที่ไม่ต้องกัน (กับพุทธศาสนา) เรียกนามสถานว่า ‘เงาบัง’ อยู่ตรงหน้าวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ทรงแสดงธรรมสากัจฉา, ระหว่างฟากถนนคนละข้าง, และสูง ๖๐ ศอกกว่าเล็กน้อยดุจเดียวกัน. เหตุไฉนสถานที่แห่งนี้จึงมีนามว่า ‘เงาบัง’ เป็นดั่งนี้คือ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่เบื้องตะวันตก, เงาวิหารของพระบรมโลกนาถ จะเอนตกไปบังเทวาลัยวิหาร. แต่ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ทางเบื้องตะวันออก, เงาของเทวาลัยก็เอนไปเสียทางทิศเหนือ, ไม่มีเลยที่จะไปบังบนวิหารแห่งพระพุทธองค์. ตามปกติบุรุษผู้มีความเคารพนับถือได้จ้างคนให้อยู่เฝ้าสถานเทวาลัยของเขาทั้งหลาย, และคอยเช็ดล้างปัดกวาด, เผาเครื่องหอม, จุดตะเกียง, จัดเครื่องสักการบูชาถวาย. แต่ครั้นรุ่งขึ้นในเวลาเช้าจะเห็นได้ทันทีว่าตะเกียงนั้นได้เคลื่อนที่ไปเสียแล้ว, และไปอยู่ในวิหารแห่งพระพุทธองค์. พวกพราหมณ์ทั้งหลายต่างมีความเจ็บใจและกล่าวว่า ‘พวกสมณะเหล่าโน้นมาเอาตะเกียงของเราไป, และเอาไปใช้สำหรับพระพุทธเจ้าของตน, แต่เราก็จะไม่หยุดการกระทำของเราเพื่อประโยชน์ท่าน.๒๑๙’ ในคืนนั้นพวกพราหมณ์ได้นั่งเฝ้ายามด้วยตนเอง, ก็ได้แลเห็นเทวดาทั้งหลายมานำเอาตะเกียงเหล่านั้นไปกระทำการประทักษิณวิหารแห่งพระพุทธองค์ ๓ รอบ, แล้วก็นำเข้าไปกระทำการสักการะบูชา, ภายหลังเมื่อพวกเทวดาได้กระทำการเคารพต่อพระพุทธองค์ดั่งนั้นแล้ว, ต่างก็อันตรธานหายลับไปจากตาทันที. เมื่อพวกพราหมณ์ได้ประจักษ์แจ้งว่าอำนาจวิญญาณแห่งพระพุทธองค์ยิ่งใหญ่เพียงไรเช่นนั้นแล้ว, เขาทั้งหลายต่างก็ละครอบครัวเข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ. สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนี้มีเรื่องที่กล่าวกันสืบมาว่า ในสมัยที่ใกล้กับเวลาเมื่อจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้นั้น, โดยรอบเชตวันวิหารมีอารามอยู่ถึง ๙๘ แห่ง, ในอารามทั้งหมดมีพระภิกษุอาศัยอยู่, เว้นแต่เฉพาะสถานที่แห่งเดียวซึ่งว่างเปล่า, อยู่ในแดนกึ่งกลางแห่งราชอาณาจักรนี้.๒๒๐ ซึ่งเป็นหมู่ที่ยึดถือมติเพ่งเล็งแยกทางกันถึง ๙๖ จำพวก,๒๒๑ อันเป็นทางที่เห็นผิดและแตกต่างจากลัทธิฝ่ายพุทธศาสนาของเรา ทั้งหมดยอมรับเอาทั้งโลกนี้และโลกหน้า๒๒๒อันไกลโพ้น (ติดต่อในระหว่างกันได้). ทุกจำพวกมีคนเป็นอันมากดำเนินตาม, และพวกเหล่านี้ทั้งหมดไปเที่ยวขออาหารโดยเฉพาะตน, มิได้ถือเอาบาตรไปด้วย. นอกจากนี้เขาเหล่านั้นแสวงหาคำให้ศีลให้พร (จากกิจการที่ดี), โดยจัดวางศาลาทำทานไว้ตามข้างหนทางที่ไม่สู้จะมีใครไปมาเนือง ๆ, ได้จัดห้องนอนและอาหารน้ำดื่มไว้แจกจ่ายให้แก่ผู้เดินทางทั้งหลาย. และถ้าภิกษุไปมาก็จะได้รับเชิญด้วยเหมือนกัน, และจะได้อยู่โดยเฉพาะต่างหาก (จากพวกเก่าที่ยังค้างอยู่) ในเวลานั้น.

