๑๙

๏ ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ผู้ว่าราชการที่สมุหนายก ให้ก่อตึกสี่เหลี่ยมอันใหญ่ แลตึกเวียนมีกำแพงแก้วล้อมรอบเปนที่อยู่ แลให้ก่อตึกปิจุตึกคชสาร แลตึกฝรั่งอื่นทั้งหลายเปนอันมากตำบลที่ใกล้วัดปืน แลคิดอ่านกระทำการทั้งปวงต่าง ๆ ปราฐนาจะคิดเอาราชสมบัติ แลจะทำกลอุบายที่จะประทุศร้ายเปนประการใด ๆ สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเข้าพระไทย แต่มิได้เอาโทษ ด้วยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เอาใจใส่ในกิจราชการทั้งปวงเปนอันมาก แลศึกเอาภิกษุ สามเณร มากระทำราชการทั้งปวง ครั้งนั้นก็มาก ขณะนั้นสมเดจ์บรมบพิตรพระนารายน์เปนเจ้า ทรงพระนามปรากฏว่าสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเมืองลพบูรี เหตุว่าพระองค์เสดจ์ขึ้นไปเสวยราชสมบัติณะเมืองลพบุรี แลทรงพระกรุณาให้ตกแต่งปฏิสังขรณ์ป้อมค่ายหอรบเชิงเทินปราการเมือง แลสระน้ำที่เสวยแลที่ชำรุดปรักนั้นเสรจ์ แลพระองค์เสดจ์สำราญราชฤๅไทยในที่นั้น ๚ะ

๏ ส่วนหลวงสรศักดิ์ ครั้นเหนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สึกเอาภิกษุ สามเณร ออกมากระทำราชการเปนอันมาก ให้ร้อนในพระพุทธสาศนาดั่งนั้น ก็เอาเหตุนั้นขึ้นกราบทูลพระกรุณา สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสทรงทราบเหตุดั่งนั้น ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ แลมิได้ตรัสเปนประการใด แลหลวงสรศักดิ์จึ่งคิดว่า ไอ้ฝรั่งคนนี้มันโปรดปรานยิ่งนัก จะกระทำผิดสักเท่าใด ๆ ทรงพระกรุณามิได้เอาโทษ แลกูจะทำโทษมันเองสักครั้งหนึ่ง จึ่งเข้าไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์อยู่ที่เคยนั่งว่าราชการในพระราชวังนั้น ครั้นเช้าเจ้าพระยาสมุหนายกฝรั่งเข้าไปในพระราชวัง แล้วก็นั่งว่าราชการในที่นั้น แลหลวงสรศักดิ์เหนได้ทีก็เข้าชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ฟันหักสองซี่ แล้วก็หนีออกไปยังบ้าน แลลงเรือเร็วรีบล่องลงไปยังกรุงเทพมหานคร ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เมื่อหลวงสรศักดิ์ชกเอานั้นล้มลงอยู่ ครั้นได้สะติแล้ว ก็ลุกขึ้นแลบ้วนฟันออกเสียแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัว มีโลหิตไหลออกจากปากพลางทางกราบทูลว่า อาญาเปนล้นเกล้า บัดนี้หลวงสรศักดิ์ชกเอาปากข้าพระพุทธเจ้าฟันหักสองซี่ ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นสมปฤๅดีล้มสลบลงอยู่ปิ้มประหนึ่งจะถึงแก่สิ้นชีวิตร ข้าพระพุทธเจ้าได้ความเจบอาย แก่ข้าราชการทั้งหลายเปนอันมาก ขอทรงพระกรุณาโปรดลงพระราชอาญา แก่หลวงสรศักดิ์จงหนัก แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึ่งจะสิ้นความเจบอาย สมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธแก่หลวงสรศักดิ์ จึ่งดำรัศแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่า ท่านเถลาะวิวาทกับมันฤๅประการใด จึ่งเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะได้เถลาะวิวาททุ่งเถียงกับหลวงสรศักดิ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นหามิได้ สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ยิ่งทรงพระพิโรธนัก จึ่งดำรัสสั่งตำรวจให้ไปเอาตัวหลวงสรศักดิ์เข้ามา ขุนหมื่นตำหรวจรับพระราชโองการแล้ว ก็รีบออกไปเอาตัวหลวงสรศักดิ์ณะบ้าน ครั้นไม่ได้ตัวแล้ว ก็กลับเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ จึ่งมีพระราชดำรัศให้ตำหรวจทั้งหลายไปเที่ยวหาตัวหลวงสรศักดิ์มาให้จงได้ แล้วมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่า ท่านจงยับยั้งอยู่ เราจะหาตัวมันให้ได้ก่อน ๚ะ

๏ แลเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามาเฝ้าขณะใด ก็กราบทูลกล่าวโทษหลวงสรศักดิ์เพิ่มเติมขึ้นทุกครั้ง จึ่งสมเดจ์พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระวิจารณ์ในขณะดีนั้น แลทรงพระราชตำริหระฦกถึงถ้อยคำอันหลวงสรศักดิ์กราบทูลกล่าวโทษเจ้าพระยาวิชาเยนทร์แต่ครั้งก่อนนั้น ก็เหนว่าเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กระทำผิดจริง จึ่งดำรัสว่าอ้ายเดื่อมันเหนโทษท่านทำผิด จึ่งชกให้ได้ทุกขเวทนา แลเราจะมีโขนโรงใหญ่ทำขวัญให้แก่ท่าน ๚ะ

๏ ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ก็มิได้เตมใจโดยพระราชดำรัศนั้น แลกราบทูลพระกรุณา ขอแต่ให้ทำโทษหลวงสรศักดิถ่ายเดียว ๚ะ

๏ ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ไปเฝ้าเจ้าแม่วัดดุสิด ซึ่งเปนมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน แลเปนพระนมผู้ใหญ่ของสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น แลถวายบังคมแล้ว ก็กราบทูลแถลงการณ์อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กระทำให้ร้อนในพระพุทธสาศนาเหมือนดั่งนั้น แลได้กราบทูลพระกรุณาแล้วก็มิได้เอาโทษ ข้าพระพุทธเจ้ามีความโทมณัศถึงพระพุทธสาศนา อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์จะทำพระพุทธสาศนาให้พินาศเสื่อมสูญดั่งนั้น จึ่งชกเอาปากเจ้าพระยาสมุหนายก แล้วก็หนีลงมา แลบัดนี้สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธจะลงพระราชอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม อัญเชิญเสดจ์ขึ้นไปขอพระราชทานโทษข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด ๚ะ

