บทที่ ๓๘

ที่ซีลอนหรือสิงหฬ. เมื่อตั้งขึ้นเป็นราชอาณาจักรประเทศราช.

พระสตูปและอาราม. พระพุทธปฏิมา ต้นโพธิพุทธบัลลังก์.

การแห่สมโภชพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์

ที่นครแห่งนี้แต่เดิมมาไม่มีผู้คนพลเมือง,๓๘๑ มีอยู่แต่พวกรากษสกับนาคทั้งนั้น, ซึ่งพวกพ่อค้าเมืองต่าง ๆ นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนค้าขาย เมื่อจะทำการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นี่, พวกรากษสจะไม่สำแดงตัวเอง (ออกมาให้เห็น). แต่จะนำเอาสินค้าสิ่งของอันมีค่าประเสริฐทั้งหลายมาวางไว้โดยเฉพาะ, และติดฉลากบอกกำหนดราคาไว้กับสิ่งของนั้นๆ เมื่อพ่อค้ายอมรับซื้อตามราคานั้น, ก็เอาสิ่งของเหล่านั้นไปได้.

พวกพ่อค้าทั้งหลายทั่วไปได้ไปมา (ในทางนี้), และเมื่อเขาเหล่านั้น (กลับ) ไปแล้ว. ชาวบ้านราษฎรแห่งนครต่าง ๆ (เหล่านั้นได้ทราบว่า), ดินแดนแห่งนี้ความสุขสบายประการใด, ต่างก็รวบรวมชนกันมาอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากมาย, จนกระทั่งกลายเป็นประชาชาติใหญ่โตขึ้น. ระดับ (อากาศ) เป็นที่พึงใจ, ฤดูร้อนหรือฤดูหนาวใดก็มิได้แตกต่างกัน. อุดมดาษดื่นไปด้วยพืชพรรณธัญญชาติอยู่เสมอ. บุคคลผู้ประกอบการกสิกรรมคิดจะดำเนินการกระทำเมื่อเวลาใดก็ได้, โดยไม่ต้องเป็นกำหนดฤดูกาลสำหรับที่นี่.

เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จมาถึงนครนี้,๓๘๒ ทรงปรารถนาจะกระทำการแปลงร่างพระยานาคร้ายตนหนึ่ง, ด้วยอำนาจอภินีหารอันเหนือธรรมดาของพระองค์, พระองค์ได้ทรงเหยียบพระบาทข้างหนึ่งลง ณ ที่เหนือนครหลวง, และอีกข้างหนึ่งทรงเหยียบลงบนยอดภูเขา,๓๘๓ ทั้ง ๒ ข้างห่างจากกันถึง ๑๕ โยชน์. เบื้องบนแห่งพระพุทธบาทที่เหนือนครนั้น, พระราชาได้ทรงสร้างพระสตูปขนาดใหญ่และสูงถึง ๔๐๐ ศอกไว้องค์หนึ่ง, ประดับประดาด้วยทองและเงินเป็นที่สง่างาม, และสำเร็จแล้วล้วนไปด้วยการรวบรวมไว้ซึ่งสิ่งสำคัญอันมีค่าประเสริฐทั้งหลาย. ที่ข้างพระสตูปด้านหนึ่งมีอารามที่ได้สร้างมาแต่เดิมด้วยแห่งหนึ่งเรียกว่าอภัยคิรี.๓๘๔ ที่อารามแห่งนี้มีพระภิกษุอยู่ ๕,๐๐๐ ที่อารามนี้มีวิหารสำหรับพระพุทธองค์หลังหนึ่ง, ประดับประดาไปด้วยลวดลายแกะสลักปิดทองและเงิน, และบริบูรณ์ไปด้วยสิ่งอันมีค่าประเสริฐ ๗ ประการ, ภายในมีพระพุทธปฏิมาหินหยกสีเขียวองค์หนึ่ง, สูงกว่า ๒๐ ศอก. พราวพรายไปด้วยวัตถุอันเป็นสิ่งสำคัญๆ ทั้งสิ้น. จนเหลือที่จะเลือกสรรเอาถ้อยคำมากล่าวเฉลิมเกียรติให้ถูกถ้วนเท่าที่มีปรากฏอยู่นั้นได้. ในฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวามีมุกดาอันหาค่ามิได้เม็ดหนึ่ง.

