๑๐

๏ พระราชพงษาดารตั้งแต่พระนเรศวร, เสดจ์ยกทับไปเมืองกัมพูชา, ฆ่าพระยาลแวกเสร็จ, เสดจ์กลับมายังศรีอยุทธยา, จนเจ้าฟ้าแสนหวีมาพึ่งพระโพธิสมภาร เล่ม ๑๐ ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยานครนายก, พระยาปราจิณท์, พระวิเศศเมืองฉเชิงเทรา, พระสระบูรีผู้อยู่รักษาค่ายฉางเข้า, ก็มาเฝ้าทูลข้อราชการแลจำนวนเข้าเสร็จสิ้นทุกประการ. จึ่งดำรัสให้พระสระบูรีคุมพลพันหนึ่งอยู่รักษาค่ายฉางเข้า. แล้วให้แต่งกองออกไปลาศกระเวนฟังราชการให้ถึงทับหลวง. แต่พระยานครนายก, พระยาประจิณท์บูรี, พระวิเศศ กับพลเก้าพันยกไปเข้ากระบวนทับหลวง แลทับหลวงตั้งบนพระเนียดทางร่วมที่จะไปเมืองปัตบองแลเมืองนครเสียมราบ. จึ่งมีพระราชบริหารให้พระราชมาณูเปนกองน่า, คุมพลสองหมื่นห้าพันยกไปแก้ตัว, ตีเอาเมืองปัตบองเมืองโพธิสัตว. พระราชมาณูนายทับนายกองทั้งปวง, กราบถวายบังคมลา, แล้วก็ยกไปตามพระราชกำหนฎ รุ่งขึ้นวันหนึ่งกองทับหลวงก็ยกพยุหะโยธาหารตาม. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาลแวกขณะเมื่อเดือนสิบเบ็ดเดือนสิบสองแต่งคนให้มาสอดแนมเอาข้อราชการกรุงนครศรีอยุทธยานั้น, น้ำแห้งท้าวช้างท้าวม้าจะยกทับบกทับเรือออกมาตีกรุงกำพูชาธิบดี. ก็ให้จัดแจงแต่งการกันพระนครเปนสามารถ. ฝ่ายเมืองรายทางค่ายคูหอรบที่ปรักหักพังนั้น, ล้อมแปลงขึ้นหมันคงทุกเมือง. แลเมืองปัตบองนั้นมีพลทหารรบหมื่นหนึ่ง, ให้พระยามโนไมตรีเปนแม่ทับ เมืองโพธิสัตวนั้นพระยาสวรรคโลกย์เจ้าเมืองเปนแม่ทับ, ถือพลสองหมื่น. ให้พระศรีสุพรรมาธิราช, ผู้เปนอนุชาถือพลสามหมื่น, ออกมาตั้งรับออก ณเมืองบริบุรณ. แล้วแต่งคนเรวม้าให้ผลัดเปลี่ยนกันสืบข่าวราชการ ณเมืองโพธิสัตว, แลเมืองปัตบองมิได้ขาด. ทางเรือนั้นแต่งกองทับเปนสองทับ, ให้พระยาวงษาธิราชคุมเรือกุไหล่แงทรายร้อยห้าสิบลำ, พลรบพลแจวหมื่นหนึ่ง, สรัพไปด้วยเครื่องสรรพสาตราวุธ, ปืนใหญ่น้อยกระสุนดินประสิว, ลงเรือไปรักษาเมืองป่าศัก. ให้พระยาพิมุขวงษาคุมเรือกุไหล่แงทรายร้อยห้าสิบลำ, พลรบพลแจวหมื่นสรัพไปด้วยเครื่องสรรพสาตราวุธ, ปืนใหญ่น้อยกระสุนดินประสิว ลงไปรักษาเมืองจัตุรมุขปากกระสัง, ซึ่งกองทับเรือข้าศึกจะมาทางพุทไธยมาษนั้น, ให้พระยาจินจันตุยกเอาพลเมืองลำโรงทอง, เมืองเชิงกระชุม, เมืองกัมปอช, เมืองกะโพงโสม, เปนคนห้าพัน, ไปรักษาปากน้ำเมืองพุทไธยมาศ ๚ะ

๏ ฝ่ายพระราชมาณูข้ามลำนำตะโหนด, ภาใกล้ตำบลลำพาดชายป่าระนาม, ที่เขมรเคยซุ่มทับแต่ก่อน, ก็จัดพลเดินเปนกองกำหนดเปนทับฬ่อทับตีพร้อมเสรจ์. ส่วนพระราชมาณูขี่ช้างพลายจู่โจมทับ, มีทหารสามร้อย, ถือหอกหวนเดินน่าช้าง. ครั้นถึงป่าระนามก็ได้เหนกองทับเขมรแล้วก็ล่วงเข้าไป. ฝ่ายพระยามโนไมตรีซึ่งรักษาเมืองปัตบอง, แจ้งว่ากองทับไทยยกมา, จึ่งปฤกษานายทับนายกองทั้งปวงว่า, พระนเรศวรเปนเจ้าเสรจ์ยกมาครั้งก่อนนั้น, เปนทับรุดรี้พลก็น้อย ประการหนึ่งเข้าต้นท้องนาเราก็เสีย, ฆ่าศึกหาได้เปนกำลังไม่, จึ่งเลิกทับถอยกลับไป. ครั้งนี้เหนเปนเทือกเถาใหญ่หลวงนัก, รี้พลช้างม้าก็มาก, แล้วก็ตั้งยุ้งฉางถ่ายลำเลียงรายทางออกมา. ซึ่งเราจะรับปะทะน่าศึกเหมือนเมื่อครั้งก่อนนั้นเหนไม่ได้. จะรักษาแต่เมืองให้มั่นไว้ดูกำลังข้าศึกก่อน. ถ้าเหนหนักเหลือกำลัง, จะบอกฃอกองทับมาช่วย. นายทับนายกองทั้งนั้น, ก๊เหนด้วย, พระยามโนไมตรีจึ่งให้ตรวจหน้าที่เชิงเทิน, ตระเตรียมเครื่องสาตราวุธซ่อมแชมขวากหนามให้แน่นหนา. แล้วทำตพานเรือกข้ามลำน้ำสามตพานต่อหัวเมืองท้ายเมืองกลางเมือง. แลตั้งค่ายกระหนาบต้นตพานข้างละสองค่าย, ให้ทหารรักษาค่ายๆลห้าร้อย. แล้วแต่งให้ขุนศรีเสนห์คุมทหารกองกระเวนแลมานั่งทางคอยเหตุ. ถ้าข้าศึกยกมาให้ยิงปืนเปนสำคัญ ๚ะ

