๑๗

๏ พระราชพงษาวดารพิสดาร ๚ เล่ม ๒

๏ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง. เสดจออกประภาศพระอุทธยานทรงม้าศรีขาวเปนราชพาหนะ ประดับด้วยเครื่องม้าล้วนแล้วด้วยแก้วต่าง ๆ แลมีพลอยทับทิมดวงหนึ่ง ใหญ่เท่าผลหมากสงทั้งเปลือก ผูกห้อยฅอม้าพระที่นั่ง. แสงทับทิมนั้นจับพระองค แลตัวม้านั้นแดงไปทั้งสิ้น พร้อมด้วยราชบริวารแห่แหนไปเปนอันมาก โปรดให้ราชทูตตามเสดจด้วย. ครั้นถึงพระอุทธยาน จึ่งตรัสสังให้ถามทูตว่า พลอยทับทิมดวงใหญ่เท่านี้ พระนครศรีอยุทธยามีมากฤๅน้อย ราชทูตให้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเปนแต่คนภายนอก มิใช่ชาวพระคลังซึ่งจะกราบทูลว่ามีมากน้อยเท่าใดนั้นเกรงจะเปนเท็จ. แต่รับพระราชทานเหนครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้ากรุงไทยเสดจออกไปประภาศพระอุทธยานทรงม้าพระที่นั่งศรีขาว มีพลอยทับทิมดวงหนึ่งผูกฅอม้าพระที่นั่ง มีสันถานใหญ่ประมาณเท่านี้ พระเจ้าฝรั่งเสศได้ทรงฟังก็เข้าพระไทยในคำราชทูต ทรงพระโสมนัศตรัสสรรเสริญว่า ราชทูตเจรจาไพเราะ ควรจะเอาไว้เปนอย่างได้ สั่งให้จดหมายเอาถ้อยคำไว้เปนฉบับสืบไปภายน่า แล้วเสดจเที่ยวประภาศอุทธยาน เพลาเอย็นก็เสดจกลับเข้าพระราชวัง ๚ะ

๏ เวลาวันหนึ่งราชทูตเข้าเฝ้า จึ่งให้กราบทูลพระกรุณาว่า ลูกค้าณเมืองนี้เข้าไปค้าขายณพระนครศรีอยุทธยา กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวกรุงไทยสรรเสริญของวิเสศต่าง ๆ แลภายในพระราชนิเวศว่างามหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะใคร่เหนความจริง จึงดำรัศใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าจำทูลพระราชสาสน์กับทั้งเครื่องมงคลราชบรรณาการ ออกมาจำเริญทางพระราชไมตรีด้วย. พระเจ้าฝรั่งเสศได้ทรงฟังก็ทรงโสมนัศดำรัศสั่งให้ข้าหลวงภาทูตานุทูตเข้าไปเที่ยวชมท้องพระโรงข้างใน แลพระราชถานทั่วทั้งสิ้น. ตรัสสั่งว่าให้จำเอาไปทูลพระเจ้ากรุงไทยเถิด เจ้าพนักงานกรมวังก็พาพวกแขกเมืองเข้าไปชมพระราชนิเวศสฐานที่ข้างในตามรับสั่ง ราชทูตก็จดหมายแต่บรรดาที่ได้เหนนั้นทุกประการ ถูกต้องสมคำพระยาวิชาเยนทร์ซึ่งกราบทูลนั้น แล้วกลับออกมาเฝ้าทูลสรรเสริญสมบัติในพระราชถานว่า งามเสมอทิพย์พิมานในเทวโลกย์ พระเจ้าฝรั่งเสศก็ทรงพระโสมนัศเชื่อถือถ้อยคำราชทูต ทรงพระการุญภาพเปนอันมาก มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พืชน์พันธุไว้ จึงพระราชทานนางข้าหลวงให้เปนภรรยาราชทูตคนหนึ่ง แล้วพระราชทานเครื่องแต่งตัวอย่างฝรั่งล้วนประดับด้วยพลอยต่างต่าง กับสนองพระองค์ทรงองค์หนึ่ง แล้วให้เขียนรูปราชทูต แลจดหมายถ้อยคำไว้ทุกประการ. แลราชทูตอยู่สมัคสังวาษกับด้วยภรรยา จนมีบุตรชายคนหนึ่งมีรูปร่างเหมือนบิดา ๚ะ

๏ อยู่มาประมาณสามปี ราชทูตจึงให้กราบถวายบังคมลา แล้วให้ฝากบุตรภรรยาด้วย พระเจ้าฝรั่งเสศก็พระราชทานเงินทองเสื้อผ้า แลสิ่งของวิเสศต่าง ๆ แก่ทูตานุทูตเปนอันมาก. แล้วให้แต่งพระราชสาสน์ตอบโดยทางพระราชไมตรี กับทั้งสิ่งของเครื่องราชบรรณาการตอบแทนมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้นก็มาก ทูตานุทูตก็กราบถวายบังคมลา อัญเชิญพระราชสาล์นตอบ กับทั้งเครื่องมงคลราชบรรณาการมาลงกำปั่น โปรดให้จัดเรือแห่มาส่งถึงเมืองปากน้ำ ครั้นถึงวันศุภมงคลฤกษใช้ใบออกท้องทเลใหญ่แล่นมาในมหาสมุท หาอันตรายมิได้ตราบเท่าถึงกรุงเทพมหานคร นายปานราชทูต,แลอุปทูต ตรีทูต ก็ขึ้นเฝ้าถวายพระราชสาสน์แลเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งพระเจ้าฝรั่งเสศตอบแทนมานั้น แล้วทูลแถลงกิจการทั้งปวงให้ทราบสิ้นทุกประการ พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปรีดาโสมนัศ ตรัสสรรเสริญสติปัญญานายปาน แล้วพระราชทานรางวัลแก่ทูตานุทูต โดยอันสมควรความชอบ ซึ่งไปได้ราชการณเมืองฝรั่งเสศมานั้น ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๑๒๔ ปีขานจัตวาศก พระบาทสมเดจพระบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัศปฤกษาด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายว่า พระเจ้าอังวะกระทำบังอาจให้กองทัพพม่ามอญ ยกติดตามครัวรามัญซึ่งหนีล่วงด่านแดนเราเข้ามามิได้ยำเกรง ควรเราจะแต่งกองทัพยกไปกระทำตอบแทนแก้แค้นตีเอาเมืองให้จงได้ มุขมนตรีทั้งปวงก็เหนพร้อมกันโดยพระราชบริหาร ครั้นถึงอาลุชมาส จึงมีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุระสีหนาทดำรัศเหนือเกล้า โปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดีเปนแม่ทัพใหญ่ ถือพลสกรรธ์ลำเครื่องสองหมื่นเสศ ช้างเครื่องร้อยเสศ ม้าสองร้อยเสศ สรัพด้วยเครื่องสรรพสาตราวุธ ให้พระยาวิชิตรภักดีเปนยุกระบัตรทับ ถือพลหมื่นเสศ ช้างเครื่องหกสิบแปด ม้าร้อยเสศทับหนึ่ง ให้พระสุรินทรภักดีเปนเกียกกาย พระยาสีห์ราชเดโชเปนกองน่า พระยาสุระสงครามเปนทับหลัง ถือรี้พลช้างม้าเท่ากันกับทัพยุกระบัตร แล้วโปรดให้พระยาเกียรติ แลสมิงพระรามกับสมิงรามัญเก่าใหม่ทั้งปวง ถือพลรามัญยกล่วงไปก่อน กวาดเอาพลเมืองทวายแลเมืองเมาะตมะกับเมืองขึ้นสามสิบสองหัวเมือง ให้ได้พลหมื่นเสศ มาบันจบทัพเจ้าพระยาโกษาธิบดี ยกไปทางเมืองเมาะตะมะทางหนึ่ง แล้วโปรดให้พระยารามเดโช กับพระยากำแพงเพชร แลหัวเมืองเหนือทั้งปวง ถือพลห้าพันสรัพด้วยช้างม้าเครื่องสาตราวุธพร้อมเสร็จ ให้ยกไปเกณฑ์กองทัพเมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูนไชย เมืองนครลำปาง ให้ได้พลหมื่นเสศ ยกไปฝ่ายเหนือกองหนึ่ง ๚ะ

