๓๒

๏ ครั้นณวันเสาร์เดือนสี่แรมเก้าค่ำ, จึ่งโปรดให้พระยานครราชสีมา ยกทับไปตั้งค่ายประชิล้อมค่ายพม่าณเขาชงุ้ม,ให้ปลูกร้านเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายพม่า, ในวันนั้นดำรัศให้มหาดเลกไปถอดอุตมสิงหจอจัว, แลพม่าสิบสามคน, คุมเอาตัวไปเรียกงุยอคุงหวุ่นณค่ายล้อมว่า, ให้ออกมาเถิดพระเจ้าทรงธรรมไม่ฆ่าเสีย, พระราชทานเสื้อผ้าแลเครื่องอุปโภคแก่เราเปนอันมาก อย่าสงไสยเลย. งุยอคุงหวุ่นจึ่งร้องตอบออกมาว่า, เราให้ไปเปนหลายคน, ผู้ใดจะได้กลับมาบอกว่า,ดีร้ายเปนตายประการใดหามิได้. แต่ตัวมายืนร้องเรียกอยู่ฉนี้, จะเชื่อฟังยังมิได้. อุตมสิงหจอจัวจึ่งร้องตอบเข้าไปว่า, พวกเราซึ่งออกมานั้น, พระเจ้าทรงธรรมเอาตัวไว้. ถ้าหนีหายไปแต่คนหนึ่งจะให้ใช้ถึงสิบคน. แม้นเราจะให้กลับเข้าไปหาท่าน, ๆ มิได้กลับออกมาก็ดี, ฆ่าเสียก็ดี, เราจะได้พม่าที่ไหนให้พระเจ้าทรงธรรมเล่า. ก็จะทรงพระพิโรธฆ่าเราเสีย, เพราะเหตุฉนี้เราจึ่งมิได้เข้าไปแจ้งความแก่ท่าน. งุยอคุงหวุ่นจึ่งร้องตอบออกมาวา, จงปล่อยเข้ามาเถิด. ถ้าเราฆ่าเสียก็ดี, มิให้กลับออกไปก็ดี, จงให้อาวุธซึ่งล้อมอยู่นี้สังหารชีวิตรเราเถิด. อุตมสิงหจอจัวจึ่งให้แยละหนึ่ง, แยข่องจอหนึ่ง, สองคนเข้าไปในค่ายบอกว่า, พระเจ้าทรงธรรมทรงพระเมตตาหาฆ่าเสียไม่. งุยอคุงหวุ่นจึ่งว่าผู้น้อยแลไพร่ไม่ตาย, อันตัวเราเปนผู้ใหญ่เหนจะตายเปนมั่นคง. แล้วให้แยละ,แยข่องจอ, กลับออกมาจากค่าย, แล้วภากันกลับมากราบทูล. จึ่งดำรัศว่าจะคิดอ่านให้งุยอคุงหวุ่นออกมาไม่ได้แล้วฤๅ. พวกข้าหลวงกราบทูลว่า, เหนขัดสนอยู่แล้ว. ถ้าเอาปืนลูกไม้ยิงซ้ำเข้าไปอีก, พม่ากลัวนักเหนจะออกมาสิ้น. จึ่งดำรัศว่าอันจะฆ่าให้ตายนั้นง่าย, แต่จะเปนบาปกรรมหาประโยชน์สิ่งใดไม่, แล้วให้คุมเอาตัวพม่าไปไว้ณตรางตามเดิม. ๚ะ

๏ ครั้นเพลาทุ่มเสศดำรัศให้ไปเอาตัวอุตมสิงหจอจัวมาเฝ้า, ดำรัศถามว่า. กองทับพม่าซึ่งมารบอยู่แต่เท่านี้ฤๅ, ฤๅจะยกหนุนลงมาอีก. อุตมสิงหจอจัวกราบทูลว่า, ทับอแซหวุ่นกี้เปนเชื้อพระวงษพระเจ้าอังวะ, ๆ ตั้งให้เปนแม่ทับใหญ่, ยังตั้งอยู่ณเมืองเมาะตมะรี้พลเปนอันมาก, รอคอยฟังข่าวตแคงมรหน่อง, แลหม่องจ่ายิดนายทับปากแพรก,จะบอกขึ้นไปประการใด, เหนว่าอแซหวุ่นกี้แม่ทับใหญ่จะยกหนุนลงมาอีก. ๚ะ

๏ ครั้นได้ทรงฟังจึ่งทรงร่างท้องตรา, ให้ไปหานายทับผู้ใหญ่มาปฤกษาราชการ. เจ้าพระยาจักรี, แลท้าวพระยามุขมนตรีผู้ใหญ่ก็มาเฝ้าพร้อมกัน. จึ่งตรัสปฤกษาว่า, เราจะให้หาทับหัวเมืองปักษ์ใต้สี่เมือง, คือเมืองจันทบุรีหนึ่ง, เมืองไชยาหนึ่ง, เมืองนครศรีธรรมราชหนึ่ง, เมืองพัทลุงหนึ่ง, ให้ยกเข้ามาอีก, แม้นทับใหญ่อแซหวุ่นกี้ยกหนุนเพิ่มเติมมามาก, จะได้สู้รบมีกำลังมากขึ้น. เจ้าพระยาจักรีกราบทูลว่า, อันทับเมืองฝ่ายใต้ทั้งสี่เมืองนั้น, ระยะทางไกลนักเหนจะยกมาถึงมิทัน. ถึงมาทว่าอแซหวุ่นกี้จะยกทับใหญ่หนุนมา, แต่ทับในกรุง, ทับเมืองเหนือสู้รบอยู่บัดนี้, ก็เหนภอจะต้านทานทับอแซหวุ่นกี้ไว้ได้. ๚ะ

๏ สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงเหนชอบด้วย, จึ่งดำรัศว่าอันเมืองฝ่ายใต้นั้น, ยังมิได้กระทำสงครามกับพม่า, บัดนี้เข้าในฉางหลวงซึ่งจะจ่ายกองทับก็น้อยลง. จึ่งให้มีตราออกไปเกนเอาเข้าสารเมืองนครศรีธรรมราชหกร้อยเกวียน, เมืองพัทลุง, เมืองไชยา, เมืองจันทบุรี, สามเมืองให้เกนเอาเมืองละสี่ร้อยเกวียน. ถ้าเข้าขัดสนให้ส่งเงินคิดเปนราคาเข้าเปลือกเกวียนละห้าตำลึง, เข้าสารเกวียนละสิบตำลึง, เข้ามาตามรับสั่ง แล้วให้หมายบอกนายทับนายกองทั้งปวงว่า, ถ้าพม่ายกเลิกหนีไปก็อย่าให้ยกติดตาม. เกรงเกลือกพม่าจะซุ่มซ่อนพลไว้โจมตีตามรยะทาง, ด้วยฆ่าศึกมิได้แตก, เลิกถอยไปเอง. แม้นจะยกทับตาม, ก็ให้เก้าสกัดไปเอาปากแพรกทีเดียว. ๚ะ

๏ ครั้นณวันพฤหัศบดีเดือนสี่แรมสิบสี่ค่ำตรุศวันต้น, จึ่งดำรัศให้ข้าทูลลอองฯ คุมเอาตัวอุตมสิงหจอจัวไปณค่ายล้อมอีก, ให้ร้องเรียกงุยอคุงหวุ่นให้ออกมาจากค่าย. แลงุยอคุงหวุ่นจึ่งร้องตอบออกมาว่า, ท่านจะเข้ามามัดก็มัดเอาเถิด, ฤๅจะเข้ามาฆ่าก็ฆ่าเสียเถิด, จะนิ่งตายอยู่ในค่ายไม่ออกไปแล้ว. แล้วภากันกลับมากราบทูล. สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึ่งทรงแต่งเปนหนังสืออุตมสิงหจอจัว, ให้เขียนเปนอักษรภูกามใจความว่า, ถ้างุยอคุงหวุ่นจะออกมาถวายบังคมก็ให้เร่งออกมา. แม้นมิออกมาพระเจ้าทรงธรรมจะให้พลทหารเข้าไปฟันเสียให้สิ้นทั้งสามค่าย. แล้วเสดจไปยั้งอยู่หลังค่ายหลวงมหาเทพ, ให้พม่าถือเข้าไปถึงงุยอคุงหวุ่นในค่าย ๚ะ

๏ ครั้นเพลาเย็น งุยอคุงหวุ่นจึ่งให้มัดเอาอาวุธที่มีอยู่ในค่ายทั้งสิ้น, ให้ไพร่พลขนออกมาถวาย. แล้วสั่งพม่าซึ่งถือหนังสือออกไปนั้นว่า, ขอผัดอีกวันหนึ่งเพลารุ่งพรุ่งนี้เราจึ่งจะออกไปเฝ้า, ให้อุตมสิงหจอจัวมารับเราด้วย. พม่าผู้ถือหนังสือก็นำเอาไพร่พม่าขนอาวุธออกมาถวาย, แล้วกราบทูลตามคำงุยอคุงหวุ่นสั่งมานั้น. จึ่งดำรัศให้พวกข้าหลวงคุมเอาตัวพม่าทั้งปวง,กับทั้งอาวุธซึ่งขนออกมานั้น,ส่งมายังค่ายหลวงแล้วเสดจกลับ ๚ะ