๏ จึ่งเจ้าแม่ผู้เถ้าได้ทรงฟังดั่งนั้นก็เหนโทษ อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ทำผิด จึ่งเสดจ์ด้วยเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบูรี แลเสดจ์ถึงฉนวนน้ำประจำท่า ก็ภาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปยังพระราชวัง แลให้ยับยั้งอยู่นอกลับแลก่อน แล้วก็เสดจ์เข้าข้างใน แลสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวตรัสทอดพระเนตรเหนแล้ว ก็กระทำปจุคมนาการเชิญเสดจ์ให้สถิตย์ร่วมราชาอาศน์ แลยกพระหัถอัญชลีแล้ว ก็ดำรัศถามว่า พระมารดาขึ้นมาด้วยธุระสิ่งใด จึ่งเจ้าแม่ผู้เถ้ากราบทูลโดยเหตุทั้งปวงนั้น ให้ทราบสิ้นทุกประการ สมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทราบเหตุดั่งนั้นแล้ว ก็มีพระราชโองการให้หาหลวงสรศักดิ์มาเฝ้า แล้วก็ตำรัสบริภาษเปนอันมาก แลเจ้าแม่ผู้เถ้ากราบทูลขอพระราชทานโทษ ก็ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้ แล้วตรัสบอกประพฤติเหตุทั้งปวง อันหลวงสรศักดิ์ทำแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทรนั้น ให้แก่เจ้าแม่ผู้เถ้าฟังทราบสิ้นทุกประการ แล้วตำรัสให้ยับยั้งอยู่ณะพระราชวังสองสามวัน แลทรงปรฏิบรรติด้วยเคารพย์เปนอันดี แล้วก็อัญเชิญเสดจ์กลับลงไปยังกรุงเทพมหานคร ๚ะ

๏ ในขณะนั้นท้าวพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย จำเดิมแต่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่าราชการที่สมุหนายกนั้น ก็มิได้เตมใจจึ่งปฤกษากันว่า ข้าราชการทั้งปวงที่มีสติปัญญาสรรจ์ซื่อมั่นคง ควรที่จะเลี้ยงเปนอัคมหาเสนาธิบดีได้นั้น ก็ภอจะมีอยู่บ้าง แลทรงพระกรุณามิได้ชุบเลี้ยงขึ้น แลมาโปรดปรานพระราชทานที่สมุหนายก ให้แก่อ้ายฝรั่งลูกค้าต่างประเทศอันมิได้ซื่อสรรจ์ คิดประทุศร้ายในลอองธุลีพระบาทอยู่ดั่งนี้ ก็มิบังควรยิ่งหนัก แลถ้อยคำว่าดังนี้ ก็ปรากฎมีเนือง ๆ จนทราบถึงพระกรรณ์ สมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสทราบเหตุดังนั้น ก็มีพระราชดำริห์จะแก้ความคระหาแห่งข้าราชการทั้งปวง ด้วยทรงพระกรุณาเหนแท้ว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์มีสติปัญญายิ่งกว่าข้าราชการทั้งสิ้น แล้วได้ของวิเสศต่าง ๆ ให้ทมิลฝรั่งเสศประเทศมาถวายเปนอันมาก จึ่งโปรดให้เปนอัครมหาเสนาธิบดีต่างพระเนตรพระกรรณ แลซึ่งจะประทุษร้ายนั้นทรงพระกรุณาเสี่ยงเอาพระบารมี จะได้สดุ้งพระไทยนั้นหามิได้ ๚ะ

๏ ครั้นอยู่มาเพลาหนึ่ง สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจออกณะท้องพระโรงหลวง พร้อมด้วยมุขมาตยาเสนาธิบดีกระวีราชปะโรหิตาจารย เฝ้าอยู่เดียรดาษ มีพระราชดำรัสสำแดงสติปัญญาอันยิ่งแห่งเจ้าพระยาวิชาเยนทรให้ปรากฎ ๚ะ

๏ จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาข้าราชการทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันเอาปืนพระพิรุนขึ้นชั่งดู แลจะหนักสักกี่หาบ จึ่งท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลาย รับพระราชโองการแล้ว ก็ช่วนกันออกมาคิดอ่านการอันจะชั่งปืนนั้น แลจะทำตราชูชั่งให้ใหญ่ เอาสายโซร่ผูกแขวนขึ้นณไม้คันชั่งปักให้สูง แลจะเอาปืนขึ้นชั่งบลนั้น ก็เหนตราชูชั่งแลสายโซร่อันผูกนั้นจะทานไว้มิได้ ด้วยพระพิรุนบอกนี้ใหญ่หลวงนัก แลคิดอ่านประการใดก็สิ้นสะติปัญญา จึ่งเข้ามากราบทูลพระกรุณาโดยเหตุเหลือกำลังที่จะเอาขึ้นชั่งนั้นมิได้ ๚ะ

๏ สมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวช้างเผือก ตรัสได้ทรงฟังดังนั้น จึ่งแย้มพระโอฐดำรัสสั่งเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่า ท่านจงออกไปชั่งปืนพระพิรุนให้รู้ว่าหนักสักเท่าใด จึ่งเจ้าพระยาวิชาเยนทร์รับพระราชโองการแล้ว ออกไปคิดอ่านการอันจะชั่งปืน แลให้เอาเรือนางเป็ดอันใหญ่หลายลำมาเทียบขนานกันณะท่าแล้ว ก็ให้ลากปืนพระพิรุณลงไปในเรือนางเป็ดที่ขนานนั้น แลเรือหนักจมลงไปเพียงใด ก็ให้หมายไว้เพียงนั้น แล้วก็ให้ลากปืนขึ้นมาเสียจากเรือ จึ่งให้ขนเอาอิดหักแลก้อนศิลามาชั่งให้ได้น้ำหนักเท่าใด ๆ แล้วก็ทิ้งลงไปในเรือตราบเท่าจนเรือจมลงไปถึงที่อันหมายไว้นั้น ก็รู้ว่าปืนพิรุนหนักเท่านั้น จึ่งเอาเหตุนั้นเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัศดำรัสสรรเสริญสติปัญญาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ซึ่งเอาปืนขึ้นชั่งได้นั้นเปนอันมาก แล้วก็มีพระราชโองการตรัสแก่ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่า เมื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เขามีสะติปัญญายิ่งกว่าท่านทั้งปวงดังนี้ ฤๅจะมิให้เราเลี้ยงเขาเปนใหญ่กว่าท่านทั้งปวงเล่า แล้วก็ทรงพระกรุณาปูนบำเหนจ์พระราชทานสะเลียงงาให้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ขี่ แล้วมีบโทนแห่หน้าสามร้อยสำหรับยศ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้นั่งเบาะสูงศอกหนึ่งขณะเมื่อเฝ้านั้น แลพระราชทานเครื่องอุปโภคเปนอันมาก จำเดิมแต่นั้นมาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ว่าราชการสิ่งอันใดก็ยิ่งสิทธิขาดขึ้น แลคิดอ่านพิททูลสิ่งใด ก็ว่ากล่าวภอพระไทยทุกประการ ท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลาย ก็ยำเกรงยิ่งนัก ๚ะ