ตั้งแต่ฟาเหียนได้ละทิ้งดินแดนแห่งประเทศฮั่นล่วงแล้วมาจนบัดนี้ได้หลายปีแล้ว, ผู้คนที่ฟาเหียนได้มาทำการเกี่ยวข้องติดต่ออยู่ล้วนแต่เป็นแขกแปลกหน้าต่างถิ่นกันทั้งสิ้น. ดวงตาทั้งสองของฟาเหียนมิได้ทอดอยู่บนสิ่งที่ตนเคยพบเห็นมาแต่เก่าก่อน เช่นครอบครัว ภูเขา หรือแม่น้ำ ต้นผักหญ้า และต้นไม้เลย. เพื่อนเดินทางนอกนั้นต่างก็พลัดพรากจากกันไป, บางคนก็ตาย, บางคนแยกทางไปต่างหาก, มิได้เห็นหน้าหรือแม้แต่เงากันเลยในเวลานี้นอกจากตนเอง., ความเศร้าโศกก็พลันอุบัติขึ้นตั้งอยู่ในดวงใจของฟาเหียน. วันหนึ่งเมื่อฟาเหียนไปนั่งอยู่ที่ข้างพระพุทธปฏิมาหยก, ขณะที่ฟาเหียนได้เห็นพ่อค้าคนหนึ่งเอาพัดไหมสีขาว๓๘๕เล่มหนึ่งของเขามาถวายเป็นเครื่องสักการบูชา, ความทุกข์โศกของฟาเหียนได้ขึ้นถึงขีดเต็มเปี่ยมจนเหลือที่จะระงับใจไว้ได้, พลันน้ำตาของตนก็ล่วงหล่นลงทันที.