๏ ครั้นถึงกะติกมาสได้ศุภวารดฤถีพิไชยฤกษ เจ้าพระยาโกษา แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง ก็กราบถวายบังคมลา ยกพลโยธาทับแยกกันไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์บ้าง ทางด่านเขาปูน แลด่านสลักพระแดนเมืองอุไทยธาณีบ้าง ทางทวายบ้าง. เกณฑ์กวาดเอาพลเมืองหวายแลเมืองเมาะตมะกับเมืองขึ้นได้พลหมื่นเสศ แลกองทับฝ่ายเหนือเกนท์เอาพลลาวทั้งสามเมืองได้พลหมื่นเสศ. ยกมาทางด่านระแหงบ้าง ทางด่านเมืองเถินแลเมืองนครลำปางบ้าง ไปพร้อมทับตำบลเมืองจิตตองลำน้ำสะโตง แลกองทับทั้งปวงประชุมพร้อม รี้พลโยธาทหารประมาณเก้าหมื่นเสศ เจ้าพระยาโกษาธิบดีแม่ทับใหญ่ ก็จัดแจงทับตามตำหรับพิไชยสงครามพร้อมเสร็จ แล้วยกไปตีเมืองหงษาวดี เมืองเสรียง เมืองย่างกุ้ง เจ้าเมืองทั้งสามสู้รบบ้างไม่รบบ้าง เหนเหลือกำลังต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนี. พวกรามัญทั้งปวงภากันมาขอเข้าด้วยกองทับไทยก็มาก นายทับนายกองทั้งปวง แลเมืองตองอู ตีได้หัวเมืองพม่ารามัญรายทาง แลครอบครัวเปนอันมาก ถึงสี่เดือนจึ่งยกขึ้นไปถึงเมืองอังวะ แม่ทับให้ตั้งค่ายใหญ่ แลค่ายครัวกองหลังไกลเมืองอังวะทางโยชน์หนึ่ง ทับน่าแลกองเกียกกายปีกช้ายปีกขวา แลยุกระบัตรยกเข้าตั้งค่ายรายรอบเมืองทั้งสามด้าน ห่างเมืองประมาณสองร้อยเส้น เปิดไว้แต่ด้านริมน้ำ ให้เกบเรือใหญ่น้อยข้ามพลไปตีเอาได้เมืองจักกายฝ่ายฟากข้างโน้น ตรงเมืองอังวะข้าม แล้วให้ตั้งค่ายอยู่เปนหลายค่าย เกนพลทหารแยกกันไปตีบ้านใหญ่น้อยในแว่นแคว้นแดนเมืองอังวะได้ครอบครัวแลคนเชลยเปนอันมาก แล้วให้ลาดตะเวนทั้งทางบกทางเรือบันจบถึง มิให้ชาวเมืองออกลาดหากินได้สดวก ให้เที่ยวกวาดครอบครัวรวบรวมอาหารมาใส่ยุ้งฉางไว้ในค่ายก็ได้น้อยนัก ด้วยปีนั้นเมืองอังวะบังเกิดฝนแล้ง เข้ากล้าในท้องนาจึงได้ผลน้อยมิได้บริบูรณ ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าอังวะจึงให้มังจาเลราชบุตรยกพลทหารหมื่นหนึ่งออกตั้งค่ายรับนอกเมืองเปนหลายค่าย พระยาสิหราชเดโชกองหน้ายกพลเข้ารบกับกองทับพม่ากลางแปลงเปนหลายครั้ง พลพม่าต่อรบเปนสามารถ ต้านทานมิได้ ก็แตกฉานหนีเข้าค่ายทุกครั้ง วันหนึ่งนายทัพพม่าคิดกลศึกซุ่มพลทหารไว้ในค่ายเปิดประตูหลังค่ายหนีไป พระยาสิหราชเดโชมิทันแจ้งในกลอุบายค่าศึก ขี่ม้าขาวควบขับนำพลทหารประมาณห้าร้อยเข้าไปในค่าย พลพม่าซึ่งลงซุ่มซ่อนอยู่ในสนามเพลาะภายในค่าย ก็ขึ้นจากสนามเพลาะพร้อมกันไล่ล้อมพลทหารไทย ๆ สู้รบถึงตลุมบอน พลพม่ามากกว่าหลายเท่า ก็เข้ากลุ้มรุมกันจับไทยได้เปนอันมาก แต่พระยาสิหราชเดโชยะทิปะคนนี้ มีวิชาหายตัวได้อึดใจหนึ่ง ถือหอกควบขับม้าขาวไล่แทงพม่าล้มตายเปนหลายสิบ พม่าเหนตัวบ้างไม่เหนตัวบ้าง ก็ไล่ล้อมรบเปนหมู่ ๆ ไป แลพระยาสิหราชเดโชสู้รบจนสิ้นกำลัง ก็ตกลงจากหลังม้า จะกลั้นอัศสาสะปะสาศก็เร็วเข้าด้วยกำลังเหนื่อย พม่าแลเหนตัวถนัดก็เข้าล้อมกลุ้มรุมจับตัวได้พันทนาไว้แล้วชวนกันฟันแทงมิได้เข้าด้วยมีวิชาคงทนอาวุธ แลพวกพลทหารไทยห้าร้อยก็ล้วนคงกะพันทั้งสิ้น อาวุธค่าศึกมิได้บาดเจ็บกาย แต่สู้รบกับพลพม่าฆ่าฟันพม่าเสียเปนอันมากจนสิ้นกำลัง.พลพม่ามากกว่ามากเยียดยัดหนุนเนื่องกันเข้าห้อมล้อมจับเปนได้สิ้น ชวนกันทุบตีฟันแทงมิได้เข้าก็จับมัดไว้ ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทัพไทยซึ่งยกติดตามกันมาข้างหลังจะแหกเข้าค่ายพม่า ๆต้านทานสู้รบเปนสามาถ หักเข้ามิได้ ก็ถอยออกไป แล้วให้ม้าใช้รีบไปแจ้งราชการแก่ท่านแม่ทับ ๆ จึงสั่งพระสุรินทรภักดีนายกองเกียกกาย ให้ยกหนุนมาช่วยแก้เอาพระยาสิหราชเดโชคืนมาให้จงได้ แล้วแต่งหนังสือบอกให้ม้าเร็วสามสิบม้า ถือรีบลงมายังกรุงเทพมหานครกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ สมเดิจพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบว่าเสียพระยาสีหราชเดโชฆ่าศึกจับไปได้ ก็ตกพระไทยนัก จึงดำรัสสั่งตำรวจให้ออกไปนิมนต์พระพิมลธรรมราชาคะณะ วัดระฆังเข้ามาจะให้จับยามดูให้รู้เหตุกระหนักแน่ ด้วยพระพิมลธรรมราชาคะณะองค์นี้ดูยามแม่นนักได้เคยทรงเชื่อมาแต่ก่อน ครั้นพระผู้เปนเจ้าเข้ามาถึงพระราชนิเวศน์ นั่งเหนืออาศนะ จึงตรัสบอกว่าบัดนี้ พม่าข้าศึกจับพระยาสิหราชเดโชทหารเอกเราไปได้จะเปนตายประการใด นีมนต์ธรพระผู้เปนเจ้าพิจรณาดูให้รู้จงแน่ พระพิมลธรรมราชาคะณะจึ่งพิจรณาตามยามตรีเนตร ก็รู้แจ้งในยามนั้น แล้วถวายพระพรพยากรณว่า ซึ่งพระยาสิหราชเดโชฆ่าศึกจับไปได้นั้นก็จริง แต่ทว่าบัดนี้แก้ตัวออกได้พ้นจากอำนาทข้าศึกแล้ว กลับได้ไชยชำนะ และได้ลาภเปนอันมากอีก พระราชสมภารเจ้าอย่าทรงพระวิตกเสียพระไทยเลย ในยามนี้หาอันตรายมิได้เปนแท้ ๚ะ