ณ ที่นั้น บริษัทบุคคลผู้ซึ่งมีความเคารพนับถือดำเนินตามรอย๒๒๓พระเทวทัตต์ก็ยังคงมีอยู่, เขาเหล่านั้นสักการบูชาพระพุทธเจ้าแต่อดีต ๓ พระองค์, ซึ่งมิใช่พระศากยมุนีพุทธเจ้า.

จากนครศราวัสตีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ๘๐ เส้น, มีสตูปก่อสร้างขึ้นที่นั่นองค์หนึ่ง, ซึ่ง ณ ที่นั้นเป็นสถานที่ที่พระบรมโลกนาถพบกับพระเจ้าวิรูธห๒๒๔กษัตริย์, ในขณะเมื่อปรารถนาจะยกพลเข้าตีราชอาณาจักรเษย-อี. พระพุทธองค์เสด็จไปประทับนิ่งอยู่ก่อนที่ข้างถนน.๒๒๕

  1. ๒๐๐. ในสิงหลเรียกเสเวต, เป็นนครหลวงของแคว้นโกศล. สถานที่แห่งนี้ Cunningham นักปราชญ์ฝ่ายโบราณวัตถุได้ไปตรวจแล้ว, ในภูมิประเทศบนฝั่งใต้แห่งแม่น้ำรัปติ, ตอนเหนือแห่งนครอโยธยาประมาณ ๓,๕๐๐ เส้น. มีมหานครร้างอันสลักหักพังอยู่แห่งหนึ่ง, ที่มีปรากฏนามอยู่เดี๋ยวนี้ว่า สาเหต มาหัต ในนครหรือตำบลนี้เองที่พระศากยมุนีมาประทับอยู่ปลายปี, ภายหลังเวลาที่ตรัสรู้แล้ว ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๒๘.

  2. ๒๐๑. ในอินเดียมีราชอาณาจักรนามว่าโกศล ๒ แห่ง, คือ โกศลภาคเหนือและโกศลภาคใต้. แต่ที่กล่าวถึงตรงนี้คือโกศลภาคเหนือแห่งนครอโยธยาหรือโอธะ.

  3. ๒๐๒. ในภาษาสิงหลเรียกปเสนฏิ (บาลี-ปเสนทิ). กษัตริย์พระองค์นี้เป็นผู้มีความเลื่อมใสเข้ารับเป็นผู้อุปถัมภ์องค์พระศากยมุนี. Eitel กล่าวไว้ (หน้า ๙๕) ว่า กษัตริย์พระองค์นี้เป็นผู้เริ่มประดิษฐ์ให้มีการเคารพกราบไหว้พระพุทธปฏิมาในพุทธศาสนาขึ้น, ดั่งข้อความที่กล่าวไว้ในบทนี้. ดูหนังสือ Hardy M. B. หน้า ๒๘๓-๒๘๔. กับตำนานพุทธเจดีย์สยาม ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หน้า ๓ กับ ๓๕-๓๘.

  4. ๒๐๓. มหาปชาบดี มีอรรถาธิบายโดยศัพท์ว่า วิถีแห่งความรักความเสน่หา, หรือผู้มีอิสสระแห่งชีวิต. เป็นพระมาตุจฉา (น้า) และผู้บำรุงเลี้ยงรักษาองค์พระศากยมุนี, มาตั้งแต่เยาว์วัยพระชนม์ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์. และเป็นสตรีคนแรกที่ยอมรับปฏิบัติตามวินัยเข้าอุปสมบทเป็นภิกษุณี. และเป็นสตรีคนแรกที่เป็นใหญ่ในชุมนุมสงฆ์ภิกษุณี. ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๘๖, ๓๗๘-๓๘๑.

