๒๖

๏ ลุศักราช ๑๐๙๕ ปีฉลูเบญจศก เดือนห้า ข้าราชการทั้งปวงมีเสนาบดีเปนประธาน แลพระสงฆราชาคะณะพร้อมกัน ณวันศุภวารดิถีพิไชยมงคลฤกษ จึ่งกระทำพิธีปราบดาภิเศกสมเดจพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ขึ้นผ่านพิภพถวัลยราชสมบัติในวิมารรัตนมหาปราสาทพระราชวังน่านั้น ข้าราชการทั้งปวงก็ถือน้ำกระทำสัตยษาบาลกาย แล้วถวายบังคมตามบรมโบราณราชประเพณี สมเดจพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ทรงพระกรุณาโปรดให้ขุนชำนาญชานณรงค์ เปนเจ้าพระยาชำนาญบริรักษว่าที่โกษาธิบดี โปรดให้หลวงจ่าแสนยากรเปนเจ้าพระยาจักรี พระยาราชสงครามจักรีเก่านั้น เปนพระยาราชนายกว่าที่กะลาโหม ข้าหลวงเดิมทั้งหลายที่มีความชอบนั้น ก็โปรดให้เปนเจ้าพระยาแลพระยาพระหลวงเมือง ขุนหมื่นพันทนายตามถานานุศักดิ์ มีความชอบมากแลน้อย แลพระราชทานบำเหน็จรางวัลเงินตราผ้าเสื้อเหลือจะนับตามลำดับกัน ๚ะ

๏ โปรดให้พระพันวรรษาใหญ่ เปนกรมหลวงอะไภยนุชิตร์ โปรดให้พระพันวรรษาน้อยเปนกรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวรรษาทั้งสองนี้ เปนบุตรีหลวงทรงบาศ ครั้งพระนารายราชลพบุรี พระมารดาพระพันวรรษาทั้งสองนี้ เปนเชื้อตระกูลพราหมณ์เพชร์บุรีมา แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้จ้าวฟ้าธิเบศร์พระราชบุตรใหญ่ เปนกรมขุนเสนาพิทักษ์ ให้เจ้าฟ้าเอกทัศราชบุตรพระพันวรรษาน้อย เปนกรมขุนอนุรักมนตรี ให้เจ้าพระองค์แขก เปนกรมหมื่นเทพพิพิธ พระองค์เจ้ามังคุด เปนกรมหมื่นจิตรสุนทร พระองค์เจ้ารถ เปนกรมหมื่นสุนทรเทพ พระองค์จ้าวปาน เปนกรมหมื่นเสพภักดี ตั้งคราวหลังอีกสององค์ คือเจ้าฟ้าณเรนทร์หลานเธอ เปนกรมขุนสุเรนทรพิทักษ จ้าวฟ้าดอกมะเดื่อลูกเธอ เปนกรมขุนพรพินิต ๚ะ

๏ แล้วสมเดจพระบรมราชาธิราชเจ้าทรงพระโทมนัศ แค้นพระไทยในสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้า ทรงพระดำรัศว่า จะไม่เผาพระบรมศพ จะทิ้งน้ำเสีย พระยาราชนายกว่าที่กะลาโหมกราบทูลเล้าโลมเปนหลายครั้ง จึ่งทรงพระกรุณาดำรัศสั่งให้ตั้งพระเมรุมาศขนาดน้อย ขื่อห้าวาสองสอก ชักพระบรมสพออกถวายพระเพลิงตามราชประเพณี อันสมเดจพระบรมราชาธิราชเจ้าแผ่นดินนี้ มีพระกมลสันดาลต่าง ๆ กันกับพระบรมราชบิดา แลพระเชษฐาธิราชเจ้า ปานาติบาตรพระองค์ทรงเว้นเปนนิจ ทรงประพฤษดิ์บำเพญกุศลสุจริตธรรม สมณพราหมณาประชาราษฎร มีแต่สโมรณ์เปนศุขสนุกนิ์ทั่วหน้า พระองค์ทรงพระราชศรรทธาทำทาน แก่สมณพราหมณากระยาจกวัณณิพกเดรฉานต่างๆ ทุกอย่างสิ้น บางทีเสดจไปชมพระตำหนักบางปะอิน แลพระนครหลวง บางทีลงเรือที่นั่งใหญ่ ใช้ใบล่องออกปากน้ำพระประแดง ชมทเลแลมัจฉา ๚ะ

๏ ถึงน่านวดเข้าก็เสดจไปนวดที่ทุ่งหันตรานาหลวง แล้วเอาเข้าใส่ระแทะ แลให้พระราชบุตรพระราชธิดา กำนันนางทั้งปวงลากไปวังใน แล้วเอาพวนเข้าทำฉัตรใหญ่ แลยาคูไปถวายพระราชาคณะที่อยู่อารามหลวงทุกๆปีมิได้เว้น พระองค์ทรงสรรพจะเล่นมิได้เบื่อ ทั้งวิ่งงัวควายแลพายเรือ เสือกับช้างให้สู้กัน แลมีแต่สนุกนิ์ทั่วกันทุกระดู ๚ะ

๏ ณวันเดือนหกข้างขึ้น เสดจทรงที่นั่งกิ่งเปนพยุหบาตราไปคลองวัดป่าโมก เสดจประทับพระตำหนักชีปะขาว ทรงถวายทักษินาทานแก่พระสงฆ์ ๓๐๐ รูปเสร็จ ให้เล่นงานมหรสพสามวันณทุ่งนางฬา วันที่สุดมีช้างบำรุงงา เพลาเอย็นเกิดลมพยุหพัดหนัก พระเจ้าอยู่หัวก็เสดจกลับคืนเข้ากรุง ๚ะ

๏ ณวันเดือนเก้าข้างขึ้นปีขานฉศก มีพระราชโองการให้กรมหมื่นอินทรภักดีกับเจ้าพระยากลาโหม ขึ้นไปล้อมช้างณเมืองลพบุรี ครั้นณะเดือนสิบก็เสดจพระราชตำเนินขึ้นไปเมืองลพบุรี ให้ออกไปเร่งนายกองให้ต้อนสัตวจัตุบาท มาค่ายทเลชุบษร ฟากตวันออกที่ล้อมเก่า ครั้งสมเดจพระนารายน์นั้น แล้วเสดจพระราชดำเนินออกไปขึ้นพระตำหนักห้าง คนยิงปืนตีม้าฬ่อ ฆ้องกลองโห่ร้องเร้าเข้ามา ฝูงโคกะทิงมหิงษาเถื่อนลมั่งกวางทรายสุกรป่าวิ่งกระเจิงออกมาเปนอันมาก ฝูงช้างเถื่อนก็วิ่งบากบ่ายหน้าหนี ช้างเชือกก็วงล้อมไว้ได้ทีคล้องต้องได้ช้าง แต่เสดจออกมาให้จับสองเพลาเท่านั้น ได้ร้อยแปดสิบช้าง เหลืออยู่ประมาณสามร้อย สั่งให้เปิดค่ายปล่อยไปสิ้น ๚ะ

๏ ณเดือนสิบแรมสิบค่ำ ผู้รักษากรุงเทพมหานคร ขึ้นไปกราบทูลว่าจีนใน ประมาณสามร้อยคบคิดกัน เพลาค่ำยกเข้าไปปล้นเอาพระราชวัง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงชวนกันตีจีนแตกหนีไป ครั้นถึงเพลาตีสิบเอ็ดก็เสดจกลับยังกรุง ให้สืบสาวจับได้จีนกระบถประมาณสองร้อยเสศ ที่เปนต้นเหตุสี่สิบคน ให้ประหารชีวิตรเสีย แล้วทรงพระกรุณาสั่งพระยากลาโหมว่า พระที่นั่งสรรเพชปราสาทชำรุดนัก ให้รื้อลงทำใหม่ ๚ะ

๏ ครั้นถึง ณเดือนเจดปีเถาะสัปตศก พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวน กรมขุนสุเรนทรพิทักษเสดจเข้ามาอยู่วัดโคกแสง เวียนมาเยียนพระเจ้าอยู่หัวเนือง ๆ วันหนึ่งเพลาค่ำ พระเจ้าลูกเธอกรมขุนเสนาพิทักษ ให้พระองค์ชื่น พระองค์เทศโอรส ออกไปอัญเชิญเสดจกรมขุนสุเรนทรพิทักษ ณวัดว่า มีพระราชโองการให้เชิญเสดจไป กรมขุนสุเรนทรพิทักษสำคัญว่าจริง ก็เสดจมาขึ้นน่าพระไชย เข้าไปถึงในที่ประตู ที่กรมขุนเสนาพิทักษแอบประตูอยู่ ฟันด้วยพระแสงดาบทูกจีวร สังฆาฏิขาดหาเข้าไม่ กรมขุนเสนาพิทักษ์วิ่งเข้าไปที่ข้างใน ๚ะ