๏ รุ่งขึ้นณวันศุกรเดือนสี่แรมสิบห้าค่ำ, จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงคุมเอาตัวอุตมสิงหจอจัวไปรับงุยอคุงหวุ่นณค่าย. งุยอคุงหวุ่นจึ่งให้เมี้ยนหวุ่นกับปคันเลชูสองนาย, กับพม่ามีชื่อตัวนายอีกสิบสองคนออกมาก่อน. อุตมสิงหจอจัวกับข้าหลวงก็นำพม่าสิบสี่คนนั้น, มาเฝ้ากราบถวายบังคมณค่ายหลวง. จึ่งพระราชทานอาหารเลี้ยงน่าที่นั่งอิ่มหนำทุกคนแล้ว เมี้ยนหวุ่นกับปคันเลชูจึ่งให้กราบทูลว่า, ข้าพระพุทธเจ้ามาทำาการสงครามเสียท่วงที, ล้อมขังไว้ได้ถึงที่ตายทั้งสิ้น, ขาดจากเปนข้าพระเจ้าอังวะแล้ว. บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตรไว้, จะขออาษาทำราชการกว่าจะสิ้นชีวิตร, จะขอพระราชทานไพร่พม่าสองคน, กับตัวข้าพระพุทธเจ้าสองคนนี้, จะเข้าไปว่ากล่าวเอาตัวงุยอคุงหวุ่นนายทับออกมาให้ได้. สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้ตามคำกราบทูลนั้น. แลขุนนางพม่าทั้งสองนายก็กลับเข้าไปเจรจากับงุยอคุงหวุ่น. ๆ กับเนมโยแมงละนรทา, ยุยยองโบ่, อคุงหวุ่นมุงโยะ, แลพม่ามีชื่อตัวนายทั้งสิ้น, กับหญิงสองคนทั้งไพร่พลพันสามร้อยยี่สิบแปดคน, กับม้าแดงสองม้า, ๆ ดำม้าหนึ่ง, ซึ่งเหลือตายอยู่นั้นออกมาสิ้นทั้งสามค่ายในเพลาบ่ายวันนั้น, พวกข้าหลวงก็นำมาเฝ้ากราบถวายบังคม. จึ่งทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโภชนาหารให้เลี้ยงสำเร็จแล้ว. งุยอคุงหวุ่นจึ่งถวายทรัพย์สิ่งของเครื่องอุปโภคทั้งปวงซึ่งมีมานั้น. จึ่งดำรัศว่าเราทำสงครามใช่จะปราถนาเอาทรัพย์สิ่งสินหามิได้, ตั้งใจจะทำนุกบำรุงพระพุทธสาสนา, แลประชาราษฎรทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในสัจธรรม. แล้วให้พวกข้าหลวงคุมเอาตัวพม่าทั้งปวงไปจำไว้ณตรางด้วยกันสิ้น. แต่ล้อมพม่าค่ายบ้านนางแก้วไว้ครั้งนั้น,ตั้งแต่วันเดือนสามขึ้นสิบสามค่ำ, มาจนถึงณวันเดือนสี่แรมสิบห้าค่ำ, พม่าจึ่งออกมาสิ้นทั้งสามค่าย. จึ่งเสดจเข้าไปทอดพระเนตรในค่ายพม่า, ดำรัศให้พระยารามัญวงษคุมกองรามัญพันหนึ่ง, ให้เข้าอยู่แทนพม่าในค่าย, ให้ร้องเห่แลพูดจากันเปนภาษาพม่า, ให้พม่าในค่ายเขาชงุ้มได้ยิน, จะได้สำคัญว่าพวกกันยังอยู่ในค่ายบ้านนางแก้วยังไม่เสียค่าย, แล้วจะตีค่ายพม่าณเขาชงุ้มให้แตกจงได้. อนึ่งบ่อน้ำในค่ายซึ่งพม่าขุดไว้หาน้ำมิได้, ก็บันดาลมีน้ำขึ้นเปนอัษจรรย. ๚ะ

๏ ครั้นณวันเสาร์เดือนห้าขึ้นค่ำหนึ่ง, ลุศักราช ๑๑๓๗ ปีมแมสัปตศก. จึ่งดำรัศให้พระอนุชิตราชา, เปนนายทับถือพลหนึ่งพัน, ยกขึ้นไปทางริมน้ำฟากตวันตก. ให้หลวงมหาเทพเปนนายทับถือพลพันหนึ่ง, ยกขึ้นไปทางริมน้ำฟากตวันออก, ไปตีค่ายพม่าณปากแพรกทั้งสองทับ. แล้วให้เจ้าพระยาจักรี, ยกขึ้นไปตั้งค่ายตีพม่าณค่ายเขาชงุ้มให้แตกจงได้. ๚ะ

๏ ครั้นค่ำลงประมาณสองยามเสศ, พม่าค่ายเขาชงุ้มยกค่ายวิหลั่นออกมา, เข้าปล่นค่ายพระมหาสงครามได้รบกันเปนสามารถ, เจ้าพระยาจักรียกไปช่วย, พม่าเอาคบเผาค่ายพระมหาสงครามขึ้น, คนในค่ายถอยย่นออกจากค่าย. เจ้าพระยาจักรีฟันเสียสองคน, แล้วขับพลทหารเข้ารบพม่า, ๆ แตกถอยออกไปชิงเอาคืนได้. แล้วพม่าเอาค่ายวิหลั่น, แลแตะทับขวากกรูกันเข้าแหกค่ายพระยาวิจิตร,จหมื่นศรีสรรักษ, พลทหารในค่ายยิงปืนใหญ่น้อยออกไปต้องพลพม่าเจ็บลำบากล้มตายลงมาก, ก็ถอยกลับเข้าค่าย. อยู่สองสามวันทับพม่าก็แตกพ่ายหนีไปจากค่ายในกลางคืน. กองทับไทยไล่ติดตามฆ่าฟันไปตามทางล้มตาย, แลจับเปนไปได้ก็มาก. พม่าแตกกระจัดพรัดพรายจะคุมกันเข้ามิได้, หนีเรี่ยรายไปจนถึงค่ายปากแพรก. ภบกองทับพระอนุชิตราชา, แลหลวงมหาเทพ, หลวงภักดีสงคราม. กองทับทั้งสามทับก็ออกก้าวสกัดโจมตีแทงฟันพม่าตายเปนอันมาก, แลนายทับนายกองพม่าหนีไปถึงค่ายปากแพรก, ตแคงมรหน่องก็จับเอาตัวลงโทษว่าแตกทับมา, ฆ่าเสียเปนหลายนาย, ตัดศีศะเสียบไว้น่าค่าย. แล้วก็เลิกทับกลับไปยังเมืองเมาะตมะ, แล้วแจ้งข้อราชการแก่อแซหวุ่นกี้แม่ทับใหญ่. ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับไทยได้ไชยชำนะแก่พม่าฆ่าศึกแล้ว, แลนายทับนายกองทั้งปวงก็ยกทับกลับมาเฝ้าณค่ายโคกกระต่ายพร้อมกัน. สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ดำรัศให้กองพระยายมราช, คุมพม่าเชลยนายไพร่ทั้งปวงล่วงเข้ามาก่อน, ให้จำใส่คุกไว้ทั้งสิ้น, แล้วก็เสดจเลิกทับหลวงมาโดยทางชลมารคกลับคืนยังกรุงธนบุรี. กองทับข้าราชการในกรุง,แลทับหัวเมืองก็เลิกตามเสดจเข้ามาถึงพระนครพร้อมกันสิ้น. จึ่งทรงพระกรุณาโปรดตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองคเจ้าจุ้ย, เปนกรมขุนอินทรพิทักษ ตั้งพระเจ้าหลานเธอรามลักษณ, เปนกรมขุนอนุรักษสงคราม. ตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้าบุญจัน, เปนกรมขุนรามภูเบศร. แล้วพระราชทานรางวัล,แก่ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย, โดยสมควรแก่ความชอบในสงคราม. แลม้าแดงสองม้า, ซึ่งได้มาแต่ค่ายพม่านั้น, ฝีท้าวเร็วควรจะเปนราชพาหนะพระที่นั่งได้. จึ่งโปรดให้มีชื่อขึ้นรวาง, เปนเจ้าพระยาอาชาชาติม้าหนึ่ง. เปนเจ้าพระยาราชพาหนะม้าหนึ่ง. แต่ม้าดำนั้นล้มเสีย. ๚ะ