๏ ฝ่ายข้างกองทับพม่า ครั้นจับพระยาสิหราชเดโช แลพลทหารไทยห้าร้อยพรรธนาไว้ได้สิ้นแล้ว ก็จัดแจงกันจะให้คุมตัวส่งเข้าไปณะเมืองอังวะ พลางเกนกันให้ขนเอาสพพม่าที่ตายออกไปเสียนอกค่าย ภอกองทับไทยซึ่งยกหนุนมาช่วยนั้นมาถึง ก็เข้าถอนขวากแหกค่ายเย่อค่ายปีนค่าย พวกนายทับพม่าสาลวลไล่พลออกต่อรบยิงปืนใหญ่น้อย แลพุ่งซัดแหลนหลาวสาตราวุธเปนอลมาน ส่วนพระยาสิหราชเดโชต้องพรรธนาอยู่จึงพิจรณาดูเมฆฉายในอากาษ เหนศุภนิมิตแล้วร่ายพระพุทธมนตรคาถาเสดาะพรรธนาลุยหลุดออกจากกายได้สิ้น แล้วลุกแล่นไปชิงเอาดาบพม่าได้ ก็ไล่ฟันพม่าซึ่งคุมอยู่นั้นตายเปนหลายคน พวกพม่าวิ่งหนีกระจายกันออกไป ก็เอาดาบเข้าตัดเชือกซึ่งผูกมัดพวกทหารออกได้ประมาณสิบคน ทหารเหล่านั้นก็เข้าช่วงชิงเอาอาวุธพวกพม่าตัดเชือกมัดกันต่อ ๆ กันไปจนสิ้น ก็พร้อมกันแล่นไล่ฆ่าฟันพม่าในค่ายนั้นล้มตายเปนอันมาก แตกหนีไปสิ้น ชิงเอาค่ายนั้นได้ นายกองทับหนุนเหนพม่ามอญแตกหนีทิ้งค่ายตำบลนั้นเสียแล้ว แลพระยาสีหราชเดโช กับพวกทหารแก้ตัวออกได้แล้ว ก็ช่วยกันตีค่ายอื่นต่อ ๆ ไป พวกพลพม่าภากันตื่นตกใจ เสียทีไม่เปนที่จะสู้รบ วิ่งกระจัดพลัดพรายกันไป กองทัพไทยไล่ติดตามฆ่าฟันพม่าเสียครั้งนั้นเปนอันมาก แลมังจาเลราชบุตรเจ้าอังวะ ซึ่งเปนแม่ทัพในญ่หนีมิทัน ก็ตายอยู่ในค่าย นายทับนายกองพม่าตายลงเปนหลายคน ก็เสียค่ายทั้งสิ้น ภากันหนีเข้าเมืองอังวะ ทับไทยได้ไชยชำนะจับได้พม่าเชลย แลช้างม้าเครื่องสาตราวุธก็มาก ให้คุมส่งลงไปยังท่านแม่ทับ แจ้งข้อราชการทั้งปวงให้ทราบ เจ้าพระยาโกษามีความยินดีนัก จึ่งแต่งหนังสือบอกให้ม้าเร็วอีกสามสิบม้าถือหนังสือรีบเร็วลงมากราบทูลพระกรุณา ยังกรุงเทพมหานครในวันนั้น แลม้าใช้ซึ่งถือหนังสือบอกพวกหลัง เร่งรีบมาถึงพระนครศรีอยุทธยาในวันเดียวกันกับพวกก่อน คลาดกันประมาณสามนาฟิกาเสศ ๚ะ