๏ กรมขุนสุเรนทรพิทักษเสดจเข้าไปที่พระเจ้าอยู่หัวประชวน ฯ ทอดพระเนตรเหนตรัสถามว่า เปนไรผ้าสังฆาฏิจีวรจึ่งขาด กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ถวายพระพรว่า กรมขุนเสนาพิทักษหยอก ครั้นกรมขุนสุเรนทรพิทักษถวายพระพรลาออกมา กรมหลวงอไภยนุชิต พระชนนีกรมขุนเสนาพิทักษเสดจตามไปอ้อนวอนว่า ถ้าพ่อมิช่วยก็เหนน้องจะตาย กรมขุนสุเรนทรพิทักษตรัสว่า จะช่วยได้ก็แต่กาสาวพัดถ อันเปนธงไชยพระอรหรรต กรมหลวงอไภยนุชิตได้สติขึ้น จึ่งเสดจเข้าไปทรงพระวอ ซ่อนภากรมขุนเสนาพิทักษออกทางประตูฉนวนไป ให้ทรงผนวช ณวัดโคกแสง อยู่ด้วยกรมขุนสุเรนทรพิทักษนั้น พระเจ้าอยู่หัวให้ค้นหาตัวไม่ภบ ได้แต่พระองค์เทศ พระองค์ชื่น ก็ให้ประหารเสียด้วยท่อนจันทน์ ๚ะ

๏ อนึ่งนักแก้วฟ้าณกรุงกัมพูชาธิบดี บอกเข้ามาให้กราบทูลถวายนางช้างพังเผือก สูงสามสอกเจดนิ้ว ช้างมาถึง พระเจ้าอยู่หัวดำรัศให้แต่งข้าหลวงกรมช้างออกไปรับเข้ามา แล้วพระราชทานนามชื่อพระวิเชียรหัสดินทรอรินทรเลิศฟ้า ให้นำมาไว้ ณโรงช้างพระที่นั่งวิหารสมเดจ ๚ะ

๏ แลทำพระที่นั่งสรรเพชปราสาทสิบเดือนจึ่งแล้ว ก่อนนั้นหุ้มแต่ดีบุก หาได้ปิดทองไม่ ครั้งนี้ให้ปิดทองยอด แลฉ้อฟ้าปราลีเสรจ พระที่นั่งบัญยงรัตนารถชำรุด ก็ให้ทำใหม่หกเดือนจึ่งสำเร็จ แล้วให้ทำพระที่นั่งสุริยาศอำรินทรใหม่ ๘ เดือนจึ่งสำเร็จ ๚ะ

๏ ณปีมเสงนพศก กรมหลวงอไภยนุชิต ทรงพระประชวนหนักลง จึ่งกราบทูลขอโทษพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนเสนาพิทักษ พระเจ้าอยู่หัวดำรัศว่า ถ้าไม่กระบถแล้วก็ไม่ฆ่า กรมหลวงอไภยนุชิตก็วางพระไทย แล้วก็สูญสิ้นพระชนมายุ ๚ะ

๏ ณเดือนหก ปีมเมียสำฤทธิศก ฉลองวัดหันตรา ๚ะ

๏ ณปีมแมเอกศก เสดจขึ้นไปสมโพชพระพุทธบาท ๚ะ

๏ ครั้นเดือนสิบสองปีวอกโทศก เสดจขึ้นไปสมโพชพระชินราช พระชินสีห ณเมืองพระพิศณุโลกยสามวัน แล้วเสดจขึ้นไปสมโพชพระสารีริกธาตุณเมืองสว่างบูรี ๓ วัน แล้วเสดจกลับยังกรุง ๚ะ

๏ ครั้นณวันเดือนห้าปีระกาตรีศก พระราชโกษาบ้านอยู่วัดระฆังกราบทูลว่า จะขอให้สมเดจพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนเสนาพิทักษ เปนกรมพระราชวัง จึ่งดำรัศให้ปฤกษาอัคมหาเสนาบดีทั้งปวง เหนพร้อมกันแล้ว พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้กรมขุนเสนาพิทักษ ดำรงถานานุศักดิ์ในที่มหาอุปราชโดยประเพณี แล้วทรงพระกรุณาสั่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้ปฏิสังขรณวัดพระศรีสรรเพชขึ้นใหม่ พระวิหารนั้นอย่าให้ทำมณฑปเลย ให้ทำเปนหลังคาเหมือนวิหารทั้งปวง ทำปีเสศจึ่งแล้ว ๚ะ

๏ พระที่นั่งสมเดจชำรุดทรงพระกรุณา สั่งกรมพระราชวังให้รื้อลงทำใหม่ สิบเดือนจึ่งสำเร็จ ๚ะ

๏ วัดพระรามชำรุท ให้ปฏิสังขรณปีเศศจึ่งสำเร็จ ๚ะ

๏ ครั้นปีจอจัตวาศก พระยาอไภยมนตรี ว่าที่สมุหนายกถึงแก่กรรม ทรงกรุณาให้พระยาราชภักดี เปนเจ้าพระยาราชภักดี ว่าที่สมุหนายกแทน แล้วให้เกลี้ยกล้อมเลขวัดพระ กับไพร่หัวเมืองวิเสศไชยชาญ เมืองสุพรรณบุรี เมืองนครไชยศรี เมืองอินทบุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงคบุรี เมืองสมี เมืองไชยนาท เมืองมโนรม เมืองอุไทย เมืองนครสวรรค์ ๚ะ

๏ อนึ่ง เมืองนครศรีธรรมราชบอกเข้ามาว่า บ่าวพระปลัดไปโพนคล้องช้าง ได้ช้างพลายงาสั้นช้างหนึ่ง สูงห้าสอก งายาวพ้นไพรปากห้านิ้ว โกษาธิบดีกราบทูล พระบาทสมเดจบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการโปรดให้กรมช้างออกไปรับเข้ามา พระราชทานขนานนามว่า พระบรมนาเคนทร ได้มาแต่เมืองไชยา อิกช้างหนึ่งเปนเนียม ขนานนามพระบรมวิไชย ได้มาแต่เมืองนครศรีธรรมราชอิกช้างหนึ่ง ให้ชื่อบรมจักระพาฬ ได้มาแต่เมืองเพชรบุรีอีกช้างหนึ่ง ให้ชื่อบรมกุญชร ๚ะ

๏ เมื่อลุศักราช ๑๑๐๖ ปีชวดฉศก พม่าเจ้าเมืองเมาะตมะ ชื่อมังนราจังซู กับเจ้าเมืองทวาย ชื่อแนงแลกแวซอยดอง ภาครอบครัวบุตรภรรยาทั้งสองเมือง ประมาณสามร้อยเสศ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทางพระเจดีย์สามองค์ นายด่านชื่อขุนนคร ขุนนรา ภาตัวทั้งสองเข้ามา ให้เจ้าพระยาชำนาญบริรักษส่งเข้ามาณกรุง ทรงพระมหาการุญภาพโปรดพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ปลูกเรือนอยู่ข้างวัดมณเฑียร แล้วพระราชทานตราภูมคุ้มห้าม แล้วมีพระราชโองการให้ถามว่า เหตุผลประการใดจึ่งเข้ามา เจ้าเมืองเมาะตมะ เจ้าเมืองทวาย จึ่งให้กราบทูลว่า เดิมเมื่อลุศักราช ๑๐๙๗ ปีเถาะสัปตศก สมิงทอคนหนึ่งเปนชาติถ่อยคบคิดกันกับพระยาทละกรมช้าง กระบถต่อพระเจ้าอังวะ เข้าปล้นเอาเมืองหงษาวดีได้ มาอาษาลอองเสีย พระยาทละกรมช้าง เหนบุญสมิงทอมากก็ยกนางพังผู้บุตรี ขึ้นเศกกับสมิงทอให้นั่งเมืองหงษาวดี ข้าพเจ้าทั้งสองจึ่งเกนมอญเมืองเมาะตมะ เมืองทวาย เมืองกลิออง จะยกไปช่วยเมืองหงษาวดี ตีถวายพระเจ้าอังวะ คนทั้งสามเมืองกลัวบุญสมิงทอ ก็กลับสู้รบ ข้าพเจ้าทั้งสองเหลือกำลังที่จะปราบปรามได้ ครั้นจะหนีขึ้นไปอังวะก็ขัดสน ด้วยทางพวกกระบถออกขวางสกัดหน้า จึ่งชวนกันภาบุตรภรรยาเข้ามา เอาฝ่าลอองธุลีพระบาท เปนที่พึ่งไปกว่าจะสิ้นชีวิตร จึ่งดำรัศว่า อ้ายสมิงทอนี้ เปนชาติถ่อยสกูลต่ำ กำเริบใจได้เมืองหงษาวดีแล้วมิหนำซ้ำจองหอง มีราชสาสนเข้ามาเปนทองแผ่นเดียว ขอลูกสาวกู มันจะอยู่ได้สักกี่วัน ๚ะ

๏ ในปีชวดฉศกเดือนสิบสองแรมสองค่ำ เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังจึ่งเสดจเข้ามาอยู่วังหลวง ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าอังวะแจ้งไปว่า เจ้าเมืองเมาะตมะ เจ้าเมืองทวาย หนีมอญเข้าไปพึ่งกรุงศรีอยุทธยา ทรงพระมหากรุณาทำนุบำรุงไว้ ก็มีพระไทยโทมนัศ จึ่งให้แต่งพระราชสาสน แลเครื่องมงคลราชบรรณาการ คือภานทองประดับหนึ่ง คนโทน้ำครอบทองหนึ่ง ผอบเมียงทองหนึ่ง ขันทองหนึ่ง พระภูษาทรงลายกงจักรริมแดงหนึ่ง ผ้าทรงมเหสีสำรับหนึ่ง ผ้าลายมีลายโต ๆ ต่างๆ กัน เรือสาวพิมานลำทรงลำหนึ่ง กับน้ำมันดินแลดินสอแก้ว ดินสอสิลา แลสิ่งของนอกนั้นเปนอันมาก จึ่งแต่งให้มังนันทจอสู มังนันทจอถาง เปนราชทูต อุปทูต จำทูลพระราชสาสน คุมเครื่องราชบรรณาการเข้ามาจำเริญทางพระราชไมตรี ครั้นราชทูตมาถึงให้ปลูกที่รับแขกเมืองริมวัดนางเลิ้ง แล้วให้เชิญพระราชสาสนเข้าไปในหอแปลพระราชสาสน ฝ่ายราชทูต อุปทูตมิได้ไหว้อัคมหาเสนาบดี ๆ ให้ต่อว่า ๚ะ

