๑๒

๏ เล่ม ๑๒ ๚ะ

๏ พระยาตองอูก็เกนทับหมื่นหนึ่ง, สรัพไปด้วยเครื่องสาตราวุธ, พลเมืองนอกนั้นให้กวาดต้อนเข้าในเมืองสิ้น, แล้วเกนให้รักษาน่าที่เชิงเทิน. ครั้นได้พิไชยฤกษดีแล้ว, พระยาตองอูก็ยกพลหมื่นหนึ่งลงมายังเมืองหงษาวดี, ตั้งกองทับอยู่นอกเมือง. พระยาตองอูเข้าไปเฝ้าสมเดจ์พระเจ้าหงษาวดีในพระราชวัง, พระเจ้าหงษาวดีตรัสปราไศรยแก่พระยาตองอูว่า, ทับนเรศวรยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก. หลานเราจงช่วยคิดราชการป้องกัน, อย่าให้เมืองมอญไปเปนเชลยกรุงพระนครศรีอยุทธยาได้. พระยาตองอูกราบทูลว่า, พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย. ข้าพเจ้าขอทำราชการสนองพระคุณท่านกว่าจะสิ้นชีวิตร, ทูลแล้วพระยาตองอูก็ลาพระเจ้าหงษาวดีออกมายังกองทับ. แต่พระยาตองอูเวียนเข้าไปเฝ้าเยียนพระเจ้าหงษาวดีเนืองๆ ชาวหงษาวดีซึ่งรักษาน่าที่เชิงเทินประตูเข้าออกนั้นก๊ไม่รังเกียจช้าวตองอู, ไว้ใจให้เข้าออกทั้งกลางวันกลางคืน. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาลาวเจ้าเมืองเมาะตมะ, ครั้นแจ้งในหนังสือพระยาตองอูดั่งนั้น, ก็สำคัญว่าจริง, มิได้รู้ในอุบาย. ก็แต่งผู้ถือหนังสือไปขับต้อนเจ้าเมืองกรมการแลราษฎรบันดาเมืองขึ้นแก่เมืองเมาะตมะ, ให้ยกกันเข้าไปในเมืองเมาะตมะให้สิ้น. เจ้าเมืองกรมการแลราษฎรเมืองขึ้นแก่เมืองเมาะตมะสามสิบสองหัวเมือง, ที่คิดเหนว่า, เจ้าเมืองเมาะตมะจะสู้กองทับกรุงได้ก็ยกกันเข้ามา, ที่เหนว่าจะสู้กองทับกรุงมิได้ก็ไม่เข้ามา, ยกครอบครัวอพยพเข้าป่าหนีไปเปนอันมาก. ฝ่ายเจ้าเมืองเมาะตมะก็จัดตรวจตรารี้พลทหารปืนใหญ่น้อยประจำรักษาน่าที่, ป้องกันเมืองเปนสามารถ. ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์ประทับแรมภักช้างม้ารี้พลณะพระตำหนักตำบลแม่กระษัตรสามเวน. ครั้นณวันศุกร์เดือนสามแรมสองค่ำ, เพลาสิบทุ่มบังเกิดไชยนิมิตรบันดาน, ให้เสนางคนิกรโยธาทวยหารในกองทับรื่นเริง, เปล่งออกซึ่งศรับท์สำเนียงกึกก้องโกลาหล. ครั้นเพลาสิบเบ็ดทุ่มพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ทรงสรรพ์นิลวัฐาลงกาภรณวิจิตรวิภูสิตสำหรับขัติยราชรณยุทธแล้ว, เสดจ์พระราชดำเนินขึ้นบนเกยคอยฤกษทอดพระเนตรเหนช้างพระที่นั่งทั้งสอง, ซึ่งประทับอยู่นั้น, ยกงวงขึ้นปรามาศลูบงาเบื้องขวา. แล้วร้องโกญจะนาทนิ์สนั่นในพนัศเนินแนวสิงขรเขตร, เปนไชยนิมิตรสองประการ, ทั้งศรับท์สำเนียงเสนางคนิกรโยธาหาร. ก็ทรงพระโสมนัศปรีดา, พระโหราธิบดี, ก๊ลั่นฆ้องไชย. พราหมณประโรหิตาจารย์เป่าสังขถวายไชยมงคล. เสียงศรับท์เภรีฆ้องกลองโกลาหลประโคมกึกก้องนิฤนาท. สมเดจ์พระบรมเชษฐาธิราชเจ้าเสดจ์ทรงพลายพนมจักร, สูงห้าศอกสามนิ้ว, ผูกพระที่สั่งสุวรรณปริศฎางค์. สมเดจ์พระราชอนุชาทรงพลายแก้วอุดร, สูงห้าศอก, ผูกพระที่นั่งหลังคาทอง, ดำรัศให้เคลื่อนพยุหะโยธาทวยหารโดยกระบวนซ้ายขวาหน้าหลัง, สลับสลอนไปด้วยแถวทวนธงดูพันฦก, อธิมเหาฬาราดิเรกโกลาหลด้วยเสียงพลกุญชรชาติอาชาไนย, เดินโดยสถลมาควิถี. ประทับรอนแรมหกเวน, ก็เสดจ์ถึงเมาะลำเลิ่ง, เจ้าพนักงานประโคมฆ้องกลองแตรสังขกึกก้องโกลาหล, ก็เสดจ์เปลื้องเครื่องศิริราชรณยุทธบนราชสันฐาคารในค่าย, ที่เจ้าพระยาจักรีแลเจ้าพนักงานตั้งไว้สำรับเสดจ์นั้น. เจ้าพระยาจักรีแลมุขมจาหาอำมาตย์กระวีราชโหราจารย์. แลนายทับนายกองทั้งปวงเฝ้าพระบาทยุคลดาษดาดั่งดาวดารากรล้อมรอบพระรัชนิกรเทวะราช. เจ้าพระยาจักรีกราบทูลข้อราชการเสร็จสิ้นทุกประการ. ก็เสดจ์พักพลอยู่สามเวรภอหายเลื่อยล้า. แล้วดำรัศให้โหราหาฤกษได้มหาเพชร์ฤกษ. ณวันพฤหัศเดือนสามแรมสิบสองค่ำ, เพลารุ่งแล้วห้าบาท, จึ่งมีพระราชบริหารสั่งให้เจ้าพระยาจักรีเปนแม่ทับ, ให้พระกาญจะนะบูรีเปนยกบัด แลท้าวพระยาหัวเมืองพลทหารราษาสองหมื่นบันจุเรือรบเรือไล่เตรียมไว้. ถึงฤกษแล้ว, จะให้ข้ามไปตีเอาเมืองเมาะตมะ. ๚ะ

