๔๒

๏ ลุศักราช ๑๑๕๓ ปีกุนตรีศกถึงณเดือนหก, แขกเมืองเซียะอยู่นอกพระราชอานาเขตร, ยกกองทับเรือมาถึงเมืองสงขลา. เจ้าเมืองกรมการสู้รบมิได้, ก็ภาครอบครัวชาวเมืองแตกหนีไปอยู่ณแขวงเมืองพัทลุง. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระศรีไกรลาศซึ่งออกไปเปนพระยาพัทลุง, ก็พลอยตื่นแตกตกใจกลัวทับแขกฆ่าศึก. ๆ ก็ยังมิได้ยกมาถึงเมืองพัทลุง, ภากรมการแลครอบครัวอพยพหนีเข้าป่า, มิได้คิดที่จะตั้งมั่นอยู่ต่อรบดูท่วงทีฆ่าศึก. ๚ะ

๏ จึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้แจ้งข่าวว่า, กองทับแขกมลายูเมืองเชียะ, ยกมาตีเมืองสงขลา, จึ่งเกนทับเมืองนครศรีธรรมราช, ยกออกไปช่วยเมืองสงขลา, ได้รบกับกองทับแขก,ๆ แตกพ่ายหนีไป. จึ่งบอกข้อราชการทั้งปวงเข้ามายังกรุงเทพมหานคร, ให้สมุหพระกลาโหมกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ. ๚ะ

๏ พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค, ก็ทรงพระพิโรธแก่พระยาพัทลุงดำรัศว่า, ฆ่าศึกยังมิทันมาถึงเมืองก็แตกหนี จึ่งดำรัศให้ข้าหลวงถือท้องตราออกไปถอดพระยาพัทลุงเสีย, แล้วให้ลงพระราชอาญาจำคุมตัวเข้ามาณกรุงฯ. จึ่งทรงพระกรุณาโปรดตั้งหลวงนายศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก, ซึ่งเปนบุตรพระยาพัทลุงคนก่อนพระศรีไกรลาศนั้น, ออกไปครองเมืองพัทลุงใหม่, ป้องกันพระราชอาณาเขตรสืบไป. ๚ะ

๏ ลุศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศก, พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต, ให้ข้าหลวงเมืองล้านช้างถือศุภอักษรลงมายังกรุงเทพมหานคร. ให้สมุหนายกกราบทูลพระกรุณาว่า, พระเจ้าร่มขาวเมืองหลวงพระบาง, คิดการเปนขบถไปเข้ากับพม่า, ใช้คนไปถึงเมืองอังวะ, พม่าก็มาถึงเมืองหลวงพระบาง, ต่างไปมาถึงกัน,ได้แต่งคนไปลอบสืบราชการได้ความเปนแน่. ๚ะ

๏ สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค, ได้ทรงทราบในหนังสือบอกกรุงศรีสัตนาคนหุตก็ทรงพระพิโรธ, ดำรัศสั่งสมุหนายกให้มีตราตอบขึ้นไปว่า, มีพระราชโองการดำรัศให้พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต, ยกกองทับไปตีเมืองหลวงพระบางให้แตกฉานจงได้. แล้วให้จับตัวพระเจ้าร่มขาวจำส่งลงมาถวายณกรุงเทพมหานคร. ๚ะ

๏ ครั้นพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต, ได้ทราบในท้องตรารับสั่งโปรดขึ้นมาดังนั้น. จึ่งเกนกองทับพลห้าพันเสศทั้งทับเรือทับบก, ยกขึ้นไปตีเมืองหลวงพระบาง, ให้ตั้งค่ายรายล้อมเมือง. ๚ะ