๏ ฝ่ายราชทูต อุปทูต ตอบว่า อย่างธรรมเนียมข้างกรุงรัตนบุระอังวะนั้น ถ้าแลราชทูตจำทูลพระราชสาสนจำเริญทางพระราชไมตรี ณกรุงใดๆก็ดี ถ้ายังมิได้เฝ้าถวายบังคมพระมหากษัตริยเจ้าแล้ว จะไหว้เสนาบดีก่อนนั้นไม่ได้ ครั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า ราชทูตว่านี้ชอบ ถึงขนบธรรมเนียมกรุงเทพมหานครแต่ก่อนนั้นก็เหมือนกัน ถ้ามีพระราชโองการตรัสสั่งมหาดเลก ให้ออกไปสั่งอัคมหาเสนาณสาลาลูกขุน แลที่ใดๆก็ดี มหาดเล็กต้องขี่ฅอตำรวจสนมนอกไปถึงแล้ว ลงจากฅอยืนสั่งเสนาบดี แลข้าราชการทั้งปวงก็ประนมมือฟังจนสิ้นข้อ แล้วบ่ายน่าเข้ามาต่อพระราชวังถวายบังคม มหาดเลกจึ่งนั่งลงไหว้นบคำรพกันได้ แต่นี้ไปให้ทำตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนนั้น แล้วให้ราชทูต อุปทูต ขึ้นเฝ้าบนที่เสดจออกน่ามุกกระสัน มีพระราชโองการประฏิสันฐารโสมนัศแล้วเสดจขึ้น ทูตจึ่งไหว้อัคมหาเสนาบดีทั้งปวง แล้วพระเจ้าอยู่หัวให้แต่งพระราชสาสน เครื่องราชบรรณาการตอบ คือพานแว่นฟ้าทองสองชั้น กลิบวิ่นเครื่องในพร้อมหนึ่ง พระเต้าน้ำคร่อมทองหนึ่ง พระสุพรรณศรีทองหนึ่ง แลเครื่องทองทั้งปวงหลายอย่าง แลกำมหยี่ แพรม้วนลายมังกรเปนอันมาก กับเรือพระที่นั่งกิ่งทรงลำหนึ่ง อันพระราชสาสนนั้น เขียนใส่สุพรรณปัดแผ่นทอง แล้วใส่ในกลักงาใส่ถุงแพรผูกทอง แล้วตีตรามหาโองการ อันตราประทับนั้น นารายนขี่ครุธ สำเนาพระราชสาสนนั้นประจำตราพระราชสีห์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พระยายมราชเปนราชทูต พระทนเปนอุปทูต พระสุธรรมไมตรีเปนตรีทูต คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการไปจำเริญทางพระราชไมตรี ณเมืองอังวะ ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมิงทอเจ้าเมืองหงษาวดี ยกทัพขึ้นไปตีอังวะ ราชทูตพะม่าจึ่งภาอ้อมทางป่าศักป่าปะโลง แล้วราชทูตไทยกับพะม่าคิดเปนอุบาย ให้กิตติศรรพท์ไปถึงทับมอญว่า ทับพระนครศรีอยุทธยายกมาช่วยกรุงอังวะ ฝ่ายทับมอญภอขาดเสบียงลงด้วย ก็เลิกทับกลับไป ผู้ทูลพระราชสาสน์จึ่งถึงอังวะ เข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะมีพระไทยปีติปราโมชโปรดพระราชทานรางวัลราชทูตไทยเปนอันมาก แล้วถวายบังคมลามากลางทาง ราชทูต อุปทูต ป่วยถึงแก่กรรม ตรีทูต กับฟ้าไล่ มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทแต่สองคน ๚ะ

๏ ในปีนั้นปติสังขรณ์พระเจดีย์อารามวัดภูเขาทองหกเดือนสำเร็จ ๚ะ

๏ ณะปีขานอัฐศกนั้น เสดจไปประภาศเมืองลพบูรี นักโสนส้องสุมผู้คนณะเมืองลพบูรีเปนกระบถ ทรงทราบจึ่งดำรัศให้ข้าหลวงสามนาย ไพร่สามร้อยออกไปจับได้ส่งลงไปจำไว้ณะคุก ๚ะ

๏ อนึ่งมีหนังสือบอกเข้ามาแต่เมืองนครศรีธรรมราช บอกเข้ามาว่าคล้องได้ช้างพลายเถื่อนสูงสามศอกสิบนิ้วช้างหนึ่ง ตาขาวเล็บขาวหางขาวขนขาว พระเจ้าอยู่หัวดำรัศให้หลวงราชวังเมือง ไปฝึกให้ชำนิชำนาญแล้วให้นำมา ฝ่ายเจ้าพระยาชำนาญบริรักษว่าที่โกษาธิบดี เจ้าพระยาราชภักดีว่าที่สมุหนายก ให้มีตราพระราชสีห์ แลตราบัวแก้วออกไป ให้กรมการหัวเมืองรายทางทำโรงให้เปนมณฑปมีฉ้อฟ้ากระจังไว้รับ ผู้รั้งกรมการหัวเมืองทั้งปวงปฤกษากันว่าไม่เคยทำ จึ่งบอกเข้ามาขอช่างนายการออกไปเมืองนคร ครั้นทรงทราบ จึ่งมีพระราชโองการตรัสถามเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ แลเจ้าพระยาราชภักดีว่าโรงรายทางอยุดภักวันหนึ่ง สองวันเท่านี้ก็จะมาจะให้ทำมณฑป ครั้นถึงกรุงจะให้ทำเปนอย่างไรรับเล่า นี่ฤๅจะช่วยทำนุบำรงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เอย็นเปนศุข แล้วตำรัศคาดโทษเจ้าพระยาชำนาญไว้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้าพระยาราชภักดีนั้นให้ลงพระราชอาญาโบยหลังยี่สิบที ครั้นหลวงราชวังเมืองนำช้างมาถึงกรุงแล้ว พระราชทานชื่อว่า พระบรมคชะลักษณ์อัคคเชนท์รสุปดิษฐสิทธิสนทยามหามงคลวิมลเลิศฟ้า ๚ะ

๏ อนึ่งพระยาพระราม พระยากลางเมือง พวกสมิงทอ แตกหนีเข้ามาพึ่งพระราชสมภาร ทางเมืองตากสี่ร้อยเสศ ให้ตั้งบ้านณะโพสามต้น ๚ะ

๏ ครั้นอยู่มาผู้รั้งเมืองกุยบูรี บอกหนังสือส่งทองร่อนหนักสามตำลึงเข้ามาถวายว่า ดำบลบางตะพาน เกิดที่ร่อนทองขึ้น ๚ะ

๏ ครั้นถึงเดือนสิบสองปีเถาะนพศกให้เกนไพร่สองพัน ยกออกไปตั้งร่อนทองณะบางตะพาน ๚ะ

๏ ครั้นสิ้นเดือนห้าปีมะโรงสัมฤทธิศก ได้ทองเข้ามาถวายเก้าชั่งเศศ ผู้รั้งเมืองกุยนั้น โปรดให้เปนพระกุยบุรี แล้วทรงพระราชศรัทธาให้แผ่ทองร่อนปะปากกลองปิดมณฑปพระพุทธบาท แลให้แผ่หุ้มแต่เหม แลนาคลงมา ๚ะ

๏ ครั้นเดือนห้าปีมะเมียโทศก ให้แจกทานแก่ยาจกพรรณิพกเสมอคนละบาท สิ้นเงินพันสามชั่งเสศ ๚ะ

๏ ณะเดือนแปดแรมสิบค่ำ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวนหนัก จนสอึกสามชั้น ต่อกลางคืนตีสิบเบ็ดจึ่งคลาย ครั้นเดือนสิบสองข้างขึ้น เสดจพระราชตำเนิรขึ้นไปสมโพชพระพุทธบาทเปนกระบวน รับเสดจภักณะพระตำหนักท่าเจ้าสนุกนิ์ แล้วทรงพระวอขึ้นไปประทับร้อนบ่อโศก เพลาเอย็นเสดจไปถึงท้ายพิกุน ครั้นสมโพชพระพุทธบาทครบเจดวันแล้ว เสดจพระราชดำเนินกลับยังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ๚ะ

