๒๐

๏ ขณะนั้นส่วนพระญาติวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลาย ซึ่งอยู่ณบ้านพลูหลวงแขวงเมืองสุพรรณบุรีแจ้งว่า สมเดจพระเจ้าแผ่นดินผ่านพิภพแล้ว ต่างคนต่างก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก จึ่งชวนกันหามัจฉมังษาแลผลตาลแก่อ่อนสิ่งของต่าง ๆ ตามมีประสาชนบทประเทศบ้านนอกนำเข้ามาทูลเกล้าถวาย จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้เหล่าพระญาติวงษานุวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลายเข้ามาในพระราชวัง โดยทางประตูมหาโภคราชข้างท้ายสระ แลให้ยับยั้งอยู่ในพระราชวังใกล้พระราชนิเวศมหาสถาน แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้เข้ามาเฝ้าถวายสิ่งของทั้งปวง แลพระญาติวงษานุวงษ แลข้าหลวงทั้งหลายเปนชาวชนบทประเทศ มิได้รู้จักพิดทูลตามขนบธรรมเนียมประการใด เคยพูดจาแต่ก่อนอย่างไร ก็พูดจาพิดทูลอย่างนั้น แลว่าตูข้าทั้งหลายรู้ว่า นายท่านได้เปนเจ้า ก็ยินลากยินดียิ่งนัก ชวนกันเข้ามาเพื่อจะชมบุญนายท่าน แลซึ่งตายายผู้เถ้าผู้แก่คนนั้น ๆ พ่อแม่อีนั่นอ้ายนั่น ป่วยเจบอยู่เข้ามาไม่ได้ ไ ฝากแต่สิ่งของอันนั้นเข้ามาให้กำนัลนายท่านด้วย ส่วนข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลายได้ฟังดั่งนั้นจึ่งห้ามว่า ท่านทั้งหลายอย่าเรียกว่านาย พระองคได้เสวยราชสมบัติเปนพระมหากษัตริยเจ้าแผ่นดินแล้ว แลท่านทั้งหลายอย่าพูดจาพิดทูลดั่งนี้มิสมควรยิ่งนัก สมเดจพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระสรวลดำรัสว่า คนเหล่านี้มันเปนชาวบ้านนอก เคยชำนาญพูดจามาแต่ก่อนอย่างนั้น เรามิได้ถืออย่าห้ามมันเลย แล้วทรงพระกรุณาให้วิเสดตกแต่งโภชนาหารมาเลี้ยงดูให้อิ่มหน้า แลพวกพระญาติวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลาย ได้รับพระราชทานโภชนาหารมีรศอร่อยต่าง ๆ บางคนเปนนักเลงสุรา ก็กราบทูลว่า นายท่านตูข้าอยากกินสุรา ก็ทรงพระกรุณาให้เอาสุรามพระราชทานให้บริโภค ครั้นได้รับพระราชทานแล้วก็เมาสุรา บ้างก็ร้องเพลงเกบดอกไม้ร้อยแลเพลงไก่ป่าต่าง ๆ สมเดจพระเจ้าแผ่นดินตรัสได้ทรงฟังดั่งนั้น ก็ทรงพระสรวญ แล้วมีพระราชดำรัศให้เจ้าจอมเถ้าแก่นำเอาพระญาติวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลาย เข้าไปเที่ยวชมในพระราชวังข้างใน แลบนพระราชมณเฑียร แลพระญาติวงษา แลข้าหลวงเดิมทั้งหลาย ได้เหนเครื่องศิริราชสมภารอันงามวิเศศต่างๆ แลนางพระสนมทั้งหลายอันมีศริรูปอันงาม กอประด้วยเครื่องอลังการนุ่งห่มงามต่าง ๆ ต่างคนต่างสรรเสิญเปนอันมาก แลชมพระราชกฤษดาธิการว่า นายเรามีบุญยิ่งนัก แลเที่ยวชมบนพระราชมณเฑียร แลจังหวัดพระราชวังทั้งปวงทั่วแล้วกลับมาเฝ้าถวายบังคมทูลสรรเสิญโดยได้เหนทั้งปวงนั้น แล้วทูลถามว่า ค่ำวันนี้นายท่านจะให้ตูข้าทั้งหลายนอนที่ไหน จึ่งมีพระราชดำรัศว่า เองทั้งหลายจงนอนอยู่บนพระราชมณเฑียรเถิด แล้วทรงพระกรุณาให้เหล่าพระญาติวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลายนอนอยู่บนพระราชมณเฑียรสถาน ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งเช้าทรงพระกรุณาให้จัดแจงเลี้ยงดูให้อิ่มหน้าสำราญแล้ว ก็ทรงพระราชทานเงินทองพรรณผ้านุ่งห่ม สิ่งของเครื่องศรีสำรดต่าง ๆ เปนอันมากโดยลำดับถานานุรูป ถ้วนทุกคนแล้ว ให้พระราชทานเงินทองสิ่งของทั้งปวง ฝากไปให้แก่ผู้ซึ่งมิได้มานั้น แต่เหล่าพระญาติวงษ แลข้าหลวงเดิมทั้งหลาย ได้รับพระราชทานสรรพวัตถุทั้งหลาย แล้วถวายพระพรต่าง ๆ แล้วถวายบังคมลา ทรงพระกรุณาโปรดให้กลับคืนออกไปอยู่ตามภูมลำเนาแห่งตนดุจก่อน ๚ะ