๏ ฝ่ายพระเจ้าร่มขาว, เปนอริกับพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตอยู่แต่ก่อน, ครั้นกองทับเมืองล้านช้างยกมาล้อมเมือง, ก็แต่งกองทับยกออกมาต่อรบได้รบกันเปนสามารถ. แลเจ้าอุปราชล้านข้างต้องปืนชาวเมืองหลวงพระบางถึงแก่พิราไลยในที่รบ. พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตขับพลทหารเข้าป่ายปีนปล้นเอาเมือง. ชาวเมืองขึ้นประจำรักษาน่าที่เชิงเทิลป้องกันเมือง, ยิงปืนใหญ่น้อยโต้ตอบกันอยู่ประมาณสิบสี่สิบห้าวัน. พลทหารล้านช้างเอาบันไดเขาพาดกำแพงเมืองปีนปล้นเอาเมืองได้, ไล่ฆ่าฟันชาวเมืองล้มตายเปนอันมาก, จับได้ตัวพระเจ้าร่มขาว, แลบุตรภรรยาญาติวงษได้สิ้นส่งออกมายังค่าย. พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตให้จำพระเจ้าร่มขาวไว้, แล้วตั้งเมืองแสนขุนนางผู้ใหญ่เมืองหลวงพระบาง, ซึ่งมายอมเข้าสวามิภักดินั้น,ให้เปนพระยาหลวงพระบางอยู่รั้งเมือง. แล้วเลิกกองทับกลับมายังเมืองล้านช้าง. จึ่งบอกข้อราชการให้ขุนนาง,แลไพร่คุมตัวพระเจ้าร่มขาวส่งลงมาถวายณกรุงฯ. สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัศให้ลงพระราชอาญาจำพระเจ้าร่มขาวใส่คุกไว้. ๚ะ