๏ ในปีมะเมียโทศกนั้น สมิงทอเจ้าเมืองหงษาวดี ออกไปโพนช้างอยู่ป่า พระยาทละกรมช้างคิดกระบถ ให้สมักพักพวก กรมสมิงทอ ๆ สู้รบเหลือกำลังก็แตกหนีเข้ามาทางเมืองตาก ทรงพระกรุณาให้รับลงมาณะกรุง แล้วรับสั่งให้มีกระทู้ถามสมิงทอว่า เองก็ได้นั่งเมืองหงษาวดีเกินวาศนาอยู่แล้ว เหตุผลเปนประการใดจึ่งหนีเข้ามา สมิงทอให้การว่า เมื่อครั้งข้าพเจ้าได้เมืองหงษานั้น พระยาทละกรมช้างว่า ข้าพเจ้าเข้มแขงปราบปรามรามัญได้หลายประเทศ จึ่งยกบุตรีแลตัวข้าพเจ้าขึ้นเปนกระษัตริย์ครองกรุงหงษาวดี แล้วได้ช้างด่างกระดำผู้ตัวหนึ่ง จึ่งให้ชื่อรัตนชัดทันต์ ตั้งแต่นั้นมาก็มีใจกำเริบเติบใหญ่ ให้มีราชสาสนใบหนึ่งไปถึงพระเจ้าหอคำผู้ครองกรุงเชียงใหม่ขอพระราชธิดา ด้วยเดชกุศลวาศนาอบรมไว้ พระเจ้าเชียงใหม่ยอมให้ธิดาทรงนามชื่อว่า นางเทพวิลาบุตรี ข้าพเจ้าจึ่งตั้งเปนมเหษีฝ่ายซ้าย นางภังภูเปนฝ่ายขวา แล้วข้าพเจ้ายกพลโยธาไปล้อมอังวะแทบจะได้ ภอได้ข่าวว่ากองทับกรุงไทยไปช่วย อนึ่งขาดเสบียงลงด้วย จึ่งถอยทับกลับมากรุงหงษาวดี ครั้นอยู่มาพระยาทละโกรธข้าพเจ้าว่าลำเอียง จึ่งคิดฬ่อลวงบอกข่าวช้างสำคัญเผือกผู้ อยู่ณะป่าแขวงเมืองตองอูขึ้นแก่พม่า ข้าพเจ้าก็ให้เกนพลโยธาไปตามช้าง เที่ยวรอนแรมทางค้นหาไปไม่ภบก็กลับมายังกรุงหงษาวดี พระยาทละกรมช้างปิดประตูเมืองไว้ไม่เปิดรับข้าพเจ้า ๆ ก็สู้รบกันไปหลายเพลา ฝ่ายไพร่พลโยธาข้าพเจ้าก็น้อยถอยกำลัง จึ่งพานางเทพวิลาไปส่งบิดาณะเมืองเชียงใหม่แล้ว กลับมารบหงษาวดีอีกหลายครั้ง เหลือกำลังตีมิได้ ด้วยพลไพร่เอาใจออกหาก ข้าพเจ้าจึงหนี่เข้ามาเอาฝ่าลอองธุลีพระบาทบรมนารถบรมบพิตพระพุทธเจ้าอยู่หัว เปนที่พึ่งตราบเท่าสิ้นชีวิตร ครั้นทรงทราบแล้วก็ดำรัศให้ส่งตัวไปจำไว้ในคุก ด้วยทรงกริ้วคราวครั้งบังอาจมีราชสาสน์มาว่าจะเปนทองแผ่นเดียวกัน ๚ะ

๏ ณปีมะเมียโทศกนั้น กรมหมื่นอินท์ถึงแก่พิราไลย์ ให้ตั้งการถวายพระเพลิงณะวัดไชยวัฒนาราม ณปีนั้นนักองค์อึ่งไปเอาญวญมารบพระรามาธิบดี พระศรีไชยเชษฐ แตกหนีมาพึ่งบรมโพทธิสมภาร มีพระราชโองการให้เกนทับหมื่นหนึ่ง ไปกระทำการแก่กรุงกัมพูชาธิบดี ให้พระยาราชสุภาวดีเปนแม่ทับ ออกไปตั้งชุมพลอยู่ณะวัดพระเจดีย์แดง ๚ะ

๏ พระยาพระรามคิดอุบาย เรียนแก่ท่านอัคะมะหาเสนาบดีว่า จะอาษาไปทับด้วยห้าคน แต่ไม่มีอาวุธ ครั้นแจกอาวุธให้ครบมือแล้ว เวลาค่ำยกไปโพสามต้นภาครอบครัวหนีไป พระเจ้าอยู่หัวให้เกนไปจับได้ณะทุ่งบ้านรีบางแก้ว ให้ประหารชีวิตรเสีย ๚ะ

๏ พระยาราชสุภาวดียกไปกรุงกัมพูชาธิบดี ครั้งนั้น นักองค์อึ่งก็นบนอบเปนปรกติ พระยาราชสุภาวดีก็ยกทับกลับมากรุง อยู่ประมาณปีหนึ่ง นักองค์อึ่งถึงพิราไลย ให้พระรามาธิบดีออกไปครองกรุงกัมพูชา ๚ะ

๏ ณะปีมะเมียโทศก พระยาทละกรมช้างซึ่งได้นั่งเมืองหงษาวดีนั้น รู้ข่าวไปว่า สมิงทอหนีเข้าไปพึ่งอยู่ณะกรุงศรีอยุทธยา จึ่งให้มีพระราชสาสนเข้ามากราบทูลขอสมเดจพระเจ้าอยู่หัวว่า อย่าให้รับตัวสมิงทอไว้ มันเปนคนไม่ตรงอกตัญู จะขอรับประทานตัวไปประหารชีวิตรเสีย พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่โปรดประทานให้เหมือนในพระราชสาสน์ อันสมิงทอนี้เปนคนดีมีความรู้ ฝ่ายข้างวิปัศนาแผ่เมตาดียิ่งนัก ผลที่สมิงทอแผ่เมตานั้น ธำมะรงค์ผู้คุมก็มีความกรุณาลดลาให้มิได้จำจอง แล้วเลี้ยงดูให้กินอยู่สะบายบริบูรณ์มิได้ลำบากยากใจ กิติศรับท์นั้นรู้ไปถึงกรมหมื่นจิตรสุนทร ผู้เปนพระเจ้าลูกเธอ จึ่งมาสึกษาเล่าเรียนความรู้แล้ว อุปถัมภ์เลี้ยงดูไว้ให้เปนศุขยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า เวลาวันหนึ่งได้ช่องโอกาสก็ทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสมิงทอออกจากคุก พระเจ้าอยู่หัวก็โปรดบัญชาให้ ขณะเมื่อเจ้าเมืองหงษาวดีมีราชสาสนมาทูลขอสมิงทอมิได้โปรดประทานให้นั้น ด้วยทรงพระดำริห์ว่า สมิงทอเปนคนดีมีวิชา ลูกเราก็ได้สึกษาเปนสิศมัน ครั้นจะส่งไปเขาก็จะฆ่ามันเสียเปล่าๆ ครั้นจะเอาไว้ในกรุงเล่า เขาก็จะนินทาว่า คบหาคนชั่วไว้ พระเจ้าอยู่หัวก็เอาสมิงทอฝากนายสำเภาหัวทรงส่งไปปล่อยณะเมืองจีน นายสำเภาจึ่งเอาสมึงทอแวะเข้าปล่อยเสียกลางทางข้างฝั่งตวันตก แล้วสมิงทอไปหานางเทพวิลาภรรยา ซึ่งเปนบุตรีพระเจ้าเชียงใหม่ สมิงทอแจ้งศุข์แลทุกข์ให้ภรรยาฟังแล้ว นางจึ่งไปกราบทูลพระเจ้าเชียงใหม่ผู้เปนบิดา ขอกองทับให้สมิงทอกลับไปที่เมืองหงษาวดี พระเจ้าเชียงใหม่ก็มิได้โปรดให้ตามคำนางเทพวิลาทูลขอ ครั้นสมิงทอแจ้งดังนั้นก็ขัดใจ จึ่งลักภานางเทพวิลากับผู้คนสมกำลังไปเปนอันมาก ๚ะ

๏ เมื่อลุศักราช ๑๑๑๘ ปีชวดอัฐศก สมิงทอไปถึงกลางทาง ภบมังลองยกทับลงไปรบเมืองหงษาวดี มังลองจึ่งจับสมิงทอได้ไปจำไว้เมืองอังวะ ๚ะ

๏ ครั้นถึงปีระกาเบญจศก เจ้าพระยาชำนาญบริรักษป่วยเปนลมอำมภาธ สี่เดือนเสศถึงอะนิจะกรรม ทรงพระกรุณาให้ใส่พระโกฎใส่ชะดา เรียกว่าพระสพ กระทำฌาปะน์กิจ ณะวัดไชยวัฒนาราม ๚ะ

๏ ณะเดือนเก้าปีจอฉศก ให้พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพไปล้อมช้างณะป่าแขวงเมืองลพบูรี ตั้งค่ายทะเลชุบษรมุมข้างเหนือน่าพระตำหนักเดิม ๚ะ

๏ ครั้นณะเดือนสิบข้างขึ้นเสดจพระตำเนินขึ้นไป ให้เกนคนออกไปช่วยทำค่ายปีกกา เพลาเช้าเสดจไป ครั้นถึงเขาเชิงน้ำ ช่วยค้นเข้ามาถึงค่ายนั้น ณะแรมเจดค่ำให้ปิดค่ายเพลาเสดจขึ้นพระตำหนักห้างทอดพระเนตร ให้ค้นช้างออกมาจับได้สามสิบช้าง ยังมิได้จับประมาณสามร้อยเศศ ทรงพระกรุณาให้เปิดค่ายปล่อยไป ถึงแรมเก้าค่ำเสดจไปนมัศการพระพุทธไสยาศน์ ณะวัดพระนอนจักศรี แรมอยู่เวนหนึ่งจึ่งล่องมาตามแม่น้ำน้อย เสดจขึ้นนมัศการพระพุทธไสยาศน์ณวัดขุนอินประมูล ณเดือนหกปีกุนสัปตศกฉลองวัดพระยาคำ ๚ะ

