บทที่ ๑๖

ถึงมถุราหรือมุตตระ. ข้อบังคับและธรรรมเนียมของภิกษุสงฆ์แห่งมัชฌิมประเทศอินเดีย. วิหารและอาราม.

จากสถานที่นี้ ฟาเหียนกับพวกได้ออกเดินทางต่อลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้, ผ่านอารามต่อเนื่องกันมามากมาย และมีพระภิกษุมากต่อมาก, จนเหลือความสามารถที่จะนับ, ภายหลังเมื่อได้ผ่านสถานที่ทั้งหมด (ดั่งกล่าว) นั้นแล้ว, ก็ไปถึงนครแห่งหนึ่ง มีนามว่ามะถาวอุ-โล.๑๔๐ ฟาเหียนกับพวกเดินไปตามวิถีของแม่น้ำปู-นา,๑๔๑ บนฝั่งแม่น้ำทั้งซ้ายและขวามีอาราม ๒๐ แห่ง, ซึ่งสามารถบรรจุพระภิกษุได้ราวสามพัน. และ (ที่นี่) ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากำลังรุ่งเรืองสดใสอีกแห่งหนึ่ง. ทุก ๆ แห่งตั้งแต่ทะเลทรายตลอดมาจนถึงในอินเดียทุก ๆ นคร, พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายทรงเคารพนับถือธรรมในพุทธศาสนาอย่างมั่นคง. เมื่อพระองค์จะทรงกระทำการถวายสิ่งของเครื่องสักการบูชาแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์, พระองค์ทรงถอดพระมาลาออก, และพร้อมด้วยพระวงศานุวงศ์กับเสนาข้าราชบริพารจะจัดภัตตาหารเข้าประเคนถวาย แด่พระภิกษุทั้งหลายด้วยมือของตนเอง. ณ สถานที่ซึ่งสำหรับพระเจ้าแผ่นดินจะประทับนั้น ได้ปูลาดไว้ด้วยพรมอยู่กับพื้น, และได้ประทับลงข้างหน้าเป็นประธาน ณ ที่นั้น. ไม่เคยเห็นว่ากษัตริย์องค์ใดจะประมาทนั่งเอนกายลงต่อหน้าหมู่พระภิกษุสงฆ์เลย. ขนบธรรมเนียมตามที่กษัตริย์ทั้งหลายได้เคยกระทำสักการบูชากันมา, ตั้งแต่เมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังดำรงอยู่ในโลกนี้ประการใดนั้น, ก็ยังคงกระทำกันด้วยความอ่อนน้อม (เช่นเดียวกัน), ตราบเท่าจนถึงวันปัจจุบันนี้.

