๑๓

๏ เล่ม ๑๓ ๚ะ

๏ ฝ่ายเสนาข้าทูลอองทุลีพระบาทกราบถวายบังคมเหนโดยพระราชดำริห์ทุกประการ. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็ตรัสให้หมื่นอินทรักษา, กับพระไชยทีปะโอรสพระเจ้าเชียงใหม่, เข้าไปยังเมืองเชียงใหม่. แลให้หมื่นเพชรไพรีหัวหมื่นตำหรวจสามสิบม้า, ไปหาพระรามเดโชณเมืองฝาง. ครั้นหมื่นอินทรักษาข้าหลวง, กับพระไชยทีปะไปถึงพระเจ้าเชียงใหม่จึ่งทูลว่า, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตา, อุษาหทรงเสดจพระราชตำเนินยกทับหลวงขึ้นมาถึงเมืองลำพูนกำหนดให้ลงไปเฝ้า. ทรงพระกรุณาจะให้ท้าวพระยาลาวทั้งปวงสมักสมานมอบให้, เหตุไฉนพระองค์จึ่งมิได้ลงไปเฝ้า, แล้วลอบแต่งทับมาตีทับพระรามเดโช, อันที่จะลงไปเฝ้าทูลอองทุลีพระบาทนั้นอีกเล่า. พระองค์ทำดั่งนี้ควรอยู่แล้วฤๅ. บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวขัดเคือง, ให้เสนาพฤฒามาตย์ปฤกษา, ๆ ว่าให้เชิญเสด็จ์ยกทับหลวงกลับยังกรุงพระมหานคร. แต่ทว่าสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ทรงพระอาไลยถึงพระองค์ว่า, ถ้าทับหลวงเสดจ์กลับเหนว่าเมืองเชียงใหม่จะตั้งอยู่มิได้. เสียดายที่สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวธรมานพระองค์เสดจมา, จึ่งให้ข้าพเจ้าเข้ามาทูลพระองค์, อย่าให้วิตกเกรงขามท้าวพระยาลาวทั้งปวงเลย, เปนภาระธุระสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวจะระงับการกลีให้สะงบจงได้. พระไชยทีปะทูลชี้แจงพระเดชเดชานุภาพที่ท้าวพระยาลาวเกรงขามให้ฟังทุกประการ. พระเจ้าเชียงใหม่ได้แจ้งดั่งนั้น, มีความยินดีนัก. ๚ะ

๏ ครั้นเพลารุ่งเช้าพระเจ้าเชียงใหม่, ยกช้างม้ารี้พลโดยสมควรลงมายังเมืองลำพูน, เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ทูลขอโทษที่มิได้ลงมาเฝ้า, แลลอบทำร้ายพระรามเดโชทุกประการ. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังพระเจ้าเชียงใหม่กราบทูล, แย้มพระโอฐแล้วมีพระราชโองการตรัสว่า, ซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่มิได้มาตามกำหนดนั้น, เพราะท่านมิได้เชื่อพระบวรบุญานุภาพสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงผู้ทรงกฤษฎาพินิหารอันประเสริฐ ตรัสเท่านั้นแล้ว, ก็ให้หาท้าวพระยาลาวทั้งปวงเข้ามาเฝ้า จึ่งมีพระราชบริหารตรัสแก่พระยาน่าน, พระยาฝาง, แลท้าวพระยาแสนหลวงทั้งปวงว่า, เมืองเชียงใหม่เปนกระษัตริย์สืบมาแต่โบราณราชประเพณี. พระเจ้าเชียงใหม่เล่า, ก็เปนเชื้อกระษัตริย์สืบสุริยวงษมาหลายชั่วแล้ว. แลซึ่งท่านทั้งปวงคบคิดกันเปนประปักข์ฆ่าศึกจะรบเอาเมืองเชียงใหม่นั้น, ถึงมาทว่าจะได้สมบัติในเมืองเชียงใหม่นั้นก๊ดี, ความทุรยศอันนี้ก็จะปรากฎอยู่ชั่วฟ้าดินดูมิบังควร. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาการุญภาพท่านทั้งปวง, แลพระเจ้าเชียงใหม่, จึ่งดำรัศให้เราอุษาหมาหวังจะให้ท่านทั้งปวงสามคีรศสุนทรภาพสโมษรสุจริตดุจกาลก่อน. ท้าวพระยาลาวทั้งหลายจะว่าประการใด ท้าวพระยาแสนหลวงทั้งปวงกราบถวายบังคมพร้อมกัน, แล้วกราบทูลว่า, พระเจ้าอยู่หัวโปรดประการใดจะกระทำตามทุกประการ. พระเจ้าเชียงใหม่กราบทูลพระกรุณาว่า, ท้าวพระยาทั้งปวงปรานีประนอมแล้ว, ข้าพระองคมิได้มีอาฆาฎจองเวรแก่ท้าวพระยาทั้งหลาย จะถวายสัจปัฏิญาณได้, สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟังดั่งนั้นดีพระไทย. ตั้งแต่นั้นพระเจ้าเชียงใหม่, กับท้าวพระยาแสนหลวงแสนหมื่นทั้งปวง, ก็มิได้มีความพิโรธอาฆาฎแก่กันต่อไป. พระเจ้าเชียงใหม่ก็มิได้กลับเข้าไปในเมืองเชียงใหม่, อยู่ในกองทับหลวงถึงแปดเวน. ฝ่ายหมื่นเพชรไภยรี, กับพระรามเดโชก๊มาถึง, เฝ้าพร้อมกันกับพระเจ้าเชียงใหม่, แสนหลวงแสนหมื่นทั้งปวง. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็ตรัสให้พระราชโอวาทโดยยุติธรรมสามคีรศ. พระเจ้าเชียงใหม่กับพระรามเดโช, ก็สิ้นเวรพยาบาทแก่กัน ๚ะ

๏ ครั้นรุ่งขึ้นก็เสดจ์พระราชดำเนินภาพระเจ้าเชียงใหม่, แลท้าวพระยาลาวเข้าไปในพระอารามพระมหาธาตุเมืองลำพูน. ก็ให้ท้าวพระยาลาวทั้งปวงกระทำสัจปัฏิญาณถือน้ำพิพัทธต่อพระเจ้าเชียงใหม่. ๆ ก็ถวายสัจต่อสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัว, จำเภาะพระภักตร์พระพุทธเจ้า, พระธรรมเจ้า, พระสงฆ์เจ้า, ซึ่งมิได้อาฆาฎจองเวรแก่ท้าวพระยาลางทั้งหลายอันสุจริต. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสให้โอวาทสั่งสอนพระเจ้าเชียงใหม่, แลท้าวพระยาทั้งหลายเปนอเนกบรรยาย, แล้วก็เสดจพระราชดำเนินกลับเข้ามายังพระราชพรับพลาอาศน์. จึ่งดำรัศแก่พระเจ้าเชียงใหม่, แลพระรามเดโช, ท้าวพระยาแสนหลวงแสนหมื่นทั้งปวง, ให้ไปอยู่รักษาเมืองดั่งเก่า, บำรุงประชาราษฎรขอบขันทเสมาโดยยุติธรรมประเพณีให้ถาวรวัฒนาสืบไป. ๚ะ