๏ ครั้นณวันพฤหัศเดือนสามแรมสิบสองค่ำ, เพลาย่ำรุ่งสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์ทรงสรรพศิริราชอลงการยุทธสำหรับราชรณรงค์เสร็จ, เสด็จทรงช้างพระที่นั่งไปยืนอยู่ริมฝั่งน้ำเมาะลำเลิ่ง ครั้นเพลาห้าบาทได้มหาเพชร์ฤกษ, พระโหราธิบดีศรีพิชาจารย์, ลั่นฆ้องไชยเปนสำคัญ. เจ้าพระยาจักรีนายทับนายกอง, ก็ยกพลเรือรบเรือไล่, ข้ามไปรบเอาเมืองเมาะตมะ, พระยาลาวก็แต่งเรือรบเรือไล่ออกมารบ, ก็พ่ายแพ้แก่พลทหารข้าหลวง ๆ ก็ไล่สำรุกขึ้นป่ายปีนเอาเมืองเมาะตมะนั้นได้. พระยาลาวแลท้าวพระยามอญขบถทั้งปวงก็พ่ายหนี. แลพลทหารข้าหลวงไล่ฟันแทงมอญขบถทั้งหญิงชายตายเปนอันมาก. อนึ่งมอญซึ่งหนีจากเมืองเมาะตมะไปซอกซ่อนอยู่ทุกตำบล. แลทหารข้าหลวงไปไล่ฆ่าฟันแทงตายมาก. ส่วนตัวพระยาลาวไซ้ขึ้นช้างหนีประมาณห้าสิบเส้น, แลหมื่นสุดจินดาตามได้ตัวพระยาลาวเอามาถวาย. แลได้ช้างม้าเครื่องสรรพาวุธในเมืองเมาะตมะนั้นก็มาก. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ให้ลงพระราชอาญาแก่พระยาลาว, แลไว้แต่ชีวิตรเพราะว่าจะเอามาพิจารณาในกรุงพระนคร. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสให้ข้ามช้างม้าทั้งปวงเสรจ. ถึง ณวันศุกร์เดือนสามแรมสิบสามค่ำ, พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสดจ์ด้วยพระชลวิมานข้ามแม่น้ำเมาะลำเลิ่ง, ไปตั้งทับหลวงในเมาะตมะ ในขณะนั้นสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงตรัสทรงพระโกรธแก่เจ้าพระยาจักรี, แลตรัสให้จำคงไว้ในเมืองเมาะลำเลิ่ง แลไว้พระยาธนบุรีนอกราชการ, แลขุนหมื่นทั้งปวงให้อยู่รั้งเมืองเมาะลำเลิ่งด้วยเจ้าพระยาจักรี. แลมีพระราชกำหนดให้ส้องสุมเอามอญอันซ่านเซ่น, ให้เข้าอยู่ในเมืองเมาะลำเลิ่ง. ตรัสให้เจ้าพระยาสวรรคโลกย์, แลพระยาพิไชย, พระยากาญจนบูรี, แลขุนหมื่นทั้งหลายอยู่รั้งเมืองเมาะตมะ. แลส้องสุมมอญอันซ่านเซ่นทั้งปวงเข้าอยู่เมืองเมาะตมะ. ถึงวันเสาร์เดือนสามแรมสิบสี่ค่ำ, ก็ยกทับหลวงเสดจ์จากเมืองเมาะตมะ, ก็เสดจโดยสถลมารคถึงฝั่งน้ำสะโตง. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาตองอูอยู่ในเมืองหงษาวดี, ครั้นได้ยินข่าวว่าทับหลวงเสดจ์ไป, พระยาตองอูแต่งให้มาประจำข่าวถึงเมืองเมาะตมะ, ครั้นรู้ข่าวว่าเสียเมืองเมาะตมะแล้ว, พระยาตองอูก็เข้าเมืองหงษาวดี. แลให้เผาค่ายเย่าเรือนทั้งปวงเสียแล้ว, ก็ภาพระเจ้าหงษาวดีรุดหนีไปยังเมืองตองอู. ฝ่ายทับหลวงไซ้, ครั้นถึงฝั่งสะโตง, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ตรัสใช้พระมหาเทพเปนนายกองทับม้าสองร้อย, ให้ยกไปก่อนทับหลวง. แล้วก็ตรัสใช้พระยาเพชร์บูรีให้ยกช้างม้าแลพลสามพันหนุนทับพระมหาเทพจึ่งยกทับหลวงข้ามสะโตง.แลเสดจ์ถึงเมืองหงษาวดีในวันเสาร์เดือนสามแรมสิบสี่ค่ำ, ตั้งทับหลวงในตำบลสวนหลวง. จึ่งพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์เข้าไปนมัศการพระพุทธเจ้าพระเมาะตาวในเมืองหงษาวดี. ในขณะนั้นพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสแก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายว่า, พระยาตองอูแต่งทูตานุทูตถือราชสาสนไปถึงพระนคร, ขอเปนพระราชไมตรีด้วยเรา, แลให้สัญญาอานัดว่าจะยกทับหลวงมา, แลจะช่วยกันรบเอาเมืองหงษาวดี, แล้วพระยาตองอูก็มิได้อยู่ถ้าทับหลวง, แลยกมาปล้นเอาเมืองหงษาวดีเอง. อนึ่งครั้นรู้ว่า, เรายกมายังเมืองหงษาวดี, พระยาตองอูก็มิได้แต่งทูตานุทูตมาสำหรับการพระราชไมตรี. แลพระยาตองอูหนีไปเมืองตองอูนั้น, เหนว่าพระยาตองอูมิได้ครองโดยสัตยานุสัจ, ซึ่งเปนพระราชไมตรีด้วยเรานั้น ควรเราจะยกทับหลวงไปหาพระยาตองอูให้ถึงเมืองพระยาตองอู, ให้รู้การซึ่งพระยาตองอูจะเปนซึ่งไมตรีด้วยเราฤๅ, ๆ พระยาตองอูมิเปนไมตรีด้วยเรา. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ตรัสให้พระจันทบูรี, แลขุนเพชร์พักดี, แลขุนหมื่นทั้งหลายอยู่รั้งเมืองหงษาวดี. แล้วยกทับหลวงเสดจ์ไปจากเมืองหงษาวดี, ยกไปโดยทางเมืองตองอู. ส่วนพระยาลเคิ่งซึ่งใช้ทูตานุทูตถือพระราชสาสนมาถวาย บังคมขอเปนพระราชไมตรี, แลว่าพระยาละเคิ่งจะยกช้างม้ารี้พลมาช่วยงานพระราชสงคราม, แลเมื่อทับหลวงเสดจ์เมืองหงษาวดีครั้งนั้น, พระยาละเคิ่งมิได้ยกทับมาเองดุจมีพระราชสาสนมานั้น พระยาละเคิ่งก็ใช้แต่ท้าวพระยาให้ยกทับเรือพลห้าพันมาถึงตำบลตาว แลสั่งท้าวพระยาผู้มานั้น, ให้ยกพลขึ้นมาเข้าทับหลวงโดยเสดจ์งานพระราชสงคราม. จึ่งพระยาผู้เปนนายกองนั้น, ก๊ให้มาถึงพระยาพระรามให้กราบทูลพระกรุณาว่า, จะขอมาถวายบังคม, แลจะยกพลห้าพันนั้น, มาเข้าทับหลวงโดยเสดจ์ตามกำหนดพระยาละเคิ่งสั่งมานั้น. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสแก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีทั้งหลายว่า, พระยาละเคิ่งให้สัจปัฏิญาณว่า, จะยกมาเองช่วยการพระราชสงคราม, แลซึ่งพระยาละเคิ่งมิได้ยกทับมาเอง, แลให้แต่ท้าวพระยาให้ถือพลมาเข้าทับเราครานี้, แลเราจะเอาชาวละเคิ่งไปโดยเสดจนั้นดูมิควร, จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่พระยาพระราม, ให้ห้ามชาวละเคิ่งมิให้โดยเสดจ, แลให้แต่งพระราชทานรางวัลไปแก่ท้าวพระยาชาวละเคิ่งผู้มานั้นโดยบันดาศักดิ์ แล้วก็ให้คืนไปยังทับเรือ. ๚ะ