๏ จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระราชดำรัสเหนือเกล้า โปรดให้พระอัคมเหษีเดิมนั้น เปนพระอัคมเหษีกลาง แลตั้งเจ้าฟ้าศรีสุวรรณ ซึ่งเรียกว่าพระราชกัลยาณี ซึ่งเปนกรมหลวงโยธาทิพ เปนพระบรมราชภักคินี ของสมเดจพระนารายน์เปนเจ้านั้น เปนพระอัคมเหษีฝ่ายขวา ตั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งเปนพระราชธิดาแห่งสมเดจพระนารายน์เปนเจ้านั้น เปนพระอัคมเหษีฝ่ายซ้าย ตั้งพระราชบุตรีของพระองค ทรงพระนามฉิมเปนลูกสนมนั้น เปนพระแม่อยู่หัวนางพระยา ตั้งสมเดจพระเจ้าหลานเธอพระองคแก้ว ซึ่งเปนบุตรท้าวศรีสุลาลักษณ์ อันเปนพระราชขนิษฐาของพระองค์นั้น เปนเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาบรีรักษ ตั้งนายจบคชประสิทธิทรงบาศขวา ในกรมช้าง ซึ่งได้เปนคู่คิดเอาราชสมบัติด้วยนั้น เปนกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง รับพระราชบัญชาตั้งนายกรีนท์คชประสิทธิทรงบาศช้ายซึ่งเปนพระราชนัดาเปนเจ้าราชินิกูล ชื่อเจ้าพระพิไชยสุรินทร ตั้งขุนทิพพลภักดิ์เชื้อพระวงษเปนเจ้าราชินิกูล ชื่อเจ้าพระอินทรอไภย แลทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องยศพร้อมตามตำแหน่งถานานุศักดิ์ทุก ๆ พระองค์ แลซึ่งเจ้าพระยาสุรสงครามนั้น ก็พระราชทานเครื่องยศศักดิ์ให้เสมอกับกรมพระราชวังหลัง แลทรงพระกรุณาตั้งนายบุญมากข้าหลวงเดิมคนหนึ่ง เปนพระยาวิชิตผู้บาน พระราชทานเจียดทอง เต้าน้ำทอง กบี่บังทอง เครื่องยศพร้อมแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสดจไปอยู่ณวังจันทร์ เฉลิมขึ้นเปนพระราชวังบวร แลพระบัญชานั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดให้ไปอยู่ณวังหลัง แลเจ้าพระยาสุรสงครามนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้อยู่ณะตึกสี่เหลี่ยมบ้านเดิม แลพระราชทานเครื่องสูงสามชั้น ให้แห่เข้ามาเฝ้าทูละอองธุลีพระบาทเหมือนกันทั้งสามแห่ง ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่งสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชตำเนินจะไปเข้าที่พระบันทม ณตำหนักตึกกรมหลวงโยธาทิพ ซึ่งตั้งไว้เปนอัคมเหษีฝ่ายขวา กรมหลวงโยธาทิพให้ทูลพระอาการว่าประชวรอยู่ จึ่งเสดจพระราชตำเนินไปณตำหนักตึกกรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งตั้งไว้เปนอัคมเหษีฝ่ายช้าย กรมหลวงโยธาเทพไม่ยอม ตรัสตัดภ้อต่าง ๆ แล้วทรงพระแสงดาบพาดพระเพลาอยู่ สมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็เสดจกลับมายังพระราชมณเฑียร ทรงพระกรุณาให้หาหมอทำเสน่ห์ ครั้นได้หมอมาแล้ว ก็ให้กระทำตามวิธีเสน่ห์ แลกรมหลวงโยธาเทพก็ให้คลั่งไคล้ไหลหลง ทรงพระกรรแสงถึงพระเจ้าอยู่หัวเปนกำลัง ครั้นเสดจพระราชตำเนินไปครั้งหลังจึ่งยอม แลเสดจไปเข้าที่พระบันทมณะพระตำหนักตึกกรมหลวงโยธาทิพด้วย ๚ะ

๏ จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชตำรัศให้เจ้าพนักงานเร่งทำการพระเมรุมาศ ซึ่งจะถวายพระเพลิงพระบรมสพสมเดจพระนารายน์เปนเจ้าโดยขนาดใหญ่ ขื่อเจ็ดวาสองศอก โดยสูงสองเส้นสิบเอ็จวาศอกคืบ มียอดห้ายอด ภายในพระเมรุทองนั้น ก็ประกอบไปด้วยเครื่องสรรพโสภณพิจิตรต่าง ๆ สรรพด้วยพระเมรุทิศ พระเมรุแซรก แลสามซ่างเสรจ แลการพระเมรุมาศนั้น ประมาณแปดเดือนจึ่งสำเร็จ ๚ะ