๏ ครั้นณวันอังคารเดือนอ้ายแรมห้าค่ำ, พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊เสดจ์พระราชดำเนินยกพยุหโยธาทับออกจากเมืองลำพูน. แลพระเจ้าเชียงใหม่, พระรามเดโช, ท้าวพระยาแสนหลวงแสนหมื่นทั้งปวง, ก๊ตามส่งเสด็จถึงตำบลจอมทอง, แล้วก็กราบถวายบังคมลา, ยกแยกกันไปบ้านเมืองโดยพระราชกำหนด. แต่พระไชยทีปะลูกพระเจ้าเชียงใหม่, แลพระยาเดกซ้าย, แลนันทะกะยอสูนั้น, ลงมาโดยเสดจ พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์ลงมาถึงสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงในเมืองสุพรรณบุรี. สมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวง, ก็มีพระราชหฤไทยปรีดาภิรมย์หนักหนา. แล้วก๊สรรเสริญพระเดชเดชานุภาพพระราชสมภาร, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจไประงับท้าวพระยาทั้งปวงให้ราบคาบนั้น. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๒ ปีขานโทศก, ในเมืองลแวกนั้นไซ้ เมื่อพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ยกทับหลวงเสดจ์ไปปราบราชศัตรูในเมืองลแวก, แลเข้าเอาครัวอพยพทั้งปวงเสดจ์มายังกรุงพระมหานครแล้ว. อยู่ต่อมาภายหลังจึ่งลูกพระยาลแวกซึ่งหนีไปอยู่ณเมืองล้านช้างนั้น, ก็คืนมายังเมืองลแวก, ประมูลไพร่พลทั้งปวงได้เปนพระยาลแวก. แล้วแต่งดอกไม้เงินทองแลเครื่องบรรณาการถวายทุกปีมิได้ขาด. ครั้นพระยาลแวกนั้นพิราไลย, หาผู้จะปกครองแผ่นดินเมืองลแวกนั้นมิได้. จึ่งสมณพราหมณาจาริย, แลท้าวพระยามนตรีมุขทั้งปวง, แต่งดอกไม้เงินทองแลเครื่องบรรณาการ, มาถวายบังคมพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ขอพระศรีสุพรรมาธิราชผู้น้องพระยาลแวกก่อนนั้น, ไปครองแผ่นดินเมืองลแวก พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก๊ทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องราชูประโภกสำรับพระมหากระษัตรีย, ให้เอาพระสุพรรมาธิราชไปเปนพระยาลแวก. แลตรัสให้เจ้าพระยาสวรรคโลกย์ พระยาพันธารา, แลพลทหารสามพันเอาพระศรีสุพรรมาธิราชไปส่งถึงเมืองลแวกโดยทางเรือ, ในปีขานโทศกนั้น. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๓ ปีเถาะตรีศก, พระศรีสุพรรมาธิราช, ผู้เปนพระยาลแวก, ให้พระยากลาโหมผู้บุตรเขย, มากราบทูลพระกรุณาพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ว่า, พระยาออนอันหนีไปอยู่ด้วยซ่องพรรค์ในตำบลแสนสโตงนั้น, ประมูลซ่องพรรค์ทั้งปวงได้มากแล้ว, ว่าจะยกไปรบพระยาลแวก. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสให้แต่งทับสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอ, พระมหาธรรมราชา, แลช้างเครื่องห้าสิบ, ม้าร้อยหนึ่ง, พลหมื่นหนึ่ง, แลทับพระยาธรรมาธิบดี, พระยาสวรรคโลกย, พระยากำแพงเพชร, พระยาศุโขไทย, พระยาพันธารา, ยกไปโดยทางโพธิสัตว์. แลมีพระราชกำหนดไปให้พระยาลแวกยกทับออกมาบรรจบด้วยสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอ. แลให้ยกไปตีทับพระยาออนในตำบลแสนสโตงนั้น. ครั้นตีทับพระยาออนแตกฉานแล้ว, สมเดจพระเจ้าลูกเธอ, ก็ยกทับคืนมาโดยทางพระนครหลวง, มาถวายบังคมพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์. ๚ะ

๏ เมื่อทับหลวงเสดจ์อยู่ในเมืองเพชรบุรีในปีเถาะนั้น, พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสด็จขึ้นไปประภาศโดยทางชลมารค, เสด็จด้วยพระชลวิมานอันอลังการอลงกฎรจนา, ดูมหิมาดาดาษด้วยบริวารแสนสฤงฆารประดับนิ์สรรพ์เสร็จ, เสดจถึงเมืองพระพิศณุโลกยตั้งตำหนักในตำบลวัดจัน. ฝ่ายพระคชาธารสารสินทพราชพาหน, แลช้างต้นม้าต้นทั้งปวงนั้นทรงพระกรุณาตรัสให้ไปโดยทางสถลมารครับทับหลวงในเมืองพระพิศณุโลกย พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊เสดจ์ไปนมัสการพระชินราช, ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุในเมืองพระพิศณุโลกยนั้น, แล้วก๊เสดจไปประภาศในวัดเมืองพระพิศณุโลกยนั้นทุกตำบล ๚ะ

๏ ในขณะนั้นกรมการเมืองพระพิศณุโลกย์กราบทูลพระกรุณาว่า, เสือร้ายนัก, ย่อมมาบีทาผู้คนถึงในเมืองพระพิศณุโลกย. ทรงพระกรุณาตรัสให้ข้าหลวงไปล้อมเสือร้ายทุกตำบล. วันหนึ่งข้าหลวงไปล้อมเสือมาถวาย. แลทรงพระกรุณาตรัสให้แต่งเปนคอกสูงประมาณสิบศอก. แล้วเอาเสือปล่อยไว้ในคอกนั้น, พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว. ก๊เสดจ์ด้วยช้างพระที่นั่ง แลเสด็จออกไปยืนช้างพระที่นั่งแทบคอกขังเสือนั้น. แลจะให้ทหารข้าหลวงเข้าพุ่งแทงไซ้. เสือนั้นใหญ่กำลังสามารถ.ก๊โดดข้ามคอกออกมาได้โดยน่าพระที่นั่ง ทรงพระกรุณาเสดจ์วางช้างพระที่นั่งตามเสือนั้นไป, แลตรัสให้ข้าหลวงเข้าล้อมแทงเอาได้ในกลางแปลง, แลข้าหลวงจะได้ป่วยเจ็บหามิได้. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจไปเมืองพระพิศณุโลกยคราวนั้น, แลเสดจ์ประภาษดั่งนี้เปนหลายครั้ง. จึ่งพระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊มีพระราชโองการตรัสให้ทองนพคุณเครื่องราชูประโภค, สำหรับเปนทองประทาราศรี, จึ่งเสดจ์ไปปิดพระพุทธปฏิมากรพระซินราช, ด้วยพระหัถบริบูรณ. ก๊แต่งการฉลอง, แลให้เล่นมโหรสพบูชาสการะแก่พระพุทธเจ้านั้นเจ็ดวันเจ็ดคืนเปนมโหฬารหนักหนา. จึ่งสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงตรัสใช้ให้ข้าหลวงขึ้นไปกราบทูลพระกรุณา, เชิญเสดจพระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจลงมาจากเมืองพระพิศณุโลกย, ในเพลาวันพุทธเดือนหกแรมหกค่ำในปีเถาะนั้น ๚ะ