๏ สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวยังตรัสอยู่กับพระพิมลธรรม ภอนายเวนมหาดไทยนำผู้ถือหนังสือบอกฉบับหลังเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระกรุณาอ่านหนังสือบอกถวาย ได้ทรงทราบดีพระไทยนัก ตรัสสรรเสริญพระพิมลธรรมว่า ดูแม่นหาผู้ใดเสมอมิได้ แล้วทรงถวายไตรจีวรผ้าแตงเทษไตรหนึ่งเปนบำเหน็จ นิมนต์ให้กลับไปอาราม แล้วพระราชทานรางวัลแก่ม้าใช้ผู้ถือหนังสือบอกทั้งสองพวกโปรดให้กลับคืนไปยังกองทับ พลางตรัสสรรเสริญพระยาสิหราชเดโชว่า เปนยอดทหารหาผู้เสมอเปนอันยาก แล้วเสดจขึ้น ๚ะ

๏ ฝ่ายท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง ก็ยกพลทหารเข้าไปตั้งในค่ายพม่าซึ่งแตกหนีไปนั้น แล้วให้ตั้งค่ายน้อยใหญ่รายโอบเมืองไปทั้งสามด้าน ใกล้เมืองเข้าไปกว่าค่ายเดิม พม่าชาวเมืองทั้งปวงกลัวฝีมือทหารไทยยิ่งนัก มิอาจมาต่อรบนอกเมืองได้ พระเจ้าอังวะก็ให้เกนทหารขึ้นประจำน่าที่เชิงเทินรอบเมืองรักษาเมืองมั่นไว้ กองทับไทยยกเข้าหักเอาเมืองเปนหลายครั้ง ชาวเมืองต่อรบต้านทานเปนสามารถเข้าเมืองมิได้ ก็ถอยออกมารักษาค่ายมั่นอยู่ แลพลพม่าชาวเมืองจัดแจงการป้องกันเมืองมั่นคง มิได้ประมาททั้งกลางวันกลางคืน ๚ะ

๏ ขณะนั้นในเมืองอังวะเข้าแพงเปนทนานละสองบาท ชาวเมืองอดอาหารซูบผอมล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายกองทับไทยก็กันดารขัดสนเสบียงอาหาร เกนกันไปเที่ยวเสาะสแวงหาอาหารตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ในแว่นแคว้นเมืองอังวะ ก็ได้มาบ้างแห่งละน้อย ๆ ไม่ภอแจกจ่ายรี้พลในกองทับ พลทหารอดยากลำบากป่วยเจบล้มตายก็มาก ท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวงจึงปฤกษากันว่า เสบียงอาหารเราก็กันดารนัก เหนจะตีเอาเมืองมิได้ในครั้งนี้ จะต้องล่าทับกลับไป จึ่งภากันเข้าไปแจ้งเหตุแก่เจ้าพระยาโกษาแม่ทับ ๆ ได้แจ้งดั่งนั้นก็เสียใจนัก จึ่งคิดการที่จะล่าทับ อย่าให้พม่าติดตามได้ แล้วปฤกษากับนายทับนายกองทั้งปวงว่า บัดนี้รี้พลเรากันดารอาหารถอยกำลังทั้งไข้เจบก็มาก แลเราจะล่าทับกลับโดยตรงนั้นมิได้ พม่าชาวเมืองจะได้ทียกออกติดตามตีตัดท้ายรี้พลเราจะพินาศฉิบหายเปนอันมาก จำจะคิดกลอุบายฬ่อลวงให้พม่าเขดขยาดฝีมือเราเสียก่อน จึ่งจะผันผ่อนล่าทับกลับไปได้โดยสดวกไม่มีไภยอันตราย แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง ก็เหนชอบด้วยพร้อมกัน เจ้าพระยาโกษาแม่ทับ จึ่งแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง เปนใจความว่า หนังสือเราผู้เปนมหาจัตุรงค์ปรินายก ดุจจักรแก้วอันประดิษฐานใต้เบื้องบงกชเรณุมาศ พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยา ผู้เปนอัคอิศราธิปไตยในสยามประเทศเขตรขันทสีมาปราจินทิศ มาถึงเสนาบดีกรุงรัตนบุระอังวะ ด้วยเรากราบทูลพระกรุณารับอาษายกพยุหโยธาทับมาครั้งนี้ หมายจะตีกรุงรัตนบุระอังวะ ทูลเกล้าถวายสนองพระเดชพระคุณให้จงได้ จะให้แผ่ผ่านพระราชอาณาเขตร ปกครองครอบงำไปในภุกามประเทศ แลรามัญประเทศทิศอัศฎงคตพิไชยทั่วทั้งสิ้น แลพลทวยหารพม่ากับไทยก็ได้ต่อยุทธเหนกำลังแลฝีมือกันเปนหลายครั้งแล้ว ซึ่งใครจะมีไชยแลปราไชยนั้น ก็ย่อมแจ้งอยู่แก่ใจด้วยกันแล้ว แม้จะขับเขี้ยวกระทำการสงครามกันสืบไป มาทว่าเราจะได้เมืองก็เหมือนหนึ่งไม่ได้ ด้วยในเมืองอังวะขัดสนเสบียงอาหารกันดารนัก ฝ่ายเราจะอยู่รักษาเมืองก็ยาก ประการหนึ่งกองทับเราก็ฝืดเคืองขัดสนด้วยเสบียงซึ่งจะเลี้ยงกัน จะกวาดต้อนครอบครัวเชลยไปนั้นก็ลำบาก ด้วยอดยากอาหารล้มตายมากกว่ามากนัก แลครั้งนี้เราก็จะไม่ได้เมืองอังวะ ครั้นจะล่าทับถอยไปเล่า ก็เกรงพระราชอาชาจะลงโทษโดยพระอัยการศึกถึงสิ้นชีวิตร จะเลิกทับกลับไปก็ไม่ได้ แลบันดาพม่านายไพร่ในเมืองอังวะนี้ ไม่มีใครกล้าหารล้วนแต่มีสรรดารขลาดดุจอิสัตรีสิ้นแล้วฤๅประการใด จึงไม่ออกมาตีทับเรา แลไม่ออกมาเจรจาความด้วยเรา ชวนกันนิ่งซ่อนหน้าอยู่แต่ในเมืองได้ชั่งกระไรไม่มีความลอายผิดพิไสยชายชาติทหาร คิดการดั่งนี้มิควรหนัก จงเหนแก่ทางไมตรีที่ได้เคยเปนคู่สนุกด้วยกันในการสงคราม ขอให้ยกพลโยธาทหารออกมาต่อตีทับเราอิกสักครั้งหนึ่งเถิด ภอจะได้เอาเหตุนี้บอกหนังสือแก้ตัว ส่งลงไปกราบทูลพระกรุณายังกรุงเทพมหานครว่า พลพม่าออกมาตีทับไทยเปนอันมากหลายครั้ง เหลือกำลังที่จะสู้รบทั้งขัดสนสิ้นเสบียงอาหาร ขอรับพระราชทานล่าทับกลับไปตั้งทำไร่นาที่ปลายแดน ได้เสบียงอาหารบำรุงช้างม้ารี้พลให้มีกำลังบริบูรณพร้อมแล้ว จึ่งจะยกพยุหโยธาทับกลับไปตีเมืองอังวะในครั้งหลังให้จงได้ ๚ะ