๏ ส่วนพระยาตองอูครั้นไปถึงเมืองตองอูแต่งพม่าผู้ดีชื่อมางรัดอองแลคนประมาณสองร้อย, ให้ถือหนังสือมาถวาย, แลพระธรรมรงเพชร์สามยอดสำหรับพระเจ้าหงษาวดีทรง, ให้มางรัดอองถือมาโดยคลองพระราชไมตรี. จึ่งพระมหาเทพยกทับม้าไปเปนทับหน้า ยังทางประมาณสามคืนจะถึงเมืองตองอู, ก๊ภบชาวตองอู, ซึ่งพระยาตองอูใช้ให้มานั้น. พระมหาเทพก็ได้พิจารณาว่าทูตานุทูต. พระมหาเทพก๊ใช้ชาวม้าให้ไล่จับเอาชาวตองอูมานั้น. ได้ตัวมางรัดอองผู้ถือหนังสือพระยาตองอูนั้น, จำขังส่งลงมาถวายถึงทับหลวง. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก๊ทรงพระราชบัญชาแก่พระมหาเทพว่า, ซึ่งพระยาตองอูใช้มาเปนราชทูต, แลพระมหาเทพให้จับเอามาเปนเชลยนั้นมิชอบ. ก็ตรัสให้ลงพระราชอาญาแก่พระมหาเทพแล้ว, ก็ให้ปล่อยมางรัดอองนั้นคืนเข้าไปยังเมืองตองอู. ให้ว่าแก่พระยาตองอูว่า, พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ยกทับหลวงเสดจ์มาครานี้, ใช่จะเอาเมืองหงษาวดี. แลซึ่งพระยาตองอูให้ราชทูตเอาษาสนไปว่า, เชิญพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์มาเอาเมืองหงษาวดี, แลพระยาตองอูจะยกพลมาช่วยแล้วไซ้ร, พระยาตองอูมิได้อยู่ถ้าทับหลวง, แลชิงปล้นเอาเมืองหงษาวดีนั้น, ได้ช้างดีม้าดีเท่าใดไซ้ร, ให้แต่งไปถวายโดยคลองพระราชไมตรี. แลทรงพระกรุณาจะยกทับหลวงเสดจ์คืนไปยังพระนคร. ๚ะ

๏ ครั้นมางรัดอองเข้าไปถึงเมืองตองอู, พระยาตองอูก๊ใช้มางรัดอองให้ออกมาเล่า, แลให้กราบทูลพระกรุณาว่า, ขอให้ทับหลวงตั้งอยู่แต่ในที่เสดจ์ถึงนั้น. ขออย่าเภ่อยกเข้าไป, แลพระยาตองอูจะแต่งราชสาสน์แลเครื่องราชบรรณาการช้างม้า, ซึ่งได้มาในเมืองหงษาวดีนั้น, ส่งออกมาถวาย. จึ่งพระยาพระรามกราบทูลพระกรุณาว่า, ซึ่งพระยาตองอูให้มากราบทูลพระกรุณา, เชิญทับหลวงงดอยู่นั้น, เหตุว่าพระยาตองอูจะแต่งการป้องกันเมืองยังไปมิสรับ.จึ่งอุบายให้ออกมาห้าม, ประสงค์จะแต่งการซึ่งจะรบพุ่งนั้นให้สรับ. ขออัญเชิญเสดจ์ทับหลวงเสดจ์เข้าไปอย่าทันให้พระยาตองอูตกแต่งบ้านเมืองให้หมั้น. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็มีพระราชโองการตรัสให้ส่งมางรัดอองนั้นคืนเข้าไปยังเมืองตองอู. ให้ว่าแก่พระยาตองอูว่า, ถ้าพระยาตองอูมิได้เสียสัจจะเปนพระราชไมตรีไซ้, ให้แต่งท้าวพระยาผู้ใหญ่ออกมา. ๚ะ