๏ แล้วให้ปลูกพระเมรุณวัดบางยี่เรือใต้เสรจแล้ว, จึ่งให้เชิญพระโกษฐพระบรมสพสมเดจพระพันปีหลวง, กรมพระเทพามาตย, ใส่เรือพระที่นั่งกิ่ง,แห่โดยขบวนนาวาพยุหไปโดยทางชลมารค, เชิญขึ้นสู่พระเมรแล้ว.ให้นิมนต์พระสงฆสดัปกรณ์พันรูป, ถวายไตรบริขารไทยธรรมต่างๆ. แลมีงานมหรรสพสามวัน,แล้วถวายพระเพลิง. ๚ะ

๏ ครั้นถึงณเดือนสิบในปีมแมสัปตศก, มีหนังสือบอกเมืองเชียงใหม่ลงมาว่า, โปสุพลา, โปมยุง่วนไปอยู่ณเมืองเชียงแสน, บัดนี้ได้ข่าวว่า,จะยกกองทับกลับมาตีเมืองเชียงใหม่อีก. จึ่งดำรัศให้เจ้าพระยาสุรสีหเปนแม่ทับ, คุมทับหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง, ยกขึ้นไปช่วยราชการเมืองเชียงใหม่. โปรดให้เจ้าพระยาจักรียกกองทับขึ้นไปช่วยด้วย ถ้าตีทับพม่าแตกไปแล้ว,ให้ยกตามไปตีเมืองเชียงแสนทีเดียว. เจ้าพระยาจักรี,เจ้าพระยาสุรสีห,แลท้าวพระยาพระหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง, ก็กราบถวายบังคมลารีบยกกองทับขึ้นไปตามพระราชกำหนด. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าอังวะยังอยู่ณเมืองย่างกุ้ง, ทำการยกฉัตรยอดพระมหาเจดียเกษธาตุสำเร็จแล้วให้มีการฉลอง. จึ่งขุนนางพม่ากราบทูลว่า, คนมวยเมืองไทยมีฝีมือดียิ่งนัก. จึ่งตรัสสั่งให้จัดหามา, ได้นายขนมต้มคนหนึ่ง, เปนมวยดีมีฝีมือแต่ครั้งกรุงเก่า, เอาตัวมาถวายพระเจ้าอังวะ ๆ จึ่งให้จัดพม่าคนมวยเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้มได้กันแล้ว, ก็ให้ชกกันน่าพระที่นั่ง. แลนายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้, แล้วจัดคนอื่นเข้ามาเปรียบชกอีก. นายขนมต้มชกพม่า,ชกมอญแพ้ถึงเก้าคนสิบคนสู้ไม่ได้. พระเจ้าอังวะทอดพระเนตรยกพระหัถตบพระอุระ, ตรัสสรรเสริญฝีมือนายขนมต้มว่า, ไทยมีพิศม์อยู่ทั่วตัว, แต่มือเปล่าไม่มีอาวุธเลย, ยังสู้ได้คนเดียวชนะถึงเก้าคนสิบคนฉนี้. เพราะเจ้านายไม่ดีจึ่งเสียบ้านเมืองแก่ฆ่าศึก, ถ้าเจ้านายดีแล้วไหนเลยจะเสียกรุงศรีรอยุทธยา. แล้วพระราชทานรางวัลแก่นายขนมต้มโดยสมควร. ภอหนังสือบอกอแซหวุ่นกี้ขึ้นไปกราบทูลว่า, กองทับแตกไทยมาสิ้นเสียรี้พลเปนอันมาก, ไทยล้อมจับได้เปนไปพันเสศ. แลเมืองไทยบัดนี้นี้มีกำลังเพราะหัวเมืองฝ่ายเหนือ, ผู้คนยังบริบูรณมั่งคั่งอยู่, จะขอกองทับไปตีเมืองฝ่ายเหนือให้ได้เสียก่อน, ไทยจึ่งจะอย่อนกำลัง, ภายหลังจึ่งจะตีเอาเมืองบางกอกเหนจะได้โดยง่าย พระเจ้าอังวะก็เหนชอบด้วย, จึ่งเกนกองทับให้ยกเพิ่มเติมมาอีก, ให้อแซหวุ่นกี้ยกไปตีเมืองฝ่ายเหนือให้ยับเยินจงได้, แล้วก็เสดจกลับไปเมืองอังวะ ๚ะ

๏ ฝ่ายอแซหวุ่นกี้ก็จัดแจงกองทับ, ให้แมงแยยางูผู้น้อง, กับกละโบ่หนึ่ง, ปัญีแยข่องจอหนึ่ง, ปัญีตจวงหนึ่ง, ถือพลสองหมื่นเปนกองน่า. ตัวอแซหวุ่นกี้เปนโปชุกแม่ทับ, กับตะแคงมรหน่อง,แลเจ้าเมืองตองอู, ถือพลหมื่นห้าพันสรัพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสร็จ ครั้นถึงเดือนสิบเบ็ดก็ยกกองทับจากเมืองเมาะตมะ, มาเข้าทางด่านเมืองตากอยุดทับอยู่ที่นั่น ๚ะ

๏ ฝ่ายกรมการเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร, เหนกองทับพม่ายกมามากเหลือกำลังจะต่อรบ, ก็ภาครัวหนีเข้าป่า. แล้วส่ง หนังสือบอกไปถึงกองทับเจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห. แลบอกลงมากรุงธนบุรีกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ. ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับโปสุพลา,โปมยุง่วน, ยกมาจากเมืองเชียงแสน. เข้าติดเมืองเชียงใหม่. ภอกองทับเจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีหยกไปถึง, ทับพม่าก็เลิกถอยไป. เจ้าพระยาทั้งสองก็ยกกองทับติดตามไป, จะตีเมืองเชียงแสน. ภอหนังสือบอกขึ้นไปว่า, พม่ายกทับใหญ่มาทางเมืองตาก. เจ้าพระยาทั้งสองก็ถอยทับกลับมาถึงกลางทางใต้เมืองสุโขไทย, อยุดทับอยู่ณวัดปากน้ำ. ภอทับอแซหวุ่นกี้ยกมาติดเมืองสวรรคโลกย, จับกรมการได้สองคน. อแซหวุ่นกี้จึ่งให้ถามว่า, พระยาเสือเจ้าเมืองพระพิศณุโลกยอยู่ฤๅไม่. กรมการบอกว่าไม่อยู่, ไปเมืองเชียงใหม่. อแซหวุ่นกี้จึ่งว่า, เจ้าของเขาไม่อยู่, อย่าเพ่อไปเหยียบเมืองพระพิศณุโลกยก่อนเลย, จึ่งให้กองน่ายกมาตั้งค่ายอยู่ณบ้านกงธานี. เจ้าพระยาสุรสีหจึ่งปฤกษาเจ้าพระยาจักรีว่า, จะยกไปตีพม่า. เจ้าพระยาจักรีจึ่งว่า, อย่าไปตีเลย, พม่าคงจะยกไปตีเมืองเรา,ๆไปจัดแจงบ้านเมืองไว้รับฆ่าศึกดีกว่า. เจ้าพระยาสุรสีหว่า, จะขอไปตีดูกำลังฆ่าศึก. เจ้าพระยาจักรีจึ่งตอบว่า, เจ้าจะไปรบก็ตาม, ข้าจะไปจัดแจงบ้านเมืองไว้ถ้า. แล้วก็ยกมาเมืองพระพิศณุโลกย, จัดแจงการป้องกันเมืองกวาดครอบครัวเข้าไว้ในเมือง. แล้วให้กองพระยาศุโขไทย, พระยาอักษรวงษ, พระยาพิไชยสงคราม, ยกไปรับทับพม่าณบ้านกงธานี. เจ้าพระยาสุรสีหก็ยกไปตั้งค่ายอยู่ณบ้านไกลป่าแฝก. พม่ายกทับมาล้อมไว้แล้วขนค่ายตับมาเปนอันมาก, จะตั้งค่ายล้อมเปิดช่องไว้แต่ด้านจะลงแม่น้ำ. เจ้าพระยาสุรสีหตั้งอยู่สามวัน, เหนทับพม่ามากเหลือกำลังจะต่อรบ, ก็เลิกทับถอยมาทางด้านที่เปิดไว้, รีบมาเข้าเมือง. แลกองทับอแซหวุ่นกี้ตีเมืองสวรรคโลกยเมืองสุโขไทย. แลทับไทยซึ่งมาตั้งรับใต้บ้านกงธานีแตกแล้ว, ก็จัดทับแยกไปตีเมืองพิไชย. ทับใหญ่ก็ยกมาถึงเมืองพระพิศณุโลกยในเดือนอ้ายข้างขึ้น,ให้ตั้งค่ายรายล้อมอยู่ห่างเมืองทั้งสองฟาก. เจ้าพระยาทั้งสองก็เกนพลทหารขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทิลประการนอกเมืองป้องกันเมืองเปนสามารถ, ให้ทำตพานเรือกข้ามแม่น้ำกลางเมืองสามแห่ง. ๚ะ

๏ ฝ่ายอแซหวุ่นกี้แม่ทับขึ้นขี่ม้ากั้นร่มรย้าออกเลียบน่าค่าย, มีพลทหารถือปืนนกสับแห่น่าสามพัน, ทหารถือทวนตามหลังพันหนึ่ง. เจ้าพระยาสุรสีหก็ยกพลทหารออกโจมตีทับพม่า,ๆต่อรบๆกันถึงตลุมบอน, ทับไทยต้านทานเหลือกำลังก็ถอยเจ้าเมือง. ๚ะ