๏ ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้ว ก็ให้พม่าเชลยถือหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เสนาบดีในเมืองอังวะ แลเจ้าพระยาโกษาธิบดีพิจารณาเหนพม่าทุพลภาพถอยกำลัง ทั้งเกรงกลัวฝีมือพลทหารไทย เหนจะไม่อาจยกกองทับมาต่อตีเปนแท้ จึ่งแส้งแต่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งเข้าไปในเมือง ฝ่ายเสนาบดีพม่าได้แจ้งในหนังสือนั้น ก็พิจารณาเหนว่า เปนกลอุบายฬ่อลวง ก็มิได้แต่งกองทับออกไปต่อตีตามหนังสือซึ่งให้เข้ามา เกรงจะเสียท่วงที จึ่งปฤกษากันว่า ถ้าเราจะยกทับออกไปตีตามหนังสือนั้น ฝ่ายกองทับไทยคิดกลอุบายไว้ ก็จะได้ทีตีทับเราแตกฉานแล้ว จะไล่ติดตามมาเข้าเมืองได้ จึ่งเอาหนังสือนั้นเข้ากราบทูลพระเจ้าอังวะ ๆ ก็เหนว่าเปนกลอุบายดุจมุขมนตรีทั้งปวงปฤกษาเหนพร้อมกันนั้น ฝ่ายเจ้าพระยาโกษาธิบดีแม่ทับคอยอยู่ประมาณสองวันสามวัน ก็มิได้เหนกองทับพม่ายกออกมาจากเมือง จึ่งแต่งหนังสืออิกฉบับหนึ่ง ส่งให้พม่าเชลยถือเข้าไปถึงเสนาบดีในเมืองอังวะเหมือนครั้งก่อน เปนใจความว่า บันดาพม่าในเมืองอังวะทั้งนายแลไพร่ ไม่มีใครองอาจกล้าหารในการสงคราม ล้วนแต่มีสันดารพิรุกชาติขลาดดุจอิสตรีทั้งสิ้นเปนแท้ แต่เราวิงวอนอ่อนง้อขอให้ยกกองทับออกมาตีเราสักครั้งหนึ่ง จักพึ่งภอเปนเหตุได้ลงใบบอกส่งลงไปกราบทูลพระกรุณาจะขอล่าทับเท่านี้ ก็ยังว่าหาออกมาไม่ ชั่งกะไรไม่มีความเมตตากรุญภาพแก่เราบ้างเลย มาตัดทางไมตรีเด็ดเดี่ยวไปเสียฉะนี้ก็มิควร ถ้าแลจะไม่อนุเคราะห์แก่เราโดยแท้แล้ว ก็จงเร่งบอกออกมา เราทั้งหลายก็จะลาพระเจ้าอังวะล่าทับกลับไปโดยเร็ว ครั้นพม่าเสนาบดีทั้งปวงได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็คิดเข็ดขามคร้ามกลัวเหมือนครั้งก่อน แลมิได้ออกมาตามหนังสือนั้น ๚ะ

๏ ฝ่ายเจ้าพระยาโกษาธิบดีก็จัดแจงนายทับนายกอง แลพลอาษาสองหมื่น ให้คุมเอาช้างม้าพลาพลทหารอันป่วยเจ็บทุพลภาพ แลพม่ามอญเชลยทั้งหลายอันตีได้นั้น ล่าลงไปเสียก่อนสองสามวัน แล้วจึ่งปฤกษาด้วยท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวงว่า เพลากลางคืนวันนี้เราจะทำกลอุบายฬ่อลวงพม่าชาวเมืองให้เสียทีลงจงได้ แลเราจะเอาไม้แห้งแลหญ้าแห้งทั้งหลาย มากองไว้หลังค่ายรายกันไปแล้ว จึงให้ขนเอาสิ่งของทั้งหลายอันมีในค่ายน่านั้น ออกมาไว้ณค่ายชั้นนอกอันไกลให้สิ้น แลให้พลทหารซึ่งรักษาค่ายน่าทั้งหลายนั้น ถอยออกมาซุ่มอยู่ค่ายชั้นนอก แลให้บริโภคโภชนาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงตกแต่งกายสวมใส่เครื่องรบ ตระเตรียมช้างม้าเครื่องสาตราวุธทั้งปวงให้พร้อมเสรจ แล้วให้แบ่งช้างม้าพลาพลเดินทางสองหมื่น สรรพไปด้วยเครื่องสรรพาวุธ ยกไปซุ่มอยู่โดยสองข้างเมืองนั้น ฝ่ายพลทหารซึ่งซุ่มอยู่ในค่ายนั้น ก็ให้ประจุปืนขึ้นนกสับทั้งปวงให้พร้อมไว้ทุกค่าย แล้วปิดประตูค่ายเสีย เพลาสองยามจึ่งจุดปืนใหญ่น้อยยิงรดมขึ้น แลให้จุดเพลิงเผาเชื้ออันกองรายไว้หลังค่ายทั้งหลายขึ้นในขณะนั้น แลแสงเพลิงนั้นก็สว่างปรากฎเข้าไปในเมือง ชาวเมืองได้ยินเสียงปืนแลเหนแสงเพลิงดังนั้น จะสำคัญว่ากองทับเราล่าหนีไปแล้วก็ดีใจ แลจะเปิดประตูเมืองชวนกันออกมายังค่ายเราเพื่อจะปราถนาจะเกบเอาสิ่งของ ฝ่ายกองทับเราทั้งหลายซึ่งซุ่มอยู่ในค่ายนอกค่ายนั้นก็จะได้ทีพร้อมกัน แลจะไล่พิฆาฎฆ่าฟันพม่าชาวเมืองทั้งหลายล้มตายด้วยอาวุธซั่นยาวต่าง ๆ เปนอันมาก ฝ่ายพม่าก็จะครั่นคร้ามขามกลัวลง ถึงเราจะล่าทับโดยจริงก็จะสำคัญว่าฬ่อลวงอิก แลจะเข็ดจะขยาดมิอาจออกมาติดตามได้ กองทับเราก็จะยกไปโดยสดวก แลซึ่งเราว่ามาทั้งนี้ ท่านทั้งหลายจะเหนเปนประการใด จึ่งท้าวพระยานายทับนายกองทั้งปวง ก็เหนพร้อมโดยความคิดเจ้าพระยาโกษาแม่ทับหลวง แลกระทำตามถ้อยคำทั้งปวงเสรจสิ้นทุกประการ ๚ะ

