๑๖

๏ เล่ม ๑๖ ต่อไป ๚ะ

๏ พระไตรยภูวนารถทิตยวงษ์ ก็กลัวพระเดชบุญานุภาพพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวมิอาจทำร้ายได้ แล้วเสดจพระราชดำเนินกลับเข้ามายังพระตำหนัก พระไตรยภูวนารถทิตยวงษ์ก็ตามเสดจเข้ามาในพระราชวังพระนครหลวง จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามพระไตรยภูวนารถทิตยวงษเข้ามาถึงน่าปรามช้าง แลเหนพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ์แก้จางนางดาบออก แล้วก็ขึ้นไปบนฉนวน จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ เมื่อจะเสดจเข้าที่พระบันทมมีพระราชโองการตรัสสั่งพระยาวิชิตรภักดี พระสุรินทรภักดี แลขุนเหล็กมหาดเล็ก ให้เอางานพัชนีให้พิทักษรักษาระวังระไวอยู่ จึ่งพระสุรินทรภักดีซึ่งเอางานพัชนีอยู่นั้น ก็เหนพระอินทรราชาธิราช แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษออกจากพระตำหนัก มาใกล้ที่พระบันทม ครั้นเหนพระสุรินทรภักดีก็กลับคืนเข้าไป แล้วขุนเหล็กมหาดเล็กก็รับงานพัชนีผลัดพระสุรินทรภักดี แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษใช้ให้พระองค์ทองออกมาเอาพระแสงหอกต้นของหลวง ซึ่งอยู่ณพระที่นั่งมุขเด็จนั้นไป ๚ะ

๏ ครั้นพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจตื่นจากพระบันทม จึ่งขุนเหล็กมหาดเล็กกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าพระองค์ทองออกมาเอาพระแสงหอกต้น ซึ่งอยู่ณพระที่นั่งมุขเด็จนั้นไป จึ่งทรงพระกรุณาตรัสว่า ซึ่งพระแสงหอกต้นไซ้ จะได้เปนสำรับองค์พระไตรยภูวนารถทิตยวงษหามิได้ แลซึ่งให้มาเอาพระแสงหอกต้นเข้าไปไว้ดั่งนี้ เหนว่าพระองค์ไตรยภูวนารถทิตยวงษจะคิดร้ายต่อเราเปนมั่นแม่น จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งให้พระยาพิไชยสงครามคุมไพร่พลอยู่รักษาประตูน่าพระราชวัง ให้พระศรีมหาราชาคุมไพร่พลอยู่รักษาประตูพระราชวังฝ่ายซ้าย ให้พระทนบุรีคุมข้าหลวงอยู่รักษาประตูฉนวน แลให้พิทักรักษาอย่าให้ผู้คนแปลกปลอมเข้าออกได้ จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งพระยาจักรี พระยาพิชิดภักดี พระมหามนตรี หลวงอินทรเดชะ ให้เปนพนักงานคุมพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ แลให้พระสุรินทรภักดี หลวงเทพสมบัติ หลวงกำแพง พระราม หมื่นมไหสวรรย์ เปนพนักงานคุมพระอินทราชา ให้หลวงวิชิตสงคราม หลวงรามภักดี ชิงเอาดาบของพระอินทราชา แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ ซึ่งให้ถืออยู่นั้นไว้. ครั้นเพลาเช้าห้านาฬิกา จึ่งพระอินทราชา พระไตรยภูวนารถทิตยวงษ พระองค์ทองก็ออกมาเฝ้าณที่ฉนวนนั้น แลข้าหลวงผู้มีชื่อซึ่งได้เปนพนักงานคุมนั้น ก็มาเฝ้าพร้อมกันอยู่ณที่ฉนวนนั้น จึ่งพระยาจักรึกราบทูลพระกรุณาว่าคืนนี้ข้าพระพุทธเจ้านิมิตรเปนมหัษจรรย์. ข้าพระพุทธเจ้าจะฃอแก้ฝันถวาย จึ่งมีพระราชโองการตรัสแก่พระยาจักรีว่า ให้แก้นิมิตรไปเถิด พระยาจักรีกราบบังคมทูลว่า ซึ่งจะแก้ให้คนทั้งหลายแจ้งเนื้อความนั้นดูมิควร ฃอพระราชทานให้เฝ้าใกล้ลอองทุลีพระบาท ครั้นพระยาจักรีเข้ามาเฝ้าใกล้ลอองทุลีพระบาทแล้ว จึ่งมีพระราชโองการตรัสถามว่า ที่จะลงไปนั้นจะไปโดยทางชลมารคดีฤๅ ๆ จะไปโดยสถลมารคดี แลจะไปโดยทางสถลมารคก็ได้ ด้วยช้างม้ารี้พลพร้อมกันอยู่.พระยาจักรีกราบทูลว่าสถลมารคนั้นโคลนลุ่มนัก ขอพระราชทานเสดจโดยทางชลมารค ก็มีพระราชโองการตรัสว่าชอบแล้ว พระยาจักรีกราบทูลว่า มีโจทว่ามีผู้เอาพระแสงไปฝังไว้ ขอพระราชทานให้ขุดเอา พระราชโองการตรัสว่าเอาเถิด พระยาจักรี แลข้าหลวงผู้ได้พนักงานก็กุมพระองค์ไตรภูวนารถทิตยวงษนั้น.พระสุรินทรภักดี แลข้าหลวงซึ่งได้พนักงานกุมพระองค์อินทราชานั้น ก็ช่วยกันกุมพระองค์อินทราชา ๚ะ

๏ ฝ่ายพระองค์ทองผู้เปนพระอนุชา ก็เข้าช่วงชิงพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ แลทุบตีข้าหลวงผู้กุมพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ ข้าหลวงก็กุมเอาพระองค์ทองนั้นด้วย แล้วก็เอาพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ แลพระองค์ทองนั้นสำเร็จโทษในที่นั้น. แต่พระอินทราชาธิราชนั้น ทรงพระกรุณายกโทษไว้ เพราะว่ามิเข้าด้วยพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจลงเรือพระที่นั่ง เอาพระอินทราชาลงเรือพระที่นั่งมาด้วย. แลเรือเสนาบดีมุขมนตรีทั้งปวง ก็เข้ากระบวนโดยเสดจซ้ายขวาหน้าหลัง เสดจพระราชดำเนินเข้ามายังพระราชวังบวรสถานมงคล. จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้ตำรวจนอกตำรวจใน ไปเอาข้าพระไตรยภูวนารถทิตยวงษซึ่งรวมคิดด้วยพระไตรภูวนารถทิตยวงษนั้นมาถวาย. เมื่อถามหลวงกลาโหมข้าเดิมพระไตรยภูวนารถทิตยวงษให้การว่าพระศรีภูริปรีชา พระยาพัทธลุง หลวงจ่า แลนายขาน นายดวง นายอิน หมื่นทิพ หมื่นเทพ ซึ่งเปนตำรวจในซ้ายขวา กับนายบาลเมือง นายบุญเกิด นายน้อย ผู้มีชื่อทั้งนี้คิดอ่านด้วยกันว่า พระไตรยภูวนารถทิตยวงษจะแต่งเตรียมไว้ฟังดูแต่เดือนสี่ ถ้าแลลอองทุลีพระบาทโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชวงษฝ่ายในทั้งสองพระองค์นั้น เหนว่าจะโปรดเที่ยงแท้ แลแผ่นดินจะราบคาบไป ถ้าทรงพระกรุณามิโปรดจนถึงการพระราชพิธีแล้ว จึ่งจะมีความคิด แลทุกวันนี้แต่จะป้องกันตัวไป จะได้คิดว่าจะยกเข้ามาแต่ในการพระราชพิธีนี้หามิได้ แลจะได้คิดว่า จะยกเข้ามาในวันใดเดือนใดนั้นยังมิได้คิด อนึ่งพระไตรยภูวนารถทิตยวงษเสพยสุราแล้วแลออกมาณศาลาว่า เราคนแต่ร้อยหนึ่งยกเข้าไปก็จะได้ ๚ะ

๏ อนึ่งเมื่อถามนายอิน ๆ ให้การว่า เมื่อแรกคิดอ่านจะทำร้ายในลอองทุลีพระบาทนั้น พระศรีภูริปรีชา พระยาพัทธลุง พระสิทธิไชย หลวงกลาโหม หลวงสรรพสิทธิ หมื่นภักดีศวรน้องพระสิทธิไชยคนหนึ่ง ผู้มีชื่อทั้งนี้คิดด้วยพระไตรยภูวนารถทิตยวงษณท้องพระโรง แลว่าพระศรีภูริปรีชาหมื่นราชามาตย หมื่นคำจายผู้หลานพระศรีภูริปรีชา กันนายภิม แลผู้มีชื่อทั้งสี่คนนี้ จะคุมคนร้อยหนึ่งสรัพด้วยเครื่องสาตราวุธ จะยกเข้ามาเฝ้าแต่ตพานช้างมาณประตูพระราชวัง พระยาพัทธลุงจะคุมกำลัง แลสมักพักพวกร้อยห้าสิบ สรัพด้วยเครื่องสาตราวุธ จะมาโดยทางริมน้ำ จะเข้ามาณประตูดินพระราชวังบวรสถานมงคล ขุนศรีเทพบาทแลหมื่นภักดีศวร จะคุมบ่าวแลสมักพักพวกร้อยยี่สิบ สรัพด้วยเครื่องสาตราวุธ จะยกเข้ามาโดยทางท่าทราย จะเข้าประตูหลักไชยข้างหลัง ๚ะ