๏ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง, อแซหวุ่นกี้ก็ยกพลทหารเลียบค่ายอีกเหมือนวันก่อน. เจ้าพระยาสุรสีหขึ้นดูบนเชิงเทิลแล้ว, ให้พลทหารออกโจมตีก็พ่ายถอยเข้าเมืองอีก. เจ้าพระยาจักรีจึ่งว่า, ฝีมือพลทหารของเจ้าเปนแต่ทับหัวเมือง, ซึ่งจะต่อรบกับฝีมือทับเสนาบดีนั้นไมได้, พรุ่งนี้ข้าจะยกออกตีเอง. ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งขึ้นเปนวันคำรบสาม, อแซหวุ่นกี้ยกออกเลียบค่ายอีก. เจ้าพระยาจักรีก็ยกพลทหารออกจากเมือง, เข้าโจมตีทับอแซหวุ่นกี้แตกถอยเข้าค่าย. แลอแซหวุ่นกี้ยกออกเลียบค่ายดังนั้นทุกวัน. เจ้าพระยาจักรีก็ออกรบทุกวัน,ผลัดกันแพ้,ผลัดกันชนะถึงเก้าวันสิบวัน. อแซหวุ่นกี้จึ่งให้ล่ามร้องบอกว่า, เพลาพรุ่งนี้เราอย่ารบกันเลย. ให้เจ้าพระยากษัตรศึกแม่ทับ,ออกมาเราจะขอดูตัว. ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าพระยาจักรีขี่ม้ากั้นสัปทน, ยกพลทหารออกไปยืนม้าให้อแซหวุ่นกี้ดูตัว. อแซหวุ่นกี้จึ่งให้ล่ามถามว่า, อายุเท่าใด. บอกไปว่า, อายุได้สามสิบเสศ จึ่งถามถึงอายุอแซหวุ่นกี้บ้าง. ล่ามบอกว่า. อายุได้เจ็ดสิบสองปี. แล้วอแซหวุ่นกี้พิจารณาดูรูปดูลักษณเจ้าพระยาจักรี, แล้วสรรเสริญว่า, รูปก็งาม,ฝีมือก็เข้มแขง,สู้รบเราผู้เปนผู้เถ้าได้. จงอุสาหรักษาตัวไว้, ภายน่าจะได้เปนกระษัติรยเปนแท้ แล้วให้เอาเครื่องม้าทองสำรับหนึ่ง, กับสักลาดพับหนึ่ง, ดินสอแก้วสองก้อน, น้ำมันดินสองม่อมาให้เจ้าพระยาจักรี. แล้วว่าจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง, เราจะตีเอาเมืองพระพิศณุโลกยให้จงได้ในครั้งนี้, ไปภายน่าพม่าจะมาตีเมืองไทยไม่ได้อีกแล้ว. แลในเพลาวันนั้นไทยเข้าไปกินอาหารในค่ายพม่า, ก็มิได้ทำอันตรายแก่กัน, แล้วก็ต่างคนกลับไปเมืองไปค่าย. เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีหก็บอกลงมากราบทูลณกรุงธนบุรีว่า, ทับพม่ายกมาติดเมืองพระพิศณุโลกย, แต่ณเดือนยี่ข้างขึ้นนั้นแล้ว. ๚ะ

๏ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว, จึ่งดำรัศให้เกนกองทับทั้งทางบกทางเรือ, สรัพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธพร้อมเสร็จ, พลสกรรธ์ลำเครื่องทั้งไทยจีนเปนคนหมื่นสองพันสองร้อยเจ็ดสิบคน. แล้วดำรัศให้ถามพม่าตัวนายซึ่งจำไว้ณคุกว่า, บัดนี้กองทับพม่ายกมาอีก, จะให้ไปทำสงครามกับพม่าพวกของตัว, จะได้ฤๅมิได้ประการใด งุยอคุงหวุ่นแลอุตมสิงหจอจัวพม่านายทับทั้งปวงให้การว่า, แม้นทรงพระกรุณาโปรดจะให้ไปรบกับฆ่าศึกอื่น, จะขออาษาไปกระทำสงครามกว่าจะสิ้นชีวิตร. ซึ่งจะโปรดให้ไปสู้รบกับพม่าพวกเดียวกันนั้น,เปนเหลือสติปัญา, จะไปดูหน้าพวกกันกะไรได้, มีความลอายนักจนใจอยู่. แล้วเอาคำให้การขึ้นกราบทูล. จึ่งดำรัศว่า, มันไม่ภักดีแก่เราโดยแท้, ยังนับถือเจ้านายมันอยู่. แลเราจะยกไปการสงคราม, ผู้คนอยู่รักษาบ้านเมืองน้อยพวกมันมาก, จะแหกคุกออกกระทำจลาจลแก่บ้านเมืองข้างหลังจะเอาไว้มิได้. จึ่งดำรัศให้เอาไปประหารชีวิตรเสียณวัดทอง, คลองบากกอกน้อยทั้งสิ้น. กับทั้งแม่ทับพวกอ้ายเรือนพระฝางทั้งสี่คน, ซึ่งจำไว้ในคุกนั้นด้วย. แล้วโปรดให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักสงคราม, ออกไปอยู่รักษาเมืองเพชรบุรี, ป้องกันด่านทางข้างตวันตก. แล้วให้หมื่นศักดิ์บริบาล, ลงเรือเร็วขึ้นไปสืบราชการศึก, ณเมืองพระพิศณุโลกย. ๚ะ

๏ ครั้นถึงณวันอังคารเดือนยี่แรมสิบเบ็ดค่ำปีมแมสัปตศก, จึ่งเสดจทรงเรือพระที่นั่งกราบยาวสิบสามวา, ให้ยาตรานาวาทับหลวงพร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งปวง, โดยเสดจจากกรุงธนบุรีไปโดยทางชลมารค, ไปอยุดประทับแรมณพลับพลาน่าฉนวนน้ำพระราชวังหลวงกรุงเก่า. จึ่งหมื่นศักดิ์บริบาลซึ่งขึ้นไปสืบราชการกลับลงมากราบทูลว่า, ทับพระยาศุโขไทย, พระยาอักษรวงษ เมืองสวรรคโลกย, พระยาพิไชยสงคราม, ซึ่งตั้งค่ายรับพม่าณบ้านกงธานีนั้น, เลิกถอยลงมาแล้ว. จึ่งเสดจลงเรือพระที่นั่งให้เร่งยกทับเรือรีบขึ้นไป. ๚ะ

๏ ถึงณวันอังคารเดือนสามขึ้นสามค่ำ, เกิดอัศจรรยบนอากาศมืดคลุ้มไป, ไม่เหนดวงอาทิตย์สิ้นวันยังค่ำ. ครั้นเสดจถึงเมืองนครสวรรค, จึ่งดำรัศให้พระยาราชาเสรฐีคุมกองจีนสามพัน,ตั้งค่ายรักษาอยู่ที่นั้น. ๚ะ