๏ ครั้นถึงวันเพญเดือนหก ปีกุนเบญจศก ได้มหาศุภนักขัตฤกษ สมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็ให้อัญเชิญพระบรมโกฎลงจากพระมหาปราสาทที่นั่งสุริยามรินทร์ ประดิษฐานเหนือบุษบกพระมหาพิไชยราชรถ อันอลังการด้วยสุวรรณรัตนวิจิตรต่าง ๆ สรรพด้วยเสวตรบวรฉัตรขนัดพระอภิรุมชุมสายพรายพรรณ บังพระสุริยันบังแซรกสลอน พลแตรงอนแตรฝรั่ง อุโฆษสังขปี่สนั่นบันฦๅลั่นด้วยศรับทสำเนียงเสียงดุริยางคดนตรี ปี่กลองชนะ ประโคมครั่นครื้นกึกก้องกาหลนิฤนาท แลรถสมเดจพระสังฆราชสำแดงพระอภิธรรมกถา แลรถโปรยเข้าตอกดอกไม้ รถโยง รถท่อนจันทน์ แลรูปนานาสัตวจัตุบาททวิบาททั้งหลาย หลังมีสังเฆ็จใส่ไตรจีวรเปนคู่ ๆ แห่ดูมโหฬาราดิเรกพันฦก อธีกด้วยพลแห่แหนแน่นนัน เปนขนัดโดยขบวนซ้ายขวาน่าหลัง พรั่งพร้อมด้วยท้าวเสนาบดีมนตรีมุขลูกขุน ข้าทูลอองธุลีพระบาททั้งหลาย ล้วนแต่งกายนุ่งผ้าท้องขาวตรวยเซิง ใส่ลำพอกเสื้อครุย แวดล้อมพระพิไชยราชรถ แลตามไปเบื้องหลังเปนอันมาก ตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน จึ่งขยายพยุหบาตราไปโดยรัฐยาราชวัต อันรายรื่นทรายสวาทตา ครั้นพระบรมสพถึงหน้าพระที่นั่งจักรวัติ จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตีฆ้องสัญญาให้หยุดกระบวนแห่ทั้งปวงหน้าหลัง แล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพัดชนีฝักมขาม โบกสามทีให้ทิ้งทาน ข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ประจำต้นกามพฤกษ์ ถวายบังคมลงสามลาแล้วก็ทิ้งทาน ครั้นทิ้งทานแล้วก็ให้ตีฆ้องสัญญา ให้ยาตรากระบวนแห่ทั้งปวงไปถึงพระเมรุมาศ จึงเชิญพระบรมโกฎเข้าประดิษฐานในพระเมรุทอง ทรงพระกรุณาให้มีการมหรรสพสมโพช แลดอกไม้เพลิงต่าง ๆ แลทรงสัดับปกรณ์พระสงฆ์หมื่นหนึ่ง คำรบเจดวันแล้วถวายพระเพลิง ครั้นดับพระเพลิงแล้ว แจงพระรูป สัดับปกรณ์พระสงฆ์อิกสี่ร้อยรูป แล้วเก็บพระอัษฐิใส่พระโกฎน้อยอัญเชิญขึ้นพระยาณุมาศ แห่เปนขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึ่งอัญเชิญพระโกฎพระอัษฐิเข้าบรรจุไว้ณะท้ายจรนำพระมหาวิหาร วัดพระศรีสรรเพชฎาราม ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจพระเจ้าลูกเธอ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงพระราชดำริห์แคลงกรมพระราชวังหลัง แลเจ้าพระยาสุรสงคราม ด้วยมีอิศิริยศบริวารยศมาก เกรงจะเปนสัตรูราชสมบัติ จึ่งเอาคดีอันเปนคุยรหัศนั้น มากราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง แลอุบายให้เอาถาดทองในพระราชวังลงไปซุ่มซ่อนไว้ณะวังหลัง แล้วให้ลูกขุนพิจารณาว่า ถาดทองในพระราชวังมีผู้ร้ายลักเอาไป ครั้นสืบสาวได้ถาดทองณะวังหลัง จึ่งให้ข้าหลวงไปกุมเอากรมพระราชวังหลัง แล้วให้ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขลูกขุนทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันพิภาคษาว่า กรมพระราชวังหลังเปนกระบถให้สำเรจโทษเสีย ท้าวพระยาทั้งหลายลงเปนคำเดียวกัน ดุจพระราชอัทยาไศรย แต่เจ้าพระยาสุรสงครามผู้เดียวมิลงด้วยท้าวพระยาทั้งปวง แล้วว่ายังมิเหนสม ขอพระราชทานให้งดไว้ก่อน สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ตรัสทราบดั่งนั้นก็ทรงพระพิโรธดำรัศว่า เจ้าพระยาสุรสงครามเปนสมักภักพวกเข้าด้วยคนผู้คิดมิชอบ ให้จำเจ้าพระยาสุรสงครามเข้าห้าประการ แล้วให้เอากรมพระราชวังหลังไปสำเร็จโทษเสียตามคำพิภาคษา ๚ะ