๏ อนึ่งคนเดิมพระไตรยภูวนารถทิตยวงษนั้นประมาณสามพัน แลคนพระราชทานประมาณพันเสศ. พระสิทธิไชย หลวงสรรพสิทธิ์ กับน้องพระสิทธิไชย แลพระหลวงขุนหมื่นพันทนายฃอเฝ้ามหาดเล็กนั้น จะมาด้วยพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ ก็ให้พระสิทธิไชย หลวงสรรพสิทธิ์ แลน้องพระสิทธิไชยเสี่ยงเทียนสามเล่ม เทียนพระพุทธเจ้าเล่มหนึ่ง เทียนพระบรมโพทธิสมภารเจ้าเล่มหนึ่ง เทียนพระไตรยภูวนารถทิตยวงษเล่มหนึ่ง แลเสี่ยงพระษาริริกธาตุณหอพระ อธิฐานว่าจะยกเข้าไปนั้นยังจะมีไชยชำนะฤๅ ๆ หาไชยชำนะมิได้. แลเมื่อตามเทียนเสี่ยงนั้น เทียนพระไตรยภูวนารถทิตยวงษนั้นดับก่อน แลพระษาริริกธาตุก็มิได้ลอยขึ้น พระไตรยภูวนารถทิตยวงษก็ว่าพระอาธรรมแล้วทั้งนี้สุดแต่บุญ แล้วพระไตรยภูวนารถทิตยวงษก็สั่งแก่นายอินว่า พระยาศุโขไทย พระยามหามณเฑียรสองคนนี้จะอาษาเหนพระยาพลเทพ พระยามหามณเฑียรลงไปณวังหลังเปนหลายครั้ง แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษก็บอกแก่นายอินว่า พระยากลาโหมจะอาษา แลพระยาวิชิตสุรินทร พระยาศรีสุรภักดีทูลว่า จะยกขึ้นไปเมื่อใดจะอาษาเมื่อนั้น แลให้กฎหมายผู้มีชื่อทั้งนี้ไว้ อนึ่งผู้คิดอ่านเปนคมเปนสันนั้น คือพระยากลาโหม พระยาพลเทพ พระยามหามณเฑียร พระยาศุโขไทย พระยาวิชิตสุรินท พระยาศรีสุรภักดี หกคนนี้ลงไปกลางวันแลกลางคืน. แลผู้ซึ่งลงไปเปนสุภาพนั้น คือเจ้าพระยามหาอุปราช พระยาพิจิตร หลวงพรหมพิจิตร สามคนนี้เหนลงไปเปนสุภาพ. อนึ่งพระยาศรีภูริปรีชา หลวงกลาโหม นายเพชร ทูลคิดด้วยกัน แล้วจึ่งทูลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษว่า จะเขียนชื่อพระยาจักรี พระยาพิชิตภักดี พระสุรินทรภักดี หลวงอินทรเดช แลขุนเหล็ก ขุนเทพรัตนลงในราชเอาสีลาทับไว้ มิให้คนมีชื่อทั้งนี้ออกปากคิดอ่านได้ เพื่อจะระงับถ้อยความทั้งปวง แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษเหนชอบด้วย. จึ่งพระศรีภูริปรีชาเอาตำราราชของตัวให้แก่นายเพชรทูล ให้เขียนชื่อคนทั้งนั้นลงราช แล้วให้หลวงกลาโหมเอาสีลาทับไว้ในพระตำหนักนั้น อนึ่งหมื่นทิพเสนา หมื่นราชามาตย ลงไปณวังหลังขออาษา แลพระไตรยภูวนารถทิตยวงษก็ให้ผ้าลาย แลเสื้อกาษาคลสำรับ. ๚ะ

๏ อนึ่งมีคำอีแก่น แลนายบุญเกิดให้การว่า พระไตรยภูวนารถทิตยวงษว่า ใช้อีแก่นแลนายบุญเกิด เอาน้ำสบถไปให้แก่พระยามหามณเฑียร พระยาศุโขไทยกินถึงจวน อนึ่งคำอีแก่นให้การว่าผู้ลงไปณวังหลังนั้นคือภรรยาพระยากลาโหม นางน้อยลูกพระยากลาโหม ภรรยาหลวงราชบุตร์ แลภรรยาพระยากลาโหมผู้มรณภาพไปกับนางเขียดท้าวอาชอุไทยภรรยาพระยาพิไชยรณฤทธ แลลูกสใพ้แม่นมสุด แม่พระศรีภูริปรีชา แลหลานแม่ศรีอุไทย แม่พระศรีภักดีภรรยาพระยาพัทธลุง ภรรยาพระยาศุโขไทย ภรรยาพระยาพระคลัง แม่พระยาพระคลัง แลภรรยาพระจอมเมืองนั้น พระราชทานกำไลทองคำคู่หนึ่ง ครั้นถามผู้มีชื่อทั้งนี้กราบบังคมทูลพระกรุณา พระเจ้าอยู่หัวจึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง พิภาคษาโทษซึ่งไปมาแลคิดอ่านด้วยพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ จะทำร้ายในลอองทุลีพระบาทนั้นเปนมหันตะโทษถึงสิ้นชีวิตร แลผู้ไปมาคบหาพระไตรยภูวนารถทิตยวงษ ซึ่งมิได้คิดเปนใจคิดร้ายด้วยนั้นเปนแต่สาขาโทษ แลทรงพระกรุณาโปรดให้ลงพระราชอาญา แล้วประทานชีวิตรไว้ ๚ะ

๏ แลในเดือนยี่ปีวอกนั้น พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว บำเพ็ญพระราชกุศลนาๆประการ แล้วให้หล่อรูปพระอิศวรเปนเจ้ายืนสูงศอกคืบมีเสศพระองค์หนึ่ง รูปศีวาทิตยยืนสูงศอกมีเสศพระองค์หนึ่ง รูปพระมหาวิคเนศวรพระองค์หนึ่ง รูปพระจันทราทิศวรพระองค์หนึ่ง แลรูปพระเปนเจ้าทั้งสี่พระองค์นี้สรวมทองนพคุณ แลเครื่องอาภรณประดับนั้นถมราชาวดี ประดับด้วยแหวนทุกพระองค์ไว้บูชาสำหรับการพระราชพิธี ๚ะ

๏ แลในเดือนยี่ปีวอกนั้น พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพระยาจักรี ให้แต่งโรงพระราชพิธีเบญจาพิธ แลประดับด้วยราชวัตฉัตรธงอลงกฎ การมหามหรรสพทั้งปวง. แลเมื่อแรกแต่งการพระราชพิธีเบญจาพิธนั้น ให้พระเมืองขุนหมื่นคุมไพร่พลไปทำโรงราชพิธี แลพระตำหนักตำบลมขามหยอง. ๚ะ

๏ ในเดือนยี่นั้น พระท้ายน้ำขุนอำมรินทร ขุนหมื่นทั้งหลายเหนเปนโชตรุ่งเรืองดั่งต้นตาล สูงขึ้นไปในที่จะแต่งการพระราชพิธีก็ปรากฎในราษตรีกาลนั้นเปนศุภนิมิตรอันอุดม ซึ่งจะจำเริญพระศรีสวัสดิพิภัทธมงคลอันประเสริฐนั้น ครั้นแต่งการสำเรจ์แล้วถึงวันศุกร์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำเพลารุ่งแล้วแปดบาท, พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสดจ์ด้วยเรือพระที่นั่งครุทธพาหนะ แลประดับด้วยเรือดั้งเรือกันแลเรือไชยรูปสัตวทั้งปวง แลเรือท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง แห่หน้าหลังคับคั่งเปนอันมาก. ครั้นเสดจยังพระตำหนักตำบลมขามหยองแล้วก็ให้ประพฤษดิมงคลการสามวัน ครั้นสำเรจ์แล้วก็ให้พระมหาราชครู แลพระปลัดพระราชครูประพฤษดิการพระราชพิธีมหาปรายาจิตร แลพระราชพิธีเบญจาพิธมหาพิไชยสงคราม ก็เสดจ์เข้าพระราชพิธีแล้วประพฤษดิการตามยถาสาตรสำหรับการพระราชพิธีเบญจาพิธ ตามสาตรตำรับนั้นทุกประการเสร็จ ถึงวันอาทิตย์เดือนสิบขึ้นสิบค่ำเพลาชายแล้วนาฬิกาหนึ่ง จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจทรงภูษาพัตราภรณ พิพิธวิจิตรด้วยสุวรรณรัตนภรณ์บวรราโชประโภคทั้งปวงเสร็จ ก็เสดจเหนือพิไชยราชรถอันอลงกฎด้วยกาญจนรัตนาภรณ์ เทียมด้วยบวรจัตุรงค์มงคลอาชาไนยประไภโชดิฉัชชะวาลย์ กาญจนพระอภิรุมบังแสงสุริยมยุรฉัตร พัชนีพรรณกรรพรุณจามรมาศ แลพระมหาราชครูพระครู ท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงทุกกระทรวงทบวงการทั้งหลาย แลประดับประดาซ้ายขวาน่าหลัง นฤนาทด้วยศรับท์สำเนียงเสียงฆ้องกลองแตรสังข์ ก็เสดจลิ้นลาศในรัฐยาอันประดับประดาด้วยราชวัชฉัตรธงอลงกฎธิการด้วยมหามหรรสพทั้งปวงนั้น ครั้นถึงมารคที่โรงดัษกรนั้น ก็หยุดพระพิไชยราชรถให้ประหาดัษกรโดยสาตรเสร็จ ก็เสดจยังพระที่นั่งสาครมณฑ ปเสดจสรงมุรธาราภิเศกเสร็จ เสดจยังพระที่นั่งพระพิไชยสมโพธแลถวายอาศริพาศคำรพตติยวาร แลพระราชทานให้เลี้ยงลูกขุนสำหรับการพระราชพิธีเบญจาพิธมหาพิไชยสงครามตามธรรมเนียม ๚ะ

๏ ครั้นการพระราชพิธีเสร็จก็เสดจประเวศน์พระราชมณเฑียร แลในปีวอกนั้น ตรัสให้หล่อรูปพระเทวกรรม สูงประมาณศอกมีเสศพระองค์หนึ่ง สรวมทองเครื่องอาภรณ์ประดับแหวนถมราชาวดี ๚ะ

๏ ครั้นปีรกานพศก พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพระยาจักรี ให้แต่งโรงราชพิธีบัญชีพรหม แลชมรมสำหรับการพระราชพิธีทั้งปวง ในทเลหญ้าตำบลพะเนียด แล้วทรงพระกรุณาให้หล่อพระเทวะกรรมยืนสูงศอกหนึ่งหุ้มด้วยทองเนื้อแล้ว แลเครื่องอาภรณ์นั้นถมราชาวดี ประดับด้วยแหวนไว้สำหรับการพระราชพิธีคชกรรม ให้พระมหาราชครู พระครูพฤทธิบาศ แลปลัดพระราชครู ประพฤติการพระราชพิธีบาญชีพรหม ในวันศุกร์เดือนเจ็ดขึ้นสิบค่ำ จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจยังการพระราชพิธีมหาประยาจิต แลพระราชพิธีบาญชีพรหมทเลหญ้า ก็ประพฤติการพระราชพิธีตามสาตรตำหรับอันมีในคชกรรมนั้นทุกประการ ครั้นถึงณวันศุกร์เดือนเจ็ดขึ้นสิบสี่ค่ำ พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจยังการพระราชพิธีคชกรรมโดยยถาสาตร แลถวายสมโพธถวายอาศรีพาศคำรพย์สามวันเสร็จ ก็เสดจประเวศน์พระราชมณเฑียร. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๒๐ ปีจอสัมฤธธิศกเดือนอ้าย จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจด้วยพระที่นั่งชลวิมานกาญจนบวรนาวาไปประภาศ ณเมืองนครสวรรค์ จึ่งพระยาจักรีกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ขุนศรีขรจารินท์ ณเมืองศรีสวัศดิ์บอกมาว่า ออกไปฟังข่าวณป่าตำบลห้วยซาย แลนายอานซุยคล้องต้องนางช้างเผือก ประมาณสามศอกมีเสศ หูหางสรัพด้วยรูปงาม คล้องได้ในวันอังคารเดือนอ้ายแรมสองค่ำ จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้พระยาตนาวศรี แลพฤทธิบาศแลขุนช้างชาวช้างทั้งหลายไปรับเสวตรคเชนทร ก็เสดจพระราชดำเนินไปแต่เมืองนครสวรรค์มายังกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา แลรับเสวตรกุญชรมาถึงกรุงเทพมหานคร ณวันศุกร์เดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ แลให้แห่ประดับประดาด้วยการมหรรสพทั้งปวงด้วยเรือขนาน รับขึ้นไว้ณโรงใกล้พระราชวัง แลทรงพระกรุณาตรัสประสาตร์นามกร ชื่อพระอินทไอยราวรรณวิสุทธิราชกิริณี แลให้พระมหาราชครู พระครูพฤศธิบาศ แลท้าวพระยาสามนตราช เสนาบดีมนตรีมุขลูกขุนทำขวันคำรพสามวันแล้ว แต่งเครื่องราชาภรณ์บวรอลงกฎรจนาด้วยกระนกกรัตนาไมย พระราชทานให้ประดับสำหรับเสวตรคเชนทรนั้น แลพระศรีสิทธิกรรมอยู่บริบาลนางพระยาช้างเผือกนั้น ๚ะ