๏ อยู่มาเพลาหนึ่ง จึ่งเจ้าพระยาสมุหนายกกราบทูลพระกรุณาว่า เมืองพระพิศณุโลกยเปนหัวเมืองใหญ่กว่าฝ่ายเหนือ แลที่ทางซึ่งจะรับราชศัตรูเพื่อจะมีมานั้น เหนมิสู้มั่นคง แลจะขอพระราชทานให้ก่อป้อมใหญ่ไว้สำหรับเมือง อนึ่งฝ่ายข้างปากใต้เล่า ขอให้ก่อป้อมใหญ่ไว้ณะเมืองทนบุรีทั้งสองฟากฝั่งน้ำ แลจะทำลายโซร่อันใหญ่ขึงขวางน้ำตลอดถึงกันทั้งสองฝั่งฟาก สำหรับจะป้องกันอรินราชไพรีจะมีมาทางทะเล สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสเหนชอบด้วย โดยถ้อยคำเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กราบทูลนั้น แลทรงพระกรุณาดำรัสให้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เปนแม่กองก่อป้อมณะเมืองพระพิศณุโลกย แลเมืองทนบุรีนั้น แล้วเสรจ์ทั้งสองตำบล ๚ะ

๏ ครั้งนั้นพระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจทรงพระราชดำเนิรขึ้นไปนะมัศการพระพุทธบาททุกปี ๆ มิได้ขาด แลเสดจประทับอยู่ ณพระราชนิเวศธารเกษม ทรงพระกรุณาให้เล่นการมหรศภถวายพุทธบาทสมโพชสามวัน ตามโบราณราชประเพณีเสรจแล้ว ก็เสดจกลับยังเมืองลพบุรี แลดำรัศให้ตกแต่งทุบปราบสถลมารค แต่พระพุทธบาทมาโดยท้ายภุยกยุง แลท่าสิลา เปนทางหลวงตลอดตราบเท่าถึงเมืองลพบุรี แลให้ตกแต่งทางขุดทะเลชุบษรแลทางสระแก้ว แลทางท่าเรือตำบลพระตำหนักท่าเจ้าสนุก แลทรงพระกรุณาให้ปฏิสังขรณพระมณฑบพระพุทธบาท ที่ชำรุดปรักนั้นแล้วเสรจ แลพระองค์บำเพญพระราชกุศล เปนสาศนุปถัมภกโดยอเนกนุปการ ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชดำเนิรไปประภาษณพระตำหนักตำบลสระแก้ว พร้อมด้วยมุขมนตรีทั้งหลายโดยเสดจพระราชดำเนิรที่นั้นเปนอันมาก แลเมื่อเสดจกลับเข้าในพระราชวัง พระองคเสดจทรงม้าพระที่นั่งบรมราชพาหน มีพรรณอันแดงประดับด้วยเครื่องราชูปโภคพร้อมเสรจ แลเสดจขับม้าพระที่นั่งเปนบาทอย่างเสทิน มาถึงน่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จึ่งเสดจลงจากม้าพระที่นั่ง ๚ะ