๏ ครั้นถึงเดือนเก้าพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสดจ์จากเมืองเพชบุรีโดยสถลมารค, เสดจไปประภาศถึงตำบลสามร้อยยอด. แลตั้งพระตำหนักแทบฝั่งพระมหาสมุท จึ่งเสดจ์ลงพระสุพรรณวิมารนาวาอันอลงกฎรจนาธิการ, ประดับนิ์สรัพด้วยเครื่องพิไชยสาตราวุธดูมหิมา, แลเรือท้าวพระยาเสนาบดีพิริยโยธาทหารโดยเสดจ์, แห่ห้อมล้อมดาษในท้องมหามหรรนพสาคร. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสดจ์ออกไปประพาสอภิรมย์ชมฝูงมัศยากร, อันมีนาๆพรรณอันมีในกลางมหาสมุท, ก็ทรงเบ็ดทอดได้ปลาฉลาม, แล้ก็เสดจ์คืนมายังพระตำหนัก. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์ออกไปประภาศในกลางมหาสมุทดั่งนั้นได้สิบสี่วันวาร. แล้วก๊มีพระราชโองการตรัสสั่งให้ไปแต่งพระตำหนัก, ณริมฝั่งมหาสมุทตำบลโตนดหลวง, ก๊เสด็จลงพระสุพรรณวิมารมหานาวา, อันเปนพิไชยพาหนสำหรับประดับพลากรโดยขนาด. เรือท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขพิริยโยธมาตย์ทั้งหลาย, แห่ห้อมล้อมดาษดาดูมหิมาด้วยเครื่องสรรพายุทธ์. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสดจโดยชลมารคมหาสมุท, มายังพระตำหนักในตำบลโตนดหลวง. แลทอดอยู่แรมทับในมหาสมุทสองฅืน, จึ่งเสด็จถึงพระตำหนักโตนดหลวงนั้น, แลเสดจออกไปประภาศในกลางมหาสมุท. ในตำบลโตนดหลวงนั้นเล่าอยู่สิบสองวัน, จึ่งเสดจ์จากตำบลโตนดหลวง, เสดจโดยสถลมารคมาทางเข้ามายังเมืองเพชรบุรี. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๔ ปีมโรงจัตวาศก, เดือนสิบสอง, พระบาทสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการ ตรัสให้บำรุงช้างม้ารี้พลทั้งปวงไว้สรรพ, จะยกทับหลวงเสดจ์ไปเอาเมืองตองอู จึ่งมีข่าวมาว่า, พระยาอังวะยกมาเอาเมืองนายแลได้เมืองแล้ว, แลพระยาอังวะจะยกไปเอาเมืองแสนหวีเล่า. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสว่า, เมืองแสนหวีไซร้, ได้เปนข้าขอบขันทเสมา. ฝ่ายกรุงพระนครศรีอยุทธยาเล่า, แลซึ่งพระยาอังวะมาเอาเมืองนาย, แลเมืองแสนหวีดังนี้, ควรเราจะยกทับหลวงไปเอาเมืองอังวะ จึ่งมีพระราชกำหนดแก่ท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง, ให้ตรวจเครื่องสรรพาวุธช้างม้ารี้พลทั้งปวงเสดจ์, แลจะยกทับหลวงเสดจ์ไปเอาเมืองอังวะ ๚ะ

๏ ครั้นถึงมาฆมาศพระบาทสมเดจ์บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็มีพระราชโองการตรัสให้แต่งพระตำหนัก ในตำบลป่าโมก. ครั้นเสรจ์ก๊เสดจด้วยพระชลวิมานโดยทางชลมารคเสดจเข้าภักพล, ในพระตำหนักป่าโมกนั้น. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก๊เสดจ์กับพยุหบาตราจากตำบลป่าโมก, เสดจ์โดยชลมารคขึ้นเหยียบไชยภูมในตำบลเอกราช, ให้ขุนแผนสท้านฟันไม้ข่มนามโดยการพระราชพิธีพิไชยสงครามเสร็จ, ก็เสดจออกทับไชยในตำบลพระล่อ. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสด็จโดยพยุหบาตราโดยสถลมารค. สมเดจพระพุทธเจ้าหลวงเสดจทรงช้างต้นศรีไชยภักดี, เปนพระคชาธาร. สมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ทรงชข้างพระมหาศักดานุภาพ, เปนพระคชาธาร. พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จพยุหบาทตราด้วยพระคชาธารทั้งสองอันประดับด้วยเครื่องคเชนทราลังการาภรณ, อันพิจิตรด้วยกาญจนมณีรัตนฉัชวาลยแลมโหฬารด้วยเครื่องอพิรุมย, เสวตรฉัตรกลิ้งกลดชุมสายพรายพรรณ, พิจิตรพิพิธรัตนพัชณีจามรบวรอันโอภาษ, เดียรดาษด้วยท้าวพระยาสามนตราชาเสนาบดีมนตรีพิริยโยธาทหาร, แห่ห้อมล้อมเปนบริพาร, ดูอธิกพันฦกด้วยพวกพลคเชนทร มีกรบวรมหาคชสารสินธพสมุหโยธาทังหลาย ดูพรรณราย. ด้วยเครื่องสรรพยุทธเกราะกรายย้ายกัน, แห่โดยขนัดซ้ายขวาน่าหลัง, แลพลช้างเครื่องแปดร้อย, พลม้าพันห้าร้อย, พลโยธาทหารแสนหนึ่ง. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสด็จพยุหบาทตราโดยสถลมารคไปโดยทางเมืองกำแพงเพชร, ขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่. แลพระเจ้าเชียงใหม่ไปรับพระรามเดโชในเมืองเชียงแสน. จึ่งตั้งทับหลวงแทบเมืองเชียงใหม่, อยู่ท่าพระเจ้าเชียงใหม่. แลแต่งข้าหลวงให้เข้าไปหาพระรามเดโช, แลเชิญพระเจ้าเชียงใหม่คืนมา. ครั้นพระเจ้าเชียงใหม่มาถึงทับหลวง, แลพระเจ้าเชียงใหม่ก็เสดจมาเคารพพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์. แล้วถวายช้างม้า, แลเครื่องบรรณาการเสร็จ, ก๊ตั้งตำหนักอยู่แทบทับหลวง. ในวันอัฐมีนั้น, พระเจ้าเชียงใหม่ก็อัญเชิญพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสด็จเข้าไปนมัศการพระพุทธสิหิงคิ์ในเมืองเชียงใหม่นั้น. แลทับหลวงตั้งอยู่ในเมืองเชียงใหม่นั้นเดือนหนึ่ง, จึ่งยกทับหลวงเสดจ์จากเมืองเชียงใหม่, ไปโดยทางอังวะ พระเจ้าเชียงใหม่แลลูกพระเจ้าเชียงใหม่ทั้งสามคนไปโดยเสดจทับหลวง. ๚ะ

๏ สมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวง, ก๊ยกพยุหโยธาทับเสดจไปโดยทางเมืองห้างหลวง. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊ยกทับหลวงเสดจไปโดยทางเมืองฝาง, แลเสดจ์ถึงเมืองฝางในวันพฤหัศบดีเดือนห้าแรมสิบเบ็ดค่ำ. ฝ่ายสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงเสดจ์ถึงเมืองห้างหลวง, แลตั้งทัพหลวงอยู่ตำบลทุ่งแก้ว, แรมทับในตำบลนั้น. ส่วนพระยากำแพงเพชร, แลพระหัวเมืองขุนหมื่นทั้งหลายผู้เปนทับน่า, ก็ยกช้างม้ารี้พลไปถึงแม่น้ำโขง. ๚ะ