ในกาลก่อนครั้งหนึ่งกษัตริย์แห่งนครนี้ได้ส่งคนให้ขึ้นไปมัชฌิมประเทศแห่งอินเดียตอนเอากิ่งต้นปัทร,๓๘๖ แล้วและนำเอาลงมาปลูกไว้ที่ข้างวิหารแห่งพระพุทธองค์, ต้นปัทรได้เจริญงอกงามขึ้นสูงประมาณ ๒๐๐ ศอก และได้เอนไปทางตะวันออกเฉียงใต้. พระราชาเกรงว่าจะล้ม, จึงได้ให้ค้ำไว้ด้วยเสาตอม่อยาว ๘ หรือ ๙ คืบโดยรอบ. ต้นปัทรก็เริ่มงอกรากหยั่งลงไปตามใจกลางของเสาที่ค้ำทุกๆ ต้น. จนทะลุตลอดต้นเสาลงข้างใต้พบพื้นดิน ณ ที่นั่น, (กลายเป็นลำต้น) โตโดยรอบในราว ๔ คืบและทอดรากสีแดง (ไปตามพื้นดิน). ถึงกระนั้นก็ดี, เสาตอม่อที่แตกกลางออกเป็นซีกๆ ก็ไม่มีผู้ใดเก็บเอาไปให้พ้นที่. ภายในต้นปัทรนี้มีวิหารซึ่งได้สร้างขึ้นไว้หลังหนึ่ง, ภายในมีพระพุทธรูปนั่งองค์หนึ่ง, ซึ่งมีพระภิกษุและผู้ที่เคารพนับถือทั่วไปมาดูอยู่มิได้ขาด. ในนครนี้มีวิหารซึ่งได้สร้างขึ้นสำหรับประดิษฐานพระทันตธาตุของพระพุทธองค์, ซึ่งได้จ้างนายช่างให้ทำการประดับประดาไว้ด้วยสิ่งอันมีค่าประเสริฐ ๗ ประการดุจเดียวกับที่อื่นๆ พระราชาถือธรรมเนียมการชำระล้างบาปตามแบบพราหมณ์, และอันที่จริงความเชื่อถือและความเคารพนับถือของราษฎรภายในนครส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน. ตั้งแต่อดีตกาลมารัฐบาลแห่งประเทศราชนี้ตั้งมาด้วยความเป็นหลักฐานมั่นคง, โดยปราศจากข้าวยากหมากแพงหรือกันดารขัดสน, ไม่มีการจลาจลหรือกำเริบวุ่นวายประการใด. ที่ในคลังของคณะสงฆ์มีพลอยหินอันมีค่าประเสริฐ และมณีอันมีค่ายอดยิ่ง. ครั้งหนึ่งพระราชาได้เสด็จเข้าไปในคลังนั้น, และเมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรไปโดยรอบ, ก็เห็นมุกดามีค่าอันประเสริฐ, โลภเจตนาของพระองค์กำเริบขึ้น, พระองค์ทรงปรารถนาใคร่จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นส่วนของพระองค์เองเสียด้วยอำนาจ แต่อย่างไรก็ดี, ใน ๓ วันต่อมาได้เสด็จไปด้วยพระองค์เอง, และในทันทีที่พระองค์ได้ตรงเข้าไปน้อมพระเศียรของพระองค์ลงกับพื้นในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย, พระองค์ได้สำแดงการกลับพระหทัยที่ได้ทรงคิดชั่วร้ายมาแล้ว. ตามเหตุผลที่เป็นมาแล้วนี้, พระองค์ได้ทรงเล่า (ความในพระหทัย) ให้ภิกษุทั้งหลายฟัง. แล้วทรงแสดงความเจตนาให้ทำกฎข้อบังคับขึ้นตั้งแต่วันนั้นเพื่อให้ปรากฏสืบไปว่า ไม่ยอมอนุญาตให้พระราชา (พระองค์ใด) เสด็จเข้าไปในคลังและทอดพระเนตร (สิ่งของในนั้น). แม้พระภิกษุ (ใดๆ) ก็เข้าไปไม่ได้. จนกว่าจะทรงความเป็นอยู่ในธรรมวินัยชั่วกาลเวลาเต็ม ๔๐ พรรษาล่วงแล้ว.๓๘๗

ในนครนี้ยังมีไวศยผู้เฒ่าและพ่อค้าโพ๓๘๘มากหลาย, พวกเหล่านี้มีบ้านเรือนอันงดงามสมเกียรติศักดิ์. ตรอกที่ใช้สัญจรไปมาได้สั่งให้บำรุงรักษาไว้เป็นอันดี. ที่หัวถนนอันเป็นสายสำคัญทั้ง ๔, มีศาลาโรงเทศนาสร้างขึ้นไว้. ณ ที่ศาลานี้ในวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำของเดือน, พวกเหล่านั้นจัดการปูพรมและตั้งธรรมาสน์สำหรับนั่งไว้ข้างหน้า ฝ่ายพระภิกษุและฆราวาสสามัญทั่วไปจากทุกๆ ส่วน, ต่างพร้อมกันมาฟังธรรมเทศนา. ชาวบ้านกล่าวว่าในราชอาณาจักรนี้พระภิกษุรวมกันทั้งหมดอาจถึง ๕ หรือ ๖ พัน, พระภิกษุทั้งหลายได้รับอาหารจากโรงเรือนตามธรรมดาทั่วไป, นอกจากนี้พระราชายังได้จัดเตรียมอาหารไว้สำหรับแจกจ่ายถวายแก่ภิกษุ ๕ หรือ ๖ พันในนครอีกแห่งหนึ่ง. เมื่อขณะใดที่ภิกษุทั้งหลายนำเอาบาตรใหญ่. ไป (ยังที่แจกจ่ายอาหารนั้นแล้ว). ก็จะได้ถือเอาภาชนะซึ่งเต็ม (ด้วยอาหาร) กลับด้วยกันทั้งสิ้น.

