๒๔
๏ ลุศักราช ๑๐๖๖ ปีวอก ฉอศก ขณะนั้นสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน เสดจด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย จะไปประภาศทรงเบ็ดณปากน้ำเมืองสาครบุรี ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขาม แลคลองที่นั่นคดเคี้ยวนัก แลพันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่ง คัดแก้ไขมิทันที และศีศะเรือพระที่นั่งนั้นโขนกระทบกิ่งไม้อันใหญ่เข้า ก็หักตกลงในน้ำ พันท้ายนรสิงห์เหนดังนั้นก็ตกใจ จึ่งโดดขึ้นเสียจากเรือพระที่นั่ง แลขึ้นอยู่บลฝั่ง แล้วร้องกราบทูลพระกรุณาว่า ขอเดชฝ่าลอองธุลีพระบาทปกเกล้า พระราชอาญาเปนล้นเกล้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดให้ทำศาลขึ้นที่นี้สูงประมาณเพียงตา แล้วจงตัดเอาศีศะข้าพระพุทธเจ้า กับศีศะเรือพระที่นั่งซึ่งหักตกน้ำลงไปนั้น ขึ้นบวงสวงไว้ด้วยกันที่นี้ ตามพระราชกำหนดในบทพระอัยการเถิด จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่า อ้ายพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งโทษเองถึงตายนั้นก็ชอบอยู่แล้ว แต่ทว่าบัดนี้กูจะยกโทษเสีย ไม่เอาโทษเองแล้ว เองจงคืนมาลงเรือไปด้วยกูเถิด ซึ่งศีศะเรือที่หักนั้น กูจะทำต่อเอาใหม่แล้ว เองอย่าวิตกเลย พันท้ายนรสิงห์จึ่งกราบทูลว่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรด มิได้เอาโทษข้าพระพุทธเจ้านั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าจะเสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมายไป แลซึ่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัวจะมาละพระราชกำหนดสำหรับแผ่นดินเสียดังนี้ ดูมิบังควรยิ่งนัก นานไปภายน่าเหนว่าคนทั้งปวงจะล่วงคระหาติเตียนดูหมิ่นได้ แลพระเจ้าอยู่หัวอย่าทรงพระอาไลยแก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้ถึงแก่มรณโทษนี้เลย จงทรงพระอาไลยถึงพระราชประเพณี อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมไปนั้นดีกว่า อันพระราชกำหนดมีมาแต่โบราณนั้นว่า ถ้าแลพันท้ายผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่ง ให้ศีศะเรือพระที่นั่งนั้นหัก ท่านว่าพันท้ายผู้นั้นถึงมรณโทษให้ตัดศีศะเสีย แลพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระกรุณาโปรดให้ตัดศีศะข้าพระพุทธเจ้าเสีย ตามโบราณราชกำหนดนั้นเถิด จึ่งมีพระราชดำรัศสั่งให้ฝีภายทั้งปวง ปั้นมูลดินเปนรูปพันท้ายนรสิงห์ขึ้นแล้ว ก็ให้ตัดศีศะรูปดินนั้นเสีย แล้วดำรัศว่า อ้ายพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งโทษเองถึงตายแล้วนั้น กูจะประหารชีวิตรเองเสียภอเปนเหตุแทนตัวเองแล้ว เองอย่าตายเลย จงกลับมาลงเรือไปด้วยกันกับกูเถิด พันท้ายนรสิงห์เหนดังนั้น ก็มีความละอายนัก ด้วยกลัวว่าจะเสียพระราชกำหนดโดยขนบธรรมเนียมโบราณไป เกรงคนทั้งปวงจะคระหาติเตียนดูหมิ่นในสมเดจพระเจ้าอยู่หัวแห่งตนได้ สู้เสียสละชีวิตรของตนมิได้อาไลย จึ่งกราบทูลว่า