๏ ส่วนนายอานซุยผู้บุตรขุนศรีขรจารินท์ซึ่งคล้องถูกนั้น พระราชทานให้ชื่อเปนขุนคเชนทรไอยราวิสุทธิราชกิริณี แลพระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมเลี่ยมเครื่องทองสำรับหนึ่ง แลเงินตราสองชั่ง ผ้าลายสรรพางค์ ผ้าไหมลายปูม แลเสื้อแพรสำรับหนึ่ง แลภรรยาแห่งนายอานซุยนั้น พระราชทานให้ครอบเงินกลีบบัวหนักสิบตำลึง เครื่องลำรับแลเงินตราชั่งหนึ่ง ผ้าท้องขาวเชิงชายเขียนสำรับหนึ่ง แลขุนศรีขรจารินท์ผู้พ่ออานซุยช้วยโปรดนั้น พระราชทานให้เปนหลวงเสวตรคเชนทร พระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมจำหลักหูช้าง แลเครื่องทองสำหรับเจียด เงินตราสองชั่ง ผ้าลายสรรพางค์ ผ้าไหมลายปูม แลเสื้อแพรพรรณสำรับ แลนายอานซุยผู้คล้องต้องนั้นว่าช้างนี้ตาพิการจะปล่อยเสีย จึ่งได้พระราชทานแต่เท่านั้น แลพระราชทานแก่ผู้เปนควานแลโยนทามนั้น ตามธรรมเนียมซึ่งได้นางพญาช้างแต่ก่อน ผู้ถือหนังสือข่าวมา แลผู้มาส่งนั้น ก็ได้พระราชทานถ้วนทุกคน แลพระราชทานทั้งปวงสิ้นเปนเงินเจ็ดชั่งสิบตำลึง แลค่าสร่วยดิบุกซึ่งเปนสมักพักพวก แลทาษหลวงเสวตรคเชนทร ซึ่งได้ช่วยในการช้างนั้น ก็พระราชทานด้วย ๚ะ

๏ สมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือก ทรงพระเดชานุภาพอันประเสริฐ จำเริญพระราชกุศลสุจริตธรรม แลกอบด้วยพระราชศรัทธา ก็ให้สฐาปะนาพระพุทธปัฏิมากรห้ามสมุทพระองค์หนึ่งหุ้มทองคำ แลทรงอาภรณประดับด้วยแหวนมีค่า ทรงพระนามสมเดจพระบรมไตรยโลกยนารถ พระองค์สูงสี่ศอกคืบมีเสศทั้งถาน แล้วทรงพระราชศรัทธาตรัสให้สฐาปนาพระพุทธปฏิมากรพระองค์หนึ่ง หล่อด้วยทองนพคุณทั้งแท่งทรงพระนามสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าตรีภพนารถห้ามสมุท สูงศอกคืบเก้านิ้ว ทรงเครื่องอาภรณประดับพระอุนาโลมเพชรแหลมเท่ามะกล่ำใหญ่ แล้วก็สฐาปะนาพระพุทธปัฏิมากรหุ้มเงินสองพระองค์ พระองค์หนึ่งสูงสี่ศอกคืบมีเสศทั้งถาน พระองค์หนึ่งสูงสองศอกคืบมีเสศทั้งถาน แล้วตรัสให้หล่อพระบรมกรรมพระองค์หนึ่ง สูงสี่ศอกทั้งถาน แจ้งอภิเศกเสร็จ ก็ให้รับไปประดิษฐานไว้ในอารามพระศรีรุทรนารถตำบลชีกุน แลตรัสให้หล่อพระเทวะกรรมพระองค์หนึ่ง สูงประมาณสี่ศอก ไว้ในพระเทวะกรรม ๚ะ

๏ ในขณะนั้นก็ฦๅชาปรากฎพระยศพระเกียรดิพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือก ทรงพระเดชบุญญานุภาพอันยิ่งไปทั่วนาๆประเทศทั้งปวง ฝ่ายเมืองกัมพูชาประเทศนั้น นักจันผู้เปนราชบุตรพระยากัมพูชาประเทศได้ปกครองเมืองกัมพูชาประเทศ ก็มีความพิโรธกันกับน้องชื่อนักประทุม ๆ ให้หนังสือไปแก่พระยาญวน ให้มารบเอาเมืองกัมพูชาประเทศ พระยาญวนก็ให้องค์เจียงทูยกทับมารบเอาเมืองกัมพูชาประเทศ ได้นักจันผู้ครองเมืองกัมพูชาประเทศนั้นไป แล้วเอาแต่ทรัพย์สิ่งของแลปืนไปเมืองญวน แล้วก็ส่งนักจันให้กลับมาเมืองกัมพูชาประเทศเล่า ครั้นถึงเมืองจำปาละราชนักจันก็ถึงอนิจกรรม แลนักประทุมผู้น้อง ก็คุมญาติวงษสมักพักพวกเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามคน ซ่องสุมไพร่พลไปอยู่เมืองปะทายเพชร ๚ะ

๏ ในปีจอสัมฤทธิศกนั้น แขกแม่นางกะเบาอันอยู่เมืองกัมพุชาประเทศหาที่พึ่งที่พำนักมิได้แลพระยาราชภักดีหนึ่ง พระยาโตะกาหนึ่ง พระยาโตะปะเกะหนึ่ง พระยานครหลวงหนึ่ง ศรีกากะหนึ่ง โปช้างหนึ่ง คุมสกรรธ์อพยพเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามคน มาฃอเปนข้าสู่พระราชสมภาร แลทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค แลอาหารทั้งปวงแลไร่นาให้ทำกินเลี้ยงอาตมาภาพทุกคนมิได้แค้นเคือง ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๒๑ ปีกุนเอกศก หลวงกำเริบพระไพรหนึ่ง หลวงจงราชาหนึ่ง หลวงโสมหนึ่ง หลวงราชกุมารหนึ่ง หลวงราชเสนาหนึ่ง หลวงเสนาวิไชยหนึ่ง แลขุนหมื่นกับด้วยสกรรธ์สองพันสองร้อยสิบสี่คนอพยพสู่พระราชสมภาร แลสังฆราชวสุคนธ์อันเปนญาติสมักพักพวกด้วยนักจัน กับด้วยนักนี แลนักวรอุไทย แลนักอำผู้หลาน ทั้งนี้หาที่พำนักนิ์มิได้ ก็นำสมักพักพวกทั้งหลายมาสู่พระราชสมภาร ทรงพระกรุณาโปรฎพระราชทานเครื่องอูปโภคบริโภคทั้งปวงแก่สังฆราชาสุคนท์, แลญาติสมักพักพวกทั้งปวงซึ่งมาสู่พระราชสมภารนั้น ได้รับพระราชทานโดยอันดัพถ้วนทั้งปวง แลให้สังฆราชาสุคนท์อยู่ณอารามวัดพระนอน แทบอารามวัดเจ้าพระยาไทย แลพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเจียดแลเครื่องเจียดแก่นักนี แลนักวรอุไทยนักอำ แลพระราชทานแก่หลวงขุนหมื่นผู้มีความสวามีภักดิ์ แลสกรรธ์อพยพทั้งปวง ให้ทำมาหากินในถิ่นถานชอบกล มิให้แค้นเคืองสิ่งใดได้ แต่ขุนท่องพระไพรมาสู่พระราชสมภาร ด้วยสังฆราชาสุคนท์นั้นให้การว่า เมื่อครั้งสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวปราสาททองสวรรคาไลยแล้ว แลสมเดจพระศรีสุธรรมราชาธิราชเสวยราชสมบัติ รู้ข่าวไปถึงนักจันผู้เปนพระยากัมพูชาธิบดี ๆ ก็ใช้ขุนท่องพระไพรแลไพร่ห้าคน ให้ลอบปลอมเข้ามาฟังกิจการณกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา ขุนท่องพระไพรกับไพร่ห้าคน เดินลัดป่ามาโดยทางนครนายก, แลมาถึงทุ่งพระแก้ว จึ่งไว้ไพร่สามคนซึ่งมาด้วยนั้นสองคน แลถือเชือกเดินประดุจดังหาวัว ๚ะ

๏ ขณะนั้นพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจปราบดาภิเศกแล้ว. แลขุนท่องพระไพรมาภบสงฆ์สามรูปณทุ่งวัดเดิม ได้เจรจาด้วยพระสงฆๆก็บอกว่าพระนารายน์เปนเจ้าได้เสวยราชสมบัติแลทรงพระเดชเดชาบุญญานุภาพหนักหนา แลพระหัดถ์ข้างหนึ่งจะให้เปนสองหัตถก็ได้ แลทรงพระกรุณาแก่ประชาราษฎรทั้งปวง แลขุนท่องพระไพรก็เอากิจนี้ไปบอกแก่นักจัน ๚ะ

