๒๒

๏ ลุศักราช ๑๐๕๗ ปีกุนสัพตศก ขณะนั้นพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุดให้แสนสุพจะนาไมตรี เปนราชทูตจำทูลพระราชสาสน์คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการ ลงมายังกรุงเทพมหานคร ในลักษณะพระราชสาสน์นั้นว่าพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตผู้เปนมหิศราชธิปไตยในเสวกมาลาประเทศนคเรศปราจิณทิศ ขอถวายวันทนประณามมาแทบพระบวรบาทบงกชเรณุมาศแห่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ผู้เสวยสวรรยาธิปัติถวัลย์ราชณกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบูรีรมย์อุดมพระราชนิเวศมหาสถาน มโหฬารด้วยเสวตรกุญชรชาติพาหนะเปนศรีเมืองเฟื่องพระเกียรติยศปรากฎแผ่ไพสาฬไปในนานาประเทศราชธาณีใหญ่น้อยทั้งปวงดุจฉัตรท้าวมหาพรหมกางกั้น ร่มเอย็นเปนศุขานุศุขปราศจากทุกข์ระงับไภยแห่งสรรพสัตวทั้งหลาย อันร้อนรนทั่วสกลโลกธาตุในกาละเมื่อมัชณันติกะไสมย ข้าพระองค์ขอถวายพระราชธิดาทรงพระนามพระแก้วฟ้า พระชันษาได้สิบห้าพรรษามาเปนศรีสุรางคบริจาริกรองลอองพระบาทยุคล ขอเอาพระเดชานุภาพสมเดจพระเจ้าอยู่หัวเปนที่พึ่งที่พำนักนิ์ ด้วยมีอริราชปรปักข์กล่าวคือเจ้าฟ้าเมืองหลวงพระบางกอประด้วยโลภหาหิริโอตปมิได้ ให้เสนาโยธาหารยกมากระทำวิหิงษาการย่ำยีกรุงศรีสัตนาคนหุดให้ได้ความเดือดร้อน แลบัดนี้จะขอพระราชทานกองทับขึ้นไปช่วยป้องกันกรุงศรีสัตนาคนหุตให้พ้นเงื้อมมือประจามิตร แลจะขอเปนข้าขอบขันทเสมาพระมหานครศรีอยุทธยา ไปกราบเท่ากัลปาวสาน ๚ะ

๏ จึ่งเจ้าพระยาจักรีนำเอาลักษณพระราชสาสน์ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ขึ้นกราบทูลพระกรุณาให้ทราบสิ้นทุกประการ สมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครื่องศิริราชาลังกาภรณวิภูษิตเสรจ เสดจออกณะมุกเด็จพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ฝ่ายทหารพลเรือนเฟียมเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท ณะทิมดาบคดตามตำแหน่งซ้ายขวา จึ่งให้เบิกแสนสุพจนาไมตรีเข้ามาถวายบังคมณะสาลาหว่างทิมดาบ แลดำรัศพระราชปฏิสรรฐารสามนัดตามพระราชประเพณี แล้วพระราชทานเสื้อผ้าแก่แสนสุพจนาไมตรีโดยสมควร ๚ะ

๏ จึ่งมีพระราชดำรัศสังสมุหนายก ให้เกนกองทับสรัพด้วยช้างม้าเครื่องสาตราวุธทั้งปวงให้พร้อมไว้ แลดำรัศให้พระยานครราชสีมาเปนแม่ทับหลวง พระสระบูรีเปนยุกระบัต พระยานครนายกเปนเกียกกาย พระรามกัมแหงเปนกองน่า พระยาลพบุรีเปนทับหลัง ถือพลสกรรลำเครื่องหมื่นหนึ่ง ช้างเครื่องสามร้อยม้าสี่ร้อยสรรพด้วยนานาสรรพาวุธปืนใหญ่น้อยกระสุนดินประสิวพร้อมเสรจ ให้ยกไประงับกำลังศึกเมืองหลวงพระบางซึ่งยกมาติดกรุงศรีสัตนาคนหุตนั้น ครั้นถึงวันอันได้มหาพิไชยฤกษจึ่งท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายก็กราบถวายบังคมลา ยกช้างม้ารี้พลจากกรุงเทพมหานครกับด้วยแสนสุพจนาไมตรีซึ่งเปนราชทูตนั้น แลเดินทับไปโดยทางเมืองนครราชสีมา ๚ะ

๏ ครั้นใกล้ถึงกรุงศรีสัตนาคนหุด จึ่งให้ตั้งค่ายยับยั้งกองทับอยู่ที่นั้น จึ่งปฤกษากันว่าครั้นจะยกเข้าโจมตีกองทับชาวเมืองหลวงพระบางบัดนี้ก็จะเสียไมตรีไปดูมิควร แลเราจะแต่งหนังสือให้ไปว่ากล่าวแก่ชาวเมืองหลวงพระบาง ให้เลิกทับกลับไปโดยดีก่อน ถ้าแลมิฟังยังองค์อาจจะต่อรบไซ้ จึ่งจะให้พลทหารเข้าโจมตีแหกหักเอาต่อภายหลัง ครู่เดียวก็จะเปนพัทธุลีไป อันทับลาวมิทานฝีมือเราได้แต่ในเพลาเดียว ครั้นนายทับนายกองปฤกษาเหนพร้อมกันแล้ว ก็ให้แต่งหนังสือให้ขุนหมื่นมีชื่อถือไปถึงแม่ทับลาวเมืองหลวงพระบาง เปนใจความว่ากล่าวโดยไมตรี เพื่อจะให้ปรานีประนอมเปนมิตรสัณฑวกับกรุงศรีสัตนาคนหุตดั่งกาลก่อนมิให้เปนเวรไพรีอาฆาฎกันสืบไป ๚ะ