ขอพระราชทานซึ่งทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้าครั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทว่าซึ่งตัดศีศะรูปดินแทนตัวข้าพระพุทธเจ้าดังนี้ ดูเปนทำเล่นไป คนทั้งหลายจะล่วงคระหาติเตียนได้ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรด ตัดศีศะข้าพระพุทธเจ้าโดยฉันจริงเถิด อย่าให้เสียขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดไปเลย ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลฝากบุตรภรรยา แล้วก็จะกราบถวายบังคมลาตายไปโดยลักขณยถาโทษอันกราบทูลไว้นั้น ๚ะ
๏ สมเดจพระเจ้าแผ่นดินตรัสได้ทรงฟังดังนั้น ก็ดำรัศวิงวอนไปเปนหลายครั้ง พันท้ายนรสิงห์ก็มิยอมอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหาการุญภาพแก่พันท้ายนรสิงห์เปนอันมาก จนกลั้นน้ำพระเนตรนั้นไว้มิได้ จำเปนจำทำตามพระราชกำหนด จึ่งดำรัศสั่งนายเพชฌฆาฎให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์เสีย แล้วให้ทำศาลขึ้นสูงประมาณเพียงตา แลให้เอาศีศะพันท้ายนรสิงห์กับศีศะเรือพระที่นั่งซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลนั้น แล้วให้ออกเรือพระที่นั่งไปประภาษทรงเบ็ด ณปากน้ำเมืองสาครบุรี แล้วเสดจกลับยังพระมหานคร แล้วสาลเทพารักที่ตำบลโคกขามนั้น ก็มีปรากฏมาตราบเท่าทุกวันนี้ ๚ะ
๏ จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระราชดำริห์ว่า ณะคลองโคกขามนั้นคดเคี้ยวนัก คนทั้งปวงจะเดิรเรือเข้าออกก็ยาก ต้องอ้อมวงไปไกลกันดารนัก ควรเราจะให้ขุดลัดตัดเสียให้ตรงจึ่งจะชอบ อนึ่งพันท้ายนรสิงห์ซึ่งตายเสียนั้น เปนคนสัจซื่อมั่นคงนัก สู้เสียสละชีวิตรมิได้อาไลย กลัวว่าเราจะเสียพระราชประเพณีไป เรามีความเสียดายนัก ด้วยเปนข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อน อันจะหาผู้ซึ่งรักใคร่ซื่อตรงต่อเจ้าเหมือนพันท้ายนรสิงห์นี้ยากนัก แล้วดำรัศให้เอากะเฬวระพันท้ายนรสิงห์นั้น มาแต่งการฌาปณกิจพระราชทานเพลิง แลบุตรภรรยานั้นพระราชทานเงินทองสิ่งของเปนอันมาก แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งสมุหนายกให้กะเกนเลขหัวเมืองให้ได้สามหมื่นไปขุดคลองโคกขาม แลให้ขุดลัดตัดให้ตรงตลอดไป โดยฦกหกศอก ปากคลองกว้างแปดวา พื้นคลองกว้างห้าวา แลให้พระราชสงครามเปนแม่กอง คุมพลหัวเมืองทั้งปวง ขุดคลองจงแล้วสำเร็จดุจพระราชกำหนด แล้วมีพระราชดำรัศแก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายว่า แต่ครั้งศักราช ๘๖๐ ปีมเมียสำฤทธิศก ครั้งแผ่นดินสมเดจพระรามาธิบดีนั้นได้ขุดคลองสำโรงตำบลหนึ่ง ๚ะ
๏ ครั้นล่วงมาลุศักราช ๘๘๔ ปีมโรงจัตวาศก ครั้งแผ่นดินสมเดจพระไชยราชาธิราชเจ้านั้น ก็ได้ขุดคลองบางกอกใหญ่ตำบลหนึ่ง ๚ะ
๏ ครั้นล่วงมาลุศักราช ๙๐๐ ปีจอสมฤทธิศก ครั้งแผ่นดินสมเดจพระมหาจักรพรรดิพระเจ้าช้างเผือกนั้น ก็ได้ขุดคลองบางกรวยริมวัดชลอถลุะไปออก ริมวัดมูลเหล็กนั้นตำบลหนึ่ง ๚ะ
๏ ครั้นล่วงมาลุศักราช ๙๗๐ ปีวอกสมฤทธิศก ครั้งแผ่นดินสมเดจพระเจ้าทรงธรรมนั้น ก็ให้ขุดคลองลัดริมวัดไก่เตี้ย ณะท้ายบ้านสามโคกนั้นตำบลหนึ่ง ๚ะ