๏ อนึ่งกรมพระราชวังบวรสฐานมงคล ประชวนพระโรคสำหรับบูรุศกลายไปเปนโรคคุชราช แต่ไม่ได้เสดจเข้ามาเฝ้าถึงสามปีเสศ ๚ะ

๏ วันหนึ่งมีพระบัณฑูรให้มาเอาตัวเจ้ากรม ปลัดกรม นายเวน ปลัดเวน กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดีมาถามว่า เจ้ากรมเปนแต่หมื่น จัดกันในกรมตั้งขึ้นเปนขุนแล้ว ทำสูงกว่าศักดิ์ ให้ลงพระราชอาญาโบยหลังคละสิบห้าทีบ้าง ยี่สิบทีบ้าง เพลากลางคืนให้คนเข้ามาด้อมมองอยู่ประตูสระแก้ว กรมหมื่นสุนทรเทพเกรงจะทำร้าย เพลาค่ำเสดจประทมอยู่ทิมข้างโรงเตียบ ต่อเพลากลางวันจึ่งเสดจไปอยู่ณตำหนักสระแก้ว ได้ประมาณเก้าวันสิบวัน กรมหมื่นสุนทรเทพทำเรื่องราวกราบทูลพระกรุณาเปนการลับว่า กรมพระราชวังบวรสฐารมงคล เสดจเข้ามาทำชู้ด้วยเจ้าฟ้าสังวาล ถึงในพระราชวังหลวงเปนหลายครั้ง พระเจ้าอยู่หัวให้ชำระกรมฝ่ายในเปนสัจแล้ว จึ่งสั่งพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าธิดา เจ้าฟ้าสุริยวงษกราบทูลว่า เปนอริกันอยู่ จะไปเชิญเสดจมิได้ เจ้าจอมจันทรมารดาพระเจ้าลูกเธอ พระองค์กะแห จึ่งไปเชิญเสดจกรมพระราชวังมา จะขึ้นฉนวนวังน่า มหาดเล็กที่ล่วงมารับเสดจนั้นกราบทูลว่า ประตูเสาธงไชยปิด ก็หาเสดจขึ้นไม่ ล่องลงไปประทับอยู่ที่ฉนวนน้ำประจำท่า ประตูฉนวนก็ปิด เรือพระที่นั่งล่องลงมา เสดจขึ้นตพานใต้ระหัดน้ำ ทรงเฉลี่ยงมาถึงศรีสำราญ ทอดพระเนตรเหนคนนั่งอยู่ริมศาลาลูกขุนท้ายสระเปนอันมาก จึ่งให้กลับพระเฉลี่ยง หลวงศรีภาวังทูลว่า ขอเชิญพระองค์เสดจเข้าไปเฝ้าจึ่งจะชอบ ก็เสดจเข้าไปอยู่ณทิมดาบ จึ่งมีพระราชโองการสั่งมหาดเลกให้ออกมาเชิญเสดจไป ณะตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ แล้วสั่งพระมหาเทพให้จำห้าประการ แล้วมีกระทู้ถาม กรมพระราชวังรับเปนสัจ ๚ะ

๏ ณวันแรมค่ำหนึ่งเดือนห้า ให้เฆี่ยนณริมตำหนักสองห้องได้ยี่สิบที กรมหมื่นสุนทรเทพขึ้นไปกราบทูลว่า จุกนักจะให้แก้เสีย ทรงพระกรุณาให้ริบ ครั้นแรมสองค่ำ เฆี่ยนอิกยกหนึ่งยี่สิบที แรมสามค่ำ เฆี่ยนอิกยกหนึ่งยี่สิบที แลให้นาบพระบาท แลให้ต่อว่ากรมพระราชวังว่า อ้ายปิ่นกลาโหมคบหากับมารดาเจ้ามิด แต่เปนเมียข้า เฆี่ยนถึงเจดร้อยจนตายกับคา นี่มาคบหากับเมียเจ้าทั้งสององค์ แล้วก็เกิดพระราชบุตรด้วยสามองค์สี่องค์ เจดร้อยจะแบ่งเปนสามส่วน ยกเสียสองส่วน จะให้เฆี่ยนส่วนหนึ่ง แต่สองร้อยสามสิบที จะว่าประการใด กรมพระราชวังบวรสฐานมงคลว่า จะขอรับพระราชอาญาตามจะทรงพระกรุณาโปรด กรมหมื่นเทพพิพิธเอาข้อความนั้นกราบทูล จึ่งตรัสถามว่าเฆี่ยนได้เท่าไร กรมหมื่นเทพพิพิธทูลว่า ได้ลงพระราชอาญาหกสิบทีแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสสั่งว่า ให้เฆี่ยนคลสามสิบทีไปกว่าจะครบสองร้อยสามสิบที แล้วให้ข้าทูลลอองธุลีพระบาทปฤกษาพร้อมกันว่า โทษถึงตายเปนหลายข้อ ขอพระราชทานให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามประเพณี จึ่งทรงพระกรุณาตรัสขอชีวิตรไว้ แต่ให้นาบพระนลาต เจ้าฟ้าสังวาลนั้น ให้เฆี่ยนยกหนึ่งสามสิบที อยู่สามวันก็ถึงแก่พิราไลย กรมพระราชวังนั้น เฆี่ยนอิกสี่ยก เปนร้อยแปดสิบที ก็ดับสูญสิ้นพระชนม์ จึ่งให้นำเอาพระสพไปฝังณวัดไชยวัฒนารามทั้งสององค์ ๚ะ

๏ ครั้นเดือนห้าแรมสิบเบ็ดค่ำ ปีชวด อัฐศก เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปฉลองพระนอนจักรศรี สามวันแล้วกลับมายังกรุงเทพมหานคร ๚ะ

ขณะนั้นพระยาราชวังเมือง ออกไปตั้งพะเนียดจับช้างณท่าโค แขวงเมืองนครไชยศรี จับได้ช้างเนียมช้างหนึ่งสูงห้าศอก บอกเข้ามาให้กราบบังคมทูล จึ่งเสดจพระราชดำเนินออกไปทอดพระเนตรถึงท่าโค ครั้นฝึกชำนิชำนาญแล้ว ให้นำมาไว้ณโรงในพระราชวัง ๚ะ

๏ ถึง ณเดือนห้าปีฉลูนพศก กรมหมื่นเทพพิพิธ ปฤกษาด้วยเจ้าพระยาอไภยราชา พระยากลาโหม พระยาพระคลัง แล้วกราบทูลว่า สมเดจพระเจ้าลูกเธอกรมขุนพรพิพิธ จะขอพระราชทานให้เปนกรมพระราชวังบวรสฐานมงคล ฝ่ายกรมขุนพรพินิตทำเรื่องราวถวายว่า พระเชษฐากรมขุนอนุรักษมนตรีมีอยู่ จะขอพระราชทานให้เปนกรมพระราชวัง พระเจ้าอยู่หัวดำรัศว่า กรมขุนอนุรักษมนตรีนั้น เปนวิสัยพระไทยปราศจากความเพียร ถ้าจะให้ดำรงถานาศักดิ์อุปราชสำเรจราชการกึ่งหนึ่ง ก็จะเกิดวิบัติฉิบหายเสีย เหนแต่กรมขุนพรพินิตกอประด้วยสติปัญญาฉลาดเฉลียว ควรจะดำรงเสวตรฉัตรรักษาแผ่นดินได้ จึ่งพระราชทานถานาศักดิ์ เปนกรมพระราชวังบวรสฐานมงคล อยู่วังจันทเกษม อันกรมพระราชวังองคนี้ คือเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ เดิมเมื่อทรงพระครรภนั้น สมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุบินนิมิตรว่า มีผู้เอาดอกมะเดื่อมาถวาย พระองค์จึ่งทรงทำนายว่า ดอกมะเดื่อเปนของหายากในโลกยนี้ เมื่อประสูติจึ่งประทานนามว่า เจ้าฟ้าอุทุมภรราชกุมาร ราษฎรเรียกว่าเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ พระเจ้าอยู่หัวปราถนาจะให้ครองราชย์สมบัติสืบไป จึ่งตั้งไว้ในที่กรมพระราชวังบวรสฐานมงคล ๚ะ

๏ ครั้นถึงณเดือนเจดปีฉลูนพศก กรมหมื่นจิตรสุนทรกราบทูลว่า ช้างต้นบรมจักรพาฬนั้น งายาวออกชำระจำเริญเข้าไป จวนจะถึงใส้งาอยู่แล้ว เกรงจะล้มเสีย ๚ะ