  5. ๒๐๔. สุทัตตะ, มีความหมายว่าผู้ให้ทาน. นามเดิมอนาถบิณฑิกะหรือบิณฑัต. เป็นเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง, และเป็นหัวหน้าตระกูลไวศยะแห่งนครศราวัสตี, เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง, และเป็นคนใจบุญโอบอ้อมอารีกว้างขวาง, บ้านของอนาถบิณฑิกะแต่โบราณ, ยังคงมีเหลืออยู่ในเวลานี้เฉพาะแต่สระน้ำกับกำแพงบ้าน, ตามที่ฟาเหียนไปพบ.

  6. ๒๐๕. องคุลิมาล, เป็นคนที่เคารพนับถือลัทธิพระศิวะและภูตผีปีศาจจำพวกหนึ่ง, เป็นผู้กระทำการฆาตกรรมด้วยความศรัทธาตามข้อบัญญัติศาสนาพราหมณ์ พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดให้กลับความประพฤติเข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ ในขณะที่กำลังจะทำร้ายพระพุทธองค์. นามในภาคบาลีว่า องคุลิมาล, เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งที่ได้นิพนธ์ประวัติตนเองเป็นกาพย์ฉันท์ไว้อย่างไพเราะ, ตามบทที่ใช้สวดกันนั้น (อังคุลิมาลสูตร).

  7. ๒๐๖. เป็นวิหารซึ่งมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง, อยู่ภายนอกใกล้กับกำแพงเมืองศราวัสตี, ก่อสร้างขึ้นในวโนทยานซึ่งมหาเศรษฐีสุทัตตะได้ซื้อจากเจ้าเชต โอรสของพระเจ้าประเสนชิต. พระศากยมุนีทรงโปรดอาวาสสถานแห่งนี้มาก. ประทับอยู่ ๒ คราวรวมเวลา ๒๐ พรรษา. ดูหนังสือ Eitel หน้า ๓๗. ปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๔๒๘.

  8. ๒๐๗. ดูบทที่ ๑๗.

  9. ๒๐๘. ดูบทที่ ๑๗.

  10. ๒๐๙. ดูบทที่ ๑๓.

  11. ๒๑๐. Legge ให้อรรถาธิบายว่า อารยะมีความหมายว่า ควรเป็นที่นับถือ หรือซึ่งเป็นที่นับถือ. ตำแหน่งทั้ง ๔ ที่พระบรมครูให้ไว้เพื่อนำดวงวิญญาณไปสู่ความแท้จริงนั้น คือ (๑) ความตระหนี่ เป็นความประสงค์ในลักษณะทั้งหมดที่ปรับโทษตนเองในเวลายังมีชีวิตอยู่, นั้นเป็นทุกข์ (๒) การสะสมอันบังเกิดจากความตระหนี่, เป็นมูลเหตุของความร้อนใจ, นั้นเป็นสมุทัย. (๓) การดับศูนย์ของชีวิตความเป็นอยู่, เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้, นั้นคือนิโรธ. (๔) วิธีที่จะเดินไปสู่ความดับศูนย์, เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้, นั้นเป็นมรรค. ตามที่กล่าวแล้วนี้ ผู้พิจารณาทั้งหลายจะประสบถึงความแท้จริงทั้งปวง, ซึ่งอารยะผู้เจริญตามรอยแห่งองค์พระพุทธเจ้า จะบำเพ็ญไปตามลำดับแห่งการบรรลุถึงชั้นทั้ง ๔ คือ โสดาบัน. สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์. ดู E. H. หน้า ๑๔. วินัยมุข เล่ม ๑ หน้า ๕๑.