ดินแดนในภาคตอนใต้ทั้งหลายนี้นามว่ามัชฌิมประเทศ.๑๔๒ ในภาคนี้อากาศเย็นและร้อนกำลังพอดี, ปราศจากหมอกและหิมะ. มีจำนวนผู้คนพลเมืองคับคั่งหนาแน่น. อยู่กันด้วยความสุขสำราญ. ราษฎรทั้งหลายไม่ต้องจดทะเบียนครอบครัว, และไม่จำต้องคอยฟังคำพิพากษาเพื่ออาศัยความคุ้มครองแห่งกฎหมาย. โดยเฉพาะสำหรับพวกที่ทำการกสิกรรมลงในดินแดนอันเป็นของหลวงเท่านั้น, จะต้องเสียภาษีในส่วนกำไรจากสิ่งที่ทำได้. ใครต้องประสงค์จะไปก็ไปได้, หรือประสงค์จะพักก็พักได้, พระเจ้าแผ่นดินทรงปกครองด้วยปราศจากการประหารชีวิต, หรือลงอาชญาแก่ร่างกาย. ผู้ต้องโทษทั้งหลายก็เพียงแต่ถูกปรับไหม, เบาหรือหนักแล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้น, ในคดีที่จะกระทำให้บังเกิดความไม่สงบราบคาบ, และสำหรับผู้ที่เพียรพยายามกระทำการชั่วร้ายเป็นกบฏซ้ำกันหลายครั้งนั้น. โดยเฉพาะผู้ร้ายเหล่านี้ก็จะได้รับโทษเพียงตัดมือข้างขวาเสียเท่านั้น ราชองครักษ์และมหาดเล็กของพระเจ้าแผ่นดินมีเบี้ยหวัดเงินเดือนทุกคน. ตลอดทั่วทุกนคร ราษฎรพลเมืองไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลาย, ไม่ดื่มสุราและเครื่องดองของเมา, ไม่รับประทานหัวหอมหรือกระเทียม. เว้นแต่เฉพาะพวกคนที่เป็นจัณฑาล๑๔๓ทั้งหลายเท่านั้น. คนที่ได้นาม (จัณฑาล) เหล่านี้, เป็นบุคคลที่ประพฤติแต่ความชั่ว, และมีความเป็นอยู่ต่างหากจากคนอื่น ๆ. ขณะเมื่อพวกจัณฑาลเข้ามาภายในประตูเมืองหรือในตลาด, เขาจะเดินตีไม้ท่อนหนึ่งอันเป็นเครื่องหมายให้รู้จักว่าพวกเขา, เพื่อบุคคลที่รู้แล้วจะได้หลบเลี่ยง, ไม่กระทำการแตะต้องใกล้ชิดกับพวกจัณฑาล. ในนครไม่มีใครกระทำการเลี้ยงสุราและไก่, และไม่กระทำการขายโคกระบืออันมีชีวิต, ในตลาดไม่มีโรงฆ่าสัตว์เอาเนื้อขาย, และไม่มีใครขายเครื่องดองของที่จะดื่มมึนเมา, ใช้เบี้ยสำหรับในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของอันเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน, โดยเฉพาะพวกจัณฑาลที่เป็นคนหาปลาและพรานล่าสัตว์เท่านั้นจึงขายเนื้อสด.

ในกาลเมื่อพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน๑๔๔ล่วงแล้วต่อมา, บรรดากษัตริย์ตามนครต่าง ๆ กับพวกหัวหน้าแห่งไวศยะ๑๔๕ทั้งหลาย, ต่างได้ก่อสร้างวิหารไว้สำหรับพระภิกษุสงฆ์, และอุทิศถวายสิ่งของเป็นกัลปนา เช่น ที่นา, บ้านเรือน, อุทยาน, และสวนต้นผลไม้. ตลอดจนผู้คนบ้านเรือนและปศุสัตว์. การอุทิศถวายไว้เช่นนี้ ได้ทำการจารึกลงไว้บนแผ่นเหล็กเคลือบ๑๔๖ ดังนั้น ในกาลภายหลังสืบต่อมา, กษัตริย์ต่อกษัตริย์จึงรับทอดต่อกันมาด้วยความเคารพอ่อนน้อม, ไม่มีผู้ใดที่จะบังอาจรื้อถอนเลิกล้ม, และคงเรียบร้อยอยู่มาตราบเท่าจนถึงปัจจุบันนี้.

ตามปกติ ภารกิจของพระภิกษุสงฆ์ซึ่งปฏิบัติกันอยู่ตามธรรมวินัยนั้น สมควรแก่ผู้ที่บำเพ็ญกุศลและทรงคุณธรรมความดี, กล่าวคือ อ่านสวดพระสูตรทั้งหลาย และนั่งสำรวมไตร่ตรองพิจารณา. เมื่อมีพระภิกษุเป็นแขกไปถึง (วัดใด ๆ), พระภิกษุซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นมาก่อน ย่อมออกมาพบปะและจัดการรับรอง ด้วยขอรับเอาผ้าเครื่องนุ่งห่มและบาตรไป, แล้วให้น้ำล้างเท้า, และจัดอาหารเหลวออกมาอนุญาตให้ขบฉันตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมและเวลา.๑๔๗ เมื่อ (พระภิกษุเป็นแขก) ได้หยุดพักรับความสบายพอเป็นสังเขปแล้ว, พระภิกษุที่อยู่เก่า จะสอบถามถึงจำนวนพรรษาที่มีอยู่ของพระภิกษุ (ใหม่), ภายหลังจึงได้รับห้องนอนกับเครื่องอุปกรณ์ตามระเบียบแบบธรรมเนียม ณ ที่นั้น, และทุกๆ สิ่งจะจัดทำให้โดยควรแก่บัญญัติและวินัย.๑๔๘