๏ ครั้นให้ส่งมางรัดอองเข้าไปแล้ว, พระยาตองอูจะได้แต่งท้าวพระยาผู้ใดๆ ออกมาหามิได้, ก็ยกทับหลวงเสดจ์เข้าไปถึงเมืองตองอูในวันจันท์เดือนสี่ขึ้นแปดค่ำปีกุนนั้น. ฝ่ายพระยาตองอูแต่งการกันเมือง ก็มิได้แต่งให้ออกมาเจรจาความเมืองโดยคลองพระราชไมตรี. รุ่งขึ้นวันอังคารสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็เสดจ์ไปยืนพระคชาธาร, ก็ให้พลทหารเข้าล้อมเมืองตองอู แลตั้งค่ายล้อมรอบเมืองตองอูทั้งสี่ด้าน. หน้าค่ายในด้านข้างทักษิณ, ซึ่งทับหลวงเสดจ์อยู่นั้นไซ้, เปนพนักงานพระยาศรีสุพรรณ, พระยาท้ายน้ำ, หลวงจ่าแสนเมืองศรีสงคราม. ขุนราชินิกูลนอกราชการ, ขุนแผลงสท้าน, พระยาแสนหลวง, พระยานครเปนนายกอง. ในด้านข้างบูรพ์ไซ้, พนักงานพระยาเพชร์บูรณ, พระยาสุพรรณบูรี, หลวงมหาอำมาตยาธิบดีเปนนายกอง, ในด้านข้างอุดรไซ้, เปนพนักงานเจ้าพระยาพระพิศณุโลกย์, พระยากำแพงเพชร, แลหมื่นภักดีสวนเปนนายกอง. ในด้านข้างปราจินไซ้, เปนพนักงานพระยานครราชสีมา, เมืองสิงฆบูรี, ขุนอินทรบาล, แสนภูมโลกาเพชรสวรการบังคับบัญชา. ในน่าค่ายทั้งสี่ด้านนั้นไซ้, ตรัสให้พระยาพระพิศณุโลกย์, แลขุนราชินิกูลนอกราชการตรวจจัดทั้งสี่ด้านนั้น. แลพลับพลาไชยทับหลวงไซ้, ตั้งใก้ลค่ายล้อมนั้นประมาณสิบเส้น. ในขณะนั้นพระยาตองอูเมื่อได้ยินข่าวว่า, ทับหลวงเสดจ์ไป, พระยาตองอูให้ย้ายช้างใหญ่ทั้งปวงไปไว้นอกเมืองตองอู เอาไปไว้ถึงตำบลแม่ช้าง, ใกล้แดรเมืองอางวะ, พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ตรัสใช้ให้พระมหาเทพเปนนายกอง, ขุนคชภักดีเมืองคชโยธา, แลขุนหมื่นอาษาให้ไปลาด. จึ่งพระมหาเทพ, แลข้าหลวงทั้งปวงก็ยกไปถึงตำบลแตรตอง. แล้วยกไปถึงตำบลแม่ช้าง. ได้ช้างพลายพังซึ่งพระยาตองอูให้เอาไปซ่อนไว้นั้นห้าสิบเศศ. ในนี้แต่ช้างใหญ่พรายรายปลอกกะยอสูงเจ็ดศอก, พลายเทวนาคพินายสูงหกศอกคืบห้านิ้ว, พลายปลองลูรายภักสูงหกศอกเจ็ดนิ้ว, พลายลลูมแทงสูงหกศอกนิ้วหนึ่ง, พลายนิลาตองสูงหกศอกหกนิ้ว, พลายรานนิกนางสูงหกศอกสามนิ้ว, พลายปลอกละเนียมผยูสูงหกศอกแปดนิ้ว, พลายหัศปิสารทสูงหกศอกคืบห้านิ้ว, พลายมัตตอบูสูงหกศอกแปดนิ้ว พลายเนียดมรัดคารสูงหกศอกสามนิ้ว, พลายยูมาตองสูงหกศอกสองนิ้ว, พลายกลอรายชะวาสูงหกศอกสองนิ้ว, พลายพิจิตรสูงห้าศอกคืบนิ้วหนึ่ง, พลายไชยมงคลสูงหกศอกแปดนิ้ว, พลายพลายปลอกหละสูงหกศอก, พลายราวเรียมนางสูงหกศอก พลายราชสงรำสูงหกศอก, พลายชมภูทัศสูงหกศอกสองนิ้ว, พลายนักเปสูงห้าศอกคืบนิ้วหนึ่ง, พลายสีหนาทสูงห้าศอกคืบสองนิ้ว, พลายสวรรค์โลกยสูงห้าศอกคืบสิบเบ็ดนิ้ว, พลายรายผอนสูงห้าศอกคืบเจ็ดนิ้ว, พลายรายภักปองกยอสูงห้าศอกคืบสิบนิ้ว, พลายพังดูลางสูงห้าศอกสิบเบ็ดนิ้ว, พลายเขมมรัชวาสูงหกศอกสี่นิ้ว, พลายรายภักถันเลียงสูงหกศอกสี่นิ้ว, พลายจำกยอสูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว, พลายอนันตะโยธาสูงห้าศอกคืบนิ้วหนึ่ง, พลายรายภักกำยางสูงหกศอกสองนิ้ว, พลายตะบายพระยาแพร่สูงหกศอก, พลายเขยกรมัดไปสูงห้าศอกคืบหกนิ้ว, พังมระพันดงสี่ศอกคืบ, พังมะวะหลอมห้าศอกคืบสามนิ้ว, พังสี่ศอกคืบห้านิ้ว. แลทั้งช้างโขลงพวกหนึ่งเอามาถวาย, ๚ะ

๏ ถึง ณวันเสาร์แรมสิบสามค่ำ, พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ตรัสให้พลทหารยกเข้าปีนกำแพงปล้นเอาเมืองตองอู. ชาวเมืองตองอูป้องกันเมืองเปนสามารถ, การปล้นนั้นกลางวัน, แลพลทหารป่วยเจ็บมาก. พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก๊มีพระราชโองการตรัสห้ามบให้ปล้น, ก็ให้คลายพลคืนออกมาเข้าค่าย. จึ่งตรัสให้แต่งไปลาดทุกตำบลทั่วจังหวัดเมืองตองอู, จนถึงแดนเมืองอางวะ, แลได้เสบียงเปนอันน้อยนัก. เข้าแพงเปนทนานละสิบสลึงบ้าง, สามบาทบ้าง. ไพร่พลทั้งหลายมิได้อยู่เปนมั่วมูลในทับหลวง. แลน่าค่ายล้อมเมืองทั้งปวงนั้น, ก็จ่ายยกออกไปลาดหากินทุกตำบล. อนึ่งไพร่หลวงทั้งหลายขัดเสบียงล้มตายก็มากนัก. ๚ะ

๏ ขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ จะยกช้างม้ารี้พลไปโดยเสดจไซ้ เปนเหตุด้วยพระรามเดโชชาวเชียงใหม่, ได้มาเปนข้าหลวงแต่ขณะก่อน. แลเมื่อพระยาตะนาวศรียกทับขึ้นไปเชียงใหม่ห้ามชาวล้านช้างนั้น, พระรามเดโชเข้าทับไปด้วยพระยาตนาวศรี. พระยาตนาวศรีก็แต่งพระรามเดโชให้มาอยู่ซ่องคนในแดนเมืองเชียงรายเชียงแสน, เปนเพศพระเจ้าเชียงใหม่นั้น, ให้มาขึ้นแก่พระเจ้าเชียงใหม่ตามประเวณี. ครั้นพระรามเดโชไปถึงเมืองเชียงรายเชียงแสน, ชาวเมืองทั้งสองเมืองนั้นก็สมักด้วยพระรามเดโช, เอาพระรามเดโชเปนเจ้าเมือง, ก็มิได้มาออกแก่พระเจ้าเชียงใหม่, ส่วนท้าวพระยาหัวเมืองอันขึ้นแก่พระเจ้าเชียงใหม่ทั้งปวง, ก็มิได้มั่วมูลสมักสมานด้วยพระเจ้าเชียงใหม่, ก็มาสมักสมานด้วยพระรามเดโช. พระรามเดโชได้กำลังรี้พลมาก, ก็คิดจะรบเอาเมืองเชียงใหม่. จึ่งพระเจ้าเชียงใหม่จะยกพลไปโดยเสดจ์มิได้, แลแต่งพระทูลองอันเปนราชบุตร, แลท้าวพระยาช้างม้ารี้พลขึ้นไปตามทับหลวงถึงเมืองตองอู. ๚ะ