๏ มีพระราชโองการตรัสเรียกพระเพทราชาเข้ามา แล้วดำรัศว่า ท่านจงมาขี่ม้าแดงพยศตัวนี้ลองดูจะขี่ได้ฤๅไม่ได้ จึ่งพระเพทราชารับพระราชโองการกราบถวายบังคมแล้ว ก็เปลื้องผ้าส่านซึ่งเกี้ยวพุงนั้นออกปูทับพระยี่ภู่บนอานม้า เพื่อเคารพในลอองธุลีพระบาทมิได้นั่งร่วมราชาอาศนนั้น จึงขึ้นขี่ม้าพระที่นั่งขับย่างไป ฝ่ายตำรวจแห่น่าหลัง แลเจ้าพนักงานซึ่งถือเครื่องสูง แลกลองชนะแตรสังข์ทั้งหลาย ก็สำคัญว่าสมเดจพระเจ้าอยู่หัวเสดจพระราชดำเนิร จึ่งประโคมแตรสังข์เภรีมี่สนั่นนิฤนาท เคลื่อนฃยายพยุหยาตราเปนมหามงคลนิมิตรเหตุ อันพระเพทราชาจะได้เสวยราชสมบัติเปนบรมกระษัตริย์ผ่านธรณีนั้น แลพระเพทราชาเหนดั่งนั้นก็ตกใจ จึ่งลงเสียจากม้าพระที่นั่ง กราบถวายบังคมสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ๆ ตรัสทอดพระเนตรเหนดั่งนั้น ก็ทรงพระสรวญว่า คนทั้งหลายเหล่านี้มันสำคัญว่าเรา แล้วเสดจกลับขึ้นทรงม้าพระที่นั่งไปยังพระราชวังนั้น พระบาทสมเดจบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจเสวยสวรรยาธิปัตถวัลยราชณเมืองลพบุรี แลพระมหานครศรีอยุทธยา เปนมหาบรมศุขสนุกนิ์มั่งคั่ง พรั่งพร้อมด้วยพลช้างพลม้าพลานิกรทวยหารล้วนแกล้วกล้าสามาท ปราศจากอรินราชไพรีมิได้มีมาย่ำยีบีทา ระอาพระเดชเดชานุภาพกฤษฎาธิการ แลพระองค์เสดจ์ผ่านพิภพศิริราชมไหสูริย์สันตติย์วงษ์ ดำรงราชอาณาจักรโดยยุติธรรมโบราณราชบรมกระษัตริย์สืบกันมา ฟ้าฝนก็ตกต้องตามระดูกาล ธัญญาหารก็บริบุรณ์ทั่วชนบท พระเกียรติยศคือฉัตรแก้วกั้นเกษทุกประเทศธาณีใหญ่น้อยทั้งปวง ซึ่งเปนข้าขอบขันทเสมาก็ผาศุกสมบูรณ์ยิ่งนัก ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๔๔ ปีจอจัตวาศก ขณะนั้นพระยาเสวตรกุญชรบรมคเชนทรฉัตรทันต์นั้น ป่วยลงถึงอนิจกรรม สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระโทมนัสอาไลยในพระยาช้างเผือกนั้นเปนอันมาก จำเดิมแต่นั้นมาก็มิได้สบายพระไทยเลย จนทรงพระประชวรลงในปีนั้น แลพระโรคนั้นก็หนักลง จะทรงนั่งว่าราชการมิได้ ลำบากพระไทยหนัก จึ่งมีพระราชโองการตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม โปรดให้พระเพทราชาว่าราชการแทนพระองค แลพระเพทราชาก็ไปว่าราชการแทนอยู่ตึกพระเจ้าเหา พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายเปนอันมาก แลให้มีตราไปทุกเมือง ให้เจ้าเมืองกรมการจัดแจงตรวจตราเลขหัวเมืองให้พร้อมไว้ แล้วให้ขัดด่านทางทุกตำบล เกลือกกฤติศรับทซึ่งทรงประชวรนั้นจะเลื่องฦๅไป หมู่อรินราชไพรีรู้แล้วก็จะกำเริบยกมาย่ำยีบีทาในแว่นแคว้น แล้วให้ตรวจตรากระเวรรักษาด่านแดนระวังการศึก แลให้พระเพทราชาว่าราชการครั้งนั้นโดยสุจริตจะได้คิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นหามิได้ ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่งหลวงสรศักดิ์เข้าไปในพระราชวัง มิได้ไปฟังราชการณตึกพระเจ้าเหา แลไปนั่งอยู่ณทิมดาบ จึ่งเหนสมิงพะตะบะผู้เถ้า ก็เรียกให้เข้ามานั่งในที่นั้น แลสนทนากันด้วยกิจอื่น ๆ เปนอันมาก แล้วจึ่งถามสมิงพะตะบะว่าอย่างธรรมเนียมข้างรามัญประเทศ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรหนักจะถึงกาลทิวงคต แลพระราชบุตรพระราชนัดาวงศานุวงษ แลเสนาบดีจะคิดเอาราชสมบัตินั้น จะทำอย่างไร จึ่งสมิงพะตะบะก็บอกว่า อย่างธรรมเนียมข้างรามัญประเทศ ถ้าพระมหากษัตริยประชวรหนักจะสวรรคต แลผู้ใดจะคิดเอาราชสมบัตินั้นก็เร่งจัดแจงตระเตรียมผู้คนเครื่องสาตราวุธให้พร้อมไว้ แต่ยังมิทันสวรรคต ครั้นเหนจวนจะสวรรคตแล้ว ก็ยกจู่เข้าไปปล้นเอาราชสมบัติในเพลานั้น อย่าให้ทันคนอื่นรู้จึ่งจะได้โดยสดวก ถ้าแลผู้อื่นรู้การนี้แล้ว ก็จะมีความปราถนาในราชสมบัติบ้าง แลจะตระเตรียมผู้คนรบพุ่งช่วงชิงกันจะฆ่าฟันกันตายเปนอันมาก แล้วก็จะไม่สมคเณที่คิดไว้ แลจะได้เปนอันยากนัก หลวงสรศักดิ์ได้ฟังถ้อยคำสมิงพะตะบะบอกอุบายชี้แจงดั่งนั้น ก็มีความยินดีนักจึ่งว่า บัดนี้สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนัก เหนจะสิ้นพระชนมายุสวรรคาไลย ในสองสามวันนี้เปนแท้ แลตัวเราเปนพระราชโอรสมีความปราถนาในราชสมบัติ แลจะคิดอ่านเอาราชสมบัติ ท่านจะเข้าด้วยเราฤๅหาไม่ จึ่งสมิงพะตะบะก็ตอบว่า ถ้าท่านจะทำการจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะช่วยคิดอ่านด้วย อย่าวิตกเลย หลวงสรศักดิ์เหนสมิงพะตะบะเข้าด้วยโดยสุจริตจริงแล้ว จึ่งถามว่า คนของท่านมีอยู่มากน้อยเท่าใด จึ่งสมิงพะตะบะบอกว่า มีอยู่สามร้อยเสศ หลวงสงศักดิ์จึ่งว่า ท่านจงตระเตรียมให้พร้อมไว้แต่ในสองสามวัน สรัพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวง แล้วจงซุ่มไว้อย่าให้ใคร ๆ รู้ แลสมิงพะตะบะรับคำแล้ว ก็ไปจัดแจงผู้คนแลเครื่องสาตราวุธไว้พร้อมเสรจทุกประการ ๚ะ

๏ ครั้นค่ำประมาณยามเสศ หลวงสรศักดิ์ก็ขึ้นไปหาพระเพทราชาณจรน ยกมือไหว้แล้วจึ่งถามว่า บัดนี้เจ้าคุณได้ว่าราชการอย่างไร จึ่งพระเพทราชาก็บอกโดยกิจอันว่าราชการนั้น ให้แจ้งสิ้นทุกประการ หลวงสรศักดิ์จึ่งถามว่า เจ้าคุณว่าราชการบัดนี้จะเอาราชสมบัติเองฤๅ ๆ จะให้แก่ผู้ใด พระเพทราชาจึ่งบอกว่า ถ้าสมเดจพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว บิดาก็ถวายราชสมบัติแก่สมเดจพระเจ้าลูกเธอ ซึ่งเสดจอยู่ณะพระราชวังหลัง หลวงสรศักดิ์ได้ฟังดั่งนั้นจึ่งว่า ถ้าเจ้าคุณจะยอมให้แก่ผู้อื่นไซ้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าด้วย พระเพทราชาได้ฟังถ้อยคำหลวงสรศักดิ์ว่าดั่งนั้น ก็เหนว่าจะกระทำการใหญ่จึ่งว่า เจ้าจะคิดอ่านกระทำเปนประการใด ๆ บิดาก็จะกระทำตามถ้อยคำทุกประการ หลวงสรศักดิ์จึ่งว่า ผู้คนทแกล้วทหารที่ร่วมใจของเรามีอยู่มากน้อยสักเท่าใด เจ้าคุณจงให้หาตัวมาให้สิ้น แลให้ตระเตรียมเครื่องสาตราวุธให้พร้อมมือกัน แล้วให้ซุ่มอยู่ณวัดแลบ้านทั้งหลาย แยกย้ายกันอยู่ อย่าให้การทั้งหลายเอิกเกริกเฟื่องฟุ้งไป แลเจ้าคุณจงจัดแจงการให้พร้อมไว้แต่ในสองสามวัน แล้วจึ่งส่งคนทั้งหลายไปยังสำนักนิ์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาราชสมบัติให้ได้ แลพระเพทราชาก็เหนด้วยโดยความคิดทุกประการ แล้วหลวงสรศักดิ์ก็กราบลาไปยังบ้าน ๚ะ