ณ ที่แห่งไหนมีคณะสงฆ์ตั้งอยู่, ชนทั้งหลายได้จัดสร้างสตูปสำหรับพระสารีบุตร,๑๔๙ พระมหาโมคคัลลายนะ,๑๕๐ และพระอานนท์,๑๕๑และดุจเดียวกันยังมีสตูปสำหรับพระอภิธรรม, พระวินัย, และพระสูตร.๑๕๒ ในเดือนที่สุดภายหลังเวลาที่ได้หยุดพักผ่อน (ออกพรรษา) แล้ว, บุคคลในครอบครัวใดต้องประสงค์จะขอพร, ย่อมเป็นกิจที่ประกวดประขันกันอีกประการหนึ่ง.๑๕๓ ในการที่จะทำเครื่องสักการะไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์, และสิ่งนั่นคือเครื่องอาหารเหลว, ซึ่งได้ส่งไปถวายกันทั่วไปโดยรอบเท่าที่สามารถจะไปได้, ตามกำหนดเวลาที่เคยมา. พระภิกษุต่างก็พร้อมกันมาสู่ในที่ชุมนุมชนเป็นอันมาก, แล้วและมีการแสดงธรรมเทศนา๑๕๔ ครั้นเสร็จแล้วจึงไปกระทำการถวายเครื่องสักการบูชาสตูปพระสารีบุตร ด้วยดอกไม้และเครื่องหอมทุกชนิด. ตลอดในเวลากลางคืนได้ตามประทีปโคมไฟไว้สว่างไสวและอบอุ่นไปด้วยความร้อน, ผู้ชำนาญการดนตรีที่จ้างมา ก็กระทำการบรรเลง๑๕๕อยู่เรื่อย ๆ ไป.

ครั้นเมื่อพระสารีบุตรเป็นมหาพราหมณ์, ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์, ขอ (ประทานอนุญาต) สละจากครอบครัวของตน (เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ). พระมหาโมคคัลลายนะกับพระมหากัศยปะ๑๕๖ก็ได้กระทำดุจเดียวกัน. ภิกษุณี๑๕๗ทั้งหลายส่วนมากที่ไปกระทำการสักการะบูชาต่อสตูปพระอานนท์นั้น, ก็เพราะเหตุว่า พระอานนท์เป็นผู้ที่ได้ร้องขอเกียรติศักดิ์ในโลกนี้ให้, จนครั้งหนึ่ง (พระพุทธองค์) ได้ทรงยอมประทานพุทธานุญาตให้สตรีสละครอบครัว (เข้าบรรพชาเป็นภิกษุณีได้). ส่วนสามเณร๑๕๘โดยมากก็ถวายเครื่องสักการบูชาแต่พระราหุล.๑๕๙อาจารย์ฝ่ายอภิธรรม๑๖๐ก็กระทำสักการบูชา (สตูป) พระอภิธรรม. อาจารย์ฝ่ายวินัยก็กระทำการสักการบูชา (สตูป) พระวินัย. ณ ที่นี้มีการกระทำการสักการบูชาเช่นนี้ทุก ๆ ปี, ใคร (นิยมบูชาสตูป) ชนิดใด, ก็กระทำตามวันที่กำหนดนมัสการสำหรับสิ่งที่ตนเคารพนั้น. ส่วนพวกนิกายมหายานก็กระทำการสักการบูชาปรัชญา-ปารมิตา,๑๖๑ มัญชุศรี.๑๖๒ และกวัน-ชิ-ยิน.๑๖๓ เมื่อภิกษุสงฆ์ได้กระทำการรับทานบรรณาการประจำปี (จากฤดูเกี่ยวข้าว) แล้ว.๑๖๔ พวกหัวหน้าไวศยะกับพราหมณ์ทั้งหลาย, ก็จัดสรรผ้าและสิ่งของอย่างอื่น ๆ, ตามที่พระภิกษุจำต้องประสงค์สำหรับใช้สอย, (ถวาย) เพื่อแจกจ่ายกันในระหว่างสงฆ์. เมื่อภิกษุทั้งหลายได้รับดังนั้นแล้ว, ต่างก็แบ่งเฉลี่ยออกเป็นส่วน ๆ แจกจ่ายแก่ภิกษุอื่น ๆ โดยทั่วกัน. นับตั้งแต่พระพุทธองค์ได้ทรงบรรลุถึงนิพพาน๑๖๕ล่วงแล้วมา, แบบธรรมเนียมแห่งจารีตพิธี, ศีลธรรมและวินัย, ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาด้วยความบริสุทธิ์ของหมู่ชนทั้งหลาย, ด้วยความนอบน้อมสืบต่อมาตลอดชั่วอายุกาล, โดยปราศจากการหยุดยั้งเสื่อมคลาย.