๏ แล้วดำรัศให้ปฤกษาด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายว่าธรรมดาคนที่มีศรัทธาสร้างเจดีย์ถานไว้ในพระพุทธสาศนานั้น ต้องมีร่างร้านก่อนจึ่งจะก่อขึ้นได้ ครั้นเสรจการแล้วควรจะเอาร่างร้านไว้ฤๅ ๆ จะรื้อร่างร้านเสียประการใด แลท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายกราบทูลพระกรุณาว่า ควรจะรื้อร่างร้านเสีย แลซึ่งจะเอาไว้นั้นหาต้องการไม่ จึ่งพระราชดำรัศสั่งให้ท้าวพระยาผู้ใหญ่ไปบอกแก่เจ้าพระยาสุรสงครามว่า ซึ่งจะอยู่นั้นกีดขวางหาเปนประโยชน์สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ อย่าอยู่เลยจงก้มหน้าไปหาความชอบในประโลกย์เถิด บุตรภรรยานั้นทรงพระกรุณาจะชุบเลี้ยงอย่าวิตกเลย แล้วให้เอาเจ้าพระยาสุรสงครามไปประหารชีวิตรเสีย ในเดือนสิบเบดปีกุญเบญจศกนั้น แล้วทรงพระกรุณาเอาบุตรชายอายุศม์สิบเดือนเข้ามาเลี้ยงไว้ในพระราชวัง พระราชทานพี่เลี้ยงนางนมให้อภิบาลรักษา แล้วทรงพระกรุณาตั้งขุนองค์มีความชอบ ให้เปนพระยาสุรสงครามแทนที่ พระราชทานเครื่องยศให้ตามตำแหน่งถานานุศักดิ์ ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๔๖ ปีชวดฉศก ขณะนั้นเกิดขบถ อ้ายธรรมเถียรข้าหลวงเดิมเจ้าฟ้าอไภยทศเปนจลาจลในจังหวัดแขวงหัวเมืองนครนายก แลอ้ายธรรมเถียรกระทำการโกหก ติดไฝที่หน้าให้เหมือนเจ้าฟ้าอไภยทศสำแดงแก่ชาวชนบทประเทศทั้งปวงว่า ตัวเปนเจ้าฟ้าอไภยทศ ซึ่งเอาไปสำเรจโทษเสียณวัดทราก แขวงเมืองลพบุรีนั้นหาตายไม่ แลชาวชนบทประเทศทั้งหลายที่ไม่รู้จักนั้นสำคัญว่าจริง ก็เชื่อถือเข้าเปนสมักภักพวกกระบถธรรมเถียรเปนอันมาก แลกระบถธรรมเถียรขึ้นขี่ช้างพลายกางตัวหนึ่ง สูงห้าศอกมีเสศกับอ้ายคุลาผู้ทาษผู้หนึ่งเปนควาน ภาสมักภักพวกยกเข้ามาซองสุมคนถึงแขวงเมืองสระบุรี เมืองลพบูรี แลแขวงขุนนคร ได้สมักภักพวกเปนอันมาก ครั้นถึงเดือนสามก็ยกมายั้งอยู่ณะพระตำหนักพระนครหลวงปะมาณสามวัน แล้วให้คนสนิทลอบลงไปนิมนต์พระพรหมณะวัดปากคลองช้างว่าเจ้าฟ้าอไภยทศเสดจมาอยู่ณะพระตำหนักพระนครหลวงได้สามวันแล้ว บัดนี้มีรับสั่งให้มานิมนต์พระผู้เปนเจ้าขึ้นไป ครั้นพระพรหมได้แจ้งดังนั้นจึ่งว่า แก่ผู้ซึ่งมานิมนต์ว่าถ้าแลลูกกูยังอยู่จริง ไหนเลยจะอยู่แต่ที่พระนครหลวงเล่า ก็จะลงมาถึงกูนี้ การทั้งนี้หากโกหกหาจริงไม่ สูเจ้าอย่าเชื่อถือ ถ้าแลผู้ใดเชื่อมันถือมัน ผู้นั้นจะพลอยตายเสียเปล่า ผู้ซึ่งมานิมนต์ได้ยินดังนั้น ก็กลับไปบอกกันต่างคนต่างแตกหนีออกเสียเปนอันมาก ที่เชื่อถือยังอยู่นั้นก็มาก ครั้นรุ่งเช้ากระบถธรรมเถียรก็ขึ้นขี่ช้างแวดล้อมไปด้วยพวกพลทั้งหลาย ยกจากพระนครหลวงจะลงมาตีกรุงเทพมหานคร แลประกาษแก่คนทั้งหลายว่า ตัวกูคือเจ้าฟ้าอไภยทศ จะยกลงไปตีเอาราชสมบัติคืนให้จงได้ แลชาวคามนิคมทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็เชื่อฟังถือแท้ว่าเจ้าฟ้าอไภยทศ ต่างคนก็ถือเครื่องสาตราวุธต่าง ๆ ตามมีที่ไม่มีอาวุธสิ่งใด ก็ถือพร้าบ้าง ๆ ก็ได้กะตักแลเคียวแห่ห้อมล้อมช้างกระบถธรรมเถียรมาเปนอันมาก แลโห่ร้องยกมาทางคลองบ่อโพง จะเข้ามายังเพนียด ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสดจ์ทรงช้างพระที่นั่งอยู่ณะพะเนียด ทอดพระเนตรให้จับช้างอยู่กลางแปลง มีผู้มีชื่อมากราบทูลว่า พวกอ้ายคิดมิชอบคิดอ่านกันเปนอันมากบัดนี้ยกเข้ามาจะตีกรุง สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร ตรัสได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระไทย มีพระบัณฑูลตรัสใช้ตำรวจให้เอาม้าเรวรีบออกไปสืบดูอ้ายเหล่าร้ายยกมาถึงไหน แลตำรวจรับสั่งแล้วก็ขึ้นม้าเร็วควบขับรีบไป เหนพวกอ้ายกระบถยกมาถึงตำบยบ่อโพง จะข้ามคลองช้างแล้ว เหนพันไชยธุชอันธรรมเถียรตั้งไว้ให้ถือธง ขี่กระบือนำพลมาก่อน ตำรวจจับเอาตัวได้ภามาถวายกรมพระราชวัง มีพระบัณฑูลตรัสถามว่าใครยกมา พันไชยธุชกราบทูลว่าเจ้าฟ้าอไภยทศยกมา จึ่งตรัสว่ายกมาก็สู้กันเราจะกลัวอะไร จึ่งสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็ทอดพระเนตรไปแต่พะเนียด เหนอ้ายกระบถขี่ช้างยกรี้พลเข้ามาตามท้องทุ่ง จึ่งมีพระบัณฑูลตรัสใช้ขุนอินธิบาลให้เข้าไปกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ จึ่งสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าหลวง ตรัสให้ทราบเหตุดังนั้นแล้วก็ตกพระไทย ดำรัศให้ผูกช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬมาประเทียบเกย แล้วเสดจ์ทรงพระคชาธารแวดล้อมด้วยข้าทูลอองธุลีพระบาททั้งหลายรีบเสดจ์ขึ้นไปวังน่า แล้วดำรัสให้มหาดเล็กมีชื่อให้ไปเชิญพระแสงขอพลพ่ายอันเปนของพระนเรศวร ทรงชนช้างกับมหาอุปราชาอันเกบไว้นั้นมาว่าจะทรง มหาดเล็กรับพระราชโองการแล้วก็วิ่งมาโรงแสง ณะพระคลังแสงสรรพวุธ พระเจ้าแผ่นดินก็รีบเสดจ์ไป ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชจังบวรตำรัศสั่งให้ตระเตรียมกันจะรับที่พะเนียด ขณะนั้นเจ้าพระยาธรรมาอยู่นั้นด้วย จึ่งกราบทูลว่า ซึ่งจะตั้งรับที่พะเนียดเหนไม่ชอบกล ขอเชิญเสดจ์พระราชตำเนินเข้าไปรับในกรุงเหนจะดีกว่า สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเหนชอบด้วย จึ่งเสดจ์เข้ามาในกรุง มิได้เสดจ์ไปพระราชวัง เสดจ์ตรงขึ้นไปบนป้อมมหาไชย ดำรัศให้ตรวจจัดรี้พลขึ้นไปประจำรักษาน่าที่เชิงเทินตรงพระราชรังบวรสถานมงคล ฝ่ายกระบถธรรมเถียรขับช้างยกรี้พลมาถึงพะเนียด มิได้เหนผู้ใดตั้งรับ แล้วก็ยกเข้ามายืนช้างอยู่ฟากวัดมณฑปตรงรอทำนบน่าพระราชวังบวร ๚ะ