ในกลางเดือน ๓ พระทันตธาตุของพระพุทธองค์จะถูกเชิญออกมาให้ได้เห็นกันเสมอไป. แต่ก่อนที่จะเชิญออกมา ๑๐ วัน, พระราชาได้ (รับสั่ง) ให้ตกแต่งคชาใหญ่ด้วยผ้าปูหลังอันสง่างามเชือกหนึ่ง. กับให้มีบุรุษคนหนึ่งแต่งกายด้วยเครื่องเสื้อผ้าของหลวง, ขึ้นขี่ช้างตีกลองใหญ่และกล่าวประกาศไปตามทางโดยชัดเจนว่า ‘ในระหว่างเวลา ๓ อสงไขยกัลป์๓๘๙ที่พระโพธิสัตว์ได้ทรงกลับพระหทัยมาตั้งบำเพ็ญกรณียกิจให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้ว, โดยมิได้ถนอมพระชนม์ชีพของพระองค์. พระองค์ทรงสละทิ้งพระราชอาณาจักรและนคร, พระมเหสี, และพระราชโอรส. พระองค์ปลิดดวงพระเนตรของพระองค์ประทานแก่คนๆหนึ่ง. พระองค์ตัดพระมังษาก้อนหนึ่งให้เป็นค่าถ่ายชีวิตของนกเขาตัวหนึ่ง.๓๙๐ พระองค์ตัดพระเศียรของพระองค์ให้เป็นทาน๓๙๑ พระองค์อุทิศร่างกายให้เป็นอาหารแก่พยัคฆ์อดอยากตัวหนึ่ง๓๙๒ พระองค์มิได้เสียดาย (แม้แต่) กระดูกมันไขแลสมองของพระองค์. ในทางทั้งหลายเหล่านี้พระองค์ได้ทรงกระทำไปด้วยความเพียรอดทนต่อความทุกขเวทนา, โดยมิได้เห็นแก่ชีวิตและความเป็นอยู่ทั้งสิ้นเลย. เพราะฉะนั้น พระองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, และได้ทรงปฏิบัติกรณียกิจอยู่ในนี้สืบต่อไปอีก ๔๕ ปี, โดยกลับกลายเป็นพระบรมครูทรงแสดงธรรมเทศนาสั่งสอน (ฝูงสัตว์), โดยมิได้ทรงหยุดยั้งพักผ่อน. และไม่เปลี่ยนแปรพระจริยาวัตต์ในทางที่จะโปรดให้บุคคลทั้งหลายพ้นจากอกุศลกรรมเลย. พระองค์ได้ทรงกระทำความติดต่อกับชีวิตของพระองค์โดยครบถ้วนบริบูรณ์,๓๙๓ ตลอดจนเสด็จดับขันธ์บรรลุปรินิพพาน. และเหตุการณ์ตั้งแต่นั้นมา (จนบัดนี้) ได้ ๑๔๙๗ ปีแล้ว. แสงสว่างของโลกได้หมดสิ้นไปแล้ว,๓๙๔ ชีวิตความเป็นอยู่ (ของเรา) ทั้งหลายจะคงมีอยู่แต่ความเศร้าโศกสืบไปชั่วกาลนาน. จงคอยดู. อีก ๑๐ วัน. พระทันตธาตุของพระพุทธองค์จะได้นำออกมาให้เห็นประจักษ์, และจะได้นำไปสู่อภัยคีรีวิหาร. ให้พระภิกษุและคฤหัสถ์ทั้งหลาย, ที่ปรารถนาจะสะสมบุญกุศลสำหรับตนเอง, จงทำถนนหนทางให้เกลี้ยงเกลาตามความเจตนาดี, แล้วและตกแต่งถนนหนทาง, และตระเตรียมตั้งที่ทำการสักการบูชาด้วยดอกไม้และเครื่องหอมให้ตลอดทั่วไป.’