๏ ในปีกุนเอกศกเดือนเก้า มริอลาได้ยินปรากฎพระเกียรติยศอันประเสริฐออกไปก็มีความสวามีภักดิ์ แต่งจานแก้วหุ้มแสรกทองประดับมรกฎ แลแหวนแดงทั้งปวงร้อยยี่สิบพรอย ขอให้โกษาธิบดีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย แลปีกุนนั้นพระยากตุกสวามีภักดิ์ แลแต่งแหวนพลอยเพชร์แหลมประมาณเท่าผลสวาด คิดราคาแปดชั่งเจ็ดตำลึงทอง แหวนพลอยเพชรมรกฎเท่าบัวอ่อนใบหนึ่ง ราคาชั่งสิบตำลึงทอง ให้ดีบลมุลนำเข้ามาให้พระยารามกำแหงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย. ในปีกุนนั้นนางพระยาอาแจแต่งแหวนเพชรลูกแดงเท่าผลมขามทั้งเปลือก เปนค่าสิบตำลึงทอง ขอให้โกษาธิบดีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ในปีเดียวกันนั้นพระยามหมัดลูกค้าณเมืองชลีมีความสวามีภักดิ์ ก็แต่งดาบทองกลมเปนรูปนกอยู่ใน แลประดับพลอยเพชร แลพลอยแดงมรกฎ แลมุกดาทั้งสามสาย พลอยแหวนประดับใหญ่น้อยสองร้อยเจ็ดสิบพลอย ฃอให้โกษาธิบดีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย แลประเทศทั้งปวงมีความสวามีภักดิ์ แลแต่งเครื่องบรรณาการรจนาอันพิจิตรต่างๆ เข้ามาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเปนอันมาก. สมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาพระราชทานให้สิ่งของตามปราถนานั้นทุกประการ ยิ่งกว่าสิ่งของทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายนั้นอีก ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๑๒๒ ปีชวดโทศก มีหนังสือพระยาแสนหลวง ณเมืองเชียงใหม่ ให้แสน่สุรินทไมตรีถือลงมาถึงอรรคมหาเสนาบดี ณกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา. ในลักษณหนังสือนั้นว่าข่าวเมืองจีนหวยตรีพลจะมาล้อมเอาเมืองเชียงใหม่ แลพระยาแสนหลองแลชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งปวง หาที่พึ่งที่พำนักนิ์มิได้ จึ่งเสี่ยงทายในอารามพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ว่า ถ้าประเทศใดจะเปนที่พึ่งที่พำนักได้ไซ้ ขอพระสิหิงคิ์เจ้าสำแดงให้เหนประจักข์ แลว่าพระพุทธสิหิงคิ์นั้น บ่ายพระภักตรมายังกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา พระยาแสนหลวงขุนแสนหลวง แลหมื่นทั้งปวงมีความยินดีนัก จะฃอพระเดชเดชานุภาพพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระเจ้าช้างเผือกเปนที่พึ่งที่พำนักนิ์ ฃอพระราชทานข้าหลวงแลช้างม้าไพร่พลสรัพด้วยเครื่องสรรพาวุธ ไปช่วยป้องกันเมืองเชียงใหม่ให้พ้นไภยอันตราย จะได้เปนข้าขันทสีมามณฑล ณกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา จึ่งพระยาจักรีเอากราบทูลพระกรุณา พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระเจ้าช้างเผือก จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า ซึ่งพระยาแสนหลวง แลแสนหมื่น แลชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งปวง หาที่พึ่งที่พำนักนิ์มิได้นั้นควรแต่งท้าวพระยามนตรีมุข แลช้างม้าไพร่พลทหารสรัพด้วยเครื่องสรรพายุทธทั้งปวง ไปช่วยป้องกันเมืองเชียงใหม่ตามปราถนาชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งปวง. แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งให้พระยาสีห์ราชเดโช พระยาท้ายน้ำเปนนายกอง พระยาพิจิตรเปนยุกรบัตร เมืองนครนายกเปนเกียกกาย สมิงพระรามเปนกองน่า สมิงพัตบะเปนกองหลัง เมืองคยอยเปนปีกขวา เมืองยโสธรเปนปีกซ้าย แลขุนหมื่นเปนกองใช้กองแล่น ช้างเครื่องแปดช้าง ม้าสิบหกม้า พลสิบพัน ปืนใหญ่ยี่สิบเก้าบอก ปืนนกสับร้อยสี่สิบสี่บอกเปนทัพหนึ่ง. แลให้พระยารามเดโชเปนนายกอง พระสระบุรีเปนยุกรบัตร พระศรีสวัสดิ์เปนเกียกกาย พลรบพันหนึ่ง สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธ ปืนใหญ่สิบบอก ปืนนกสับร้อยบอก ช้างเครื่องหกช้าง ม้าสิบม้าเปนทับหนึ่ง ให้พระยาท้ายน้ำแลพระยารามเดโชทั้งสองทับนี้ ยกไปจากกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยาในเดือนสิบสอง ให้แสนสุรินทรไมตรีนำทางไปเชียงใหม่ ๚ะ

๏ ในเมื่อเดือนอ้ายปีชวดโทศกนั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าช้างเผือก ทรงพระเดชานุภาพอันประเสริฐ มีพระราชหฤๅไทยทรงพระราชสรัทธาจะถวายสการบูชาพระชินราช พระชินสีห์ณเมืองพระพิศณุโลกย์ ครั้นถึง ณวันอาทิตย์เดือนอ้ายแรมสามค่ำ ก็เสดจด้วยเรือพระที่นั่งสมรรถไชย ไปโดยชลมารควิถีสิบสี่เวร ก็ถึงเมืองพระพิศณุโลกย์ แลตั้งตำหนักตำบลช่องตา แลถวายสการบูชาพระชินราชพระชินสีห์ แลถวายพระพุทธสมโพธด้วยการมหรรสพสามวัน ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาท้ายน้ำแลพระยารามเดโช พระยาพิจิตรบอกหนังสือมาถึงสมุหนายก ให้กราบทูลพระกรุณาว่าได้ยกทับไปถึงตำบลฆ้องไชย แสนสุรินทไมตรีผู้นำทางนั้นหนี จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้มีตราตอบไปถึงนายทับนายกอง. ให้ติดตามเอาตัวแสนสุรินทรไมตรีนั้นให้จงได้ อนึ่งพระยาแสนหลวงณเมืองเชียงใหม่ แต่งหนังสือให้แสนสุรินทไมตรีถือฬ่อลวงแล้วหลีกหนีนั้น เมืองนคร แลเมืองเถินขึ้นแก่เมืองเชียงใหม่ จะไว้เมืองนคร, แลเมืองเถินนั้นมิได้ จึ่งตรัสให้พระยากลาโหมนั้นเปนนายกอง หลวงธรรมไตรยโลกยเปนยกรบัตร พระยาเสนาบดีภิมุขเปนเกียกกาย สมิงพระรามเปนกองน่า พระมฤทธเปนกองหลัง เมืองนนทราชธานีเปนปีกขวา พระวิชาจารยมนตรีเปนปีกซ้าย แลกองแล่นกองไชยพลห้าพันเสศ ปืนใหญ่ปืนนกสับแลช้างเครื่องแลม้าสรรพด้วยสาตราวุทธเปนทับหนึ่ง แลให้พระยานครราชสีมาเปนนายกอง เมืองอินทบุรีเปนยุกรบัตร พระสุพรรณ์บุรีเปนเกียกกาย พระกุยบุรีเปนกองน่า พระกลางบรรพตรเปนกองหลัง พระพลเทพเปนปีกขวา พระมหาดไทยเปนปีกซ้ายพลสองพันปืนใหญ่ปืนนกสับช้างเครื่องหกช้างม้าแปดม้าเปนทับหนึ่ง ให้พระยายมราชเปนนายกอง หลวงรามเดชะเปนยุกรบัตร พระไชยนาทเปนเกียกกาย พระอนันตกะยอสูเปนกองน่า พระศรีมหาราชาเปนปีกขวา ขุนโจมจัตุรงค์เปนปีกซ้าย พลพันหนึ่งปืนใหญ่ปืนนกสับ ช้างเครื่องหกช้างม้าแปดม้าเปนทับหนึ่ง แลให้พระยาราชวังลั่นเปนนายกอง พระสวรรค์บุรีเปนยุกระบัตร หลวงวิชิตสงครามเปนเกียกกาย พระนนทบุรีเปนกองน่า พระยาราชภักดีเปนกองหลัง พระยาตุกาลีเปนปีกขวา หลวงรามภักดีเปนปีกซ้าย พลสามพันปืนใหญ่ปืนนกสับ ช้างเครื่องหกช้าง ม้าสิบม้าเปนทับหนึ่ง แลให้พิไชยสงครามเปนนายกอง หลวงสุระสงครามเปนยุกระบัตร หลวงราชมนตรีเปนเกียกกาย หลวงกำแหงสงครามเปนกองน่า หลวงนเรนท์ภักดีเปนปีกขวา ขุนพิพิธรณรงค์เปนปีกซ้าย พลห้าร้อยปืนใหญ่ปืนนกสับ ช้างเครื่องหกช้าง ม้าแปดม้าเปนทับหนึ่ง จึ่งเปนทับห้าทับยกขึ้นไป ๚ะ

๏ ครั้นถึงเมืองนคร เมืองเถินไซ้ จึ่งสงเชดกายแลแหงในซึ่งอยู่ในเมืองนครก็ภาสกรรธ์อพยพเมืองนครแลเมืองเถิน ออกมาหานายทับนายกองข้าหลวง ฃอเปนข้าสู่พระราชสมภาร แลทำลายข้าซึ่งอยู่รักษาเมืองนครนั้น ก็ภาสกรรธ์อพยพไปพึ่งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ นายทับนายกองก็แต่หนังสือส่งตัวเชตกายแลแหงในกับสกรรธ์อพยพทั้งปวงลงมายังทับหลวงตัวณเมืองพระพิศณุโลกย์ว่า ได้เมืองนคร เมืองเถิน สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งว่า สมุหนายกให้มีตราตอบ ให้พระยากลาโหม พระยารามเดโช พระยาพิไชยสงคราม อยู่รั้งเมืองนคร ให้ส้องสุมชาวเมืองนคร แลครัวอพยพทั้งปวง ซึ่งแตกฉานซ่านเซนออกไปจากเมืองนครนั้น ให้เข้ามาอยู่ตามภูมลำเนาดุจแต่ก่อนนั้น. แล้วให้พระยานครราชสีมา พระราชสุภาวดี พระสุพรรณบุรี ยกไปเอาเมืองตัง แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งให้พระยามหาเทพ แลขุนหมื่นข้าหลวง แลพลห้าร้อยสรัพด้วยเครื่องสรรพายุทธไปเอาเมืองลอง ก็ได้ตัวแสนเมืองลอง แลสกรรธ์อพยพคุมลงมาถวายยังทับหลวง ณเมืองพระพิศณุโลกย์ ทรงพระกรุณาตรัสให้ขุนราชเสนา หมื่นอินทษรแม่นไปฟังข่าวพระยานครราชสีมาแลพระยาราชสุภาวดี พระสุพรรณบุรี ซึ่งยกทับไปเอาเมืองดังนั้น แลได้สงฆราชาเฃมราช แลเมืองตังหมื่นจิตรกับไพร่หกสิบแปด มายังทับหลวงณเมืองพระพิศณูโลกย์ ๚ะ