๏ ในขณนั้นสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระประชวรหนัก, ก๊ตรัสใช้ข้าหลวงให้ไปกราบทูลพระกรุณาถึงเมืองฝาง. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์จากเมืองฝางมายังสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงในเมืองห้างหลวง. แลเสดจไปถึงในวันเสารเดือนหกขึ้นหกค่ำปีมเสงเบญจศก. รุ่งขึ้นวันจันทรเดือนหกขึ้นแปดค่ำเพลาชายแล้วสองบาท, สมเดจพระพุทธเจ้าหลวงเสดจสวรรคต. สมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงพระชันษาปีมโรงศก. เมื่อได้ราชสมบัตินั้น, ศักราช ๙๐๔ ปีขานจัตวาศก. ในปีขานนั้นพระชนมได้ ๓๕ พรรษา, เสด็จอยู่ในราชสมบัติ ๑๕ พรรษา. เมื่อเสดจสวรรคตในเมืองห้างหลวง, พระชนมได้ห้าสิบพรรษา ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินเอกาทศรฐ ๚ะ

๏ จึ่งพระราชครูทั้งสี่, แลท้าวพระยาสามนต์ราชมหาเสนาบดีมนตรีมุขพิริยโยธามาตย์ทั้งหลายตั้งพลับพลาไชยสุพรรณมหาวิมาน, ในทับไชยกลางพลพยุหนั้นเสร็จ, ก๊นำพระราชเขนทรยานการจนอลงกฎรจนามหาบวรชัชวาลย์, ประดับนิ์ด้วยอภิรุมย์ชุมสายบวรเสวตรฉัตร, พัชนีพรณกลิ้งกลดจามรมาศทั้งปวง, แลเครื่องมหาราเชนทรเบญจะราชกุกุภรรณฑ์อนันตเครื่องรัตนราโชประโภค, อันเปนเครื่องราชาพิเศกสำหรับพระมหากระษัตราธิราชเจ้ามาถวาย. แด่พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, อัญเชิญเสดจขึ้นผ่านพิภพมไหสวรรยาธิปไตย์ ถวัลย์ราชประเพณีสืบสันตติศรีสุริยวงษตำรงพิภพมณฑล, สกลกรุงพระมหานครศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบูรีรมย์, อันอำพนด้วยสามนตราชาประเทศ, นานามหาไพบูลย์พิศาฬราชเจ้าสิมาอาณาเขตรมณฑลทั้งปวง, โดยบุรพประเพณีพระมหากระษัตราธิราชเจ้าสืบมา.พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสดจขึ้นพลับพลาไชยสุพรรณมหาวิมาน, อันประดับเครื่องอลังการกาญจนดารามะหาวิศดารสาตรทิพมณฑล, ดูถกลด้วยบวรเสวตรฉัตร์ดารากรจ่ามรมาศอลงกฎ, แลมีพระคชาธารพระยาสารราชคเชนทร์สถิตย์ซ้ายขวา แลตั้งพยุหพลาพลพฤนทรโยธาทหารทุกหมู่ทุกพรรค์, ปราดับโดยขนัด. พลช้างพลม้า, พลเขนดั้งแพนแสนเสโล่โตมรธะนูศรทั้งปวง, แห่ห้อมล้อมเปนบริวารเสรจสรับ. จึ่งท้าวพระยาสามนตราชตระกูลประยุรราชมหาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง, ถวายบังคมพระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว. จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลาย, ให้ตกแต่งการที่จะรับพระบรมสพสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงมายังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา. แลมีพระราชกำหนดให้ขึ้นไปหาท้าวพระยาทั้งหลาย, อันไปทับน่านั้น, ให้กลับคืนมายังทับหลวง. ส่วนพระรามเดโชซึ่งมีพระราชกำหนดให้ไปหาถึงเมืองเชียงแสนเชียงรายนั้น, พระรามเดโชก๊มาถึง. แลเบิกเข้ามาถวายบังคมในตำบลเมืองห้างหลวงนั้น. ๚ะ

๏ ครั้นถึง ณวันพฤหัศเดือนหกขึ้นสิบสองค่ำ, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจ์ด้วยพระที่นั่งครุธพาหนะ มีเสวตร์ฉัตรรัตนอภิรมย์ชุมสายพรายพรรณ์, ประดับด้วยท้าวพระยาสามนต์ราชพิรียโยธาแสนยากรทั้งหลาย ย้ายกันโดยขนาดน่าหลัง, ก็เสดจ์กรีธาพลพยุหะยกทับหลวงจากเมืองห้างหลวง, คืนมาโดยอันชลมารควิถีเสดจ์ถึงเมืองเชียงใหม่. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่พระเจ้าเชียงใหม่, ให้อยู่รักษาเมืองแลบำรุงช้างม้ารี้พลให้มั่งคั่งเมื่อจะมีกิจราชการพระราชสงครามไซ้, จะเอาพระเจ้าเชียงใหม่ไปโดยเสดจ์. ก็แรมทับหลวงในเมืองเชียงใหม่คืนหนึ่ง. ครั้นพระเจ้าเชียงใหม่นำท้าวพระยามาถวายบังคมเสรจ, สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็ยกทับหลวงเสดจ์จากเมืองเชียงใหม่ลงมาแล้ว, ทรงพระกรุณาเอาพระทูลองลูกพระเจ้าเชียงใหม่, ลงมาโดยเสดจ์. แลพระราชทานให้นามกรชื่อพระศรีสุมหาธรรมราชา. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์มาโดยทางศุโขไทย, มายังท่าเรือในเมืองกำแพงเพชร ๚ะ

๏ ในขณะนั้นเมืองไซร แต่งทูตานุทูตให้ถือหนังสือแลเครื่องบรรณาการเข้ามาถวาย จึ่งข้าหลวงก็นำทูตานุทูตเมืองไซรนั้นขึ้นไปถวายบังคม, แลถวายเครื่องบรรณาการ, ถึงทับหลวงในเมืองกำแพงเพชร ๚ะ

๏ แต่ทับหลวงตั้งอยู่ในเมืองกำแพงเพชรนั้นสิบห้าวัน, จึ่งมีพระราชกำหนดลงมาแต่ท้าวพระยาผู้อยู่รั้งพระนคร, ให้แต่งพระตำหนักตำบลป่าโมก, ครั้นเสรจก็เสดจ์โดยชลมารคล่วงมาในพระตำหนักป่าโมกนั้น. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณธิบดี, ให้ตกแต่งการประดับประดาพระราชวังหลวง, แลตั้งราชวัดฉัตร์ธงทั้งสองตราบข้างทางชลมารค. แต่พระตำหนักป่าโมกถึงพระราชวังหลวง. แลให้ท้าวพระยาทั้งหลายตรวจจัดเรือแห่แหนทั้งปวงสรับเสรจ. ๚ะ