เมื่อประกาศนี้ล่วงไปแล้ว, พระราชาได้ให้ทำรูปร่างกายแบบต่าง ๆ แสดงไว้ตามริมถนนทั้งสองข้าง ๕๐๐ รูป, ซึ่งเป็นภาพที่มีปรากฏมาในตำนานของพระโพธิสัตว์ เช่นครั้งเป็นสุทาน,๓๙๕ ครั้งเป็นสามะ,๓๙๖ ครั้งเป็นพระยาคชสาร,๓๙๗ และเมื่อครั้งเป็นกวางหรือม้า.๓๙๘ รูปภาพทั้งหมดเหล่านี้ระบายด้วยสีอย่างสดใสและสำเร็จพร้อมไปด้วยความงดงาม. ซึ่งแลดูเป็นประดุจสิ่งมีชีวิตอยู่. ต่อจากนี้พระทันตธาตุของพระองค์ก็ถูกเชิญออกมา, และพาไปในกลางถนน, ทุกๆ แห่งก็ถวายเครื่องสักการบูชาต่อพระทันตธาตุ (กันไป) ตลอดทาง, จนกระทั่งถึงวิหารของพระพุทธองค์ ณ อภัยคิรีอาราม ณ ที่นั้นพระภิกษุและคฤหัสถ์รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ, ต่างเผาเครื่องหอมและจุดประทีปโคมไฟ. ปฏิบัติกันอยู่เช่นนี้ตลอดกำหนดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนโดยมิได้หยุด, จนกระทั่งครบเวลาที่มีงาน ๙๐ วันบริบูรณ์เมื่อ (พระทันตธาตุถูกอัญเชิญ) กลับไปสู่วิหารภายในนคร (ตามเดิม) แล้ว, ในวันถือศีลประตูวิหารจะเปิด, ผู้ที่เคารพนับถือก็เข้าไปกระทำกิจพิธีและบำเพ็ญศีลตามวินัย

เบื้องทิศตะวันออกของอภัยคีรีวิหารไป ๑,๐๐๐ เส้นเป็นเนินภูเขาแห่งหนึ่ง, มีวิหารหลังหนึ่งอยู่บนนั้นเรียกว่าเจตย.๓๙๙ ณที่นี้อาจมีภิกษุได้ถึง ๒,๐๐๐ ในระหว่างพระสมณะเหล่านั้นมีพระสมณะองค์หนึ่งดำรงกุศลบารมีอันยิ่งใหญ่, มีนามว่าธรรมคุปต,๔๐๐ มีเกียรติคุณประจักษ์แจ้งตลอดทั่วไปในราชอาณาจักรนี้. พระสมณะองค์ดำรงชีวิตอยู่ ๕๐ ปีกว่าภายในคูหาศิลา, ท่านผู้ได้สำแดงความอ่อนหวานแห่งน้ำใจอยู่เนือง ๆ, และได้นำเอางูและหนูให้มารวมในห้องเดียวกัน, แต่ก็ปราศจากการที่จะคิดปองร้ายซึ่งกันและกัน.

  1. ๓๘๑. ณ ที่คำ 人民 (นั้งหมิน) ข้าพเจ้าสมัครที่จะแปลว่า พลเมือง หรือ ราษฎร และที่ควรจะใช้ให้เหมาะกับความตรงนี้ว่า ผู้คนพลเมือง. ตามเรื่องเดิมของสิงหฬมักใช้คำว่า รากษส, คือพวกยักษ์หรือมนุษย์ตัวใหญ่ ๆ ที่กินคน, ซึ่งพวกกะลาสีเรือแตกกลัวกันนัก. ฟาเหียนใช้ตัวอักษรสำหรับยักษ์สุภาพอย่างหนึ่ง และที่ดุร้ายอีกอย่างหนึ่ง.