  12. ๒๑๑. ณ ที่นี้เป็นครั้งแรกที่ฟาเหียนใช้นามโอ-ชัง 和尙 ซึ่งในปัจจุบันนี้ประชาชนชาติจีนพอใจเรียกพระภิกษุทั้งหมด, ที่มิได้มียศหรือเป็นเจ้าอธิการซึ่งกระทำให้ต่างกัน. คำนี้ถ้าหมายถึงผู้ดูแลแทน, ในภาษาสํสกฤตเรียกว่า อุปัธยาย. มีอรรถาธิบายในหนังสือของ Eitel หน้า ๑๕๕ ว่า ครูผู้สอนตนเอง, โดยที่เป็นผู้รู้แจ้งแล้วว่า สิ่งใดเป็นบาปและสิ่งใดไม่เป็นบาป. และทำโน๊ตอธิบายไว้อีกว่า ภาษาพื้นเมืองในอินเดียเรียกคำนี้เป็น 殞社 มุนชี, (คนบวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณีในพุทธศาสนา). ในกัสตะตนะและกัชคาร เรียกว่า 鵑社 ฮวา-เชย. และออกจากสำเนียงคำนี้ต่อมาจีนเรียกออกเสียงว่า 和閱 โฮ-เชย, และ 和尙 โฮ-ชัง. แต่แรกทีเดียวคำนี้ในภาษาอินเดียใช้เฉพาะสำหรับพวกครูผู้สอนพระเวทและเวทางค์. พุทธศาสนาในตอนกลางทวีปเอเชียยอมรับกันว่า เพื่อที่จะกระทำให้รู้คำว่า พระภิกษุนั้นเป็นลัทธิเก่ากว่า, และต่างกันกับลามา (นักบวชในประเทศธิเบต) ในประเทศจีนจึงใช้คำที่มีความหมายอย่างเดียวกันนี้มาแต่แรกทีเดียว, สำหรับคำว่า 法師 รวมเข้าในความหมายถึงภิกษุเป็นครูผู้สั่งสอนธรรมวินัยทั้งหลาย, ซึ่งต่างกับคำว่า 律師 ผู้ฝึกหัดตามแบบแผน, กับคำว่า 褌師 ผู้พิจารณาตรึกตรองตามธรรมวินัย, ซึ่งใช้ในความหมายถึงตำแหน่งสมภารเจ้าวัด. แต่ในเวลาบัดนี้รวมเข้าใช้ในคำว่าภิกษุแห่งพุทธศาสนาทั้งหมด. ในสมุดเล่มนี้ดูเหมือน (ฟาเหียน) จะเล็งความหมายในระหว่างคำว่า อาจารย์ กับคำว่า โฮ-ชัง ต่างกันบ้าง, อาจเป็นดั่งคำในบาลี อาจริย กับ อุปคฺคหาย ก็ได้. ดู Sacred Book of the East เล่ม ๑๓ คัมภีร์วินัย หน้า ๑๗๘-๑๗๙.

  13. ๒๑๒. ตรงนี้ถ้าได้เพิ่มคำว่า เป็นที่พึ่ง เข้าด้วย. ก็จะได้ความเต็มตามความหมายของคำว่า 侬 ในสมุดเล่มนี้. ทำให้นึกถึงพวกขอทานในงานเทศกาลไหว้พระที่ต่าง ๆ, ที่เกลื่อนกล่นก่อความรำคาญแก่ผู้เข้าไปนมัสการอยู่ไม่น้อย, ต่างหวังชูคอคอยคนที่ใจอ่อนเลื่อมใสศรัทธา. ตามวัดในฮ่องกงและปักกิ่ง, และตามทางที่จะขึ้นเนินเขาตอาอิในชัน-ลุงก็เช่นเดียวกัน, จนต้องมีตำรวจควบคุมรักษา.

  14. ๒๑๓. วิศาขมารดาเป็นนามภรรยาของอนาถบิณฑิกเศรษฐี, (ดูหน้า ๑๐๐ โน๊ต ๑). นางเป็นอธิการปกครองอาวาสของภิกษุณีหลายแห่ง. ดูประวัติของนางในหนังสือ M. B. หน้า ๒๒๐-๒๒๗.