๏ ครั้นถึง ณวันพฤหัศบดีเดือนสิบสองขึ้นสิบค่ำ, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสให้พระราชครูทั้งสี่แต่งพระราชพิธีสงครามาภิเศก. แล้วให้เอาเรือพระที่นั่งไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา, อันประดับด้วยสรรพาลังการอันมเหาฬาร, มาบันจบทับขนานแลเทียบเรือ, แห่น่าหลังทั้งปวงเสรจ์. ถึงเพลารุ่งแล้วนาฬิกาหนึ่ง, ได้ศุภโยคมังคโลดมเวลาฤกษอันประเสริฐ. จึ่งพระโหราธิบดีศรีสุนทรบริหารก็ลั่นฆ้องไชย. พระราชประโรหิตตาจาริย์ราชสุภาวดีศรีบรมหงษองค์บริโสดมพราหมณวิทยจารย์, เป่ามหาสังข์ทักษิณาวัต, แลประโคมแตรสังข์ดุริยางค์ดนตรีทั้งปวง. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์ลงเรือพระไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา, แลมีพระราชครูทั้งสี่, แลโหราธิบดีแลแพทยาธิบดี, โดยเสดจ์เฝ้าพระบาทในน่าพระที่นั่ง จึ่งให้ยกธงไชยโบกโบยคลายพระที่นั่งไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา, ก็เสดจ์ออกจากขนาน, ก็เสดจ์โดยชลมารคนัทีธาร, ดูมโหฬารเรือต้นทั้งปวงอันประดับด้วยเครื่องอลงกตรจนาสรรพการพิธี, แลประกอบด้วยเรือท้าวพระยามหาเสนาบดีทั้งปวง, แห่โดยขบวนน่าหลังเดียรดาษ. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์ถึงประทับขนานพระราชวังหลวง, แลตีอินทเภรีเปนประถมรดมประโคมแตรสังข์. จึ่งเสดจ์ขึ้นพระราเชนทรยานพยุหบาตรา แลประดับด้วยเสวตร์ฉัตรสำหรับบรมราชาภิเศก, แลตีอินทเภรีเปนทุติยวาร, ก็เสดจ์ด้วยพระราเชนทรยานถึงอัฒจันไพชยนมหาปราสาท. จึ่งตีอินทเภรีเปนตะติยวาร, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์ลงจากพระราเชนทรยาน, เสดจ์ในน่าฆ้องไชยชำระพระบาทเสรจ. เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี, ก็ลั่นฆ้องไชย, ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรีทั้งปวง. จึ่งเสดจ์ขึ้นไพชนต์มหาปราสาท, แลเสดจ์ขึ้นในพระที่นั่งมังคลาภิเศกสีหบัญชรอันประดับด้วยเนาวรัตนชัชวาลย์, มีพระคชาธารพระยาสารอลงกฎ, สถิตย์ทั้งซ้ายขวาทั้งพวกพลโยธาทหารตั้งแห่ดาษดาโดยขนัดสรรพายุทธทั้งปวง, ตั้งเปนกระบวรประดับประดา. จึ่งเบิกท้าวพระยาสามนตราชกระกูลพฤฒามาตยมหาเสนาบดีทั้งปวง, ถวายบังคมพระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวแล้ว. ก็เบิกสมโพชเลี้ยงลูกขุน. แลถวายอาเศียรภาศสำหรับการพระราชพิธีพระนครประเวศน์นั้น. ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินสมเดจเอกาทศรฐ ๚ะ