จากสถานที่นี้ฟาเหียนกับพวกได้ออกเดินทางข้ามแม่น้ำสินธูลงไปทางภาคใต้ของอินเดีย, จนบรรลุถึงทะเลใต้, เป็นระยะทางสองพันหรือสองพันห้าร้อยโยชน์, ตลอดทางเป็นที่ทุ่งราบโล่ง, ไม่มีเนินเขาใหญ่และลำห้วยธาร, มีแต่เพียงกระแสน้ำในลำแม่น้ำเท่านั้น.

  1. ๑๔๐. มุตตระ ‘เมืองนกยุง’ แลตติจู๊ต ๒๗° ๓๐′ เหนือ, ลองติจู๊ต ๗๗° ๓๓′ ตะวันออก (พราน). เป็นสถานที่เกิดของกฤษณะ, ซึ่งมีรูปงามเปรียบประดุจนกยูง.

  2. ๑๔๑. แม่น้ำนี้ต้องเป็นยุมน, หรือยมมุนา. แต่เหตุไรฟาเหียนจึงเรียกปูนานั้น, ยังหาคำอธิบายไม่ได้.

  3. ๑๔๒. ในบาลีใช้คำว่ามัชฌิมประเทศ, ‘แว่นแคว้นภาคกลาง.’ (ดูพุทธประวัติของ Davids’ Buddhist Stories หน้า ๖๑).

  4. ๑๔๓. จัณฑาล, ปทานานุกรม กรมตำรา หน้า ๑๗๓ ว่า คนชาติต่ำ, คนพันทาง. (เกิดจากบิดาเป็นศูทร์มารดาเป็นพราหมณ์. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายว่า คนที่เกิดแต่วรรณะ ๔ เหล่า สมสู่กับวรรณะอื่นจากพวกของตน เช่น พวกพราหมณ์ได้กับศูทร์ มีบุตรออกมาจัดเป็นอีกพวกหนึ่ง เรียกว่า จัณฑาล (พุทธประวัติ เล่ม ๑ หน้า ๘). Eitel หน้า ๑๔๕-๑๔๖ อธิบายนามคำนี้ว่า คนฆ่าสัตว์เอาเนื้อขาย. คนชั่วหรือคนพาล. และธงหรือเครื่องหมายที่เขาถือเคาะไปนั้น เพื่อเป็นการบอกล่วงหน้าแต่ไกลเสียก่อนดีกว่า. เพราะเขาเป็นคนตระกูลต่ำที่สุด. และเป็นที่รังเกียจประมาทหมิ่นของชาวอินเดีย. แต่อย่างไรก็ดี, ถ้าเมื่อได้กลับความประพฤติเป็นคนเรียบร้อยแล้ว, ทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับให้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุด้วยได้.

  5. ๑๔๔. ดู หน้า ๕๕ บทที่ ๑๒ โน๊ต ๑. พุทธปรินิพพาน เท่ากับความว่า พระพุทธองค์สวรรคต.

  6. ๑๔๕. ไวศยะ. ดูหน้า ๖๓ บทที่ ๑๓ โน๊ต ๒

  7. ๑๔๖. ดูคำบรรยายในบทที่ ๓๙ ซึ่งได้มีการตระเตรียมกระทำกันเป็นพิเศษเช่นเดียวกันนี้. ไม่ต้องสงสัยในสมัยฟาเหียน สิ่งนี้ย่อมมีมาก่อนแล้วและภายหลัง. ตามธรรมเนียมของการจารึกเช่นนี้, มักจารึกกันลงบนแผ่นเหล็กเคลือบ.