  15. ๒๑๔. ดูหนังสือ E. H. หน้า ๑๓๖. แต่เรื่องราวในหนังสือเล่มที่กล่าวแล้วนี้ Hsüan Chwang ก็มิได้บอกนามผู้ร้ายฆ่าคนไว้. ในหนังสือ Julien’s ‘Vie et Vogas de Hionen thsang หน้า ๑๒๕ ว่า พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งเป็นผู้ฆ่าหญิง, แล้วไปกล่าวเท็จใส่ร้ายเอาพระพุทธองค์. เรื่องอย่างเดียวกันนี้มีในหนังสือ Record of Western Countries หน้า ๗-๘ ว่า หญิงพรหมจารีหลายคนเป็นผู้ฆ่า, Beal (ผู้แต่ง) เลยประสมเอานามสุนทรีนี้ว่าเป็นหญิงเพศยาฆ่าคน. ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีคำอธิบายไว้เสียด้วย, แต่อย่างไรก็ดี, ในสุนทรีสูตร อุทานเมฆิยวรรค เล่ม ๒๕ หน้า ๑๓๗ ว่า พวกปริพพาชกเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีแล้วเอาไปหมกไว้ที่คูพระเชตวัน, แล้วขุดเอาศพนางไปเที่ยวประกาศใส่ร้ายว่าพระสมณโคดม (พระศากยมุนี) เป็นผู้ทำร้ายนาง.

  16. ๒๑๕. Eitel (หน้า ๑๔๔) เรียกนามว่า จัญจ. ในภาษาสิงหลเรียกจินจิ. (ดูเรื่องราวของนางในหนังสือ M. B. หน้า ๒๗๕-๒๗๗). และในธัมมปทัฏฐกถาภาค ๖ หน้า ๑๗๕ เรียกจิญจมาณวิกา.

  17. ๒๑๖. ธรณีสูบ Legge ใช้คำว่าคุกของธรณี, แล้วอธิบายต่อไปว่า คืออวีจินรก. ซึ่งนางต้องลงไปสู่ชั้นต่ำที่สุดของ ๘ ชั้นซึ่งมีความร้อน. ณ ที่นั่นนักโทษจะต้องตาย, และก็เกิดแล้วตายอีกโดยมิได้พักหยุดหย่อน, แต่ก็ยังไม่หมดหวังที่สุดแห่งการที่จะถ่ายบาป. (ดู E. H. หน้า ๒๑).

  18. ๒๑๗. เทวทัตต์เป็นพระญาติสนิทกับองค์พระศากยมุนีคนหนึ่ง ในฐานที่เป็นเขฏฐภาดาของพระนางพิมพา และได้เป็นศัตรูกับพระพุทธองค์, ต้องถูกธรณีสูบในเวลาต่อมา. เป็นผู้ที่จองเวรกับพระพุทธองค์มาแล้วแต่ปางก่อน, และด้วยความเคืองแค้นมาบังเกิดในโลกนี้ร่วมกับพระพุทธองค์อีก, เพื่อทำการแก้แค้นต่อไป. ดูปฐมสมโพธิ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๓๓๖, ๓๔๒-๓๔๙ M. B. หน้า ๓๑๕-๓๒๑, ๓๒๖-๓๓๐. และที่ดียิ่งกว่านั้นในสมุด Sacred Book of the East เล่ม ๒๐ คัมภีร์วินัย หน้า ๒๓๓-๒๖๕. ที่มีความละเอียดและกล่าวถึงโดยเฉพาะในสมุด The Life of Buddha หน้า ๑๐๗. เมื่อเทวทัตต์ถูกธรณีสูบลงไปแล้วและมีเปลวไฟลุกล้อมอยู่ทั่วตัวนั้น, ได้ร้องเรียกหาพระพุทธเจ้าให้ช่วย. ตอนนี้น่าที่จะมีใครบอกเทวทัตต์ให้ทราบว่า ตนยังมีหวังที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพระนามว่าเทวราช, ซึ่งในสากลโลกจะเรียกว่า เทวโสปนะ ในอดีตสืบไป. (E. H. หน้า ๓๙).