๏ ครั้นเดือนเก้าเสดจพระราชดำเนินขึ้นไปสมโพชพระพุทธบาท ประทับแรมณพระตำหนักท่าเจ้าสนุกนิ์สามเวนแล้ว ทรงพระวอขึ้นไปถึงพระตำหนักท้ายพิกุน รุ่งขึ้นเพลาเช้า ให้ทำเครื่องสด ผูกช้างต้นพระบรมจักระพาฬถวายพระพุทธบาท ปล่อยไปทางธารเกษม แล้วเสดจพระราชดำเนินกลับยังกรุงเทพมหานคร อันสมเดจพระบรมราชาธิราชเจ้าพระองค์นี้ พระองค์ทรงทศมิศราชธรรม์มีพระชนม์ยืนนาน ได้เสวยราชมา ๒๐ ปี จนพระชนม์ได้ ๗๑ พรรษา เมื่อกาลมาถึงพระองค์ ด้วยพระองค์เปนอธิบดีใหญ่ในสยามประเทศ จึ่งวิปริตนิมิตรเหตุต่าง ๆ ๚ะ

๏ ณวันเดือนสิบสองแรมสองค่ำปีฉลูนพศก กลางคืนลมว่าวพัดหนัก พระมหาธาตุซึ่งเปนหลักวัดวรโพธิโทรมลงทลาย ทั้งอากาษสำแดงร้ายอาเพศ ประทุมเกษตกต้องมหาธะนูลำภุกัน อนึ่งดวงดาวก็เข้าในวงพระจันทร์ ทั้งดาวหางคลองช้างเผือก ประชาชนก็เอยนระเยือกทั้งนคร ด้วยเทพเจ้าสังหรหากให้เหน ด้วยพระองค์เปนหลักไชยในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ๚ะ

๏ ครั้นณเดือนหกขึ้นแปดค่ำปีขานสัมฤทธิศก เพลาเจดทุ่มทรงพระประชวร ครั้นณเดือนหกแรมห้าค่ำเพลาเช้า เสดจทรงพระเฉลี่ยงหิวมา เสดจออกพระที่นั่งทรงปืนแล้ว เสดจพระราชตำเนินขึ้นไปบนพระที่นั่งบันยงค์รัตนาถ เพลาห้าโมงเศศ เสดจมาบรรทมณพระที่นั่งทรงปืน ถึงเพลาเที่ยงห้าบาทประทมตื่น จะเสดจไปลงพระบังคน หลวงราชรักษา หลวงราโชพยุงให้เสดจยืน จาตะปะทะพระเนตรซ้อนกลับขึ้น พระหัถคว้าจับหลักไชยไม่ใคร่จะถูก หายพระไทยดังเสียงกรน ขณะนั้นกรมพระราชวังบวรสฐานมงคล ให้ไปเชิญเสดจกรมหลวงพิพิตรมนตรี เจ้าฟ้าจันทวดี กรมขุนพิสาฬเสนี ไป ณพระตำหนักสวนกระต่าย แล้วกรมหมื่นพิทักษภูเบศร ให้เชิญเสดจกรมขุนอะนุรักษมนตรี เข้ามาถึงพระที่นั่งทรงปืน แย้มฉากทอดพระเนตรอยู่สักประเดี๋ยวหนึ่งแล้ว เสดจไปตำหนักสวนกระต่าย ครั้นเพลายามเศศพระเจ้าอยู่หัวก็เสดจสวรรคต ๚ะ

๏ เมื่อลุศักราช ๑๑๒๐ ปีขานสัมฤทธิศก เดือนหกแรมห้าค่ำ วันพุทธเพลายามเศศ เสวยราชมาแต่พระชนม์ ๕๑ ปี อยู่ในราชสมบัติยี่สิบหกปี เปนพระชนม์ ๗๗ ปี สวรรคต ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ ซึ่งเปนกรมขุนพรพินิต ๚ะ

๏ เมื่อลุศักราช ๑๑๒๐ ปีนั้น กรมหมื่นเทพพิพิตรเชิญพระแสงดาบ พระแสงกระบี่ พระแสงง้าว ข้างที่ออกมาส่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ เอาไปถวายณพระตำหนักสวนกระต่าย กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี เสดจไปทางข้างในเชิญเอาพระ บนพระที่นั่งบันยงค์รัตนารถ ไปตำหนักสาลาลวด ๚ะ

๏ ขณะนั้นกรมหมื่นเทพพิพิตร กรมหมื่นจิตรสุนทร ตรัสสั่งพระยาพระคลัง พระยาอไภยมนตรีว่า ประตูพระราชวังให้ปิดตามธรรมเนียม ภอกรมขุนอนุรักษมนตรี เสดจมาตรัสเรียกกรมหมื่นเทพพิพิธออกไป แล้วให้เชิญหีบพระแสง ณะโรงแสงไปสวนกระต่าย กรมหมื่นจิตรสุนทรเหนก็ตกพระไทย เสดจขึ้นไปตำหนักศาลาลวด ครั้นเพลาจะใกล้พลบค่ำ มีพระบัณฑูรให้มหาดเลกออกไปหาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยณะศาลาลูกขุน เข้ามาเฝ้าณะสวนกระต่าย แลขุนอนุรักษภูทรเอาคนณะตำหนักสระแก้วข้ามกำแพงวัดศรีสรรเพช แลกำแพงโรงรถ เข้ามาบันจบณะตำหนักศาลาลวดร้อยเสศ ขุนพิพิตรภักดีข้าหลวงกรมหมื่นจิตรสุนทรภาคนไปกระทุ้งบานประตูโรงแสงข้างหน้า เข้าไปเอาพระแสงมาถือเปนอันมาก ๚ะ

๏ ณะวันแรมห้าค่ำเปนวันพระ พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจาริย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ พระเทพกระวี เข้ามาเตรียมจะถวายพระธรรม์เทศนา อยู่ณะทิมสงฆ์ประมาณทุ่มเศศ จึ่งมีพระราชบัณฑูรให้นิมนต์เข้ามาณะตำหนักสวนกระต่าย ตรัสอาราธนาให้ขึ้นไปว่ากล่าวเจ้าสามกรม ให้ลงมาสมักสมากันถึงสองกลับ ต่อเพลาสามยามเศศ จ้าวสามกรมจึ่งมาเฝ้า ทำสัจถวายทั้งสามองค์ ๚ะ

๏ ครั้นเพลาเช้าจึ่งเสดจมาณะพระที่นั่งทรงปืนสรงพระบรมสพ แล้วเชิญเข้าพระโกฎประดับไว้บนพระที่นั่งบรรยงค์รัตนารถ ครั้นสรงพระสพแล้ว จ้าวสามกรมก็กลับไปวัง คิดตั้งส้องสุมผู้คนสาตราวุธไว้ดังเก่า มีผู้นำคุยรหัศกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสฐานมงคล จึ่งทรงตำริหการด้วยสมเดจพระเชษฐาธิราชเจ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี ๆ ให้หาสามกุมารเข้าไปเฝ้าคิดราชการณะตำหนักตึก ณะวันแรมสิบเบ็ดค่ำเพลาบ่าย กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี เสดจขึ้นไปเฝ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี ณะพระตำหนักตึก ๚ะ

๏ ขณะนั้นวางคนไว้ให้กุมเอากรมหมื่นสุนทรเทพ ไปลงสังขลิกพันธ์ไว้ณะหอพระมณเฑียรธรรม์ กุมเอากรมหมื่นเสพภักดี ไปพันทะนาไว้ณะพระคลังสุพรัต จับเอากรมหมื่นจิตรสุนทรไปจำไว้ณะพระคลังพิเสศ ครั้นสิบสามค่ำจึ่งให้ประหารด้วยท่อนจันทน์ ณะพระคลังพิเสศทั้งสามองค์ ๚ะ

๏ ครั้นสิ้นเสี้ยนศัตรูแล้ว ก็เสดจพระราชตำเนินไปถวายราชสมบัติ แก่สมเดจพระเขษฐาธิราชเจ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี ๆ มิได้รับราชสมบัติ แล้วตรัสว่า สมเดจพระราชบิดาสั่งไว้ให้พระอนุชาเจ้า ครองราชย์สมบัติสนองพระองค์สืบไปเถิด จะทำให้ผิดกับรับสั่งนั้นหาควรไม่ กรมพระราชวังบวรสฐานมงคล ก็จำพระไทยครองราชสมบัติ ๚ะ

๏ ครั้นณะเดือนเจดขึ้นหกค่ำ จึ่งตั้งการพระราชพิธีปราบฎาภิเศก ณะพระที่นั่งสรรเพชปราสาท กรมขุนอนุรักษมนตรีเสดจไปอยู่ณะพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ทรงพระกรุณาตั้งกรมหลวงพิพิธมนตรี เปนกรมพระเทพามาศ ครั้น ณะเดือนสิบสองกรมพระเทพามาตุเสดจสวรรคต พระเจ้าอยู่หัวให้นำพระโกฎเข้ามารับพระสพ จึ่งเชิญขึ้นประดับไว้ณะพระที่นั่งบรรยงค์รัตนารถเปนสองพระโกฏิ ๚ะ