๏ ฝ่ายเจ้าเมืองแสนหวีถึงแก่กาลพิราไลย, หาผู้จะครองเมืองมิได้, จึ่งเสนาบดีแต่งเครื่องราชบรรณาการ, ไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว ณเมืองตองอู, กราบทูลฃอพระเจ้าฟ้าแสนหวีซึ่งได้มาเปนข้าเฝ้า, ขณะตรัสใช้พระยาศรีไสณรงค์ไปช่วยกันเมืองเมาะลำเลิ่งนั้น, คืนไปเปนเจ้าเมืองแสนหวี. ในขณะนั้นทับหลวงตั้งอยู่ ณเมืองตองอูถึงสามเดือนแล้ว, แต่งไปลาดทุกตำบลไซ้, มิได้เสบียงอันจะเลี้ยงไพร่พลทั้งปวง. ในทับหลวงนั้น, เข้าแพงเปนทนานละตำลึง, อนึ่งก๊จวนเทศกาลฟ้าฝน. พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ยกทับหลวงจากเมืองตองอู, มาโดยทางกลอกม่อ. ครั้นทับหลวงเสดจ์ถึงตำบลคับแค, สมเดจ์พระพุทเจ้าหลวงอัญเชิญสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว,มายังพลับพลาไชย, ก๊มีพระราชโองการดำริห์ด้วยกันว่า, แผ่นดินเมืองเชียงใหม่เปนจลาจลเพื่อพระรามเดโช, แลพระยาน่าน, พระยาฝาง แลท้าวพระยาชาวใหญ่น้อยทั้งปวงอันขึ้นแก่พระเจ้าเชียงใหม่นั้น, ชวนกันคิดร้าย แลจะรบพระเจ้าเชียงใหม่ดั่งนี้. สมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวง, ก็อันเชิญสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจ์ไปเชียงใหม่ระงับท้าวพระยาทั้งปวง, ซึ่งคิดร้ายแก่พระเจ้าเชียงใหม่นั้น. แลตรัสให้ทับพระยากำแพงเพชร, ทับพระยาท้ายน้ำ, ทับพระยาเพชบูรี, ทับพระยานครสวรรค์, ทับพระยาไชยนาทไปโดยเสดจ์. แลทับพระทูลอง, ทับพระยาแสนหลวง, ทับพระยานครเปนทับน่า. แล้วดำรัศให้เจ้าฟ้าแสนหวีไปโดยเสดจ์ด้วย. ถ้าเสร็จราชการแล้ว, จึ่งให้ส่งขึ้นไปยังเมืองแสนหวี จึ่งพระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊ยกทับหลวงเสดจ์ไปโดยทางเชียงใหม่. สมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงก๊เสดจ์มาโดยทางสะโตง, มายังเมาะลำเลิ่ง. ส่วนข้าหลวงอันแต่งไว้ให้ส้องสุมมอญทั้งปวงนั้น, ก็ส้องสุมมอญอันกระจัดพรัดพรายทั้งปวง, ให้เข้าอยู่ที่ภูมลำเนาในเมืองเมาะลำเลิ่ง, แลเมืองเมาะตมะนั้นได้มาก. จึ่งตรัสให้พระยาทละอยู่ตั้งเมืองเมาะลำเลิ่ง, แลเมืองเมาะตมะนั้นแล้ว, ยกทับหลวงเสดจ์มายังกรุงเทพพระมหานคร. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวร บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊เสดจ์ถึงตำบลท่าหวดในวันอังคารเดือนเจ็ดแรมแปดค่ำ, แลแรมทับอยู่ในตำหนักท่าหวดนั้นสิบห้าวัน. จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เจ้าพระยาสีห์ราชเดโชไชยอภัยพิริยพาหุ, ให้แต่งข้าหลวงไปหาพระยาหลวงเมืองน่าน, พระยาฝาง, พระรามเดโช, พระยาพลศึกซ้าย, พระยาสาต, พระยาแพร่, พระยาลอ, พระยาเชวียง, พระยาเชียงของ, พระยายาว, พระยาพยาก, พระยาเมืองยองพระขวา, แลหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงทุกเมือง. แลแต่งข้าหลวงไปอยู่ประจำทุกเมือง จึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ก็แต่งเครื่องบรรณาการ, ให้นันทพยะเอามาถวาย. แลให้กราบทูลพระกรุณาว่า, ทับหลวงเสดจ์มานี้, พระเจ้าเชียงใหม่ชื่นชมหนักหนา. เหนว่ากิจกังวลทั้งปวงก็จะลำเรทธิบริบูรณด้วยเดชพระราชสมภาน. แลว่าพระเจ้าเชียงใหม่ยกทับไปเชียงรายไซ้, พระยาฝางทำเพโทบายว่า, จะยกมาช่วยพระเจ้าเชียงใหม่, แลกวาดเอาไพร่พลลูกค้ามาคายในแดนเมืองเชียงใหม่ทั้งปวงไปยังเมืองฝาง. จึ่งพระเจ้าเชียงใหม่จะอยู่รบเอาเมืองเชียงรายมิได้, แลกลับคืนมาเมือง, ขอเชิญเสดจ์ทับหลวงไปเอาเมืองฝาง. จึ่งพระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตร์พระพุทเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่นันทะพะมะผู้มากราบทูลพระกรุณานั้น, ให้ไปทูลแก่พระเจ้าเชียงใหม่ว่า, ทรงพระกรุณาตรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปหาพระยาฝาง, แลท้าวพระยาทั้งปวงแล้วจะคอยถ้าฟังข่าวนั้นก่อน. ถ้าเหนว่าพระยาฝางมิได้สวามีภักดีไซ้, จึ่งยกทับหลวงไปเมืองฝาง. ๚ะ