๏ ถึงวันจันทรเดือนสามแรมสองค่ำ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าช้างเผือก ก็เสดจพระราชดำเนินกรีธาพล แต่เมืองพระพิศณุโลกย ไปยังศุโขไทย แลเสดจอยู่ตำหนักตำบลธาณี จึ่งมีพระราชโองการ ตรัสสั่งให้พระยาเกียรติเปนนายกองทับน่า ขุนวิเชียรโยธาเปนปีกขวา ขุนรามโยธาเปนปีกซ้าย สมิงสามแหลกเปนเกียกกาย พลรบห้าร้อยสรัพด้วยเครื่องสรรพายุทธทับหนึ่ง. แลให้พระยากำแพงเพชรเปนนายกองทับใหญ่ ขุนเมืองเปนปีกขวา ขุนราชาเปนปีกซ้าย หลวงอนันทแสนแสงเปนเกียกกาย แลช้างม้าไพร่พลพันหนึ่ง สรัพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง. แลให้ทับสองทับยกไปตีเมืองรามดี แลผู้รักษาเมืองนั้นชื่อโลกย์กำม์เกียว ครั้นรู้ก็ภาสกรรธ์อพยพหนีไปจากเมืองรามดี จึ่งขุนแลสมิงแลจ่าทั้งปวงสิบห้าคนนี้เปนนายหมวด แลลูกหลานนายหมวดสิบห้าคนออกมาหาพระยากำแพงเพชรว่า จะฃอเปนข้าขันทเสมาพระราชสมภาร แลกินน้ำสบถแล้วก็ให้ผมไว้เปนสำคัญ ตามประเพณีว่าซึ่งสัญญานั้น แล้วถวายอพยพทั้งปวงพันสี่ร้อยเก้าสิบตามคน ฃอเปนข้าขอบขันทสีมากรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยา จึ่งพระยากำแพงเพชรก็ให้ผ้าเสื่อเปนรางวัล แจกนายหมวดแลลูกหลานนายหมวด ผู้มีความสวามีภักดีนั้นทุกคน. แล้วพระยากำแพงเพชรบอกหนังสือมาถึงสมุหนายก เมื่อทับหลวงเสดจอยู่ตำบลธาณีนั้น พระยาจักรีจึ่งกราบบังคมทูล ทรงพระกรุณาโปรฎนายหมวดว่า ผู้มีความสวามีภักดีซึ่งมาสู่พระราชสมภาร แลพระราชทานผ้าเสื้อแลเงินถ้วนทุกคนแล้ว ก็เสดจพระราชดำเนินกลับมายังเมืองพระพิศณุโลกย์.จึ่งเสดจแต่เมืองพระพิศณุโลกย์โดยทางชลมารควิถีแปดวันก็ถึงกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา. ๚ะ

๏ ส่วนพระยากำแพงเพชรก็แต่งขุนโชดภักดี ขุนสุระนรินท์ แลหมื่นมหาเก้าทัน คุมไพร่ร้อยหนึ่งสรัพด้วยเครื่องสาตราวุธ ไปจัดส้องพระยาพรหมคีรี แลละว้าขุนหมื่นนายหมวดทั้งปวงยี่สิบคนผู้ออกมากินน้ำสบถนั้น พระยากำแพงเพชรก็ให้รางวัลเสื้อผ้าแลเงินตราแก่พระยาพรหมคีรี แลละว้านายหมวดทุกคน พระยาพรหมคีรีแลละว้านายหมวดทั้งปวงถวายสกรรธ์อพยพพันแปดร้อยคน เปนข้าขอบขันทสีมา ณกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาจึ่งพระยากำแพงเพชรให้บูนราชาเมืองเชียงเงิน ขุนหมื่นแลไพร่ร้อยยี่สิบคนคุมเอาพระยาพรหมคีรี แลละว้าผู้เปนขุนหมื่นสมิงนายหมวดทั้งปวง มายังกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา แลพระราชทานชื่อแก่พระยาพรหมคีรีนั้นเปนพระยาอนุชิตชลที แลพระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมจำหลักสรรพางค์จุกทองผ้าเสื้อเงินตรา สิ่งของแลเครื่องเรือนแก่พระยาพรหมคีรี แลขุนหมื่นสมิงละว้านายหมวดนั้นมากนัก แลให้ไปอยู่ตามภูมลำเนาดุจก่อน ส่วนพระราชสุภาวดี แลเมืองสวรรค์บูรี ครั้นได้เมืองตังแล้วก็ยกทับไปตีเมืองอินทคีรี แลพระยาอินทคีรีคุมเอาสกรรธ์อพยพเจ็ดร้อยออกมาหาพระราชสุภาวดี ขอเปนข้าสู่พระราชสมภาร จึ่งพระสุภาวดีให้พระยาอินทคีรีคุมสกรรธ์อพยพไปอยู่เมืองอินทคีรี จึ่งพระยาอินทคีรีให้สาตงผู้ลูก แลแสนทักขึ้นณด้านแสนบัวบาน แสนอะไภยมาน แสนพึงไชย แลไพร่สี่สิบหกคนลงมาด้วยพระราชสุภาวดี แลเมืองสวรรค์บุรี ถึงกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือก ก็มีพระราชโองการตรัสให้สาตงแลแสนทัก ขึ้นณด้านแสนบัวบาน แสนอไภยมาน แสนพึงไชย เข้ามากราบถวายบังคมณสาลาลูกขุน. แล้วพระราชทานชื่อแก่นายสาตง เปนแสนหลวงสุนทรราชภักดี แสนบัวบานเปนแสนภูมินทบริบาล พระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมจำหลักสรรพางค์เครื่องสำรับแลผ้าเสื้อแพรพรรณแก่แสนหลวงสุรินทราชภักดีผู้ลูกพระยาอินทคีรี แลพระราชทานผ้าเสื้อแพรพรรณแก่แสนสุรินทรภักดีนรินทร์แสนภูมินท์บริบาลแสนพึงไชย แลพระราชทานเสื้อผ้าแก่แสนขุนแสนหมื่นผู้มานั้นเปนอันมาก. แลพระราชทานอัฐบริขานแก่สงฆ์อันมาด้วยนั้นแล้ว แลอัคมหาเสนาบดี แลมหาดไทย กลาโหม จัตุสดมทั้งสี่ ก็ให้ผ้าเสื้อแก่แสนทั้งสี่นั้น แล้วก็พระราชทานให้แต่งเครื่องเลี้ยงนาๆประการออกไปเลี้ยงทั้งสี่นายนั้นเปนอันมาก แลทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้แสนหลวงสุรินทภักดีนรินทร แลแสนภูมินทรบริบาล แสนพึงไชย แสนขุน แสนหมื่น แลไพร่ทั้งปวงให้กลับคืนขึ้นไปยังเมืองอินทคีรี อยู่ตามภูมลำเนาแลรักษาเมืองอินทคีรี ด้วยพระยาอินทคีรีเปนเมืองขึ้นตามขนบ ณกรุงเทพพระมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยา ๚ะ

๏ ส่วนพระยากำแพงเพชร แลพระยาเกียรติซึ่งไปตั้งอยู่ตำบลด่านอุมรุกนั้น ก็จัดส่งได้สมิงคลองคูสมิงกะเทิงแลละว้านายหมวดแลไพร่ละว้าเปนอันมาก แล้วส่งนายหมวดมายังกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยาแล้วพระราชทานชื่อแก่สมิงคลองคูเปนสมิงเทวคิรีรักษา พระราชทานดาบฝักทองแก่สมิงเทวคิรีรักษา แลพระราชทานผ้าเสื้อถ้วนทุกคน แล้วให้ขึ้นไปจัดส้องละว้าทั้งปวงได้สกรรธ์อพยพหกร้อย แล้วสมิงเทวคิรีรักษาไปสืบส้องได้พระยาพรหมคีรี จึ่งพระยากำแพงเพชรให้ขุนราชาคุมพระยาพรหมคีรี แลสมักพรรคพวกมายังกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยา ทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้เบิกพระยาพรหมคีรีเข้ามา กราบถวายบังคมแต่สาลาลูกขุน แลพระราชทานเสื้อผ้าแก่พระยาพรหมคีรีเปนพระยาสุทัศณธาณีศรีอนาพิรมย์ พระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมจุกทองปากจำหลักแลผ้าเสื้อแพรพรรณเปนอันมาก อัคมหาเสนาบดีมหาดไทยกลาโหมจัตุสดมทั้งสี่ก็ให้รางวัลผ้าเสื้อแพรพรรณตามสมควร แล้วให้กลับคืนขึ้นไปอยู่รักษาเมืองอินทคีรี ตามภูมลำเนาเปนเมืองขึ้นแก่กรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยาแล้วให้ข้าหลวงไปอยู่ด้วยพระยาศุทัศณธาณีเพื่อจะให้รู้ขนบราชการในกรุง ๚ะ

๏ ครั้งนั้นกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา สมบูรณ์อยู่เอย็นเปนศุขด้วยพระบารมีสมเดจพระนารายน์เปนเจ้า ขณะนั้นฝ่ายข้างเมืองอังวะเกิดศึกเพราะจินห้อชื่ออูติงผา ภาสกรรธ์อพยพประมาณพันหนึ่งหนีมาพึ่งอยู่เมืองอังวะ ชาวเมืองห้อจึ่งยกทับตามมาเมืองอังวะ จะให้ส่งตัวห้อพันหนึ่งนั้นให้ พระเจ้าอังวะไม่ส่ง กองทับห้อจึ่งตั้งล้อมเมืองอังวะไว้ ฝ่ายมางนันทมิตรผู้เปนอาวพระเจ้าอังวะ ซึ่งลงมาครองเมืองเมาะตมะแจ้งเหตุดั่งนั้น จึ่งเกนคนซึ่งขึ้นแก่เมืองเมาะตมะสามสิบสองเมือง ได้คนสามพัน ให้ไปช่วยป้องกันเมืองอังวะ ยกมาตามทางมอญกองทับไม่เตมใจ ก็ชวนกันหนีกลับมาเปนอันมาก มางนันทมิตรจึ่งจับเอามอญที่หนีมานั้นใส่ตรางไว้เพื่อจะคลอกเสีย ฝ่ายสมิงเปอแจ้งดั่งนั้นก็คิดกันกับพวกเพื่อนสมิงสิบเบ็ดคน คุมมอญไพร่ห้าพันยกเข้าไปเผาเมืองเมาะตะมะไหม้แล้ว จับได้ตัวมางนันทมิตรมัดจำไว้ แล้วคิดกันว่าเราทำการทั้งนี้ ถ้ารู้ถึงพระเจ้าอังวะ ก็จะภากันตายเสียสิ้น เราหาที่พึ่งมิได้ ครั้งนี้จำจะไปพึ่งกรุงพระนครศรีอยุทธยาจึ่งจะพ้นไภย คิดพร้อมกันแล้วก็คุมสกรรธ์อพยพห้าพันกวาดครัวทั้งตัวมางนันทมิตร กับครอบครัวประมาณหกพันเสศ รีบหนีบอกเข้ามาให้เสนาบดีนำกราบทูลพระกรุณาทุกประการ จึ่งทรงพระกรุณาสั่งให้สมิงรามัญเก่าทั้งนายแลไพร่ ออกไปรับเข้าทางเมืองกาญจนบุรี แล้วจัดแจงให้อยู่สามโคก โปรดให้สมิงตัวนายสิบเบ็ดคนเข้าเฝ้ากราบถวายบังคม โปรดพระราชทานเงินตราผ้าเสื้อเปนอันมาก แต่ตัวมางนันทมิตรนั้นป่วยลงถึงอนิจกรรมตาย ๚ะ