๏ ครั้น ณะเดือนห้าขึ้นสิบเบ็ดค่ำ ลุศักราช ๑๑๒๑ ปีเถาะเอกศก พระเจ้าอยู่หัวก็ถวายพระเพลิงสมเดจพระพุทธเจ้าหลวง พระพันปีหลวง ตามประเวณีการพระบรมสพ ครั้งนั้นพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทำสนองพระเดชพระคุณสมเดจพระบิตุราช มาตุรง ยิ่งอย่างกว่าแต่ก่อนเปนอันมาก แล้วพระเจ้าอยู่หัวสั่งให้สร้างวัด เรียกว่าวัดอุทุมพรอารามวัดหนึ่ง แล้วให้ปัติสังขรณ์หลังคาพระมณฑปพระพุทธบาท หุ้มทองสองชั้น สิ้นทองสองร้อยสี่สิบสี่ชั่ง พระองค์ทรงฉลองถวายไทยทานแก่พระสงฆ์แลยาจกวรรณิพกเปนอันมาก แล้วพระองค์ทรงว่าราชการงานกรุง ดูผิดแลชอบตามเยี่ยงอย่างพระมหากระษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อนมา เวลาหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริหว่า เรานี้เปนอนุชายังหาควรแก่ราชสมบัติไม่ อันราชสมบัตินี้ให้พระเชษฐาธิราชเจ้าครอบครองสนององค์สมเดจพระราชบิดาเจ้าจึ่งจะควร ทรงพระมนสิการแล้ว พระองค์ก็เสดจไปถวายสมบัติแก่สมเดจพระเชษฐาธิราช แล้วพระองค์ก็เสดจทรงเรือพระที่นั่งกิ่งเปนกระบวนพยุหบาตรา ไปทรงพระนวดณะวัดเดิม แล้วเสดจไปอยู่ณะวัดประดู่ ๚ะ

----------------------------

๏ แผ่นดินกรมขุนอนุรักษมนตรี ๚ะ

๏ ขณะเมื่อลุศักราช ๑๑๒๑ ปีเถาะเอกศกนั้น กรมขุนอะนุรักษมนตรีเสดจราชาพิเศก ณะพระที่นั่งสรรเพชปราสาท ทรงพระนามสมเด็จพระบรมราชา มหากระษัตริยบวรสุจริต ทศพิธธรรมธเรศเชษฐโลกา นายกอุดมบรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจผ่านพิภพกรุงเทพทวาราวะดี ศรีอยุทธยา ตามโบราณราชประเพณีสืบไป พระองค์มีอัครราชชายาสององค์ แต่ยังเปนกรมมาด้วยกัน พระองค์ตั้งไว้เปนมเหษรี มเหษรีองค์หนึ่งนั้น มีพระราชบุตรสององค์ ๆ พี่นางชื่อประพาลสุริยวงษ องค์ชายชื่อประไพยกุมาร พระมเหษรีองค์หนึ่งนั้น ก็มีพระราชบุตรสององค์เหมือนกัน องค์พี่นางชื่อรุดจาเทวี พระน้องยานั้น ชื่อสุทัศณะกุมารา พระองค์จึ่งตั้งพระอัคราชชายาอิกองค์หนึ่ง ชื่อจ้าวแมงเม่า ร่วมองคกันกับพระองค์ ๆ มีพระราชบุตรีด้วยเจ้าแมงเม่าองค์หนึ่ง ชื่อศรีจันท์เทวี พระองค์ทรงพระเมตาให้ยศถาศักดิ์นาเสมอกัน เหล่าพระสนมพวกนั้น หามีพระราชธิดากับพระองค์ไม่ ๚ะ

๏ ครั้นพระองค์ได้เสวยราชได้ประมาณเจดแปดวัน กรมหมื่นเทพพิพิตรก็ทูลลาออกทรงผนวซอยู่ณะวัดกระโจม กรมหมื่นเทพพิพิตรนี้ฝักฝ่ายฝากตัวอยู่ข้างวังหน้า กับวังหลวงหาสู้สนิทไม่ ครั้นวังหน้าออกบวชก็ว้าเหว่พระไทย เจ้าพระยาอะไภยราชา พระยาเพชรบูรี หมื่นทิพเสนา นายจุ้ย นายเพงจัน ภากันออกไปคิดการกระบถ กับกรมหมื่นเทพพิพิตร ๆ รู้ระคายก็หนีไปจากจัดกระโจม ตามไปจับได้ณะป่านาเริงนอกด่าน แต่เจ้าพระยาอะไภยราชา พระยาเพชรบูรี นายจุ้ย สามคนนี้ ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วจำครบไว้ หมื่นทิพเสนา นายเพงจัน หนีหาได้ตัวไม่ ๚ะ

๏ ขณะนั้นภอกำปั่นอังกฤษลูกค้าเข้ามาณะกรุง จึ่งมีพระราชโองการฝากกรมหมื่นเทพพิพิตรแก่นายกำปั่น ให้เอาไปปล่อยเสียที่เกาะลังกาทวีป ครั้นสิ้นเสี้ยนสัตรูแล้ว พระองค์ก็ทะนุบำรุงพระพุทธสาศนา แลอาณาประชาราษฎรให้อยู่เอย็นเปนศุข แลพระองค์สัฐาปะนาพระอาราม พระราชทานนามวัดละมุดหนึ่ง วัดครุทธาหนึ่ง สองวัด แล้วฉลองถวายไทยทานแก่สมณะพราหมณายาจกวรรณิภกท่วนน่า มีงานมะโหระสพครบเจดวัน แล้วเสดจกลับยังพระราชวัง ๚ะ

๏ ฝ่ายข้างกรุงอังวะนั้น อองเจยะนายบ้านมุกโซโปถวัลย์ราชในเมื่อลุศักราช ๑๑๑๖ ทรงพระนามมางลอง พระองค์มีราชบุตรหกองค์ ราชธิดาสามองค์ พระราชทานถานาศักดิ์ตามผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้มังลองไปผ่านเมืองเปะเยียง มองระผ่านเมืองปะดู มังโปผ่านเมืองอันเมียง มังแวงผ่านเมืองปะดุง มังจุไปกินเมืองประดาน โพเชียงไปกินเมืองแปะตะและ พระเจ้ามังลองเสวยราชได้แปดปี ทราบเหตุว่ากรุงศรีอยุทธยาผลัดแผ่นดินใหญ่ จึ่งทรงพระราชดำริห์หาเหตุซึ่งจะมาทำแก่กรุง ภอมีผู้นำเอาความอันหนึ่งขึ้นทูลว่า กำปั่นฝรั่งข้างอังวะใช้ใบลมซัดไปเข้าเมืองตะนาวศรีที่ถ้ำริดบูรี นายกำปั่นชื่ออะรัมะนี ข้างกรุงศรีอยุทธยาเอานายกำปั่นของเราไว้ พระเจ้ามางลองทราบเหตุดีพระไทยนัก จึ่งดำรัศให้เกนพลสะกรรธ์ลำเครื่องเก้าหมื่น ช้างสองร้อย ม้าพันหนึ่ง สำเร็จแล้วก็เสด็จดำเนินทับออกจากกรุงอังวะ ทับน่าเข้าตีเมืองมฤทธิ เมืองตะนาวศรี ๆ มีบอกเข้ามากราบทูลสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ๆ ทรงทราบเหตุแล้วตำรัศให้คนเร็วม้าใช้รีบออกไปสืบราชการดู มากราบทูลว่า พะม่ายกมาแต่ข้างทางมฤททางหนึ่ง ทางท่ากระดานหนึ่ง ทางเชียงใหม่หนึ่ง ที่จริงนั้นพะม่ายกมาแต่ข้างมฤททางเดียว พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบแน่ ก็ตกพระไทย ด้วยมิได้มีวิจารณพระเชาวณญาณ ก็พานเขลาทรงเชื่อเอาทั้งสามทาง จึ่งดำรัศให้พระยาพิไชยสงคราม นามชื่อพระปลัดชู พระจุลา หลวงศรียศ หลวงราชพิมล ขุนศรีวรคันท์ ห้าคนคุมพลห้าพันออกไปต้านทานข้างมฤทก่อน ๚ะ

๏ แล้วเกนพระยาราชสงคราม พระยาไชยา พระยามหาเสนา พระยาเพชพิไชย พระยาสมบัตธิบาล พระยาตะนาว พระยาพัทลุง หลวงกระ แปดคนนี้คุมพลคละพัน แล้วให้พระยาอะไภยราชาถืออาญาสิทธิ เปนแม่ทัพยกไปรับทางเชียงใหม่ ๚ะ

๏ แล้วเกนทิพเสนา ราชามาตย์ ทิพรักษา ราชาบาล วิสุทธิโยธามาตย์ ราชโยธาเทพ หลวงศักดิ์ หลวงสิทธิ หลวงฤทธิ หลวงเดช สิบคนคุมพลคละพัน ให้พระยาอะไภยมนตรีเปนแม่ทัพใหญ่ ยกไปจุกไว้ทางท่ากระดาน ๚ะ

๏ ครั้นทรงทราบว่า ทางมฤทพะม่ายกมามาก ก็ให้พระยายมราชเปนทับน่าคุมพลคลสองหมื่น ให้พระยาธรรมาถืออาญาสิทธิเปนแม่ทับคุมพลสามพัน ยกเพิ่มเติมไปตั้งณะเมืองกุยบูรี พม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราชณะแก่งตุ่มแตก แล้วยกแยกไปตีกองปลัดชู ซึ่งตั้งอยู่ตำบลอ่าวขาวริมทะเล พระยาธรรมาจะยกไปช่วยพระยายมราชก็ไม่ทัน จึ่งแบ่งไพร่ห้าร้อยไปช่วยกองปลัดชูรบกันอยู่ประมาณกึ่งวัน กองปลัดชูก็แตกพ่ายมา ๚ะ