๏ ฝ่ายพม่าชาวเมืองทั้งหลายมิได้รู้ในอุบาย ครั้นเหนแสงเพลิง แลได้ยินเสียงปืนดังนั้น ก็สำคัญว่ากองทับล่าหนีไปแล้ว ก็มีความยินดีหนัก ต่างคนต่างอดอาหารกันดารนักอยู่ก็เปิดประตูเมือง ตรูกันเอาหาบคอนออกมาปราถนาจะเก็บเอาเสบียงอาหาร แลสิ่งของอันเหลืออยู่ในค่าย ครั้นมาถึงค่ายน่าซึ่งเปล่าอยู่นั้น ก็ตรูกันเข้าไปในค่ายก็มิได้สิ่งของอันใด แล้วชวนกันแล่นออกไปค่ายชั้นนอก ซึ่งกองทับไทยซุ่มอยู่นั้น ครั้นเหนเงียบสงัดอยู่ ก็มิได้พิจารณา แลเปิดประตูกรูกันเข้าไปในค่ายนั้นทุก ๆ ค่าย ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับไทยซึ่งซุ่มอยู่ในค่ายทั้งหลายนั้น ก็วางปืนจ่ารงมณฑกนกสับรดมเอาพม่าชาวเมืองทั้งหลายล้มตายเปนอันมาก บ้างก็ออกไล่รุกรันฟันแทงไป พม่าทั้งหลายมิทันรู้ตัว ก็วิ่งรส่ำรสายไปเปนอลหม่าน แลจะหนีกลับเข้าเมือง พลทหารไทยซึ่งอยู่สองข้างเมืองนั้น ก็ออกวกหลังไล่รุกรันฟันแทงพม่าล้มตายในที่นั้นเปนอันมาก แลจับได้เปนส่งมายังค่ายหลวงนั้นก็มาก กองทับไทยฆ่าพม่าเสีย แลจับเปนได้นั้น ก็มากกว่าหมื่น พม่าทั้งหลายซึ่งรอดไปได้บ้างนั้น ก็หนีเข้าเมือง พลทหารไทยไล่ติดตามไปถึงประตูเมือง ชาวเมืองปิตประตูเมืองเสียทัน ก็ขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทิญหอรบ ป้องกันเมืองเปนสามารถ ทับไทยก็มิอาจเข้าเมืองได้ ก็ถอยกลับออกมายังค่าย แลพม่าชาวเมืองอังวะทั้งหลาย ครั้งนั้นถึงพินาศฉิบหายเปนอันมาก ที่เหลืออยู่นั้นสดุ้งตกใจกลัวทับไทยยิ่งนัก ต่างคนต่างร้องไห้ร่ำรักญาติทั้งหลาย อันล้มตายหายจากกันไปนั้นทุกบ้านทุกเรือน แลในเมืองอังวะครั้งนั้นเงียบเหงาเศร้าโศกวิปโยคพรัดพรากซึ่งกันแลกันเปนอันมากนัก ๚ะ

๏ ฝ่ายเจ้าพระยาโกษาธิบดี ก็ส่งหนังสือเข้าไปอิกฉบับหนึ่งเล่า ในลักษณหนังสือนั้นว่า พม่าชาวเมืองอังวะนี้มิได้มีสติปัญญาหนาไปโดยโมหครอบงำอยู่ในสันดาร มิได้รู้ในการสงครามทั้งปวง มิได้ฉลาดในกลพิไชยสงคราม แต่เราลองใจหลอกเล่นหน่อยหนึ่งเท่านี้ ก็ยังหารู้ไม่ ชวนกันเทเมืองออกมาหาเราถึงค่าย เอาชีวิตรออกมาพลีกรรมอาวุธพลทหารแห่งเราจนเบื่อฆ่าฉนี้มิควรยิ่งนัก อนึ่งพม่าชาวเมืองอังวะทั้งหลายซึ่งพลทหารแหง่เราฆ่าเสียแลจับเปนได้มากนั้น ก็เปนประเวณีศึกมาแต่ก่อน พระเจ้าอังวะแลเสนาบดีทั้งหลายอย่าได้โทมนัศขัดเคืองแก่เราเลย จงอยู่เปนศุขสวัสดิพิพัฒน์เถิด เราจะลาล่าทับกลับไปเรวแล้ว ๚ะ