  2. ๓๘๒. ที่ว่าพระศากยมุนีเสด็จเกาะสิงหฬนั้นไม่น่าจะเป็นความจริง, ไม่มีเรื่องราวปรากฏในพุทธศาสนาฝ่ายสยาม. หนังสือของ Hardy ใน M. B. หน้า ๒๐๗-๒๑๓, ชักเอานิยายมาเล่าว่า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วในพรรษาแรกและพรรษาที่ ๕ กับที่ ๘, ได้เสด็จไปเยี่ยมสิงหฬรวม ๘ ครั้ง. หนังสือ Buddhist ของ David’s บทสุดท้ายว่าไม่ใช่พระพุทธองค์, แต่เป็นพระมหินทเถระราชโอรสพระเจ้าอโศก, ซึ่งพระราชบิดาได้ส่งให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสิงหฬ, ภายหลังเวลาที่ได้กระทำตติยสังคีติที่ปัตนะเสร็จแล้ว, (พ.ศ. ๒๙๓-๓๑๓). เรื่องพระเจ้าอโศกส่งพระมหินท์บนางภิกษุณีสังฆมิตตาราชบุตรราชบุตรีไปเผยแผ่พุทธศาสนาในสิงหฬ, (ดูปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๕๒๗-๕๒๘, กับพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๒๘-๒๙).

  3. ๓๘๓. ในหนังสือของ Hardy โน๊ตหน้า ๒๑๑-๒๑๒ ว่าเขาพระพุทธบาทแห่งนี้ มีนามที่เรียกกัน ๓ อย่าง คือ สิลิสุมโน สมัสทคูหา, และสมนิล. รอยพระพุทธบาทที่มีอยู่บนยอดเขาเป็นรอยตื้นๆ, ยาว ๕ ฟิต ๓ ๓/๔ นิ้ว กว้าง ๒ ฟิตครึ่ง. พวกฮินดูนับถือว่าเป็นรอยพระบาทของพระศิวะ พวกโมหหมัดว่าเป็นของอดัม.

  4. ๓๘๔. พระสตูปอภัยคิรีแห่งนี้เป็นสูงที่สุดในสิงหฬ, หนังสือ Buddhism ของ David’s หน้า ๒๓๔ ว่าสูง ๒๕๐ ฟิต, สร้างขึ้นในราว พ.ศ. ๔๕๓ , โดยพระเจ้าวัฏฏคามินี, ซึ่งทรงราชย์เมื่อราว ๑๖๐ ปีภายหลังจากเวลาที่ได้กระทำสังคีติที่ปัตนะ เมื่อ พ.ศ. ๓๓๐ เสร็จแล้วต่อมา. การสร้างเป็นคราวเดียวกันกับที่ได้กระทำการชำระตัดทอนและคัดเขียนพระไตรปิฎกขึ้นไว้ในสิงหฬเป็นครั้งแรก.

  5. ๓๘๕. พ่อค้าที่ถวายพัดคนนี้คงจะเป็นคนจีน, เพราะการถวายเครื่องสักการบูชาด้วยพัดเช่นนี้เป็นทำเนียมที่เคยทำในเมืองจีน.

  6. ๓๘๖. ณที่นี้ควรจะเป็นต้นปิปปล, หรือที่จะเรียกกันทั่วไปว่าโพธิ์, ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณภายใต้. ไม่ต้องสงสัยตามเรื่องราวที่ฟาเหียนกล่าวบอกชัดว่าเป็นต้นโพธิ์อันมีชื่อเสียง, ซึ่งในซีลอนยังคงถนอมบำรุงรักษากันอยู่จนเดี๋ยวนี้. เรื่องราวของโพธิ์ต้นนี้เกี่ยวกับความที่เล่าไว้ในโน๊ตก่อนซึ่งว่า พระเจ้าอโศกได้ส่งพระมหินทเถระราชโอรสมาเผยแผ่พุทธศาสนาในสิงหฬนั้น, ในคราวเดียวกันพระองค์ได้มีพระประสงค์ให้พระราชธิดานามว่าสังฆมิตตา อันเป็นกนิษฐาของพร ะมหินท์อุปสมบทเป็นภิกษุณี, แล้วส่งให้มาเผยแผ่ศาสนาพร้อมด้วยพระเชษฐา นางได้ตัดตอนเอากิ่งโพธิ์ต้นที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ณ ภายใต้ที่พุทธคยานำไปปลูกไว้ในซีลอนด้วยกิ่งหนึ่ง. ดูปฐมสมโพธิ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๘ หน้า ๕๒๘. David’s กล่าวไว้ในหนังสือ Buddhism ตามคำของ Sir Emerson Tennent ว่า โพธิ์ต้นนี้เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในพงศาวดารของโลก. Eitel กล่าวว่าโพธิ์ต้นที่ตัดตอนมาจากพุทธคยานั้นมีอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ กล่าวในหนังสือพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๑๙ ว่า พระเจ้าอโศกได้ประทานต้นโพธิ์พันธุ์ศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาไปยังพระเจ้าเทวานัมปิยดิศในลังกา (สิงหล). ยังปรากฏอยู่ที่อนุราธบุรีเดี๋ยวนี้.