๏ ครั้นแสนท้าวเสนาลาวแม่ทับเมืองหลวงพระบาง ได้แจ้งในหนังสือแลทราบว่า กองทับกรุงเทพมหานครยกมาช่วยกรุงศรีสัตนาคนหุตดังนั้นแล้ว ก็เข็ดขามคร้ามพระเดชานุภาพยิ่งนัก จึ่งแต่งหนังสือให้เพลี้ยควานมีชื่อถือมาแจ้งแก่แม่ทับไทย รับยิงยอมปรานีปรานอมเพื่อจะเปนมิตรสัณฑวไมตรีมิได้มีเวรอาฆาฎกับกรุงศรีสัตนาคนหุตสืบไป ก็เลิกกองทับกลับคืนไปเมือง จึ่งพระยานครราชสีมาแลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง ก็แต่งหนังสือให้ขุนหมื่นมีชื่อถือลงไปกราบทูลพระกรุณาณะกรุงเทพมหานคร โดยประพฤติเหตุทั้งปวงก่อน แล้วบอกเข้าไปให้เสนาลาวนำเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ๆ ดีพระไทยดำรัศพระราชปฏิสัณฐานเปนอันดี แลให้เลี้ยงดูเหล่ากองทับให้อิ่มหนำสำเหรจ์ พระราชทานรางวัลแก่ท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวงเปนอันมาก ๚ะ

๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือบอกนั้นก็มาถึงกรุงเทพมหานคร ให้อัคมหาเสนาบดีกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้มีตราหากองทับกลับลงมาณะกรุง ท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายได้แจ้งในท้องตรานั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต แล้วเลิกทับกลับลงมายังกรุงเทพมหานคร ๚ะ

๏ ส่วนพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ก็จัดแจงตกแต่งพระราชธิดาพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงนางกำนัล แลทาษกรรมกรซายหญิงสิ่งละร้อยเปนบริวารสรรพด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวงพร้อมเสรจ์ แลให้แสนท้าวพระยาลาวสามนายถือพล ๑๐๐๐๐๐ ช้างม้าโดยสมควรให้อัญเชิญเสดจพระราชธิดาขึ้นสู่สีวิกากาญจน์ยานวิจิตรลงไปยังกรุงเทพมหานครโดยลำดับมารควิถี ถึงพระราชนิเวศพระนครหลวง จึ่งบอกหนังสือลงไปณะกรุงเทพมหานคร ให้กราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือกตรัสทราบเหตุดังนั้นแล้วทรงพระโสมนัศ ดำรัศแก่อัครมหาเสนาบดีให้ผูกเรือพระที่นั่งบัลลังม่านทอง แลเรืออื่น ๆ หลายลำขึ้นไปรับนางกระษัตรีย์กรุงศรีสัตนาคนหุตณะพระนครหลวง แลล่องลงมายังพระมหานครโดยทางคลองโพเรียง ๚ะ

๏ ครั้นมาถึงวัดกระโจม จะเลี้ยวขึ้นไปทางรอทำนบภอสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร มีพระบัณฑูลให้มารับพระราชบุตรีกรุงศรีสัตนาคนหุตขึ้นไว้ณะพระราชวังบวร แล้วเสดจดำเนินลงมายังพระราชวังหลวงขึ้นเฝ้าสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง กราบทูลพระกรุณาขอพระราชทานนางไว้ณะพระราชวังบวร จึ่งทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้แก่สมเดจพระเจ้าลูกเธอโดยพระราชอัทยาไสยนั้น ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๕๙ ปีฉลูนพศก ขณะนั้นสมเดจพระเจ้าลูกเธอเจ้าพระขวันพระชนม์คำรพสิบสามพรรษา จึ่งทรงพระกรุณาดำรัศเหนือเกล้าสั่งอัครมหาเสนาธิบดีให้จัดแจงการพระราชพิธีโสกรรต์ณะพระที่นั่งสรรเพชปราสาท แลให้ตั้งโรงพระกระยาสนานแลพระเบญจาณะท้องสนามชั้นใน แลให้ตั้งราชวัฏฉัตรเบญจรงคธงไชย ธงประฎากวางเปนรยะไป โดยทางอันจะแห่นั้นก็วางกระลาบาทเปนชั้น ๆ ครั้นถึงมิคสิรมาศสุกรปักข์ดิถี ณวันอันได้มหามงคลฤกษเพลาชายแล้วสามนาฬิกา จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าหลวง ก็ทรงเครื่องศิริราชอลังการสรรพาภรณ์ภูษาลายทองสนับเพลาเชิงงอน สอดทรงสนองพระองค์อย่างเทศทรงเจียรบาดรัตพัษแล้วทรงพระมหากถินน้อยทรงเหน็บพระแสงกั้นยั่น แลมหาดเล็กเชิญพระแสงดาบใจเพชร แล้วเสดจพระราชดำเนิรมาขึ้นเกยทรงพระราชยาน เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์มหาดเล็กแห่ซ้ายขวาน่าหลังเปนขบวรมาถึงพระที่นั่งสรรเพชปราสาทเสดจขึ้นประทับอยู่ณะพระที่นั่งเก้าอี้ณะชานภัก ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจพระเจ้าลูกเธอทรงเครื่องแล้วเสดจขึ้นพระยานุมาศเจ้าจอมเถ้าแก่เปนเพื่อนคนหนึ่ง แลมหาดเล็กคู่แห่นั้นนุ่งห่มสมปักท้องขาวชายกรวย ใส่เสื้อครุยแลพอกเกี้ยวพรรท์ผ้าขาวแห่หน้ายี่สิบคู่. ถัดนั้นจัดเอาบุตรขุนนางที่ไว้ศีศะจุกนั้น ให้นุ่งผ้าลายพื้นขาวใส่เสื้อครุยขาวยี่สิบคู่ แห่กระบวนหลังนั้นมีนางเชิญเครื่องหกคน นางถือภัตชะนีคนหนึ่ง ถัดนั้นจัดเอาภรรยาขุนนางเดินพนมมือตามนางเชิญเครื่องเปนสี่แถว ๆ ละยี่สิบคนเปนแปดสิบคน ล้วนนุ่งผ้าท้องขาวชายตรวย ห่มผ้าขาวคลิบทองลิ้น ครั้นแห่เสดจมาถึงที่ประทับชานภักแล้วจึ่งให้ทรงเหยียบน่าฆ้องไชย มีนางพนักงานเอาน้ำชำระพระบาทสองคนแล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับพระกรสมเดจพระเจ้าลูกเธอเสดจเข้าในพระมหาปราสาท ทรงฟังสวดพระพุทธมนตร์คำรพสามวันแล้วถึงวันเปนคำรพสี่ได้ฤกษ์เพลารุ่ง จึ่งแห่เสดจมาณโรงพระกระยาสนาน เสดจขึ้นบนพระเบญจาแล้วถวายเครื่องมูรธาภิเศก สรงน้ำพระพุทธมนตร์แลน้ำสังข์ทักษิณาวัตทวิชาจาริยถวายอาเสียรพาทประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยางคดนตรี แล้วทรงเครื่องแห่เสดจกลับเข้าพระราชวัง ๚ะ