๏ จึ่งสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวมหาอุปราช ก็มีพระบัณฑูรตรัสให้เจ้าพนักงานบันจุปืนใหญ่ณะป้อมมหาไชย จะยิงเอาตัวกระบถ ครั้นบันจุแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิฐานว่า ข้าแต่เทพยุดาสุรารักษอันสิงสู่รักษาปืนใหญ่นี้ ถ้าแลข้าพเจ้าบุญน้อยมิอาจสามารถจะดำรงราชสมบัติไว้ได้ แลจะถึงปราไชยแก่ประจามิตรแล้ว แลจะจุดปืนบัดนี้ ขอให้ปืนจงแตกออกต้องข้าพเจ้าให้ถึงแก่ชีวิตรอันตรายเถิด ถ้าแลข้าพเจ้ามีบุญญาภิสังขารบารมีมาก อาจสามารถจะดำรงราชสมบัติในเสวตรฉัตรเฉลิมแผ่นดินสยามประเทศได้ไซ้ ขอให้กระสุนปืนใหญ่ไปต้องดัษกรให้พินาศฉิบหายเถิด ๚ะ

๏ ครั้นทรงอธิฐานแล้วก็เสดจ์ทรงรับชุดจุดชนวนปืนใหญ่ แลเพลิงชนวนนั้นมิได้ติดดินดำ ก็ทรงพระประวิตกสงไสยหนัก จึ่งให้ไขกระสุนดินดำซึ่งประจุไว้นั้นออกมาจึ่งรู้ว่าประจุผิด เอากระสุนประจุเข้าก่อนเอาดินดำประจุทีหลังก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จึ่งดำรัศให้ว่ามันเปนพวกอ้ายขบถ จึ่งให้ประหารชีวิตรผู้บันจุปืนนั้นเสียแล้ว ให้บันจุใหม่ ทรงรับชุดจุดชนวนอีกครั้งหลัง กระสุนปืนใหญ่นั้นก็ออกไปต้องช้างซึ่งขบถธรรมเถียรขี่มานั้นล้มลงตายในที่นั้น แลขบถธรรมเถียรกับอ้ายคุลาทาษนั้นก็ตกลงจากช้างเจ็บป่วยเปนสาหัศ ก็หนีไปเร้นอยู่ณะวัดทนานป่าเข้าสาร แลสมักพักพวกอ้ายขบถทั้งหลายนั้นแตกฉานหนีไปทุกตำบล จึงมีพระบัณฑูรสั่งให้ข้าหลวงออกไปติดตามเอาตัวอ้ายขบถ แลพวกข้าหลวงได้ตัวอ้ายขบถธรรมเถียร แลอ้ายคุลาทาษณะวัดนั้นมาถวาย จึ่งพระบัณฑูรตรัสใช้ขุนพรหมธิบาลให้เข้าไปกราบทูลพระกรุณาสมเดจ์พระราชบิดาให้ทราบ โดยเหตุอ้ายขบถพ่ายแพ้ทุกประการ ๚ะ