๏ ครั้นล่วงมาลุศักราช ๙๙๘ ปีชวดอัฐศก ครั้งแผ่นดินสมเดจพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองนั้น ก็ได้ขุดคลองเมื่องนนท์บุรีตำบลหนึ่ง ตัดมาออกตลาดแก้วนั้น ๚ะ
๏ แลครั้งนี้เราจะขุดคลองโคกขามให้เปนเกียรติยศไว้กราบเท่ากัลปาวสาน จึ่งเจ้าพระยาจักรีก็เกนเอาเลกหัวเมืองนนท์บูรี เมืองธนบูรี เมืองนครไชยศรี เมืองสาครบูรี เมืองสมุทสงคราม เมืองเพชรบูรี เมืองราชบูรี เมืองสมุทปราการ ได้พลหัวเมืองทั้งปวงนั้นสามหมื่นเศศ มอบให้พระราชสงครามผู้เปนนายกอง แลพระราชสงครามก็กราบถวายบังคมลา ถือพลหัวเมืองทั้งปวงไปทำการขุดคลองโคกขาม แลที่ซึ่งจะขุดไปถลุะออกแม่น้ำเมืองสาครบูรีนั้น ให้รังวัดได้ทางไกล ๓๔๐ เส้น แลให้ฝรั่งส่องกล้องตัดทางให้ตรงแล้ว จึ่งให้ปักกรุยแบ่งปันน่าที่กันขุดตามหมวดตามกอง แลปันน่าที่ให้ขุดคนหนึ่งโดยยาวคืบหนึ่ง กว้างฦกนั้นโดยขนาดคลอง ๚ะ
๏ แลการขุดคลองนั้นได้จับทำในศักราช ๑๐๖๗ ปีรกาสัปตศก แลการนั้นยังไปมิได้สำเหร็จก่อน ครั้นถึงมาฆมาศสุกปักษ์ดิถี จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชดำรัศสั่งสมุหนายก ให้ตรวจเตรียมพลพยุหบาตราโดยขบวนชลมารค สถลมารคทั้งปวงให้พร้อมเสร็จ จะเสดจพระราชดำเนินขึ้นไปนมัศการพระพุทธบาท โดยพระราชประเพณีมาแต่ก่อน ครั้นถึงศุภวารมหาพิไชยฤกษ จึ่งสมเดจพระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเครื่องศิริราชวิภูษนาลังกาภรณ์บวรรัตนมาลีมณีมาศมกุฏิสอดทรงวิสุทธิสังวาลกาญจนอลงกฎรจนา ทรงวิไชยมหาราชาวุธสำหรับราชรณยุทธสรับเสรจ ก็เสดจทรงเรือพระที่นั่งไกรษรมุขพิมาน อลังการด้วยเสวตรมยุรฉัตร ขนัดพระอภิรุมชุมสายพรายพรันบังรวีวรรบังแซกสลอนสลับ สรรพด้วยกันชิงกลิ้งกลดจ่ามรมาศดาษดา ดูมโหฬาราดิเรกพันฦกอธึกด้วยกบี่ธุชทวนเทียวธวัชเปนทิวแถวดูแพรวพราย ปลายระยาบระยับจับพื้นทิฆัมภรวโรภาษ เดียรดาษด้วยเรือพระที่นั่ง เรือท้าวพระยาสามนตราชกระกูลขุนหลวงต้นเชือกปรายเชือกทั้งหลายรายเรียง จับฉลากเปนคู่ๆ ดูเปนขนัดโดยขบวนพยุหบาตราน่าหลังคับคั่ง เนืองนองกึกก้องกาหลด้วยสรรปทสำเนียงเสียงพลอุโฆษ แตรสังข์ดูริยางคดนตรีปี่กลองชะนะประโคมครื้นเพียงพื้นพสุธารนฤนาท ให้ขยายพยุหบาตราคลาเคลื่อนเลื่อนไปโดยชลมารค แล้วอยุดประทับร้อนณะพระราชนิเวศพระนครหลวง เสวยพระกระยาหารสำราญพระอารมณ์ เสด็จเข้าที่พระบันทมในที่นั้น ครั้นซายแล้วสามนาฬิกา จึ่งให้ออกเรือพระที่นั่งไปโดยลำดับ กราบเท่าถึงที่ประทับพระตำหนักท่าเจ้าสนุกนิ์ แล้วเสดจทรงพระที่นั่งพังสกลเกษร พระที่นั่งรองพังบวรประทุมชุมนุมราชพิริยโยธาพลากรพฤนธรพร้อมพรั่ง ตั้งตามขบวนพยุหบาตราสถลมารคสรัพเสรจ ก็เสดจยกพยุหแสนยากรทวยหารไปโดยลำดับสถลมารควิถี ถึงเขาสุวรรณบรรพต จึ่งอยุดพระคชาธารทรงรำพระแสงขอเหนือกระพองช้างต้นสิ้นวารสามนัด บูชาพระพุทธบาทตามอย่างพระราชประเพณีเสรจ แล้วก็บ่ายพระคชาธารไปเข้าที่ประทับ ณะพระราชนิเวศธารเกษม แล้วเสดจมานมัศการพระพุทธบาททุกเพลาเช้าเอย็น ให้เล่นการมหรสพถวายพุทธสมโพชคำรพสามวัน ครั้นค่ำให้จุดดอกไม่เพลิงต่าง ๆ รทาใหญ่แปดรทาบูชาพระพุทธบาทเปนมโหฬารยิ่งนัก แล้วทรงพระกรุณาให้ถอยเรือพระที่นั่ง แลเรือแห่ทั้งปวงกลับลงไปณะกรุง ๚ะ