๏ ครั้นเพลาชายแล้วสามนาฬิกา จึ่งแห่เสดจไปสมโพชเวียนเทียน เกนแห่นุ่งสมปักลายใส่เสื้อครุยแลพอกชมภู แลนางเชิญพระแซ่ นางยกเครื่อง นางตามเสดจ ทั้งปวงนั้น ล้วนนุ่งผ้าท้องเขียวชายตรวย ห่มผ้าชมภูขลิบทองลิ้นคำรพสามวัน เปนหกวันด้วยกัน ทั้งแห่ไปทรงฟังสวดสามวันนั้น ครั้นโสกรรต์แล้วเจ้าพระขวันเสดจออกหัดทรงม้าณท้องสนามหลวง หน้าพระที่นั่งจักรวรรดิทุกวัน ๆ ๚ะ

๏ ครั้นถึงเดือนสาม สมเดจพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระประชวรลงได้ประมาณ ๑๕ วัน แลพระโรคนั้นกำเริบหนักลง จะเสวยพระกระยาหารก็ไม่ได้ เกือบใกล้สวรรคตอยู่แล้ว แลพระราชวงษานุวงษ แลท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ก็เข้าไปนอนอยู่ในพระราชวังพร้อมกันสิ้น ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร ทรงพระราชดำริหแคลงเจ้าพระขวัน ด้วยเหนข้าไทยมาก คนทั้งปวงยินดีนับถือมากนานไปภายน่าเกรงจะเปนสัตรูราชสมบัติ จึ่งทรงคิดการอันเปนคุยรหัษแต่กับเจ้าฟ้าเพชรเจ้าฟ้าพรราชบุตรทั้งสองพระองค์มิให้ผู้อื่นรู้เหน ครั้นเหนจวนจะสวรรคตในวันหนึ่งสองวันเปนแท้อยู่แล้ว จึ่งเสดจพระราชดำเนินมายังพระราชวังหลวง กับพระราชบุตรทั้งสอง แลข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวงเปนอันมาก แลเสดจเข้าอยู่ณพระตำหนักหนองหวาย จึ่งอุบายให้มหาดเล็กไปเชิญเสดจเจ้าพระขวันว่า มีพระบัณฑูรให้เชิญเสดจไปเฝ้า ทรงพระกรุณาจะให้ทรงม้าเทษให้ทอดพระเนตรสักน่อยหนึ่ง แลเจ้าพระขวันเสวยผลอุลิตหวานค้างอยู่ ครั้นทราบว่ามีพระบัณฑูรให้หา ก็มิได้เสวยต่อไป แลซีกซึ่งยังมิได้เสวยนั้น เอาใส่ในเครื่องแล้วทูลลาสมเดจพระมารดา เสดจมาเฝ้ากรมพระราชวังบวร ณพระตำหนักหนองหวาย กับด้วยนักพระสัตฐาธิราชพระพี่เลี้ยงแลข้าไทยทั้งปวง ตามเสดจมาเปนอันมาก ครั้นเจ้าพระขวันมาถึงเสดจเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว มีพระบัณฑูรให้ห้ามพระพี่เลี้ยงแลข้าไทยทั้งปวง มิให้ตามเสดจเข้ามา แลให้ปิดประตูกำแพงแก้วนั้นเสีย จึ่งให้จับเจ้าพระขวันสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ในพระตำหนักหนองหวายเสรจแล้ว ก็ให้เอาพระสพใส่ถุงแล้วใส่ลงในแม่ขัน ให้ข้าหลวงเอาออกไปฝังเสียณวัดโคกพระยา แล้วเสดจกลับยังพระราชวังบวรสถานมงคล ๚ะ