๏ ครั้นนันทะพะยะรับพระราชโองการใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปทูลแก่พระเจ้าเชียงใหม่. ๆ ก็ให้หมื่นตองอูแลนายสีหนาทมากราบทูลพระกรุณาเล่าว่า, ในเมืองเชียงใหม่เข้าแพงนัก, ทรงพระกรุณาจะเสดจ์อยู่ถ้าฟังข่าว, ซึ่งข้าหลวงไปหาท้าวพระยาทั้งปวงนั้น, เหนจะกาลช้านาน, แลรี้พนทั้งปวงขาดเสบียง. ขอเชิญเสดจ์ไปเอาเมืองฝางเสียยังแล้ว, เพราะเมืองนั้นเปนเสี้ยนศัตรูใหญ่หลวงนัก. ครั้นหมื่นตองอู, นายสีหนาทมาถึงทับหลวงแล้ว, ในวันนั้น, พระยาฝางให้หมื่นหลวงซ้ายนำเอาเครื่องบรรณาการมาถวาย ส่วนพระยาน่านให้แสนเดกซ้ายนำเครื่องบรรณาการมาถวาย, แลมาถึงพร้อมกัน. จึ่งหมื่นหลวงซ้าย, แลแสนเดกซ้ายกราบทูลพระกรุณาว่า, พระยาฝาง, แลพระยาน่านแต่งดอกไม้เงินทองจะมาถวายบังคมในภายหลัง. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพูทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมื่นตองอูแลนายสีหนาท, ให้ไปทูลแก่พระเจ้าเชียงใหม่โดยเนื้อคะดี, ซึ่งพระยาฝางแลพระยาน่านให้กราบทูลพระกรุณานั้น. เมื่อทับหลวงเสดจ์แรมทับอยู่ในตำบลท่าหวดนั้นเข้าแพงนัก. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสถามพระยาแสนหลวงว่า, ไพร่พลขาดเสบียงดังนี้จะผ่อนยกทับหลวงไปตั้งแห่งใด. จึ่งพระยาแสนหลวงกราบทูลพระกรุณาว่าขอเชิญเสดจยกทับหลวงไปตั้งตำบลเมืองเถิน, เพราะที่นั่นใกล้ท่าเรือ. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว. ก๊มีพระราชโองการตรัสใช้วิสุทธเสนา, แลขุนราชสวนจัน, ให้ไปทูลพระเจ้าเชียงใหม่ว่า, ทับหลวงไปตั้งตำบลเมืองเถิน. ๚ะ

๏ วันพฤหัศบดีเดือนหกขึ้นค่ำ, สมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ยกพลพยุหจากท่าหวดไปตั้งในตำบลเมืองเถิน. จึ่งพระยาฝางก็ให้แต่งเครื่องดอกไม้เงินทอง, แลเครื่องบรรณาการมาถวาย. จึ่งพระยาหลวงเมืองน่าน ก๊ให้พระยาไชยสงครามถือดอกไม้เงินทอง, แลเครื่องบรรณาการมาถวาย. พระรามเดโชก็ให้พระยาสาด, แลแสนวิชยามาตยถือดอกไม้เงินทองแลเครื่องบรรณาการมาถวาย. จึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ก๊ให้หมื่นหลวงกุมกามมากราบทูลพระกรุณาว่า, พระเจ้าเชียงใหม่ใช้ฉางกองจ่า, แลหมื่นหลวงกุมกามไปเมืองเขมราช, แลไกลเมืองฝางไป พระยาฝางก็กุมเอาตัวฉางกองจ่า, แลหมื่นหลวงกุมกาม, หมื่นพองฝางเก่าจำไว้. อนึ่งพระเจ้าเชียงใหม่เมื่อตั้งทับอยู่ ณเมืองเชียงราย, แลใช้งะสอแสนท่าช้างแสนขวางให้เอาช้างขึ้นไป, พระยาฝางก็ให้จับเอาผู้มีชื่อทั้งนี้ฆ่าเสีย. แลยังแต่งะสอผู้เดียวให้เกาะไว้. แลบัดนี้ด้วยเดชพระราชสมภาร, พระยาฝางให้ปล่อยฉางกองจ่า, แลหมื่นหลวงกุมกาม, แลงะสอมาด้วยหมื่นพองฝาง, ถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมื่นหลวงกุมกาม, ให้ทูลพระเจ้าเชียงใหม่ว่า, พระยาฝาง, แลพระยาหลวงเมืองน่าน, แลพระยารามเดโช, แต่งดอกไม้เงินทองมาถวายแล้ว. ตัวจะลงมาถวายบังคมต่อภายหลัง. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊มีพระราชโองการตรัสใช้ขุนทรงภาราแลขุนศรี, ถือพระราชสาสน์ไปเมืองเขมราช, จึ่งพระยาหลวงเมืองน่านแล้วท้าวพระยาแสนหมื่นชาวเมืองน่าน, ก็ลงมาถวายบังคม, แลพระยาหลงงเมืองน่านถวายช้างพลายสูงหกศอกมีเศศ. ถวายช้างพังสองช้าง, ถวายม้าดียี่สิบม้า, แลเครื่องบรรณาการก๊มาก. อนึ่งท้าวพระยาแสนหมื่นอันมาด้วยพระยาหลวงเมืองน่านนั้น, ถวายม้าแลเครื่องบรรณาการก๊มาก. อันดับนั้นพระยาฝาง, แลท้าวพระยาแสนหมื่นชาวเมืองฝาง, ก็ลงมาถวายบังคม. พระยาฝางก็ถวายช้างพลายส้อมทองช้างหนึ่ง, สูงหกศอกเศศ. ช้างพังรูปดีสองช้าง, ถวายม้าสามสิบม้า, แลเครื่องบรรณาการก็มาก อนึ่งท้าวพระยาแสนหมื่นอันมาด้วยพระยาฝางนั้น, ก็ถวายม้าแลเครื่องบรรณาการก็มาก. อยู่สามวันพระรามเดโช, แลท้าวพระยาแสนหมื่นชาวเมืองเชียงแสนแลเชียงรายก็มาถวายบังคม พระรามเดโชถวายช้างพลายฉางพรศะศึกช้างหนึ่งสูงห้าศอกคืบเศศ, ช้างพลายมรปอกนากหนึ่ง. ถวายม้าแลเครื่องบรรณาการก็มาก. อนึ่งท้าวพระยาแสนหมื่นอันมาด้วยพระรามเดโชนั้น, ถวายเครื่องบรรณาการก๊มาก. พระยาพลศึกซ้ายน้องพระยาหลวงเมืองน่าน, ก็ลงมาถวายบังคม, แลถวายช้างพลายบุญเรืองฤทธิ์ช้างหนึ่ง, สูงห้าศอกคืบเศศ. ถวายม้าแลเครื่องบรรณาการก๊มาก. พระยาแพร่, พระยาลอ, พระยาเซรียง, พระยาเชียงของ, พระยาพยาว, พระยาพยาก, พระยาเมืองยอง, แลท้าวพระยาหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง, ก็มาถวายบังคม. แลถวายช้างม้าเครื่องบรรณาการก๊มากนัก. แลท้าวพระยาแสนหมื่นทั้งปวงนี้, ก็เอาช้างม้ารี้พลมาตั้งทับอยู่ล้อมพระราชถานแลรับราชการอยู่. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสใช้ให้หมื่นอินทรักษา, ให้ขึ้นไปทูลแก่พระเจ้าเชียงใหม่ว่า, ท้าวพระยาทั้งปวงมาถวายบังคม, แลได้รับราชการอยู่ในทับหลวงแล้ว. พระเจ้าเชียงใหม่ก๊ยินลากยินดีนักหนา, เพราะท้าวพระยาทั้งนั้นกำลังรี้พลมั่งคั่งนัก. ถ้าแลทรงพระกรุณามิได้เสดจไประงับไซ้, เหนพระเจ้าเชียงใหม่จะยืนแก่ท้าวท้าวพระยาทั้งนี้มิได้แล้ว. ด้วยเดชพระราชสมภารเสดจไป, จึ่งแผ่นดินเมืองเชียงใหม่มิได้จลาจล, คงอยู่แก่พระเจ้าเชียงใหม่. อนึ่งเมื่อทับหลวงเสดจอยู่เมืองเถินนั้น, พลทหารล้อมวังเปนอันน้อยนักเพราะเข้าแพง. แลรี้พลทั้งปวงซ่านเซ็นลงมายังอยู่ในทับหลวงประมาณสามร้อยเศศ. อนึ่งช้างม้าก๊น้อยนัก. ฝ่ายท้าวพระยาลาวทั้งปวงนั้นไซ้, ก็ย่อมมีกำลังช้างม้ารี้พลมั่งคั่งทุกเมือง. แลท้าวพระยาทั้งปวงมาราบคาบที่นี่, ด้วยเดชาอานุภาพพระราชสมภาร, จึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ให้พระยาพยาวนำเอาช้างพลายมาณช้างหนึ่ง, สูงเจ็ดศอกเศศ, ลงมาด้วยหมื่นอินทรักษา, เอามาถวายในตำบลเมืองเถิน. แล้วพระเจ้าเชียงใหม่ก็แต่งเครื่องบรรณาการ, ให้แสนหมื่นถือลงมาถวายเปนหลายครั้ง. ฝ่ายพระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจไประงับท้าวพระยาทั้งหลายในเมืองเชียงใหม่นั้นราบคาบแล้ว, ก็ตรัสให้ส่งเจ้าฟ้าแสนหวีไปโดยทางเชียงใหม่ไปยังเมืองแสนหวี. แลพระราชทานตรัสให้ช้างม้า, แลเครื่องกระยาประสาทไปแก่เจ้าฟ้าแสนหวีนั้นมาก. ๚ะ