  8. ๑๔๗. หนังสือ Davids Manual หน้า ๑๖๓ กล่าวว่า ไม่มีพระภิกษุรูปใดจะบริโภคอาหารข้นได้ในเวลาวิกาล, นอกจากภายในเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเที่ยงวัน, และรวมทั้งงดเว้นไม่ดื่มเครื่องดองของมึนเมาทั้งหลาย, อันเป็นกิจจำต้องปฏิบัติตลอดทุกเวลานั้นด้วย. อาหารที่บริโภคเมื่อล่วงพ้นเวลาเที่ยงวันไปแล้ว เรียกว่าวิกาล, อันเป็นสิ่งต้องห้าม. แต่ผู้เดินทางมาอ่อนเพลียอาจรับอาหารเครื่องว่างบางอย่างในอเทศกาลได้. Watters แสดงว่าอาหารพวกนี้คือ น้ำผึ้ง เนย น้ำอ้อยเหนียว น้ำมันงา. (Ch. Rev. ๘ หน้า ๒๘๒). ดูวินัยมุข เล่ม ๑ หน้า ๑๔๑-๑๔๓ และ ๑๔๘.

  9. ๑๔๘. ตามสำนวนที่กล่าวตรงนี้เป็นอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจยาก. แต่มีอีกแห่งหนึ่งในบทที่ ๓๘ มีความหมายชัดเจน. (ดูหนังสือของ Watters Ch. Rev. ๘ หน้า ๒๘๒-๒๘๓. และ Sacred Books of the East เล่ม ๒๐ หน้า ๒๗๒-๒๗๖) และต่อไป, กล่าวบรรยายไว้ยืดยาว. การต้อนรับอาคันตุกะ, ดูวินัยมุข เล่ม ๒ กัณฑ์ที่ ๑๔ ว่าด้วยกิจวัตร หน้า ๕๖-๕๘.

  10. ๑๔๙. สารีบุตร, (สิงห, เสริยุต), เป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์. และความจริงก็เป็นผู้ซึ่งคงแก่เรียนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในคุณธรรมยิ่งนัก, ดังนั้น จึงได้นามว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งสติปัญญาและความรอบรู้ในวิทยาการทั้งปวง. และอาจกล่าวได้ว่าเป็นประดุจดั่งพระหัตถ์เบื้องขวาของพระพุทธองค์ ที่คอยติดตามปรนนิบัติรับใช้อยู่ทุกขณะ. นามว่าสารีบุตร เนื่องมาจากนามของมารดาว่าศาริกา, ผู้เป็นภรรยาของติศยะ, ชาวเมืองนาลันทะ ในสมุดของ Spence Hardy ปรากฏนามที่ใช้เรียกบ่อยๆ ว่าอุปติสสะ (อุปติสยะ) ซึ่งบังเกิดจากนามทางฝ่ายบิดาของพระสารีบุตร, กล่าวกันว่าวิทยาศาสตร์ในครั้งพุทธการเป็นอันมากมีขึ้นเพราะพระสารีบุตร, และความจริงพระสารีบุตรก็เป็นผู้เจริญตามรอยพระอภิธรรมจนประจักษ์แจ้งแก่ตน, ดั่งที่คนทั้งหลายพบเห็น, พระสารีบุตรนิพพานก่อนองค์พระศากยมุนี. (ดูปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๒๗๙-๒๘๗. และ Eitel หน้า ๑๒๓-๑๒๔.