๏ ครั้นณวันเสาร์เดือนสามขึ้นเจ็ดค่ำ, กองทับหลวงเสดจถึงค่ายปากน้ำพิงฟากตวันออก, เสดจขึ้นประทับณพลับพลาในค่าย. จึ่งดำรัศให้กองทับพระยาราชสุภาวดี, ยกขึ้นไปตั้งณบ้านบางทรายเปนหลายค่ายรายขึ้นไปตามริมน้ำ. ให้กองเจ้าพระยาอินทรอไภย, ยกขึ้นไปตั้งค่ายณบ้านท่าโรง ให้กองพระยาราชภักดี, ยกไปตั้งค่ายณบ้านกระดาด. ให้กองจมื่นเสมอใจราช ยกไปตั้งค่ายณวัดจุฬามณี แลให้กระเวนบันจบถึงกัน. ให้กองพระยานครสวรรค, ยกไปตั้งค่ายรายโอบค่ายพม่าขึ้นไป, แต่วัดจันจนถึงเมืองพระพิศณุโลกย, ให้ชักปีกกาตลอดถึงกันทุกๆค่าย. แล้วให้พระศรีไกรลาศคุมไพร่ห้าร้อยไปทำทางหลวง, ณปากน้ำพิงขึ้นไปจนถึงเมืองพระพิศณุโลกย. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอังคารเดือนสามขึ้นสิบค่ำ, จึ่งหลวงดำเกิงรณภพ, ไปสืบข่าวราชการมากราบทูลว่า,ทับพม่ายกมาฟากตวันตกเข้าตีค่ายพระยาราชภักดีณบ้านกระดาด, ทำอาการประหนึ่งจะเข้าตั้งค่ายประชิ, แล้วเราะล่วงค่ายเจ้าพระยาอินทรอไภยลงมา, จนถึงค่ายพระยาราชสุภาวดีณบ้านบางทราย. ครั้นเพลาค่ำก็เลิกถอยไป. จึ่งดำรัศให้พระยาวิจิตรนาวี, หลวงดำเกิงรณภพ, หลวงรักษโยธา, หลวงภักดีสงคราม, คุมเอาปืนใหญ่รางเกวียนสามสิบสี่บอก, ลากขึ้นไปใส่ค่ายบางทราย. ครั้นเพลาค่ำทับพม่ายกมาตั้งค่ายประชิลงน่าค่ายจมื่นเสมอใจราชณวัดจุฬามณีสามค่าย, ตำรวจไปสืบราชการมากราบทูล. จึ่งดำรัศให้พระยาธรรมไตรโลกย, พระยารัตนพิมล, พระยาชลบุรี, คุมพลทหารอยู่รักษาค่ายหลวง, ณปากน้ำพิงฟากตวันออก. ครั้นณวันพฤหัศบดีเดือนสามขึ้นสิบสองค่ำ, จึ่งเสดจยกพยุหยาตราทับหลวงขึ้นไปประทับณค่ายมั่นวัดบางทรายฝั่งตวันออก. ครั้นเพลาค่ำทับพม่ายกเข้าตีค่ายเจ้าพระยาอินทรอไภยณบ้านท่าโรงฟากตวันตก,ได้รบกันเปนสามารถ. ตำรวจไปสืบราชการมากราบทูล. จึ่งดำรัศให้หลวงดำเกิงรณภพ, ยกเอาเกนหัดสองร้อยลงเรือข้ามน้ำไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอไภย, ทับพม่าก็เลิกถอยไป. ครั้นเพลาเช้าณวันศุกรเดือนสามขึ้นสิบสามค่ำ, จึ่งเสดจลงเรือพระที่นั่งข้ามไปทอดพระเนตรค่ายพระโหราธิบดีฟากตวันตก, เหนผิดกับพระราชดำริห, ตั้งอยู่แต่ริมน้ำเอาต้นไม้ใหญ่ไว้นอกค่าย, แม้นพม่าเข้ามาแฝงต้นไม้ยิงก็ได้, จะขึ้นบนต้นไม้ยิงปรำลงมาในค่ายก็ได้, จะเสียท่วงทีแก่ฆ่าศึก. จึ่งดำรัศสั่งให้รื้อค่ายเก่าเสีย,แล้วให้ตั้งใหม่โอบต้นไม้ใหญ่เข้าไว้ในค่ายกว้างออกไปกว่าค่ายเก่า. ในวันนั้นพระยารามัญวงษยกกองมอญขึ้นไปตั้งค่ายประชิค่ายพม่า, เหนือเมืองพระพิศณุโลกยฟากตวันออก. พม่ายกออกตีได้รบกันเปนสามารถ. พวกกองมอญยิงปืนตับต้องพม่าล้มตายลำบากเปนอันมาก, พม่าถอยทับเข้าค่าย, กองรามัญตั้งค่ายได้. ๚ะ

๏ ฝ่ายในเมืองพระพิศณุโลกยเจ้าพระยาจักรี,เจ้าพระสุรสีห, ก็ยกพลทหารออกตั้งค่ายประชิค่ายพม่านอกเมืองฟากตวันออก, พม่ายกออกรบชิงเอาค่ายได้. เจ้าพระยาสุรสีหขับพลทหารหนุนเข้าไปฟันทหารเสียคนหนึ่ง, ตีเอาค่ายคืนได้. พลพม่าล้มตายแลลำบากไปเปนอันมากแตกเข้าค่าย. แต่บันดาค่ายพม่าซึ่งตั้งรายประชิกันอยู่นั้น, พม่าขุดอุมงค์เดินใต้ดินเข้ามารบทุกค่าย. ฝ่ายข้างทหารไทยก็ขุดอุมงค์ออกไปจากค่ายทุกๆค่าย, แลอุมงค์ทลุะถึงกันได้รบกันกับทับพม่าในอุมงค์, ฆ่าฟันกันล้มตายเปนอันมาก. เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห, ให้ทหารตัดเอาศีศะพม่ามาถวายเนืองๆ. จึ่งพระราชทานปืนใหญ่รางเกวียน ๒๐ บอก, ให้ลากขึ้นไปณค่ายประชิให้ยิงทลายค่ายพม่า, ๚ะ

๏ ณขะนั้นพระยานครสวรรค์แต่งคนไปลาดกระเวน, จับได้ไทยเชลยพม่าสองคนให้การว่า, อแซหวุ่นกี้ยกกองทับมาครั้งนี้, คนสามหมื่นห้าพัน ทับหลังคนห้าพันตั้งอยู่ณบ้านกงธานีหนึ่ง อแซหวุ่นกี้, แลแมงแยยางูผู้น้อง, กับกละโบ่, แลเจ้าเมืองตองอูถือพลสามหมื่น, ยกมาติดเมืองพระพิศณุโลกย, บัดนี้นายทับพม่าทำการขัดสนนัก, เหนอาการจะเลิกถอยไป. พระยานครสวรรคจึ่งบอกส่งไทยเชลยสองคน, กับคำให้การมาถวายณค่ายหลวง. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอังคารเดือนสามแรมสองค่ำ, กลางคืนเพลาสี่ทุ่ม, จึ่งเสดจยกทับหลวงขึ้นไปณค่ายมั่นใกล้วัดจัน, ดำรัศให้กองพระยายมราช, แลพระยานครราชสีมา, พระยาพิไชยสงคราม, ยกไปช่วยพระยานครสวรรค, ซึ่งตั้งค่ายประชิโอบค่ายพม่าณวัดจันนั้น. ครั้นเพลาสิบเบ็ดทุ่ม กองทับไทยก็จุดปืนใหญ่ยิงทลายค่ายพม่า, แล้วยกออกปล้นทุกน่าค่ายพม่า.ๆยกหนุนกันออกมารบจนเพลารุ่ง, นายทับทั้งปวงจะหักเอาค่ายพม่ามิได้, ก็ถอยกลับเข้าค่าย ๚ะ

๏ ครั้นณวันพุทธเดือนสามแรมสิบสามค่ำ, จึ่งดำรัศปฤกษาด้วยท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวงว่า, ทับหลวงจะตั้งมั่นอยู่ที่นี่เหนราชการจะเนิ่นช้า, จะถอยไปตั้งอยู่ณค่ายท่าโรง, แล้วจะเกนกองทับยกไปทางฟากตวันตก, ให้ตั้งค่ายประชิโอบหลังค่ายพม่าเข้าไว้. แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง, ก็เหนพร้อมด้วยพระราชดำริห. ครั้นค่ำเพลาสี่ทุ่ม, จึ่งเสดจถอยทับหลวงลงมาตั้งอยู่ณค่ายท่าโรง. ๚ะ

๏ ครั้นณวันพฤหัศบดีเดือนสามแรมสี่ค่ำ, จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงไปหากองทับพระยานครสวรรค, ซึ่งตั้งอยู่ณค่ายวัดจัน, แลกองพระโหราธิบดี, แลกองมอญ, พระยากลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ณค่ายบางทรายให้ยกลงมายังทับหลวง. แล้วดำรัศให้พระยามหามลเฑียรเปนแม่ทับถือพลห้าพัน, ให้กองพระยานครสวรรคเปนทับน่า, ให้หลวงดำเกิงรณภพ, หลวงรักษโยธา, คุมพลทหารกองใน, กองนอก, กองเกนหัดสามพันสี่ร้อยเปนกองหนุนยกไปตั้งค่ายรายซุ่มขึ้นไปตามหลังค่ายพม่าดูเชิงฆ่าศึกก่อน. ถ้าพม่าไม่ยกมาตีจึ่งเข้าตั้งค่ายประชิติดค่ายพม่า. แล้วดำรัศให้พระราชสงครามลงไปเอาปืนพระยาราชปักษี, ปืนฉัตรไชย, ณกรุงธนบุรีบันทุกเรือขึ้นมาจงมาก. ๚ะ

๏ ฝ่ายนายกองทับน่าพม่า, เข้าไปแจ้งราชการแก่อแซหวุ่นกี้แม่ทับว่า, ไทยมีฝีมือเข้มแขงนัก, จะรบเอาไชยชนะโดยเรวเหนจะไม่ได้, แล้วทับหลวงก็ยกขึ้นมาช่วยรี้พลเปนอันมาก. อแซหวุ่นกี้จึ่งให้ม้าใช้ไปสั่งปัญีตจวงจึ่งตั้งค่ายอยู่ณบ้างกงธานี, ให้เปนนายทับคุมพลสามพันยกลงมาณเมืองกำแพงเพชร, แล้วให้เดินทับลงไปณเมืองนครสวรรค,แซงลงไปถึงเมืองอุไธธานี. ถ้าได้ทีให้วกกลังตัดลำเลียงกองทับไทย, จะได้พว้าพวังรวังทั้งน่าหลังก็จะหย่อนกำลังลง. แลทับอีกสองพันนั้น, ให้ยกหนุนมาตั้งค่ายใหญ่ใกล้เมืองพระพิศณุโลกยฟากตวันตก. ๚ะ