๏ ฝ่ายทับน่าพระราชมาณูยกเดินมา,แต่งเปนกองเสือป่าแมวเทรา, สามหอกเจ๊ดหอกเลดมาก่อน. ยังทางประมาณร้อยเสศจะถึงเมืองปัตบอง. ภบเขมรกองกระเวนได้รบยิงกันจับได้สามคนส่งไปให้พระราชมาณู. พระราชมาณูถามแจ้งความเสรจ์แล้ว,ก็ตบมือหัวเราะ. จึ่งว่าซึ่งพระยามโนไมตรีเจ้าเมืองปัตบองคิดรับเรากับเมือง, ไม่ออกมารับเรากลางแปลงนั้นสำคัญว่า,หมั้นอยู่แล้วฤๅ. เหนจะหารบเราได้ศักนาฬิกาหนึ่งไม่. อุปมาเหมือนนุ่นแลสำลี, ไหนเลยจะทานกำลังมหาวาตะพยุห์ใหญ่ได้. ว่าเท่าดั่งนั้นแล้ว, กำหนดนายทับนายกอง, ให้เข้าโจมตีเมืองปัตบองให้ได้แต่เพลานี้. ฝ่ายนายทับนายกองพร้อมกันยกเข้าตีค่าย ซึ่งตั้งรับต้นตพานทั้งหกค่ายได้. เขมรซึ่งแตกออกจากค่ายนั้น, บ้างวิ่งลงน้ำข้ามตพานเข้าประตูเมืองคั่งกัน. พระราชมาณูเหนดั่งนั้น, ก็ขับทหารไล่ไปตามตพานแทงฟันเขมรล้มตายในน้ำในบกเปนอันมาก. หักเข้าเมืองได้จุดไฟเผาเมืองขึ้น. ครอบครัวชาวเมืองแตกตื่นวิ่งออกจากค่ายได้บ้าง. จับได้พระยามโนไมตรีครอบครัว, ช้างพลายพังยี่สิบช้าง,ม้าห้าสิบ, ปืนใหญ่น้อยเครื่องสาตราวุธเปนอันมาก. ภอทับหลวงเสดจมาถึงตั้งตำบลปราสาทเอก, พระราชมาณูก็กุมเอาตัวพระยามโนไมตรีมาถวาย. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวให้ถามพระยามโนไมตรีว่า, พระยาละแวกให้กองทับมาตั้งรับอยู่ตำบลใดบ้าง. พระยามโนไมตรีกราบทูลว่า, พระยาละแวกให้พระศรีสุพรรมาธิราช, ผู้เปนพระอนุชา, ถือพลสามหมื่นตั้งรับอยู่ ณเมืองบริบูรณ์ตำบลหนึ่ง, ให้พระยาสวรรคโลกย์เจ้าเมืองโพธิสัตว, ถือพลสองหมื่น, ตั้งรับอยู่ ณเมืองโพธิสัตวตำบลหนึ่ง. ฝ่ายกองทับไปตั้งรับอยู่ทางเรือนั้น, ให้การเสรจสิ้นทุกประการ. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวจึ่งตรัสถามว่า, ถ้าแลเมืองโพธิสัตว,แลเมืองบริบูรณสองตำบลนี้แตกแล้ว, เหนกรุงกัมพูชาธิบดีจะเสียฤๅไม่. พระยามโนไมตรีให้การกราบทูลว่า, ซึ่งเมืองจะเสียมิเสียนั้น, จะกราบทูลกลัวจะเปนเท็จ, สุดแต่พระราชดำริห์เปนต้น. แต่ข้าพเจ้าเหนว่า, ซึ่งกองทับรับอยู่สองตำบลนี้, อุประมาเหมือนน่าสำเภา, กรุงกัมพูชาธิบดีเปนท้ายสำเภา, ถ้าน่าสำเภาต้องคลื่นแลพยุหใหญ่แตกหักชำรุดรั่วอับปางลงแล้ว, แลท้ายสำเภาจะรักษาไว้นั้น,เปนอันยากนัก. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทรงฟังดังนั้น, แย้มพระโอฐแล้วตรัสว่า, พระยาเขมรคนนี้พูดจาหลักแหลมให้เอาไว้ใช้. ตรัสเท่าดังนั้นแล้ว, ก็สั่งพระยานครนายก, ให้คุมพลสามพันอยู่รักษาเมืองปัตบอง, เกลี้ยกล่อมเขมรเกี่ยวเข้าเกบเข้าในท้องนาใส่ยุ้งฉางไว้เปนอันมาก. ขณะเมื่อเมืองปัตบองแตกนั้น, ภอคนเร็วม้าใช้เขมรเมืองโพธิสัตวออกมาฟังราชการมาถึงบ้านละลอด. ภอภบตะละพาดพระยาพระเขมรนายหมวดนายกอง, แลไพร่กองทับเมืองปัตบองแตกเข้ามา, ก็ภากันกลับไปเมืองโพธิสัตว, แจ้งแก่พระยาสวรรคโลกยทุกประการ. พระยาสวรรคโลกย์แจ้งดั่งนั้น, ก็บอกหนังสือส่งตัวเขมรทั้งปวงเข้าไปยังกรุงกัมพูชาธิบดี. แล้วจึ่งปฤกษานายทับนายกองว่า, พระยามโนไมตรีแต่งกองทับออกรับที่กล้า, แลกองซุ่มกองโจรดูกำลังก่อน, ละให้ฆ่าศึกเข้ามาถึงเมืองจนเสียครอบครัวยับเยิน, ฆ่าศึกก็มีน้ำใจกำเริบหนักขึ้นจะเอาเปนอย่างมิได้. เราจะยกออกไปรับกลางทาง. นายทับนายกองก็เหนด้วย. พระยาสวรรคโลกย์ก๊ให้ผ่อนครอบครัวออกเสียจากเมืองแล้ว. ก๊ยกออกไปตั้งรับลำน้ำลงกูบ, เอาน้ำไว้หลัง,หมายจะมิให้ฆ่าศึกออกอาไศรยได้. จึ่งแต่งเปนกองโจรหกกอง, ๆ ละห้าร้อย. แล้วสั่งว่าได้ทีก๊ทำ, ถ้ามิได้ทีก็ให้หลีกเข้าป่า. ถ้าเหนศึกหนักเหลือกำลังก๊ให้ลาดถอย. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระราชมาณูครั้นพระยานครนายกอยู่รักษาเมืองปัตบอง, ก็กราบถวายบังคมลายกเข้าไปเมืองโพธิสัตว. กองทับหลวงก๊เสดจ์ตามเข้าไป. ทับน่าพระราชมาณูยกเข้าไปถึงตำบลหนองจอก. ฝ่ายเขมรกองโจรก๊ออกรบกองน่าตีแตก. แต่เขมรรับรายทางเข้าไปถึงหกตำบล. พลเขมรต้องสาตราวุธป่วยตายเหลือกำลัง, แล้วก๊ถอยเข้าไปหาทับใหญ่. แลกองทับพระราชมาณูก๊หนุนเนื่องกันเข้าไป. ฝ่ายพระยาสวรรคโลกย์ได้ยินเสียงปืนรบศักครู่หนึ่ง, ภอเหนเขมรแตกทับไทยไล่ติดเข้ามา. พระยาสวรรคโลกยให้ตีฆ้องกลองสัญญาโบกธง, ยกทหารออกไปรับได้รบกันกับทับน่าพระราชมาณู, จนถึงตลุมบอนฟันแทง. พระราชมาณูเหนดังนั้น, แยกทหารแผ่ออกตีประดาเข้าไป. ทับเขมรรับที่กล้าไม่อยู่, ก๊แตกฉานล้มตายเจบป่วยเปนอันมาก. พระยาสวรรคโลกย์ก็ขึ้นช้างข้ามน้ำหนีไปได้. ทับไทยได้ช้างพลายพังห้าสิบช้าง, ม้าร้อยหนึ่ง, กับเครื่องสาตราวุธจับได้เขมรเปนอันมาก. แล้วยกตามไปได้เมืองโพธิสัตว, แล้วก็บอกลงไปถึงทับหลวง. สมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้าก็ดีพระไทย, เสดจพระราชดำเนินยกเข้ามาตั้ง ณเมืองโพธิสัตว. ฝ่ายพระราชมาณูนายทับนายกองเข้ามาเฝ้าพระบาทยุคล, ถวายช้างม้าเครื่องสาตราวุธ, แลเขมรเชลยทั้งปวง. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชโองการสั่ง, ให้พระยาปราจินทกับพลสามพันตั้งอยู่, รวบรวมเสบียงอาหารณเมืองโพธิสัตว. แล้วตรัสปฤกษาราชการแก่สมเดจพระอนุชาธิราชว่า, เมืองโพธิสัตว,เมืองปัตบองก็ได้แล้ว,. แลเมืองบริบูรณ์นั้น, พระยาลแวกให้น้องชายออกตั้งรับ, รี้พลก็มากเหนจะพร้อมสามประการ, ทั้งอาชาก็กล้า, ทหารก็จะแฃงมือ, เครื่องสาตราวุธก็จะพร้อม. ถึงกะนั้นก็ดี, อุปมาเหมือนพระยานาคราช, ถึงแม้นมาทมีเดชานุภาพก็ดี, ฤๅจะอาจมาทานกำลังพระยาครุทธได้. เราจะหักเอาให้ได้แต่ในพริบตาเดียว. ตรัสเท่าดั่งนั้นแล้ว, ก็สั่งให้ทับน่าเร่งยกล่วงเข้าไป, อย่าให้พลทหารคั่งกัน. ๚ะ