  11. ๑๕๐. ชาวสิงหฬเรียกมุคลัน ตามสำเนียงที่พวกเขาพอจะเปล่งเสียงออกได้ตามถนัด. ท่านองค์นี้เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า. เป็นผู้มีชื่อเสียงว่ามีอำนาจในทางญาณและอิทธิฤทธิ. ในนามท่านผู้นี้แต่เดิมถูกซัดว่าเป็นทุสิทะ ช่างวาดเขียนแกะสลักคนหนึ่ง, ที่ต่อมาได้แกะรูปพระศากยมุนีขึ้นองค์หนึ่ง. (เทียบเคียงดูคล้ายคลึงกับเรื่องราวในบทที่ ๖). พระโมคคัลลานะได้ไปนรกโปรดมารดา. ดับขันธ์ก่อนสมเด็จพระศากยมุนี. (ดูปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๒๗๙-๒๘๗. และ Eitel หน้า ๖๕).

  12. ๑๕๑. อานนท์, ดูหน้า ๕๔ บทที่ ๑๒ โน๊ต ๒.

  13. ๑๕๒. ประเภทธรรมต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก. (ดูหน้า ๑๒ บทที่ ๑ โน๊ต ๒).

  14. ๑๕๓. จะแปลความตอนนี้ให้ดีกว่าถ้อยคำเท่าที่ปรากฏอยู่นั้น. ไม่เป็นการที่จะทำได้ง่าย ๆ, พวกบ้านใกล้เรือนเคียงจะแข่งขันกันว่า ใครจะศรัทธากล้าแข็งมากกว่ากันดั่งนั้นกระมัง ?

  15. ๑๕๔. งานมีธรรมเทศนาเช่นนี้ ในเมืองจีนก็มีอยู่บ้างนาน ๆ ครั้งหนึ่ง. ที่โอซากาประเทศญี่ปุ่นก็ปรากฏว่าเคยมี ตามที่ James Legge เล่าถึงพิธีการมีการเทศน์ในประเทศจีน ก็เช่นเดียวกับที่ทำในสยาม. แต่แทนที่จะยกมือประณมขึ้นสาธุอย่างไทย. พวกจีนจะน้อมศีรษะของตนลงเป็นคราว ๆ ในเมื่อได้ฟังคำเทศนารู้สึกจับใจ. Legge ว่าคล้ายกับเมื่อครั้ง Tomas Caryle แสดงสุนทรพจน์ในที่ประชุม Ironside ของ Oliver Cromwell.

  16. ๑๕๕. ข้อความที่กล่าวไว้ในประโยคสุดท้ายตอนนี้ เป็นความต้องการของหนังสือสำหรับประชาชนที่เป็นจีน.

  17. ๑๕๖. พระมหากัศยปะองค์นี้ เป็นพราหมณ์ชาวมคธ, พระพุทธองค์ทรงโปรดให้กลับความประพฤติเข้าอุปสมบทเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง. ภายหลังเมื่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว, ท่านผู้นี้ได้เป็นหัวหน้าให้มีการชุมนุมเถรานุเถระกันเป็นครั้งแรก, และให้นามการประชุมสงฆ์ครั้งนี้ว่า อารยะสตวิระ ซึ่งเป็นมูลนิกายเถรวาท สถวิรวาท หรือหินยานขึ้นภายหลัง. อันเป็นปฐมเหตุแห่งการสังคายนา, ที่รวบรวมพระธรรมวินัยทั้งหลายขึ้นไว้เป็นหลักฐานสืบมา. ท่านองค์นี้นับได้ว่าเป็นกระแสชลธารที่ให้ความร่มเย็นแก่ประชาชนชาวจีน ผู้ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยอันเคร่งครัดทั้งหลาย, ซึ่งพวกจีนยกย่องท่านไว้ในตำแหน่งที่เคารพนับถืออย่างสูงสุด, รองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. และว่าจะได้มาบังเกิดตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้าต่อไปอีกครั้งหนึ่ง. (ดู Eitel หน้า ๖๔).

  18. ๑๕๗. ภิกษุณี เป็นสมณะฝ่ายสตรี อยู่ในบังคับแห่งวินัยบัญญัติดุจเดียวกันกับพระภิกษุทั้งหลาย, แต่มีวินัยบังคับเพิ่มเป็นพิเศษสำหรับเหนี่ยวรั้งไว้อีก. และคณะสงฆ์ภิกษุณีนัยว่าได้สิ้นสุดลงเพียงคณะพระสังฆมิตตาภิกษุณีราชบุตรีพระเจ้าอโศกราชเท่านั้น. (ดู ปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๓๗๘-๓๘๑. และ Hardy’s E. M. บทที่ ๑๗. กับ Sacred Books of the East, เล่ม ๒๐ หน้า ๓๒๑).