๏ ส่วนพระเพทราชาก็จัดแจงตระเตรียมผู้คน เครื่องสาตราวุธทั้งปวงพร้อมเสรจแล้ว ก็ส่งไปยังบ้านหลวงสรศักดิ์ แล้วก็ไปว่าราชการอยู่ ณ ตึกพระเจ้าเหา พร้อมด้วยท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ประชุมกันอยู่ที่นั่น ทุกเพลาเช้าเย็นเปนนิจกาลมิได้ขาด ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระประชารอยู่ณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แลพระโรคนั้นก็กำเริบมากขึ้น จะเสวยพระกระยาหารก็ไม่ได้ เกือบใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว แลหลวงสรศักดิ์คิดการนั้นด้วยหลวงทรงบาศกรมช้างขวาผู้หนึ่งเปนที่ไว้ใจได้ ๚ะ

๏ ครั้นเหนภอจะทำการได้แล้ว จึ่งให้หาทแกล้วทหารทั้งหลาย แลรามัญพวกสมิงพะตะบะประมาณสามร้อยเสศ มาพร้อมกันแล้ว จึ่งสั่งว่าท่านทั้งหลายจงชวนกันไปลับอาวุธ แล้วจงแยกย้ายกันไปซุ่มอยู่ทางนั้นทางนั้น พร้อมกันแต่ในเพลาสายสามนาฬิกา แล้วจงทำอุบายเอาอาวุธซ่อนเข้าไปในพระราชวังให้จงได้ จงทำอย่าให้นายประตูเขาสงไสย ถ้าเราเข้าไปณตึกพระเจ้าเหาสักครู่หนึ่งแล้ว ท่านทั้งหลายจงรีบเข้าไปที่นั้นให้พร้อมกัน แล้วจงเอาอาวุธพาดเข้าไปตามช่องประตูน่าต่างตึกนั้น แลแวดล้อมเราอยู่โดยรอบ คนทั้งหลายรับคำแล้วก็ไปทำตามถ้อยคำทุกประการ แล้วคิดอ่านเอาคอาวุธซ่อนเข้าไปได้ในพระราชวัง แล้วก็แยกกันคอยอยู่ในที่สมควร มิให้ผู้อื่นสงไสย ๚ะ

๏ ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ใช้ทนายให้เข้าไปดูท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ซึ่งประชุมกันอยู่ ณตึกพระเจ้าเหานั้นมาพร้อมแล้กฤๅยังประการใด แลทนายก็เข้าไปยังตึกพระเจ้าเหา เหนท้าวพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลายมาพร้อมกันสิ้นแล้ว ยังไม่มาแต่เจ้าพระยาวิชาเยนทรผู้เดียว ก็กลับเอาเหตุนั้นมาแจ้งกับหลวงสรศักดิ์ ๆ ได้แจ้งเหตุนั้นแล้ว จึ่งว่า ทำไมแก่อ้ายฝรั่งนั้น มันไม่มาก็แล้วไปเถิด ๚ะ

๏ ครั้นเพลาสายแล้วสามนาฬิกา หลวงสรศักดิ์ก็แต่งกายอันจะให้มีอำนาจเสรจแล้ว ก็เข้าไปในพระราชวัง แวดล้อมด้วยทหารร่วมใจสิบหกคน แลให้ทนายคนสนิทผู้หนึ่ง ถือดาบตามเข้าไปด้วย ครั้นเข้าไปณตึกพระเจ้าเหาแล้ว ก็นั่งที่ใกล้พระเพทราชายกมือไหว้บิดา แล้วจึ่งว่าขึ้นท่ำกลางขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว ถ้าแลพระองค์เสดจสวรรคตไซ้ ตัวเราเปนพระราชโอรสจะเอาราชสมบัติ ท่านทั้งหลายจะเข้าด้วยเราฤๅไม่ให้เร่งบอกออกมา ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยเรา ๆ ก็จะประหารชีวิตรผู้นั้นเสีย ๚ะ

๏ ขณะเมื่อหลวงสรศักดิ์ว่าขึ้นดั่งนั้น ฝ่ายทแกล้วทหารทั้งหลายก็มาพร้อมกันสิ้น แล้วเอาอาวุธพาดเข้าไปตามช่องประตูน่าต่างตึกนั้นโดยรอบ บ้างก็ถืออาวุธเข้าไปในตึกนั้นเปนอันมาก ส่วนท้าวพระยาพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ได้ฟังถ้อยคำหลวงสรศักดิ์ว่าดั่งนั้น แล้วเหนผู้คนถือสาตราวุธเปนอันมาก ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก แลจะคิดอ่านประการใดก็เหนไม่ได้ ด้วยการนั้นจู่เอามิทันรู้ตัว กลัวความตายก็ต้องนิ่งอยู่ มิรู้ที่จะโต้ตอบประการใด บ้างก็ยอบกายลงถวายบังคมเปนอันมาก หลวงสรศักดิ์เหนดังนั้น ก็จับดาบขึ้นกวัดแกว่ง แล้วก็ร้องคุกคามสำทับไปว่า คนทั้งหลายนี้ไฉนจึ่งนิ่งอยู่เล่า จะเข้าด้วยเราฤๅหาไม่ให้ว่ามา ถ้าผู้ใดไม่เข้าด้วยเรา ๆ ก็จะฟันเสียบัดนี้ ส่วนท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายเหนดั่งนั้น ก็ยิ่งสดุ้งตกใจกลัวความตายยิ่งนัก ต่างคนต่างถวายบังคมพร้อมกัน แล้วกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอเข้าด้วยพระองค์ แลจะขอเปนข้าราชการอยู่ในใต้ลอองธุลีพระบาทสืบไป หลวงสรศักดิ์เหนขุนนางทั้งปวงอยู่ในอำนาถสิ้นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระเพทราชาผู้เปนบิดา แลรับพระราชโองการ แล้วมอบเวนสมบัติถวายแก่พระเพทราชานั้น ๚ะ

๏ ฝ่ายท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งหลาย ก็รับพระบัณฑูรแก่หลวงสรศักดิ์ แลอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณที่มหาอุประราช ในขณะนั้นจึ่งหลวงสรศักดิ์ผู้สำเรจราชการณะที่มหาอุประราช ก็ใช้ให้ทหารไปอาราธนาพระพุทธรูป คำภีร์ปริยัติธรรมณเรือน แลให้ไปนิมนต์พระสงฆ์คามวาสีราชาคะณะมาด้วยพร้อมกัน แล้วก็ถวายนมัสการพระรัตนไตรยาธิคุณสุนทร์ภาพด้วยเบญจางคประดิษฐ แล้วให้ขุนนางทั้งนั้นกินน้าพิพัฒสัตยา ถวายสาบานตามโบราณราชประเพณีเสรจทุกประการ ๚ะ