๏ ครั้นเพลาตีสามยามได้เพชรฤกษ พระจันทร์ทรงกรดส่องสว่าง, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ทรงเครื่องสำหรับพิไชยยุทธเสรจ์ เสดจ์ยกพยุหโยธาทับจากเมืองโพธิสัตว. ฝ่ายพระยาสวรรคโลกย์แลนายทับนายกองซึ่งแตกมานั้น, ก็ไปเมืองบริบูรณ, เข้าเฝ้าพระศรีสุพรรมาธิราช, กราบทูลประพฤติเหตุทั้งปวง. พระศรีสุพรรมาธิราชได้แจ้งดั่งนั้น, ก็ตกพระไทย, จึ่งแต่งกองกระเวนเปนเสือป่าผลัดเปลี่ยนกันออกไปลาดคอยดูฆ่าศึก,ทั้งให้จุดเผาเข้าต้นในท้องนาเสียแล้ว, บอกข้อราชการเข้าไปณกรุงกัมพูชาธิบดี. ฝ่ายพระยาละแวกแจ้งว่า,เมืองโพธิสัตวเมืองปัตบองเสียแก่ฆ่าศึกแล้ว, ก็เสียพระไทย. จึ่งสั่งพระยาราชนเรศคุมพลหมื่นหนึ่งยกไปช่วยเมืองบริบุรณ. ฝ่ายสมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้า, เสดจ์พยุหบาตราทับรอนแรมตามสถลมารคมาสามคืนมาถึงป่าทุ่งนาเมืองบริบุรณ. กองน่าภบเขมรกองกระเวนเข้า, ได้รบยิงกัน, เขมรแตกวิ่งเข้าเมือง. พระศรีสุพรรมาธิราชแจ้งดั่งนั้น, ก็ตรัสว่าศึกไทยได้ทียกเข้ามา, ครั้นจะแต่งกองทับออกไปรับเกรือกรับมิอยู่ทหารจะเสียใจ. ประการหนึ่งศึกก๊ยังมั่นประชุมกันอยู่, ต่อแผ่บางออกแล้ว, เราจึ่งจะยกออกตีทีเดียว, ให้แต่ตรวจตรารักษาน่าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง, อย่าให้ข้าศึกเข้าแหกหักเอาได้. ตรัสเท่าดั่งนั้นแล้ว, ก็มิได้แต่งออกรบ. ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้า, เหนทับเขมรมิได้ยกออกมารบ, พระองค์มิได้ยั้งทับ.จึ่งมีพระราชบริหารกำหนดให้นายทับนายกองเข้าล้อมเมืองรบหักเอาให้ได้ในเพลานี้. ฝ่ายนายทับนายกองทั้งปวงก็แบ่งปันกันเปนน่าด้านยกล้อมโอบรบรุกเข้าไป. ฝ่ายเขมรก็รบรุกยิงธนูน่าไม้ปืนไฟออกมาเปนสามารถ.กองทับไทยก็มิถอย, ขุดมูลดินเปนสนามเพลาะบังตัวรุกเข้าไป. ภอเพลาพลบค่ำก็บันจบกัน, ที่ชิดก็เข้าถอนขวากหนามปีนค่ายเย่อค่ายฟันค่าย, จนถึงได้ฟันแทงกัน. ฝ่ายพระศรีสุพรรมาธิราชเหนศึกหนักเหลือกำลังจะรับมิอยู่, ขึ้นช้างพระที่นั่งได้ทหารหมื่นหนึ่งก็แหกเมืองออกไป. ทับไทยก็เข้าเมืองได้ไล่ฟันแทงเขมรเจ็บป่วยล้มตาย.กองทับเขมรก็หนีระบาทกันออกหน้าที่. กองทับไทยจับได้พระยาเสนาบดีเจ้าเมืองบริบูรณ, พระหลวง, ขุนหมื่น, ไพร่เขมรปืนใหญ่น้อย, เครื่องสาตราวุธเปนอันมาก. ได้ช้างพลายพังใหญ่น้อยเจ็ดสิบห้าช้าง, ม้าสองร้อยเศศ. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระศรีสุพรรมาธิราชแหกออกจากค่ายได้, มิได้ยั้งพลรีบเดินไปเพลากลางคืนถึงตำบลบ้านพังรอ, ภบทับพระยาราชนเรศซึ่งพระยาลแวกให้ออกมาช่วย, ก็ภากันถอยเข้าเมือง, ขึ้นเฝ้าแจ้งราชการแก่พระยาละแวกทุกประการ. พระยาละแวกได้ทรงฟังดั่งนั้นก็ทรงพระโกรธ, ตรัสคาดโทษพระศรีสุพรรมาธิราชแลนายทับนายกองแล้ว, จึ่งให้ตรวจตราป้อมค่ายรักษาน่าที่เชิงเทิลหอรบชั้นนอกซ่อมแชมขวากหนาม. เอาปืนใหญ่ขึ้นใส่ป้อมแลประตูเมือง, น่าที่นั้นห่างสิบวาไว้ปืนหลักแก้วบอกหนึ่ง. ถัดเชิงเทินเข้ามา, ไว้กองหนุนกองละสามร้อยห่างกันสามเส้น. เชิงเทินชั้นกลางนั้นไว้กองขันสี่กองกองละสามพัน. ให้พระศรีสุพรรมาธิราชผู้เปนอนุชาอยู่ด้านเหนือ, พระราชมาณูอยู่ด้านใต้,เจ้าฟ้าทะละหะอยู่ด้านตวันออก, พระยาราชนเรศอยู่ด้านตวันตก. เชิงเทินชั้นในไว้กองใหญ่สี่กอง ๆ ละห้าพัน, ในกระบวนทับหลวง. แล้วแต่งหนังสือให้พระยามนตรีเสนาถือไปเมืองญวนขอกองทับมาช่วย. ๚ะ

๏ ครั้นเพลาอุษาโยคพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จออกพร้อมด้วยหมู่มุขอำมาตย์ราชปะโรหิต. นายทับนายกองกราบถวายบังคมเฝ้าพระบาทยุคลเกลื่อนกลาด. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, จึ่งสั่งให้กุมเอาตัวพระยาเสนาบดีเจ้าเมืองบริบูรณ, แลพระหลวงขุนหมื่นนายทับนายกองเขมรเข้ามาหน้าพระที่นั่ง. ให้ถามข้อราชการในเมืองละแวก แลพระยาเสนาบดีพระหลวงขุนหมื่นนายทับนายกองทั้งปวง, ก็ให้การกราบทูลเสรจ์สิ้นทุกประการ.จึ่งมีพระราชโองการให้พระวิเศศเจ้าเมืองฉะเชิงเทราเปนพระยาวิเศศ, ให้เปนนายกองทับคุมพลสามพัน, ตั้งอยู่ ณะเมืองบริบูรณปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารไว้ให้เสรจ์. แล้วเสดจ์พระราชตำเนินพยุหบาตราทับโดยลำดับมารควิถีสองคืน, ก็ลุถึงกรุงกัมพูชาประเทศ. ทับหลวงตั้งหมั้นไกลเมืองทางประมาณเจ็ดสิบเส้น. ตรัสให้นายทับนายกองตั้งค่ายล้อมประชิดเมือง. ให้พระราชมาณูอยู่ด้านตวันตก, พระยาสีห์ราชเดโชอยู่ด้านใต้, พระยาท้ายน้ำอยู่ด้านตวันออก, พระยามหาโยธาอยู่ด้านเหนือ ๚ะ

๏ ขณะเมื่อทับหลวงตีค่ายรายทางเข้ามาถึงเมืองโพธิสัตวนั้น, กองทับพระยาราชวังสันเข้าตีได้เมืองพุทไทยมาศ พระยาจีนจันตุแม่ทับเขมรตายในที่รบแล้วยกเข้ามาณะป่ากะสัง, ได้รบกับกองทับพระยาภิมุขวงษา. ฝ่ายกองทับพระยาเพชรบุรีเข้าตีเมืองป่าศัก,ได้รบกับกองทับเรือ. พระยาวงษาธิราชกองทับเขมรแตก พลเขมรจมน้ำตายเปนอันมาก. พระยาวงษาธิราชก็ต้องปืนใหญ่ตาย. กองทับไทยได้เมืองป่าศัก, สำเภาพระยาจีนจันตุ, กับสำเภาลูกค้าสิบห้าลำ. สลุปฝรั่งสองลำ เรื่อรบเรือไล่ปืนใหญ่น้อย, เครื่องสาตราวุธเปนอันมาก. พระยาเพชรบูรีก็ยกรุดตามขึ้นมาถึงปากกะสัง, เหนกองทับพระยาราชวังสันกับเขมรยังรบกันอยู่. พระยาเพชรบูรีก็ยกตีกระหนาบเข้าไป. กองทับเขมรทานมิได้ก็แตก, พระยาราชวังสัน, กับพระยาเพชรบูรีสองทับนั้นบันจบกันเข้า. ก็ยกรีบเข้ามาตีได้เมืองจัตุรมุข. แล้วยกขึ้นไปบันจบกองทับหลวง ณะเมืองลแวก. ๚ะ