๏ ครั้นณวันเสาร์เดือนสามแรมหกค่ำ, จึ่งพระยาศุโขไทย, ซึ่งตั้งซุ่มคอยสกัดสอดแนมสืบราชการณทับพม่าบ้านกงธานีนั้น, บอกลงมากราบทูลว่า, พม่าตั้งค่ายอยู่ณบ้างกงธานีห้าค่าย. บัดนี้ยกข้ามน้ำไปฟากตวันตกกองหนึ่ง, ยกหนุนมาเมืองพระพิศณุโลกยกองหนึ่ง. ครั้นได้ทรงทราบจึ่งดำรัศว่า, เกลือกพม่าจะวกหลังตีตัดเสบียง, ให้กองพระยาราชภักดี, กับพระยาพิพัฒโกษา, ยกลงไปช่วยราชการพระยาราชาเสรฐี,ตั้งค่ายอยู่ณเมืองนครสวรรค. แล้วให้กองพระยาธรรมายกหนุนขึ้นไปช่วยพระยามหามณเฑียรแลพระยานครสวรรค์. ซึ่งไปตั้งค่ายประชิโอบหลังค่ายพม่า, ณวัดจันฟากตวันตก. แล้วให้หลวงภักดีสงคราม, แลพระยาเจ่ง, กับกรมการเมืองไชยนาท, คุมพลไทยมอญห้าร้อยเสศ, ยกขึ้นไปตั้งอยู่ณร้านดอกไม้แขวงเมืองกำแพงเพชร์, คอยดูท่วงทีพม่าซึ่งยกมาแต่บ้านกงธานีนั้นจะไปแห่งใด. ถ้าเหนได้ทีจึ่งให้ออกโจมตี, ถ้าไม่ได้ก็ให้ลาดถอยมา. ๚ะ

๏ ฝ่ายในเมืองพระพิศณุโลกย, เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห, เกนพลทหารออกตั้งค่ายนอกเมืองฟากตวันตก, ตั้งค่ายประชิค่ายพม่าซึ่งล้อมเมืองนั้น. ๚ะ

๏ ครั้นเพลาค่ำในวันเสาร์เดือนสามแรมหกค่ำ, จึ่งเจ้าพระยาสุรสีหให้เอาไม้ทำคบเอาผ้าชุบน้ำมันยางจุดเพลิงใส่ในบอกปืนใหญ่. ยิงไปเผาค่ายพม่า,ไหม้ขึ้นค่ายหนึ่ง, หอรบไหม้ทำลายลงสองหอ. พม่าออกมาดับไฟยิงตายแลลำบากไปเปนอันมาก. แต่เสบียงอาหารในเมืองขัดสนนัก, ด้วยจะกวาดเข้าเมืองหาทันไม่. จึ่งบอกลงไปณทับหลวงขอพระราชทานเสบียง, ก็โปรดให้กองทับคุมลำเลียงขึ้นไปส่ง. พม่าออกตีตัดลำเลียงกลางทาง,ไปส่งหาถึงเมืองไม่ ครั้งหลังจึ่งโปรดให้กองลำเลียงขนเข้าขึ้นไปส่งอีก,ให้กองพระยานครราชสีมายกไปช่วยป้องกันกองลำเลียง, แล้วให้เจ้าพระยาสุรสีหยกกองทับลงมาคอยรับ. แลกละโบ่แม่กองน่าพม่านั้นเข้มแขงยกทับมาสกัดตี, กองทับเจ้าพระยาสุรสีห, กับทับพระยานครราชสีมา, หาเข้าถึงกันได้ไม่. ทับเมืองพระพิศณุโลกยก็ถอยกลับเข้าเมือง, ทับเมืองนครราชสีมาก็ภากองลำเลียงถอยกลับมาค่ายหลวง. แลเข้าในเมืองพระพิศณุโลกยก็เปลืองลงทุกวันๆ จ่ายแจกรี้พลก็หาภออิ่มไม่, ไพร่พล ก็ถอยกำลังอิดโรยลง. ฝ่ายข้างกองทับพม่าก็ขัดเสบียงอาหารลงเหมือนกัน, แต่อยู่ภายนอกที่ทำเลกว้าง, เที่ยวหาบุกกลอยแลรากกระทาดปนกับอาหารกินค่อยช้าเนิ่นวัน, ไม่สู้ขัดสนนักเหมือนในเมือง. ๚ะ

๏ ครั้นณวันศุกรเดือนสามแรมสิบสามค่ำ, จึ่งขุนพัศดีถือหนังสือบอกขึ้นมากราบทูลว่า, พม่าเมืองมฤทยกกองทับเข้ามาตีเมืองกุย, เมืองปรานต้านทานมิได้, จึ่งถอยเข้ามาตั้งอยู่ณเมืองชอำ, แลทับพม่าเลิกกลับไป. บัดนี้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษสงคราม, ได้แต่งพลทหารไปขัดทับอยู่ที่ช่องแคบด่านเมืองเพชรบุรี. จึ่งดำรัศให้กองพระเจ้าหลานเธอ, เจ้าประทุมไพรจิตร, ยกลงมารักษากรุงธนบุรีรวังราชการศึกข้างฝ่ายใต้. ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับพม่าซึ่งยกลงมาณเมืองกำแพงเพช, มายังมิทันถึง. จึ่งกองทับข้าหลวงไทยมอญห้าร้อยก็ออกโจมตีที่กลางทาง, ทับพม่ามิทันรู้ก็แตกฉาน, ทับพวกข้าหลวงเก็บได้สาตราวุธต่างๆแล้วลาดถอยมา, จึ่งบอกส่งสิ่งของเครื่องสาตราวุธลงมาถวาย จึ่งดำรัศให้พระสุนทรสมบัติกับหมื่นศรีสหเทพ, เอาเสื้อผ้าไปพระราชทานขุนนางไทยมอญ, ซึ่งล่าลงมาณบ้านร้านดอกไม้นั้น. ๚ะ

๏ ฝ่ายทับทับพม่าก็ยกลงมาตั้งค่ายณบ้านโนนศาลาสองค่าย, บ้านถลกบาตรค่ายหนึ่ง, บ้านหลวงค่ายหนึ่ง, ในแขวงเมืองกำแพงเพชร. แล้วยกแยกลงไปทางเมืองอุไทยธานีกองหนึ่ง, เข้าเผาบ้านอุไทยธานีเสีย. ๚ะ

๏ ครั้นถึงณวันเสาร์เดือนสามแรมสิบสี่ค่ำ, ขุนยกกระบัตรเมืองไชยนาท,ไปสืบราชการทับพม่าขึ้นมากราบทูลว่า, พม่าตั้งค่ายอยู่ณแขวงเมืองกำแพงเพชรสี่ค่าย, ยกไปเมืองอุไทัยธานีกองหนึ่ง, เผาบ้านเมืองเสียแล้ว, แล้วจะไปทางใดอีกมิได้แจ้ง. จึ่งดำรัศให้ขุนอินทรเดชเปนแม่กอง, หลวงปลัดเมืองอุไทยธานี, กับหลวงสรวิชิตรนายด่านเปนกองน่า, หม่อมเชษฐกุมารเปนกองหลวง. ให้หม่อมอนุรุทเทวาเปนจางวาง, บังคับทั้งสามกองพลพันหนึ่ง. ยกลงไปป้องกันเสบียงแลปืนใหญ่ซึ่งบันทุกเรือขึ้นมานั้น, อย่าให้เปนอันตรายกลางทาง. ถ้ามีราชการศึกณเมืองนครสวรรค, ให้แบ่งเอากองอาจาริยไปช่วยบ้าง, ให้แบ่งลงมาตั้งณบ้านคุ้งสำเภาบ้าง, แล้วให้กองพระยาโหราธิบดี, แลหลวงรักษมณเฑียร, ยกไปตั้งค่ายณโคกสดุด. ให้กองพระยานครไชยศรี, ไปตั้งณค่ายโพทับช้าง, ป้องกันลำเลียงจะได้ไปมาสดวก. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอาทิตยเดือนสามแรมสิบห้าค่ำ, จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงไปหาเจ้าพระยาจักรีณเมืองพระพิศณุโลกย, ลงมาเฝ้าณค่ายบ้านท่าโรง. เจ้าพระยาจักรีป่วย, ลงมามิได้, ให้เจ้าพระยาสุรสีหลงมาเฝ้า. จึ่งดำรัศปฤกษาโดยพระราชดำริห, จะใคร่ผ่อนทับลงไปตั้งณเมืองนครสวรรค, ป้องกันเสบียงไว้. แลราชการในเมืองพระพิศณุโลกยนั้น, ให้เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห, จงรับรองป้องกันรักษา. แลเจ้าพระยาสุรสีห, ก็กราบถวายบังคมลากลับไปเมือง. ๚ะ