๏ ส่วนพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าหลวงเสดจ์ยาตราพระคชาธารมาถึงต้นตะพานช้าง ภอมหาดเล็กซึ่งไปเชิญพระแสงฃอนั้นมาทันเข้าก็ทูลเกล้าถวาย ทรงรับพระแสงฃอพาดกระพองพระยาสารลง พอขุนพรหมธิบาลมาถึงถวายบังคมทูลประพฤติเหตุทั้งปวง พร้อมกันเข้าที่นั้นก็ดีพระไทย จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งให้กะเกนกันไปตามจับสมักภักพวกอ้ายกระบถให้ได้จนสิ้นเชิง แล้วเสดจกลับยังพระราชวัง ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร ก็ดำรัศให้กะเกนข้าหลวงไปติดตามจับกุมภักพวกอ้ายเหล่าร้าย แล้วเสดจ์มายังพระราชวังหลวง ขึ้นเฝ้าสมเดจ์พระราชบิดาถวายบังคมทูลแถลงการทั้งปวง ให้ทราบสิ้นทุกประการ ครั้นได้ภักพวกอ้ายคิดมิชอบสิ้นเชิงแล้ว ก็ให้ประหารชีวิตรอ้ายกระบถธรรมเถียร แลภักพวกต้นเหตุทั้งปวงนั้นเสียเปนอันมาก ที่เปนแต่ปลายเหตุนั้นให้จำใส่เรือนตรุแลส่งไปเปนตพุ่นหญ้าช้างนั้นก็มาก ที่แตกหนีเข้าป่าดงไปนั้นก็มาก จนบ้านแขวงเมืองสระบูรีเมืองลพบูรี แลแขวงขุนนครร้างเสียหลายตำบล ๚ะ

๏ ในขณะเมื่อลุศักราช ๑๐๔๕ ปีกุน เบญจศก ล่วงไปแล้วนั้น สมเดจพระเจ้าอยู่หัว แรกเสดจขึ้นราชาภิเศกเสวยราชสมบัติ แลมีพระราชโองการให้หาบันดาท้าวพระยาพระหัวเมืองข้างปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งหลายเข้ามาถวายบังคมถือน้ำพิพัฒสัตยาทุกหัวเมือง แต่พระยายมราชสัง ซึ่งไปครองเมืองนครราชสีมา แลพระยารามเดโช ซึ่งไปครองเมืองนครศรีธรรมราชครั้งสมเดจพระนารายน์เปนเจ้านั้นแจ้งว่าพระเจ้าอยู่หัวได้เสวยราชสมบัติแล้ว แลพระยาทั้งสองก็บังเกิดทิฐิมาณะ กระด้างกระเดื่องขัดรับสั่งแขงเมืองอยู่มิได้เข้ามาบังคม ครั้นเมื่อเสรจการฆ่าพวกอ้ายกระบถธรรมเถียรแล้ว สมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชดำรัศปฤกษาด้วยพระบรมโอรสาธิราชกรมพระราชวังบวรว่า ซึ่งหัวเมืองทั้งสองเปนกระบถแขงเมืองอยู่ฉนี้จะไว้ช้ามิได้ จำจะเกนกองทับยกไปตีเสียจึ่งจะชอบ แต่ทว่าเมืองนครราชสีมาอยู่ใกล้ควรจะให้ไปตีเสียก่อน ครั้นได้แล้วจึ่งให้ไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราชต่อภายหลัง สมเดจพระบรมโอรสาธิราชก็เหนชอบด้วยโดยพระราชบรรหารทุกประการ จึ่งมีพระราชดำรัศสั่งสมุหนายกให้ตระเตรียมรี้พลเครื่องสรรพาวุธไว้ให้สรัพ ๚ะ