  19. ๒๑๘. เทวาลัย, (禾寺 หรือ 禾祠 ) สถานที่สถิตเทวราชที่เคารพนับถือ, เป็นนามทั่วไปสำหรับเทวสถานของพวกพราหมณ์. ถ้าเราอ่านปทานุกรม Khang-hsi ตรงคำ 寺 จะพบคำอธิบายว่า เมื่อเวลาที่พระกัศยปมถังค์ไปจากประเทศทางตะวันตก, ถึงนครหลวงในสมัยพระมหาจักรพรรดิหมิงทรงราชย์ในรัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์ฮั่นนั้น, ได้นำเอาพระสูตรไปด้วย, และไปวางพักไว้โรงพิธีของประเทศ. สืบต่อมาจึงได้สร้างสถานที่สำหรับประดิษฐานพระสูตรไว้. ซึ่งเรียกว่าศาลม้าขาว ( 白馬寺) และนามที่เรียกกันตามธรรมดาว่าเซ (寺), เลยเป็นนามของอารามในพุทธศาสนาประเทศจีนทั่วไป. แต่อย่างไรก็ดี, ฟาเหียนใช้คำที่ตรงนี้ว่าเทวาลัย, หมายเฉพาะถึงเทวสถานของพราหมณ์.

  20. ๒๑๙. คำพูดของพวกพราหมณ์ดูไม่ติดต่อกันให้สมกับเหตุการณ์ตามธรรมดาเลย. เรื่องนี้คล้ายคลึงกับเรื่องราวของ อารค และ ดากอน พระเป็นเจ้าของปาเลสไตส์ที่ Samuel เขียนไว้

  21. ๒๒๐. ตรงนี้ไม่ได้ความชัดเจนเลยว่า ผู้แต่ง (ฟาเหียน) มุ่งหมายจะกล่าวถึงอินเดียทั้งหมดหรือไม่. แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเฉพาะแคว้นโกศลอันเป็นภาคที่ฟาเหียนกำลังกล่าวถึง. พวกคณาจารย์โบราณนอกพุทธศาสนานั้นมีอยู่ ๓๒ จำพวก. แต่ยังแบ่งแยกออกเป็นสาขาย่อยๆ อีกจำพวกละ ๓ ทุกๆ จำพวก จึงรวมกันเป็น ๙๖ จำพวก. (ดูหนังสือ Rhys Davids, Buddhism หน้า (๖๘-๖๙).

  22. ๒๒๑. ตรงนี้ไม่ได้ความชัดเจนเลยว่า ผู้แต่ง (ฟาเหียน) มุ่งหมายจะกล่าวถึงอินเดียทั้งหมดหรือไม่. แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเฉพาะแคว้นโกศลอันเป็นภาคที่ฟาเหียนกำลังกล่าวถึง. พวกคณาจารย์โบราณนอกพุทธศาสนานั้นมีอยู่ ๓๒ จำพวก. แต่ยังแบ่งแยกออกเป็นสาขาย่อยๆ อีกจำพวกละ ๓ ทุกๆ จำพวก จึงรวมกันเป็น ๙๖ จำพวก. (ดูหนังสือ Rhys Davids, Buddhism หน้า (๖๘-๖๙).