๏ ในวันนั้นทับพม่ายกออกจากค่าย, เข้าตีกองพระยานครสวรรค, ซึ่งเดินค่ายขึ้นไปถึงบ้านบางส้มป่อย, ตั้งลงยังมิทันแล้ว, ได้รบกันเปนสามารถ. จับพม่าได้คนหนึ่ง, พม่าถูกปืนตายแลลำบากลากกันไปเปนอันมาก ถอยไปเข้าค่าย. พระยานครสวรรคจึ่งให้หมื่นศรีสหเทพ, ถือหนังสือบอกส่งพม่าลงมาถวายแล้วกราบทูลว่า, บัดนี้พม่าขัดสนเข้าแลเกลือ, เกลือนั้นนักสองบาทซื้อขายกันเปนเงินบาทหนึ่ง. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอังคารเดือนสี่ขึ้นสองค่ำ, พระยารัตนพิมลซึ่งอยู่รักษาค่ายปากน้ำพิงบอกมากราบทูลว่า, แต่งคนไปสอดแนมถึงวังสองสลึง, เหนพม่ายกมาประมาณสองร้อย. ครั้นเพลาบ่ายพม่าเผาบ้านป่าขึ้น, ใกล้ปากน้ำพิงเข้าไปสามคุ้ง. จึ่งดำรัศให้หลวงวิสูทธโยธามาตย, หลวงราชโยธาเทพ, คุมเอาปืนใหญ่รางเกวียนแปดบอก, ลงเรือข้ามไปณค่ายปากน้ำพิงฟากตวันตก ๚ะ

๏ ครั้นณวันพุทธเดือนสี่ขึ้นสามค่ำ, จึ่งเสดจพระราชดำเนินด้วยพระบาทขึ้นไปทางฟากตวันออก, แต่ค่ายบ้านท่าโรงจนถึงตรงค่ายพระยานครสวรรค, ซึ่งตั้งอยู่ณบ้านแขกฟากตวันตกนั้น, เสดจทรงพระเก้าอี้อยู่กลางหาดทราย. จึ่งพระยาธรรมาธิบดี, พระยานครสวรรคลงว่ายน้ำข้ามมาเฝ้า, กราบทูลว่าพม่าตั้งค่ายประชิลงสี่ค่าย, แล้วปักตรุยจะตั้งค่ายโอบลงมา. จึ่งดำรัศว่ามันทำลวงดอกอย่ากลัวมัน, ให้ตั้งค่ายรายเคียงออกไป, ถ้ามั่นตั้งรายตามกันไป. ให้ตั้งรายแผ่กันออกไปจงมาก,ให้รักษาอยู่แต่ค่ายละห้าร้อยคน, แล้วอย่าคิดกลัวแตกกลัวเสียมัน, จะตีค่ายไหนให้ตีเข้า. อันธรรมดาเปนชายชาติทหารแล้ว, จงมีน้ำใจองอาจอย่ากลัวตาย, ตั้งใจอาษาพระรัตนไตรย, แลพระมหากระษัตริย, ด้วยเดชะผลกะตัญูนั้น, จะช่วยอภิบาลบำรุงรักษาก็จะหาอันตรายมิได้. ถ้าใครย่อธ้อต่อการสงครามให้ประหารชีวิตรเสีย, ศึกจึ่งจะแก่กล้าขึ้นเอาไชยชำนะได้. แล้วให้ยกเอากองพระยาสิหราชเดโช, แลกองหมื่นทิพเสนามาเข้ากองพระยานครสวรรค. ยกกองเกนหัด, กองทหาร, กองอาจาริยมาไว้ในค่ายหลวง. แล้วเสดจพระราชดำเนินกลับยังค่ายบ้านท่าโรง. จึ่งให้ข้าหลวงขึ้นไปเมืองพระพิศณุโลกย, หาเจ้าพระยาจักรีลงมาเฝ้า. ภอเจ้าพระยาจักรีป่วยหายแล้ว, ก็ลงมาเฝ้าณค่ายหลวงท่าโรง, ครั้นได้ทรงฟังเสียงปืนใหญ่น้อยณปากน้ำพิงหนาขึ้น, จึ่งดำรัศสั่งเจ้าพระยาจักรีให้จัดแจงพลทหารรักษาค่ายท่าโรง, เจ้าพระยาจักรีก็เกนกองพระยาเทพวรชุน, แลพระพิชิตณรงค์ให้อยู่รักษา, แล้วกลับขึ้นไปเมืองพระพิศณุโลกย. ครั้นค่ำเพลาสามยามก็เสดจยกทับหลวงลงมาณปากน้ำพิง. ครั้นเพลาสิบเบดทุ่มพม่ายกมาขุดสนามเพลาะ, เข้าตีค่ายพระยาธรรมไตรโลกย, พระยารัตนพิมลณคลองกระพวง, ยิงปืนระดมต่อรบกันเปนสามารถ. ๚ะ

๏ รุ่งขึ้นณวันพฤหัศบดีเดือนสี่ขึ้นสี่ค่ำ, จึ่งเสดจข้ามตพานเรือกไปฟากตวันตก. ดำรัศให้กองพระยาศุโขไทย, ยกหนุนออกตั้งค่ายชักปีกกา, ขุดคลองเดินถึงกัน. ให้หลวงดำเกิรรณภพคุมพลเกนหัด, แลกองอาจาริยเก่าใหม่ไปเข้ากองพระยาศุโขไทย. ให้กองหลวงรักษโยธา, หลวงภักดีสงครามยกไปตั้งค่ายประชิค่ายพม่า, ณปากคลองกระพวง. ให้กองหลวงเสนาภักดี กองปืนแก้วจินดา, ออกตีวกหลัง.

ครั้นณวันเสารเดือนสี่ขึ้นหกค่ำ, เพลาเช้าจึ่งพระยาศุโขไทย, แลนายทับนายกองทั้งปวง, ก็ยกออกพร้อมกัน, ตีขนาบน่าค่ายหลังค่ายพม่า พม่ายกออกรับรบกับเปนสามารถถึงอาวุธสั้น, ล้มตายลงทั้งสองฝ่าย, ขุนอากาศสรเพลิงถูกปืนพม่าตาย.

ครั้นณวันอาทิตยเดือนสี่ขึ้นเจ็ดค่ำ, จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงไปหากองพระยาอินทรอไภย, แลกองมอญพระยากลางเมือง, ยกลงมาณปากน้ำพิง ในทันใดนั้นหลวงเสนาภักดิกองปืนแก้วจินดามากราบทูลว่า, ได้ตีวกหลังพม่าเข้าไป, พม่าขุดสนามเพลาะวงล้อมไว้สามด้าน. กองอาจาริยถอยเสียมิได้ช่วยแก่. ข้าพระพุทธเจ้าให้ขุดสนามเพลาะรบอยู่คืนหนึ่ง, ต่อรุ่งขึ้นพระยาศุโขไทยจึ่งตีเข้าไปแก้ออกมาได้. ครั้นได้ทรงฟังจึ่งดำรัศสั่งให้เอาตัวอาจาริยทอง,แลเอาตัวนายดีนายหมวดกองอาจาริยไปประหารชีวิตรเสีย, แลแลขนั้นพระราชทานให้ขุนรามณรงค์คุมทำราชการสืบไป

๏ ครั้นเพลาบ่ายเสดจไปถอดพระเนตรค่าย, ที่รบคลองกระพวง, แต่ค่ายมั่นออกไปรยะทางยี่สิบสองเส้น, ให้ตั้งค่ายขุดคลองเดินตามปีกกาให้ถึงกัน. ขณะนั้นดำรัศภากโทษพระสุธรรมาจาริย, พระวิสารสุธรรมเจ้ากรมกองอาจาริย, แล้วให้ทำราชการแก้ตัวเข้าตั้งค่ายประชิค่ายพม่า, กับกองทหาร, กองเกนหัดสืบไป. ในวันนั้นเพลาบ่ายห้าโมงเสศ, พม่ายกออกปล้นค่ายกองทับไทยได้รบกันเปนสามารถ. หลวงดำเกิงรณภพ,ให้ยิงปืนใหญ่น้อยต้องพม่าตายแลลำบากมาก. ๚ะ

๏ อนึ่งขุนหาญทนายเลือกกองนอก, รักษาค่ายให้เพลิงตกลงในถังดินดำ, ติดขึ้นไหม้คนตายหลายคน, แลตัวขุนหาญนั้นก็ย่อธ้อต่อการศึก, จึ่งดำรัศให้ประหารชีวิตรเสีย. แล้วให้ข้าหลวงไปหาพระยายมราช, ซึ่งตั้งค่ายอยู่ณวัดจันลงมาเฝ้า, ตรัสสั่งให้พระยายมราชเปนแม่ทับ, ถืออาญาสิทธิ์บังคับทับทั้งสิบทับ, ซึ่งตั้งรับพม่าณคลองกระพวงให้กล้าขึ้น. ๚ะ