๏ ฝ่ายกองทับพระยานครราชศรีมาซึ่งตีเมืองนครเสียมราบ, ฟากทะเลสราบตวันออก, ก็ยกมาตั้งค่ายมั่นกะพงสวาย, พร้อมกันกับกองทับเรือ. พระยาเพชร์บูรี, พระยาราชวังสันพระยานครราชศรีมา, แลพระยาพระหลวงหัวเมืองนายทับนายกองทั้งปวง, ก็ภากันขึ้นเฝ้าพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวณค่ายเมืองละแวก, กราบทูลซึ่งได้รบรายทาง, แลได้สำเภาสลุบฝรั่ง, เครื่องสาตราวุธ, ปืนใหญ่น้อยเสรจสิ้นทุกประการ. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็ทรงพระโสมนัศ. จึ่งตำริหการที่จะเข้าหักเมือง, แล้วมีพระราชโองการสั่งนายทับนายกองค่ายล้อมทั้งปวง, ให้เร่งเดินค่ายปะชิดเข้าไปให้ใกล้ห่างเมืองเส้นหนึ่งแลสามสิบวา ให้ตั้งป้อมพูนดินทั้งสี่มุม, มุมละสองด้าน. เอาปืนใหญ่ทับเรือขึ้นจังกา, ยิงกวาดตามเชิงเทิน. บันดาประตูเมืองนั้น, ก็ให้ตั้งป้อมเอาปืนใหญ่ขึ้นยิงด้วย. น่าที่ใดทหารบางอยู่นั้น, ให้กองทับเรือกองทับเมืองนครราชสีมายกมาบันจบ. เร่งทำการให้พร้อมแต่ในสามวัน, ถ้าผู้ใดมิแล้วตามกำหนดจะตัดศิศะเสียบเสีย. ฝ่ายนายทับนายกองทั้งปวงกลัวพระราชอาญา, กราบถวายบังคนแล้ว, ก็เร่งทำตามพระราชอาญาทั้งกลางวันกลางคืน. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวจึ่งให้แต่งเปนหนังสือว่า, หนังสือผู้เปนนายกพลากรทหารทั้งปวงทับหน้า, อันเปนสวามีประวาศบาทมุลิกากรบวรรัตนามาศ, ดุจหนึ่งจักรแก้วอยู่ในใต้เบื้องบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวณะกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยา, อันมีพระบุญาเดชานุภาพมาก, ดุจดรงพระทินกรส่องโลกย์มายังพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี, ซึ่งเปนใหญ่ในกัมพูชาประเทศ. แต่ก่อนๆกรุงกัมพูชาธิบดีเคยถวายหิรัญสุวรรณมาลาเกรื่องบรรณาการ, สองพระนครก็เปนสุวรรณ์ปัตะพีเดียวกัน. สมณพราหมณาจาริย์อาณาประชาราษฎรก็ได้ความศุก, เปนไฉนพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีมิได้ตั้งอยู่ในสัตยานุสัจ, คิดอหังการกลับเปนประจามิตร, ให้เคืองใต้บาทยุคล, เอาโลหิตมาล้างดาบทหารไทย, จะให้เหลืออยู่แต่น้ำกับฟ้า, ป่ากับดินดูมิควร. บัดนี้ก็เสดจ์พระราชตำเนินมาถึงพระนครแล้ว, อันจะได้ไชยชำนะมิได้ไชยชำนะนั้น,พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีหาเข้าพระไทยไม่ฤๅ. ให้เร่งออกมากราบถวายบังคมพระบาทยุคล ถวายเสวตร์บวรฉัตร์, เหนชีวิตรจะยืนยาวไปได้. ฦๅหมายว่าจะได้ไชยชำนะ, ก็ให้เร่งยกพยุหโยธาออกมาทำสงครามกันดูเล่นเปนขวันตา. ถ้ามิออกมาในสามวัน, พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวจะให้ทหารเข้าพลิกแผ่นดินเสียแต่ในพริบตาเดียว ๚ะ

๏ ครั้นแต่งเสรจแล้วก็ให้พระยาเสนาบดีเจ้าเมืองบริบูรณ, กับพระยาพระเขมรซึ่งทับเรือจับได้ถือเข้าไป พระยาพระเขมรทั้งปวงกราบถวายบังคมลาแล้ว, ก็นำหนังสือเข้าไปถวายแก่พระยาละแวก. แล้วทูลซึ่งได้รบทางบกทางเรือเสร็จสิ้นทุกประการ พระยาละแวกได้แจ้งในหนังสือแลเสียกองทับเรือก็ยิ่งเสียพระไทยนัก, จึ่งตรัสว่า, ไอ้เหล่านี้ให้ออกไปรบศึก, กลับเปนพวกประจามิตร์เปนทูตถือหนังสือเข้ามาอีกเล่า โทษมันถึงตายให้เอามันไปจำไว้ ตรัสเท่าดั่งนั้นแล้ว, ก็เสดจ์เลียบพระนคร, เหนกองทับไทยเดินค่ายประชิดเข้ามาไกล้ จึ่งบัญชาสั่งให้จุดปืนใหญ่น้อยยิงระดมออกไป, ต้องพลศึกตายเจ็บป่วยก็มาก, ทำการเข้าไปมิได้ พระยาราชมาณูพระยาสีหราชเดโช, พระยาท้ายน้ำ, พระยามหาโยธาเหนดั่งนั้น, ก็ให้ขุดมูลดินถมขึ้นบังตัวเดิน เขมรยิงออกมาไม่ถูก, แล้วเร่งให้ถมมูลดินเปนคันขึ้นสูงกว่าค่ายเมือง, เอาปืนใหญ่ขึ้นจังก้าสองวันสองคืนก็เสรจ์ ฝ่ายพระยาละแวกเหนดั่งนั้น, ก็ตั้งค่ายสอบค่ายเมืองสูงเปนค่ายบังตาข้าศึก หลังเชิงเทินนั้นสูงสามวาสี่วาให้ชักปีกกา, แล้วไว้ประตูลับแลเปนช่วงเดิน เสียงปืนใหญ่ปืนน้อยยิงตอบโต้กันมีได้ขาดทั้งกลางวันกลางคืน พลเขมรซึ่งรักษาน่าที่เชิงเทินนั้นต้องปืนเจบป่วยล้มตายเปนอันมาก สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเหนการพร้อมภอจะหักเอาเมืองได้, จึ่งให้โหรหาฤกษได้ฤกษณวันศุกร์เดือนห้าขึ้นสองค่ำ, ปีวอกฉศกเพลาสิบทุ่มห้าบาท, จึ่งตำรัศพระราชกำหนดพระยาราชมาณูขี่ช้างพลายจู่โจมทับ คุมทหารสามพันเข้าโดยถนนประตูด้านตวันตก, ให้พระยาสีหราชเดโชขี่ช้างพลายจับโจมยุทธ, คุมทหารสามพันเข้าโดยถนลประตูด้านใต้, ให้พระยาท้ายน้ำขี่ช้างพลายมารประไลย, คุมทหารสามพันเข้าโดยถนลประตูด้านตวันออก. ให้พระยามหาโยธาขี่ช้างพลายไฟพัทธ์กัลป, คุมทหารสามพันเข้าโดยถนลประตูด้านเหนือ. ช้างนั้นให้ใส่น่าร่าเกือกเหลก, ทหารหมื่นสองพันให้ใส่เกือกหนัง, เสื้อหนังหมวกหนัง ฝ่ายค่ายประชิดทั้งปวงนั้น, ให้ระดุมจุดปืนใหญ่เข้าไป กวาดตามเชิงเทินแลประตูแต่ตีสามยามไปกว่าจะถึงฤษก, อย่าให้พลเขมรยกมาช่วยกันถนัดได้, แต่ทว่าเปนเพลากลางคืนจะไม่พร้อม, ให้ค่อยดูดวงพลุ, แลฟังเสียงฆ้องกลองแตรสังขเปนสำคัญฤษก, แล้วก็ให้ยกทหารเข้าหักเอาเมืองให้ได้จงทุกด้าน. ถ้าผู้ใดมิได้จะตัดศีศะเสียบเสีย, นายทับนายกองทั้งปวงแจ้งพระราชกำหนด, กราบถวายบังคมลาแล้วก็ไปเตรียมการตามรับสั่ง. ครั้นเพลาสามยาม,เจ้าน่าที่ทั้งปวงก็ระดมปืนเข้าไปในเมือง, ต้องเขมรป่วยเจบล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ก็ทรงเครื่องสำหรับขัติยราชรณยุทธ สมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้าทรงเจ้าพระยาไชยาณุภาพเปนพระคชาธารพร้อมด้วยโยธาหารเสรจ์, เสดจ์มายืนช้างพระที่นั่งตรงประตูอูดรทิศที่ พระยามหาโยธา. ได้เพชรฤกษจึ่งให้ประโคมฆ้องกลองแตรสังข, จุดเพลิงพลุขึ้นเปนสำคัญ. พลทหารทั้งสี่ด้านเหนสำคัญ, ก็โห่ขึ้นพร้อมกัน, พระยามหาโยธา, พระยาสีหราชเดโช, พระยาท้ายน้ำ, พระยาราชมาณูขี่ช้างนำน่าทหารเข้าไปจะทำลายประตูเมือง. เขมรซึ่งอาษาน่าที่ริมประตูแลรักษาประตู ก็ยิงธนูน่าไม้ปืนใหญ่น้อยออกมาทั้งสี่ด้าน พลทหารเจบป่วยล้มตายก็มิได้ถอย. พระยามหาโยธาก็ขับเข้าไปให้แทงประตูเปนสามรถ ภอรุ่งขึ้นเปนวันเสาร์เดือนห้าขึ้นสามค่ำ, ลุศักราช ๙๔๖ ปีวอกฉศก, ประตูก็พังลง. ทหารไทยกรูเข้าเมืองได้, ไล่ฆ่าฟันเขมรล้มตายเปนอันมาก. เขมรกองขันกองกลางทั้งสองชั้น, ก็มิได้รบ, ทิ้งเครื่องสาตราวุธเสีย, หนีกระจัดกระจายออกจากเมืองบ้าง, ไปหาครอบครัวบ้าง. พระราชบุตรนั้นก็หนีไปด้วย. จับได้พระยาละแวกกับพระศรีสุพรรมาธิราช, แลญาติประยุรวงษสนมกรมใน, ท้าวพระยาพระเขมร, ครอบครัวพลเมืองเปนอันมาก. พลทหารก็คุมพระยาลแวกพันทนามาถวาย ๚ะ