  7. ๓๘๗. เทียบเคียงดูกับเรื่องราวในบทที่ ๑๖, ซึ่งพรรณนาถึงเรื่องพระเจ้าแผ่นดินและเสนาอมาตย์ไปทำบุญที่อาราม, ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ที่เคารพ.

  8. ๓๘๘. คำทั้งสองนี้ในภาษาจีนเขียนตัวอักษรออกเสียงตามภาษาสํสกฤตซึ่งว่า สา และ วา โพ หรือ ภา. อาจเป็นพวกพ่อค้าชาวอาหรับ, พวกนี้อยู่ในที่ชุมนุมการค้าอันสำคัญของชาวสิงหฬภาคหนึ่ง.

  9. ๓๘๙. หนึ่งกัลป์, เป็นกำหนดเวลาอันยืดยาวนานระยะหนึ่ง, ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ยุค คือ, กฤตยุค, เตรตายุค, .ทวาปรยุค, กลิยุค, แล้วสากลโลกจะแตกทำลายไปคราวหนึ่ง. อสงไขยกัลป์เป็นระยะเวลาที่รวมจำนวนกัลป์ขึ้นเป็นยุคอันยืดยาวที่สุดอีกตอนหนึ่ง. ตามแบบจีนคำนวณตัวเลขได้เท่ากับ เลข ๑ กับ ๐ อีก ๑๗ ตัว. ตามแบบธิเบตกับสิงหล, เลข ๑ กับ ๐ อีก ๙๗ ตัว. ๔ อสงไขยกัลป์เป็น ๑ มหากัลป์. (Eitel หน้า ๑๕)

  10. ๓๙๐. บทที่ ๙ เป็นนกพิราบ, แต่ในบทนี้เป็นนกเขา.

  11. ๓๙๑. ดูบทที่ ๑๑.

  12. ๓๙๒. ดูบทที่ ๑๑.

  13. ๓๙๓. ตามความในวรรคนี้คงหมายถึงชาติแต่อดีตทั้งหมด, ตลอดจนชาติในปัจจุบันของพระองค์.

  14. ๓๙๔. ‘จะไม่ได้เห็นองค์พระบรมโลกนาถอีกแล้ว.’ เทียบเคียงดูกับเรื่องราวใน Sacred Books of the Eastเล่ม ๑๑, Buddhist Suttras หน้า ๘๖, ๑๒๑, กับโน๊ตบนหน้า ๘๙.

  15. ๓๙๕. สุทาน หรือสุทาตต, เป็นพระนามของพระบรมโพธิสัตว์ในชาติที่สุด, ซึ่งในนิบาตชาดก (เล่ม ๒๒ หน้า ๑๕) เรียกว่าเวสสันดร, ก่อนที่จะมาปรากฏพระนามว่าศากยมุนีหรือโคตม, และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า. มีเรื่องราวอันยืดยาวในเวสสันดรชาดก. ดูหนังสือนิบาตชาดก เล่ม ๒๒, กับพระราชวิจารณ์ทานชาดก เล่ม ๒๓ หน้า ๑๑ และต่อไป, กับ Hardy M. B. หน้า ๑๑๖-๑๒๔, และ Buddhism Birth Stories the Nidāna Kathā หน้า ๑๕๘.