๏ ฝ่ายนักพระสัตฐาธิราชพระพี่เลี้ยง แลข้าไททั้งปวงแจ้งว่า เจ้าของตัวเปนเหตุแล้ว ก็ชวนกันร้องไห้กลับมาทูลแก่เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพซึ่งเปนพระมารดา แลเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพขณะเมื่อพระราชบุตรทูลลาไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรนั้น เข้าที่พระบันทมอยู่ แต่ทว่ายังมิได้บันทมหลับสนิท ภอเคลิ้มหลับลงก็ได้ยินเสียงพระราชบุตรมาทูลว่าข้าพเจ้าขอพระราชทานผลอุลิตหวานซีกซึ่งเหลืออยู่นั้นเสวยต่อไป ก็ตกพระไทยบันทมตื่นขึ้นมาในทันใดนั้น ภอนักพระสัตฐาธิราชมาถึงร้องไห้กราบทูลโดยมูลเหตุทั้งปวง แลเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพได้ทรงฟังดังนั้น ก็ตกพระไทยค่อนพระทรวง ทรงพระกันแสงถึงพระราชบุตรเปนกำลังแล้ว เสดจขึ้นไปเฝ้าสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งทรงพระประชวรหนักอยู่นั้น แลทรงพระโสการ่ำไรกราบทูลโดยมูลคดีทั้งปวง แล้วทูลว่า ลูกข้าพระพุทธเจ้าหาความผิดมิได้ กรมพระราชวังบวรมาฆ่าลูกข้าพระพุทธเจ้าเสียโดยหาเหตุมิได้ สมเดจพระพุทธเจ้าหลวงตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ตกพระไทยอาไลยในพระราชโอรส ทรงพระโสกาอาดูรภาพเปนกำลัง แล้วทรงพระพิโรธแก่กรมพระราชวังบวรยิ่งนัก ดำรัสว่ากูไม่ให้ราชสมบัติแก่อ้ายสามคนพ่อลูกนี้แล้ว ๆ มีพระราชดำรัศให้หาเจ้าพระพิไชยสุรินทรราชนัดา ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบันยงครัตนาศน ซึ่งเสดจทรงพระประชวรอยู่นั้น แล้วทรงพระกรุณาตรัสมอบเวรราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าพระพิไชยสุรินทร แล้วสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสดจสวรรคตในเพลาราษตรีวันนั้น พระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว พระชันษาเถาะนพศก แรกเสดจขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น พระชนได้ห้าสิบหกพรรษา เสดจดำรงราชอาณาจักรอยู่ได้สิบห้าพรรษา ขณะสวรรคตณพระที่นั่งบันยงครัตนาศนมหาปราสาทในเดือนสี่ปีฉลูนพศก ลุศักราชได้ ๑๐๕๙ นั้น ศิริพระชนมได้เจ็ดสิบเอ็ดพรรษา ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินหลวงสรศักดิ์ ซึ่งเรียกพระพุทธเจ้าเสือ ๚ะ

๏ ในศักราช ๑๐๕๙ ปีฉลูนพศกนั้น ฝ่ายสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตรัสทราบเหตุว่า มีพระราชโองการโปรดมอบเวนราชสมบัติให้แก่เจ้าพระพิไชยสุรินทรราชนัดาดังนั้นแล้ว ก็มิได้เสดจพระราชดำเนินลงมายังพระราชวังหลวง ส่วนเจ้าพระพิไชยสุรินทร ก็มิอาจรับราชสมบัตินั้นได้ เกรงพระเดชานุภาพสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรอยู่ จึ่งนำเอาเครื่องเบญจราชกุกกุภัณฑทั้งห้าประการสำรับพระมหากระษัตราธิราชเจ้านั้น ขึ้นไปยังพระราชวังบวร กับด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายพร้อมกันเปนอันมาก ขึ้นเฝ้าสมเดจพระเจ้าอยู่หัวมหาอุปราช กราบบังคมทูลถวายราชสมบัติ แลเครื่องเบญจราชกุกกุภัณฑทั้งปวง สมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้รับ จึ่งมีพระราชบัณฑูรตรัสแก่เจ้าพระพิไชยสุรินทรว่า พระราชโองการโปรดมอบเวรราชสมบัติให้เปนสิทธิแก่ท่านแล้ว ท่านจงครองราชสมบัติเถิด แลซึ่งท่านจะมายกราชสมบัติให้แก่เรา แลเราจะรับราชสมบัตินั้น ก็จะเปนเลมิดพระราชโองการไป ดูมิบังควรนัก แลเจ้าพระพิไชสุรินทรได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งตกพระไทยกลัวพระเดชานุภาพยิ่งนัก จึ่งกราบทูลอ้อนวอนไปเปนหลายครั้ง สมเดจพระมหาอุปราชก็มิได้รับ เจ้าพระพิไชยสุรินทรก็ซบพระเศียรเกล้าลงกลิ้งเกลือกกับฝ่าพระบาท แล้วกราบทูลวิงวอนไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าวาศนาบารมีก็น้อย บุญน้อย กำลังน้อย ก็มิอาจสามารถจะดำรงราชสมบัติไว้ได้ ถ้าแลข้าพระพุทธเจ้าจะครอบครองแผ่นดินสืบไปบัดนี้ เหนจะมีไภยอันตรายแก่ราชสมบัติแลบ้านเมือง สมณพราหมณาจาริยอาณาประชาราษฎร จะได้ความเดือดร้อนเปนมั่นคง อันเสวตรฉัตรนี้เปนมหาศรีอันประเสริฐ ถ้าบุคคลผู้ใดมิได้มีบุญญาภิสังขารสร้างสมมาแต่ก่อน ก็หาดำรงรักษาไว้ได้ไม่ อุปมาดังมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์ มีธรรมชาติอันสุขุมละเอียดยิ่งนัก ถ้าแลจะเอาภาชนอันใด ๆ ก็ดี มารองรับไว้นั้น ก็หารองรับไว้ได้ไม่ ก็จะไหลรั่วไปเสียสิ้น แลซึ่งจะรองรับไว้ได้นั้น ก็แต่สุวรรณภาชนสิ่งเดียว แลพระองค์กอประด้วยพระราชกฤษฎาเดชาธิการพินิหารบารมีมาก สมควรจะดำรงราชอาณาจักรในแผ่นดินสยามประเทศได้ อุประไมยดังภาชนทองอันรองรับไว้ ซึ่งมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์เหมือนฉะนั้น ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดรับครอบครองราชสมบัติ โดยสุภาวสุจริตธรรมเถิด เหมือนหนึ่งพระองค์ทรงพระมหาการุญภาพแก่แผ่นดิน อย่าให้เปนจลาจลเลย สมณพราหมณาจาริยอาณาประชาราษฎร จะได้พึ่งพระบารมีร่มเย็นเปนศุขานุศุข แลซึ่งพระองค์จะมิทรงพระกรุณาโปรดรับครองราชสมบัติไซ้ ก็เหมือนไม่ทรงพระกรุณาแก่แผ่นดิน แลไพร่ฟ้าข้าขอบขันทเสมาทั้งปวงเหนว่า บ้านเมืองจะเกิดอันตราย สมณพราหมณาจารยอาณาประชาราษฎรจักได้ความเดือดร้อนเปนแท้ ข้าพระพุทธเจ้าก็จะหาที่พึ่งที่พำนักนิ์มิได้ ก็จะกราบถวายบังคมลาพระองค์ บุกป่าฝ่าดงไปซุกซ่อนนอนตายเสียตามยถากรรม์ของข้าพระพุทธเจ้า ๚ะ