๏ ครั้นพม่าเสนาบดีทั้งหลาย ได้แจ้งในหนังสือดั่งนั้น ก็สำคัญว่าฬ่อลวงอีก ให้คิดเขดขามคร้ามขยาดยิ่งนัก จึ่งปฤกษากันว่า ครั้งก่อนทับไทยทำกลอุบายทำทีประหนึ่งจะล่า ฝ่ายเรามิทันจะพิจารณาให้ท่องแท้ คิดว่าจริงก็ชวนกันเทเมืองออกไป ทับไทยได้ทีไล่พิฆาฏฆ่าล้มตาย แลจับได้นั้นก็มาก แต่เท่านั้นแล้วยังมิหนำซ้ำไล่ติดตามมาถึงเมือง นี่หากว่าเราปิดประตูเมืองเสียทัน หาไม่ก็จะเสียแก่ฆ่าศึกแต่ในเพลานั้นครั้งหนึ่งแล้ว แลบัดนี้รื้อให้หนังสือบริภาศภ้อฬ่อลวงเข้ามาอิกเล่า ถ้าเราจะออกไปอิกครั้งนี้ ทับไทยจะคิดกลอุบายไว้ยิ่งกว่าครั้งก่อน ครั้นได้ทีแล้วก็จะออกไล่รุกบุกบันเข้ามาแหกหักเอาเมืองให้จงได้ แลควรเราจะรักษาเมืองไว้ให้หมั้นคง อย่าหลงในอุบายฆ่าศึก ครั้นปฤกษาเหนพร้อมกันแล้ว ก็เอาเนื้อความขึ้นกราบทูลพระเจ้าอังวะเหมือนหนหลังนั้น ๚ะ

๏ ส่วนเจ้าพระยาโกษาก็จัดแจงช้างม้าพลาพลเดินท้าว แลเสบียงอาหารให้พร้อมไว้ แลเกนให้พลลาวเมืองเชียงใหม่เดิรทับรั้งหลัง แล้วก็เลิกทับกลับไปโดยลำดับมารควิถีตราบเท่าถึงเมืองหงษาวดี แลให้อยุดทับยับยั้งอยู่ในที่นั้น ในขณะนั้นฝ่ายแสนท้าวพระยาลาวเชียงใหม่ทั้งหลาย ซึ่งเดิรทับรั้งหลังมานั้น ครั้นทับไทยไม่ได้เมืองอังวะล่าทับกลับมาดั่งนั้น ก็กลัวพระเจ้าอังวะ จึงคิดอ่านกันแยกกองทับหนีไปโดยทางเมืองเชียงใหม่ ๚ะ

๏ เจ้าพระยาโกษาแจ้งเหตุดังนั้น ก็สั่งให้พระยากำแพงเพชร แลพระยารามเดโชถือพลเมืองเหนือทั้งหลายสองหมื่น ให้ยกพลไปตามกองทับลาวเชียงใหม่อันหนีไปนั้นเอาตัวให้จงได้ แล้วก็ยกกองทับทั้งปวงล่วงรามัญประเทศมายังพระมหานคร แลแยกกันมาโดยทางอันไปนั้น ๚ะ

๏ ส่วนพม่าชาวเมืองอังวะทั้งหลายแต่กลัวทับไทย มิอาจออกจากเมืองได้นั้นก็ช้านานจนกองทับไทยล่าไปกว่าสิบวันแล้ว จึ่งค่อยรู้ว่ากองทับไทยลงไปแล้ว ก็มิอาจษามารถจะติดตามได้ ๚ะ

๏ ฝ่ายแสนท้าวพระยาลาวชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งหลาย ซึ่งแยกทับหนีไปนั้น ก็รีบไปทั้งกลางวันกลางคืนตราบเท่าถึงเมืองเชียงใหม่ แลขึ้นเฝ้าพระยาแสนหลวงกราบทูลประพฤติเหตุทั้งปวง ให้ทราบสิ้นทุกประการ พระยาแสนหลวงเจ้านครเชียงใหม่ทราบเหตุดั่งนั้น ก็สดุ้งใจกลัวพระเจ้าอังวะยิ่งนัก จึ่งสั่งให้ท้าวพระยาเสนาลาวทั้งหลาย ให้ตรวจจัดทหารขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทินปราการโดยรอบ ประกอบด้วยเครื่องสรรพายุทธปืนใหญ่น้อยพร้อมเสรจ แลป้องกันเมืองเปนสามารถ คอยกองทับไทยอันจะยกมาติดตามนั้น ๚ะ

๏ ส่วนกองทับพระยากำแพงเพชร แลพระยารามเดโช ก็ยกติดตามทับลาวไป ครั้นไม่ทันที่กลางทางแล้ว ก็ยกตามไปถึงเมืองเชียงใหม่ เหนชาวเมืองขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทิน แลปิดประตูเมืองอยู่ ก็รู้ว่าพระยาแสนหลวงกลับเปนกระบถเมืองจะต่อรบ จึงขับพลทหารเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ แล้วแต่งหนังสือส่งเข้าไปในเมือง เพื่อจะให้รู้เหตุกระหนักแน่ ในหนังสือนั้นว่า กองทับพระยาลาวซึ่งยกไปช่วยนั้น หนีกลับมามิได้บอกกล่าวให้เรารู้ แลบัดนี้พระยาแสนหลวงคิดอ่านเปนประการใด แลจะกลับแขงเมืองไม่ขึ้นแก่พระนครศรีอยุทธยา จะต่อรบเราฤๅก็ให้เร่งบอกออกมา เราก็จะยกโยธาหารเข้าแหกหักเอาเมืองให้จงได้ ๚ะ

๏ ครั้นพระยาแสนหลวงแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้ว ก็ให้หนังสือตอบออกมายังกองทับ ในหนังสือนั้นว่า เราทราบว่าทับไทยจะยกไปตีเมืองอังวะ ก็คิดว่าจะได้เมืองอังวะอยู่ จึงจัดแจงแต่งกองทับให้ยกไปช่วยเพื่อจะเอาพระนครศรีอยุทธยาเปนที่พึ่ง แลบัดนี้ทับไทยไปตีเมืองอังวะก็มิได้ แลกลับล่าถอยมา ฝ่ายเมืองเราซิเปนข้าขอบขัณฑสีมาอังวะอยู่ก่อน เรากลัวท่านผู้เปนอิศราธิบดีในภูกามประเทศ จะแต่งทับยกมาตีเมืองเรา ๆ ก็จะต้านทานมิได้ จึ่งจะเอาพระเจ้าอังวะเปนที่พึ่งที่พำนักนิ์เหมือนแต่ก่อน ถ้าแลกองทับไทยจะยกมาช่วยเราได้ เมื่อขณะพม่าจะมาตีนั้น, เราก็จะเปนข้าขอบขันทสีมาพระนครศรีอยุทธยา จะเอาพระเดชานุภาพสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรุงไทยเปนที่พึ่งที่พำนักนิ์สืบไป ๚ะ