๏ ในศักราช ๙๕๕ ปีมเสงเบญจศกนั้น, พระบาทสมเด็จเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสด็จปราบดาภิเศกเสวยราชสมบัติในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา, มหาดิลกภพนพรัตนราชธาณีบูรีรมย์. ทรงพระนามพระศรีสรรเพชสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิ, สวรรยาราชาธิบดินทราธรนินทราธิราชรัตนนากาศภาศกรวีวงษ, องค์บรมาธิเบศตรีภูวเนตวรนารถนายก, ดิลกรัตนราชชาติอาชาวะไศรย, สมุทยวโรมนต์ สกลจักรวาลาทิเบนทรสุริเยนทราธิบดินท์หริหรินทราธาดาธิบดี, ศรีวิบูลย์คุณรูจีจิตรฤทธิราเมศวร, วรธรรมมิกราชเดโชไชยพรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบต, โลกเชษฐวิสุทธิมกุฎปเทศคตามหาพุทธางกูร, บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงพระมหานครทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิหลกภพนพรัตนราชธาณีบูรีรมย์. พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม, แลสถิตยในพุทธารรถจรรยา, ดารรถจรรยา, โลกรรถจรรยา มหิมาด้วยพุทธาการกโพธิสมภาร มเหาฬารมหัศจรรย์อนันตปัญญาฤทธาพล พหลเดโชนุภาพปราบบรราชอริศริเดชะตระบะอันมหิมา, คือองค์สฤษดิรักษสังหารวิสาร วิสุทธิอุดมเทพสมบุรณในพระองค์บมิขาด อาทิคือ พระพรหม พระพิศณุ พระอิศวร, พระพายุ, พระพิรุณห์, พระเพลิง, พระยม, พระไพรสพ, พระอินทร, พระจันทราทิตย์. แลพระองค์ทรงฤทธิสิทธิศักดิอนันตคุณ อดูลยาดิเรกอเนกคุณมหามหรรพณพ, สบสกลเวทศิลปาคมอุดมยศโยคสกลโลกโลกยมกุฎวิสุทธิจุธามณีรัตน, สวัศดิมงคลสกลเหนือศรีโรตมางค์ มหากระษัตรีย์เจ้าทั้งปวงในสากลชมภูทวีป. แลพระบาทบรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจ์เสวยไอยสุริยาธิปไตยบูรีรัตน์ สมบุรณมั่งคั่งด้วยช้างม้ารี้พลพหลแสนยากร, สมณพราหมณาจาริย์จัตรพรรค์, ประชาชนคณสบไสมย์ประเทษนาๆ พรรคนิกรสโมสรบรมศุขเกษมเปรมประชาราษฎร, เลิศล้นพ้นกว่าโบราณราชประเพณี. มีพระราชหฤไทยไกลกรุณาปรานีสัตวโลกากรทั้งหลาย, หมายให้นฤทุกข์ปลุกใจยราษฎร, ให้สารติเกษมศุขโดยยุติธรรมอันบวรขจร พระเกียรติปรากฎพระยศเซงซ่านทั่วทิศศานุทิศ แลท้าวพระยามหากระษัตราธิราชเจ้าทั้งหลาย, ก็แต่งเครื่องบรรณาการ, ให้ทูตานุทูตมาถวายบังคมพระบาทสมเดจบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวมิได้ขาด แลพระบาทสมเดจบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจสร้างพระโพธิสมภารบำเพญพุทธการกธรรมบรมารรค อาทิ, คือสร้างพระวรเชษฐารามมหาวิหารอันรจนา, พระพุทธปฏิมามหาเจดีย์บันจุพระษาริริกะธาตุสำเหร่จ์กุฎีสถานปราการ, สมด้วยอรัญวาศรี. แล้วก็สร้างพระไตรปิฎกธรรมจบบริบูรณทั้งพระบาฬี, อรรถกถา, ฎีกา,คันถี,วิวรณ์ทั้งปวง จึ่งแต่งหอพระสทธรรมเสรจ, ก็นิมนตพระสงฆ์อรัญวาศรี, ผู้ทรงศีลาทิคุณอันสันเลขมาอยู่ครองพระวรเชษฐารามนั้นแล้ว, ก็แต่งขุนหมื่นหลวงไว้สำหรับอารามนั้น แลจำหน่ายพระราชทรัพย์ไว้ให้แต่งจัตุปัจจัยทาน, ถวายแก่พระสงฆเปนนิจกาล แล้วให้แต่งโรงทานศาลา, แลประสาทพระราชทรัพยให้แต่งโภชนาหารจรรหัน ถวายแก่ภิกขุสงฆเปนนิตยพัตบมิขาด ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงให้แต่งการพระบรมสพสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง แลแต่งเมรุมาศสูงเส้นสิบเจ็ดวา ประดับด้วยเมรุทิศ, เมรุราย, ราชวัด, ฉัตรนาค ฉัตรเบญจรงค์นาๆเสรจ ก็อัญเชิญพระบรมสพเสดจ์เหนือกฤษดาธารอันประดับด้วยอะภิรุมกลิ้งกลดรจนา แลท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายมาประดับแห่ห้อมล้อมมหากฤษฎาธาร ก็อัญเชิญพระบรมสพเสด็จลิลาโดยรัฐยาราชวัด ไปยังเมรุมาศด้วยยศบริวาร, แลเครื่องเสการบูชาหนักหนา. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสดจไปถวายพระเพลิงพระบรมสพสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง ให้นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาศหมื่นหนึ่ง, ถวายพระราชทานเครื่องอัฐบริขาร, ทักษินาบูชา พระสงฆ์ทั้งปวงเปนมโหฬาร. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาตองอูเมื่อทับสมเดจพระนเรศวรเปนเจ้า, ล่ากลับไปกรุงพระนครศรีอยุทธยาแล้ว, พระยาตองอูก็ทำนุบำรุงพระเจ้าหงษาวดีไว้เปนอันดีหวังจะเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเปนปรกติก่อนจึ่งจะคิดการใหญ่ต่อไป จึ่งมีหนังสือไปประกาษแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า เราผู้เปนราชนัดาพระเจ้าหงษาวดี คิดถึงพระคุณสมเดจพระบิตุลาธีราช จึ่งให้โหราพฤฒาจารยขับไล่ดูชะตาเมืองหงษาวดี ที่จะรับศึกพระนครศรีอยุทธยา โหราพฤฒาจารยผู้รู้แท้ทายว่า, ชะตาเมืองหงษาวดีขาดสูญแล้ว ที่จะรับรองข้าศึกนั้น, ถึงมานว่าเทวดามาช่วยก็ไม่รอดเลยในที่จะปราไชยเปนมั่นคง แล้วว่าชะตาเมืองตองอูครั้งนี้ได้จัตุรงคโชก ถึงแม้จะมีฆ่าศึกมามากดุจคลื่นในพระมหาสมุทก็จะปราไชยไปเอง. เพราะเหตุฉนี้เราจึ่งเชิญเสดจพระเจ้าหงษาวดี, แลกวาดครอบครัวขึ้นมาตั้งรับหมั้นณเมืองตองอู ทับพระนเรศวรนครศรีอยุทธยายกมาติดเมืองตองอู ถึงหักหารปีนปล้นเปนหลายครั้งเสียทแกล้วทหารมาก, แลตั้งล้อมอยู่ถึงสามเดือนเสศก็มิได้จนล่าทับไป, ก็เปนบำเหนจมือเมืองตองอูรับทับพระนเรศวร, เอาไชยชนะไว้ได้ ท่านทั้งปวงก็ย่อมแจ้งอยู่ แลพระเจ้าหงษาวดีเคยเปนศุขอยู่ในเมืองหงษาวดีนั้นฉันใด, เราก็อุษ่าห์สนองพระคุณให้เปนศุขดุจดังนั้น. แลหัวเมืองทั้งปวงอย่าได้กินแหนงสนเท่ห์สิ่งใดเลย, เคยทำราชการฉันใด ก็ให้ทำดุจกาลก่อนนั้นเถิด. ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงได้แจ้งในหนังสือพระยาตองอูดั่งนั้น. ลางเมืองก็เชื่อลางเมืองคิดสงไสยเปนอันมาก. แต่แต่งคนให้ขึ้นไปทรับทราบสืบสวนดูถึงเมืองตองอูเนื่อง ๆ ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๓ ปีเถาะตรีศก ก็ได้เนื้อความว่าพระยาตองอูทำนุบำรุงพระเจ้าหงษาวดีไว้ทั้งนี้, หาโดยสัจกตัญญูสุจริตไม่. ความคิดทั้งนี้เปนเล่กเทห์พระมหาเถรเสียมเพรียมบอก หัวเมืองทั้งปวงคิดกันจะยกไปรบชิงพระเจ้าหงษาวดีมาให้จงได้ ต่างเมืองก็จัดแจงไพร่พลเสรจแล้วยกขึ้นไปถึงเมืองจิตรตอง. ขณะนั้นพระยาตองอูรู้ จึ่งให้นิมนต์พระมหาเถรเสียมเพรียมเข้ามาแล้วนมัสการบอกว่า บัดนี้หัวเมืองทั้งปวงรู้คิดกันยกมาจะรบเมืองเรา พระผู้เปนเจ้าช่วยคิดให้โยมด้วย.พระมหาเถรจึ่งว่าจะกลัวอะไรแก่อ้ายหัวเมืองเหล่านี้ แต่จะตีด้วยลมปากก็จะกลับไปเอง พระยาตองอูได้ฟังมีความยินดีนัก กราบนมัสการพระมหาเถระแล้ว ๆ เล่า ๆ พระมหาเถรจึ่งกระซิบบอกอุบายให้พระยาตองอูทุกประการ, แล้วก็ลาไปอาราม. พระยาตองอูจึ่งแต่งเปนหนังสือรับสั่งพระเจ้าหงษาวดี ไปถึงท้าวพระยาหัวเมืองทั้งปวงว่าพระเคราะห์เมืองหงษาวดีร้าย พระยาตองอูหลานเรามีความกตัญญูกลัวจะเสียแก่ฆ่าศึก เสียดายรามัญทั้งปวงจะไปเปนเชลยกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจึ่งรับเรามาไว้ณเมืองตองอู ได้พ้นจากเงื้อมมือปจามิตรก็ค่อยเปนศุขอยู่ ถ้าครบเจ็ดปีสิ้นพระเคราะห์แล้ว ก็จะกลับลงไปตั้งเมืองหงษาวดีดั่งเก่า แลซึ่งหัวเมืองทั้งปวงคบคิดกันยกทับมาทั้งนี้จะเปนกระบถฤๅ ฝ่ายท้าวพระยารามัญหัวเมืองทั้งปวง, ได้แจ้งในหนังสือรับสั่งดั่งนั้นก็สำคัญว่าจริง ตกใจกลัวเปนกำลัง ก็ภากันเลิกทับกลับไป. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๔ ปีมโรงจัตวาศก นักส้างบุตรพระยาตองอูจึ่งคิดว่า บิดาไปภาเอาพระเจ้าหงษาวดีมาไว้ ให้ศึกพระนครศรีอยุทธยามาติดแทบจะเสียเมืองครั้งหนึ่งแล้ว, แล้วหัวเมืองทั้งปวงก็เปนเสี้ยนศัตรู. ภากันยกรี้พลมาจะตีเอาเมืองอีกเล่า แลเหตุที่เปนทั้งนี้เพราะพระเจ้าหงษาวดีองค์เดียว. ถ้าจะไว้ไหนเลยศึกจะวายเมือง, จำจะลอบล้างพระเจ้าหงษาวดีเสียให้ดับสูญแล้ว เมืองตองอูจึ่งจะเปนศุข คิดแล้วก็ประกอบยาพิศลอบใส่ในเครื่องเสวย พระเจ้าหงษาวดีมิทันรู้เสวยเข้าไป พระองค์ก็ดับสูญสวรรคต พระยาตองอูรู้ว่าพระเจ้าหงษาวดีสวรรคาไลยแล้วก็ตกใจ จึ่งให้ไต่สวนไล่เลียงก็ได้ความว่า นักส้างผู้บุตรประกอบยาพิศพ์ให้พระเจ้าหงษาวดีเสวยเข้าไป, พระยาตองอูรู้เหตุกระหนักแล้วถอนใจใหญ่มิรู้ที่จะทำประการใด จึ่งให้นิมนต์พระมหาเถรเสียมเพรียมมาแล้ว, จึ่งแจ้งเหตุทุกประการ. พระมหาเถรได้แจ้งดั่งนั้นก็ตกใจ จึ่งว่า เออการเราเสียแล้ว. บุตรท่านเปนคนโฉดเขลานักหาปัญญามิได้สมด้วยพระบาฬีว่า, มีบุตรถ้าไม่ดีแล้วก็เปนสัตรูแก่บิดามารดา ท่านนี้อุประมาดั่งพฤกษาชาติอันจะตายเพราะลูก. พระยาตองอูได้ฟังพระมหาเถรว่า ก็โทมนัศน้อยใจแก่บุตรเปนกำลัง จึ่งกราบนมัสการพระมหาเถรแล้วว่า พระผู้เปนเจ้าจะคิดฉันใดดี พระมหาเถรจึ่งว่าการสิเสียไปไม่สมคเนแล้ว จะต้องการอันใดให้หัวเมืองทั้งปวงเปนเสี้ยนสัตรูเล่า เราจะเอาความดีไว้เบื้องน่าเถิด. ท่านจงให้ชาวเมืองโกนศีศะเสียทั้งเมือง แล้วมีหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่า พระเจ้าหงษาวดีทรงประชวรได้สามวันเสดจสวรรคต เราผู้เปนราชนัดาจะทำการถวายพระเพลิงสนองพระคุณให้ถึงขนาด แลหัวเมืองทั้งหลายผู้ใดรู้พระคุณจะมาช่วยกันก็ตามมิมาก็ตามอัชฌาไศรยนั้นเถิด แลตัวเราถึงถวายพระเพลิงเสร๊จแล้ว ก็ไม่คิดตั้งตัวเปนใหญ่หามิได้ จะไปพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเดจพระนเรศวรบพิตรเปนเจ้ากรุงพระนครศรีอยุทธยาแล้ว ถ้าท่านมีหนังสือไปดั่งนี้หัวเมืองทั้งปวงจะเหนความจะสิ้นอาฆาฎจองเวร. ถ้าผู้ใดมาก็เหนเปนสุจริต ถ้ามิมาก็จะไปพึ่งกรุงพระนครศรีอยุทธยา ดีร้ายก็จะเอาคดีอันนี้ไปเล่าความดีก็จะมีแก่เราสืบไป พระมหาเถรชี้แจงบอกอุบายให้พระยาตองอูแล้วสั่งว่า ซึ่งจะแต่งการถวายพระเพลิงนั้นให้ค่อยทำช้า ๆ ความตีจึ่งจะฦๅขจรไปในนาๆประเทศ สั่งแล้วพระมหาเถรก็ลาไปอาราม. พระยาตองอูก็มีหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งปวง ดุจคำพระมหาเถรทุกประการ. ท้าวพระยาหัวเมืองทั้งปวงเหนผู้ถือหนังสือโกนศีศะ แล้วแจ้งในหนังสือว่าพระเจ้าหงษาวดีเสดจสวรรคาไลยก็มีความรังเกียจกินแหนง ต่างคนก็โทมนัศโสกาดุรภาพถึงพระเจ้าหงษาวดีเปนอันมาก ที่มีกตัญูรู้พระคุณก็มายังเมืองตองอู ช่วยแต่งการที่ถวายพระเพลิงเปนอันมาก ลางเมืองก็มิได้มาช่วยพระยาตองอู, ไปเข้าหาพระยาทะละอันสมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้า ให้อยู่สำเรจราชการในเมืองเมาะตะมะเมาะลำเลิ่ง ฝ่ายพระยาตองอูครั้นตกแต่งการสพพระเจ้าหงษาวดีเสจแล้ว ก๊ถวายพระเพลิงโดยราชประเวณีพระมหากระษัตราธิราชเจ้าสืบมา ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๕ ปีมเสงเบญจศก ณเดือนญี่, พระยาตองอูก็แต่งราชทูตอุปทูตตรีทูต, ถือพระราชสาสน์คุมช้างม้าเครื่องราชบรรณาการ, มาถวายแด่พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ณกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา, ขอพึ่งพระราชสมภารต่อไป. ในเดือนนั้นพระยาล้านช้าง, ก็แต่งราชทูตอุปทูตถือพระราชสาสน์, แลเครื่องราชบรรณาการมาถวายบังคมสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ขอพึ่งโพธิสมภาร. ทรงพระกรุณาให้เบิกทูตานุทูตมาถวายบังคมในพระที่นั่งมังคลาภิเศก ตรัสพระราชปฏิสัณฐารตามธรรมเนียม แล้วตรัสให้เลี้ยงดูแขกเมือง แลพระราชทานรางวัลโดยขนาด ในปีมเสงเดือนสามนั้น ข้าหลวงผู้รั้งเมืองเมาะลำเลิ่ง, ได้พระยาพะโรแลมอญกระบถทั้งปวงอยู่ริมฝั่งสโตงนั้นมาถวาย แลเมงมอญอันอยู่ในเมืองเมาะลำเลิ่ง, เมาะตมะนั้นก็ราบคาบไปจนเมืองตองอู. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๙๕๖ ปีมเมียฉศก, พระบาทสมเดจ์พระเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสแก่พระยาศรีพิศวกรรม, ให้สฐาปนาพระที่นั่งอรรณพ์อันอลงกฎรจนา, ดูมหิมาด้วยแก้วกาญจนพิศดาร จัตุรมุขรัตนาศกรนกกุฎาคารปราลีเรืองรัตนชัชวาลย์, มโหฬารด้วยขบวนเสรจ์. จึ่งตรัสสั่งให้ตั้งโรงระบำซ้ายขวา ก็ให้แต่งเรือต้นทั้งปวงเปนอาทิ, คือเรือไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา, วรสุพรรณหงษพยุหบาตราพระศรีสมรรถไชย, ไกรษรมุขพิมานไชยจักรรัตน, แลเรือพระครุทธพาหน, เรือไชยเรือรูปสัตวทั้งปวง, แลเรือสิงหโตอินทรี เรือหัสดินทร เรือนระสิงห์, แลเรือจากพราก, แลเรือแซ่ทอง, พิฆาฎทอง, แลเรือเลาคาอันได้มาแต่เมืองหงษาวดี, แลเรือต้นทั้งปวงอันอลงกฎรจนาโอภาษพรรณราย, โดยอันดับต้นเชือกแลปลายเชือก แลพนฝีพายทั้งปวงนั้น, ประดับด้วยเครื่องอาภรณเสื้อทอง, หมวกทอง พายทอง. แล้วก็ให้แต่งเรือจำนำท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดีมนตรีมุขลูกขุนทั้งหลายหมายเปนอาทิ. คือราชสีห์คชสีห์แลเรือท้าวพระยาสวรรคโลกย์, กำแพงเพชรศุโขไทย แลเรือไชยจัตุสดม, แลเรือเหนือน้ำท้ายน้ำ แลเรือจำนำขุนช้าง, ขุนม้า, ขุนตำหรวจ, ขุนดาบ, ขุนการ, ทหารพลเรือนทั้งปวง, ก็ให้ตรวจตราเปนคู่แข่งต่าง ๆ ครั้นถึงถิ่นถานการพระราชพิธีอาศวยุทธ, ก็ให้ประดับพระที่นั่งอรรณพ์ด้วยเครื่องอลังงการ, มเหาฬารพิจิตรโอภาษชัชวาลย์, แลจามรทั้งปวง, จึ่งให้เอาเรือครุทธพาหนอันรจนาประดิษฐาน, พระพิศวกรรมออกตั้งฉาน. แลให้พระราชครูทั้งสี่กระทำการพระราชพิศธีอาศวยุทธ. จึ่งให้ตั้งเรือแห่แลให้เทียบเรือต้น, แลเรือแข่งทั้งปวงตามขบวน. จึ่งให้เบิกพระราชกุมาร, แลพระราชนัดา. แลท้าวพระยาสามนตราชมหาเสนาบดีทั้งปวง, มาประชุมในน่าพระที่นั่งอรรณพ์. แลให้เบิกทูตานุทูตอันมาแต่เมืองตองอู, แลเมืองล้านช้างเข้ามาถวายบังคม. แลให้เบิกพระสังฆราชคามวาศรี อรัญวาศรี, แลพระสงฆสบสงวาศขึ้นนั่งในธรรมาศน์, ที่จะถวายพระพรนั้นเสรจ์. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจ์บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสดจ์ด้วยพระราเชนทรยานมายังพระที่นั่งอรรณพ์, จึ่งตีอินทเภรีเปนปถม. พระบาทสมเดจ์พระบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็เสดจ์ออกในพระที่นั่งครุทธพยุหอันรจนา, จึ่งตีอินทเภรีเปนทุติยวาร, ประโคมฆ้องกลองดูริยดนตรีทั้งปวง จึ่งเบิกเรือต้นพระสุพรรณหงษ แลวรสุพรรณหงษพยุห์บาตรา ให้เรือต้นเรือคู่แข่งทั้งปวง ขึ้นมาถวายบังคมพระบาทสมเด็จบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว โดยการพระราชพิธีอาศวยุทธพระบาทสมเด็จบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก๊ประสาทเรือต้นไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา แลวรสุพรรณหงษพยุหบาตรา แลเรือต้นทั้งปวงพระราชทานแก่พระสังฆราชคามวาศรีอรัญวาศรี พระสงฆมหานาคพระราชาคณะทั้งปวง อันเข้ามาถวายพระพรนั้น แล้วก๊เอาเงินสนองเรือต้นทั้งปวงเปนเครื่องบูชาสการ จัตุปัจจัยทานแก่พระสงฆทั้งหลาย ครั้นเรือต้นแลเรือคู่แข่งทั้งปวงถวายบังคมแล้ว แลพายขึ้นไปอยู่โดยทำเนียบเทียบเปนคู่เข้าขนัดที่ระวางนั้นโสด จึ่งเอาธงอาศวยุทธในน่าพระที่นั่งให้เปนสำคัญ ก๊ลั่นฆ้องไชยวางเรือต้นศรีสามรรถไชยไกรษรมุข, พายแข่งกันลงมาเปนอาทิ แล้วก๊วางเรือคู่แข่งกันลงมาโดยอันดัพ ครั้นแข่งเรือทั้งปวงเสร็จแล้ว จึ่งเลี้ยงลูกขุนแลประสาทพระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะทั้งปวงเสร็จ ๚ะ