  23. ๒๒๒. ความตรงที่กล่าวไว้ว่า โลกเบื้องหน้า นี้, เป็นความสำคัญที่แตกต่างกันข้อหนึ่งในระหว่างฉบับเกาหลีกับจีน. ความประสงค์ตรงนี้อาจเกิดจากความพลาดพลั้งของผู้แปลในสมัยต่อมา. Rémusat เขียนโน๊ตไว้ในสมุดของเขาว่า พวกนอกพุทธศาสนาประหยัดถ้อยคำของตนเองที่จะกล่าวแก่ผู้ที่เคารพนับถือในความแท้จริงแห่งชีวิตของเขา, เพื่อที่จะให้เข้าใจว่าไม่จำต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับสิ่งที่มุ่งหมายว่า จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในกาลเบื้องหน้า, ตลอดความเป็นอยู่แห่งชีวิตที่จะต้องผ่านไปเท่านั้น. แต่ความจริงเราก็ใคร่จะทราบเพียงว่า ฟาเหียนจะมีความหมายตรงกันข้ามกับข้อความตามฉบับเกาหลีหรือไม่เท่านั้น. ความคิดเห็นในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ความจริงลัทธิทั้ง ๙๖ ประการ, ก็มักจะมีมติความเห็นไม่ลงรอยในระหว่างกันเอง, กับทั้งฝ่ายพุทธศาสนาอยู่แล้วด้วย. แม้ว่าฟาเหียนปรารถนาที่จะกล่าวความหมายตามความคิดของ Rémusat ที่กล่าวไว้, ฟาเหียนก็ควรจะเขียนข้อความนอกจากนั้นอีกว่า 皆如今世耳. แต่อย่างไรก็ดี, เราก็ยอมรับความยึดถือเพิ่มเข้าในพุทธศาสนาว่า โลกในอดีตและปัจจุบันนี้ติดต่อกันได้, แต่ก็ไม่ใช่การจุติจากสัตว์นี้ไปเข้าสัตว์นั้นในโลกหน้า, อันเป็นทางเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณ, ซึ่งเป็นสิ่งที่จะกระทำให้ปรากฏหรือยอมรับในข้อใดได้ว่า ต่างหากไปจากความเป็นอยู่ของวิญญาณเดิม. ข้อนี้ Legge มีความเห็นว่า ที่ข้าพเจ้านับถืออยู่นั้นคือกงล้อ, ซึ่งจะขอเรียกว่า โอวาทแห่งการบังเกิดคำแปล. ดู Rhys Davids, Third Hibbert Lecture.

  24. ๒๒๓. ดูหน้า ๑๐๘ โน๊ต ๒. และหน้า ๘๙ โน๊ต ๒. ฟาเหียนคงหมายถึงผู้ปฏิบัติตามวัตถุ ๕ ประการของเทวทัตต์ที่ทูลขอพรพระพุทธองค์เมื่อครั้งทำสังฆเภท.

  25. ๒๒๔. วิรูธหะ, เป็นคำที่เรียกตามสำเนียงของฟาเหียนผู้แต่งหนังสือเล่มนี้, ที่ถูกต้องเป็นวิทูรยะ (บาลี-วิฑูฑภะ). เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นโกศล, ราชโอรสและรัชทายาทของเจ้าประเสนซิต. เป็นผู้ยกพลเข้าทำลายกรุงกบิลพัสดุ์, ซึ่งเป็นนครหลวงของราชวงศ์ศากยะ. นามเษย-อี, ตามหนังสือ Julien’s Methode หน้า ๘๙, ว่าอ่านออกเสียงเป็นจาย-อี, เป็นคำเดียวกับกาย-อี, ซึ่งจีนหมายถึงกรุงกบิลพัสดุ์.

  26. ๒๒๕. เป็นพระพุทธประสงค์ที่จะทำการสัมภาษ. ในหนังสือ Life of the Buddha in Prübner’s Oriental Series หน้า ๑๑๖ กล่าวว่า ‘วิทูรยะพบกับพระพุทธองค์ที่ภายใต้ต้นสโกตโตเก่าแก่ต้นหนึ่ง. วิทูรยะหยุดพลอยู่ในที่ปราศจากร่มเงา, พระพุทธองค์ทรงคิดว่าจะเกิดการป่วยไข้, จึงมีพระดำรัสบอกให้วิทูรยกษัตริย์, ผู้เป็นพระญาติลูกพี่ลูกน้องเข้าไปพบกันในร่ม. วิทูรยกษัตริย์ได้เข้าไปเฝ้าแล้วและยกทัพกลับนครศราวัสตี แต่กรุงกบิลพัสดุก็ได้รอดพ้นจากความพินาสไปได้ชั่วเวลาอันน้อย. พระพุทธองค์ก็ทรงทราบอยู่แก่พระองค์เองแล้ว, และได้ทรงรับสั่งว่า ความพินาสของกรุงกบิลพัสดุ์นั้นจะหลีกเลี่ยงเสียมิได้, เพราะด้วยเหตุและผลที่สองนครมีความอริกันอยู่ในขณะนี้.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