๏ พระเจ้าอังวะก็ดำเนินทับเข้ามา ณะแขวงเมืองกุยบูรีเมืองปรานบูรี ขณะนั้นกองสอดแนมพะม่า จับไทยชาวบ้านบ่อได้สามคนเข้าไปถวายพระเจ้าอังวะทูลว่า บังอาจออกด้อมมองดูกองทับ พระเจ้าอังวะจึ่งมีกระทู้ถามว่าเองเปนแต่ชาวที่คนชนบทบ้านป่า เมื่อฆ่าศึกมาองอาจมิได้เกรงพระราชอาญา ออกด้อมมองสืบกองทับกูผู้เปนกระษัตริย์ ใครใช้สอยจงว่าไปแต่ตามจริง ซายผู้หนึ่งจึ่งกราบทูลว่า พระอาญาเปนล้นเกล้า ซึ่งจะไม่เกรงพระเดชเดชาแลมีผู้ใช้สอยมาสืบทับ สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้นหามิได้ ซึ่งอาจหาญมิได้กลัวความตาย มาทั้งนี้ด้วยปู่อย้าตายายสั่งกำหนดไว้ว่า ลุศักราช ๑๑๒๒ ปีมะโรงโทศก จะมีพระมหากระษัตราธิราชเจ้า ผู้กอบด้วยพระกฤษฎานุภาพได้ปราบดาภิเศก ในเสวตรฉัตรเปนบรมขัติยามหาพิเศศในกรุงภูกามประเทศทิศอัศฎง จะเสดจพระราชตำเนินพยุหจัตุรงค์มาทางนี้ ปราบอะรินราชไพรีกลียุกข์ ทะนุบำรุงพระพุทธสาศนา ประชาราษฎรไม่เลือกหน้า ข้าพเจ้าเกิดมาไม่เคยเหน จึ่งกล้าชวนกันมาแอบเร้น คอยชมบรมโพธิสมภารเจ้า จึงสมคำผู้ใหญ่เล่าสืบๆมา แล้วแต่จะโปรด พระเจ้าอังวะได้ทรงฟังดั่งนั้นก็มีพระไทยยินดี จึ่งดำรัศให้พระราชทานตราภูมคุ้มห้ามแก่ชายทั้งสาม แล้วพวกพ้องให้ตั้งทำมาหากินอยู่ตามภูมลำเนา ๚ะ

๏ พระเจ้าอังวะจึ่งตำเนินทับล่วงเมืองกุยบูรี เมืองปรานบูรี แลตีเมืองเพชรบูรี เมืองราชบูรี ได้เปนลำดับมา ๚ะ

๏ ขณะนั้นสมเดจพระอนุชาธิราชลาผนวชออกมาว่าราชการแผ่นดิน ให้ถอดจำเจ้าพระยาอะไภยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบูรี ออกจากสังขลิก แล้วตำรัศให้เกนพลทหารขึ้นรักษาน่าที่เชิงเทินรอบพระนคร กำแพงตามน่าพระราชวังนั้นให้รื้อเสีย เอาไม้ขอนศักปักปิดประตูน้ำประตูบกทั้งรอบกรุง ให้พระยากะลาโหม พระยารัตนาธิเบศ พระยาราชบังสัน ยกออกตั้งค่ายณะบ้านตาลาน ๚ะ

๏ อนึ่งให้พันทนาพระยาราชมนตรี จะหมื่นศรีสรรักษ แล้วให้มีกระทู้ถามว่าเข้าไปคบหาทำชู้ด้วยข้างใน ครั้นเปนสัจแล้วให้ลงพระราชอาญาคละยกจำคงไว้สามวัน พระยาราชมนตรีตายให้เอาไปเสียบประจานไว้ณะประตูไชย ๚ะ

๏ ฝ่ายทับน่าพะม่ายกมาตีค่ายซึ่งตั้งอยู่ตาลานนั้น แตกพ่ายเข้ามา พระยากระลาโหม ขึ้นช้างหนีมาถึงทุ่งวัดนนทรี พะม่าควบม้าไล่ตามมาทัน แทงพระยากระลาโหมตาย พระยายมราชนั้น ต้องหอกซัดเปนหลายแห่ง หนีเข้ามาได้ อยู่ประมาณเก้าวันสิบวันจึ่งตาย พระยาราชบังสันนั้นยิงปืนแย้งเอาพระยารัตนาธิเบศ ครั้นแตกหนีเข้ามาถึงแล้วหาเข้าเฝ้าไม่ เปนพวกปืนราชมนตรี ให้สืบได้ตัวมา ลงพระอาญาเฆี่ยนยกหนึ่งแล้วให้พันทนาไว้ ประมาณแปดวันก็ตาย จึ่งเอาไปเสียบไว้ณะประตูไชย ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าอังวะตำเนินทับเข้ามา ตั้งณะทุ่งบางกุ่มบ้านกระเดื่อง กองน่าตั้งณะโพธิ์สามต้น จึ่งหลวงอะไภยพิภัทธจัดจีนนายก่ายสองพันยกออกไปจะตั้งค่าย พะม่าข้ามแม่น้ำโพสามต้นมาตีกองทับจีนก็แตกลงน้ำ พะม่าเหนได้ทีก็ไล่ติดตามฆ่าฟันมาถึงปรกวัดทะเล กองหมื่นทิพเสนาตั้งอยู่ที่นั่นแลเหนก็พลอยแตกข้ามน้ำมาด้วย เสียผู้คนเปนอันมาก พะม่าก็ยกกองทับตามเข้ามาตั้งค่าย ณะพะเนียดวัดเจดีย์แดง ครั้นณะเดือนห้าแรมแปดค่ำปีมะโรงโทศก พะม่าไปตีท้ายคูทั้งสองฟาก บันดาครอบครัวชายหญิงซึ่งอยู่บกนั้น พะม่าจับได้มัดผูกฆ่าฟันตายเปนกอง ๆ ที่อยู่อัดแอกันทั้งแม่น้ำ พะม่าลงเรือได้ไล่ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก แลเผากำปั่นวิลันดาแลเรือใหญ่น้อยเสีย อาสพลอยเต็มทั้งแม่น้ำจนกินมิได้ ๚ะ

๏ ครั้น ณะเดือนห้าแรมสิบสี่ค่ำ พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งณะวัดราชพรี วัดกระษัตรา ยิงเข้ามาในกรุง พระเจ้าอยู่หัวเสดจทรงช้างต้นพลายแสนพลพ่าย ไปทอดพระเนตรกำชับน่าที่ณะวัดสวนหลวง วัดสพสวรรค์แลป้อมมหาไชย ๚ะ

๏ ครั้นเพลาเอย็นพม่าเลิกข้ามฟากไปข้างวัดภูเขาทอง ถึงเพลาเช้าขึ้นค่ำหนึ่งเดือนหก พม่าเอาปืนใหญ่เข้ามาตั้งณะวัดน่าพระเมรุ จังกายิงระดมเอาพระราชวัง แลพระที่นั่งสุริยามรินทร์ทั้งกลางวันกลางคืน ภอพระเจ้าอังวะทรงประชวรลง จึ่งให้ถอยทับไปทางเมืองเหนือ แต่ณะเดือนหกขึ้นสองค่ำปีมโรงโทศก ถึงตำบลตะเมาะกะโลกนอกด่านระแหง เปนระหว่างมัชฌิมวิถีก็สวรรคต เสวยราชสมบัติได้แปดปี ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวจัดให้พระยายมราช พระสีห์ราชเดโช ไปตามกองทับพม่าจนพ้นด่านระแหง แล้วก็กลับมา ฝ่ายข้างมุขมนตรีกรุงอังวะ ก็อัญเชิญพระสพไปยังกรุงภูกามประเทศราชธาณี แล้วก็พร้อมกันอัญเชิญมังลองราชโอรส ขึ้นดำรงค์อาณาจักรรักษาราชประเพณี โดยขัติย์จาริตพระมหากระษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน ๚ะ

๏ ฝ่ายข้างกรุงเทพมหานครนั้น ให้ขุดได้ปืนกระสุนสามนิ้วสี่นิ้ว ณะที่ค่ายหลวงพระเจ้าอังวะนั้นสี่สิบบอก แล้วเสดจพระราชตำเนินขึ้นเฝ้าสมเด็จพระเชษฐาธิราช ณะพระที่นั่งสุริยามรินทรเนือง ๆ ๚ะ

๏ ครั้นณะเดือนแปดข้างขึ้น เสดจพระราชตำเนินออกไป ณะวัดโพธิ์ทองคำหยาดทรงผนวช แล้วกลับเข้ามาณะวัดประดู่ ขณะนั้นให้รื้อพระที่นั่งสุริยามรินทร์ลงทำใหม่ สิบเดือนจึ่งสำเร็จ ๚ะ

๏ ครั้นอยู่มาพระยาระญาเจ้าเมืองไทร ได้ช้างเล็บรอบท้าวตัวหนึ่งเข้ามาถวาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีพระไทย ประทานพระราชบำเหน็จรางวัล แล้วขนานนามพระบรมฉัดทันต์มหันตะพงษามกุฎิกุญชร ยังมีช้างเนียมตัวหนึ่งเข้าพะเนียดณะกรุง เสดจไปทรงจับได้ พระราชทานนามพระบรมช้าง ๚ะ

๏ ยังมีนายกำปั่นชื่ออะลังกะปูนี นำเอาสิงหโตตัวหนึ่ง กับนกกระจอกเทษตัวหนึ่ง เข้ามาถวายแก่สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัว ๆ มีพระไทยยินดีโปรดพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่อะลังกาปูนีผู้มีใจสาพิภักตร์ ๚ะ

๏ จบเล่ม ๒๖ สมุดไทย ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