๏ ในปีชวดจัตวาศกนั้น, ฝ่ายข้างภุกามประเทศ. พระเจ้าอังวะโปรดตั้งขุนนางลงมาใหม่, เปนเจ้าเมืองกรมการอยู่รักษาเมืองทวาย, ให้เปลี่ยนเจ้าเมืองกรมการเก่า. เจ้าเมืองกรมการเก่านั้น, ให้หากลับขึ้นไปเสีย, ส่วนแมงแกงซาเจ้าเมืองทวายเก่า, กับจิกแกปลัดเมืองนั้น, ได้แจ้งข่าวว่าเจ้าเมืองกรมการตั้งลงมาผลัดใหม่. จึ่งคิดกันไม่ยอมกลับขึ้นไปเมืองอังวะ ครั้นเจ้าเมืองกรมการใหม่มาใกล้จะถึงเมือง, ก็คิดเปนกลอุบายออกไปต้อนรับแต่นอกเมือง, ให้จัดแจงของเลี้ยงออกไปเลี้ยงให้กินอิ่มหนำสำเร็จแล้ว, ก็ให้ทหารเข้าล้อมจับฆ่าเสียสิ้นแล้วกลับเข้าเมือง, คิดการขบถตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าแขงเมืองอยู่. ฝ่ายกรมการเมืองเมาะตมะได้แจ้งความว่า, แมงแกงซาคิดการขบถฆ่าเจ้าเมืองกรมการ, ซึ่งลงมาผลัดใหม่นั้นเสีย. จึ่งบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าอังวะ, ๆ ได้ทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ, จึ่งให้จับเมฆราโบ่บิดาแมงแกงซากับมารดา, จะให้ประหารชีวิตรเสีย. เมฆราโบ่จึ่งกราบทูลว่า, จะขอมีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองทวายผู้บุตรให้มาเฝ้า, แม้นไม่มาจึ่งจะรับพระราชอาญาตายตามโทษ. พระเจ้าอังวะก็ให้งดไว้, แล้วให้จำเมฆราโบ่,กับภรรยา,มารดาพระยาทวาย, ให้ข้าหลวงคุมเอาตัวลงมาณเมืองเมาะตมะให้มีหนังสือไปถึงบุตร. ฝ่ายพระยาทวายคิดกลัวพระเจ้าอังวะ, จะให้กองทับยกมาตีเมืองจะต้านทานสู้รบมิได้, ด้วยไม่มีที่พึ่ง, จำจะไปขอขึ้นกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา, เอาพระเดชานุภาพสมเดจพระเจ้าอยู่หัวกรุงไทยเปนที่พำนักนิ์. ขอกองทับไทยมาช่วยป้องกันรักษาเมือง. แล้วสืบรู้ว่าพระราชนัดาหญิงองคหนึ่ง, มาตกอยู่ณเมืองทวาย, แต่ครั้งทับพม่าไปตีกรุงเก่าได้, กวาดต้อนครอบครัวไทยมานั้น. จึ่งให้ไปเชิญพระราชนัดานั้นมาไต่ถามได้ความว่า, เปนพระเจ้าหลานเธอแน่แล้ว, ทรงผนวชเปนรูปชีอยู่. จึ่งจัดได้นางคนหนึ่งรูปงาม, เปนน้องภรรยาพระยาทวายจะส่งเข้ามาถวาย, แล้วให้แต่งศุภอักษรจาฤกลงใบตาลเปนอักษรภาษาภุกาม, ตามจารีตข้างพม่า. ใจความอ่อนน้อมขอเปนข้าขอบขันธสีมาเมืองขึ้น,พระมหานครศรีอยุทธยา. ขอกองทับไทยออกไปช่วยป้องกันรักษาเมือง, กับถวายนางเข้ามาด้วย. แล้วให้พระเจ้าหลานเธอ, มีหนังสือเข้ามากราบทูลพระกรุณาเปนอักษรภาษาไทยฉบับหนึ่ง. ให้จัดหาพระสงฆไทย,ได้มหาแทนรูปหนึ่ง, จะให้ถือหนังสือพระเจ้าหลานเธอนั้นเข้ามาถวาย, จึ่งจัดขุนนางทวายเปนทูตานุทูตถือศุภอักษร, แลเครื่องราชบันณาการกับทั้งนางทวาย, ให้เรียกว่าตะแคง ภาษาพม่าว่าเจ้า, กับมหาแทนให้ถือหนังสือพระเจ้าหลานเธอฉบับหนึ่ง,มาด้วย, กับทูตานุทูตทั้งไพร่นายส่งมาทางเมืองกาญจนบุรี. กรมการเมืองกาญจนบุรีบอกเข้ามายังกรุงเทพมหานคร. สมุหนายกกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ. พระบาทสมเดจบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค, จึ่งมีพระราชดำรัศให้ข้าหลวงออกไปรับทูตานุทูต, เมืองทวายกับทั้งนางนั้นเข้ามายังกรุงเทพมหานคร, ให้อาไศรยอยู่ณโรงรับแขกเมือง, ทรงพระกรุณาโปรดให้เลี้ยงดูพวกแขกเมืองทวาย, ทั้งนายแลไพร่ให้บริบูรณ. แลมหาแทนนั้นก็ให้ส่งไปสำนักนิ์อยู่ณวัดบางว้าใหญ่. แล้วให้ล่ามพนักงานแปลศุภอักษรออกเปนคำไทย. สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัศให้จัดแจงการทั้งปวงตามอย่างออกแขกเมือง, โดยโบราณราชประเพณีพระมหากระษัตริยาธิราชเจ้าแต่ก่อน. แล้วเสดจออกณะมุขเด็ดพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนาบดี, มนตรีมุขมาตยาข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย, ฝ่ายทหารพลเรือน, ประชุมเฝ้าณทิมดาบคดทั้งซ้ายขวาตามตำแหน่ง. จึ่งให้เบิกแขกเมืองเข้ามากราบถวายบังคมณะสาลาหว่างทิมดาบคด. พระยาราชินิกุลกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาถวายเครื่องราชบรรณาการ, แล้วอ่านศุภอักษรถวาย. ๚ะ