๏ ฝ่ายเจ้าเมืองหงษา เจ้าเมืองย่างกุ้ง เจ้าเมืองเสรียงรู้ว่า มอญเมืองเมาะตมะ แลเมืองขึ้นเปนกระบถกวาดครัวหนี จึ่งบอกหนังสือไปถึงเมืองอังว พระเจ้าอังวะทราบภอกองทับห้อซึ่งมาล้อมเมืองอังวะขาดเสบียงเลิกทับไป พระเจ้าอังวะจึ่งสั่งเจ้าเมืองหงษา เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองปรวน เจ้าเมืองเสรียง เจ้าเมืองย่างกุ้ง เปนทับสามพันเสศยกไปตามเอาตัวรามัญที่หนีให้จงได้ ให้เอาติงจาโปเมียวุนเปนทับน่า ถือพลหมื่นเสศช้างเครื่องหกสิบแปดม้าสองร้อย ให้มางสุราราชาเปนโปชุกแม่ทับ ถือพลสองหมื่น ช้างเครื่องร้อยหนึ่งม้าสามร้อย ยกมาประชุมพร้อมที่เมืองเมาะตมะค่ายสานี ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับกรุงเทพมหานคร ไปเกลี้ยกล่อมลว้าแลลาวมอญได้ในแดนเมืองนคร เมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ได้มากแล้ว มีท้องตราโปรดขึ้นไป ให้ยกไปตีเอาเมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ให้จงได้. กองทับก็ยกไปตามท้องตรา ฝ่ายชาวเมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ กับหัวเมืองไทยใหญ่ฝ่ายเหนือซึ่งขึ้นกับอังวะ ตกใจกลัวกองทับห้อซึ่งมาล้อมเมืองอังวะจะมาย่ำยีด้วย ซึ่งคิดอ่านให้แสนสุรินทรไมตรีถือหนังสือลงมาเอากรุงพระนครศรีอยุทธยาเปนที่พึ่งนั้น ครั้นแจ้งว่ากองทับห้อเลิกไปแล้ว สืบรู้ว่าพระเจ้าอังวะให้เกนกองทับพม่าไปตามมอญที่หนีนั้น ก็ตกใจกลัวพม่าด้วยเมืองเหล่านี้ขึ้นแก่อังวะ จะลอบบอกไปให้แสนสุรินทรไมตรีหนีกองทับไทย แล้วคิดอุบายฬ่อลวงหน่วงกองทับไทยไว้ให้ช้า จะได้คิดการป้องกันเมืองลำพูนเมืองเชียงใหม่ไว้ ถ้ากองทับพม่ามาช่วยทัน จึ่งนิมนต์พระสงฆผู้ปราชฉลาดเจรจาสี่รูปถือหนังสือออกไปหากองทับไทยว่า. แสนสุรินทรไมตรีซึ่งนำกองทับขึ้นมามิได้บอกกล่าวหนีมานั้น เบาความนักไม่ชอบ ทำให้ผู้ใหญ่ได้ความผิดด้วย จะให้กระทำโทษจงสาหัส แล้วจะส่งตัวออกมาให้กองทับ อันข้าพเจ้านี้รู้จักพระเดชพระคุณพระบาระมีพระพุทธเจ้าอยู่หัวมาคุ้มครองปกป้องกองทับห้อซึ่งจะมาเอาเมืองเชียงใหม่นั้นจึ่งถอยหนี เพราะบาระมีพระพุทธเจ้าอยู่หัวกับอำนาทท่านผู้เปนแม่ทับใหญ่นั้นด้วย ขอท่านอัคมหาเสนาแม่ทับหลวง ผู้มีเดชานุภาพได้อนุเคราะห์ อย่าให้ได้ยากลำบากแก่ไพร่พลเลย ให้ยับยั้งกองทับไว้แต่ใต้เมืองลำพูนก่อน ฃอได้บอกข้อราชการลงไปให้นำกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับไทยได้แจ้งในหนังสือเจ้าเมืองเชียงใหม่ อุบายบอกมานั้นหาสงไสยไม่ แล้วปฤกษาเหนพร้อมกันว่า ครั้นเราจะทำการเข้าหักเอาเมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ ตามท้องตราซึ่งโปรดนั้น บัดนี้มีหนังสือเจ้าเมืองลำพูนเมืองเชียงใหม่ สาระภาพโทษอ่อนน้อมออกมาแล้ว บอกเหตุทับพม่ายกตามรามัญเปนการศึกข้อใหญ่ เราจะเข้าตีเมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ยังไม่ทันถนัด จำจะบอกลงไปกราบทูลพระกรุณาก่อน ปฤกษาพร้อมกันแล้ว แต่งบอกตามเรื่องราวอุบายชาวเมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ให้คนถือลงมากราบทูลพระกรุณา ณกรุงเทพพระมหานคร. ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับพม่ารามัญยกจากเมืองเมาะตมะ เมืองสานี มาตามทางเมืองกาญจนบุรี พม่ามีหนังสือบอกเข้ามาให้ส่งมอญที่หนี ถ้ามิส่งจะยกกองทับเข้ารบเอาให้จงได้ ชาวกาญจนบุรีบอกเข้ามาให้กราบทูล มาถึงก่อนหนังสือบอกกองทับฝ่ายเหนือสักสองสามวัน สมุหนายกมากราบทูลพระกรุณาทราบในหนังสือบอกทั้งสองฉบับแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสสั่งพระยาจักรีให้เกนทับหัวเมืองปากใต้ชายทเลตวันตกลำเครื่องสามพันเสศ ช้างเครื่องสองร้อยหกสิบห้า ม้าสามร้อย ให้ขุนเหล็กซึ่งเปนพระยาโกษานั้นเปนทับหลวง. พระยาเพชรบูรีเปนกองน่า พระยาราชบุรีเปนกองหนุนถือพลห้าพันเสศ ปืนใหญ่น้อยเครื่องสาตราวุธพร้อม ได้ศุภวารพิไชยฤกษ จึ่งยกทับบกทับเรือช้างม้าโยธาหารไปพร้อมกัน ณเมืองกาญจนบุรีปากเพรก แล้วให้แยกเปนกองซ้ายกองขวาน่าหลังตามกระบวนพิไชยสงคราม ยกไปตั้งค่ายรับท่ากระดารแลด่านกรามช้าง ยกไปตั้งค่ายรับอยู่ทางเมืองทวายทับหนึ่ง ทับหลวงตั้งค่ายใหญ่รับอยู่ปากน้ำลำกระเพิมริมเมืองกาญจนบุรี เร่งกระทำการค่ายคูขวากยาวสั้นสนามเพลาะหอรบ จัดแจงตรวจตราเสือป่าแมวเซากองแล่นกองร้อยคอยเหตุ กองสืบทับสำรับพิไชยสงครามพร้อมทุกประการ แลแต่งกองโจรทหารอาทมาตตรวจตระเวรทั้งกลางวันกลางคืน. ๚ะ

๏ ฝ่ายทับพม่ารามัญยกล่วงแดนกองน่าเข้ามาตั้งตำบลเมืองไซยโยกทับหลวงตั้งท่าดินแดง แต่งค่ายคูแล้วเสรจ ก็ยกทหารกองน่าเข้าตีทับกรุง กองกระเวรไทยพม่าได้รบกันบ้างแล้ว ๚ะ

๏ ฝ่ายในกรุงสมเดจพระเจ้าอยู่หัวจึ่งตรัสว่า เมืองลำพูนเมืองเชียงใหม่ มีหนังสืออ่อนน้อมลงมาสาระภาพโทษ บอกเหตุการความจริงให้แล้ว สั่งให้มีตราไปถึงทับฝ่ายเหนือ อย่าให้ตีเมืองลำพูนเมืองเชียงใหม่เลย ให้เลิกทับกลับมาทางเมืองกำแพงเพชร แล้วยกไปทางเมืองอุไทยธาณี ไปตีโอบหลังพม่าเมืองศรีสวัสดิ์เมืองมังคลาเมืองทองภาภูม ฝ่ายทับเหนือแจ้งในท้องตราแล้ว ก็เลิกทับมาตามรับสั่ง ถึงเมืองศรีสวัสดิ์เมืองมังคลาเมืองทองภาภูม แล้วบอกหนังสือถึงกัน ปีกทับปากใต้ฝ่ายเหนือพร้อมกันแล้ว ก็ให้กองโจรไปคอยสกัดตัดตีที่ช่องแคบ กองทับใหญ่ปากใต้ฝ่ายเหนือ ก็เร่งขับทับน่าเข้ารดมตีทับพม่าสามวันพม่าก็แตกในเพรากลางคืนสามยามเสศ พม่านายทับนายกองแลไพร่ล้มตายแลจับได้เปนอันมาก พม่ารามัญแตกไปถึงช่องแคบ กองโจรก็ออกตีแตกยับจับได้มอญพม่าฆ่าเสี่ยบ้างมัดมาบ้าง มางสุระราชาโปชุกแม่ทับถูกปืนป่วยไป กองทับมีไชยได้ช้างม้าเครื่องสาตราวุธผู้คนเปนอันมากแม่ทับแต่งกองอาษาหกเหล่า อาษาจามข้ามหัวเมืองคนหมื่นเสศ ไปตามพม่ารามัญถึงเมืองสำมิง แลตีได้เชลยช้างม้าผู้คนสาตราวุธเปนอันมาก พระยาโกษาเหล็ก แลนายทับนายกองทั้งปวง แต่งหนังสือบอกเข้ามาให้กราบทูลพระกรุณาทราบเหตุทุกประการ. สมเดจพระเจ้าอยู่หัวดีพระไทยนัก สั่งให้มีตราหากองทับกลับยังกรุงทั้งนั้น พระยาโกษาเหล็กแลนายทับนายกอง ก็นำเอาเข้าของช้างม้าเครื่องสาตราวุธคนเชลย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเปนอันมาก สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระไทยยินดีเปนหนักหนา ด้วยข้าราชการทแกล้วทหารทำการมีไชยชำนะแก่ฆ่าศึกสัตรู พระเจ้าอยู่หัวจึ่งพระราชทานรางวัลเครื่องอุปโภคแก่นายทับนายกองโดยสมควร ตามผู้ใหญ่ผู้น้อยเปนอันมาก ๚ะ

๏ เมื่อครั้งลุศักราช ๑๐๑๙ ปีระกานพศกนั้น มีฝรั่งเศสนายกำปั่นผู้หนึ่ง บันทุกสินค้าเข้ามาค้าขายณกรุงเทพมหานคร ครั้งนั้นสมเดจพระเจ้าแผ่นดินให้ต่อกำปั่นใหญ่ลำหนึ่ง ครั้นเสร็จแล้วจะเอาออกจากอู่ จึ่งให้ล่ามถามฝรั่งเสศพ่อค้านั้นว่า ณเมืองฝรั่งเศสเอากำปั่นออกจากอู่กระทำอย่างไรสจึงเอาออกได้ง่าย ฝรั่งเสศผู้นั้นเปนคนมีสติปัญญามากชำนาญในการรอกกว้าน.จึ่งให้ล่ามกราบทูลพระกรุณารักอาษาจะเอากำปั่นออกจากอู่ แล้วแต่งการผูกรอกกว้าน แลจักรชักกำปั่นออกจากอู่ลงสู่ท่าได้โดยสดวก สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงโสมนัศ พระราชทานรางวัลเปนอันมาก แล้วโปรดตั้งให้เปนหลวงวิชาเยนท์ร พระราชทานที่บ้านเรือนแลเครื่องยศให้อยู่ทำราชการในกรุงนี้ แลหลวงวิชาเยนท์รนั้นมีความสวามีภักดิ์อุษาหในราชกิจต่าง ๆ มีความชอบมาก จึ่งโปรดให้เลื่อนที่เปนพระวิชาเยนท์ร ครั้นนานมากระทำการงานว่ากล่าวได้ราชการมากขึ้น โปรดให้เลื่อนที่เปนพระยาวิชาเยนท์ร อยู่มาวันหนึ่งจึ่งมีพระราชโองการตรัสถามว่า ในเมืองฝรั่งเสศโน้นมีของวิเสศปลาดประการใดบ้าง พระยาวิชาเยนท์รจึ่งกราบทูลสรรเสิญสรรพสิ่ง แลช่างทำนาฬิกาปืนลมปืนไฟกล้องสร่องของไกลให้เหนใกล้ กระทำของวิเสศได้ต่าง ๆ ทั้งเงินทองก็มีมาก ในพระราชวังพระเจ้าฝรั่งเสศนั้น หลอมเงินเปนท่อนแปดเหลี่ยม ใหญ่ประมาณสามกำ โดยยาวเจดศอกแปดศอก กองอยู่ตามริมถนลเปนอันมาก ประดุจท่อนเสาอันกองไว้ กำลังคนแต่สิบสามคนสิบสี่คนจะยกท่อนเงินขึ้นมิได้ไหว ภายในท้องพระโรงนั้นดาษพื้นด้วยสิลามีศรีต่างๆจำหลักลายฝังด้วยเงินแลทองแลแก้วต่างศรีเปนลดาวัล แลต้นไม้ดอกไม้ภูเขาแลรูปสัตวต่างๆ พื้นผนังนั้นก็ประดับด้วยกระจกภาพ กระจกเงาอันวิจิตรควรจะพิศวง เบื้องบนเพดานนั้นให้แผ่แผ่นทองบางดุจแผ่นทองอังกฤษ ตัดเปนเส้นน้อย ๆ แล้วผูกเปนพู่พวงห้อยย้อย แลแขวนโคมแก้วมีสันฐารต่าง ๆ ศรีแก้วแลศรีทองก็รุ่งเรืองโอภาษงามยิ่งนัก สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังพระยาวิชาเยนทร์กราบทูลพรณาสมบัติ ณเมืองฝรั่งเศสวิเสศต่าง ๆ มิได้ทรงเชื่อ พระราชดำริห์จะใคร่เหนความจริง จึ่งมีพระราชดำรัศแก่เจ้าพระยาโกษาธิบดีว่า เราจะแต่งกำปั่นให้ไปถึงเมืองฝรั่งเศส จะได้ผู้ใดเปนนายกำปั่นออกไปสืบดูของวิเสศ ยังจะมีจริงสมเหมือนคำพระยาวิชาเยนทร์ฤๅประการใด. เจ้าพระยาโกษาจึ่งกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่เหนผู้อื่น ซึ่งจะเปนนายกำปั่นไปถึงเมืองฝรั่งเสศได้ เหนแต่นายปานผู้น้องข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียว อาจไปสืบข้อราชการณเมืองฝรั่งเศสดุจกระแสพระราชดำริหได้ จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้หานายปานเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่า อ้ายปานมึงมีสติปัญญาอยู่ กูจะใช้ให้เปนนายกำปั่นไปณเมืองฝรั่งเสศ สืบดูสมบัติพระเจ้าฝรั่งเสศ ยังจะมีสมดั่งคำพระยาวิชาเยนทร์กล่าว ฤๅจะมิสมประการใด นายปานกราบทูลพระกรุณารับอาษา จะไปเมืองฝรั่งเสศสืบให้ได้ราชการตามรับสั่ง แล้วกราบถวายบังคมลาออกไปจัดแจงการทั้งปวงในกำปั่น ให้เที่ยวสืบหาคนดีมีวิชาก็ได้อาจารย์คนหนึ่ง ได้เรียนในพระกรรมฐานชำนาญฌาณกระสิณแลรู้วิชาการต่าง ๆ แต่เปนนักเลงสุรา ยอมจะไปด้วย นายปานมีความยินดีนัก แล้วจัดหาพวกฝรั่งเสศเปนล้าต้าต้นหนคนท้ายลูกเรือพร้อมเสรจ ก็ให้เจ้าพระยาโกษาภาเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลา ทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้แต่งพระราชสาสน์ แล้วแต่งตั้งให้นายปานเปนราชทูตกับข้าหลวงอื่นเปนอุปทูตแลตรีทูต ให้จำทูลพระราชสาสน์คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการออกไป จำเริญทางพระราชไมตรี ณเมืองฝรั่งเสศตามราชประเพณี แล้วพระราชทานรางวัล แลเครื่องยศแก่ทูตานุทูตโดยควรแก่ถานาศักดิ์ ๚ะ

๏ ครั้นได้ฤกษนายปานราชทูต, กับอุปทูต, ตรีทูต, กราบถวายบังคมลาภาพักพวกบ่าวไพร่มาลงกำปั่นใหญ่ ใช้ใบออกจากพระนครไปในท้องทะเลประมาณ ๔ เดือน ก็บันลุถึงวลใหญ่ใกล้ปากน้ำเมืองฝรั่งเสศ บังเกิดเหตุเปนลมพายุหใหญ่พัดภากำปั่นไปในกลางวนเวียนอยู่ถึงสามวัน บันดาคนในกำปั่นร่ำร้องให้รักษชีวิตรอื้ออึงไป ด้วยกำปั่นลำใดลงสู่วนนั้นแล้ว ก็จมลงสิ้นลำกำปั่นทุกๆลำ ซึ่งจะรอดพ้นวนไปนั้นมิได้มีสักลำหนึ่ง แต่นายปานราชทูตยังมีสติอยู่ จึ่งปฤกษาอาจาริยว่ากำปั่นของเราลงเวียนอยู่ในวนถึงสองวันสามวันแล้ว ท่านจะคิดอ่านประการใด กำปั่นจึ่งจะพ้นวนได้ เราทั้งหลายจึ่งจะรอดจากความตาย ฝ่ายอาจาริยจึ่งเล้าโลมเอาใจราชทูตว่าท่านอย่าตกใจ เราจะแก้ไขให้พ้นไภยจงได้ แล้วให้แต่งเครื่องสการบูชาจุดธูบเทียน แล้วอาจาริย์จึ่งนุ่งขาวห่มขาวเข้านั่งสมาธีจำเริญพระกรรมฐานทางวาโยกระสินณะครู่หนึ่ง จึ่งบันดาลเกิดมหาวาตะพายุหใหญ่หวนหอบเอากำปั่นนั้นขึ้นพ้นจากวนได้คนทั้งหลายมีความยินดียิ่งนัก ก็แล่นใบไปถึงปากน้ำเมืองฝรั่งเสศ จึ่งให้บอกแก่นายด่านแลผู้รักษาเมืองกรมการว่า กำปั่นมาแต่พระมหานครศรีอยุทธยา โปรดให้ทูตานุทูตจำทูลพระราชสาสน คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการมาจำเริญทางพระราชไมตรีพระเจ้ากรุงฝรั่งเสศ เจ้าเมืองกรมการก็บอกข้อราชการขึ้นไปให้กราบบังคมทูลให้ทราบ ๚ะ

๏ พระเจ้าฝรั่งเสศจึ่งโปรดให้เสนาบดีจัดแจงเรือแห่ลงมารับพระราชสาสน กับทั้งทูตานุทูตขึ้นไปยังพระนครให้สำนักนิ์อยู่ณตึกสำหรับรับแขกเมือง แล้วโปรดให้ทูตานุทูตเข้าที่เสดจออก จึ่งถวายพระราชสาสนแลเครื่องมงคลราชบรรณาการ พระเจ้าฝรั่งเสศดำรัศพระราชปฏิสัณฐานให้เลี้ยงทูตานุทูตตามธรรมเนียม สั่งให้ล่ามถามทูตถึงทางอันมาในทะเลนั้นสดวกดีหรอกฤๅ ๆ ว่ามีเหตุประการใดบ้าง ครั้นได้ทรงทราบว่ากำปั่นตกเวียนอยู่ในวนใหญ่ถึงสามวันจึ่งขึ้นจากวนได้ ทรงสงสัยพระไทยหนักด้วยแต่ก่อนแม้นว่ากำปั่นลำใดตกลงในวนนั้นแล้ววนก็ดูดจมลงไปสิ้น มิอาจรอดขึ้นได้แต่ศักลำหนึ่ง จึ่งให้ล่ามซักถามทูตอีก ทูตก็ให้การยืนคำอยู่มิได้ทรงเชื่อ จึ่งให้สืบถามบันดาฝรั่งเสศลูกเรือ ๆ ก็ให้การสมคำราชทูตทั้งสิ้น เหนเปนมหัษจรรย์นัก จึ่งให้ซักถามราชทูตว่าคิดอ่านแก้ไขประการใด กำปั่นจึ่งรอดพ้นจากวนได้ ราชทูตให้กราบทูลว่าข้าพเจ้าคิดกระทำสัตยาธิฐาน ขอเอาพระกฤษฎานุภาพแห่งสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ซึ่งเริ่มแรกจะผูกพระราชสำพันธมีศแก่กัน ฃอจงอย่าได้เสียสูญขาดทางพระราชไมตรีจากกันเลย. เอาความสัตยาข้อนี้เปนที่พำนักนิ์ ด้วยพระเดชพระคุณพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองฝ่าย ก็บรรดานเกิดเปนมหาวาตะพายุหใหญ่ พัดหวนหอบเอากำปั่นขึ้นพ้นจากวนได้. พระเจ้าฝรั่งเสศได้ทรงฟังคำราชทูตก็เหนจริงด้วย พระราชดำริหว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยามีบุญญามากเสมอด้วยพระองค์ ก็ทรงพระมหากรุณาแก่ราชทูต พระราชทานรางวัลเปนอันมาก ๚ะ