๏ ขณะเมื่อเจ้าพระพิไชยสุรินทร์กราบทูลวิงวอนอยู่นั้น ภอท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลายฝ่ายพระราชวังหลวง ก็ตามขึ้นไปถึงพร้อมกัน แลเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัว แลช่วยอุดหนุ่นพิททูลอ้อนวอนขึ้น เพื่อจะให้ทรงพระกรุณาโปรดรับครองราชสมบัตินั้น จึ่งเจ้าพระพิไชยสุรินทร ก็รับพระราชโองการแต่พระบาทบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว แล้วรับพระบัณฑูรแต่สมเดจพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ แลท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ก็รับพระโองการแลพระบัณฑูรตามเจ้าพระพิไชยสุรินทรนั้น พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทอดพระเนตรเหนท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ราบคาบเปนปรกติพร้อมมูลกันอยู่สิ้น แล้วจึ่งมีพระราชโองการตรัสเหนือเกล้าโปรดให้ท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ถือน้ำพระพิพัทธสัตยาสาบาน ตามโบราณราชประเพณีเสรจสิ้นทุกประการ แลเจ้าพระพิไชยสุรินท์ แลท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุข สมณพราหมณาจาริยทั้งหลาย ก็อัญเชิญเสด็จพระราชตำเนินลงมายังพระราชวังหลวง จึ่งมีพระราชดำรัศให้เจ้าพนักงานจัดแจงการอัญเชิญพระบรมสพใส่ในพระโกฎเสรจแล้ว ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งบรรยงครัตนาศน์ที่เสดจสวรรคตนั้น แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่พระมหาราชครู พระราชครูปโรหิตาโหราจาริย์ ให้จัดแจงการพระราชพิธีราชาภิเศก เฉลิมพระราชมณเฑียร ๚ะ

๏ ครั้นถึงวันอันได้ศุภวารมหามงคลนักขัตฤกษ จึ่งท้าวพระยาเสนาบดีกระวีราช ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย ฝ่ายทหารพลเรือนแลพระสงฆราชาคณะคามวาศี อรัญวาศี ชีพ่อพราหมณาจาริย์ทั้งหลายประชุมพร้อมกันณะพระที่นั่งสรรเพชปราสาท อัญเชิญเสดจพระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจขึ้นราชาภิเศกเปนเอกอัคบรมขัติยาธิบดินทร์ปิ่นพิภพจบสกลราชสิมา เสวยมะไหยสุริยสวรรยาธิปัตถวัลย์ราชประเพณี สืบศรีสุริยสวัสดิวงษดำรงราชอาณาจักร ณะกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดี ศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหาสถาน แล้วถวายเครื่องเบญจราชกุกุกภัณฑสำหรับพระมหากระษัตราธิราชเจ้า แลการพระราชพิธีทั้งปวงนั้น พร้อมตามอย่างโบราณราชประเพณีเสรจสิ้นทุกประการ จึ่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็เสดจประเวศน์พระราชมณเฑียร แลเสด็จอยู่พระที่นั่งสุริยามรินทร์มหาปราสาท แลขณะเมื่อพระองค์เสด็จเสวยราชสมบัตินั้นพระชนม์ได้สามสิบหกพรรษา จึ่งมีพระราชโองการตรัสเหนือเกล้า โปรดให้สมเดจพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ ประดิษฐานที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แลสมเดจพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้เรียกว่าพระบัณฑูรน้อย แต่บันดาข้าหลวงเดิมที่มีบำเหน็จความชอบนั้น ก็พระราชทานยศศักดิให้ตามสมควรถานานุรูปท่วนทุกคน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงานจับการทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อเจดวาสองศอกกอประด้วยเมรุทิศเมรุแซรก แลสามซ่างพร้อม แลการพระเมรุมาศนั้นกำหนด ๑๑ เดือนจึ่งสำเหรจ ๚ะ

๏ ลุศักราชได้ ๑๐๖๐ ปีขานสำฤทธิศกเดือนสี่ ได้ศุภวารดิถีพิไชยฤกษ จึ่งให้อัญเชิญพระบรมโกฎขึ้นประดิษฐานเหนือพระมหาพิไชยราชรถแห่แหนเปนขบวนไป เข้าพระเมรุมาศตามอย่างแต่ก่อน แลให้ทิ้งทานต้นกามพฤกษ แลมีการมหรศภต่าง ๆ ทุกประการ ครั้นค่ำให้จุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ รทาใหญ่สิบหกรทา บูชาพระบรมสพ เปนมโหฬาราธิการยิ่งนัก แลทรงสดับปกรณ์พระสงฆ์ ๑๐๐๐๐ คำรบเจดวันแล้ว ถวายพระเพลิง ครั้นดับพระเพลิงแล้ว แจงพระรูปทรงสะดับปกรณพระสงฆ์อีกสี่ร้อยรูป แล้วเกบพระอัฐิใส่พระโกฎน้อย อัญเชิญขึ้นพระราชยาน แห่เปนขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึ่งให้อัญเชิญพระบรมโกฎพระอัฐิเข้าบรรจุไว้ ณะท้ายจรนำพระมหาวิหาร รัดพระศรีสรรเพชฎาราม ๚ะ