๏ ขณะนั้นพระยาสีหราชเดโชครั้นสมเดจพระนารายน์สวรรคตเสียแล้ว แลทรงพระกรุณาตั้งข้าหลวงเดิมคนหนึ่ง เปนพระยาสีหราชเดโชแทนที่ แล้วตำรัศให้เปนแม่ทับไปตีเมืองนครราชสีมา แล้วตั้งข้าหลวงเดิมคนหนึ่ง เปนพระยานครราชสีมาให้เปนกองน่าถ้าตีได้เมืองนครราชสีมาแล้วให้อยู่รั้งเมือง แล้วตำรัศให้ท้าวพระยาอาษาหกเหล่าทั้งหลาย เปนยุกระบัตรเกียกกายกองหลัง แลพลสกรรจ์ลำเครื่อง ๑๐๐๐๐, ช้างเครื่อง ๒๐๐, ม้า ๓๐๐, แลเครื่องสาตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อย กระสุน ดินประสิว แลเสบียงอาหารสำหรับทับพร้อมเสรจ ครั้นถึงวันอันได้มหาพิไชยฤกษ์ในเดือนสี่ปีชวดฉศก จึ่งพระยาสีหราชเดโชแลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย ก็กราบถวายบังคมลายกช้างม้ารี้พลโดยทางเมืองสระบูรี ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยานครราชสีมาแจ้งว่า กองทับกรุงยกขึ้นมาดังนั้น ก็ตรวจจัดรี้พลเครื่องสรรพาวุธทั้งปวงพร้อมสรรพ แล้วแต่งทับยกลงมาตั้งค่ายรายรับตามระยะทางนั้นเปนหลายตำบล ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับพระยาสีหราชเดโช ก็ยกขึ้นไปตีค่ายชาวเมืองอันมาตั้งรับนั้น แลได้รบพุ่งกันเปนสามารถ กองทับชาวนครราชสีมาต้านทานมิได้ ก็แตกฉานไปทุก ๆ ค่าย แลพ่ายแพ้กลับเข้าเมือง กองทับกรุงตีค่ายรายทางทั้งหลายแตกฉาน แล้วก็ยกติดตามไปถึงเมือง แลพระยานครราชสีมาก็ตรวจจัดพลทหารขึ้นประจำน่าที่เชิงเทินปราการเมืองโดยรอบคอบ กอบด้วยเครื่องสรรพายุธปืนใหญ่ปืนน้อยทั้งปวงพร้อมสรัพแลป้องกันเมืองเปนสามารถ ๚ะ

๏ ฝ่ายทับกรุงก็ยกเข้าตั้งค่ายรายล้อมเมืองนครราชสีมาโดยรอบแล้ว แต่งพลอาษาสามพันยกเข้าป่ายปีนปล้นเอาเมือง ชาวเมืองรบพุ่งป้องกันเปนสามารถ แลพุ่งสาตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อย ระดมยิงออกมาต้องพลอาษาทับกรุงล้มตายบาดเจ็บเปนอันมาก เหนจะป่ายปีนเอามิได้ก็ถอยออกมา แต่ยกเข้าปล้นดั่งนั้นเปนหลายครั้ง ชาวเมืองรบพุ่งป้องกันต้านทานอยู่เปนสามารถ รี้พลล้มตายจะปล้นเอามิได้ ก็ล้อมแต่มั่นไว้ แต่ตั้งล้อมอยู่เปนหลายเดือน จนเสบียงอาหารก็ขาดลง รี้พลอดหยากซูุบผอมไข้เจบล้มตายเปนอันมาก บ้างหลบหลีกหนีไปจากกองทับนั้นก็มาก แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายปฤกษากันบอกลงมาถึงสมุหนายกขอกองทับยกหนุนขึ้นไปช่วย แลฃอกระสุนดินดำแลเสบียงอาหารสำหรับทับทั้งปวง จึ่งเจ้าพระยาจักรีกราบบังคมทูลพระกรุณาโดยในบอกทั้งปวงนั้นให้ทราบสิ้นทุกประการ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ตรัสได้ทรงทราบประพฤติเหตุดั่งนั้น ก็ทรงพระพิโรธตำรัศว่า อ้ายเหล่านี้ใช้ให้ไปตีเมืองนครราชสีมานิดหนึ่งเท่านี้ ทับหมื่นหนึ่งยกไปยังว่าหาหักเอาได้ไม่ อ้ายเหล่านี้ควรจะเลี้ยงมันได้ฤๅ แล้วตำรัศให้สมุหนายกแต่งข้าหลวงขึ้นไปกุมเอาท้าวพระยา นายทับนายกองทั้งหลายพรรทนาลงมายังกรุงเทพมหานคร ครั้นได้ตัวมาแล้ว ก็ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน แล้วริบทรัพย์สินเครื่องอัญมณีทั้งปวง แล้วให้ทเวนบกทเวนเรือสามวัน แล้วประหารชีวิตรนายทับนายกองเสียเปนอันมาก ๚ะ

๏ แล้วทรงพระกรุณาตำรัศสั่งอัคมหาเสนาบดี ให้เกนกองทับยกขึ้นไปตีเมืองนครราชสีมาใหม่เล่า แลเจ้าพนักงานซึ่งไปเบิกดินดำในตึกดิน เอาจอบขุดตุมพะเนียงซึ่งใส่ดินอันผนึกไว้นั้นขึ้น ก็เปนประกายเพลิงกระเดนลงในดินดำ ๆ นั้นก็วุบขึ้นเปนอันหนึ่งอันเดียว แลเทือกดินนั้นมากมีกำลังมาก ก็โชดขึ้นทำลายทัพสัมภารแห่งตึกนั้นพังลง แล้วหอบหุ้มขึ้นบนอากาษแตกไปโดยทิศน้อยทิศใหญ่ เสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวกำปนาทพระธรณีดุจเสียงมหาอสนีบาต ต้องชาวพระนครล้มตายเจ็บป่วยได้ทุกขเวทนาเปนอันมาก แลได้ลูกดินนั้นก็น้อย จึ่งเกนกองทับแต่ห้าพันสรัพด้วยช้างม้าเครื่องสาตราวุธ แลเสบียงอาหารทั้งปวงยกขึ้นไป ๚ะ