๏ อยู่มาเวลาวันหนึ่งจึ่งให้หาทูตานุทูตเข้ามาเฝ้าน่าพระลาน แล้วให้หาพลทหารฝรั่งแม่นปืนห้าร้อยเข้ามายิงให้แขกเมืองดู ให้แบ่งกันออกไปเปนสองพวก ๆ ละสองร้อยห้าสิบยืนเปนสองแถว ยิงปืนให้กระสุนตรอกเข้าไปในลำกล้องปืนแห่งกันแลกันทั้งสองฝ่าย มิได้พลาดผิดแต่ลักครั้ง แล้วให้ล่ามถามราชทูตว่า ทหานแม่นปืนดั่งนี้พระนครศรีอยุทธยามีฤๅไม่ ราชทูตให้ล่ามกราบทูลว่าทหารแม่นปืนอย่างนี้พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยามิได้นับถือใช้สอย พระเจ้าฝรั่งเสศได้ทรงฟังเคืองพระไทย จึ่งให้ซักถามทูตว่าพระเจ้าเจ้ากรุงไทยนับถือทหารมีฝีมือประการใดเล่า ราชทูตให้กราบทูลว่าพระเจ้ากรุงไทยทรงนับถือใช้สอยทหารคนดีมีวิชา อันทหารแม่นปืนเหมือนดังนี้ จะยิงใกล้แลไกลก็มิได้ถูกต้องกายทหารบางจำพวกเข้าไปในรว่างฆ่าศึกมิได้เหนตัว ลอบตัดเอาศีศะนายทับนายกองพวกฆ่าศึกมาถวายได้ ทหารบางจำพวกก็คงทนอาวุธต่าง ๆ จะยิงฟันแทงประการใดมิได้เข้า แลทหารมีวิชาอย่างนี้ จึ่งทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงใช้สอยสำหรับพระนคร พระเจ้าฝรั่งเสศมิได้ทรงเชื่อตรัสว่าราชทูตไทยเจรจาอ้างอวดเกินหนัก จึ่งสั่งให้ซักถามว่าทหารไทยที่มีวิชาเหมือนว่านั้น มีมาในกำปั่นบ้างฤๅไม่ จักให้สำแดงถวายจะได้ฤๅมิได้ ราชทูตได้เหนวิชาของอาจาริย์ จึ่งให้ทูลว่าทหารที่เกณฑ์มาสำหรับกำปั่น นี้เปนทหารกองนอกมีวิชาแต่อย่างกลาง จะสำแดงถวายให้ปรากฎก็ได้ จึ่งสั่งให้ถามว่าสำแดงได้อย่างไร ราชทูตให้ทูลว่า ขอรับพระราชทานให้ทหารที่แม่นปืนทั้งห้าร้อยนี้ จงระดมยิงเอาทหารของข้าพระพุทธเจ้าโดยไกลแลใกล้ ทหารข้าพระพุทธเจ้าจะห้ามกระสุนปืนเสียทั้งสิ้นมิให้ตกต้องกาย พระเจ้าฝรั่งเสศได้ทรงฟังเกรงพลทหารฝรั่งจะยิงทหารไทยตาย จะเสียทางพระราชไมตรีไป จึ่งสั่งให้ห้ามการนั้นเสีย ราชทูตให้กราบทูลว่าพระองค์อย่าทรงพระวีตกเลย ทหารข้าพระพุทธเจ้ามีวิชาอาจจะห้ามได้ซึ่งกระสุนปืนมิให้ต้องกายได้เปนแท้ จะเปนอันตรายนั้นหามิได้ เวลาพรุ่งนี้ฃอให้ตั้งเบญจาสามชั้นในน่าพระลานให้ดาดเพดารผ้าขาว แลปักราชวัดฉัตรธงล้อมรอบ แล้วให้ตั้งเครื่องโภชนาหารมัจฉะมังษาสุราบาณไว้ให้พร้อม ให้เป่าร้องชาวพระนครมาคอยดูทหารข้าพระพุทธเจ้า จะสำแดงวิชาให้ปรากฎเฉภาะน่าพระที่นั่ง แล้วถวายบังคมลาออกมาสู่ที่สำนักนิ์ พระเจ้าฝรั่งเสศก็สั่งให้จัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมตามคำราชทูตทุกประการ. ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งเข้าราชทูตจึ่งให้อาจารย์แต่งสิษประมาณสิบหกคน ให้ผูกเครื่องล้วนลงเลขยันต์คาถาสาตราคมเสร็จ แล้วให้อาจาริย์นุ่งขาวใส่เสื้อครุยขาว แลพอกเกี้ยวพันผ้าขาว สิษสิบหกคนนั้นใส่กังเกงเสื้อปัสตูแดงทั้งสิ้น เปนสิบเจ็ดคนกับทั้งอาจาริยใหญ่ ภาเข้ามาสู่น่าพระลานกราบถวายบังคมแล้วให้ขึ้นนั่งบนเบญจา แล้วให้กราบทูลว่า ขอให้ทหารแม่นปืนห้าร้อยคน ยิงทหารไทยทั้งสิบเจ็ดคน ซึ่งนั่งอยู่บนเบญจานั้น พระเจ้าฝรั่งเสศก็สั่งทหารทั้งห้าร้อย ให้ระดมยิงทหารไทยพร้อมกัน ด้วยอำนาทคุณพระรัตนไตรยแลคุณเลขยันต์สรรพอาคมคาถาวิชาคุ้มครองป้องกันอันตราย พลฝรั่งทั้งหลายยิงปืนนกสับทั้งใกล้แลไกลเปนหลายครั้ง เพลิงปากนกก็มิได้ติดดินดำแลมิได้ลั่นทั้งสิ้น ทหารไทยทั้งสิบเจ็ดคน ก็รับพระราชทานโภชนาหาร แลมัจฉะมังษาสุราบานเปนปรกติ มิได้มีอาการสดุ้งหวั่นไหว พลทหารฝรั่งทั้งหลายก็เกรงกลัวย่อท้อรออยุดอยู่สิ้น อาจาริย์ทหารไทยจึ่งร้องอนุญาติไปว่า ท่านจงยิงอีกเถิด ทีนี้เราจะให้เพลิงติดดินดำจะให้กระสุนออกทั้งสิ้น พลทหารพร้อมกันยิงอีกนัดหนึ่ง เพลิงก็ติดดินดำกระสุนก็ออกจากลำกล้องตกลงตรงปากกบอกบ้าง ห่างออกไปบ้างลางกระสุนก็ตกลงที่ใกล้เบญจา แต่จะได้ถูกต้องทหหารไทยผู้ใดผู้หนึ่งหามิได้ พระเจ้าฝรั่งเสศทอดพระเนตรเหนดั่งนั้น ก็ทรงเชื่อเหนความจริงของราชทูต ทรงพระโสมนัศตรัสสรรเสริญวิชาทหารไทยว่า ประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ สั่งให้พระราชทานเงินทองเสื้อผ้าเปนรางวัลแก่ทหารไทยเปนอักมาก ให้เลี้ยงดูเสร็จแล้วกลับไปสู่ที่สำนักนิ์ จำเดิมแต่นั้นมาก็ทรงเชื่อถือถ้อยคำราชทูตจะพิททูลประการใด ก็เชื่อมิได้มีความสงไสย์ ทรงพระมหาการุญภาพแก่ราชทูตยิ่งนัก ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่งจึ่งสั่งให้ถามทูตว่า ทหารไทยที่มีคุณวิชาวิเสศประเสริฐดั่งนี้ ในพระนครศรีอยุทธยามีเท่านี้แลฤๅ ๆ ยังมีทหารอื่นอยู่อีกมากน้อยเท่าใด ราชทูตให้กราบทูลว่า ทหารเหล่านี้เปนแต่กองนอกสำหรับเกนจ่ายมากับเรือลูกค้าวานิช มีวิชาเพียงนี้เปนแต่อย่างต่ำ อันทหารกองในสำหรับรักษาพระนครนั้น มีวิชาการต่าง ๆ วิเสศกว่านี้มีมากกว่ามากได้ทรงฟังก็เชื่อถือ พระราชดำริห์ก็เกรงฝีมือทหารไทยยิ่งนัก แลพระเจ้าฝรั่งเสศนั้น เสดจออกเหนื้อราชาอาศน์อันสูง เพลาเช้าแลเหนศรีพระกายแดง เพลากลางวันเหนพระกายมีศรีอันเขียว เพลาเอย็นเหนศรีพระกายขาว ราชทูตเข้าเฝ้าเปนหลายเวลาได้เหนดั่งนั้นมีความสงไสยหนัก ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่ง จึ่งตรัสสั่งให้ถามทูตว่า ตัวท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ฤๅๆเปนขุนนางผู้น้อย กล่าวถ้อยคำสัจจริงยิ่งนัก อนึ่งอย่างธรรมย์เนียมพระนครศรีอยุทธยา,ถ้าแลขุนนางผู้ใดพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ทรงพระเมตาโปรดปรานมากกว่าข้าราชการทั้งปวง แลพระราชทานอไภยแก่ขุนนางผู้นั้นเปนประการใด เราก็จะโปรดปรานประทานอไภย์แก่ท่านเหมือนฉนั้น ราชทูตคิดจะใคร่เหนพระกาย ซึ่งมีศรีต่างกันหลายวันมาแล้ว ครั้นได้โอกาษจึ่งให้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเปนแต่ข้าราชการผู้น้อยสำรับใช้แต่ไปมาค้าขายในนาๆประเทศ ทั้งสติปัญญาก็น้อยนัก อันข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญายิ่งกว่าข้าพระพุทธเจ้านั้นมีเปนอันมาก อนึ่งธรรมเนียงข้างกรุงพระนครศรีอยุทธยา ถ้าพระองค์ทรงพระมหากรุณาขุนนางผู้ใดมากกว่าข้าราชการทั้งปวง ก็พระราชทานอไภยโปรดให้ผู้นั้นเข้าเฝ้าใกล้พระองค์ กราบถวายบังคมถึงพระบาทยุคลทุกครั้ง พระเจ้าฝรั่งเสศได้ฟังก็เชื่อ จึ่งโปรดพระราชทานอไภยให้ราชทูตเข้าไปถวายบังคมถึงฝ่าพระบาททุกเวลาเฝ้า ราชทูตจึ่งได้เหนพระราชาอาศน์อันเรี่ยรายไปด้วยทับทิมโดยรอบในเวลาเช้าว เพลากลางวันนั้นเรี่ยรายไปด้วยพลอยมรกฎ เพลาเอย็นเรี่ยรายไปด้วยเพชร แสงแก้วขึ้นจับพระองค์ จึ่งมีศรีต่าง ๆ อย่างละเพลาปรากฎ ๚ะ

๏ สิ้นเล่ม ๑๖ สมุดไทยแต่เท่านี้. ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