๏ พระบาทสมเด็จบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จประเวศน์ยังพระราชมณเฑียร ในบัดเดี๋ยวนั้น พระบาทสมเด็จบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชโองการตรัสแก่พระยารัตนบาลให้รจนาพระพุทธปฏิมากรสมาธิ เปนพระพุทธรูปสนองพระองค์ห้าพระองค์ พระองค์หนึ่งบุทองนพคุณทรงเครื่องมงกุฎกุณฑลพาหุรัตน์ย่อมประดับเนาวรัตน์ แลบันลังก์นั้นบุทองจำหลักประดับเพชรัตน องค์หนึ่งบุทองนพคุณ บันลังก์นั้นบุทองจำหลัก องค์หนึ่งนั้นเปนพระพุทธปฏิมานาคาศน์ พระพุทธรูปองคนั้นรจนาด้วยนาคสวาศ แลเครื่องทรงทองจำหลักประดับเนาวรัตน แลบันลังก์นั้นรจนาด้วยนาคสวาศ พระพุทธปฏิมากรบุเงินสององค แลถานเงินจำหลักสารพางค์ ๚ะ

๏ ครั้นเสด็จพระบาทสมเดจบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก๊มีพระราชโองการตรัสแก่พระยาจักรี ให้แต่งการพระราชพิธีไล่เรือแลให้รับพระพุทธปฏิมากรอันให้สถาปนานั้น ถึงเดือนอ้ายขึ้นสิบสามค่ำเพลารุ่งแล้วสองนาฬิกา ให้เอาเรือพระที่นั่งไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา แลวรสุพรรณหงษพยุหบาตรามาประทับขนาน แลให้เอาเรือพระครุทธพาหนะออกตั้งฉาน แลให้เทียบเรือต้นศรีสามรรถไชย ไกรษรมุขพิมานไชยจักรัตน แลเรือต้นทั้งปวงโดยขบวนแห่ แล้วก็เทียบเรือจำนำท้าวพระยาลูกขุนทั้งปวงตั้งแห่โดยขบวนสรัพ ๚ะ

๏ จึ่งอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรทองนพคุณทรงเครื่องนั้น ขึ้นช้างต้นพระมหาคชาธารคชศรี แลเชิญพระปฏิมากรทองนพคุณองค์หนึ่งเล่าขึ้นช้างพระศรีไชยศักดิ แลพระคชาธารทั้งสองนี้ ประดับด้วยเครื่องคชาภรณ์ แลผูกเครื่องสำหรับพิไชยสงคราม จึ่งรับพระพุทธปฏิมากรทั้งสองพระองค์ แต่น่าพระราชวังลงไปประทับเกย แลเอาเรือวรสุพรรณหงษพยุหบาตราเลื่อนเข้ามารับพระพุทธปฏิมากร ทั้งสองพระองค์ออกไปตั้งชลมารคเสร๊จ พระบาทสมเด๊จบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก๊เสด็จลงเรือไชยสุพรรณหงษพยุหบาตรา ๚ะ

๏ เล่มสิบสามสมุดไทยจบเท่านี้ ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