๏ จึ่งพระเพทราชาผู้สำเรจราชการแผ่นดิน ก็ให้เจ้าพระยาสุรสงครามเปนผู้รับสั่ง ให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามา ถ้าแลสำเรจราชการแล้ว เราจะเลี้ยงให้ถึงขนาด แลเจ้าพระยาสุรสงคราม ก็สั่งให้หนายออกไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ณบ้านว่า มีพระราชโองการให้หา ครั้นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้แจ้ง ก็เข้าใจในเหตุทั้งนั้น แล้วจึ่งถามว่า ใครเปนผู้รับสั่ง ทนายก็บอกว่า เจ้าพระยาสุรสงครามเปนผู้รับสั่ง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์จึ่งว่า เจ้าพระยาสุรสงครามให้หาเราไปบัดนี้ ประดุจเขียนด้วยมือแลจะลบด้วยท้าวเล่า ด้วยเจ้าพระยาสุรสงครามมีคุณุประการแก่เราเปนอันมาก ได้ชุบย้อมมาแต่เดิมนั้น แลกลับจะมาทำลายคุณเสียดั่งนี้ ก็มิควรยิ่งนัก ถ้าเราจะเข้าไปบัดนี้ ดีร้ายจะมีไภยอันตรายเปนมั่นคง ทนายก็เตือนว่า พระราชโองการให้หาเปนการเรว เจ้าพระยาวิชาเยนทร์มิอาจจะขัดพระราชโองการได้ ก็ตกแต่งกายแล้วขึ้นเสลี่ยงมีบโทน แลทนายแห่น่ามาจนเข้าประตูในพระราชวังนั้น ๚ะ

๏ ส่วนหลวงสรศักดิ์ผู้สำเรจราชการณที่มหาอุประราชนั้น เมื่อให้ไปหาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น ก็กะเกนทแกล้วทหารให้ไปอยู่ประจำรักษาทุกป้อมทุกประตูรอบพระราชวังทั้งปวง แลให้ปิดประตูเสียอย่าให้ผู้ใดเข้าออกแปลกปลอมได้ ให้ตรวจตราระวังระไวเปนกวดขันทุกตำบล แล้วก็จัดแจงทแกล้วทหารให้ไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อยู่ทางประตูจะเข้ามา ถ้าเข้ามาแล้วฆ่าเสีย ครั้นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามาถึงในประตูพระราชวัง คนซึ่งคอยอยู่สองข้างประตูนั้น ก็เอาไม้พลองตีเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ตกลงจากเสลี่ยง แล้วประหารจนสิ้นชีวิตรนั้น แลพวกเจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น ครั้นเหนนายเปนเหตุแล้ว ก็ตกใจกลัวต่างคนต่างวิ่งหนีกระจัดพรัดพรายไปสิ้น ๚ะ

๏ จึ่งพระเพทราชาผู้สำเรจราชการแผ่นดิน ก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปเฝ้าสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระประชวรหนักอยู่ณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แลถวายบังคมแล้วกราบทูลถามพระอาการอันทรงพระประชวรนั้น แล้วก็กราบทูลแถลงกิจจานุกิจราชการทั้งปวง ซึ่งได้ว่ากล่าวบังคับบัญชานั้นเสรจสิ้นทุกประการ แล้วบังคมทูลพระกรุณาว่า ถ้าพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตไซ้ ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาราชสมบัติไว้ถวายสมเดจพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังหลัง สมเดจพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังพระเพทราชากราบทูลดังนั้น ก็เข้าพระไทยในกิริยาแห่งพระเพทราชา แลหลวงสรศักดิ์อันคิดการเปนขบถนั้นก็ทรงพระพิโรธ แลทรงจับเอาพระแสงดาบซึ่งวางอยู่ข้างที่ แล้วเสดจลุกยืนขึ้นได้ด้วยสามารถ พระองค์ทรงพระพิโรธเปนกำลัง มีพระราชโองการตรัสว่า อ้ายสองคนพ่อลูกนี้คิดการเปนกระบถ แล้วพระองค์จะเสดจพระราชดำเนิรจะไปประหารชีวิตรพระเพทราชา แลหลวงสรศักดิ์ ก็มิอาจสามารถจะเสดจพระราชดำเนิรไปได้ ด้วยทรงพระประชวรหนักทุพลภาพอยู่แล้ว ทั้งพระกายก็สั่นจะเสดจดำรงพระองค์มิได้ ก็ล้มลงในที่นั้น แลพระแสงดาบทรงนั้น ก็ตกจากพระหัถ แล้วมีพระราชดำรัสว่า เทพยุเจ้าผู้บำรุงรักษาพระบวรพุทธสาสนา จงไว้ชีวิตรอิกสักเจ็ดวัน จะขอดูหน้าอ้ายขบถสองคนพ่อลูกนี้ให้จงได้ ๚ะ

๏ ขณะนั้นพระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ ก็กลับลงมาจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์แล้วก็เข้าใจว่า สมเดจพระเจ้าแผ่นดินจะเสดจสวรรคตในวันนั้นเปนแท้อยู่แล้ว จึ่งแต่งคนสนิทให้เอาเรือเร็วลงไปยังกรุงเทพมหานคร แลให้ทูลอัญเชิญเสดจพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอไภยทศ ซึ่งเสดจอยู่ณพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลังว่า สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว แลบัดนี้มีพระราชโองการให้อัญเชิญเสดจขึ้นไปเฝ้า ณ เมืองลพบุรีเปนการเร็ว ๚ะ

๏ ผู้รับสั่งก็เอาเรือเร็วรีบลงไปยังกรุงเทพมหานครในวันนั้น ส่วนสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จำเดิมแต่เสดจล้มลงเพลานั้น พระโรคก็กำเริบมากขึ้น จึ่งมีพระราชดำรัสให้หาบันดาชาวที่ชาววัง ซึ่งเปนข้าหลวงเดิมประมาณสิบห้าคน เข้ามาเฝ้าในมหาปราสาทที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่เสดจทรงประชวรอยู่นั้น แล้วจึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า บัดนี้อ้ายสองคนพ่อลูกมันคิดเปนการขบถ ฝ่ายเราก็ป่วยทุพลภาพหนักอยู่แล้ว เหนชีวิตรไม่ตลอดไปจนสามวัน แลซึ่งท่านทั้งหลายจะอยู่ในฆราวาศนั้นเหนว่าอ้ายกบฏพ่อลูกมันจะฆ่าเสียสิ้น อย่าอยู่เปนคฤหัฐเลย จงบวชในพระบวรพุทธสาศนา เอาธงไชยพระอรหรรต์เปนที่พึ่งเถิดจะได้พ้นไภย จึ่งดำรัสให้ไปเบิกเอาไตรจิวร ณะพระคลังสุภรัตพมาภอครบตัวกัน แลมีพระราชโองการตรัสให้ไปอาราธนาพระสงฆ์ราชาคะณะเข้ามาประมาณยี่สิบรูปในเพลานั้น แล้วดำรัศว่านิมนต์พระผู้เปนเจ้าทั้งหลาย จงจำเอาคนเหล่านี้ออกไปอุปสมบท บวชเปนภิกขุภาวในพระพุทธสาศนาด้วยเถิด จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายถวายพระพรว่า ซึ่งอาตมทั้งปวงจะนำเอาอุบาสกเหล่านี้ ออกไปอุปสมบทณะพระอารามนั้น เหนว่าผู้ซึ่งประจำรักษาประตูพระราชวังนั้น จะห้ามมิให้ออกไป ๚ะ