๏ สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวแย้มพระโอฐ, แล้วมีพระราชโองการตรัสถามพระยาละแวกว่า, ท่านเปนกระษัตริย์ขัติยราชดำรงแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดี, มีกุรุราชเปนแว่นแคว้นขันทเสมา ฝ่ายกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา, ก็มีประจันตชนบทเปนแว่นแคว้น. แลสองพระนครนี้ก็เปนราชธานีใหญ่, ถ้าจะใคร่ได้สมบัติในพระนครศรีอยุทธยาแผ่เสมามณฑลให้กว้างขวาง, เหตุไฉนจึ่งมิยกเปนพยุหโยธาไปกระทำสงครามให้ต้องตามทำนองขัติยราชรณยุทธ์, อันเปนที่บันเทิงราชหฤไทยกษัตราธิราชแต่ก่อน, จึ่งคอยแต่ว่าศึกกรุงหงษาวดีมาติดพระนครศรีอยุทธยาครั้งใด, ก็มีแต่ยกพลไปพลอยซ้ำเติมตีเอาเมืองชนบทประเทศ กวาดครัวอพยบมาเมืองทุกครั้ง. ทำศึกดุจกาอันมาลักลอบฟองสกุณปักษาฉะนั้น. ควรด้วยราชประเวณีแล้วฤๅประการใด. ครั้งนี้ท่านถึงซึ่งปราไชยแก่เราแล้ว, จะคิดอันใดเล่า. ให้ว่าไปตามสัจตามจริง, จะได้เปนเหยี่ยงอย่างกระษัตริย์ไปภายน่า. ๚ะ

๏ พระยาลแวกกราททวายบังคมแล้วทูลว่า, ซึ่งข้าพระองค์เปนคนโลบเจตนามิได้กระทำสงครามตามราชประเพณีกระษัตริย์, ไปลักลอบกระทำเสี้ยนหนามแก่พระนครศรีอยุทธยานั้น, โทษผิดถึงตาย. ถ้าพระองค์พระราชทานชีวิตรไว้, กรุงกัมพูชาธิบดีจะได้เปนข้าขันทเสมากรุงเทพมหานคร, ถ้ามิเลี้ยงแล้วก็จะก้มหน้าตาย. ๚ะ

๏ สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังคำพระยาลแวกดั่งนั้น, จึ่งตรัสว่า, เราได้ออกวาจาไว้แล้วว่า, ถ้ามีไชยแก่ท่าน, เราจะทำพิธีประถมกรรมเอาโลหิตท่านล้างบาทาเสียให้จงได้. ท่านอย่าอาไลยแก่ชีวิตร์เลย. จงตั้งหน้าหาชอบในประโลกย์นั้นเถิด. บุตรกรรยาญาติประยุรวงคท่านนั้น, เราจะเลี้ยงไว้ให้มีความศุกดุจแต่ก่อน. ๚ะ

๏ ตรัสดั่งนั้นแล้ว,ก็มีพระราชบริหารแก่มุขมนตรี, ให้ตั้งการพิธีประถมกรรมโดยสาตร. พระโหราธิบดีชีพ่อพราหมณ์, ก็จัดแจงการนั้นเสร็จ. จึ่งเชิญเสดจสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเสดจ์ขึ้นบนเกย. เจ้าพนักงานองครักษเอาตัวพระยาลแวกเข้าใต้เกย, ตัดศีศะเอาถาดทองรองโลหิตขึ้นไปชำระพระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว. พระโหราธิบดีก็ลั่นฆ้องไชย, ชีพ่อพราหมณ์เป่าสังขประโคมดุริยดนตรี, ถวายมุรธาพิเศกทรงอาเสียรภาศโดยสาตรพิธีเสร็จ์เสดจ์เข้าพลับพลา. ๚ะ