๏ อยู่มาพระมหาเทวีพระเจ้าเชียงใหม่ ถึงแก่ชีพิตักษัย พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้แสนหนังสือแคนลงมาถวายทูลพระกรุณา, ขอพระทูลองขึ้นไปช่วยแต่งการสพพระมหาเทวี. แลแต่งชยาทิปะผู้น้องพระทูลองมาถวายบังคมอยู่เฝ่าจำนำพระบาทในทับหลวง. ในเมืองเชียงใหม่นั้นเร่งเกิดธรพิธเข้าแพงนัก. พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, มีพระราชโองการตรัสใช้หลวงเทพเสนาบดีศรีสมุหพระกลาโหม, ลงมายังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา, เอาลำเลียงเข้าขึ้นไปยังทับหลวง, แลพระราชทานให้ขึ้นไปแก่พระเจ้าเชียงใหม่, จึ่งได้เลี้ยงไพร่พลประชาราษฎรทั้งปวงในเมืองเชียงใหม่นั้น. ส่วนขุนพรหมสุรินทข้าหลวงผู้ไปรั้งฝางนั้น, เกิดเหตุการชาวเมืองฝางคิดร้าย, ก็ลอบทำร้ายแก่พระพรหมสุรินท. จึ่งมีข่าวลงมากราบทูลพระกรุณา, พระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารทบรมบพีตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสใช้พระยานคร, แลรามเดโชขึ้นไปอยู่รั้งเมืองฝาง. ครั้นท้าวพระยาหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงลงมาถวายบังคมเสร็จแล้ว. ถึงเดือนสิบเบดพระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็มีพระราชโองการตรัสใช้หมื่นนนทบาลลงมากราบทูลพระกรุณาแก่สมเดจพระพุทธเจ้าหลวง, ให้หมื่นนนทบาลแถลงการซึ่งเสดจไประงับท้าวพระยาทั้งปวงราบคาบนั้น, ถวายแก่พระพุทธเจ้าหลวง. ในขณะนั้นสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงเสดจคืนมาแต่การพระราชสงคราม, ก๊มิได้เสด็จเข้าในกรุงพระมหานคร. แลตั้งทับหลวงเสดจอยู่แต่สุพรรณบูรี. ครั้นหมื่นนนทบาลถึงเมืองสุพรรณบูรีที่ทับหลวงเสดจอยู่นั้น, หมื่นนนทบาลก็เอากิจานุกิจทั้งปวงมากราบทูลพระกรุณาแถลงถวายแก่สมเดจพระพุทธเจ้าหลวง ๆ ก๊มีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมื่นนนทบาล, ให้ขึ้นไปกราบทูลพระกรุณาพระบาทสมเดจเอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ขอเชิญเสดจขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่, ให้เอาท้าวพระยาทั้งปวงไปให้สมักสมานด้วยพระเจ้าเชียงใหม่, ๚ะ

๏ ครั้นหมื่นนนทบาลขึ้นไปถึงทับหลวง, กราบทูลพระกรุณาโดยสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชโองการตรัสนั้น, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊มีพระราชโองการตรัสใช้ข้าหลวงขึ้นไปหาพระรามเดโชในเมืองฝาง, ว่าทับหลวงเสดจไปยังเมืองเชียงใหม่, แลให้พระรามเดโชลงมาถวายบังคมในเมืองเชียงใหม่. จึ่งตรัสใช้ให้ข้าหลวงขึ้นไปทูลแก่พระเจ้าเชียงใหม่ว่า. ทับหลวงจะเสดจขึ้นไปตั้งในเมืองลำพูน, แลให้พระเจ้าเชียงใหม่ออกมารับเสดจในเมืองลำพูน, จะเอาท้าวพระยาหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงมอบแก่พระเจ้าเชียงใหม่, ให้สมักสมานด้วยกัน. ขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่รู้ก็แต่งพระยาแสนหมื่น, ให้ออกมาปลูกพระตำหนักรับทับหลวง. แล้วก็แต่งที่ตำหนักที่พระเจ้าเชียงใหม่จะเสดจออกมาอยู่เองนั้น. ๚ะ