๏ แล้วถวายนมัศการลายกพยุหโยธาคชานิกรทวยหาร ผ่านไปโดยทิศตวันออกข้ามแม่น้ำแควป่าสักไปณะเขาปถวี เสดจขึ้นถวายนมัศการพระพุทธฉายา แล้วประทับอยู่ที่นั้นสามเวน จึ่งเสดจยกพลนิกายบ่ายหน้าไปโดยบูรพทิศ แลเสดจประภาษไปถึงตำบลเขาพนมโยง จึ่งเสดจขึ้นนมัศการพระเจดีย์ถานบนยอดเขานั้น แลเสดจประทับอยู่ที่นั่นอิกสามเวน จึ่งเสดจยกพลแสนยากรรอนแรมประภาษไปในวนาประเทศทั้งปวงสิ้นสองสามเวน มีพระราชหฤไทยปราถนาจะไปประภาศเที่ยวล้อมช้างเถื่อนในป่า ก็ภอทรงพระประชวนลง จึ่งเสดจยกพยุหโยธาทับกลับเข้าพระนคร แลพระโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบมากขึ้น ทรงพระประชวรหนักลง แลบันดาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ก็เข้าไปในพระราชวังสิ้น ๚ะ
๏ ฝ่ายพระราชสงครามแลนายหมวดนายกองเจ้าน่าที่ทั้งหลาย ซึ่งคุมพลทำการขุดคลองนั้น แลขุดได้ครึ่งหนึ่งยังมิได้สำเสร็จ ครั้นแจ้งไปว่าทรงพระประชวรหนัก ก็เลิกการนั้นเสีย ชวนกันกลับเข้ามาพระนคร แลการนั้นยังค้างอยู่ ส่วนสมเดจพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระประชวรอยู่ ณะพระที่นั่งสุริยามรินทร์ พระโรคนั้นหนักเปนอาสันทิวงคตอยู่แล้ว จึ่งทรงพระกรุณาโปรดมอบเวนราชสมบัติ ให้แก่สมเดจ์พระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็เสดจสวรรคตในเดือน ๖ ปีจออัฐศกนั้น ๚ะ
๏ พระบาทบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว พระชันษากำเนิดขานศก ศักราช ๑๐๒๔ ปี แรกเสดจขึ้นราชาภิเศกเสวยราชสมบัตินั้น พระชนม์ได้๓๖ พรรษา เสดจดำรงราชอาณาจักรอยู่ได้ ๙ ปีเศศ ขณะสวรรคตณพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในเดือน ๖ ปีจออัฐศก ศักราช ๑๐๖๘ นั้น ศิริพระชนม์ได้ ๔๕ พรรษา ๚ะ
----------------------------
๏ แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ๚ะ
๏ ในศักราช ๑๐๖๘ นั้น จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์แลพระราชวงษานุวงษทั้งหลาย ก็กระทำชำระพระสริระกิจโสรจสรง ด้วยน้ำสุคนธมาลาอันหอมขจรตระหลบองค์ แล้วทรงเครื่องราชาภรณ์พร้อมเสรจ ก็อัญเชิญพระบรมสพใส่ในพระโกษฐกาญจนอลงกฎ รจนาด้วยมหาเนาวรัตนเรืองอร่าม ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งสุริยามรินทร์ แล้วสมเดจพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกณท้องพระโรง พร้อมด้วยพระราชวงษานุวงษเสนาพฤฒามาตย์ ข้าบาทมุลิกากรทั้งหลายกราบถวายบังคม แลรับพระราชโองการแต่พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว แล้วจึ่งมีพระราชดำรัศให้ข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลายมีพระราชวงษานุวงษแลเสนาบดีเปนประธาน ถือน้ำพระพิพัฒสัตยาถวายษาบาลตามโบราณราชประเพณีเสรจสิ้นทุกประการ แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งพระมหาราชครู พระครูปริโสดมพรหมพฤฒาจาริย์ ให้จัดแจงการพระราชพิธีราชาภิเศกเฉลิมพระราชมณเฑียร ครั้นถึงศุภวารดิถีศรีสวัสดิพิภัทธมงคลมหานักขัตฤกษ์ จึ่งท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขมาตยาข้าบาทมุลิกากรบวรราชวงษานุวงษ แลสมณพราหมณาจาริย์ทั้งหลาย ประชุมพร้อมกัน ณพระที่นั่งสรรเพชปราสาท กระทำการพระราชพิธีราชาพิเศก อัญเชิญพระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสดจขึ้นผ่านพิภพเสวยมไหสวรรยาธิปัตถวัลย์ราชประเพณี สืบศรีสุริยวงษดำรงราชมณฑลสกลสิมาอาณาจักร ณกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา แล้วถวายเครื่องเบญจราชกุกกุภัณฑ์แลเครื่องราชูประโภค สำหรับพระมหากระษัตราธิราชเจ้าทุกประการ จึ่งสมเดจพระเจ้าแผ่นดินก็เสดจพระราชดำเนิรเข้าพระราชวัง แลเสดจไปอยู่ณพระที่นั่งบรรยงค์รัตนาศน์ข้างท้ายสระ ๚ะ
๏ แลขณะเมื่อพระองค์เสดจเสวยราชสมบัตินั้น พระชนม์ได้ ๒๘ พรรษา จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้สมเดจพระอนุชาธิราช ประดิษฐาณที่กรมพระราชวังบวรสฐานมงคล แลบันดาข้าหลวงเดิมทั้งหลายที่มีความชอบนั้น ก็พระราชทานยศศักดิ์ให้โดยสมควรแก่ถานานุรูปถ้วนทุกคน ๚ะ
๏ ครั้งนั้นสมเดจพระเจ้าแผ่นดิน ทรงประพฤติเหตุในอโนตัปธรรม แลเสดจเที่ยวประภาษทรงเบ็ดเหมือนสมเดจพระราชบิดา แล้วพระองค์ภอพระไทยเสวยปลาตะเพียน ครั้งนั้นตั้งพระราชกำหนดห้าม มิให้คนทั้งปวงรับพระราชทานปลาตะเพียนเปนอันขาด ถ้าผู้ใดเอาปลาตะเพียนมาบริโภค ก็ให้มีสินไหมแก่ผู้นั้น เปนเงินตราห้าตำลึง ๚ะ
๏ ขณะนั้นพระองค์เจ้าดำกอปรด้วยทิฐิมานะกระทำการหยาบช้ากระด้างกระเดื่อง ละลาบละเล้าเข้าไปในพระราชฐานตำแหน่งที่ห้ามเปนหลายครั้งมิได้เกรงกลัวพระราชอาญา จึ่งสมเดจพระเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชตำรัศปฤกษาด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวร ตรัสเหนว่าโทษพระองค์เจ้าดำนั้นผิดเปนมหันตโทษ จึ่งให้จับพระองค์เจ้าดำพันท์นาไว้ แล้วให้เอาไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ เอาพระสพไปฝังเสียณะวัดโคกพระยา ๚ะ
๏ แลพระองค์เจ้าแก้ว ซึ่งเปนบาทบริจาพระองค์เจ้าดำนั้นเปนหม้ายอยู่ จึ่งเสดจไปทรงผนวชเปนพระรูป อยู่ณะตำหนักวัดดุสิต กับด้วยสมเด็จพระอัยกีกรมพระเทพามาตนั้น ๚ะ
๏ ลุศักราช ๑๐๖๙ ปีกุนนพศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำรัศ สั่งให้ช่างพนักงานจับการทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อเจดวาสองศอก สูงสองเส้นสิบเบ๊ดวาศอกคืบ แลการพระเมรุทั้งปวงนั้นสิบเบ็ดเดือนจึ่งสำเหร็จ ครั้นถึงผคุณมาศสุกะปักษ์ดิถี ณะวันอันได้พระมหาพิไชยฤกษ จึ่งพระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็ให้อัญเชิญพระบรมโกฎขึ้นประดิษฐานเหนือรถพระมหาพิไชยราชรถ แล้วแห่เปนขบวนไปโดยรัฐยาราชวัถ เข้าสู่พระเมรุมาศตามอย่างแต่ก่อน แล้วให้ทิ้งทานต้นกามพฤกษ แลมีงานมหรสพ แลดอกไม้เพลิงต่าง ๆ แลทรงสดัปกรณ์พระสงฆ์ ๑๐๐๐๐ คำรพเจ็ดวัน แล้วถวายพระเพลิง ครั้นดับพระเพลิงแล้วแจงพระรูป ทรงสดัปกรณ์พระสงฆ์อิกสี่ร้อยรูป แล้วเก็บพระอัฐิใส่พระโกฎน้อย อัญเชิญขึ้นพระราชยานแห่เปนขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึ่งให้อัญเชิญพระบรมโกฎพระอัฐิ เข้าบรรจุไว้ณะท้ายจรนำพระมหาวิหาร วัดพระศรีสรรเพชดาราม ๚ะ