๏ รุ่งขึ้นสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, ทรงเครื่องสำรับราชรณรงค์ยุทธ์เสร็จ. สมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้า, ทรงม้าพระที่นั่งราชพาหนะ, สูงสามศอกคืบสองนิ้ว. สมเดจ์เอกาทศรฐทรงม้าพระที่นั่งพะลาหก, สูงสามศอกคืบ.พร้อมแสนเสนางคนิกรโยธาหาร, แห่โดยกระบวนซ้ายขวาหน้าหลัง, เสวตรฉัตรบังพระสุริยชุมสายพัดโบกพัชนี, มีฆ้องกลองแตรสังขประโคมนฤนาท, พระบาทเสดจ์ราชตำเนินเข้าไปเลียบพระนคร. ครั้นเพลาชายแล้วสองนาฬิกา, เสดจ์กลับยังค่ายหลวง, มีพระราชโองการสั่งเสนาบดีมุขมนตรีทั้งปวงว่า, บุตรภรรยาญาติวงษพระยาลแวง, แลสมัภพักพวกครัวอพยพ, ซึ่งจับไว้ได้มากน้อยเท่าใด, ให้มารวมไว้. ให้นายทับนายกองๆหลังคุมไว้ก่อน, เจ็ดวันกองทับหลวงจะเลิกไป. ท้าวพระยาทั้งหลายรับพระราชโองการแล้ว, ก็ตรวจตราจัดครอบครัวพระยาลแวก, แลไพร่พลในเมืองซึ่งได้ไว้นั้น, เปนคนอพยพสามหมื่นเศศ. แล้วแต่งกองหลังให้คุมไปโดยพระราชบัญชา. ครั้นกองทับซึ่งคุมไปได้เจ็ดวันแล้ว ๚ะ

๏ ครั้นถึง ณวันอังคารเดือนห้าแรมห้าค่ำ, เพลาสิบเบ็ดทุ่มห้าบาท,สมเดจ์พระบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทรงเครื่องอลังการสรรพาภรณ์บวรวิภูสิตสรับเสร๊จ. สมเดจ์พระนเรศวรบรมบพิตรเปนเจ้า, ทรงพังเทพลิลาผูกพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์. สมเดจ์เอกาทศรฐทรงพังเทพลิลาศ, ผูกพระที่นั่งหลังคาอลงกฎด้วยเครื่องอภิรุมชุมสายพรายพรรณ์, บังรวิวรณบังแซรกสลอนสรับสรับด้วยโยธาทวยหาร, แห่รวดริ้วระยะกันกงพร้อมเสนางค์พยุหอุดมดูมหิมาดาดาษ. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสด็จจากกรุงศรียโสธรนครอินท์รปัตกุรุรัตนราชธาณี. ๚ะ

๏ ฝ่ายทับพระยานครราชสีมา ก็เลิกทับกลับไปนครเสียมราบ. แต่ทับเรือนั้นรั้งอยู่สองวันจึ่งล่องไปตามชลมารค, ออกปากน้ำเมืองพุทไธมาศสิ้น. พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์, เสดจ์รอนแรมมาโดยมารรควิถีสิ้นแดนกัมพูชาประเทศ. ทับรายทางมั้นก็เลิกโดยเสดจ์มาเปนกระบวนทั้งสิ้น. สิบสามวันทับหลวงก็เสดจ์ถึงกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยา. แลบุตรภรรยาญาติประยุรวงษพระยาลแวก, แลครัวพระยาพระเขมรมีชื่อนั้น, ก็ทรงพระกรุณาให้จัดแจงตั้งบ้านเรือน, แล้วพระราชทานเครื่องอัญมนีทั้งปวงให้โดยควร. ครั้นนายทับนายกองทับบกทับเรือถึงพระนครพร้อมเสด็จ. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ก็ทรงพระราชทานบำเหน็จรางวัลโดยสมควรแก่ความซอบ. แต่พระยาราชมาณูนั้น, ให้เปนที่เจ้าพระยาอรรคมหาเสนาธิบดีสมุหพระกลาโหม. พระราชทานพานทอง, เต้าน้ำทอง, เจียดทองซ้ายขวา, กระบี่,ฝักทอง, เครื่องอุประโภคบริโภคเปนอันมากโดยถานาศักดิ์ ๚ะ

๏ ครั้นวันอังคารเดือนห้าขึ้นสองค่ำ, ลุศักราช ๙๔๘ ปีจออัฐศก, กรมการเมืองกุยบุรีบอกเข้ามาว่า, พระยาศรีไสณรงค์, ซึ่งให้ไปรั้งเมืองตนาวศรีเปนกระบถ โกษาธิบดีกราบบังคมทูล, พระบาทสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณายังแคลงอยู่, จึ่งโปรดให้มีตราออกไปหาตัว, พระยาตนาวศรีก็มิมา. สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ, จึ่งให้สมเดจ์พระอนุชาธิราชเจ้า, เสด็จพระราชดำเนินยกทับออกไป. แลทับสมเดจ์พระอนุชาเสดจ์ออกไปครั้งนั้นพลสามหมื่น, ช้างเครื่องสามร้อย, ม้าห้าร้อย. ทับปากใต้นั้นเมืองไชยา, เมืองชุมภร, เมืองคลองวาน, เมืองกุย, เมืองปราน, เมืองเพชรบุรี, หกเมืองเปนคนหมื่นห้าพัน, ประชุมทับตำบลบางตะพานเดินทับทางสิงขอ. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาตนาวศรีรู้ว่าสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว, เสดจ์พระราชดำเนินยกออกมา, ก็เกรงพระเดชเดชานุภาพเปนอันมาก. จะหนีก็เหนจะไม่พ้น, จะแต่งทับออกรับก็เหนเหลือกำลัง, จนความคิดอยู่แล้วก็นิ่งรักษามั่นไว้. ๚ะ

๏ ฝ่ายสมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเสดจ์ถึงเมืองตนาวศรี, สั่งให้ตั้งค่ายล้อมไว้โดยรอบ. แต่ทับหลวงนั้นตั้งใกล้เมืองห้าสิบเส้น. จึ่งทรงแต่งหนังสือรับสั่งเข้าไปว่า, พระยาตนาวศรีเปนข้าหลวงเดิมสัจซื่อมั่นคง, ได้ทำราชการโดยเสดจ์งานพระราชสงคราม, ความชอบหลังมามากมายนัก. จึ่งทรงพระมหากรุณาให้มากินเมืองตนาวศรีนี้. ยังหาเสมอความชอบไม่อีก. ด้วยจำเปนด้วยเหตุว่า, เมืองตนาวศรีนี้เปนเมืองน่าศึก, ครั้นจะแต่งให้ผู้อื่นมาอยู่มิวางพระไทย. จึ่งให้พระยาศรีไสณรงค์ออกมาอยู่ต่างพระเนตรพระกรรณ เนื้อความข้อนี้ก๊ย่อมรู้อยู่แก่ใจ, แลมีข่าวไปว่า, พระยาตนาวศรีคิดการเปนกระบถ, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก๊ยังไม่เชื่อ, จึ่งมีตราออกมาให้หา, ก๊มิเข้าไปเฝ้า, เนื้อความจึ่งมากขึ้น, ตรัสให้เราออกมา, ก๊มีความเมตาหนักอยู่. พระยาตนาวศรีผิดแต่ครั้งเดียวดอก, ให้ออกมาหาเราเถิดจะกราบทูลฃอโทษไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าจะมาก๊ให้มาในวันนี้ ถ้ามิมาเหนว่าจะรับทับเราได้, ก๊ให้แต่งป้องกันไว้ให้มั่นคง. ๚ะ