  16. ๓๙๖. นามสามะคำนี้, Beal อธิบายไว้ในโน๊ตว่าเป็นนิยายชาดกเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกับเวสสันดร. ซึ่งสำแดงตนเป็นนายช่างแกะสลักในสาญจิ. (อาจเป็นสุวรรณสามในนิบาตชาดก เล่ม ๑๙ หน้า ๑๓๗ กระมัง?) ถึงแม้เรายังไม่ทราบแน่ว่าสามชาดกเป็นประการใดก็ดี, แต่เราก็ต้องยอมรับเอานามคำนี้มาจากตัวอักษรจีนทั้งสอง ในสมุดเล่มนี้ซึ่งแปลเป็นคำว่าสามะนั้นควรแล้ว. ซึ่งครั้งแรก Beal แปลว่า แสงสว่างอันสดใสที่แลบไป. Rémusat ว่า แสงสว่างอันสุกใสที่เปลี่ยนแปรไป. Giles ว่า ดุจแสงสว่างแห่งฟ้าแลบ. Legge ว่าดุจแสงสว่างของฟ้าแลบที่เปลี่ยนแปรไป

  17. ๓๙๗. จำพวกสัตว์ต่างๆ ตามเรื่องและสมัยที่พระโพธิสัตว์ไปบังเกิดเสวยชาติมาแล้ว, ดั่งที่ปรากฏในนิยายชาดกต่าง ๆ. Hardy กล่าวไว้ในหนังสือ M. B. หน้า ๑๐๐ ว่า เสวยชาติเป็นช้าง ๒ ครั้ง, เสวยชาติเป็นกวาง ๑๐ ครั้ง, เสวยชาติเป็นม้า ๔ ครั้ง. หนังสือนิบาตชาดกเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าให้หอพระสมุดรวบรวมพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ ตลอดมาจนถึงรัชกาลที่ ๗ รวมเป็นหนังสือ ๒๓ เล่ม เป็นนิทาน ๕๔๖ เรื่อง.

  18. ๓๙๘. จำพวกสัตว์ต่างๆ ตามเรื่องและสมัยที่พระโพธิสัตว์ไปบังเกิดเสวยชาติมาแล้ว, ดั่งที่ปรากฏในนิยายชาดกต่าง ๆ. Hardy กล่าวไว้ในหนังสือ M. B. หน้า ๑๐๐ ว่า เสวยชาติเป็นช้าง ๒ ครั้ง, เสวยชาติเป็นกวาง ๑๐ ครั้ง, เสวยชาติเป็นม้า ๔ ครั้ง. หนังสือนิบาตชาดกเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าให้หอพระสมุดรวบรวมพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ ตลอดมาจนถึงรัชกาลที่ ๗ รวมเป็นหนังสือ ๒๓ เล่ม เป็นนิทาน ๕๔๖ เรื่อง.

  19. ๓๙๙. เจตยหรือเจดิย (เจดีย์), เป็นคำนามที่ใช้ทั่วไปสำหรับหมายถึงสถานหรือวัตถุทั้งหลายอันเป็นที่เคารพในศาสนา, เช่นพระพุทธรูป, พระสตูป, พระปรางค์, อาราม, โบสถ์, วิหาร, เป็นต้น. ดูหนังสือพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๑-๙ Eitel หน้า ๑๔๑. ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อมิหินทเล, อันอยู่ทางตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิบัลลังก์ห่างกันในราว ๓๐๐ เส้นนั้น, David’s ที่เรียกว่าเจดีย์เหมือนกัน, Buddhism หน้า ๒๓๐-๒๑๓.

  20. ๔๐๐. ธรรมคุปต, Eitel (หน้า ๓๑) กล่าวว่า เป็นสมณะผู้มีชื่อเสียงลือชาปรากฏว่าเคร่งครัดต่อธรรมวินัยที่สุดองค์หนึ่ง และธรรมคุปตองค์นี้ได้ตั้งโรงเรียนธรรมวินัยอันนำความเจริญวัฒนาสู่สิงหลขึ้นอีกแห่งหนึ่ง, ในราว พ.ศ. ๙๔๐ เศษ แต่ฟาเหียนหาได้กล่าวถึงโรงเรียนนี้ด้วยไม่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