๏ ในลักษณนั้นว่าข้าพระพุทธเจ้าพระยาทวาย,ขอกราบถวายบังคมมาแทบพระบวรบาทบงกชมาศ, สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา. ด้วยข้าพระองคเดิมเปนเมืองขึ้นข้าขอบขันธสีมากรุงรัตนบุระอังวะ. บัดนี้มีความผิดขัดเคืองกันกับพระเจ้าอังวะ, ๆ จะให้กองทับพม่า, ยกมากระทำวิหิงษาการย่ำยีเมืองทวาย, ให้สมณพราหมณาจาริยไพร่ฟ้าประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน. ข้าพระพุทธเจ้าหาที่พึ่งพำนักนิ์มิได้, จะขอเอาพระราชกฤษดาเดชานุภาพบารมี, สมเดจพระเจ้าปราสาททองไปปกครองป้องกันกั้นเกษสรรพสัตวนิกรในเมืองทวาย, ให้พ้นไภยันตรายแห่งปัจามิตร, ขอรับพระราชทานกองทับเอาไปช่วยป้องกันรักษาเมือง. อนึ่งข้าพระองคถวายนาง, อันเปนประยุรญาติวงษเข้ามาเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาทด้วย. แล้วจะส่งพระราชนัดาซึ่งไปตกอยู่ณเมืองทวาย, เข้ามาทูลเกล้าฯถวายต่อภายหลัง. บัดนี้ให้มหาแทนถือหนังสือของพระราชนัดานั้นเข้ามาถวายด้วย. อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ากับทั้งกรมการเมืองทวาย, แลประชาราษฎรทั้งหลาย, ขอเปนเมืองขึ้นข้าขอบขันธสีมา, กรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาเหมือนดังกาลก่อนสืบไปตราบเท่ากัลปาวสาน. ๚ะ

๏ ครั้นอ่านศุภอักษรถวายเสร็จแล้ว, สมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ดำรัศพระราชประฏิสัณฐานโสมนัศ, ปราไศรยด้วยทูตานุทูตตามขัติยราชประเพณีแล้วเสดจขึ้น. อัครมหาเสนาบดีก็ภาแขกเมืองออกจากที่เฝ้า, นำไปรับพระราชทานอาหารเลี้ยงดูณสาลาลูกขุนมหาดไทย. จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้เถ้าแก่จ่าโขลนแลกรมวัง, ออกไปรับนางทวายนั้นส่งเข้าไปในพระราชวัง. แล้วโปรดให้เสนาบดีพิจารณาดูหนังสือพระราชนัดาซึ่งส่งเข้ามาถวาย, แลไต่ถามไล่เลียงมหาแทนได้ความชัดว่า, เปนพระราชนัดาแน่แล้ว. จึ่งให้ถวายไตรยจีวรเครื่องสมณบริขาร, แลพระราชทานเสื้อผ้าเงินตราเปนรางวัลแก่ทูตานุทูต, กับทั้งสิ่งของพระราชทานตอบแทนออกไปแก่พระยาทวายโดยสมควร. แล้วดำรัศสั่งสมุหนายกให้มีตราตอบออกไปถึงพระยาทวาย,ให้ส่งทูตานุทูตกับทั้งมหาแทนกลับออกไปเมืองทวายก่อน. แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้เจ้าพระยายมราชเปนแม่ทับ, กับท้าวพระยาพระหัวเมืองทั้งหลาย, ถือพลห้าพัน, ยกออกไปช่วยรักษาเมืองทวาย. แล้วพระราชทานพานทองเครื่องยศออกไปให้พระยาทวายด้วย. ๚ะ

๏ เจ้าพระยายมราชแลท้าวพระยานายทับนายกองทั้งหลาย, ก็กราบถวายบังคมลายกกองทับออกไปยังเมืองทวาย. ครั้นถึงก็ให้ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง. แลพระยาทวายก็ให้ขุนนางกรมการนำเอาเสบียงอาหารออกมาต้อนรับกองทับ, แต่ตัวนั้นยังหาออกมาไม่ เจ้าพระยายมราชจึ่งให้ขุนนางไทยเข้าไปในเมืองกับกรมการเมืองทวาย, ให้หาพระยาทวายออกมาคำนับท่านแม่ทับณค่าย. ๚ะ

๏ จบเล่ม ๔๒ สมุดไทย. ๚ะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