  19. ๑๕๘. สามเณร, เป็นยุวพรหมจรรย์ที่พึ่งฝึกหัดเข้าอุปสมบท, จะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้, ต้องเข้าสมาทานปฏิญาณตนรับบำเพ็ญสิกขาบทหรือศีล ๑๐ ประการ. ฟาเหียนเป็นคนหนึ่งที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรมาแต่เมื่อยังเยาว์วัย. เริ่มต้นด้วยการสมาทานเพ่งเอาพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง, แล้วรับสมาทานศีล ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นข้อห้ามให้งดเว้น คือ : - ๑. ฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต. ๒. กระทำอทินนาทาน. ๓. กระทำการลามกอนาจาร. ๔. กล่าวคำเท็จ. ๕. ดื่มเครื่องดองของเมา. ๖. บริโภคอาหารหลังเวลาเที่ยง. ๗. เต้นรำ ร้องเพลง เล่นดนตรี แบบแสดงละคร ๘. ดมดอกไม้ ใช้เครื่องหอม น้ำมันหอม และตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับใด ๆ. ๙. นอนบนที่นอนสูงและใหญ่เกินขนาด. ๑๐. รับทองคำและเงิน. ดู Davids Manual หน้า ๑๖๐. Hardy’s E. H. หน้า ๒๓-๒๔.

  20. ๑๕๙. พระราหุล เป็นราชโอรสขององค์สมเด็จพระศากยมุนีกับพระนางยโสธรา, เข้าอุปสมบทตามพระราชบิดาและเป็นผู้คอยติดตามรับใช้ปรนนิบัติ. ภายหลังที่พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว. ได้เป็นผู้ตั้งสถานการศึกษาฟิลอโซฟี (วิพาสิกะ) ขึ้น. ท่านองค์นี้เป็นที่เคารพนับถือของภิกษุสามเณรทั่วไป, และว่าจะกลับชาติอุบัติขึ้นเป็นเชฏฐโอรสของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลต่อไป, Eitel หน้า ๑๐๑. พระราชมารดาก็ว่าจะกลับชาติไปอุบัติในตำแหน่งเดิมดุจเดียวกัน ดูปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๑๐๓, ๓๓๐.

  21. ๑๖๐. ดูหน้า ๑๒ บทที่ ๑ โน๊ต ๒.

  22. ๑๖๑. ปารมิตา มี ๖ ประการ, (แต่บางแห่งเพิ่มขึ้นถึง ๑๐), เป็นที่หมายอันจะผ่านไปสู่นิพพาน คือ ความเมตตากรุณา. ประพฤติอยู่ในทำนองคลองธรรม. มีความเพียร. ความอุสาหะ. สงบอารมณ์ตรึกตรอง. ดำรงสติปัญญา (ปรัชญา). ต่ออีกให้ครบ ๑๐ ประการ คือ หาผลประโยชน์ตนแต่พอควร. ศึกษาศิลปวิทยา. ปฏิญาณตนเป็นคนเคารพต่อพระศาสดาและศาสนาอย่างแท้จริง. ตั้งความมานะข่มขี่น้ำใจตน. เหล่านี้เป็นปรัชญาโดยเฉพาะที่บุคคลจะถือพาเอาไปข้ามสังสารถึงฝั่งนิพพาน. (ดู Eitel หน้า ๙๐).