๏ สมเดจพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดั่งนั้น ก็ทรงพระพิโรธแล้วโทมนัศในพระไทยเปนกำลัง แต่มิรู้ที่จะทำประการใด ด้วยทรงพระประชวรหนักเปนอาสันทีวงคตอยู่แล้ว จำเปนจำอยู่ในบังคับพระเพทราชา จึ่งมีพระราชดำรัสว่า ถ้ากระนั้นนิมนต์พระผู้เปนเจ้าทั้งปวง ให้อุปสมบทบวชคนทั้งปวงเหล่านี้ในปราสาทของโยมนี้เถิด จะได้ฤๅมิได้ แลพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายถวายพระพรว่า ถ้าแลพระราชสมภารเจ้า ทรงพระราชอุทิสพระมหาปราสาท ถวายเปนพระวิสุงคามเสมาแก่พระสงฆ์แล้ว อาตมภาพพระสงฆ์ทั้งปวงควรจะให้อุปสมบทกันได้ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตพระราชอุทิสถวายพระมหาปราสาททั้งสอง แลจังวัดพระราชวังทั้งปวง เปนวิสุงคามสีมาแก่สงฆ์เสรจแล้ว มีพระราชตำรัศว่า นิมนต์พระผู้เปนเจ้าทั้งหลาย กระทำซึ่งสงฆ์กรรมทั้งปวงเถิด จึ่งพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลาย ก็ให้อุปสมบทบวชบันดาข้าหลวงเดิมทั้งปวง เปนภิกษุภาวะณะพระที่นั่งธัญมหาปราสาทเสร็จแล้ว ก็ให้โอวาทโดยสมณกิจ แล้วพระสงฆ์ราชาคณะ แลพระภิกษุบวชใหม่ทั้งหลาย ก็ถวายพระพรลากลับออกไปยังอาราม ๚ะ

๏ ขณะนั้นบันดาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ก็ไปมั่วสุมอยู่ณพระเพทราชา จะได้มีผู้ใดผู้หนึ่งนำภาในฝ่าลอองธุลีพระบาทนั้นหามิได้ ยังแต่พระปิย์ผู้เดียว ปะฏิบัติรักษาประคองพระองค์ลุกนั่งอยู่ แลพระปิยผู้นี้เปนบุตรขุนไกรสิทธิศักดิ์ชาวบ้านแก่ง ทรงพระกรุณาเอามาเลี้ยงไว้ในพระราชวังแต่ยังเยาว์ ให้มีนางนมพี่เลี้ยงประดุจหนึ่งลูกหลวง แลพระปิยนั้นมีพรรณสัณฐานต่ำเตี้ย ทรงพระกรุณาเรียกว่าอ้ายเตี้ย แลพระปิยกอปรด้วยสวามีภักดิ นอนอยู่ปลายพระบาท คอยปรฏิบัติพยุงพระองค์ลุกนั่งอยู่ ครั้นรุ่งเพลาเชเาพระปิยลุกออกมาบ้วนปากล้างหน้าณประตูกำแพงแก้ว จึ่งหลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการณที่มหาอุปราช สั่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ผลักพระปิยตกลงไปจากประตูกำแพงแก้ว แลพระปิยร้องขึ้นได้คำเดียวว่า ทูลกระหม่อมแก้วช่วยด้วย ภอขาดคำลงคนทั้งหลายก็กุมเอาตัวพระปิยไปประหารชีวิตรตายในขณะนั้น สมเดจพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังเสียงพระปิยร้องขึ้นมาดั่งนั้น ตกพระไทยความอาไลยในพระปิยจึ่งดำรัสว่า ใครทำอะไรกับอ้ายเตี้ยเล่า แลสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็สวรรคตในเพลาวันนั้น เปนวันพฤหัสบดีเดือนห้าแรมสามค่ำ ลุศักราช ๑๐๔๔ ปีจอจัตวาศก พระบาทบรมนารถนารายน์ราชบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระชันษาวอกศก เสดจเสวยราชสมบัตินั้น พระชนได้ ๒๕ พรรษา เสดจดำรงราชอาณาจักรอยู่ได้ ๒๖ พรรษา ขณะสวรรคตณพระที่นั่งสุธาสวรรย์มหาปราสาทนั้น สริพระชนม์ห้าสิบเอ็จพรรษา ๚ะ

๏ ส่วนผู้ถือหนังสือรับสั่ง ซึ่งลงไปยังกรุงเทพมหานครนั้น ก็ไปกราบทูลเจ้าฟ้าอไภยทศเสรจสิ้นทุกประการ แลเจ้าฟ้าอไภยทศมิทันทราบในการอันเปนคุยรหัด สำคัญพระไทยว่าจริง พี่เลี้ยงกราบทูลว่า อยู่แต่พระเพทราชาแลหลวงสรศักดิ์ แลซึ่งเสดจขึ้นไปครั้งนี้ จงรมัดรวังพระองค์จงหนัก เจ้าฟ้าอไภยทศทรงพยักเอาแล้ว ก็เสดจลงเรือพระที่นั่งขึ้นไปยังเมืองลพบุรี ครั้นไปถึงวัดพระพรหมตำบลปากน้ำโพสพ ก็เสดจแวะเรือขึ้นหาพระพรหมครูครู่หนึ่ง แล้วนมัศการลา ก็เสดจกลับลงเรือพระที่นั่งรีบขึ้นไปยังเมืองลพบุรี ครั้นถึงก็ให้ประทับเรือพระที่นั่งณฉนวนประจำท่า ภอสมเดจพระบรมราชบิดาสวรรคตเสียก่อนแล้วน่อยหนึ่ง จึ่งหลวงสรศักดิ์ผู้สำเรจราชการณที่มหาอุปราช ก็ให้ข้าหลวงไปกุมเอาพระองค์เจ้าฟ้าอไภยทศ เปนสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ตำบลวัดทรากเสร็จแล้ว ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินพระเพทราชาธิราช ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๔๔ ปีจอจักตวาศกนั้น จึ่งสมเดจพระเพทราชาธิราชเจ้า ก็เสดจขึ้นเสวยสวรรยาธิปัติถวัลยราช ดำรงพิภพสีมาอาณาจักรสืบไป จึ่งทรงพระกรุณาจัดแจงตั้งแต่งข้าหลวงเดิมทั้งหลาย เปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเปนอันมาก โดยสมควรแก่ความชอบเสร็จแล้ว ก็พระราชทานเครื่องอุปโภคตามสมควรแก่ถานานุศักดิ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้บันดาท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวง ถือน้ำพิพัฒสัตยานุสัตยถวายสาบานตามโบราณราชประเพณีเสร็จแล้ว ก็ให้กระทำพระราชพิธีราชาภิเศกเฉลิมพระราชมณเฑียร ๚ะ