๏ ถึง ณวันอาทิตย์เดือนอ้ายขึ้นสีบเอดค่ำ, พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊ยกทับหลวงเสดจจากเมืองเถิน, แลพระยาหลวงเมืองน่าน, พระยาแสนหลวงพิงไชย, พระยาฝาง, แลท้าวพระยาหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง, แลพระไชยทีปะลูกพระเจ้าเชียงใหม่ ก็ไปโดยเสดจ์. จึ่งยกทับหลวงเข้าไปตั้งเมืองลำพูน. ในขณะนั้นช้างม้ารี้พลฝ่ายท้าวพระยาลาวทั้งปวงนั้น, ล้อมทับหลวงอยู่เปนแน่นหนา. พระเจ้าเชียงใหม่รู้ว่าท้าวพระยาทั้งปวงพร้อมมูลในทับหลวง, แลช้างม้ารี้พลมากนัก. บันดาพระเจ้าเชียงใหม่จะออกมารับทับหลวงไซ้, ก๊คิดสงไสย์เกรงขาม, แลมิได้ออกมารับเสดจในเมืองลำพูนนั้น ๚ะ

๏ ส่วนพระรามเดโช, ครั้นมีพระราชกำหนดขึ้นไปหา, ก๊ยกลงมาจากเมืองฝาง, จะมายังทับหลวงในเมืองลำพูน, ก๊เอาช้างม้ารี้พลเดินใกล้เมืองเชียงใหม่มา พระเจ้าเชียงใหม่ก๊แต่งทับม้าไทยใหญ่ออกไปซุ่มไว้ซึ่งทางที่พระรามเดโชจะยกมานั้น. ครั้นเช้ามืดชาวม้าไทยใหญ่ก็ยกเข้าตีทับพระรามเดโช, ๆ มิทันรู้ตัวก็แตกฉาน. พระรามเดโชจะมายังทับหลวงมิได้ก๊คืนไปเมืองฝาง. พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊ตรัสรู้การซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่คิดสงใสย, แลมิได้ลงมายังทับหลวงนั้น, จึ่งมีพระบรมราชโองการตรัสให้ท้าวพระยาพระหัวเมืองมนตรีมุขทั้งหลายพิภาคษาว่า, ซึ่งทรงพระกรุณาให้เรายกพลากรมาทั้งนี้, เพราะเหตุว่าทรงพระเมตาแก่พระเจ้าเชียงใหม่, เพื่อจะให้ระงับท้าวพระยาเพราะหัวเมืองทั้งปวง, อันกระด้างกระเดื่อง, เปนปัจามิตร์แก่พระเจ้าเชียงใหม่, ให้ปกติราบคาบ. ท้าวพระยาทั้งปวงก๊มาพร้อมกันณเมืองเถินสิ้น. ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่ก็มิได้ลงมา, แต่งให้แต่แสนท้าวพระยาลาวคุมเครื่องบรรณาการลงมา. เรื่องความทั้งนี้, ก๊ทราบลงไปถึงฝ่าพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว. ผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐ, ดำหรัศเหนว่า, เมืองเชียงใหม่ยังมิปรกติ, จึ่งเราขึ้นมาระงับเสียให้จงได้. พระเจ้าเชียงใหม่มิได้ลงมากลับแต่งทับมาซุ่มไว้ตีพระรามเดโชอันลงมาตามกำหนดอีกเล่า. แลซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ทำดั่งนี้ยังจะเหนประการใด. มุขมนตรีทั้งปวงปฤกษาว่า, เดิมแผ่นดินเชียงใหม่เปนจลาจล, พระเจ้าเชียงใหม่หาที่พึ่งมิได้, จึ่งให้ไปกราบทูลเบื้องบาทยุคล, ขอเอาพระเดชเดชานุภาพปกเกล้าปกกระหม่อม. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวง, ทรงพระมหากรุณาแก่พระเจ้าเชียงใหม่, จะให้คงอยู่ในเสวตรฉัตร. จึ่งเชิญพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจ์ขึ้นมา, ในไสมยไช่ระดูการป่วยการรี้พลมาก. ครั้นทับหลวงเสดจมาถึงท่าหวด, ตรัสให้ข้าหลวงไปหาท้าวพระยาลาว, อันกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าเชียงใหม่. เดชพระเดชานุภาพ, ท้าวพระยาลาวทั้งปวงมิอาจขัดแขงอยู่ได้ ก็ภากันมากราบถวายบังคม, เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท, อยู่ในทับหลวงณเมืองเถินสิ้น. พระเจ้าเชียงใหม่ก็หามาไม่, ด้วยมิได้เชื่อพระเดชเดชานุภาพ, มีแต่ความกลัวพระยาทั้งปวงมากกว่าพระราชอาญาสิทธิอีก, สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก๊มิได้ทรงพระโทรมนัศเคืองพระไทย, ต้องทรงอุษาห์เสดจ์พระราชดำเนินกลับขึ้นมาถึงเมืองลำพูน. กำหนดให้พระเจ้าเชียงใหม่มาเฝ้าทูลลอองทุลีพระบาทพร้อมกันกับท้าวพระยาทั้งหลาย, เพื่อพระราชทานพระราโชวาท, ให้พระยาลาวสมักสมานอ่อนน้อมต่อพระเจ้าเชียงใหม่. พระเจ้าเชียงใหม่ก๊มิได้ออกมา, กลับแต่งทับม้าไทยใหญ่มาซุ่มตีพระรามเดโช, อันจะลงมาเฝ้าทูลอองทุลีพระบาท, จนพระรามเดโชมามิได้, ต้องกลับคืนไปเมืองฝาง. แลพระเจ้าเชียงใหม่โมหะจริตมิได้เชื่อพระเดชเดชานุภาพแล้ว, ซึ่งจะเสด็จอยู่โปรดอีกนั้นเหลือการ. อนึ่งไพร่พลในกองทับหลวง, แลไพร่ท้าวพระยาลาวทั้งปวงก็ขัดสนเสบียงอาหารนัก. ขอเชิญเสดจ์พระราชตำเนินทับหลวงเสดจ์กลับไปยังกรุงพระมหานครจึ่งควร, เอาคำพิภาคษากราบทูลพระกรุณา. จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า, พระเจ้าเชียงใหม่เปนคนลงอยู่แล้ว, แลจะละเสียนั้น, เหมือนไม่อนุกูลพระเจ้าเชียงใหม่. ประการหนึ่งก็จะเสียพระเกียรติยศสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง, ผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐไป, ทั้งพระองค์ก็จะทรงพระโกรธติโทษเราได้. ชอบให้ข้าราชการผู้มีสติปัญญาเข้าไปว่ากล่าวชี้แจงให้พระเจ้าเชียงใหม่ออกมาให้จงได้. แลให้ม้าตำรวจสามสิบม้าขึ้นไปหาพระรามเดโชลงมา, สมักสมานเสียจึ่งจะควร. ๚ะ

๏ จบเล่ม ๑๒ สมุดไทยแต่เท่านี้ ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