๏ ครั้นแม่ทับไทยได้แจ้งในหนังสือดั่งนั้น ก็เหนว่าพระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่ จะต่อรบเปนแท้อยู่แล้ว ครั้นเพลากลางคืนก็ขับพลทหารสองหมื่นเข้าป่ายปีนปล้นเอาเมือง ชาวเมืองก็รบพุ่งป้องกันรักษาน่าที่เชิงเทินทั้งกลางวันกลางคืนเปนสามารถ กองทับไทยมิอาจแหกหักเอาเมืองได้ ก็ถอยกลับออกมายังค่าย แต่ยกเข้าปล้นดั่งนั้นหลายครั้ง รี้พลต้องสาตราวุธชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายเปนอันมาก จะปล้นเอาเมืองเชียงใหม่มิได้ นายทับนายกองทั้งหลายจึ่งปฤกษาว่า รี้พลเราอดหยากอาหารป่วยเจ็บทุพลภาพมาแต่เมืองอังวะมากอยู่แล้ว แลบัดนี้เรามาล้อมเมืองเชียงใหม่กว่าสิบวันแล้วก็ยังไม่ได้ จำจะต้องแต่งหนังสือบอก ให้ม้าเร็วถือลงไปกราบทูลพระกรุณายังกรุงเทพมหานคร ให้ทราบเหตุทั้งปวง แลเราจะคิดการเผาเมืองในเพลากลางคืนจะเข้าปล้นเอาเมือง ถึงมาทว่าไม่ได้เมือง เราจะต้องล่าทับกลับไปก็ดี แลกระทำให้ชาวเมืองทั้งหลายได้ทุกขเวทนาลำบากมากอยู่แล้ว ก็มิอาจสามารถจะติดตามได้ กองทับเราก็จะกลับไปโดยสดวก ครั้นปฤกษาเหนพร้อมกันแล้ว ก็จัดแจงทับคุมเอาช้างม้าพลาพลเดินเท้าทั้งหลายอันป่วยทุพลภาพอยู่นั้น ล่าลงไปเสียก่อนสองสามวัน แล้วจึ่งให้กระทำลูกธนูพันหนึ่ง ผูกเพลิงอังแพลมทุก ๆ เล่มพร้อมเสรจ ครั้นค่ำลงเพลาประมาณยามหนึ่งจึ่งขับพลทหารเข้าแหกหักเอาเมือง แลยิงลูกธนูทั้งหลายเข้าไปในเมืองนั้น ส่วนลูกธนูทั้งหลาย ก็ตกลงถูกหลังคาเรือนทั้งหลายในเมืองเชียงใหม่ แลเพลิงอังแพลมซึ่งผูกลูกธนูทั้งหลายนั้น ก็ติดขึ้นไหม้ไปทุกตำบลเปนอลหม่าน พลลาวชาวเมืองซึ่งรักษาน่าที่ทั้งปวง เหนเพลิงไหม้ดั่งนั้น ก็ตกใจต่างคนต่างจะไปบ้านเรือนแห่งตน ๆ แลจะทิ้งน่าที่เสีย ท้าวพลเสนาลาวนายด้านนายกองเจ้าน่าที่ทั้งหลายมิได้ลงจากน่าที่ แลให้รบพุ่งป้องกันเมืองไว้ มิได้อาไลยในสิ่งของเย่าเรือนทั้งปวง สุดแท้แต่อย่าให้เสียเมืองแก่ข้าศึกได้ ที่เหลือจากน่าที่นั้น ก็ช่วยกันดับเพลิงบ้าง บ้างก็เก็บสิ่งของทั้งปวง แลเพลิงนั้นใช่เกิดแต่แห่งเดียว เที่ยวลุกลามไหม้ไปเปนหลายแห่ง ชาวเมืองมิทันจะดับได้ ก็ไหม้เรือนทั้งหลายในเมืองนั้นมากกว่าพัน ที่อยู่รักษาน่าที่นั้น ก็รบพุ่งป้องกันเปนสามารถ ทับไทยมิอาจแหกหักเอาเมืองได้ ก็ถอยกลับออกมายังค่าย ครั้นเพลาประมาณสองยาม ก็เลิกทับกลับมาโดยลำดับมารควิถี ตราบเท่าถึงเมืองเถิน แล้วก็แต่งหนังสือบอกให้ม้าเร็วถือรีบลงมา กราบทูลพระกรุณายังกรุงเทพมหานครให้ทราบเหตุการ จึ่งยกกองทับทั้งปวงล่วงมณฑลประเทศ มาพร้อมทับณเมืองกำแพงเพชร แลคอยฟังท้องตราจะตอบขึ้นมาเปนประการใด ๚ะ

๏ ส่วนลาวชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งหลายเพลิงไหม้วุ่นวายไปสิ้นทั้งเมืองได้ทุกขเวทนาลำบากเปนอันมาก แลเมื่อทับไทยล่าไปนั้นก็มิอาจสามารถจะมาติดตามได้ ฝ่ายม้าเรวซึ่งถือหนังสือนอกนั้นก็รีบมาโดยลำดับมารควิถีตราบเท่าถึงพระมหานคร แลขึ้นเฝ้ากราบทูลพระกรุณาตามหนังสือบอกนั้น จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสทราบเหตุดั่งนั้น ก็มีพระราชโองการดำรัศให้สมุหนายก มีตราตอบขึ้นไปยังกองทับ ในท้องตรานั้นว่า รี้พลทั้งหลายอดอยากอาหารทุพลภาพมากอยู่แล้ว อนึ่งก็เปนเทศกาลฟ้าฝนความไข้เจบจะมีมาก แลให้กองทับทั้งหลายรีบลงมายังพระมหานครโดยเรวเถิด ๚ะ

๏ ครั้นท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายได้แจ้งในท้องตราดั่งนั้นแล้วก็ยกกองทับลงมายังกรุงเทพมหานคร แลกองทับทั้งหลายซึ่งยกกลับมาโดยทางปากใต้ฝ่ายเหนือนั้น ก็มาถึงพระนครเปนลำดับกัน เจ้าพระยาโกษา แลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายขึ้นเฝ้าสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวกราบทูลพระพฤติเหตุทั้งปวง แล้วถวายช้างม้าคนเชลย แลสิ่งของทั้งหลายอันตีได้นั้น สมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทราบเหตุทั้งปวงดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัศยินดียิ่งนัก แลพระราชทานรางวัลแก่เจ้าพระยาโกษา ท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลายเปนอันมาก โดยสมควรแก่ความชอบนั้น ๚ะ

๏ จบเล่ม ๑๗ ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