  23. ๑๖๒. พระมัญชุศรี. ตามฉบับ Eitel หน้า ๗๑-๗๒ ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังองค์หนึ่ง. ในปัจจุบันนี้เป็นที่เคารพนับถืออย่างพิเศษในภาคดินแดนชานสี. พงษาวดารและนิยายของพระโพธิสัตว์องค์นี้ปะปนกันยุ่งเหยิงมาแต่เดิม, จนหมดหวังที่จะจับต้นชนปลายให้ถูกต้องได้. ฟาเหียนว่าเป็นที่เคารพนับถือของนิกายฝ่ายมหายาน, พระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นผู้สั่งสมการศึกษาลัทธินิกายมหายานสืบมา. แต่ Shüan Chwang ว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นที่เคารพนับถือและเกี่ยวข้องด้วยการศึกษาฝ่ายลัทธิโยคาวจร หรือตันตระมายา. ที่ฝ่ายผู้ศึกษามหายานนับถือและยกย่องไว้เป็นที่เคารพ, ก็ด้วยมีกล่าวอยู่ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาแจ่มใสบริสุทธิ์. นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้ที่ใช้กันโดยสามัญทั่วไปนั้น ก็คือมหามติ, และกุมาร-ราช, กษัตริย์ผู้เป็นครูสั่งสอน, มีแขนหนึ่งพันและอุ้มบาตรได้ร้อยใบ. ตามหนังสือลัทธิของเพื่อน ภาค ๔ ตอน ๒ หน้า ๓๒ ว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๔ เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่ามัญชุโฆษ เป็นโพธิสัตว์ประจำปัญญา มีกำเนิดจากรัศมีนลาฏพระศากยมุนีพุทธ์ มีหน้าที่กำจัดอวิชชาความโง่เขลา เป็นประธานในธรรม และช่วยเหลือผู้ประกาศศาสนาให้แพร่หลายไปในโลก เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๒๕๐ ปี พระมัญชุศรีได้ไปประกาศศาสนาที่แคว้นเนปาล.

  24. ๑๖๓. กวัน-ชิ-ยิน, มีเรื่องราวคำสั่งสอนอันเป็นความลึกลับมาก, ใกล้เคียงดุจดั่งมัญชุศรี. นามในภาษาจีนแปลงมาผิดจากนามที่เรียกในภาษาสํนสกฤตว่า อวโลกิเตศวร ผู้เล็งแลครอบครองโลก. หรือผู้เล็งแลดูสัตวโลก. และเป็นผู้ถือเอาภาระหรือเพ่งเล็งอยู่ทางทิศใต้แห่งโลก. ผู้ฟังความเป็นไปของมนุษยโลก. แต่เดิมทีเดียวว่าอยู่ในธิเบต. อวโลกิเตศวรองค์นี้เป็นบุรุษ. แต่มีเทพเจ้าในจีนและญี่ปุ่นอีกองค์หนึ่ง, จีนเรียกกวัน-ยิน. ญี่ปุ่นเรียกกวัน-นอน. เทพเจ้าองค์นี้แสดงว่าเป็นสตรี, ผู้มีความเมตตาอันใหญ่หลวง, มีแขนหนึ่งพัน, และมีตาหนึ่งพัน, ประทับนั่งเป็นประธานอยู่บนเกาะปอู-ตอู, ชายฝั่งทะเลแห่งประเทศจีน, ซึ่งเป็นสถานที่ตามแบบอย่างที่ควรจะเดินทางไปนมัสการ. กวัน-ชิ-ยินองค์ที่ฟาเหียนกล่าวถึงนี้ คงต้องหมายเฉพาะถึงพระอวโลกิเตศวรแน่. แต่ทำไมฟาเหียนจึงกลับเอามาเรียกนามปนไปกับนางเทพเจ้าผู้ทรงความเมตตากรุณา, ซึ่งมีสถานที่เคารพอยู่ในประเทศจีนปัจจุบันนี้นั้น, เป็นเรื่องที่จะพิจารณาให้จะแจ้งไม่ได้ง่าย ๆ, (ดูสมุดคู่มือของ Eitel หน้า ๑๘-๒๐ กับปาฐกถาว่าด้วยเรื่องพุทธศาสนาของ Eitel ครั้งที่ ๓ หน้า ๑๒๔-๑๓๑. ลัทธิของเพื่อน หน้า ๑๔๔-๑๔๕).

  25. ๑๖๔. เทียบเคียงดูกับเรื่องราวที่กล่าวในบทที่ ๕.

  26. ๑๖๕. นิพพานตรงนี้ต้องไม่ใช่เป็นเสด็จดับขันธปรินิพพาน. แต่เป็นเมื่อเวลาตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์แล้วต่อมา.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