๏ ลุศักราชได้ ๑๐๖๑ ปีเถาะเอกศก สมเดจพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระราชดำริห์ถึงภูมชาติแห่งพระองค์ ซึ่งสมเดจพระพันปีหลวงตรัสบอกไว้แต่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นว่า เมื่อศักราช ๑๐๒๔ ปีขานจัตวาศก แต่ครั้งแผ่นดินสมเดจบรมบพิตรพระนารายน์เปนเจ้า เสดจพระราชตำเนิรขึ้นไปนมัศการพระพุทธปฏิมากร พระชินราช พระชินสีห์ ณะเมืองพระพิศนุโลกย ทรงพระกรุณาให้มีการมหรศภถวายพระพุทธสมโพชคำรบสามวัน ครั้งนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกฏ ภาเอาสมเดจพระพันปีหลวงทรงพระครรภ์แก่ จึ่งประสูตพระองคที่ตำบลบ้านโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร ในเดือนอ้ายปีขานจัตวาศกนั้น แล้วจึ่งเอารกที่สหชาตินั้นใส่ลงในผอบเงิน เอาไปฝังไว้ที่หว่างต้นโพธิ์ประทับช้าง แลต้นอุทุมพรต่อกันนั้น เหตุดังนั้นจึ่งให้พระนามกรชื่อมะเดื่อ แลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์รฦกถึงที่ภูมชาติอันพระองคประสูตร ณะแขวงหัวเมืองฝ่ายเหนือ เปนมหามงคลสฐานอันประเสริฐ สมควรจะสร้างขึ้นเปนพระอาราม จึ่งมีพระราชตำรัศกับสมุหนายกให้กะเกนกันขึ้นไปสร้างพระอาราม ณะตำบลบ้านโพธิ์ประทับช้าง มีพระอุโบสถ วิหาร มหาธาตุ เจดีย์ สาลาการบเรียญดิ์ แลกุฏิสงฆพร้อมเสร็จ แลการสร้างพระอารามนั้นสองปีเสศจึ่งสำเหร็จ ๚ะ

๏ ในปีมะเสงตรีศก จึ่งสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จด้วยพระชลวิมาลโดยขบวนนาวาพยุห ขึ้นไปณะพระอารามตำบลบ้านโพธิ์ประทับช้างนั้น แลท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาท ซึ่งขึ้นไปคอยรับเสด็จโดยสถลมารคนั้นก็เปนอันมาก แล้วทรงพระกรุณาให้มีการฉลอง แลมีการมหรสพคำรพสามวัน ทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆเปนอันมาก แลทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระ ไว้สำหรับอุปรถากพระอารามตามธรรมเนียม แล้วทรงพระกรุณาตั้งเจ้าอธิการ ชื่อพระครูธรรมรูจีราชมุนี อยู่ครองพระอาราม ถวายเครื่องสมณบริขารตามศักดิพระราชาคณะ แล้วเสรจก็เสดจกลับยังกรุงเทพมหานคร จำเดิมแต่นั้นมาพระอารามนั้น ก็เรียกว่า วัดโพธิ์ประทับช้างมาตราบเท่าทุกวันนี้ ๚ะ

๏ เมื่อลุศักราช ๑๐๖๒ ปีมโรงโทศกนั้น อสนิบาตตกลงต้องยอดพระมณฑป ณะพระอารามวัดสุมงคลบพิตรติดเปนเพลิงโพลงขึ้นไหม้เครื่องบลโทรมลงมาต้องพระเศียรพระพุทธรูป หักสบั่นลงมาจนพระสอ แลพระเสียรนั้น ตกลงอยู่ณะพื้นพระมณฑป จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ช่างพนักงาน จัดการรื้อพระมณฑป ก่อสร้างขึ้นใหม่ แปลงเปนพระมหาวิหารสูงใหญ่โดยยาวเส้นเสศสำเหร็จในปีมเมียจัตวาศก แลทรงพระกรุณาให้มีการฉลอง แลมีการมหรสพสามวัน แลทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆเปนอันมาก เหมือนอย่างทุกครั้ง ๚ะ

๏ ในขณะนั้นสมเด็จพระอัคมเหษีเดิมแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกฏ ซึ่งเปนพระราชมารดาเลี้ยงของสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน ได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์นั้น ครั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว จึ่งทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต แลที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้ เปนที่พระตำหนักมาแต่ก่อน ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์เปนเจ้า แลเจ้าแม่ผู้เถ้าซึ่งเปนพระนมเอกของสมเด็จพระนารายน์เปนเจ้า แลเปนมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก โกษาปาน ซึ่งได้ขึ้นไปช่วยกราบทูลขอพระราชทานโทษ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ขณะเปนที่หลวงสรศักดิแลชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ครั้งนั้น แลเจ้าแม่ผู้เถ้านั้นก็ได้ตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้น ครั้นแผ่นดินสมเดจพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ แลสมเดจพระราชมารดาเลี้ยง ก็เสดจไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้นสืบต่อกันมา แล้วจึ่งทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เปนกรมพระเทพามาศ ส่วนสมเด็จพระอัคมเหษีฝ่ายช้ายฝ่ายขวา แห่งสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกฎ ซึ่งทรงพระนามกรกรมหลวงโยธาทิพ กรมหลวงโยธาเทพนั้น ก็ทูลลาสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน แล้วภาเอาพระราชบุตร ซึ่งทรงพระนามตรัสน้อยนั้น ออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ที่ใกล้พระอารามวัดพุทธไธสวรรย์ ๚ะ