๏ ครั้นไปถึงเมืองนครราชสีมา ก็ให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ดุจครั้งก่อน แลพระยานครราชสีมาก็ตรวจจัดรี้พล ขึ้นอยู่ประจำรักษาน่าที่เชิงเทินปราการ ป้องกันเมืองเปนสามารถ ทับกรุงยกเข้าแหกหักเปนหลายครั้ง ชาวเมืองรบพุ่งป้องกันทั้งกลางวันกลางคืนไม่ย่อหย่อน ทับกรุงแหกหักเอามิได้ก็ตั้งล้อมมั่นไว้ แต่ทับกรุงยกขึ้นไปเขี้ยวขับทำสงครามด้วยชาวนครราชสีมาทั้งสองครั้ง ประมาณสองปีเสศชาวเมืองมิได้ทำนา สิ้นสองเทศกาลแล้ว เสบียงอาหารก็กันดารลง ไพร่พลเมืองอดหยากซูบผอมล้มตายเปนอันมาก บ้างยกครัวหนีออกจากเมืองนั้นก็มาก แต่ทว่าพระยายมราชเจ้าเมืองนี้ฝีมือเข้มแขง ตั้งเขี้ยวขับต้านทานอยู่มิได้แตกฉาน ๚ะ

๏ อนึ่ง ท้าวทรงกันดารอู่ ซึ่งเปนโทษถอดเสียนั้น หนีขึ้นไปอยู่เมืองนครราชสีมาด้วย แลท้าวพระยานายทับนายกองซึ่งตั้งล้อมอยู่นั้น ก็ปฤกษากันเหนว่าจะแหกหักเอามิได้ ด้วยชาวเมืองรบพุ่งต้านทานแข็งมืออยู่ จึ่งคิดกลอุบายเปนหลายอย่าง แลให้ทำลูกปืนกลยิงไปตกลงแล้วก็สงบอยู่ ต่อเพลิงติจตามเข้าไปถึงดินเร็วจึ่งแตกออกถูกผู้คนล้มตาย อุบายอนึ่งนั้นให้ผูกว่าวจุลาใหญ่ชักขึ้นแล้ว เอาม่อดินผูกแขวนสายป่านอันใหญ่หย่อนเข้าไปในเมืองแลจุดเพลิงฉนวนล่ามไว้ ครั้นเพลิงฉนวนติจถึงดินแล้วให้ตกลงไหม้ในเมือง แลอุบายหนึ่งนั้นให้เอาเพลิงอางแพลมผูกลูกธนูยิงรดมเข้าไปเผาเมือง ครั้นจัดแจงแต่งการทั้งปวงพร้อมแล้วเพลากลางคืนดึกประมาณสามยาม ก็ให้ยิงปืนกลชักว่าวจุลา แลยิงธนูระดมเข้าไปพร้อมกัน แล้วแต่งพลอาษาหนุนเข้าไปปล้นเอาเมือง ฝ่ายชาวเมืองต้องปืนกลตายนั้นก็มาก ด้วยประมาทอยู่มิได้เคยภบเคยเหนมาแต่ก่อน แลม่อดินที่ผูกว่าวจุลาแลลูกธนูผูกเพลิงอางแพลมนั้น ก็ตกลงติดหลังคาเรือนทั้งปวงในเมืองนั้น เพลิงติดรุ่งโรจโชตนาการ ไหม้ไปทุกหนทุกแห่ง ชาวเมืองมิอาจอยู่รักษาน่าที่เชิงเทินได้ ต่างคนละน่าที่เสียวิ่งระส่ำระสายไปเปนอลหม่าน บ้างเสียเข้าของล้มตาย แลลำบากเวทนาอยู่นั้นก็มาก ก็เสียเมืองแก่ทับกรุง ๆ เข้าเมืองได้ ไล่จับผู้คนหาสิ่งของต่าง ๆ ๚ะ

๏ แลตัวพระยานครราชสีหมานั้น ภาท้าวทรงกันดารครอบครัวบุตรภรรยาทแกล้วทหารทั้งปวง แหกหนีออกไปจากเมืองแต่ในกลางคืนหาได้ตัวไม่ กองทับได้เมืองนครราชสีมาแล้ว ๆ ก็แต่งหนังสือบอกลงมาถึงสมุหนายกให้กราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ตรัสทราบประพฤติเหตุนั้นแล้ว ก็ดำรัศให้มีตราตอบขึ้นไปยังกองทับว่า ให้จัดแจงตั้งแต่งผู้รั้งกรมการอยู่รักษาเมืองให้ราบคาบเปนปรกติ แล้วก็ให้เลิกทับกลับมายังพระนครเถิด ๚ะ

๏ ครั้นท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย ได้แจ้งในท้องตรานั้นแล้วก็ทำตามพระราชกำหนดขึ้นไปนั้นทุกประการ ครั้นเสรจแล้วก็เลิกทับกลับลงมายังกรุงเทพมหานคร แลขึ้นเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวกราบทูลแถลงโดยอันได้คิดอ่านทำการปล้นเอาเมืองนั้น ให้ทราบสิ้นทุกประการ สมเดจพระเจ้าแผ่นดิน ก็พระราชทานรางวัลแก่ท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวงเปนอันมาก โดยลำดับถานานุศักดิ ๚ะ

๏ จบเล่ม ๒๐ ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