๏ พระยาตนาวศรีแจ้งในหนังสือดั่งนั้น, จึ่งคิดว่าเราได้ทำการล่วงเกินผิดถึงเพียงนี้แล้ว, แลซึ่งมีหนังสือรับสั่งมาดั่งนี้เปนราชอุบายศึก ออกไปก๊คงจะตายผิดชอบก๊จะอยู่สู้ไป, ถึงตายก็ให้ปรากฎชื่อไว้ภายน่า พระยาตนาวศรีก็มิได้ออกมา, เพลารุ่งแล้วนาฬิกาหนึ่ง, สมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจ์ทรงเครื่องอลังการประดับสำหรับพิไชยยุทธ์เสรจ, เสดจ์ทรงเจ้าพระยาปราบไตรยจักรเปนพระคชาธาร, พร้อมด้วยท้าวพระยาพลทวยหารเปนขนัดแน่นไสวโล่โตมรมาศดูพันฦก, ทั้งทวนทองธงทิวเปนท่องแถวไสวอำไพด้วยมยุรเสวตรฉัตร, กลิ้งกลดบดบังทินกรบวรบังแซกแซงชุมสายพรายพรรณดาษดา, ศรับทโกลาหฬกึกก้องกลองชนะแตรสังขสนั่นนิฤนารท.พระบาทสมเดจ์เอกาทศรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว, เสดจ์กรีธาทับพลเลียบทอดพระเนตรดูท่วงที, ซึ่งจะให้พลทหารเข้าปีนเมือง ๚ะ

๏ ฝ่ายพระยาตนาวศรีออกมายืนถือหอกกั้นสัปประทนอยู่บนเชิงเทิน แลเหนพลสมเดจ์พระอนุชาธิราชเจ้าดุจสายน้ำอันไหลหลั่งถั่งมาเมื่อวสันตะระดู แล้วได้ยินเสียงปี่กลองแตรสังข์ก๊ตกใจตลึงไป, หอกพลัดตกจากมือมิได้รู้ตัว บ่าวไพร่ทั้งปวงเหนดั่งนั้นก๊เสียใจ พูดกันเล่าต่อๆไปว่า นายเราเหนจะป้องกันเมืองไว้มิได้ พลทหารทั้งปวงก๊ยิ่งครั่นคร้ามพระเดชเดชานุภาพเปนอันมาก สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวเสดจเลียบดูรอบเมืองตนาวศรี เหนน่าที่ข้างอุดรทิศจะเข้าได้ เสดจกลับมายังค่ายหลวง จึ่งมีพระราชกำหนดให้นายทับนายกองทำบันไดร้อยอันปลายบันไดนั้นให้ผูกพลุเพลิงเพนียงจงครบ เพลาตีสิบเบ็ดทุ่มถ้าได้ยินเสียงปืนใหญ่สามนัดเปนสำคัญแล้ว, ให้เอาบันไดพาดจุดพลุเพนียงปีนเอาเมืองให้จงได้. ท้าวพายามุขมนตรีนายทับนายกองรับพระราชบัญชาแล้ว, ก็จะมาจัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมสรรพ,กับพลทหารอาษาพันหนึ่ง, ซึ่งจะเข้ามาปีนเมืองพร้อมเสร็จ. ครั้นเพลาสามยามสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว,เสดจ์ขึ้นเกยคอยฤกษ, เดชะบารมีสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว, ถ้าจะมีไชยแก่ฆ่าศึกครั้งใด, ก็ให้ศุภนิมิตรประจักษ์ทุกครั้ง. ภอเพลาล่วงสามยามเจ็ดบาท, พระษาริริกบรมธาตุใหญ่เท่าผลส้มเกลี้ยง, เสดจ์ผ่านด้านเมืองตนาวศรีมาแต่อุดรทิศไปเฉียงอาคเน, พระรัศมีสว่างไปทั้งอากาษแลปัถพีดล. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเหนดั่งนั้นก็มีพระปิติโสมนัศ,ถวายทัศนัขสโมธานเหนือศิโรตมด้วยปัญจางค์ประดิษฐ. แล้วสั่งประโรหิตาจาริยทั้งหลายให้ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรีปี่พาทย์ฆ้องไชยในทันที. ให้ฝรั่งแม่นปืนจุดจ่ารงค์คร่ำท้ายที่นั่งสามบอกไล่กันเปนสำคัญ. ฝ่ายนายทับนายกองได้ยินเสียงปืนใหญ่เปนสำคัญ, ก็ให้ทหารเอาบันไดพาดกำแพงเมือง, จุดพลุเพนียงเปนโกลาหล. เจ้าน่าที่เหนดั่งนั้นก็ตกใจ, จะออกยืนรบพุ่งก็ทนเพลิงมิได้ก๊ทิ้งน่าที่เสีย. ฝ่ายทหารข้าหลวงเข้าเมืองได้, ภอเพลารุ่งขึ้นก็คุมเอาตัวพระยาตนาวศรีพันทนาเข้ามาถวายยังค่ายหลวง. สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวให้ลงพระราชอาชาเฆี่ยนยกหนึ่งสามสิบที.แล้วบอกข้อราชการเข้ามายังกรุงเทพพระมหานครศรีอยุทธยา. ๚ะ

๏ สมเดจ์พระนเรศวรบรมบพิตรเปนเจ้า, ตรัสได้แจ้งว่า, สมเดจ์พระอนุชาธิราชเจ้าได้เมืองตนาวศรีแล้ว, จับได้พระยาศีไสณรงค์ดั่งนั้น, ก็มีพระไทยปรีดา, จึ่งทรงพระมหากรุณา,ให้มีตราตอบออกไปว่า, อย่าให้เข้ามาณกรุงเลย, ให้ทเวนแล้วตัดศีศะเสียบผจานไว้ณเมืองตนาวศรี, อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง. แลให้พระยาราชฤทธานนทเปนเจ้าพระยาตนาวศรี ๚ะ

๏ สมเดจ์พระอนุชาธิราชเจ้า, ก็กระทำตามพระราชบัญชาสมเดจ์พระเชษฐาธิราชทุกประการ. ครั้นจัดแจงเมืองตนาวศรีราบคาบเปนปกติดีแล้ว, สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็เสดจ์พระราชดำเนินกลับ มายังกรุงเทพพระมหานคร, เฝ้าสมเดจ์พระบรมเชษฐาธิราชเจ้ากราบทูลเสร็จสิ้นทุกประการ. สมเดจ์พระนเรศวรเปนเจ้าบรมบพิตร, มีพระไทยโสมนัศตรัสชมกฤษฎาธิการสมเดจ์พระอนุชาธิราชเจ้าเปนอันมาก. ๚ะ

๏ สิ้นเล่ม ๑๐ สมุดไทยแต่เท่านี้. ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