๏ ครั้นเมื่อปีมโรงโทศกนั้น ตรัสน้อยราชบุตร พระชนม์ได้คำรบสิบสามพรรษา จึ่งเจ้ากรมหลวงโยธาเทพพระราชมารดานั้น ก็ให้กระทำมหามงคลพิธีโสกรรต์พระราชบุตร ครั้นโสกรรต์แล้วให้ไปทรงผนวดเปนสามเณร อยู่ในสำนักพระพุทธโฆษาจาริย์ราชาคณะ แลตรัสน้อยนั้นทรงพระสติปัญญาเปนอันมาก ประพฤติพรหมจรรย์เปนอันดี แลทรงเรียนพระปริญรรติไตรปิฎกธรรม แลคำภีร์เลขยันต์มนต์คาถาสรรพวิทยาคุณต่าง ๆ ในสำนักนิ์พระพุทธโฆษาจาริยนั้นได้เปนอันมาก แลทรงผนวดอยู่ได้ห้าพรรษา พระชนม์ได้สิบแปดพรรษา จึ่งลาผนวชออกเที่ยวทรงเรียนสิลปสาตรช้างม้า สรรพยุทธชิงไชยทั้งปวงได้เปนอันมาก แล้วทรงเรียนซึ่งอักษรแขกฝรั่ง แลอักษรเขมร ลาว ญวน พม่ารามัญ แลจีนทุกภาษาต่าง ๆ แล้วทรงเรียนซึ่งคัมภีร์ราชสารทโหราสารท แลคำภีร์แพทย์กอปรด้วยอาจาริย์เปนอันมาก สรรพทรงชำนิชำนาญในสรรพคุณทั้งปวงต่าง ๆ ดุจหนึ่งจะทรงทราบในคำภีร์ไตรเพทางคสาตร ครั้นพระชนม์คำรบได้อุปสมบทแล้ว ก็ทรงผนวดเปนภิกษุภาวะจำเริญสมณธรรมอยู่เปนอันดี ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชบุตรีเกิดด้วยพระสนมอีกสองพระองค์ ทรงพระนามพระองค์เจ้าแก้วองค์หนึ่ง พระองค์เจ้าทับทิมองค์หนึ่ง เปนห้าพระองค์ด้วยกัน ทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวร แลพระบัณฑูรน้อย แลเจ้าฟ้าหญิง แต่เจ้าฟ้าหญิง กับสมเดจพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์นี้ ร่วมพระราชมารดาเดียวกัน ๚ะ

๏ อนึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกฎ มีพระราชบุตรเกิดด้วยพระสนมสี่พระองค์ คือพระองค์เจ้าจินองค์หนึ่ง พระองค์เจ้าดำองค์หนึ่ง พระองค์เจ้าแก้วองคหนึ่ง พระองค์เจ้าบุญนาคองคหนึ่ง แลพระองค์เจ้าบุญนาคองค์นี้ ที่เรียกว่าเจ้าพระเถรนั้น แลพระองค์ดำนั้น ได้พระองค์เจ้าแก้วพระราชบุตรีสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เปนบาทบริจาริก แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรนั้น ได้พระองค์เจ้าทับทิมลูกพระสนม ซึ่งเปนพระราชภัคินีต่างพระมารดากันนั้น เปนพระอัคมเหษี ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๐๖๔ ปีมเมียจัตวาศก ขณะนั้นนายโขลงช้างชาวบ้านแก่ง นำโขลงเข้ามาแต่ท้องป่าต้น แลกันเอาช้างพลายงาสั้นติดโขลงเข้ามาได้ตัวหนึ่ง สูงประมาณหกศอกห้านิ้ว สรรพด้วยคชลักษณ์งามบริบูรณ แลชักโขลงนั้นเข้ามาณพเนียด จึ่งพระราชวังเมืองนำเอาข่าวช้างสำคัญนั้น ขึ้นกราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสดจพระราชดำเนินไปณพเนียด ทอดพระเนตรให้ชักช้างโขลงเข้าพเนียด แล้วทรงพระกรุณาให้กันช้างสำคัญนั้น เข้าไว้ในวงภาษ ให้ปรนปรือฝึกสอนให้ค่อยชำนิขำนาญ แล้วจึ่งนำเข้าไว้ณโรงที่พเนียด ทรงพระกรุณาให้มีการมหรสพโพชสามวัน แล้วให้นำลงสู่เรือขนาน มีเรือคู่ชักแห่เปนขบวนเข้ามายังพระนคร จึ่งให้นำขึ้นไว้ณโรงยอดในพระราชวัง ทรงพระกรุณาพระราชทานนามบัญญัติชื่อ พระบรมไตรจักร แล้วพระราชทานรางวัลแก่นายโขลงนั้นโดยสมควร ๚ะ

๏ ในปีมเมียจัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาดำรัศให้ช่างต่ออย่างพระมณฑปพระพุทธบาท ให้มียอดห้ายอด ให้ย่อเกลดมีบันแถลง แลยอดแซรกด้วย นายช่างต่ออย่างแล้วเอาเข้าทูลถวาย จึ่งมีพระราชดำรัศสั่งให้ปรุงเครื่องบนพระมณฑปตามอย่างนั้นเสรจ จึ่งเสดจพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหบาตรา ชลมารค สถลมารค ขึ้นไปนมัศการพระพุทธบาท ตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงาน จัดการยกเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาท ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจพระสังฆราช ตามเสดจขึ้นไปช่วยเปนแม่การด้วย สมเดจพระเจ้าอยู่หัวมีพระไทยปราโมชยิ่งนัก จึ่งทรงพระกรุณามอบการทั้งปวง ถวายให้สมเด็จพระสังฆราชเปนแม่การแล้ว ก็เสดจยังกรุงเทพมหานคร ๚ะ

๏ ครั้งนั้นสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน มิได้เสดจอยู่ในพระนครนาน เสดจอยู่แต่เดือนหนึ่งบ้าง สิบห้าวันบ้าง แล้วเสดจด้วยเรือพระที่นั่ง แวดล้อมไปด้วยข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวง เที่ยวประภาศไปในท้องแถวนที ตราบเท่าถึงเมืองสมุทรปราการ แลทรงเปิดตกนานามัจฉาชาติทั้งปวงต่าง ๆ ทรงสร้างแต่อกุศลทุจริต ผิดพระราชประเพณีมาอย่างแต่ก่อน แลพระองค์ฆ่าเสียซึ่งหมู่มัจฉาชาติทั้งหลาย ด้วยเบ็ดแลข่ายล้มตายเปนอันมาก บางทีเสดจด้วยช้างพระที่นั่ง แลล้อมไปด้วยช้างท้าวพระยาข้าราชการเปนอันมาก เที่ยวประภาศไปในอรัญประเทศ แลให้ช้างดั้งข้างกัน แลช้างเชือกบาศไล่ล้อมหมู่ช้างเถื่อนในป่า แลซัดเชือกบาศคล้องช้างเถื่อนได้เปนอันมาก แลเสดจไปตั้งล้อมช้างเถื่อนในป่าแขวงเมืองท่าโรงครั้งหนึ่ง ณป่าเพชรบูรีครั้งหนึ่ง บางทีเสดจเที่ยวไปในท้องทุ่ง ทรงพระแสงปืนนกสับยิงต้องนาๆ สัตว มฤคคะณาทวิชาชาติทั้งหลายล้มตายเปนอันมาก บางทีเสดจยกพยุหบาตรา ขึ้นไปนมัศการพระพุทธบาทบำเพ็ญพระราชกุศล ตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วเสดจกลับยังพระนคร ๚ะ