๏ จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดให้หลวงสรศักดิ์ซึ่งเปนบรมโอรสาที่ราช ขึ้นประดิษฐานณที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ขณะนั้นท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายเฝ้าพร้อมมูลอยู่สิ้น ยังขาดอยู่แต่พระยาหุเซงขานผู้เดียว แลพระยาหุเซงขานคนนี้ ขณะเมื่อสมเดจพระนารายน์ผู้เปนเจ้า ทรงประชวรหนักอยู่นั้นหาอยู่ไม่ มีกิจธุระออกไปอยู่ณบ้านป่า ครั้นรู้ว่าเสดจสวรรคตแล้ว แลราชสมบัติได้แก่พระเพทราชาก็ตกใจกลัวรีบเข้ามาณเมืองลพบูรี แลเข้าไปเฝ้าสมเดจพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตรัสถามว่า พระยาหุเซงขานไปไหนพึงมา พระยาหุเซงขานกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีกิจธุระออกไปอยู่บ้านป่าหาอยู่ไม่ ครั้นทราบว่า พระเจ้าแผ่นดินสวรรคต แลพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็รีบกลับเข้ามา เปนข้าทูลอองธุลีพระบาท กระทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไป สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโทษให้ ซึ่งมิได้มาทันนั้น แล้วตำรัศว่า ให้พระยาหุเซงขานถือน้ำพระพิพัฒสัตยาตามธรรมเนียม ๚ะ

๏ จึ่งสมเดจพระเจ้าแผ่นดินก็ตำรัศให้เจ้าพนักงาน จัดแจงการจะเชิญพระบรมศพใส่ในพระโกฎเสรจแล้ว ก็มีพระราชกำหนดแก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ให้ตระเตรียมการโดยตำแหน่งพนักงานให้พร้อมไว้ อิกเจ็ดวันจะเสดจพระราชตำเนิรลงไปยังกรุงเทพมหานคร แล้วทรงพระกรุณาให้พระโหราหาฤกษ ครั้นถึงวันอันได้มหาพิไชยฤกษแล้ว สมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็อัญเชิญพระบรมโกฏลงสู่เรือพระที่นั่งศรีสมรถไชย อันอำไภยด้วยเสวตรมยุรฉัตรบังรวีวรรบังแซรกไสว แห่แหนไปโดยลำดับชลมารถวิถี ลงไปยังกรุงเทพมหานครก่อน แล้วดำรัศให้เทเอาครัวอพยพข้าทูลละอองธุลีพระบาท แลสมณพราหมณาจาริย์ทั้งหลาย ตามเสดจลงไปทั้งทางบกทางเรือ แลสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็เสดจลงสู่เรือพระที่นั่งไกรสรมุขพิมาน อันอลังการด้วยเครื่องศิริราชูประโภคทั้งปวงพร้อมเสรจ แวดล้อมด้วยเรือราชวงษานุวงษ เสนาพฤฒามาตย ราชครูประโรหิต บัณฑิตยชาติ ข้าทูละอองธุลีพระบาทรายเรียงเปนขนัด โดยขบวนแห่น่าหลังคั่งคับถ้องแถวนธีธาร แลให้ขยายพยุหบาตราคลาเคลื่อนเลื่อนจากเมืองลพบุรี ล่องลงมายังกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา ถึงประทับเรือพระที่นั่งณฉนวนประจำท่าพระราชวังหลวง ก็เสดจขึ้นคู่พระราชวัง ทรงพระกรุณาสั่งให้เชิญพระบรมโกฎ ขึ้นประดิษฐานไว้ ณพระที่นั่งสุริยามรินทรมหาปราสาท แล้วดำรัศให้เจ้าพนักงานกะเกนทำพระเมรุมาศแลการในพระราชวังในพระนครทั้งปวง แล้วก็มีพระราชโองการตรัสสั่งพระมหาราชครูประโรหิตาจารย ให้จัดแจงการพระราชพิธีราชาภิเศก ณกรุงเทพพระมหานครอิกครั้งหนึ่งเล่า ให้เปนสองครั้ง ๚ะ

๏ ครั้นถึงวันพฤหัศบดี เดือนสิบ ขึ้นเจดค่ำ ปีจอจัตวาศก เพลาเช้าแล้วสี่นาฬิกาสี่บาท ได้มหามงคลราชสวัศดิ์อุดมฤกษ พร้อมด้วยท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดีมนตรีมุขลูกขุน ข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ประชุมกันณพระที่นั่งสรรเพชปราสาท กระทำพระราชพิธีราชาภิเศกอัญเชิญสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจขึ้นผ่านพิภพสวรรยาธิปัตถวัลยราชย ณกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยาโดยโบราณราชประเพณี แลการพระราชพิธีราชาภิเศกทั้งปวงนั้น เหมือนครั้งสมเดจพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง แล้วถวายพระนามว่า สมเดจพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดม บรมจักรพรรดิเจ้าพิภพกรุงเทพพระมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบุรีรมยอุดมพระราชนิเวศมหาสถาน ขณะเมื่อเสดจขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น พระชนได้ห้าสิบหกพรรษา จึงมีพระราชดำรัศให้มีการมหรรสพสมโพชพระนครสามวัน แล้วทรงพระกรุณาให้ตกแต่งสถลมารควิถีรอบพระนคร ปักราชวัดฉัตรเบญรงธงไชยธงประฎาก วางเปนระยะกันไป แล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเครื่องศิริราชวิภูษนาภรณ์แล้วเสรจ เสดจทรงพระราชยานอลังการด้วยเครื่องสูงไสว ไพโรจด้วยปี่กลองชนะแตรสังข คับคั่งด้วยพลแห่แหนแน่นนันเปนขนัด โดยขบวนพยุหบาตราน่าหลังพรั่งพร้อมเสรจ ก็เสดจประทักษิณเลียบพระนคร แล้วเสรจเสดจกลับคืนยังพระราชวัง ๚ะ

๏ จบเล่ม ๑๙ สมุดไทยแต่เพียงนี้ ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