๏ ครั้นณวันพฤหัศบดีเดือนสี่ขึ้นสิบเบ็ดค่ำ, กลางคืนเพลาประมาณยามเสศ, อแซหวุ่นกี้ให้กละโบ่ยกทับข้ามแม่น้ำมาฟากตวันออก, เข้าปล่นค่ายกรมแสงใน, คนสองร้อยสิบสี่คนตั้งค่ายอยู่ณวัดพริกห้าค่ายได้รบกันเปนสามารถ, พม่าแหกเอาค่ายได้แตกทั้งห้าค่าย. นายทับนายกอง,แลไพร่พลหนีกระจัดพรัดพรายกันไป. จึ่งพระยาเทพวรชุน, พระพิชิตณรงคซึ่งรักษาค่ายท่าโรง, บอกส่งคนซึ่งแตกลงมาแต่ค่ายวัดพริกทั้งนายไพร่หลายคนลงมาถวาย จึ่งดำรัศให้ประหารชีวิตรหมื่นทิพหนึ่ง, ไพร่สิบสามคน, เปนคนสิบสี่คน, ตัดศีศะเสียบไว้ณะประตูค่ายปากน้ำพิง. แล้วดำรัศสั่งว่า แต่บันดานายไพร่, ซึ่งแตกพม่ามานั้น, ได้ตัวมาเมื่อใดให้ฆ่าเสียให้สิ้น แล้วข้าหลวงไปหากองพระโหราธิบดี, กองหลวงรักษมณเฑียร, ซึ่งตั้งค่ายอยู่ณโคกสดุด. แลกองพระยานครไชยศรี, ซึ่งตั้งค่ายอยู่ณโพทับช้างนั้น, ให้ยกไปช่วยราชการทับหลวงณปากน้ำพิง. ๚ะ

๏ ครั้นณวันศุกรเดือนสี่ขึ้นสิบสองค่ำ, จึ่งพระยานครสวรรคบอกลงมากราบทูลว่า, ทับพม่าตั้งค่ายโอบลงมาถึงริมแม่น้ำ ,แล้วยกข้ามไปตีค่ายวัดพริกฟากตวันออกแตกเหนว่าพม่าจะวกหลัง, จะขอพระราชทานลาดทับข้ามมาตั้งค่ายรับอยู่ฟากตวันออก. จึ่งดำรัศให้กองมอญพระยากลางเมือง, แลกองพระโหราธิบดี, แลกองพระยาเทพวรชุน, กองพระยาวิชิตณรงค, ซึ่งตั้งอยู่ค่ายท่าโรงเข้ากองพระยายมราช, ให้พระยายมราชเปนแม่ทับยกขึ้นไปตีทับพม่า, ซึ่งเข้าตั้งอยู่ณะค่ายวัดพริกฟากตวันออกนั้น. แลให้กองหลวงรักษ์มณเฑียร, ไปอยู่รักษาค่ายประชิแทนพระยากลางเมืองณะปากน้ำพิงฟากตวันตก. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยายมราชยกกองทับไปตั้งค่ายประชิค่ายพม่า, ณวัดพริก พม่ายกออกแหกค่ายพระยายมราช, หักเอาค่ายได้. ในทันใดนั้นพระยายมราชขับพลทหารเข้าตีพม่าแตก, ชิงเอาค่ายคืนได้. พม่าถอยไปเข้าค่ายวัดพริกตั้งรบกันอยู่. ๚ะ

๏ ขณะนั้นอแซหวุ่นกี้ให้แมงแยยางูผู้น้อง, ยกทับใหญ่ลงมาตั้งค่ายโอบหลังค่ายหลวง, ณปากน้ำพิงฟากตวันออกเปนหลายค่าย, ได้ต่อรบกันเปนสามารถ, สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเหนศึกหนักเหลือกำลัง. ถึงณวันพฤหัศบดีเดือนสี่แรมสิบค่ำ, จึ่งให้ลาดทับหลวงถอยมาตั้งค่ายมั่นอยู่ณทางเข้าตอก. ฝ่ายอแซหวุ่นกี้เร่งให้ตแคงมรหน่อง,ปัญีแยช่องจอ,แลเจ้าเมืองตองอู, นายทับนายกองทั้งปวงทำการติดเมืองพระพิศณุโลกยกวดขันขึ้น ฝ่ายข้างในเมืองก็ขาดเสบียงตวงเข้าแจกทหารมื้อละฝาเขนง, ไพร่พลอิดโรยนักถอยกำลังลง. เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห, เหนเหลือกำลังที่จะตั้งมั่นรักษาเมืองไว้มิได้, ด้วยขัดสนเสบียงอาหารนัก. จึ่งบอกลงมากราบทูลณค่ายหลวง, แต่ยังเสดจอยู่ณปากน้ำพิงว่า, ในเมืองสิ้นเสบียง, จะขอพระราชทานล่าทับออกจากเมือง, ก็โปรดทรงพระอนุญาต. เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาสุรสีห, จึ่งสั่งให้นายทับนายกอง, ซึ่งออกไปตั้งค่ายประชิรับพม่าอยู่นอกเมืองทั้งสองฟากนั้น, เลิกถอยเข้าในเมืองสิ้น. พม่าเข้าตั้งอยู่ในค่ายไทยประชิใกล้เมือง, ให้ทำบันไดจะพาดกำแพงเตรียมการจะปีนปล้นเอาเมือง. พลทหารซึ่งรักษาน่าที่เชิงเทิลรดมยิงปืนใหญ่น้อยออกไปดังห่าฝน, พม่าจะเข้าปีนปล้นเอาเมืองมิได้, ต่างยิงปืนโต้ตอบกันอยู่ทั้งสองฝ่าย. ๚ะ

๏ ครั้นถึงณวันศุกรเดือนสี่แรมสิบเบดค่ำ, เจ้าพระยาทั้งสอง,จึ่งให้เจ้าน่าที่รดมยิงปืนใหญ่น้อยหนาขึ้นกว่าทุกวัน, เสียงปืนลั่นสนั่นไปมิได้ขาดตั้งแต่เช้าจนค่ำ. แล้วให้เอาปี่พาทยขึ้นตีบนเชิงเทิงรอบเมือง. ครั้นเพลาประมาณยามเสศเจ้าพระยาทั้งสองก็จัดทหารเปนสามกอง, กองน่ากองหนึ่ง, กองกลางให้คุมครอบครัวกองหนึ่ง, กองหลังรั้งท้ายกองหนึ่ง. แล้วยกกองทับ, แลครอบครัวทั้งปวง, เปิดประตูเมืองข้างด้านฟากตวันออก ให้พลทหารกองน่ารบฝ่าออกไป, เข้าหักค่ายพม่าซึ่งตั้งล้อม. พม่าในค่ายต่อรบยิงปืนใหญ่น้อยออกมา. พลทหารไทยก็หนุนเนื่องกันเข้าไปแหกค่ายพม่าเข้าไปได้,ๆรบกันถึงอาวุธสั้นฟันแทงกันเปนตลุมบอน, พม่าแตกเปิดทางให้. เจ้าพระยาทั้งสองก็รีบเดินทับไปทางบ้านละมุงดอนชมพู, แลครอบครัวทั้งปวงนั้น, ก็แตกทับกระจัดพรัดพรายตามกองทับไปได้บ้าง, พม่าก็ติดตามกองทับไป. แลกองซึ่งรั้งหลังก็รอสกัดต่อรบต้านทานที่กลางทางเปนสามารถ, พม่าก็ถอยกลับไปเมือง. เจ้าพระยาทั้งสองก็เร่งเดินทับไปถึงเมืองเพชรบูรณ์อยุดทับอยู่ที่นั้น. ๚ะ

๏ ฝ่ายอแซหวุ่นกี้แจ้งว่า ทับไทยแหกหนีออกจากเมืองแล้ว, ก็ขับพลทหารเข้าในเมืองให้จุดเพลิงเผาบ้านเรือน, แลอารามใหญ่น้อยทุกตำบล แสงเพลิงสว่างดังกลางวัน, ให้ไล่จับผู้คนแลครอบครัวซึ่งยังตกค้างอยู่ในเมืองหนีออกไม่ทันนั้น, แลเก็บเอาทรัพย์สิ่งสีน, แลเครื่องสาตราวุธต่างๆแล้วตั้งอยู่ในเมือง. อแซหวุ่นกี้จึ่งออกปากประกาศแก่นายทับนายกองทั้งปวงว่า, ไทยบัดนี้ฝีมือเข้มแขงนัก,ไม่เหมือนไทยแต่ก่อน. แลเมืองพระพิศณุโลกยเสียครั้งนี้, ใช่จะแพ้ฝีมือเพราะทแกล้วทหารนั้นหามิได้. เพราะเขาอดเข้าขาดเสบียงอาหารดอกจึ่งเสียเมือง. แลพม่าซึ่งจะมารบเมืองไทยสืบไปพายน่านั้น, ถ้าแม่ทับมีสติปัญญา,แลฝีมือแต่เพียงเสมอเรา,ต่ำกว่าเรานั้น, อย่ามาทำสงครามตีเมืองไทยเลย, จะเอาไชยชำนะเขามิได้, แม้นดีกว่าเรา,จึ่งมาทำศึกกับไทยได้ไชยชำนะ ๚ะ

๏ จบเล่ม ๓๒ สมุดไทย. ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