๏ ฝ่ายนายช่างกระทำการมณฑปพระพุทธบาทยกเครื่องบนแล้ว จึ่งจับการแลการรักต่อไป แลการทอง แลการกระจกนั้น ยังมิได้สำเหร็จ ๚ะ

๏ อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออก ณท้องพระโรง จึ่งมีพระราชโองการตรัสถามข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวงว่า ข้างประจันตชนบทประเทศบ้านนอก เขามีการมหรสพงานใหญ่ที่ไหนบ้าง ขณะนั้นข้าราชการผู้มีชื่อคนหนึ่ง กราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเกล้าว่า ณบ้านปัจจันตชนบทแขวงเมืองวิเสศไชยชาญ เพลาพรุ่งนี้ชาวบ้านนั้นจะทำการฉลองพระอาราม มีการมหรสพงานใหญ่ จึ่งมีพระราชดำรัศว่า แต่เราเปนเจ้ามาช้านาน มิได้เล่นมวยปล้ำบ้างเลย แลมือก็หนักเนือยเลื่อยล้าช้าอ่อนไป เพลาพรุ่งนี้เราจะไปเล่นสนุกชกมวยลองฝีมือให้สบายใจสักหน่อยหนึ่งเถิด ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งขึ้นจึ่งเสดจด้วยพระชลพาหนะ แวดล้อมไปด้วยเรือข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวง ไปโดยลำดับชลมารคถึงตำบลบ้านตลาดกรวด จึ่งให้อยุดประทับเรือพระที่นั่งเสด็จขึ้นบกในที่นั่น แลดำรัศห้ามมิให้ข้าราชการทั้งปวงไปโดยเสดจพระราชดำเนิร แลพระองค์ผลัดพระภูษาแปลงเพศเปนคนยาก เสดจปลอมไปแต่กับตำหรวจ มหาดเลก ข้าหลวงเดิมสี่ห้าคน ซึ่งเปนคนสนิทไว้พระไทยมิให้ผู้ใดสงไสย ครั้นไปถึงตำบลบ้านซึ่งมีงานใหญ่อลองพระอารามนั้น จึ่งเสดจพระราชดำเนินด้วยข้าหลวงปลอมไปกับคนชาวบ้านทั้งปวง ซึ่งเที่ยวดูงานนั้น ขณะนั้นภอเจ้างานให้เปรียบมวย จึ่งมีพระราชดำรัศใช้ข้าหลวงไปว่าแก่ผู้เปนนายสนามว่า บัดนี้มวยในกรุงออกมาคนหนึ่ง จะเข้ามาเปรียบคู่ชกมวยในสนามท่าน แลนายสนามได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ จึ่งว่าให้เข้ามาเปรียบคู่เถิด จึ่งเข้าไปในสนาม แลนายสนามก็จัดหาคนมวยมีฝีมือจะมาให้เปรียบคู่ เหล่าข้าหลวงจึ่งห้ามว่า อย่าเอาเข้ามาเปรียบเลย เราเหนตัวแล้ว จะเอาแล้ว จงให้แต่งตัวเถิด นายสนามจึ่งให้แต่งตัวเข้าทั้งสองฝ่าย แล้วให้ชกกันในกลางสนาม จึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แลคนมวยผู้นั้นก็เข้าชกซึ่งกันแลกัน แลฝีมือทั้งสองฝ่ายนั้นดีทัดกันภอแลกลำกันได้ มิได้เพลี่ยงพล้ำกัน แลกำลังนั้นก็ภอก้ำกึ่งกันอยู่ แลคนทั้งหลายซึ่งดูนั้นก็สรรเสิรญฝีมือทั้งสองฝ่าย แลให้เสียงฮาลั่นติด ๆกันไปทุกนัด แลคนมวยผู้นั้น บุญน้อยวาสนาก็น้อย แลเข้าต่อสู้ด้วยสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า อันกอประด้วยบุญญาภิสังขารบารมีมาก แลกำลังบุญวาสนานั้นข่มขี่กันอยู่ ครั้นสู้กันไปได้ประมาณกึ่งยก ก็หย่อนกำลังลง แลเสียทีเพลี่ยงพล้ำถูกที่สำคัญถนัด เจ็บป่วยถึงสาหัสเปนหลายนัด ก็แพ้ด้วยบุญญานุภาพในยกนั้น จึ่งนายสนามก็ตกรางวัลให้แก่ผู้ชะนะนั้นบาทหนึ่ง ให้แก่ผู้แพ้สองสลึงตามวิไสยบ้านนอก แลเหล่าข้าหลวงนั้นรับเอาเงินรางวัล จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงว่าแก่นายสนาม ให้จัดหาคู่มาเปรียบอิก แลนายสนามก็จัดหาคู่มาได้อิก แล้วก็ชกกัน แลคนมวยผู้นั้น ทานบุญมิได้ก็แพ้ในกึ่งยก คนทั้งหลายสรรเสริญฝีพระหัถมี่ไป แล้วว่ามวยกรุงคนนี้ฝีมือดียิ่งนัก แลนายสนามก็ตกรางวัลให้เหมือนหนหลังนั้น แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ภาข้าหลวงคืนมาสู่เรือพระที่นั่ง ค่อยสำราญพระราชหฤไทย แล้วเสดจกลับยังกรุงเทพมหานคร ๚ะ

๏ จบเล่ม ๒๒ สมุดไทย ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